สะใภ้จ้าว ตอนที่ 2
ดิเรกราชวิทย์ตาเหลือกโพลง รีบดึงผ้าห่มขึ้นปิดอก จรวยเองก็ร้องอุทาน
พร้อมกับรีบดึงผ้าห่มปิดอกไว้แบบหมิ่นเหม่ แต่ดวงตาสมใจ
“นังจรวย หล่อน หล่อน ว้าย”
หม่อมอำพันชี้นิ้วระริกระรัว สืบเท้าก้าวเข้าใกล้เตียง พอเท้าสะดุดผ้าถุงที่กองเป็นวง จึงหยิบมาคลี่ดู ก่อนจะพบกางเกงในสีสด
“กางเกงลิง ว้าย อีจรวย หล่อนมานี่เดี๋ยวนี้”
จรวยนวยนาดลุกขึ้น หม่อมอำพันตาเบิกกว้าง
“ว้าย ตายแล้ว นังชีเปลือย หน้าด้านสะพานเหล็ก”
ว่าแล้วก็รีบทุ่มผ้าถุงและยกทรงกางเกงลิงใส่หน้าอีกฝ่าย จรวยรีบรับมากระโจมอก
“ชายโต ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”
ชายโตหน้าเจื่อน “ไม่ได้ครับ”
“ทำไม จะขัดคำสั่งฉันเหรอ”
“ผม ผมไม่ได้นุ่งผ้าครับ”
หม่อมอำพันเรอเอิ้ก ทำท่าประหนึ่งจะเป็นลม
หม่อมอำพันนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องสมุด นมย้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยเอายาดมให้ดม ดิเรกราชวิทย์นั่งคอตกอยู่ตรงข้าม ส่วนจรวยนั่งพับเพียบร้องไห้อยู่ที่พื้น ชายรองนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือห่างออกมา
“ฉันไม่อยากพูดอะไรมาก เรื่องธรรรมดา บ้านไหนๆ เขาก็มีกัน” หม่อมอำพันโพล่งออกมาประโยคแรก
ดิเรกราชวิทย์รีบรับคำ “ใช่ครับ หม่อมแม่”
“เงียบนะ ยังจะมีหน้ามาพูด”
ดิเรกราชวิทย์ก้มหน้างุด อีกฝ่ายมองจรวยตาถลึง
“นี่นังจรวย หล่อนอย่ามาเผยอเลย ฉันจะส่งหล่อนไปอยู่หัวเมือง ให้เงินหล่อนซักก้อน ให้ทำมาหากินไม่ให้อดตาย”
จรวยคลานมาเกาะเท้าหม่อมอำพัน น้ำตาพร่างพรู
“หม่อมขา อย่าส่งดิฉันไปไหนเลย ดิฉันไม่มีที่ไปที่ไหนแล้ว ขอให้ดิฉันได้อยู่รับใช้หม่อม ได้สนอง
พระเดชพระคุณเถอะค่ะ”
“ไม่เอา แค่นี้แกยังสนองคุณฉันไม่สาแก่ใจอีกหรือ แกต้องไป”
จรวยน้ำตาตก “เจ้าค่ะ แต่ขอเวลาให้ดิฉันได้หาลู่ทาง ดิฉันสัญญาว่า วันใดที่คุณชายโตตบแต่ง ดิฉันก็จะขอกราบลา”
หม่อมอำพันนั่งนิ่ง ใจอ่อนลงนิดหนึ่ง “ก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าฉันใจไม้ไส้ระกำ”
ดิเรกราชวิทย์มองจรวยอย่างเห็นใจ “โธ่ จรวย”
หม่อมอำพันมองค้อน “นี่ ชายโต อย่าไปธ่งอย่าไปโธ่นะยะ”
“หม่อมแม่ จรวยเป็นเมียผม ผมต้องรับผิดชอบ”
“มันจะมีแต่ผิดซียะ ชอบไม่มี เธอนะเธอ ลองเสด็จทรงรู้เข้าเป็นได้ร้อนกันไปหมด นังจรวย นับแต่นี้หล่อนห้ามเสนอหน้าขึ้นมาบนตำหนักอีก”
จรวยกัดริมฝีปากด้วยนึกเคือง แต่ก็จำต้องก้มลงกราบแทนการรับปาก
“จำไว้นะยะ อย่าให้เรื่องนี้อึงไปถึงพระเนตรพระกรรณได้เป็นอันขาด”
หม่อมอำพันพูดพลางหันมามองคุณชายคนรอง
“เธอด้วยนะ ชายรอง ช่วยกันปิดความให้ดี”
กิตติราชนรินทร์ถอนใจ หม่อมอำพันมองค้อน จรวยเหลือบมอง ตาวาวขึ้นนิดหนึ่ง
เมื่อดิเรกราชวิทย์กลับมาห้องนอน ก็เห็นน้องชายยืนรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง
“มีอะไรจะเทศนาฉันอีกเหรอ”
“ผมไม่เห็นด้วยเรื่องที่พวกเราจะปิดบังเสด็จเรื่องของพี่กับจรวย เพราะสักวันความจริงก็ต้องเปิดเผยอยู่ดี”
“นายจะไปกราบทูลเสด็จงั้นเหรอ” พี่ชายย้อนถาม
“ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ แต่ในเมื่อพี่บอกว่าจะรับผิดชอบในตัวจรวย ก็ควรทำให้เป็นกิจจะลักษณะ ทางหลานคุณป้าสอางค์จะได้ไม่ต้องเป็นหม้ายขันหมาก”
"ใครบอกว่าฉันจะทำให้เจ้าหล่อนเป็นหม้ายขันหมาก ฉันจะแต่งเมียตามที่เสด็จทรงโปรด"
"แต่ก็ขอเมียบ่าวไว้รับใช้อีกสักคนสองคน"
กิตติราชนรินทร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“แต่ผมว่ามันไม่ยุติธรรมที่ผู้หญิงดีๆ สักคนจะต้องมาโดนกดขี่แบบนี้”
“ชายรอง แกอยู่อังกฤษมาแค่ 3 ปี อย่ามาทำตามธรรมเนียมผู้ดีฝรั่งอั้งหม้อหน่อยเลย ฝรั่งมันผัวเดียวเมียเดียว แต่ผู้ชายไทยมีได้หลายเมีย บางคนมีเป็นสิบเป็นร้อยด้วยซ้ำ”
ดิเรกราชวิทย์ยิ้มหยัน ๆ แล้วแยกเข้าห้องไป ชายรองมองตามอย่างระอาใจ
กิตติราชนรินทร์หน้าซีดเผือดต่อหน้าเทพีเพ็ญแสง ที่ทำหน้าเศร้าเช่นกัน ที่นิ้วนางเรียวงาม สวมแหวนเกลี้ยงหัวฝังพลอยของฝ่ายแรกอยู่
“หญิงจะไปอเมริกา ไปเรียนต่อ?”
“ค่ะ คุณรอง”
“หญิง เด็จป้าส่งผมไปอังกฤษ ผมต้องจากหญิงไปตั้ง 3 ปี นี่กลับมาแทนที่จะได้อยู่ด้วยกัน หญิงกลับจะทิ้งผมไป”
เทพีเพ็ญแสงรีบบอก “หญิงไม่ได้ทิ้งคุณรองนะคะ หญิงไปเพื่ออนาคตของเราต่างหาก”
“คืออะไรครับ”
“คุณรองเคยพูดกับหญิงให้เตรียมตัวเป็นภริยาทูตในอนาคต ต่อไปคุณรองจะเป็นถึงเอกอัครราชทูต แล้วหญิงมีความรู้แค่นี้ จะออกหน้าออกตาทัดเทียมกับคุณรองได้ยังไง”
“หมายความว่าหญิงทำเพื่อผม”
กิตติราชนรินทร์ถามย้ำ เทพียิ้มหวาน
“ไม่ใช่เพื่อคุณรอง จะให้หญิงทำเพื่อใครละคะ”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มออก รีบคว้ามืออีกฝ่ายมาจับ พลางมองแหวนอย่างปลื้มใจ แล้วค่อยๆ ยกขึ้นจูบ เทพีเพ็ญแสงยิ้มตาหยาดเยิ้ม
ที่โถงชั้นบนตำหนักเล็กตั้งวงไพ่มหึมา มีทั้งไพ่ตอง กบดำกบแดง รัมมี่ บรรดาหม่อม คุณหญิง คุณนายวัยตั้งแต่ 40 ไปจนถึง 80 กำลังคั่วไพ่กันหน้าดำหน้าแดง หม่อมอำพันวางท่าเป็นนางบ่อนเต็มภาคภูมิ
“แหม....สงสัยตานี้ ดิฉันจะน็อกมืดเสียตั้งแต่ไก่โห่นะคะ”
คุณหญิงร่วมวงไพ่ค้อนกันให้ควัก
รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าตำหนักเล็ก ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะก้าวลงมา คนขับแท็กซี่ลงมาเปิดกระโปรงหลัง เอากระเป๋าเดินทาง 2 ใบมาวางให้ แล้วขึ้นรถขับออกไป
ม.ร.ว. บดินทรราชทรงพล หรือชายเล็ก วัย 25 ปี หน้าตาดี ดูรื่นรมย์อยู่เป็นนิจ มองดูรถรอบๆ ตัวแล้วยิ้มขำ
“ฮ่า วันชุมนุมญาติมิตรของหม่อมแม่ แหงเลย”
ยอดปราดเข้ามาทักทาย “โห คุณเล็กขาวขึ้นเป็นกองเลย ไปอยู่เมืองนอกมา”
“นายก็ดำเหมือนเดิมเลยนะ”
ยอดยิ้มรับ “งั้นเดี๋ยวผมช่วยถือของเข้าไปให้ครับ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะย่องเข้าไปเอง”
นมย้อยที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง กำลังปักผ้า จู่ๆ ก็มีมือมาปิดตา
“คุณพระ”
“คุณพระที่ไหนกัน คุณชายต่างหาก”
บดินทรราชทรงพล เอามือออก แล้วเดินมาคุกเข่าตรงหน้ากราบกับตัก
“คิดถึงนมจัง”
“คุณเล็ก ฮือ”
นมย้อยน้ำตาร่วง ลูบไหล่ ลูบหน้า เชยคาง เสยผมชายเล็กพิศดู แล้วดึงมานั่งข้างๆ
“รู้ว่าจะกลับ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับวันนี้ แล้วนี่มาแท็กซี่หรือคะ ทำไมไม่โทร.มาคะ จะได้ให้รถไปรับ”
“ผมก็รอเงกเลยน่ะซี อย่างงี้แหละดีแล้ว”
จังหวะนั้น เจียมกับยายน้อมเดินมา
“คุณนมเจ้าขา อาหารเที่ยงวงไพ่ได้แล้วเจ้าค่ะ ว้าย คุณ คุณชายเล็ก ยายน้อม คุณชายเล็ก”
เจียมตาโตด้วยความดีใจ รีบหันไปสะกิด ยายน้อมผวาเงียบไปนิดหนึ่ง
“คุณชายเล็ก คุณชายเล็ก คุณชายเล็ก”
“ยายน้อม ยังไม่เลิกบ้าจี้อีก เจียม สวยขึ้นเยอะเลย”
เจียมกับยายน้อมมาคุกเข่าตรงหน้า ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณชาย”
บดินทรราชทรงพล รีบดึงตัวให้ลุก “ ว้า ลุกขึ้น เจียม ยายน้อม โธ่ กราบก้มบังคมคัลเป็นเล่นลิเกเชียว”
ยายน้อมรีบถาม “คุณชาย กลับมาถึงเมื่อไหร่คะนี่”
นมย้อยขัดขึ้นมา “ เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งพูดเพิ่งคุย คุณชายต้องไปกราบหม่อมก่อน”
บดินทรราชทรงพลทำท่าอิดออด “ว้า ยังไม่ไปไม่ได้หรือครับ”
“ไม่ได้ค่ะ ต้องไปเดี๋ยวนี้”
บดินทรราชทรงพลหน้าจ๋อย “โธ่ เล่นกันห้องไหนก็ไม่รู้”
“ไป แม่น้อม พาคุณชายไปกราบหม่อมก่อน”
นมย้อยเสียงแข็ง ชายเล็กแอบกร่อย
บดินทรราชทรงพลโผล่มาดูในห้องกับยายน้อม เห็นหม่อมอำพันกำลังขานไพ่เสียงแจ๋ว
“คุณหญิงขา ทิ้งดี ๆ นะคะ อย่าให้ดิฉันน็อกมืด แล้วคุณหญิงจะโง่อีกต่างหาก”
ยายน้อมหันมาพยักเพยิด “ไปเถอะค่ะ คุณชาย ไปกราบหม่อมท่าน”
ชายเล็กยิ้มมุมปาก แล้วยกมือจี้เอวอีกฝ่าย “ตำรวจ”
ยายน้อมผวา ตาเบิกกว้าง ปากตะโกนลั่น
“ตำรวจ ตำรวจ ตำรวจ”
ทันใดก็เกิดการโกลาหล คุณหญิงนางหนึ่งโยนไพ่กระจาย คุณนายอีกนางคว้าเงินรวบไป มีมือของคุณนายอีกคนมายื้อไว้ นางอื่นๆ ลุกถลา แก้วน้ำ ปั้นน้ำชา ของขบเคี้ยว ขนมจับยับกระจาย นางหนึ่งวิ่งปราดเข้าตู้เสื้อผ้า อีกนางกระโจนขึ้นเก้าอี้นอนตวัดผ้าออกคลุมโปง
บดินทราชทรงพลยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะ หม่อมอำพันเหลียวซ้ายแลขวา แล้วเรอเอิ๊กเป็นลมไป
นมย้อยกับเจียมถือถาดวางอาหารมาจากเรือนครัว เห็นขบวนคุณหญิงวัยชราขาไพ่วิ่งกรูเกรียวผ่านไปนับสิบชีวิต แต่ละนางแรงดีไม่มีตก
ศศิรัชนีเข้ามาในห้องเทพีเพ็ญแสง ขณะที่รื่นกับโรยกำลังเตรียมจัดเสื้อผ้า ข้าวของ เห็นของกลุ่มหนึ่งกองสุมในกล่องกระดาษ
