ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 15
ภายในห้องรับแขกเซฟเฮ้าส์ตอนนี้ บุญส่งกำลังคุยกับลูกทาง Facetime เห็นลูกกำลังจะขึ้นเวทีแล้ว แต่ตัวเองยังไปไหนไม่ได้ จ่าหน้าเศร้า
ชัชชัยอ่านเอกสารของทางการไม่รู้เรื่องก็ออกอาการเซ็ง
“โฮ่ย เบื่อ เอกสารบ้าบอคอแตกอะไรวะ” พลางหันมาหายักษ์ “เฮ้ยไอ้บึก พรุ่งนี้เช่าดีวีดีมันๆ มาให้หน่อยเดะ”
“เคเบิ้ลก็มีทำไมไม่ดูเข้าไปล่ะ”
“อยากได้หนังโป๊อ่ะ เคเบิ้ลบ้านมึงมีฉายเหรอ” ชัชชัยกวน
“ทำไมไม่เอาตัวเป็นๆ มาเลยละคุณ จะได้บำรุงบำเรอกันให้ถึงพริกถึงขิงไปเลย” บุญส่งประชด
“พูดได้น่ะ กล้าๆ ทำด้วยนะน้า ขอขาวๆ หุ่นสเลนเดอร์ เหมือนนางแบบเลยนะ หามาได้ล่ะจะไม่ลืมพระคุณเลยให้ตาย”
ชัชชัยขยับลุกไปทางบันไดจะขึ้นห้อง พอดีเจอเจ้าหน้าที่ 1 ถือชามมาม่าออกมาจากครัว ก็คว้าไปหน้าตาเฉย
“ขอบใจไอ้เตี้ย”
เจ้าหน้าที่ 1 ส่ายหัวคุมแค้น มองตามเซ็งๆ แล้วเดินกลับเข้าไปลวกชามใหม่ บ่นงุบงิบ
“ซวยจริงๆ เพิ่งลวกเสร็จ หมาคาบไปแดกซะแล้ว”
ยักษ์กับบุญส่งมองหน้ากัน แล้วเหลียวมองตามชัชชัยไปอย่างสุดเซ็ง จู่ๆ มีเสียงกริ่งจากหน้าบ้านดังขึ้น
“ใครมาวะค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้” จ่ามองไป
“เสือมาผลัดเวรมั้ง” ยักษ์ว่า
ด้านชัชชัยเดินซดบะหมี่กลับเข้าห้องมา พลางเลิกม่านมองลงไปเห็นจ่าส่งเดินไปคุยกับกฤชและยุทธที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ชัชชัยจำสองคนได้แม่น
“ระยำ ตามมาถึงนี่เลยหรือวะ”
ชัชชัยขยับปาก จะร้องเตือนจ่าส่ง แต่นึกดูดีๆ แล้วก็ไม่อยากเสี่ยง
“ไม่ทันแล้ว ตัวใครตัวมันละกันวะ”
ชัชชัยปิดม่าน และเริ่มกวาดตามองหาช่องทางหนี
บุญส่งดูใบเอกสารมี่กฤชยื่นได้ ก่อนจะมองหน้า กฤช และ ยุทธ ที่บอกว่าเป็นตำรวจกองปราบ สลับกัน ด้วยความคลางแคลงใจ
“เราได้รับอนุญาตให้มาสอบถามชัชชัยได้ ในส่วนคดีฆาตกรรมเสี่ยเจริญที่เรารับผิดชอบอยู่” กฤชบอก
เจ้าหน้าที่ 1เดินออกมาจากครัว ในขณะที่เจ้าหน้าที่ 2 เพิ่งฉี่เสร็จ จึงพากันเดินออกมาสมทบ จ่าส่งมอบเอกสารให้ เจ้าหน้าที่ 1 รับไปดู
“ผมไม่เคยได้รับเรื่องมาก่อน แล้วทำไมคุณสองคนเพิ่งมาเอาป่านนี้” เจ้าหน้าที่ 1 ว่า
“เผอิญช่วงที่ประสานงานมันขลุกขลักนิดหน่อย” ยุทธว่า
“ถ้างั้นขอผมโทร.ถามสารวัตรเมธาแล้วค่อยว่ากัน” บุญส่งบอก
“ดึกมากแล้วน่าจ่า เราขอพบชัชชัยแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น” กฤชทักท้วง
“ผมโทร.ไม่นาน”
บุญส่งควักโทรศัพท์มือถือออกมา แต่กลับถูกยุทธเอื้อมมือลอดลูกกรงประตูมาตะปบข้อมือเอาไว้
“คุณ”
ยุทธกระชากแขนจ่าส่งดึงร่างมากระแทกกับลูกกรงประตูรั้ว และชักปืนออกมา
เจ้าหน้าที่ 2 คนชักปืน แต่ไวไม่เท่ากฤชที่ยกปืนติดที่เก็บเสียง ยิงเจ้าหน้าที่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
บุญส่งตกใจก้มลงมองปืนของยุทธที่จ่ออยู่กับอกตน ยักษ์เดินถือแก้วกาแฟตามออกมาดู
“มีอะไรกันเหรอจ่า”
กฤชเงยหน้ามอง ยักษ์เห็นท่าไม่ดีจึงยกปืนเล็งใส่ บุญส่งรีบแย่งปืน
“ไอ้ยักษ์หลบไป”
ยุทธตัดสินใจลั่นไกยิงบุญส่งทิ้งทันที กระสุนทะลุแผ่นหลังจ่าออกมา ต่อหน้าต่อตายักษ์
“จ่า”
กฤชดึงปากกระบอกปืนออกจากมือจ่าส่งแล้วเล็งใส่ยักษ์ ยักษ์ตกใจรีบผลุบหลบเข้าบ้าน กระสุนซัดโดนแก้วกาแฟในมือยักษ์แตกกระจาย ร่างจ่าส่งซึ่งถูกยิงค่อยทรุดลงกับพื้น ตาเหลือกค้าง
ที่โถงรับแขกบ้านจ่าเวศ ตะวันฉายยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ และตรวจดูแฟ้มผู้ต้องหาไปเรื่อยๆ สักพักจึงลุกเดินใช้ความคิดอยู่ในห้องนั้น จู่ๆ มีลมพัดมาทางหน้าต่างจนเอกสารปลิวกระจายว่อน
ตะวันฉายเก็บเอกสารขึ้นมาวางบนโต๊ะ แต่มือดันไปโดนแก้วกาแฟหกใส่รูปจ่าบุญส่ง ตะวันฉายสังหรณ์ใจโดยประหลาด เขาคว้าโทรศัพท์มือถือกดโทร.ไปที่เซฟเฮ้าส์ ได้ยินเสียงสัญญาณรอสายดังอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคนมารับสายสักที ตะวันฉายใจคอไม่ดี
จู่ๆ โทรศัพท์ในเซฟเฮ้าส์ถูกยิงจนแตกกระจาย
ตะวันฉายสะดุ้งเพราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไป ตะวันฉายมั่นใจว่ามีเหตุร้ายแน่นอน
ไม่นานนักเสือเดินสวมเสื้อกระวีกระวาดลงมาขึ้นรถและสตาร์ตออกไป โจมองตามลงมาจากระเบียงด้วยความเป็นห่วง
ตะวันฉายส่งเสียงมาทางโทรศัพท์มือถือ “เสือ ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น รีบไปเจอกับผมที่เซฟเฮ้าส์ เรามีปัญหาแล้ว”
“ครับหมวด”
“เสือ ระวังตัวด้วยนะ”
ยักษ์พยายามยิงตอบโต้ แต่ก็ถูกกฤชกับยุทธระดมยิงจนโผล่หัวไม่ขึ้น จ่าส่งที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ค่อยๆ ชักปืนของตนออกมา รวบรวมลมหายใจหายเฮือกสุดท้าย พลิกตัวกลับไปยิงใส่กฤชและยุทธ
“อย่าอยู่เลยมึง”
กฤชและยุทธถูกจ่าส่งยิงจนต้องหลบฉาก ยักษ์ถือโอกาสนั้นลากตัวจ่าส่งกลับเข้ามาในบ้าน กฤชกระชากเปิดประตูรั้วออกและบุกตามเข้าไปพร้อมยุทธ
ยักษ์ลากจ่าเข้ามาหลบในครัว จับให้บุญส่งนั่งพิงฝาเอาไว้ แล้วรีบสับคัทเอาต์ดับไฟ ทั้งบ้านไฟดับมืดลง
ยุทธกับกฤชต้องหยุดดูเชิงไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าไปต่อ
ยักษ์หันมาดูอาการบุญส่ง
“จ่า เป็นยังไงบ้างจ่า”
บุญส่งพูดตะกุกตะกัก เลือดทะลักออกจากแผลไม่หยุด
“ไม่ต้องสนใจข้า คุ้มครองพยานเร็ว”
ยักษ์พยักหน้ารับ แล้วหันไปยิงสกัดกฤชกับยุทธไม่ให้บุกเข้าบ้าน จ่าบุญส่งรวบเรี่ยวแรงเท่าที่เหลือล้วงกระสุนออกมาบรรจุใส่ลูกโม่มือสั่นกึกๆ ลมหายใจแผ่วลงไปเต็มที
ชัชชัยเงี่ยหูฟังเสียงปืนอยู่ภายในห้องอย่างคนประสาทเสีย ก่อนจะมองหาทางหนีทีไล่ จนสายตาไปสะดุดที่หน้าต่าง และเก้าอี้ในห้อง
พริบตานั้นเองเก้าอี้ถูกเหวี่ยงฟาดจนกระจกหน้าต่างแตกกระจาย ชัชชัยยกเก้าอี้ฟาดเหล็กดัดลูกกรงอีกหลายครั้ง จนลูกกรงหลุดไปทั้งแผง จากนั้นจึงปีนออกไป
กฤชกับยุทธพยายามยิงต่อสู้กับยักษ์ และบุญส่ง กฤชกระสุนหมดหันไปบรรจุลูกใหม่ แต่สายตาเหลือบไปเห็นชัชชัยห้อยตัวลงมาจากระเบียง
“มันอยู่นั่น”
กฤชร้องบอก พร้อมกับยิงใส่ชัชชัยเป็นชุด ชัชชัยกระโดดลงจากระเบียง วิ่งหนีตายไปสุดชีวิต
พอชัชชัยวิ่งออกมา ก็เห็นรถที่จอดอยู่คันที่กฤชกับยุทธขับมา รถคันนั้นเปิดไฟสูงส่องมาจนชัชชัยต้องยกมือป้องหน้ามองไป แล้วเห็นทัศน์นั่งอยู่ในรถ ยิ้มมาให้ตนอย่างเหี้ยมเกรียม
“ไอ้ทัศน์”
ชัชชัยรีบหันหลังโกยอ้าวหนีไปอีกทาง
ทัศน์ออกรถมารับกฤชกับยุทธ แล้วขับตามล่าชัชชัยไปทันที
สามคนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เคี้ยงหันไปบอกจ๊อด
“ไอ้จ๊อด อ้อมไปดักอีกทาง”
“ได้เลยเฮีย”
จ๊อดถอยรถไปอย่างรวดเร็ว
ด้านยักษ์ชะเง้อมองดูเหตุการณ์หน้าบ้านอย่างโล่งอก
“มันไปกันหมดแล้วจ่า”
มันเงียบจนยักษ์ผิดสังเกต เขาค่อยๆ ก้มลงมอง จนเห็นว่าบริเวณที่ตนนั่งอยู่มีเลือดนองเป็นวงกว้าง ยักษ์ช็อก ค่อยๆ หันไปดู
พบว่าบุญส่งนั่งตาค้าง มือยังคาอยู่กับปืนที่บรรจุกระสุนไม่เสร็จ ตายเมื่อไหร่ไม่รู้
ยักษ์แหกปากร้องลั่นบ้าน
“จ่า….”