“คุณรองกลับไปแล้วเหรอ”
เทพียิ้มรับ “ค่ะ พี่หญิง”
“แล้วคุณรองเห็นด้วยเหรอที่เธอจะไปอเมริกา”
“ไม่ได้คัดค้านอะไรนี่คะ”
ศศิรัชนีถามต่อ “ หญิงก้อย เรื่องนี้ปรึกษาท่านพ่อแล้วหรือยัง”
“ท่านพ่อเด็จต่างประเทศตลอด ทรงมีเวลาให้หญิงปรึกษาเหรอคะ”
“เฮ้อ.....พี่ไม่รู้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ดูมันมีเงื่อนงำยังไงชอบกล ตั้งแต่เธอหายไปพัทยาเมื่อ
2-3 วันก่อน”
เทพีเพ็ญแสงยิ้มขำๆ ศศิรัชนีถามย้ำ
“ที่ไปอเมริกาไปเรียนแน่เหรอ เพราะเธอไม่ใช่คนใฝ่เรียนเท่าไหร่”
“ค่ะ อ้อ พี่หญิงคะ ของเก่าพวกนี้ พี่ช่วยเอาไปบริจาคทีนะคะ หญิงไม่ใช้แล้ว”
พี่สาวหันไปดูเสื้อผ้าเก่าๆ ที่สุมอยู่บนเตียง “ตาย นี่ยังใหม่อยู่เลยนะ”
เทพีเดินมาที่กล่องกระดาษ แล้วหยิบแหวนพลอยเกลี้ยงออกจากนิ้ว โยนลงกล่องทันที ศศิรัชนีมองเห็นทางกระจกแต่งตัว หันมามองอย่างงง ๆ พอน้องสาวเดินเข้าห้องน้ำ ก็รีบเดินมาที่กล่องแล้วหยิบแหวนขึ้นดู ก่อนจะใจหายวาบ เมื่อเห็นแหวนสลักชื่อสกุล “วุฒิวงศ์”
ศศิรัชนีเห็นเค้าลางในอนาคตข้างหน้า
กิตติราชนรินทร์ขับรถมาจอดน้าตำหนักเล็ก พอเห็นนายยอดที่มารับรถเช่นที่เคย มีอาการลังเล ไม่ยอมขึ้นรถ ก็มองอย่างสงสัย จังหวะกำลังจะขึ้นตึก บดินทรราชทรงพลก็โผล่จากมุมมืด กระโดดเข้ามากอดเอวพี่ชายไว้
“จ๊ะเอ๋”
“เฮ้ย”
กิตติราชนรินทร์ตกใจ รีบเหวี่ยงร่างน้องชายลงพื้น แล้วทำท่าจะเหยียบซ้ำ ยอดเข้ามาห้าม
“คุณชายอย่าเพิ่งครับ นั่นคุณชายเล็ก”
บดินทรราชทรงพลร้องโอดโอย “โอย พี่รอง สะโพกครากหมดแล้ว”
“นายเล็ก เฮ้ย นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
พูดพลางดึงร่างน้องชายขึ้นมา ยอดหัวเราะคิกคัก
“เมื่อกลางวันน่ะครับ”
กิตติราชนรินทร์มองน้องชายที่สูงใหญ่แข็งแรงกำยำอย่างปลาบปลื้ม
“โอ้โห สูงใหญ่เป็นฝรั่งเลย กลับมาทำไมไม่บอก ยังชอบเล่นบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนเด็กตามเคยนะ
เจ้าเล็ก”
พูดพลางดึงน้องชายคนเล็กมากอดอย่างเอ็นดู
ยอดรีบบอกต่อ “เมื่อกี้แค่เบาะ ๆ ครับ แต่เมื่อกลางวันซีครับ คุณชายเล็กทำบ่อนหม่อมแตกกระเจิง”
กิตติราชนรินทร์ยิ้มขัน “งั้นเลยเหรอ”
“หม่อมแม่ยังก่นด่าอยู่เลยครับ พี่รองมาก็ดีแล้ว ช่วยแก้ต่างให้ผมด้วย แล้วคืนนี้พี่พาผมไปกราบเสด็จที”
หม่อมอำพันที่นั่งบนโซฟาค้อนจนตากลับ บดินทรราชทรงพลนั่งหน้าเรี่ยอยู่ที่พื้น กิตติราชนรินทร์นั่งโซฟา ส่วนชายโตนั่งอยู่บนเก้าอี้ นมย้อยที่กำลังลำเลียงน้ำที่เจียมและจรวยนำมาเสิร์ฟแอบถอนใจ
“ตารอง ดูน้องแกนะ ทำอะไรอย่างนี้ไม่รู้ พิลึก พิเรนทร์ พิสดาร”
บดินทรราชทรงพลกลั้นยิ้ม “โธ่ หม่อม ผมแค่ทักทายญาติมิตรหม่อมเล่นๆ เท่านั้นเอง”
“เล่นๆ อะไรยะ ท่านหญิงวาดเป็นลม ดีไม่ตายคาวงไพ่ คุณหญิงเสนาก็เกือบจมน้ำในบึงตาย คุณนายป๋อมก็ตกลงมาจากรั้ว ดีที่ขาแข้งไม่หัก ดีนะยะเขาไม่ไปฟ้องผัวเขา”
“คุณนายผู้กำกับบาดเจ็บคาบ่อน ถ้าฟ้องมันจะเข้าตัวนะครับ”
หม่อมอำพันค้อนขวับ “กลับมาก็ดีจะได้ช่วยฉันทำมาหากิน อย่าลืม มรดกพกสถนอะไรของท่านพ่อ
ก็แบ่งสันปันส่วนกันไปหมดแล้ว มีติดตัวกันคนละกระผีกริ้น”
บดินทรราชทรงพลหันมองพี่ชายคนโต “งั้นผมคงต้องพึ่งใบบุญพี่ชายโตแล้วละครับ”
“มาพึ่งอะไรฉัน”
“อ้าว พี่ชายกำลังจะแต่งกับสาวเจ้าที่เสด็จประทานมาให้ ก็คงได้ประทานสมบัติมาตั้งตัวไม่น้อยเชียวละ”
จรวยลอบมองดิเรกราชวิทย์
“นี่ นายอย่ามาพล่ามให้หม่อมแม่เข้าใจผิดเลย นายทำงานบริษัทน้ำมันฝรั่งน่ะ เขาจ่ายเป็นเงิน
ดอลล่าร์ คิดเป็นเงินไทย มากกว่าฉันกับนายรองสี่ห้าเท่าตัว”
หม่อมอำพันตาโต “หา ขนาดนั้นเชียวเหรอ เจ้าเล็ก”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกหม่อม”
“จริงเหรอชายรอง”
กิตติราชนรินทร์พยักหน้ารับ “จริงครับหม่อมแม่ อย่าให้มันมาปะเหลาะเอาเงินหม่อมเชียว”
“อุ๊ย ดีเลย เจียดมาให้แม่ใช้บ้าง จะไว้เป็นเงินทุนสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด”
“หม่อมจะลงทุนที่ไหนเหรอครับ” ชายเล็กย้อนถาม
“ก็ในวงสโมสรของฉันน่ะซียะ”
“อ้อ สโมสรบ่อนหม่อมอำพันน่ะเอง”
หม่อมอำพันค้อนลูกชายคนเล็ก ชายโต ชายรอง นมย้อยอมยิ้ม เจียมกลั้นหัวเราะ
“ผมก็ให้ได้เดือนละ 3 พัน” ชายเล็กบอกแม่
“อุ้ยๆ ดีเลยลูก”
จรวยคิดแผน พลางมือลูบท้องตัวเองแล้วยิ้มย่ามใจ
กิตติราชนรินทร์ที่อยู่ในชุดพร้อมไปทำงานเลื่อนเก้าอี้ให้เสด็จประทับที่หัวโต๊ะ แล้วมานั่งลงตรงข้าม
คุณสอางค์ มาลา วรรณาคอยรับใช้
“อ้าว แม่หญิงก้อยจะไปเรียนต่อเสียแล้ว ไปอเมริกาเสียด้วย”
“พะยะค่ะ”
พลันก็มีเสียงคิกคักดังมาจากด้านนอกของเหล่านางข้าหลวง เสด็จทรงเดาได้ว่าใคร จึงทอดเนตรมาทางกิตติราชนรินทร์ ที่อมยิ้มรับ
“นั่นใคร เข้ามาซิ”
บดินทรราชทรงพลเดินยิ้มเผล่เข้ามา นั่งบนพื้นกราบตักเสด็จ
“เกล้าฯ เองพะยะค่ะ”
“เจ้าเล็ก มาได้ยังไงกัน”
“สะกดรอยตามพี่รองมาพะยะค่ะ”
เสด็จทรงแย้มสรวล เชยคางบดินทรราชทรงพลขึ้นมา
“ไหน ขอดูหน้าชัดๆ หน่อย ไปอยู่เมืองนอกตั้ง 3-4 ปี นั่งสิ หล่อเหลาขาวจ๊วะ กลายเป็นชาวมะกันไปเสียแล้ว เมื่อก่อนเห็นตัวดำปี๋”
“ก็เกล้าฯ มันลูกบ่าวนี่หม่อม”
“เอ้า ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลากัน”
“แกนั่งตรงนี้มา”
กิตติราชนรินทร์รีบดึงน้องชายมานั่งแทนที่ แล้วถอยมายังเก้าอี้ถัดไป มาลา วรรณาจัดจานช้อนแก้วน้ำเพิ่มอย่างคล่องแคล่ว
เสด็จชะงัก แล้วทรงดุ
“พูดอะไร ลูกบ่งลูกบ่าว หม่อมแม่แกเขาไม่โกรธตายหรือ”
“โธ่ หม่อมนั่นแหละเป็นคนพูดพะยะค่ะ ว่าพี่โตน่ะลูกหม่อม พี่รองน่ะลูกเด็จป้า แต่เกล้าฯ น่ะลูกนมย้อย”
เสด็จยิ้มปลอบ “แกจะมาน้อยอกน้อยใจอะไรตอนนี้”
บดินทรราชทรงพลยิ้มเผล่ “ใครว่าเกล้าฯ น้อยใจ เกล้าฯชอบจะตายไป ว่าบ้านเกล้าฯไม่เหมือนใครดี จริงไหม
พี่รอง”
กิตติราชนรินทร์มองอย่างปรามๆ แต่ปากกลับเหมือนยิ้มนิดๆ คุณสอางค์น้ำตารื้น
“โถ คุณชายเล็ก”
บดินทรราชทรงพลหันมาแกล้งทำตาโต “คุณสอางค์ นี่คุณสอางค์หรือครับ โธ่ ผมจำไม่ได้”
คุณสอางค์ค้อนน้อยๆ “อะไรกันคะ เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก จำดิฉันไม่ได้”
“ก็ผมไม่อยู่สามสี่ปี แต่คุณสอางค์กลับสวยขึ้นสาวขึ้นกว่าเดิม แล้วผมจะจำได้ยังไงล่ะครับ”
คุณสอางค์ยิ้มแก้มปริ “วุ้ย คุณชายเล็ก”
เสด็จหันมาทางชายเล็ก “ อย่ามามัวปากหวานอยู่ เฮ้อ คิดว่าแกจะพาเมียแหม่มมาไหว้ฉันเสียอีก”
“โธ่ ยังหรอกพะยะค่ะ เกล้าฯ เป็นน้องเล็กจะรีบร้อนทำไม รอให้พี่โต พี่รองแต่งก่อนเถอะพะยะค่ะ”
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 2 (ต่อ)
กิตติราชนรินทร์รีบบอก “สำหรับฉันคงอีกนาน”
“กินข้าวกันดีกว่า”
เสด็จโบกหัตถ์ แต่พอเหลือบมอง เห็นมาลา วรรณาไม่ขยับ จึงทรงมองตาม เห็นทั้งคู่ยืนเคลิ้มมอง
2 คุณชาย
“งามจริงๆ ทั้งพี่ทั้งน้อง”
“งามเหมือนสุริยะกับพระจันทร์”
2 คุณชายหันมอง ต่างทำหน้าไม่ถูก เสด็จส่งเสียงดุ
“เอ้า แม่คุณ จะหลงรูปวิหยาสะกำไปถึงไหน”
คุณสอางค์หันมาสั่ง “แม่ 2 คน ตักข้าว”
สองนางผวารีบเข้ามาตักข้าวพลัน
บดินทร์ฝราชทรงพลออกมาจากห้องนอน จะเลี้ยวมาที่ห้องครัว แต่แล้วก็รีบหลบเข้ามุม เพราะเห็นจรวยถือถาดเครื่องดื่มนวยนาดมาที่บันได มองซ้ายมองขวาแล้วขึ้นบันไดไปชั้นบน ก่อนจะไปเคาะห้องดิเรกราชวิทย์ ครู่หนึ่งเจ้าของห้องก็มาเปิดประตู ดึงตัวผลุบเข้าไป แล้วปิดประตู
บดินทรราชทรงพลตะลึงงันไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มขำ เพราะพอรู้นิสัยพี่ชายอยู่
ยามสายของวันรุ่งขึ้น
เสด็จประทับอยู่บนศาลา คุณสอางค์นั่งอยู่ต่ำกว่า มาลา วรรณานั่งอยู่บนพื้น สักพักหม่อมอำพันก็วิ่งตุบตับมา นมย้อยวิ่งตาม ก่อนที่ทั้งคู่จะรีบก้มลงกราบ
“เสด็จจะเสด็จมา ทำไมไม่รับสั่งลงมาก่อนล่ะเพคะ”
เสด็จยิ้ม “แค่ลงเอ็กเซอร์ไซส์ยืดเส้นยืดสายเท่านั้นแหละ ไง วันนี้หม่อมไม่มีสโมสรหรือ”
“วุ้ย หม่อมฉันก็เล่นพอคลายเหงา ไม่ได้ติดอะไรหรอกเพคะ”
คุณสอางค์แอบค่อน “อ๋อ หรือคะ เห็นหม่อมสโมสรเกือบทุกวัน”
หม่อมอำพันตาขุ่นใส่ คุณสอางค์เชิดหน้า พอเสด็จทอดเนตรไป ฝ่ายแรกก็ฉีกยิ้ม
“ก็ขัดญาติมิตรไม่ได้นั่นแหละค่ะ”
นมย้อยกระซิบเรียกหม่อมอำพัน แล้วทำบุ้ยบ้าย
“หม่อมเจ้าขา หม่อม”
เสด็จเลิกคิ้วมอง “อะไรหรือ”
หม่อมอำพันรีบอธิบาย “นมย้อยว่าได้เวลาน้ำชาเพคะ จะโปรดให้ตั้งเครื่องว่างที่นี่เลย หรือจะเสด็จไปทับที่ตำหนักเพคะ”
“ที่นี่ก็ได้ อาทิตย์หน้า ฉันว่าจะให้แม่สร้อยพาศรีจิตรามาที่นี่ หม่อมก็อยู่เจอหน่อยก็แล้วกัน”
หม่อมอำพันทำตาปริบๆ กลัวความจะแตก เรื่องจรวย
“ดีเพคะ จะได้เจอสะใภ้เสียที”
พอพูดจบก็หันมาเจอจรวยยืนถือถาดหน้าเคร่งตาวาว