ฝ่ายชัชชัยวิ่งหนีตายมาในซอยเล็กๆ ละแวกเซฟเฮ้าส์ โดยมีรถทัศน์ไล่หลังมาติดๆ ชัชชัยหันรีหันขวาง ก่อนจะตัดสินใจมุดลอดรั้ว วิ่งเข้าทางลัดหนีไปอีกซอย ทัศน์หยุดรถมองตามชัชชัยไป กฤชกับยุทธขยับจะลงจากรถ
“ไม่ต้อง รออยู่นี่ เดี๋ยวฉันจัดการมันเอง”
ทัศน์ลงจากรถเดินลอดรั้วตามชัชชัยไป
ชัชชัยโกยอ้าวเข้ามาอีกซอยละแวกเซฟเฮ้าส์ มีทัศน์สืบเท้าเดินตามมาอย่างใจเย็น
พอชัชชัยเลี้ยวมาอีกทางหนึ่ง ก็ต้องเบรคฝีเท้าหน้าตาตื่น เมื่อเห็นเคี้ยงยืนไอโขลกๆ ดักอยู่ข้างหน้า
“ไม่เจอกันนานเลยนะคุณชัช”
ชัชชัยตกใจจะหันหนีไปอีกทาง แต่ก็เจอบูรพายืนดักอยู่
“ไอ้บูร…”
บูรพาหวดด้ามปืนฟาดเข้าเต็มหน้าชัชชัย จนมันสลบเหมือด เขารับไว้ทันก่อนจะส่งต่อให้จ๊อด
“เฮียเคี้ยงไปกันเถอะ”
เคี้ยงยังยืนนิ่ง ทอดสายตามองไปยังทางเดินมืดๆ ที่ชัชชัยวิ่งออกมาเมื่อครู่
“พวกเอ็งไปกันก่อน”
บูรพามองตามสายตาเคี้ยงไป และรู้สึกว่ามีบางอย่างแฝงตัวอยู่ในความมืดนั้น บูรพาหันไปบอกกับจ๊อด
“เดี๋ยวข้ากับเฮียเคี้ยงจะตามไป”
จ๊อดพยักหน้ารีบลากชัชชัยไปขึ้นรถ
บูรพาเดินมาสมทบกับเคี้ยง ทั้งสองมองจ้องเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า ชักปืนออกมาอย่างช้าๆ ในสภาพเตรียมพร้อม
ในความมืดอันเงียบสงัด ฉับพลันนั้นเองทัศน์ก็ปรากฏกายพรวดออกมาจากความมืดนั้น พร้อมปืนในมือที่เปิดฉากกระหน่ำยิงอย่างดุเดือด
ทั้งเคี้ยงและบูรพายิงตอบโต้ แล้วพลิกตัวหลบกันคนละด้าน ทั้งสองฝ่ายยิงโต้กันสักพัก แต่เคี้ยงกับบูรพาเป็นฝ่ายถูกทัศน์กระหน่ำจนต้องหดหน้าหลบเข้าไป
บูรพาค่อยๆ โผล่หน้ามาดูอีกครั้ง ปรากฏว่าพอควันปืนจาง ทัศน์ก็หายไปแล้ว แต่ยังพอได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนเดินหนีดังสะท้อนอยู่แว่วๆ
“มันหายไปไหน”
ทัศน์เดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
เคี้ยงมองหน้ากันกับบูรพา ไม่รู้ว่าทัศน์หลบอยู่ตรงไหน แต่ยังได้ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เฮียเคี้ยง”
“ระวัง มันยังอยู่แถวนี้”
บูรพาและเคี้ยงต่างเหลียวมองไปรอบตัว ระวังทุกฝีก้าวว่าทัศน์อาจจะจู่โจมมาจากทางใดทางหนึ่ง
ทัศน์เดินเลี้ยวไปอีกทาง พลางขยับกระชากลูกเลื่อนปืน
บูรพาสอดมองหาทัศน์แทบทุกจุด ในขณะที่เคี้ยงครุ่นคิด และนึกอะไรขึ้นได้รีบยกปืนเล็งไปที่บูรพาบูรพาตกใจ
“หมอบลง”
บูรพาย่อตัวหลบ และผันตัวบ่ายกระบอกปืนไปทางด้านหลัง เห็นเคี้ยงเล็งไปที่ด้านหลังบูรพาซึ่งทัศน์ค่อยเดินอ้อมมา กระหน่ำยิงใส่ทั้งสองคนอีกครั้ง
เคี้ยงและบูรพายิงตอบโต้อย่างดุเดือด เคี้ยงถูกยิงที่ต้นขาล้มลง
“เฮียเคี้ยง”
บูรพาสู้ตายหันไปยิงกระหน่ำใส่ทัศน์ จนทัศน์ต้องหลบพัลวัน บูรพาถือโอกาสนั้นลากเคี้ยงหนีไป
ฝ่ายทางกฤชกับยุทธถือปืนเข้ามาสมทบกับทัศน์ ทั้งคู่ชะงักเมื่อเห็นทัศน์เดินสวนกลับออกมา
“คุณทัศน์ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ทัศน์ส่ายหน้า ก่อนจะมองตามทางที่เคี้ยงกับบูรพาหนีไปด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“คราวหน้าพวกมึงไม่โชคดีอย่างนี้แน่ ไอ้เคี้ยง ไอ้บูรพา”
หากมองดูชัดๆ จะพบว่ามือของทัศน์มีเลือดหยาดไหลออกมาจากชายเสื้อ และหยดลงกับพื้นเป็นทางยาว
จ๊อดเพิ่งยัดชัชชัยลงท้ายรถเสร็จ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินมาจากปากซอยจึงชักปืนหันไปเล็งใส่ มือไม้สั่น ปรากฏว่าเป็นบูรพาที่ประคองเคี้ยงหนีตายออกมา
“เฮียเคี้ยง”
“รีบไปจากที่นี่ เร็ว”
บูรพาประคองเคี้ยงขึ้นรถ จ๊อดออกรถไปอย่างรวดเร็ว