“ว้าย นังจรวย หล่อนมาทำไม”
จรวยรีบคุกเข่าลง เจียมถืออีกถาดตามมาย่อเข่าตาม มาลา วรรณาคุกเข่าลงมารับไปจัดวางบนโต๊ะ
“ดิฉันเชิญเครื่องว่างมาค่ะ หม่อม”
“มีอะไรกินบ้างล่ะนี่”
หม่อมอำพันรีบแจกแจง “วันนี้ หม่อมฉันให้ทำปั้นสิบไส้ปลาเพคะ ตาโตบ่นอยากรับประทาน เลยทำไว้รอท่า เอ้า เสร็จแล้วหล่อนกลับไปซียะ ให้เจียมอยู่คนเดียวพอ”
เสด็จถามต่อ “แล้ววันที่สะใภ้หม่อมมาจะทำอะไรเลี้ยงดี”
จรวยตาวาว ทันใดก็เซถลาไปเกาะเสาศาลา คุณสอางค์ร้องตกใจ
“ว้าย คุณพระ”
หม่อมอำพันตกใจกว่า “นังจรวย หล่อนเป็นอะไร”
จรวยโก่งคอทำเสียงโอ๊กอ๊าก เจียมรีบเข้าไปลูบหลัง
เสด็จมองอาการ แล้วตรัส “อาการยังกะคนแพ้ท้อง”
หม่อมอำพันตาเบิกโพลง “อุ๊ย ไม่ใช่หรอกเพคะ จะแพ้ท้องได้ยังไง ไป นังเจียมพาไปเดี๋ยวนี้”
พลันจรวยก็โผมาเกาะพระบาท เสด็จนึกรู้ทันที
“ฮือ เสด็จเพคะ”
“เฮ้อ ใช่ล่ะซิ นี่แกท้องกับใครกัน หือ”
หม่อมอำพันรีบบอกปัด “จะกับใครก็คงพวกไพร่ชั้นต่ำเพคะ ไม่คนขับรถ คนสวน ก็คงแขกยาม”
เสด็จรีบปราม “หม่อม หยุดก่อน ว่าไงนังจรวย”
หม่อมอำพันถลึงตา จรวยมองตอบ แล้วรีบก้มหน้า
“หม่อมฉัน หม่อมฉัน ทูลไม่ได้เพคะ”
“ทำไมบอกไม่ได้ บอกมาข้าจะได้จัดการให้ถูกต้อง”
จรวยเงยหน้าสบเนตรเสด็จ “จริงนะ เพคะ”
“ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้น บอกมาว่าเอ็งท้องกับใคร”
หม่อมอำพันตาโต รีบโบกมือห้าม คุณสอางค์เริ่มสังหรณ์ใจ มาลา วรรณาตาเป๋ง นมย้อยถอนใจ
“หม่อมฉัน ท้องกับคุณชายโตเพคะ”
เสด็จตกพระทัย “หา”
หม่อมอำพันชี้หน้าจรวยแล้วเอียงพับไป นมย้อยรีบรับไว้
“อ้าว ตายจริง สอางค์ดูหม่อมที”
คุณสอางค์ส่ายหน้า “หม่อมฉันก็ไม่ไหวเพคะ”
พูดจบก็เอียงพับไปอีกคน มาลา วรรณาร้องอุทาน แล้วรีบรับไว้ จรวยทำหน้าซื่อ เสด็จมอง
“ยังไง นี่แกหายคลื่นไส้แล้วหรือ”
จรวยนึกออก รีบกุมคอทำขยักขย้อน เสด็จทรงถอนใจ
รถจากวังวุฒิเวสม์แล่นมาจอดหน้าบ้านราชดำริ พอประตูรถเปิดผางออก คุณสอางค์ก็รีบลงรถมา
แล้ววิ่งตรงเข้าไปในตัวบ้าน นายยอดลงมายืนอึ้ง
คุณสร้อย อุ่นเรือน ยายพิศ กำไล และเด็กสาวอีก 2 นาง นั่งทำขนมกันอยู่ คุณสอางค์ถือยาดม เดินหน้าเผือดเข้ามา
“ว้าย คุณพี่”
คุณสร้อยร้องเสียงหลง อุ่นเรือนรีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณพี่”
“มีเรื่องอะไรคะนี่”
คุณสอางค์ถอนใจ “จะเรื่องอะไร ก็เรื่องงามหน้านะซี”
จากนั้นก็รีบทรุดนั่งลง ยายพิศ กำไล เด็กผู้ช่วยชะงักมือ เงยหน้ามองตาเป๋ง
“ว้าย นี่แม่พวกนี้ออกไปก่อน”
คุณสร้อยหันไปดุ “เอ้า ออกไปซิยะ แล้วไม่ต้องมาแอบฟังนะ”
ยายพิศ กำไล 2 เด็กสาวซุบซิบกัน แล้วเดินออกไป
คุณสอางค์ดมยาดมเหมือนรวบรวมแรง
“เรื่องงามหน้ายังไงกันคะ”
“คุณชายโต ได้นังข้าหลวงในตำหนักเป็นเมีย ถึงขั้นท้องขั้นไส้ แล้วหลงมันหัวปักหัวปำ จะยกเป็นเมียออกหน้าออกตาด้วย”
อุ่นเรือนยกมือทาบอกตกใจ “คุณพระช่วย”
“แล้วนี่แม่ศรีจะเป็นยังไง” คุณสร้อยย้อนถาม
“จะเป็นยังไง ก็เป็นหม้ายขันหมากเหมือนฉันน่ะซียะ ฮือ”
คุณสอางค์ซับน้ำตา คุณสร้อยแย่งยาดมมาดมแทน มือกระพือพัดไปด้วย
อุ่นเรือนรีบบอก “โธ่ ยังหรอกค่ะ ยังไม่ได้หมั้นได้หมาย จะเรียกหม้ายขันหมากยังไม่ได้หรอกค่ะ”
ศรีจิตราเดินมาในมือถือผ้าซิ่น ผ้าเช็ดตัวพับซ้อนมา พอเห็นคุณสอางค์ก็คุกเข่าลงไหว้
“อ้าว คุณป้าสอางค์ สวัสดีค่ะ”
คุณสอางค์มองหลานสาวอย่างเห็นใจ “ โธ่เอ๋ย แม่ศรีของป้า”
ศรีจิตรามองไปรอบๆ “นี่แม่พิศยังไม่กางกระโจมอีกหรือคะ”
คุณสร้อยตาขุ่น ก่อนจะตวาดแว้ด
“กางทำไมยะ เลิก ไม่ต้องไปบ่มมันแล้วผิวชาววัง เอาเวลามาบ่มมะม่วง บ่มละมุด ยังจะเกิดประโยชน์โภชน์ผลซะกว่า”
คุณสอางค์ร้องไห้โฮ อุ่นเรือนโอบไหล่ศรีจิตราที่ทำตาปริบๆ คุณสร้อยกระแทกยาดมโครม
หม่อมอำพันนั่งหน้าเคร่ง คุณชายทั้งสามนั่งอยู่ตรงหน้า จรวยนั่งร้องไห้อยู่แทบเท้าดิเรกราชวิทย์ นมย้อย ยายน้อม เจียมหน้าเครียด มองจรวยเหมือนกิ้งกือใส้เดือน
“นังจรวยตัวดี แผนแกสูงนักนะ”
จรวยรีบปด “จรวยไม่ได้ตั้งใจนะคะ มันคลื่นเหียนตอนนั้นพอดี”
“ย่ะ จำเพาะต่อหน้าพระพักตร์ท่านเสียด้วยนะนังจรวย”
ดิเรกราชวิทย์รีบช่วยพูด “หม่อมแม่ อย่าว่าจรวยเลยครับ กำลังท้องกำลังไส้”
“มันท้องกี่เดือนแล้ว”
“เออ ผมไม่ทราบครับ เพิ่งทราบว่าจรวยท้องวันนี้ละครับ”
นมย้อย ยายน้อม เจียม มองจรวยขวางเต็มที หม่อมอำพันถอนหายใจ
“เออ ดี ให้อีก้นครัวนี่มันหลอกเอา ต่อไปนี้อย่าหวังเลยนะว่าเด็จป้าจะพระทัยดีอีก ตาเล็ก”
“ครับหม่อม”
“เดี๋ยวแกย้ายไปอยู่ชั้นบน”
“ชั้นบน ห้องไหนครับ” ชายเล็กย้อนถาม
“ห้องติดกับห้องฉัน”
ดิเรกราชวิทย์ชะงัก จรวยมองสบตา
“นั่นมันห้องผมนี่ครับ หม่อมแม่”
“ก็ใช่น่ะซิ เดี๋ยวไปขนข้าวขนของ ลงมาอยู่ห้องเก่าตาเล็กซะ”
บดินทรราชทรงพลรีบบอก “แต่ผมอยากอยู่ข้างล่างเหมือนเดิมนี่หม่อม”
“ไม่ได้ ฉันว่าอะไรก็ทำซียะ”
“แต่....”
ดิเรกราชวิทย์หันมาทางน้องคนเล็ก
“ช่างเถอะ นายเล็ก ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยู่ข้างล่างได้”
“นี่ชายโต ไม่ใช่แม่จะมารังคัดรังแคอะไร แต่ฉันเห็นเมียแก มันจะต้องท้องโย้ขึ้นทุกวัน มาลอยหน้าขึ้นๆ ลงๆ อยู่ เกิดพลาดพลั้งหัวทิ่มลงมาจะทำยังไง”
จรวยกัดฟันพูด “เป็นพระคุณเจ้าค่ะ ที่หม่อมกรุณารวย”
“ไป ไป จะได้ย้ายห้องย้ายหับกัน”
หม่อมอำพันลุกขึ้น ดิเรกราชวิทย์ประคองจรวยที่ทำหน้างอหงิกลุกตาม ชายรองลุกขึ้น พลางมองหน้าพี่ชายอย่างตำหนิ ชายโตรีบหลบตาแล้วพาจรวยออกไป
นมย้อยจับแขนชายเล็ก “คุณเล็กขา ไปดูซิคะว่าจะจัดห้องยังไง”
“จัดการตามใจนมเลยครับ”
กิตติราชนรินทร์มองดูทุกคนแล้วถอนใจ
สาลินยังอยู่ในชุดทำงาน นั่งมองศรีจิตราที่กำลังพับผ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อุ่นเรือนพับอีกส่วนหนึ่งกองไว้
“พอหนูรู้ข่าว ก็รีบมาเลย โทร. ไปบอกที่บ้านสวนแล้วค่ะว่าจะมาค้าง แล้วนี่จะเอายังไงคะ”
อุ่นเรือนรีบบอกลูกสาวคนเล็ก “ก็ต้องยกเลิกทั้งหมด ที่เตรียมตัวจะเข้าวังก็ล้มไป”
“ผิดจากที่หนูว่าไหมล่ะ มีเมียซุกเมียซ่อนจริงๆ แล้วพี่ศรีก็เลยกลายเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ”
ศรีจิตราที่กำลังพับผ้า นิ่งไปนิดหนึ่ง พยายามคุมสีหน้าไม่ให้ร้องไห้ออกมา
“เฮ้อ เรานี่พูดอะไร พี่เขายิ่งใจคอไม่ดีอยู่”
“หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่”
“ดีแล้วลูก เข้มแข็งไว้นะ รู้ตอนนี้ดีกว่ารู้เอาเมื่อสาย”
อุ่นเรือนพูดจบก็ยกกองผ้าออกจากห้องไป
“พี่ศรี ไม่เป็นไรนะ”
สาลินเข้ามากอดแขนพี่สาว แล้วทันใดศรีจิตราก็ร้องไห้สะอื้นออกมา น้ำตาไหลพราก
“พี่ศรี”
“พี่ไม่เป็นไรหรอกสา แค่รู้สึกอับอายเท่านั้น”
“ไม่ต้องอายนะ พี่ไม่ได้ทำผิดอะไร ความผิดอยู่ที่อีตาคุณชายนั่นต่างหาก”
“ขอบใจสา”
สาลินกอดพี่สาวแน่น แล้วพลอยร้องไห้ออกมาด้วย ศรีจิตรายิ้มทั้งน้ำตา
“เอ้า มาร้องแข่งกับพี่เสียแล้ว”
“หนูสงสารพี่ศรีนี่”
ศรีจิตรากอดน้องไว้ ยิ้มเศร้าคลายใจลงบ้าง
2 เดือนต่อมา
วิรงรองเดินเข้าในห้องทำงานอย่างรีบร้อน เลื่อมประภัส ฉัตรอาชาวิ่งตามเข้ามา ถือสมุดโน้ตจดตามไปด้วย
“แต่งงาน แต่งงานกันแล้วที่นิวยอรค์ แมนแฮตตัน รูป เอารูปที่ถ่ายมา มาเลือกดูให้หมด”
“ค่ะ ค่ะ รูปค่ะ แล้วจะพาดหัวข่าวว่ายังไงดีคะ”
“เขียนไปเลยว่า “ บินลัดฟ้าจากเมืองไทยไปศึกษาต่อนิวยอร์คได้ไม่ถึง 3 เดือน ม.ร.ว เทพีเพ็ญแสง รัชนีกุล กลับแต่งงานเสียแล้วกับ อัศนีย์ เถลิงการ ทายาทมหาเศรษฐีของนายอรรถ เถลิงการ เจ้าพ่อการตลาดของเมืองไทย” พาดหัวตามนี้เลยนะ
ฉัตรอาชาท้วงขึ้นมา “อีกทีได้มั้ยครับ”
วิรงรองมองฉัตรอาชาเห็นท่าทางว่าจดไม่ทันเลยถาม
“ไม่ได้เรียนชวเลขมาเหรอ พิมพ์ดีดล่ะ”
“ผมฉัตรอาชา เรียนเทคนิคอ๊อกเหล็ก”
“เลื่อมเรียนเสริมสวยเกศมณีมาค่ะ”
เสด็จพลิกดูหนังสือพิมพ์แล้วนิ่วพักตร์ คุณสอางค์นั่งห่างออกมากำลังอ่านอีกฉบับหนึ่ง มาลา วรรณา ชูคออ่านอยู่ด้านหลัง พอเสด็จทรงลดหนังสือพิมพ์ลง ทอดเนตรมา ทั้งคู่ก็สะดุ้งโหยง รีบหดตัวลง แล้วคว้าพัดมาโบกไกว
“น่าสมเพชแม่ก้อย ดูรึเป็นลูกชาติลูกตระกูล กลับชิงสุกก่อนห่าม ไปรวบรัด ตกแต่งกันที่โน่น”
คุณสอางค์รีบแย้ง “ข่าวบอกมีพระญาติไปร่วมงานเยอะแยะนะเพคะ”
“จริงที่ไหนกันเล่า มีแค่ตาจันทร์กับหม่อมวาณีบินไปแค่สองคน ตาจันทร์น่ะ คงอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม่ก้อยนี่เต็มที ทำอะไรก็เอาแต่ใจตัว ไม่รู้ว่าตารองรักใคร่อะไรนักหนา”
“แหม ก็เธองามยังกะดาราฮอลลีวูด”
มาลา วรรณากระซิบพยักเพยิดกัน เสด็จหันมาดุ
“เอ้า นัง 2 คนซุบซิบอะไรกัน”
มาลาอ้อมแอ้มๆ ” เอ้อ หม่อมฉันเห็นว่ารีบร้อนแต่งขนาดนี้....”