เสือขับรถมาตามถนนใหญ่ แล้วเลี้ยวเข้าสู่เซฟเฮ้าส์ สวนกับรถของบูรพาที่แล่นออกมา ล้อรถบูรพาแล่นทับแอ่งน้ำบนถนน โคลนกระเด็นไปเปื้อนรถเสือ กระเซ็นไปถึงหน้าต่าง
“เฮ้ย ขับรถภาษาอะไรวะ”
เสืออดไม่ได้ที่จะหันมอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบูรพาง่วนอยู่กับการปฐมพยาบาลแผลให้เคี้ยงโดยไม่ทันสังเกตตน
“บูรพา”
ฟากตะวันฉายขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะมาตามทางลัด และจอดลงแถวเซฟเฮ้าส์
พอเข้ามาในเซฟเฮ้าส์ ตะวันฉายเห็นศพของเจ้าหน้าที่ 2 คน จึงยกปืนกราดเล็งไปในบ้านอย่างระแวดระวัง แหละได้ยินเสียงเหมือนคนสะอึกสะอื้น ร้องไห้อยู่ในครัว ตะวันฉายค่อยๆ ย่องไปที่ครัว
ตะวันฉายเล็งปืนเข้าไป ก่อนจะชะงัก ค่อยๆ ลดปืนลง เมื่อเห็นยักษ์กำลังนั่งร้องไห้มองศพจ่าบุญส่งอย่างอาลัยอาวรณ์ ยักษ์ร้องบอกผู้หมวด
“ผู้หมวด จ่าส่ง…จ่าส่ง…”
ตะวันฉายค่อยๆ ย่อตัวลงนั่ง และเอื้อมมือมาลูบปิดเปลือกตาของจ่าส่ง ยักษ์แผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ชนิดไม่อายใคร ขณะที่ตะวันฉายมองร่างบุญส่งอย่างเจ็บแค้น
“จ่า พูดกับผมสิ จ่า”
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 15 (ต่อ)
เสือขับรถมาจอดหน้าเซฟเฮ้าส์ ครั้นพอลงจากรถก็เห็นตะวันฉายประคองยักษ์เดินออกมาจากด้านใน
“ไอ้ชัชโดนชิงตัวไปเหรอหมวด”
ตะวันฉายเงียบไปสักครู่ จึงสั่งการออกไป “แจ้งข่าวไป มีตำรวจถูกยิง”
เสืออึ้ง ขยับจะเข้าไปในเซฟเฮ้าส์ แต่ถูกตะวันฉายกั้นแขนห้ามไว้ไม่อยากให้เสือเห็นภาพจ่าบุญส่ง และส่ายหน้าเตือนเสือว่าเขาไม่ควรเห็นมัน
“ไม่ใช่ ไม่ใช่จ่าส่งใช่มั้ย”
ตะวันฉายพูดไม่ออก เสือคาดคั้น
“ไม่ใช่จ่าส่งใช่มั้ย”
ตะวันฉายกลั้นน้ำตา เสือช็อคไป ก่อนจะหันไปคว้าคอเสื้อยักษ์มาถาม
“ไอ้ยักษ์ มึงดูแลภาษาอะไรของมึง ไอ้สันดานมึงปล่อยให้จ่าตายได้ยังไง ไอ้ยักษ์ ไอ้โง่ไอ้ควาย มึงปล่อยให้จ่าถูกยิงยังไง”
เสือทั้งตบทั้งเตะยักษ์ที่เอาแต่ร้องไห้ ตะวันฉายคอยกันเสือออก
“เสืออย่า ยักษ์เค้าทำหน้าที่ของเขาสุดความสามารถแล้ว ผมต่างหากที่เป็นคนผิด ผมประมาทพวกมันเอง”
เสือมองหน้าตะวันฉายอย่างคนหมดแรง นายดาบเลือดเดือดทรุดลงนั่งร้องไห้กับพื้นอีกคน
“จ่า…จ่าส่ง”
ทั้งเสือ ยักษ์ และตะวันฉายต่างอยู่ในอาการเศร้าโศก ตะวันฉายแค้นถึงขีดสุด กำปืนในมือแน่น
วันต่อมา บรรยากาศที่กองปราบเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาลัยอวรณ์ รูปถ่ายจ่าบุญส่งตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน วิทยุเปิดเพลงโปรดของจ่าไว้เป็นการไว้อาลัย บนโต๊ะมีช่อดอกไม้จากเพื่อนๆ ตำรวจวางอยู่
ยักษ์นั่งมองโต๊ะทำงานของจ่าอย่างเศร้าสร้อยสลดหดหู่ ในขณะที่เสือกำลังชงกาแฟ มีตำรวจในกองปราบเดินถือช่อดอกไม้มาวางที่โต๊ะบุญส่งไม่ขาดสาย
“เสียใจด้วยนะ” เพื่อนตำรวจบอก
ยักษ์พยักหน้าเป็นเชิงขอบใจ เสือรอจนเพื่อนตำรวจเดินออกไปแล้ว เขาจึงเดินเอากาแฟรสโปรดมาเสิร์ฟที่โต๊ะจ่า ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบเก้าอี้ที่จ่านั่งเบาๆ เก้าอี้ตัวนั้นทั้งเก่าแถมมีรอยขาดที่พนักพิง
“ไม่ต้องห่วงนะจ่า ความแค้นของจ่าผมจะรับผิดชอบเอง”
ยักษ์มองเสือ เห็นสีหน้าแววตาเต็มไปด้วความอาฆาตแค้น
ตะวันฉายนั่งเก็บตัวเงียบอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะทำงาน สักครู่เสือจึงเดินเข้ามาหา ถามด้วยหน้าตาดุดัน
“หมวดครับ ผมว่ามันถึงเวลาที่หมวดจะ ต้องตอบคำถามของผม”
ตะวันฉายเงยหน้ามองเสือ
“หมวดยังเชื่อเรื่องความถูกต้องอยู่รึเปล่าครับ ยังศรัทธาในความชอบธรรมอยู่รึเปล่า”
ตะวันฉายมองฉงน “คุณจะบอกอะไรผมหรือเสือ”
“เมื่อวานนี้ผมเห็นน้องผู้หมวดในที่เกิดเหตุ”