วรรณาพูดต่อ “คงจะพลาดท่าเสียที ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้วเพคะ”
เสด็จนิ่วพักตร์ คุณสอางค์ตาโต
“ต๊าย พูดเหมือนใจ ฉันก็กะว่าอย่างนั้นแหละ”
พอเสด็จทรงมอง คุณสอางค์ก็รีบแก้เกี้ยว
“นี่ พอๆ แม่ 2 คน ไม่ต้องมานายว่าขี้ข้าพลอย”
“แล้วนี่ตารองรู้เรื่องแล้วหรือยัง”
“ป่านนี้คงทราบเรื่องแล้วละเพคะ”
เสด็จถอนหายใจ
ฟากกิตติราชนรินทร์ก็กำลังพูดสายกับศศิรัชนี
ศุภรนั่งฟังอยู่ ในมือถือหนังสือพิมพ์ ที่มีทั้งเนื้อข่าวและภาพข่าวของเทพีและอัศนีย์
“เป็นเรื่องจริงใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ท่านพ่อเด็จนิวยอร์คแล้วค่ะ ไปกับหม่อมแม่ เด็จไปร่วมงานแต่ง ท่านกริ้วมากที่หญิงก้อยไม่ปรึกษาก่อน”
“ขอบคุณครับหญิงกลาง”
“คุณชายค่ะ หญิงขอโทษแทนหญิงก้อยด้วย”
กิตติราขนรินทร์ฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ สวัสดี”
จากนั้นก็วางหูโทรศัพท์ สีหน้าเหม่อลอย และเจ็บช้ำ ศุภรรีบถาม
“เอาไงวะ ไอ้หม่อม หญิงก้อยทรยศแกแล้วจริง ๆ แกจะว่ายังไง”
“ก็ไม่ว่าอะไร”
“เฮ้ย จะอยู่เฉย ๆ อย่างนี้เหรอ”
กิตติราชนรินทร์แค่นยิ้ม “ฉันจะทำอะไรได้”
“เป็นอะไรรึเปล่าวะ หน้าแกซีดเป็นไก่ต้ม”
“ฉันไม่เป็นไรมากหรอก แกกลับก่อนเถอะ ฉันต้องสะสางงานอีกเยอะ”
“ได้ ได้ มีอะไรก็โทร. มานะ”
ศุภรออกจากห้องไป กิตติราชนรินทร์หยิบหนังสือพิมพ์ ที่มีภาพถ่ายของเทพีและอัศนีย์ยิ้มด้วยกัน มามองดูอย่างสะเทือนใจ ก่อนจะเดินไปพิงหน้าต่างห้อง มองเหม่อไป หลับตานิ่ง แล้วน้ำตาค่อย ๆ พรากไหลออกมา
กิตติราชนรินทร์เดินกลับมาในโถงกลางที่ดูเงียบงัน ไร้ผู้คน เขาทอดถอนใจอยู่กลางโถง ดิเรกราชวิทย์ที่กลับมาจากระเบียงด้านนอกเห็นกิตติราชนรินทร์เข้าก็พูดออกมา
“กลับมาแล้วเหรอนายรอง”
“ครับพี่”
ดิเรกราชวิทย์เข้ามาตบไหล่กิตติราชนรินทร์
“นายรอง ฉันเสียใจด้วยเรื่องหญิงก้อย”
“ขอบคุณครับพี่โต”
“มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้เลย มีปัญหาส่วนตัวกันรึเปล่า”
“เรื่องส่วนตัวไม่มีหรอกครับ ถ้าจะมีก็คงเพราะเรารวยไม่พอ เมื่อเทียบกับตระกูลเถลิงการ”
ดิเรกราชวิทย์นิ่งไป
“ผมขอตัว” กิตติราชนรินทร์บอก
กิตติราชนรินทร์จะขึ้นชั้นบน หม่อมอำพันเดินบ่นเป็นป้าเข้ามาโดยถือหนังสือพิมพ์มาด้วย นมย้อยและบดินทรราชทรงพลเดินตามมา จรวย เจียมและน้อมตามมาข้างหลัง ทุกคนมองกิตติราชนรินทร์ด้วยความเห็นใจ
“ตารอง กลับมาแล้วเหรอ คงรู้ข่าวแม่หญิงก้อยแล้วซีนะ” อำพันว่า
“ทราบแล้วครับ”
“แม่นี่ยังไงกัน รักใคร่กับลูกอยู่ดี ๆ ดันไปเลือกไอ้เพลย์บอยลูกอาเสี่ยมาเป็นผัว ทำไมใฝ่ต่ำแบบนี้”
กิตติราชนรินทร์ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด
“ดีแล้วเลิก ๆ กันไป ฉันไม่อยากได้สะใภ้คุณหญิง แต่ใจต่ำเหมือนนังคณิกา เท่าที่มีอยู่นี่ก็เกินทนแล้ว”
จรวยอ้าปากค้าง น้อมกับเจียมแอบยิ้มสะใจ
“หม่อมแม่หมายถึงใครครับ” ดิเรกราชวิทย์ว่า
“จะหมายถึงใครละยะ ก็เมียก้นครัวที่แกเอามาทำพันธุ์น่ะซี”
จรวยเบะปากร้องไห้โฮ
“แม่ครับ ทำไมว่าเมียผมอย่างนั้น จรวยกำลังท้อง เกิดแท้งขึ้นมาจะว่ายังไง”
“ก็ดีซี้ ฉันจะได้ไม่ต้องมารับเลี้ยงหลานไพร่ ๆ ของแก”
จรวยร้องขึ้น แม่ลูกยังคงเถียงกันเสียงดังขรมไปทั้งตำหนัก
“คุณโตขา พาจรวยออกไปก่อนเถอะค่ะ”
กิตติราชนรินทร์หายใจไม่ออก เขารีบออกจากโถงไปทันที บดินทรราชทรงพลรีบเดินตาม
กิตติราชนรินทร์เดินออกมาหอบหายใจ เขาพยายามสูดลมหายใจลึกเต็มปอดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเต็มที บดินทรราชทรงพลเดินตามมา แดดสีเหลืองยามเย็นอาบร่างทั้งสอง
“พี่รอง ผมเสียใจด้วยจริง ๆ” บดินทรราชทรงพลบอก
“ขอบใจ ขอฉันอยู่ลำพังเถอะ” กิตติราชนรินทร์ว่า
“ครับ”
บดินทรราชทรงพลเดินกลับเข้าไปในตึก กิตติราชนรินทร์ยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น อีกมุมหนึ่งของสนาม เสด็จและสอางค์กำลังเดินออกกำลังอยู่ด้วยกัน มีมาลากับวรรณาเดินตามหลัง
“เอ๊ะ นั่นชายรองนี่ ใช่ไหม” เสด็จทัก
“ใช่เพคะ ตายจริง ออกมายืนปลงอนิจจังอย่างนี้ คงเป็นเรื่องของหญิงก้อยแน่ ๆ เลยเพคะ”
เสด็จทอดเนตรกิตติราชนรินทร์ด้วยความเป็นห่วง
“จะมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าไหมเพคะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้นิสัยชายรองดี ถึงเรียกมาคุย ก็อมพะนำ ไม่ปริปากอะไรทั้งนั้น ปล่อยไปก่อนเถอะ”
“โถ พ่อคุณ คงอกหักว้าเหว่ เอกากายนะเพคะ”
สอางค์น้ำตารื้น เขาควักผ้าเช็ดหน้ามาแตะหัวตา
“เอกากายหรือ ตอนนี้ก็ไม่มีพันธะแล้วล่ะซี”
เสด็จทรงชะงักมองสอางค์ สอางค์นึกได้จึงน้ำตาหายไปแล้วทำตาโต
“นี่ นี่แม่สอางค์คิดเหมือนฉันหรือเปล่า”
“เพคะ” สอางค์รับคำ
ทั้งสองกลับไปมองกิตติราชนรินทร์ แล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 2 (ต่อ)
หลายวันต่อมา ณ กรุงนิวยอร์ค ตึกเอ็มไพร์สเตท เรดิโอซิตี้ มิวสิคฮอลล์ ตึกไครสเลอร์
ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากย่านถนน ฟิฟว์ อเวนิว
เทพีเพ็ญแสงมีสีสันบนหน้าเพิ่ม ผมแปรงทิ้งตัวมันเลื่อม สวมเสื้อคลุมปักพลอยยาวระพื้น เข้ากับสลิปเปอร์ปักพลอย เธอเดินจากห้องนอนแล้วก็ชะงัก อัศนีย์แต่งตัวลำลองดูหรูไปทั้งตัวกำลังถือกระทะวาววับ
“ตื่นแล้วหรือครับ”
“นั่นคุณทำอะไร อาร์นี่”
เทพีเพ็ญแสงทำเสียงไม่พอใจนิดๆ อัศนีย์ยิ้มก่อนจะตักออมเลตต์ไส้ผักลงในจานกระเบื้องบางเฉียบ
“ทำออมเลตต์สูตรพิเศษของผมไง” อัศนีย์บอก
“หญิงหมายความว่า ครัวไม่ใช่ที่ที่คุณควรอยู่”
“ทำกับข้าวสนุกจะตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้พริ้นเซสของผม”
อัศนีย์หันไปวางกระทะบนรถเข็นแล้วเดินมาจับมือเทพีเพ็ญแสงขึ้นมาจูบก่อนจะประคองพาไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เลื่อนเก้าอี้ให้ แล้วไปนั่งเก้าอี้อีกตัวโดยเอาศอกเท้าโต๊ะมองเทพีเพ็ญแสงอย่างหลงใหล
เทพีเพ็ญแสงพอใจจึงยิ้มพราย แล้วมองด้วยแววตายวนยั่ว
“บอง อาปาตี”
เทพีเพ็ญแสงรับคำ “ค่ะ”
เทพีเพ็ญแสงกินอาหารช้าๆ
ทันใดนั้น อัศนีย์ก็ตบหน้าผากตัวเอง
“โอ ผมลืมไป”
อัศนีย์ลุกขึ้นไปที่ไซด์บอร์ด บนไซด์บอร์ดวางรูปนายอรรถ เถลิงการ หน้าตาเป็นชาวจีนร้อยเปอร์เซนต์ คิ้วกังฉิน สวมทักซิโด้ หน้าเชิดผยอง ถ่ายคู่กับนางทองนพคุณในชุดคุณหญิง ผมยีโป่ง สร้อยคอเพชรเป็นอุบะ หน้าตาไทยแท้ ยืนเชิดอยู่ข้างสามี อัศนีย์เปิดลิ้นชัก หยิบกล่องยาวกลับมาที่โต๊ะ นั่งลง วางกล่องลงหน้าเทพีเพ็ญแสง
“แฮปปี้ แอนนิเวอร์ซารี่”
“แอนนิเวอร์ซารี่ อะไรคะ”
“ก็ครบรอบสามเดือนของการแต่งงานไงครับ”
เทพีเพ็ญแสงเปิดกล่องก็เห็นนาฬิกาเรือนทองฝังเพชรดูบอบบางระยิบระยับ
“สวยจัง”
“นอกจากสวยมันยังบอกเวลาด้วยนะครับ เผื่อคุณหญิงจะได้ตรงเวลามากขึ้น”
เทพีเพ็ญแสงตาวาวชะงัก
“อะไรนะ”
“โธ่ จัสท์คิดดิ้ง ล้อเล่นน่ะครับ”
อัศนีย์สวมนาฬิกาให้แล้วกุมมือเทพีเพ็ญแสง เทพีเพ็ญแสงปั้นปึงเล็กน้อย
“อย่าพูดเล่นอย่างนี้อีกนะคะ เพราะหญิงไม่เห็นขัน”
อัศนีย์สะดุดไปนิดหนึ่ง เขามองเทพีเพ็ญแสงด้วยอาการเบื่อหน่ายเล็ก ๆ
ณ ห้องสมุดตำหนักใหญ่ มีชั้นหนังสือเต็มผนังสูงจรดเพดาน และมีกลุ่มหนังสือหายากอยู่ในตู้ไม้สลักเสลางดงาม ทางด้านหนึ่งมีโต๊ะเขียนหนังสือมีเก้าอี้เข้าชุดกัน 3-4 ตัว เสด็จซึ่งประทับที่โต๊ะกำลังตรวจดูบัญชีรายรับรายจ่ายที่กิตติราชนรินทร์ดูแลอยู่ กิตติราชนรินทร์นั่งอยู่ตรงข้าม ส่วนสอางค์นั่งห่างออกมา
“ร้านผ้าไหมที่เธอไปเข้าหุ้นกับเพื่อนเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ตอนนี้ยังเรื่อยๆพะยะค่ะ แต่ต่อไปท่าทางจะดีขึ้น” กิตติบอก
“คุณชายรองนึกยังไงคะ ถึงได้คิดอ่านไปลงทุนค้าขายอย่างนี้”
“ก็แค่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์น่ะครับ”
“แหม ดิฉันว่ามันไม่สมเกียรติคุณชายน่ะค่ะ”
“โธ่ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว งานสุจริตทุกอย่างก็มีเกียรติทั้งนั้นล่ะครับอีกอย่างยิ่งทำงานให้มาก ก็ยิ่งไม่มีเวลามาคิดอะไรฟุ้งซ่าน”
กิตติราชนรินทร์พูดเรียบๆ แบบซ่อนความสะเทือนใจเอาไว้ เสด็จทรงมองด้วยความเห็นใจ แต่สอางค์เริ่มน้ำตาเอ่อจนต้องซับ
“โถ คุณชาย”
“ตารอง นึกซะว่าเป็นพรหมลิขิตลูก คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน แต่ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ให้ทำยังไงก็ต้องพราก”
“เนื้อคู่หรือพะยะค่ะ เกล้าฯไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า”
“พูดอะไรอย่างนั้นตารอง เราน่ะเพอร์เฟกต์ขนาดนี้”
“ไม่จริงหรอกพะยะค่ะ ถ้าจริงเกล้าฯคงไม่ถูกทิ้ง”
สอางค์ซับน้ำตา
“โถ พ่อคุณ”
“เรื่องมันแล้วไปแล้วพูดไปก็ไม่มีประโยชน์” เสด็จสบตาสอางค์ “นี่ตารอง หม่อมแม่เธอคงเกริ่นๆให้ฟังแล้วเรื่องหลานสาวคุณสอางค์”
สอางค์น้ำตาแห้งก่อนจะรีบยิ้ม
“พะยะค่ะ เกล้าฯทราบแล้ว”
“แปลว่าเธอไม่มีอะไรขัดข้องใช่ไหม”
“อะไรที่ทำให้เด็จป้าพอพระทัย เกล้าฯก็ยินดีพะยะค่ะ”
“เห็นไหมเพคะ หม่อมฉันว่าแล้ว”
สอางค์ลืมตัว เสด็จทรงมองอย่างปราม กิตติราชนรินทร์นั่งสงบอย่างดูไม่ออกว่าในใจเป็นเช่นใด
“งั้นก็ดีเลย ต่อไปป้าจะรับแม่ศรีจิตรามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ให้เธอได้รู้จักมักคุ้นกันเอาไว้”
“พะยะค่ะ”
สอางค์ยิ้มปลื้มแล้วเช็ดน้ำตาไปด้วย กิตติราชนรินทร์นั่งสงบดูไม่ออกว่าในใจเป็นเช่นใด
รถจากวังวุฒิเวศม์แล่นมาจอดหน้าบ้าน
ทั้งที่รถยังจอดไม่สนิทแต่สอางค์แทบจะโดดลงจากรถ วิ่งตัวปลิวเข้าไปในบ้านนายยอดชินเสียแล้ว
สร้อยหน้างอหงิกชี้นิ้วอยู่บนตั่ง ที่พื้น อุ่นเรือน ยายพิศ กำไล และเด็กลูกมืออีกสองคน กำลังปั้นสาคูกันอยู่ สร้อยมองดูอุ่นเรือน
“แม่อุ่นเรือน นี่ปั้นสาคูนะยะ ไม่ใช่ปั้นขนมกุยช่ายไหว้เจ้า ให้มันบาง ๆ หน่อย”
อุ่นเรือนนิ่งแล้วพยายามแผ่แป้งให้บาง
“อ้าว แล้วนี่ไส้หมดแล้วหรือ”
“คุณศรีกำลังไปเอามาเพิ่มค่ะ”
“อุ๊ย ไปเอายังไง หายไปตั้งนานสองนาน ไม่รู้จะสนิมสร้อยไปไหนแม่คนนี้ ต๊าย แล้วต่อไปจะทำอะไรกิน หรือจะมาหวังเกาะฉันกินไปจนตาย”
สร้อยบ่นมหาศาล อุ่นเรือน พิศ กำไลสบตากันอย่างอึดอัด สอางค์โผล่พรวดมา แทรกทุกคนลงนั่งบนตั่ง
“ว้าย คุณพี่”
อุ่นเรือน พิศ กำไล เด็กสาวลูกมือยกมือไหว้ แต่สอางค์ไม่รับไหว้ผู้ใด
สร้อยถาม “มีอะไรคะ”
“เอียงหูมา”
สร้อยเอามือแหวกผมเปิดหู สอางค์กระซิบ สร้อยที่หน้าหงิกอยู่เริ่มยิ้มออก ทุกคนงุนงง สอางค์มองดูทุกคน
“นี่ แม่ศรีไปไหนล่ะนี่”
ศรีจิตราถือชามเคลือบมีฝาปิดที่ใส่ไส้สาคูมา สร้อยลุกถลาไปแย่งมาถือ
“ต๊าย ไปแบกไปคอนมาทำไม เดี๋ยวไหล่ล้า แขนโตกันพอดี หนอย นังพวกนี้ก็ช่างกระไรเลย ให้หลานข้าไปแบกไปหามได้ยังไงยะ”
ศรีจิตรางง “มันก็ไม่ได้หนักอะไรนี่คะ คุณป้า คุณป้าสอางค์มาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“ป้ามาชิมสาคูไส้กุ้งของหนูซิลูก”
“ในครัวกำลังนึ่งชุดแรกอยู่ค่ะ น่าจะจวนแล้ว เดี๋ยวหนูลงไปดูให้นะคะ”
“อุ๊ย ไม่ต้องลูก ลูกศรีจ๋า เดี่ยวโดนไอน้ำร้อนลวก ผิวจะเกรียมกรมไป”
ศรีจิตราทำตาปริบๆ ทุกคนยังงงงัน
“เอ้า หนูศรี ไปผลัดผ้าผลัดผ่อนดีกว่า” สร้อยบอก
“ทำไมคะ”
“ไปนุ่งกระโจมอกลูก นังกำไลเตรียมกางกระโจม นังพิศไปต้มสมุนไพร”
กำไลและพิศอุทานพร้อมกัน
“อีกแล้วหรือคะ”
ศรีจิตราสบตาอุ่นเรือนเพราะเพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ศรีจิตรานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ ที่พื้นอุ่นเรือนกำลังพับผ้ามีราคาลงอบร่ำในหีบไม้ใบใหญ่
“คราวนี้ใครกันอีกคะ แม่”
“คุณป้าสอางค์กระซิบกับแม่ว่า เสด็จทรงหมายมั่นจะให้หนูแต่งกับคุณชายรองลูก”
“น้องชายคุณชายโตนั่นอีกทีหรือคะ”
“จ้ะ เป็นคุณชายคนที่สองของท่านชายศิริศุภเสกข์กับหม่อมอำพัน แต่เสด็จทรงอบรมเลี้ยงดูมา ก็เลยเป็นหลานคนโปรด”
ศรีจิตราถอนใจหันมา
“อะไรกัน ทอดถอนใจใหญ่เชียวหรือลูก”
“แม่จำที่ยายสาเตือนเอาไว้ได้ไหมคะ”
“เตือนเรื่องอะไรกัน”
“ก็เตือนว่าคุณชายโตนี่อาจมีเมียซุกเมียซ่อนอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วย หนูไม่รู้ว่าคุณชายรองนี่จะมีเรื่องอะไรอีก”
“ฮื้อ ไปเอานิยมนิยายอะไรกับยายสา ยายสาน่ะยังเด็ก ยังอยากมีพี่สาวเป็นเพื่อนเล่น ก็เลยไม่อยากให้หนูแต่งงาน เลยยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาขู่หนู”
“แม่ว่าอย่างนั้นหรือคะ”
อุ่นเรือนยิ้มขยับมานั่งใกล้ลูก
“คราวก่อน คุณป้าเสียหน้าไปหนหนึ่งแล้ว คราวนี้ต้องระวังกว่าเก่าแน่ลูก”
ศรีจิตรายิ้มน้อยๆ แต่ดวงตายังมีแววกังวล
กิตติราชนรินทร์หิ้วกระเป๋าเอกสารเข้ามาเห็นอำพันกับนมย้อยนั่งอยู่บนโซฟา เจียมนั่งกับพื้นบีบนวดขาอำพันอยู่ อำพันหันมาเห็นกิตติราชนรินทร์แล้วตาเบิกกว้างด้วยความยินดีแล้วยิ้มจนแก้มปริลุกพรวดขึ้น เจียมไม่ทันตั้งตัวจึงล้มคว่ำไป กิตติราชนรินทร์ยืนอึ้ง อำพันถลามาถึงตัวดึงกระเป๋าออกจากมือ ยิ้มแย้มแจ่มใส กิตติยกมือไหว้
“อุ๊ย ชายรองกลับมาแล้วหรือลูก” อำพันหันมาส่งกระเป๋าให้เจียม “เอ้านังเจียม มารับกระเป๋าไป แล้วน้ำท่าอะไรไปยกมา”
“เจ้าค่ะ”
เจียมรับกระเป๋าเดินไป อำพันคล้องแขนกิตติพามาที่โซฟา นมย้อยมองดูตาปริบๆ
“เหนื่อยไหมลูก อ้าว นังเจียมเร็วๆซียะ”
เจียมรีบร้อนยกน้ำส้มและน้ำเย็นมาเดินผ่านจรวยที่ท้องโย้ใกล้คลอดมายืนเมียงมองหลังไซด์บอร์ด จรวยแต่งตัวสวยผมเป็นช้องดูเป็นคุณนายมากขึ้น เจียมมาคุกเข่าเสิร์ฟน้ำส้ม อำพันคว้าแก้วน้ำส้ม
“เอ้าจ้ะ กินน้ำส้มให้ชื่นใจก่อน”
กิตติราชนรินทร์รับมาโดยยังพูดไม่ออกจึงได้แต่จิบน้ำ
“ขอบพระคุณครับ” กิตติราชนรินทร์บอก
น้อมมาจากครัว เธอวิ่งผ่านจรวย มาคุกเข่า
“เอ้า ยังไง”
“จะให้ตั้งเครื่องที่ระเบียงหลังเลยไหมเจ้าคะ” น้อมถาม
“ก็ดี วันนี้แม่ลงครัวเอง ทำขนมค้างคาวของโปรดเรา แม่จำได้”
“เอ้อ รู้สึกจะของโปรดนายเล็กมากกว่านะครับ”
อำพันชะงัก แล้วหันมาตาเขียวใส่นมย้อย
อ้าว หรือจ๊ะ นมนี่แย่จริง จำผิดจำถูก เลยมาพาให้ฉันเขวไปด้วย”
นมย้อยไม่รู้เรื่องงงไปนิดหนึ่ง กิตติมองนมย้อยแล้วรีบแก้สถานการณ์
“แต่ดีจัง ผมเองก็ไม่ได้กินมานานแล้ว ขอบพระคุณครับ หม่อมแม่”
อำพันยิ้มออก
“อุ๊ยลูก จะต้องมาขอบอกขอบใจอะไร”
อำพันแตะแก้มกิตติราชนรินทร์ อีกฝ่ายอึ้งเพราะไม่คุ้น ส่วนนมย้อย เจียม และยายน้อมก็มีอาการยังปรับตัวไม่ทันอยู่ ที่เคาน์เตอร์ จรวยตาวาวแล้วกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด
“ชายรอง จะไปกินของว่างเลย หรือจะอาบน้ำอาบท่าก่อน”
“กินเลยก็ได้ครับ”
“เอ้า เจียม นังน้อมไปจัดเตรียมซียะ”
กิตติราชนรินทร์ดื่มน้ำส้มหมดพอดี เจียมเลยถือติดมือถอยออกไปกับน้อม
น้อมและเจียมเดินผ่านไซด์บอร์ด จรวยรีบขยับถอยยืนเชิดทำไม่สนใจ
“อุ๊ย “คุณ” จรวย มาทำอะไรตรงนี้คะ” เจียมหันมาถาม
“คงไม่ได้มาแอบฟังความอะไรหรอกนะคะ” น้อมว่า
เจียมและน้อมทำนอบน้อมแต่ไม่ซ่อนการประชดเสียดสี จรวยตาวาว
“ไม่เห็นมีอะไรที่ฉันต้องมาแอบฟัง” จรวยว่า
“หรือคะ”
จรวยถลึงตา เจียมกับน้อมแยกไป ดิเรกเดินผ่านระเบียงขึ้นมาพอดี
“คุณชายโตขา มีเรื่องแปลก ๆ ค่ะ” จรวยว่า
“มีอะไรเหรอ”
“วันนี้หม่อมดูเอาอกเอาใจคุณรองผิดปรกติ รวยว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”
“วันเงินเดือนออก หม่อมแม่รักทุกคนแหละ”
“ทำไมคะ”
“อ้าว หม่อมรีดเงินเดือนพวกเราสมทบทุนสโมสรของหม่อมไง”
“แต่คราวนี้มันแปลกกว่าทุกคราวนะคะ คุณชายดูซิ”
ดิเรกราชวิทย์มองไปที่โถงกลางก็เห็นอำพันกำลังพูดคุยสนิทสนมกิตติราชนรินทร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทันใดนั้นจรวยก็สะท้านเยือก เธอกุมท้องก้มลงดูท่อนล่างตัวเอง
“คะ คุณชายโตขา” จรวยว่า
“ดูอยู่ ไม่เห็นมีอะไรผิดปรกตินี่” ดิเรกบอก
“มัน มันแตกแล้วค่ะ” จรวยบอก
“อะไรแตก”
ดิเรกราชวิทย์หันมาเห็นน้ำคร่ำที่ไหลพรูมาที่พื้น
“จรวย”
จรวยย้ำ “ตะ แตก แล้วค่ะ”
ดิเรกราชวิทย์ประคองร่างจรวยที่น้ำคร่ำแตก
“จรวย ใจดี ๆ นะ”
“คุณโต ช่วยรวยด้วย แตกแล้ว”
อำพัน นมย้อย และกิตติราชนรินทร์ลุกขึ้นวิ่งเข้ามาดู น้อมและเจียมวิ่งกลับมาจากครัว
“ว้าย อะไร นังเจียมทำแก้วแตกหรือ”
“ไม่ใช่แก้วแตกครับ แต่เป็นถุงน้ำคร่ำแตก”
“ว้าย น้ำเดินแล้วเจ้าข้า”
“ว้าย น้ำเดิน” เจียมกระตุกแขนน้อม
“น้ำเดิน น้ำเดินค่ะ น้ำเดิน”
อำพันร้องกรี๊ดออกมา ยายน้อมบ้าจี้ กิตติราชนรินทร์เข้าช่วยดิเรกประคองจรวยลงนั่งที่โซฟา จรวยหอบหายใจ