ตะวันฉายนิ่งอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าให้กับเสือ ตอบออกมาอย่างหนักแน่น
“ผมเข้าใจแล้ว”
ฝ่ายบูรพาเดินมาตามทางเดินบรรยากาศค่อนข้างเปลี่ยวภายในโซนไนท์คลับ สีหน้าเครียดเคร่ง ได้ยินเสียงชัชชัยแผดร้องด้วยความเจ็บปวดแว่วมาจากห้องลับห้องหนึ่งทางหลังผับ
เคี้ยงยื่นหน้าเข้ามามองชัชชัยที่โดนแขวนอยู่กับขื่อเพดาน สภาพชัชชัยดูไม่จืดสวมแค่เสื้อยืดเปียกปอนกับกางเกงตัวเดิม จ๊อดกำลังจ่อสายไฟเข้ากับแบตเตอรี่รถยนต์
“จะบอกได้รึยังว่าคุณชัช คุณรู้อะไรเกี่ยวกับท่านรองบารมี ทำไมไอ้พวกนั้นมันถึงต้องรีบร้อนออกมาตามล่าคุณด้วย”
ชัชชัยมองเคี้ยงแล้วถุยน้ำลายใส่ เคี้ยงหันไปพยักหน้าให้จ๊อดจัดการอีก จ๊อดเอาปากคีบจะช็อตไฟซ้ำ แต่ ชัชชัยเอาแต่แหกปากร้อง โดยไม่ยอมพูดใดๆ
“ช็อตอีก”
ได้ยินแต่เสียงเคี้ยงพูดอยู่แค่สองประโยค คือ “จะยอมบอกรึยัง” กับ “ช็อตอีก”
และเห็นร่างชัชชัยดิ้นกระแด่วๆ ข้อมือที่โดนแขวนอยู่บาดกับเชือกจนเลือดไหลโกรกท่วมแขน เคี้ยงเองก็เริ่มเหนื่อยล้า ไอออกมาอีกหลายโขลก แต่ยังคงสั่งให้ดำเนินการต่อไป
“ช็อตมันอีก”
จ๊อดออกอาการแหยงๆ สงสารชัชชัย พอดีบูรพาเข้ามาเสียก่อน
“จ๊อด หยุดก่อน”
เคี้ยงหันไป เห็นบูรพาเข้ามาดูสภาพชัชชัยอย่างตื่นตะลึง เพราะทั้งตัวมีแต่รอยฟกช้ำแดงเป็นจ้ำๆ จากการโดนช็อต
ชัชชัยมองบูรพา แสยะยิ้มให้อย่างเป็นต่อ
บูรพาหันมาทางเคี้ยง “นี่เฮียกำลังทำอะไรอยู่ เฮียจะฆ่ามันหรือสอบสวนมันกันแน่”
“เรื่องนี้เอ็งอย่าเกี่ยวดีกว่าบูรพา ความเป็นความตายของเราขึ้นอยู่กับสิ่งที่มันรู้” เคี้ยงเสียงเข้ม
“แต่ชัชชัยมันทนไม่ไหวแล้ว เฮียไม่เห็นเหรอ เฮียกับไอ้จ๊อดเล่นงานมันมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ลุงกำลังจะฆ่ามัน”
“เอ็งแคร์มันหรือไง”
ชัชชัยเหลือบตามองบูรพา รอฟัง
“เค้าเป็นหลานของป๋า”
“มันฆ่าป๋าของเอ็ง มันเป็นหมา แค่หมาตัวนึง”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฮียไม่คิดว่ามันโหดไปหน่อยเหรอ”
“โหด ถึงตอนนี้เอ็งมาบอกว่าข้าโหดงั้นเหรอ ข้าเคยบอกเอ็งไปแล้ว เอ็งจำได้มั้ย ที่ข้ามีชีวิตรอดมาจนป่านนี้เพราะอะไร เพราะคนเป็นนักเลงมันต้องโหด โหดกับความรู้สึกของตัวเอง โหดกับชีวิตของคนอื่น” เคี้ยงหันไปสั่งจ๊อด “ไอ้จ๊อดช็อตมันอีก”
“ไอ้จ๊อดอย่า” บูรพาเสียงดัง
จ๊อดทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองเคี้ยงและบูรพาเผชิญหน้ากัน
“เฮียเคี้ยงที่ผ่านมาผมยอมตามคำแนะนำของเฮียมาตลอดแต่คราวนี้ผมขอร้อง ถ้าเฮียยังเห็นผมเป็นหัวหน้า ก็เลิกสอบปากคำชัชชัยแบบนี้อีก ถ้าเค้าจะสารภาพก็ให้เค้าสารภาพออกมาเอง”
เคี้ยงขัดเคืองใจแต่ทำอะไรไม่ได้ สะบัดหน้าเดินจากไป บูรพาหันไปบอกจ๊อด
“ปล่อยมันลงมา”
ชัชชัยมองบูรพาอย่างประลาดใจ
เวลาผ่านไป ชัชชัยถูกปล่อยให้พักอยู่บนเก้าอี้ แต่ยังถูกมัดมืออยู่ ชัชชัยมองบูรพาที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามันอย่างประหลาดใจ
“มึงช่วยกูทำไม”
“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
ชัชชัยเยาะ “กูเคยทำร้ายมึง เคยเกือบจะฆ่าแฟนมึง อย่างนี้จะให้กูเชื่อว่ามึงสงสารกูงั้นเหรอ”
“ใช่ คุณเคยทำร้ายผม เคยทำร้ายคนที่ผมรักทั้งที่เราสองคนไม่มีทางสู้ แม้แต่กับป๋าที่เลี้ยงคุณมากับมือ ก็ถูกฆ่าเหมือนจนตรอกบอกตามตรงคุณชัช ผมทั้งเกลียด ทั้งสมเพชความเลวของคุณ และนั่นล่ะคือเหตุผลที่ผมห้ามเฮียเคี้ยง”
ชัชชัยอึ้ง
“ผมไม่อยากเห็นเฮียเคี้ยงเป็นนักเลงกระจอกๆ เหมือนคุณ”
ชัชชัยนึกละอายใจไม่น้อย บูรพามองสมเพชชัชชัยอีกชั่วขณะ แล้วจึงเดินจากไป