กิตติราชนรินทร์ร้องบอก “โทร.เรียกหมอโอสถเร็วเจียม”
ทุกคนดูวุ่นวาย อำพันทำท่าจะเป็นลม
เทพีเพ็ญแสงแต่งชุดอยู่บ้านซึ่งเป็นแม็กซี่ยาวกรุยกรายบางเบา เธอเดินยิ้มนิดๆ ดวงตาแจ่มใสออกจากห้องนอนแล้วมองไปกลางห้องแล้วก็ชะงัก ยกมือหนึ่งขึ้นระดับปาก ดวงตาเบิกกว้าง
ภายในห้องโถงหลุยส์อันงามวิจิตรบรรจง มีสิ่งแปลกปลอม ที่โต๊ะอาหารมีร่างชายคนหนึ่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ ชายผู้นั้นนั่งยองๆ ใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อกล้ามเก่าแขนมีรอยลุ่ย ในมือมีชามข้าวต้ม กำลังเอาตะเกียบพุ้ยเข้าปาก
เทพีเพ็ญแสงหันไปมองรูปที่ไซด์บอร์ดเห็นรูปไฮโซของนายอรรถ เถลิงการ ติดอยู่ อรรถนั่งอยู่บนเก้าอี้ เทพีเพ็ญแสงยังตะลึง ทันใดนั้นก็มีเสียงโป๊กๆ ดังมา เทพีเพ็ญแสงมองหาที่มา บนคอฟฟี่เทเบิลงามมีครกตำหมากกำลังตำอย่างสม่ำเสมอ บนเก้าอี้นอนเดย์เบด นางทองนพคุณใส่เสื้อคอกระเช้า ผ้าถุง นั่งขัดสมาธิตำหมากอยู่
รูปทองนพคุณในชุดคุณหญิง หญิงชาวบ้านที่ผิวดำกว่าในรูปเจ็ดเท่า ปากเปรอะ มียาเส้นม้วนจุก
เทพีเพ็ญแสงเบิกตากว้างและมีอาการขยะแขยงสุดขีด
“ไฮ มาย พริ้นเซส”
อัศนีย์เดินถือเหยือกน้ำส้มกับเกรปฟรุ๊ต 2 เหยือกมาจากส่วนครัว
“มัมกะแด็ดมาถึงตั้งแต่เมื่อคืน แต่คุณหญิงเข้านอนแล้ว ผมเลยไม่ได้ปลุก”
อัศนีย์วางเหยือกลง อรรถหันมามองเทพีเพ็ญแสง
“อาคุงหยิง มามา เจี๊ยะม่วย”
อัศนีย์เข้าไปประคับประคองเทพีเพ็ญแสงเพ็ญแสงมานั่ง เทพีเพ็ญแสงไหว้ทั้งพ่อผัวแม่ผัว
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่”
เทพีเพ็ญแสงนั่งตัวแข็ง อัศนีย์ไปดึงนางทองนพคุณที่เอาหมากใส่ปากเคี้ยวหยับมาที่โต๊ะด้วย นางทองนพคุณมองเทพีเพ็ญแสงอย่างชื่นชม
“แหมคุณหญิง ขนาดเพิ่งตื่น ยังงามขนาดนี้ เป็นฉันล่ะขี้หูขี้ตากรังไปหมด” ทองว่า
เทพีเพ็ญแสงพยายามยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก
“อี้ย์ มัมพูดอะไร”
“มัมเมิมอะไรของเอ็ง ไอ้หม่า”
“แด็ด”
“เรียกเตี่ย แด็ดอะไร อาเส่ยตี๋”
“เตี่ยก็เตี่ย วันนี้ผมกับหญิงจะไปหอศิลป์ แล้วตอนค่ำจะไปดูบัลเล่ต์กัน เตี่ยกับหม้าจะไปกะเราไหม”
“ไปทำไม มีแต่รูปปั้นคนแก้ผ้า ไปดูทีไรกลัวมันตกมาฟาดหัว”
“อีระบำฝรั่งรำเท้าน่ะฉันไม่ดูนะ มีแต่เขย่งเก็งกอย ผู้หญิงก็นุ่งสั้นจนเห็นอีเป๋อ”
เทพีเพ็ญแสงแสงตาเบิกกว้าง มือที่จับมีดหั่นไส้กรอกสั่น
“โอเค ตามใจ”
“อาคุงหยิงนี่ลื้ออ้วนขึ้นนะ”
เทพีเพ็ญแสงที่กำลังจิ้มไส้กรอกเข้าปากชะงัก
“คุณพ่อว่าอะไรนะคะ”
“ท้องเหรอเปล่า” ทองถาม
“ยังหรอก ค่ะ”
“อาเส่ยตี๋มันเชิดสิงโตกับลื้อบ่อยไหม”
เทพีเพ็ญแสงตาเหลือกกว่าเดิม อัศนีย์ขำ
“แด็ด พูดอะไร”
“เรื่องนับวันน่ะไม่มีประโยชน์ เชิดสิงโตทุกวันได้ผลกว่า ติดลูกทุกราย”
“หรือว่าหนูคุณหญิงห่วงสวยไม่อยากท้อง แหม ดูฉันซี แต่ก่อนฉันก็เอวเล็กเอวบางอย่างหนูคุณหญิงนี่แหละ แต่พอมีลูกหัวปีท้ายปี ไอ้ที่ตึงมันก็ยานที่แน่นมันก็หลวมโพลก ฮิ ฮิ”
“อาทองห่อ ลื้อพูดทำลาย ไล่ยิงแล้วหดหมด”
“อะไรหด เตี่ย”
“จิตใจไง ไล่ยิงแล้ว จิตใจมันหดหู่”
อรรถซดน้ำแกงโฮก ทองนพคุณคว้ากระโถนสังกะสีที่ติดมาแล้วถุยน้ำหมากปริ๊ดแล้ววางบนโต๊ะกินข้าว เทพีเพ็ญแสงลุกพรวดขึ้น
“โทษค่ะ หญิงขอตัวก่อนนะคะ”
“อ้าว คุณหญิง”
เทพีเพ็ญแสงหน้าชาหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง อัศนีย์ยักไหล่ นายอรรถ นางทองนพคุณหรือเดิมชื่อทองห่อไม่สนใจ ทั้งสามยังนั่งคุยกันต่อเป็นที่สนุกสนาน นายอรรถจะไปเล่นพนันที่แอตแลนติคซิตี้
ส่วนนางทองห่อจะไปถ่ายรูปเทพีสันติภาพ
เทพีเพ็ญแสงกลับเข้ามาในห้องก็มีอาการอยากจะอาเจียน
เดินมาที่หน้าต่างแล้วจับม่านมือหนึ่ง มองไปอย่างไร้จุดหมาย ด้วยความอ้างว้าง ว่างเปล่า โดดเดี่ยว ไร้ความสุข มีเพียงเงาตัวเองเท่านั้นที่เป็นเพื่อน
โต๊ะอาหารยาวเหยียดจัดอาหารเช้าไว้สุดปลายโต๊ะ 2 ด้าน เทพีเพ็ญแสงที่อยู่หัวโต๊ะด้านหนึ่ง กำลังกินอาหารอย่างเย็นชา ส่วนอีกด้านอัศนีย์วางช้อนลงแล้วมองดูท่าทีเย็นชานั้นด้วยอาการเบื่อหน่าย แล้วคลี่หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์อ่านบังหน้า เทพีเพ็ญแสงเชิดหน้าโดยมีสีหน้าตัดสินใจบางอย่างขั้นเด็ดขาด
วิรงรองเดินเข้าในห้องทำงานอย่างรีบร้อน เลื่อมประภัส ฉัตรอาชาวิ่งตามเข้ามาโดยถือสมุดโน้ตจดตามไปด้วยลีลาทุกอย่างที่ยังเหมือนเดิม
“หย่า หย่ากันแน่ ๆ แล้ว ยืนยันเป็นทางการรึเปล่า”
“ยังค่ะ ยังไม่มีการยืนยัน คงจะปิดข่าวน่ะค่ะ แล้วจะพาดหัวข่าวว่ายังไงดีคะ”
“งั้นเขียนไปเลยว่า “บินลัดฟ้าจากนิวยอร์กสู่เมืองไทย ม.ร.ว.หญิงเทพีเพ็ญแสงเพ็ญแสง เถลิงการ แต่แปลกจัง กลับไร้เงาสามีหนุ่ม อัศนีย์ เถลิงการ เคียงข้าง” ทันมั้ย”
“ไม่ทัน”
“นี้ผ่านมา 8 เดือนแล้วยังไม่พัฒนาอีก” วิรงรองว่า
“ต้องพัฒนาด้วยเหรอ”
“ต้องสืบให้ได้ว่าหย่าหรือไม่หย่า”
“สืบยังไง ทำให้ดูหน่อย”
วิรงรองยกหูโทรหาวังรัชนีกุล เลื่อม และฉัตรปรบมือ
คอลัมน์ซุบซิบลงรูปเทพีเพ็ญแสงที่ดูงดงามหยาดเยิ้ม มีข่าวสั้นๆ อยู่ด้วย ศุภรอ่านให้กิตติราชนรินทร์ฟัง
“บินลัดฟ้าจากนิวยอร์กสู่เมืองไทย ม.ร.ว.หญิงเทพีเพ็ญแสงเพ็ญแสง เถลิงการ แต่แปลกจัง กลับไร้เงาสามีหนุ่ม อัศนีย์ เถลิงการ เคียงข้าง”
กิตติราชนรินทร์นิ่งไป
“แกว่ายังไง อย่าบอกนะว่าไม่คิดอะไรต่อ”
“แกจะให้ฉันคิดว่า หญิงก้อยหย่ากับนายอัศนีย์แล้วงั้นเหรอ”
“ถูกต้อง คิดได้นี่ มันชัวร์อยู่แล้ว กลับมาคนเดียวอย่างนี้”
“ไม่น่าเชื่อ แค่เจ็ดเดือนเองนะ”
“แต่ฉันเชื่อว่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันสืบมาให้ก็ได้ เพราะคนไทยที่นิวยอร์คน่าจะรู้เรื่องดี แล้วจะรีบรายงาน”
“ไม่ต้องรายงาน ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องของหญิงก้อยอีกแล้ว”
กิตติราชนรินทร์ปิดหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีรูปเทพีเพ็ญแสงด้วยสีหน้าหมดอาลัย ศุภรมองยิ้ม ๆ เพราะรู้ว่ายังไงก็ยังอาลัยอาวรณ์อยู่
ห้องอาหารใหญ่โตแต่ตกแต่งค่อนข้างเรียบดูไม่หรูหรารวมทั้งห้องอื่นๆของวังนี้ ท่านจันทร์ประมุขของวังนั่งอยู่หัวโต๊ะ ท่านจันทร์ชันษาราว 50 ปีดูมีสง่าราศี หม่อมวาณีสีหน้าอึดอัด เทพีเพ็ญแสงนั่งอยู่ถัดมา ศศิรัชนีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง นางข้าหลวงรื่นกับโรยยืนคอยถวายงาน ทุกคนกินอาหารอย่างเงียบๆ ภายใต้บรรยากาศน่าอึดอัด มีเพียงหม่อมวาณีคอยเลื่อนโน่นตักนี่ให้เทพีเพ็ญแสงอย่างเอาใจพร้อมกับมองไปที่ท่านจันทร์เป็นระยะ
“ลองครัวซองค์นี่ซิคะ หญิง พี่กลางทำเองเลยนะจ๊ะ”
“ไม่ล่ะค่ะ มันเยิ้มเชียว เดี๋ยวหญิงอ้วนตายพอดี”
ท่านจันทร์มองเทพีเพ็ญแสงอย่างหมั่นไส้ หม่อมวาณีดุศศิรัชนีเสียงอ่อนๆ
“หญิงกลาง ทำคราวหน้าลดนมเนยลงบ้างนะ หญิงก้อยจะได้กินได้”
ศศิรัชนียิ้ม “ค่ะ”
“เมื่อวันแต่งงานหญิงมีแต่ท่านพ่อกับแม่ ญาติเราหลายคนเดินทางไปไม่ไหว” วาณีว่า
เทพีเพ็ญแสงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นก่อนจะวางช้อน
“แม่ว่าเราจัดเลี้ยงฉลองอีกสักครั้งดีไหมลูก ญาติๆทั้งสองฝ่ายจะได้รู้จักมักคุ้นกัน”
“หญิงว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
“แล้วนี่เมื่อไรพ่ออัศนีย์จะตามมาล่ะลูก”
“เขาคงไม่ตามมาหรอกค่ะ แต่ถึงจะตามมา หญิงก็ไม่สนใจ เพราะหญิงกับเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”
ท่านจันทร์เนตรเขียว หม่อมวาณียกมือทาบอก ศศิรัชนีตกใจ 2 นางข้าหลวงหน้าซีด
“คุณพระช่วย”
“นี่หมายความว่ายังไง เธอช่วยบอกมาชัดๆหน่อยซิ”
“หญิงกับอัศนีย์ แยกทางกันแล้วเพคะ”
“อะไรกันหญิง อยู่กันก้นหม้อข้าวไม่ทันดำ”
“แต่งกันได้ยังไม่ถึงปี ตอนแต่งนั่นก็อับอายขายหน้ามาทีนึงแล้ว แล้วทีนี้จะทำยังไง”
เทพีเพ็ญแสงยักไหล่
“ก็ไม่เห็นต้องทำยังไงเลยนี่เพคะ เมื่ออยู่กันไม่ได้ก็จบกัน หมดสมัยแล้วล่ะค่ะ ที่จะต้องมาหวานอมขมกลืนอะไรอยู่ ต่างคนต่างไป ต่างมีอิสระที่จะเริ่มต้นใหม่”
ท่านจันทร์ลุกพรวด
“อิสระที่จะแร่ไปมีผัวใหม่อย่างงั้นหรือ”
“ท่านเพคะ” วาณีปราม
เทพีเพ็ญแสงพูด “หญิงคิดว่าอย่างงั้นเพคะ”