เย็นมากแล้ว ธิชาชะเง้อคอมองไปยังถนนหน้าตึกสตูดิโอ รอการมาถึงของบูรพาอยากใจจดใจจ่อ ปูที่ทำงานอยู่เห็นอาการของเพื่อนก็รู้ทันทีว่ากำลังรอใคร
“นัดกันไปไหนอีกล่ะ”
“ทานข้าวน่ะ ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวก็คงมา วิ่งหลบตำรวจอยู่มั้ง” ปูแซวทีเล่นทีจริง
ธิชาหันไปมองดุ ปูทำไม่รู้ไม่ชี้ จนสายตาเหลือบไปเห็นรถบูรพาแล่นมาจอดหน้าตึก
“อ้าวนั่นไงมาแล้ว”
ธิชาหันไปมองยิ้มกว้าง ปูเบ้หน้าหมั่นไส้ท่าทีน่าขัน
ธิชาออกมารอรับบูรพาหน้าทางเข้าสตูดิโอ บูรพาลงรถมาด้วยรอยยิ้ม
จู่ๆ มีรถแล่นมาจอดอย่างเร็วและแรง เมื่อสองคนหันไปก็เห็นตะวันฉาย เสือ และยักษ์ ลงจากรถกรูกันเข้ามาที่บูรพา ซึ่งไม่ทันตั้งตัว เขาถูกเสือผลักเข้าชิดกำแพงตึก ยักษ์จัดการสวมกุญแจมือ บูรพาฮึดฮัด แต่สู้แรงยักษ์ไม่ได้
ธิชาตกใจมาก หันมาถามตะวันฉายเสียงขุ่น “ผู้หมวด นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
ตะวันฉายแสดงหมายจับกุมตัว “คุณบูรพา ผมขอควบคุมตัวคุณในข้อหาฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และลักพาตัวพยานสำคัญในคดีเสี่ยเจริญ เชิญไปให้ปากคำกับเราที่กองปราบ”
ธิชาตะลึงตะไลมองบูรพาซึ่งได้แต่นิ่งเงียบ
พอตะวันฉายจะคุมตัวบูรพาขึ้นรถ ธิชารีบปราดมาขวาง
“ผู้หมวดคะ”
“คุณธิชา ถ้าคุณมีคำให้การอะไรล่ะก็ขอเชิญที่กองปราบไม่ใช่ที่นี่ ไม่งั้นผมจะถือว่าคุณขัดขวางการปฏิบัติงาน”
ธิชาตะลึงกับท่าทีแข็งกร้าวจริงจังของตะวันฉาย บูรพาเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรธิชา เค้าทำอะไรผมไม่ได้หรอก คุณรอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถอะ”
ตะวันฉายคุมตัวบูรพาขึ้นรถไป ธิชาได้แต่มองตามด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง
รถของเสือแล่นออกไป ยักษ์ขับรถของบูรพาตามไป ปูรีบออกมาดูเหตุการณ์
“ตกลงมันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย พี่น้องเค้าเอาจริงกันแล้วเหรอธิชา”
ธิชาไม่ตอบ ได้มองตามไปด้วยความเป็นห่วง
ค่ำคืนเดียวกันนั้น รถทนายแล่นมาจอดในอาณาเขตบ้านเสี่ยเจริญ ทนายหิ้วกระเป๋าเอกสารเดินเข้าบ้านไปอย่างรีบเร่ง
ถัดมา ทนายนั่งคุยอยู่กับเคี้ยงและจ๊อดในห้องรับแขก
“ผมลองโทร.ไปติดต่อดูแล้วครับ ทางตำรวจเห็นทีจะไม่ยอมให้ประกันตัวคุณบูรพาง่ายๆ”
“ต้องยื่นหลักทรัพย์ซักเท่าไหร่”
“ปัญหาไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ ผมคิดว่าท่าทางเค้าจงใจจะไม่ให้ประกันตัวเลยมากกว่า”
“แล้วตกลงคืนนี้ไอ้บูรพาต้องนอนห้องขังหรือไง” จ๊อดกังวล
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังพอมีทาง” ทนายนิ่งคิด “ลูกพี่ของผม…เอ่อ เจ้าของสำนักงานที่ผมทำงานอยู่ เค้าเคยทำงานให้เสี่ยเจริญมาก่อน เรื่องวิ่งเต้นอะไรพวกนี้เค้าจะถนัดกว่าผมมาก แถมยังรู้จักกับผู้ใหญ่ข้างในอยู่หลายคน บางทีผมอาจจะขอให้เค้าลองช่วยดูอีกแรง”
เคี้ยงพยักหน้ารับรู้
บูรพาถูกตะวันฉายและเสือสอบปากคำมาตั้งนานแล้ว บูรพายืนกรานหนักแน่นคำเดิม และปฏิเสธทุกข้อหา
“ผมบอกแล้วว่าคืนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“แล้วคุณอยู่ที่ไหน” เสือซัก
“ที่บ้าน”
“ทำอะไร”
“เล่นไพ่”
“มีใครร่วมวงบ้าง”
บูรพาบอกท่าทางกวนตีนสุดขีด “คนเดียว”
เสือฉุนขาด บูรพาหันมามองตะวันฉายเห็นเขายังกอดอกยืนนิ่ง
“คิดว่าผมปัญญาอ่อนหรือไง”
“ผมดูดวงไพ่ป๊อก” บูรพามองตะวันฉายเขม็ง “ผิดกฏหมายรึเปล่า คุณตำรวจ”
“เหรอ แล้วไพ่มันบอกแกรึเปล่าว่าวันนี้แกกำลังดวงจู๋”
ตะวันฉายเดินมาใกล้บูรพา และพูดเสียงเบาๆ เป็นการส่วนตัว
“ทางตำรวจตรวจดูรถของแกแล้ว บังเอิญโคลนที่ติดล้อรถแกอยู่มันมาจากที่เกิดเหตุ แล้วบังเอิญเหลือเกิน ที่เกิดเหตุก็ดัน มีรอยล้อรถของแกอยู่ แกจะแก้ตัวว่ายังไง”
บูรพาอึ้งไป แต่ยังคงรักษาฟอร์ม
“ต่อให้แกแกล้งโง่เก่งกว่านี้ แต่แกก็ควรจะรู้เอาไว้แกกำลังจะจนตรอกแล้ว”
“ไม่มีชัชชัย แกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้” บูรพาเย้ย
“แต่ยังมีคนของแกอีกเป็นสิบ ที่พร้อมจะเป็นพยานแทนชัชชัยเพื่อเอาตัวรอด เข้าใจแล้วรึยัง ตอนนี้ไม่มีใครสวามิภักดิ์กับแกอีกแล้ว”
“ฝันไปเหอะ พรรคพวกของฉันไม่มีวันหักหลังฉันหรอก”
“ตามใจแก แต่ฉันบอกได้เลยว่า นี่เป็นยกสุดท้ายของเราแล้ว”
ตะวันฉายพยักหน้าให้เสือเป็นเชิงสั่งการ เสือไถแฟ้มเลื่อนมาตรงหน้าบูรพา ตะวันฉายยื่นปากกาให้
“เซ็นซะ คืนนี้ฉันจะกักตัวแกไว้ที่นี่”
บูรพาใจเสีย เมื่อรู้ว่าจะได้นอนตะรางเป็นครั้งที่สอง
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 15 (ต่อ)
ตะวันฉายเดินนำเสือที่คุมตัวบูรพาออกมาเพื่อนำตัวไปฝากขัง เสือสบโอกาสจึงแอบกระซิบกวนประสาทบูรพา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
บูรพามองเสือ แต่ยังเดินต่อไป
“เข้าคุกรอบสองนี่คงไม่ตื่นเต้นเหมือนรอบแรกหรอกแต่ฉันรับรองว่ารอบนี้ของแกพิเศษกว่ารอบไหนๆ ทารุณ และยาวนานเป็นพิเศษ เอาจนแกลืมวันที่ไปเลย”
บูรพาไม่ปริปากอะไร พอดีกับที่ยักษ์เข้ามารายงาน
“หมวดครับ มีคนมายื่นประกันตัวบูรพา”
“ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามประกัน”
ยักษ์ยื่นเอกสารให้ผู้หมวดดู ตะวันฉายถึงกับอึ้งไป
“สารวัตรเมธาเซ็นรับทราบไปแล้วครับ”
“ใครเป็นคนมาขอประกัน”
ยักษ์ชี้ไปยังทางเดิน ตะวันฉายชะเง้อมอง บูรพามองตามไปด้วย เห็นทนายคุ้นตาคนหนึ่งกำลังรออยู่และหันมาช้าๆ
ตะวันฉายตะลึง ไม่ต่างจากบูรพาที่ตะลึงตะไลอยู่เช่นกัน
สองคนจำได้คาตาว่า เป็น ทนายอากร คนที่มาประกันตัวฉัตร และว่าความในศาลยุอัยการให้ส่งบูรพาเข้าคุก
เสือกับยักษ์ประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีตะลึงงันกันไปทั้งคู่ ทนายอากรมองสองพี่น้องอย่างคุ้นตา ก่อนจะจำได้ ค่อยๆ ยิ้มชั่วออกมา พลางเดินมาดูให้ชัดๆ ขาข้างหนึ่งของทนายอากรเป๋ ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดิน
รถทนายอากรแล่นมาตามถนนสายเปลี่ยว บูรพานั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหลังเพียงลำพัง สายตาจับจ้องไปยังทนายอากรที่นั่งอยู่ข้างๆ ทนายลูกน้องซึ่งทำหน้าที่คนขับ
ทนายอากรเหลือบมองบูรพาจากทางกระจกหน้า
“อยากจะพูดอะไรกับผมงั้นเหรอ คุณบูรพา”
บูรพาสั่งทนายลูกน้องเสียงเข้ม “จอดรถ”
ทนายงง “อะไรกันครับคุณบูรพา”
บูรพาชักปืนออกมาจ่อหัวทนายทันควัน ทนายตกใจรีบหักรถจอดเข้าข้างทางทันที ฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ
บูรพาก้าวลงมา ตรงไปเปิดประตูรถ และกระชากร่างทนายอากรออกมาเหวี่ยงร่างไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ทนายลูกน้องรีบลงมาห้าม
“คุณบูรพา”
บูรพายกปืนขู่ “ถอยไป”
ทนายลูกน้องได้แต่ยืนเงียบ บูรพาหันมาเล็งปืนใส่อากร ซึ่งไม่สะทกสะท้านสักนิด
“จะยิงคนพิการงั้นเหรอ”
“ฉันจะยิงไอ้ทนายชาติชั่ว ที่มันทำลายชีวิตของฉันต่างหาก”
“ทนายชาติชั่ว เรียกซะเต็มยศเชียวนะ”
อากรคว้าไม่เท้า ยันกายขยับยืนอย่างลำบาก แต่พอจะยืนได้ก็ถูกบูรพาเตะตัดขาข้างที่เป๋จนล้มลงไปอีก
“ตอบแทนแบบนี้ไม่ค่อยสวยหรอกนะคุณ ผมเป็นคนประกัน ตัวคุณออกมานะ”
“ขาแกไปทำอะไรมา”
อากรบอกอย่างไม่ยี่หระ “ก็ทำแบบเดิม แต่ญาติของผู้เสียหายเค้าไม่ค่อยพอใจก็เลย…”