“หญิง นี่ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับเธอแล้ว”
เทพีเพ็ญแสงยกผ้าขึ้นแตะริมฝีปาก
“งั้นหญิงก็ขอตัวก่อนนะเพคะ”
เทพีเพ็ญแสงลุกขึ้นเดินตัวตรงออกไป หม่อมวาณีละล้าละลังแล้วจะลุกตาม
“ลูกหญิง ลูก”
“แม่วาณี เธอเลิกประคบประหงมเอาใจมันเสียที ตามใจจนมองไม่เห็นหัวใครแล้ว เธอยังไม่รู้อีกหรือ”
ท่านจันทร์เดินออกไปอีกคน
“หม่อมแม่คะ”
“จะทำยังไงดี หญิง”
“ไว้ค่อยๆคิดอ่านกันเถอะค่ะ”
“โธ่เอ๋ย แม่คิดอยู่แล้วว่าต้องไปกันไม่รอด โธ่ โธ่ อายุแค่นี้ต้องมาเป็นแม่หม้ายแม่ร้าง โธ่ โธ่ โธ่ กะอยู่แล้วว่าไอ้เจ้าอัศนีย์นี่ต้องก่อเรื่อง”
ศศิรัชนีอึ้งไปเล็กน้อย
“นี่ถ้าเป็นชายรอง ก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก”
หม่อมวาณีรำพัน ศศิรัชนีนิ่งฟัง
สะใภ้จ้าว ตอนที่ 2 (ต่อ)
ลลิตา บราลีกำลังประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ ผู้ใช้บริการมีแค่ 2-3 คน
ทั้งสองนางจึงพูดคุยกันเมามัน อีกมุมหนึ่งสาลินกำลังลำเลียงหนังสือลงรถเข็น โดยมีหนุ่มแว่นช่วยอยู่ด้วย ลลิตาอ่านหนังสือพิมพ์
“ต๊าย คุณหญิงก้อยกลับมาเมืองไทยแล้ว สงสัยพาสามีมาไหว้พระญาติ เอ๊ะ แต่ข่าวบอกว่ากลับมาคนเดียว แปลกจัง”
“วันนี้ทานข้าวข้างตึกกันอีกนะครับ” แว่นบอก
“คุณแว่นคะ ตอนนี้บอสไม่ค่อยจีบฉันแล้ว คุณก็ไม่ต้องเล่นบทบาทแฟนฉันแล้วละค่ะ” สาลินว่า
“ถึงจะเล่นเป็นไม้กันหมา ผมก็อยากเล่นต่อ จะเป็นไม้หรือหมาก็ได้ครับ”
“คุณแว่นคะ ฉันมีคู่หมายแล้วนะคะ เป็นหม่อมราชวงศ์ด้วย เราจะแต่งงานกันปีหน้านี่แหละ และฉันต้องย้ายไปอยู่ในวังเสด็จพระองค์”
“เอ นั่นมันเรื่องสะใภ้นอกคอกที่คุณยืมไปอ่านนี้ครับ”
“นี้คุณ นอกจากจะตามชั้นทุกฝีก้าว ยังอ่านหนังสือตามชั้นทุกเล่มเลยเหรอ โรคจิต”
ไนเจลกับจิตริณีเข้ามา จิตริณีแต่งตัวหรูหราทันสมัย ผมเซ็ทแข็ง ดวงหน้าตกแต่งเข้มข้น
“ทุกคนครับ ผมขอแนะนำ เลียขาคนใหม่ของโผม”
“บอสคะ เลขาค่ะ ไม่ใช่เลียขา”
“โอว์ ช่าย ช่าย เลขา”
จิตริณียิ้มให้ทุกคน
“สวัสดีค่ะ”
สาลิน บราลี และลลิตาตอบรับ “สวัสดีค่ะ”
“คุณจิตริณี เพิ่งกลับมาจากนิวยอร์กครับ”
ลลิตาตาโตแล้วอุทานเบาๆ ด้วยความชื่นชอบอัตโนมัติ เพราะเห่อนักเรียนนอก
“นิวยอร์ก”
สาลินยิ้มแป้นเพราะชอบท่าทางมั่นใจในตัวเอง บราลีก็ชอบเพราะจิตริณีดูเป็นเฟมินิสต์ จิตริณียิ้มยื่นมือมาเช็คแฮนด์เรียงแถว พร้อมกับที่ไนเจลแนะนำทีละคน
“นี่คุณบร้าลี คุณหล่าลี้ท่า คุณแซลีน”
จิตริณีจับมือแว่น
“และนี่ ไอ้แว่น”
“หืมม์ อีแวน เหรอคะ”
“เปล่าครับ ชื่อแว่นเฉย ๆ ครับ” แว่นบอก
“ไอ้นี่ไม่เกี่ยวครับ”
“พวกเรายินดีต้อนรับค่ะ”
“ต่อไปผมจะพาคุณทัวร์ดูรอบๆ ไล้บราลี่เองครับ ดูทัวร์แล้ว ค่อยมาดูตัวโผม”
“ดูตัวบอส”
“หมายความว่า คุณต้องศึกษารายละเอียดของโผมทุกอย่าง และทำหน้าที่เลียขาให้ผมตลอดเวลา”
“ค่ะ ค่ะ พอเข้าใจค่ะ ไปค่ะ”
ไนเจลยื่นแขนออก จิตริณีเกาะแขนอย่างไม่ขัดเขิน ไนเจลทำตาหวาน จิตริณียิ้มพราย ทั้งคู่เดินไป สามสาวชะเง้อตาม แว่นก็ชะเง้อกับเขาด้วย
“ต๊าย เหมือนแฟนกันเลย แต่ไม่เป็นไร เป็นนักเรียนนอกฉันหลีกทางให้” ลลิตาบอก
“นี่ ฉันก็จบนอกนะยะ ทำไมหล่อนไม่เห่อ”
“จบจากปีนัง ฉันเห่อไม่ลงย่ะ”
“ชั้นนั่งรถไฟไปไกลนะ”
“นั้นไม่นับ”
“โห มีเลขาสวย”
“แว่นไม่เกี่ยว”
“นอกจากไม้กับหมายังเป็นหมาหัวเน่า”
กิตติราชนรินทร์เดินช้าๆครุ่นคิดเข้ามาในห้องโถงก็เห็นบดินทร์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ นมย้อยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ บดินทร์เงยหน้ามองโดยมีแววเห็นใจ กิตติชะงักแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
“ทุกคนรู้ข่าวแล้วซีนะ” กิตติว่า
“ฮะ หญิงกลางโทรมาหาผมตั้งแต่ตอนเย็น ตกลงหญิงก้อยหย่าจากนายอัศนีย์ จริง ๆ ครับพี่”
กิตติราชนรินทร์นิ่งงันแล้วขึ้นบันไดไป บดินทรราชทรงพลมองตาม นมย้อยเป็นห่วง
เทพีเพ็ญแสงยืนหน้าเรียบตึงแสดงความไม่พอใจ รื่นกำลังรื้อดูตามตู้ โต๊ะ ลิ้นชักอย่างโกลาหล
“กล่องใบนั้นเอาไปบริจาคหมดแล้วค่ะ”
“หาไปก่อน อาจจะตกอยู่แถวนี้ก็ได้”
ศศิรัชนีโผล่เข้ามาพร้อมกับโรย
“ไงจ๊ะ โรยบอกว่าหญิงให้หาแหวนงั้นเหรอ”
เทพีเพ็ญแสงตอบรับ “ใช่ค่ะ แหวนฝังพลอยแบบแหวนผู้ชายค่ะ พี่หญิงเห็นบ้างไหมคะ”
ศศิรัชนียื่นให้ “อยู่นี่ พี่เก็บไว้เองแหละจ้ะ”
ศศิรัชนีหยิบแหวนมาให้ เทพีเพ็ญแสงมองศศิรัชนีอย่างเอาเรื่อง รื่นหยุดการหา
“เอ๊ะ แล้วแหวนของหญิงไปอยู่กับพี่หญิงได้ยังไงคะ”
ศศิรัชนียิ้มนิดๆ แล้วพูดอย่างราบเรียบ
“หญิงจำไม่ได้หรือจ๊ะ ก่อนที่หญิงจะไปอเมริกาน่ะ หญิงโละของเก่าบอกให้พี่เอาไปบริจาค พี่เจอแหวนนี่อยู่ในกล่อง เห็นสลักชื่อวุฒิวงศ์ก็เลยบริจาคไม่ลง ตัดสินใจเก็บไว้ให้”
เทพีเพ็ญแสงมองรื่นกับโรย ทั้งสองนางรีบออกไป เทพีเพ็ญแสงสวมแหวนที่นิ้วนาง
“ไปได้แล้ว” ศศิรัชนีบอกกับรื่นและโรย “แหวนคุณชายรองใช่ไหม”
เทพีเพ็ญแสงรับคำ “ค่ะ”
“เธอจะเก็บไว้ทำไมอีก”
“พี่กลางคะ ช่วยหญิงหน่อยได้ไหม”
“ช่วยเรื่อง”
“หญิงจะกลับไปหาคุณรอง ไปขอโทษทุกเรื่องที่หญิงทำพลาดไป”
“สิ่งที่เธอทำพลาด คือทรยศเขาอย่างเลือดเย็นที่สุด คิดว่าคุณรองเขาจะให้อภัยเธองั้นเหรอ”
“พี่กลางถึงต้องช่วยหญิงไงคะ แค่นัดเดทให้หญิงก็พอ แล้วหญิงจะจัดการทุกอย่างเอง”
“แน่ใจตัวเองมากเลยนะจ๊ะหญิง”
“แน่ใจซีคะ คุณรองรักหญิง เขาให้อภัยหญิงได้เสมอ”
ศศิรัชนีหนักใจ
ห้องนอนบดินทรราชทรงพลคือห้องนอนเก่าของดิเรกราชวิทย์ซึ่งมีการตกแต่งใหม่ ข้าวของในห้องไม่เรียบร้อยนักตามประสาชายโสด นมย้อยนั่งอยู่บนพรมเอามือทาบอกอย่างตกใจ บดินทรราชทรงพลที่นั่งอยู่ตรงหน้าเอาหมอนอิงมากอดไว้กับอก
“คุณพระ คุณเจ้า แต่งยังไม่ถึงปี ครึ่งปีถึงไหมนี่”
“เจ็ดเดือนพอดีครับ ฝรั่งเขามีสำนวนว่า เจ็ดปีที่คัน คือ สามีภรรยาอยู่กันเจ็ดปี ก็จะเริ่มเบื่อหน้ากัน”
“แต่นี่มันเจ็ดเดือนเองนะคะ”
“หญิงก้อยเธอเป็นคนล้ำสมัยไงครับ”
“เฮ้อ คุณชายรอง เธอเพิ่งสบายใจได้ไม่เท่าไร นี่หน้าหมองอีกแล้ว”
“ก็รักฝังใจซีครับ”
“คู่กันแล้วต้องไม่แคล้วกัน ให้พลัดพรากยังไงก็ต้องหวนกลับมาเจอกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ค่ะ”
“ไม่รู้ว่าเรื่องพี่รองกับหญิงก้อยจะลงเอยแบบไหนนะครับ”
“เขาว่ากันว่า คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตนะคะ”
“นั่นซินะฮะ เฮ้อ ไปอยู่เมืองนอก 3-4 ปี คิดถึงนิทานของนมจัง”
“ดู้ โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะฟังนิทานอีกหรือคะ เอาเรื่องอะไรดีคะ”
“เรื่องอะไรก็ได้ฮะ ขอให้จบแบบแฮปปี้ แฮปปี้ หน่อยก็แล้วกัน”
“เอาเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อนนม”
บดินทร์ขยับตัวมาหนุนตักนมย้อย นมย้อยตื้นตันลูบผมบดินทร์แล้วเริ่มเล่านิทานต่อไป
กิตติราชนรินทร์กับบดินทรราชทรงพลเข้ามาในคลับหรูซึ่งเป็นร้านอาหารที่มีดนตรีบรรเลงกล่อม บรรเลงเพลงแจ๊ซเบา ๆ หนุ่มสาวสโลว์ซบกันสองสามคู่
“นายพาฉันมาทำไม น่าจะรู้อยู่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ชอบเที่ยว” กิตติราชนรินทร์ถาม
“หญิงกลางน่ะซีครับ อยู่ดี ๆ ก็ชวนผมกับพี่มาพบ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา” บดินทรราชทรงพลว่า
“หญิงกลางเหรอ”
ศศิรัชนีที่รออยู่ด้านในเดินออกมารับสองหนุ่ม
“สวัสดีค่ะคุณรอง สวัสดีนายเล็ก”
บดินทรราชทรงพลทำท่าจะสวมกอด
“นี่ นี่ ไม่ต้องทำเป็นนักเรียนนอกกับฉันเลย”
“โธ่ ขอกอดทักทายหน่อยก็ไม่ได้”
“ไว้ไปหลอกสาวๆคนอื่นเถอะ”
ศศิรัชนีเดินนำทั้งสองไปที่โต๊ะ
“มีเรื่องอะไรเหรอครับหญิงกลาง”
“หญิงค่อนข้างลำบากใจนะคะ แต่ทนการรบเร้าไม่ได้ เลยต้องขอนัดเดทคุณรองกับ หญิงก้อยค่ะ”
กิตติราชนรินทร์ชักสีหน้า บดินทรราชทรงพลเป็นงง
“นัดเดท”
ศศิรัชนีรับคำ “ค่ะ”
“เพื่ออะไรครับ”
เสียงเทพีเพ็ญแสงดังมาจากด้านหลัง
“เพื่อให้คุณรองอภัยในตัวหญิงน่ะซีคะ”
กิตติราชนรินทร์หันไปเห็นเทพีเพ็ญแสงสวยสคราญอยู่ข้างโต๊ะ สองหนุ่มลุกขึ้นยืนทันทีตามมารยาท กิตติราชนรินทร์มองเทพีเพ็ญแสงด้วยอาการตะลึงงันในความงาม บดินทรราชทรงพลยิ่งอึดอัด
“ผมเกรงว่า ผมไม่มีสิ่งใดที่จะให้อภัยหญิง และในช่วงเวลานี้ เวลาที่...”
“หญิงเป็นแม่หม้ายใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ เราไม่ควรพบปะกัน มันจะเสียชื่อเสียงหญิงเอง โทษ ผมขอตัว”
กิตติราชนรินทร์ออกจากคลับทันที เทพีเพ็ญแสงรีบเดินตาม
“หญิงกลาง ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะนัดหญิงก้อยมาพบพี่รอง”
“โธ่ ถ้าบอก คุณรองคงไม่มาหรอก จริงไหมคะ เฮ้อ หญิงไม่น่าทำแบบนี้เลย”
บดินทราชทรงพลถอนใจอย่างเข้าใจศศิรัชนี
เทพีเพ็ญแสงวิ่งตามกิตติราชนรินทร์มาตามทางเดินปลอดผู้คน
“คุณรอง”
เทพีเพ็ญแสงเข้ากอดหลังกิตติไว้แน่น กิตติหยุดชะงัก
“จะไม่ยกโทษให้หญิงเลยเหรอคะ”
“เทพีเพ็ญแสง ปล่อยผม”
“ไม่ ไม่ปล่อย จะปล่อยเมื่อคุณชายอภัยให้หญิง”
“บอกแล้วไงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องให้อภัย”
“หมายความว่าคุณรองไม่แยแสในตัวหญิงแล้วใช่ไหมคะ”
กิตติราชนรินทร์ค่อย ๆหันมา
“เปล่า แต่หมายถึง สิ่งที่หญิงทำ มันเป็นสิทธิ์ของหญิง ผมเป็นแค่คนอื่นที่ไม่มีอำนาจอะไรไปตัดสินหญิงได้”
“เป็นแค่คนอื่นอะไร เราคือคนรักกัน”
กิตติราชนรินทร์เบือนหน้าหนี
“หญิงรู้อยู่เต็มอกว่าหญิงทำลายความรักที่คุณมีให้หญิง แต่ขอเวลาสักหน่อยเถอะค่ะ หญิงจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง”
กิตติราชนรินทร์นิ่งไป เทพีเพ็ญแสงน้ำตาคลอเต็มตา กิตติราชนรินทร์ใจอ่อนทันที
ทั้งสองยืนคุยอยู่ในส่วนมุมสงบของโรงแรมก็เห็นน้ำพุและบรรยากาศสวยงามของสวนด้านนอก
“อะไรนะ หญิงไปรู้เรื่องพวกนี้จากไหน”
“ท่านพ่อรับสั่งกับหม่อมแม่ หญิงแอบได้ยิน เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะที่เสด็จป้าไม่ทรงปลื้มหญิง ทรงหาว่าหญิงก๋ากั่นเกินไป ไม่โปรดให้หญิงแต่งงานกับคุณรอง”
กิตติราชนรินทร์สงสัยเพราะไม่เคยได้ยินเสด็จรับสั่งเรื่องนี้เลย
“ตอนนั้นหญิงทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจ ที่หญิงอยากไปเรียนต่อเพื่อทำตัวให้สมเป็นภริยาทูตในอนาคตของคุณ เพื่อหวังว่าเด็จป้าจะทรงพระกรุณาหญิงบ้าง แต่ตอนอยู่ที่นิวยอร์ค หญิงได้ข่าวลืออีกเรื่อง”
“อะไรครับ”
“เมื่อหญิงห่างจากคุณรอง เด็จป้าทรงเห็นเป็นโอกาสอันดี เลยทรงเตรียมหญิงอื่นไว้ให้คุณรอง”
กิตติราชรินทร์อึ้ง “ไม่ใช่เรื่องจริงเลยนิ”
“หญิงตกใจมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี”
“ทำไมไม่ติดต่อผม เพราะสิ่งที่หญิงได้ยินมามันไม่ใช่เรื่องจริงเลย”
“เป็นความโง่เขลาและดื้อรั้นของหญิงเองค่ะ ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น หญิงอยู่ลำพังที่นิวยอร์คมันทั้งเหงา ทั้งเศร้า หญิงต้องการใครสักคนเพื่อพึ่งพิง หญิงเลยตัดสินใจผิดพลาดไปอย่างที่เห็น”
เทพีเพ็ญแสงน้ำตาไหล
“แล้วหญิงก็ได้บทเรียนที่อันแสนเจ็บแสบ เมื่อแต่งงานไปกับคนที่ไร้ค่าที่สุดเมื่อเทียบกับคุณชาย”
กิตติราชนรินทร์มองเทพีเพ็ญแสงอย่างหยั่งถึงก้นบึ้ง เทพีเพ็ญแสงน้ำตาอาบแก้ม
“ทั้งหมดเป็นความจริงใช่ไหม เทพีเพ็ญแสง”
“ค่ะ นี่คือความจริง โปรดยกโทษให้หญิง และมอบความรักให้หญิงเหมือนเดิมเถิดนะคะคุณชาย ไม่อย่างนั้น หญิงคงมีชีวิตต่อไปในโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เทพีเพ็ญแสงเข้ากอดกิตติราชนรินทร์แนบแน่น สะอื้นกับไหล่
“หญิงรักคุณรอง ยกโทษให้หญิงนะคะ”
กิตติราชนรินทร์ทั้งสงสารเห็นใจ เขาทั้งอยากจะเชื่อและไม่เชื่อ
เทพีเพ็ญแสงร้องไห้สะอื้นกับไหล่
กิตติราชนรินทร์เริ่มใจอ่อน เสียงเพลงจากผับแว่วกิตติราชนรินทร์สีหน้าหวั่นไหว มือของกิตติราชนรินทร์ค่อย ๆ ยกขึ้นโอบเอวแบบบางของเทพีเพ็ญแสงแล้วกอดกระชับไว้แน่น ร่างทั้งสองกอดกันนิ่งนาน
เพลง “ลมหวล” ดังขึ้น เทพีเพ็ญแสงเงยหน้าจากไหล่ของกิตติ ราชนรินทร์
“นั่นเพลงของเรานี่คะคุณรอง”
“ครับ”
“จำได้ใช่ไหมคะ วันนั้นที่หัวหิน”
“จำได้ซีครับ ไม่เคยลืม”
กิตติราชนรินทร์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้เทพีเพ็ญแสง เทพีเพ็ญแสงยิ้มเศร้าให้กิตติราชนรินทร์ เขาค่อย ๆ แย้มยิ้มรับ
นักร้องสาวสวยกำลังร้องเพลงอยู่ที่มุมเวที สปอตไลท์จับร่างนางสว่างเรืองราวนางสวรรค์
กิตติราชนรินทร์และ เทพีเพ็ญแสงกำลังเต้นสโลว์อยู่กลางฟลอร์ นักเต้นจับคู่กันสองสามคู่ เทพีเพ็ญแสงและกิตติราชนรินทร์อยู่ในโลกของความฝัน บดินทรราชพรงพลและศศิรัชนีมองทั้งคู่อย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ตกลง งานนี้ออกหัว ออกก้อยครับ”
“งานของหญิงก้อย แต่ผลงานน่าจะออกหัวนะคะ”
บดินทรราชทรงพลประชด “งั้น ชนแก้วหน่อยครับ”
“เพื่อ”
“แด่ยุทธการถ่านไฟเก่า คู่รักที่กลายเป็นคู่ร้าง และจากคู่ร้างกลับมาเป็นคู่รักกันใหม่ เชียร์ส”
“เชียร์สค่ะ”
ทั้งสองชนแก้วและดื่มพร้อมกันอย่างประชด เทพีเพ็ญแสงและกิตติราชนรินทร์ยังคลอเคลียกันแนบแน่น
วันรุ่งขึ้น ศศิรัชนีตกใจกับเรื่องที่เทพีเพ็ญแสงเล่า
“อะไรนะ เธอกุเรื่องขึ้นมาทั้งหมด”
“ค่ะ พี่กลาง หญิงอ้างถึงเสด็จว่าไม่ทรงปลื้มหญิง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย คุณรองถึงได้เชื่อไงคะ”
“แล้วเธอยังกุเรื่องว่าเด็จป้าทรงเตรียมคู่หมั้นคู่หมายให้คุณรอง ระหว่างเธอไปนิวยอร์ค เธอบังอาจมากเลยนะ”
“ช่วยไม่ได้ค่ะ นี่แหละเหตุผลที่ดีที่สุดที่ช่วยแก้ต่างให้หญิงพ้นมลทิน คุณรองให้อภัยหญิงอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ”
“ระวังเถอะ คุณรองไปสืบสาวราวเรื่องแล้วพบความจริง เขาจะไม่ให้อภัยเธอเลยในชีวิตนี้”
“ไม่มีวันค่ะ คุณรองไม่สงสัยหญิงอีกแล้ว นี่ไงคะ เดี๋ยวคุณรองจะมารับหญิงไปหัวหินด้วยกันตลอดวีคเอนด์นี้”
เทพีเพ็ญแสงเดินมาหน้ากระจกแล้วหยิบชุดใหม่สำหรับไปทะเลมาลองทาบกับตัว ศศิรัชนีมองด้วยความหมั่นไส้
“แล้วก็ระวังไว้อีกเรื่อง ไอ้เรื่องคู่หมั้นคู่หมายที่กุขึ้นมา มันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้นะ”
ศศิรัชนีออกจากห้องไป เทพีเพ็ญแสงยิ้มขัน
กิตติราชนรินทร์และเทพีเพ็ญแสงนั่งอยู่กับโขดหินและทะเลสวย กิตติราชนรินทร์ถ่ายรูปเทพีเพ็ญแสง เทพีเพ็ญแสงโพสท่าแบบบริจิตต์ บาร์โดต์
วันต่อมา กิตติราชนรินทร์และเทพีเพ็ญแสงทานอาหารร้านหรูริมทะเลงามยามเย็น
กิตติราชนรินทร์กับเทพีเพ็ญแสง นั่งรถเล่นกินลมด้วยกัน
กิตติราชนรินทร์และเทพีเพ็ญแสงดินเนอร์แสนสวยของโรงแรมที่เห็นทะเลและพระจันทร์
วันต่อมา ช่วงพักกลางวัน สาลิน จิตริณี ลลิตา บราลี เดินมาหน้าร้านอาหารหรู สาลินที่แต่งตัวเหมือนเด็กนักเรียนพูด
“ร้านโน้นไม่ไปแล้วนะคะ เดี๋ยวไปเจอคุณชายขี้เก็กเข้าอีก”
“ย่ะ ขืนไป เขาก็ไม่ให้เข้า แล้วถ้าเข้าเขาคงจับเธอเข้าคุก ฐานไปก่อคดีทำร้ายคุณชายถึงสองครั้งสองครา”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ”
“แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟังค่ะ”
“แต่ร้านนี้ท่าทางจะแพงไม่แพ้ร้านโน้นนะ”
“โถ อย่าวอรี่เลยค่ะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองก็ได้”
ลลิตายิ้มร่า สาลินส่ายหน้า
“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ แต่วันนี้ เอ้อ”
ลลิตาพูดต่อให้ “วันนี้เธอแต่งตัวกะโปโล เสื้อขาวกระโปรงน้ำเงิน เหมือนนักเรียนคอนแวนต์ไม่มีผิด”
รถคันยาวของกิตติราชนรินทร์แล่นมาจอดห่างออกไป
“ไม่เหมือนหรอก เหมือนนักเรียนโรงเรียนสอนภาษาจีนตรงสี่แยกมากกว่า”
สาลินเชิดใส่แล้วสะบัดหน้าไปอีกทางพอเห็นรถกิตติราชนรินทร์ก็ตาโต สามสาวเข้าร้านกันไปหมดแล้ว
สาลินหลบมุมแอบดูอยู่ก็เห็นกิตติราชนรินทร์และเทพีเพ็ญแสงนั่งอยู่ในรถ
จบตอนที่ 2