บูรพาสวนออกมา “สมควรแล้ว ความจริงเค้าน่าจะยิงหัวแกด้วยซ้ำ”
“ก็ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ พวกมือสมัครเล่นน่ะยิงหัวโดนขา ยิงขาโดนหัว แต่ท่าทางคุณคงไม่ใช่มือสมัครเล่นหรอกจริงมั้ย” อากรพูดจากวนประสาทตามประสา
“ฉันไม่พลาดแน่ ไม่พลาดโอกาสที่จะเก็บไอ้บัดซบอย่างแก”
อากรยิ้มเยาะ “ก็ดี อย่าลืมยิงตัวเองซะอีกคนล่ะ”
บูรพาชะงัก เหลียวมองหน้าอากรด้วยความประหลาดใจ
“คุณไม่ได้ดีไปกว่าผมหรอกคุณบูรพา ก็ในเมื่อเราก็ทำงาน ให้เจ้านายคนเดียวกัน”
“แกว่าอะไรนะ”
“รู้มั้ย ผมไม่ได้ยิ้มขำที่เห็นคุณอยู่บนโรงพักนั่น แต่ผมขำที่รู้ว่าคุณรับช่วงตำแหน่งต่อจากเสี่ยเจริญ” ทนายอาการเน้นคำ “เจ้านายของไอ้ฉัตร”
“แกพูดเรื่องอะไร”
“คุณคิดว่าใครเป็นคนจ้างผมให้ประกันตัวไอ้ฉัตร แล้วใครเป็นคนให้ผมยัดคุณเข้าตาราง ไอ้ฉัตรมีเส้น แล้วใครล่ะที่เป็นเส้นของมัน” อาการเน้นคำอีกที “ถ้าไม่ใช่เสี่ยเจริญ”
“ไม่จริง แกโกหก...แกโกหก”
“ผมพูดความจริง คุณบูรพา คุณกำลังทำงานให้กับคนที่ฆ่าแม่ของคุณ ทำร้ายพ่อของคุณ คนที่ส่งคุณเข้าตะราง” อาการยิ้มหยัน “เอาละทีนี้ ลองบอกผมอีกครั้งซิ ใครกันแน่ที่ชาติชั่ว”
บูรพาสุดจะรับได้ เขาแผดร้องเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น พร้อมกับกระหน่ำยิงใส่พื้นรอบๆ ตัวอากร จนดินเอย หญ้าและเศษหินกระจุยกระจาย เหมือนจงใจยิงขู่มากกว่าจะฆ่าจริงๆ ทนายลูกน้องตกใจหาที่หลบ
บูรพายิงจนกระสุนหมด แล้วปาปืนทิ้ง ก่อนจะขึ้นรถขับออกไปเลย ทิ้งอากรกับทนายลูกน้องไว้ที่นั่น
ธิชานั่งรอฟังข่าวบูรพาอยู่ตรงโถงรับแขกชั้นล่างด้วยความกระวนกระวาย สักครู่ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น ธิชารีบเดินไปเปิดประตู และต้องแปลกใจเมื่อเจอบูรพายืนอยู่สีหน้าซึมเศร้าอยู่ตรงหน้า
ถัดมาบูรพานั่งรออยู่ที่โซฟา จนธิชาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้
“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ”
“ผมไม่แน่ใจ”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ”
บูรพาอยากจะเล่าให้ธิชาฟัง แต่พอจะพูดก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความทุกข์ทรมาน ธิชาค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบหลังลูบไหล่ ปลอบบูรพา
“บูรพา มันจะง่ายขึ้นนะคะ ถ้าคุณระบายมันออกมาบ้าง”
บูรพายังพูดไม่ออก ธิชายกมือลูบเบาๆ ที่ใบหน้าของเขา บูรพาเหมือนเด็กตัวสั่นกลัวสุดขีด
“คุณเก็บมันมานานพอแล้ว อะไรก็ตามที่ขังหัวใจของคุณไว้ ฉันอยากให้คุณเปิดทางให้มันสักวัน”
บูรพาลืมตามองธิชา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เชื่อฉันเถอะ”
บูรพาตัวสั่นสะท้าน น้ำตาซึม
“ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากเป็นบูรพา ผมไม่อยากเป็นไอ้ชั่วคนนี้ต่อไปอีกแล้ว”
ธิชารั้งบูรพามากอด บูรพายังคงร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้น ความรักความนับถือที่ทับถมในใจปล่อยออกมากับสายน้ำตา เขานึกถึงเสี่ยเจริญที่เคยแสดงความเมตตาต่อตน
แต่แล้วเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น จนทำให้ครอบครัวพงศ์พิทักษ์พังพินาศ จ่าเวชผู้พ่อพิการ ผกา ผู้เป็นแม่ต้องตาย ส่วนตัวเขาติดคุก ผุดซ้อนไล่ตามมาติดๆ กัน ราวสายน้ำไหล
บูรพายิ่งรู้สึกแค้นใจ ธิชาลูบหลังปลอบคนรักด้วยความสงสาร
สีหน้าตะวันฉายโศกเศร้าไม่ต่างจากบูรพา ผู้หมวดนั่งรถมากับเสือที่มาส่ง และเวลานี้รถแล่นมาจอดหน้าบ้านตะวันฉายแล้ว เสือนั้นอยู่ในอาการมึนตึง โกรธที่บูรพาถูกปล่อยตัว
“หมวดไม่น่าจะปล่อยตัวเค้าไปง่ายๆ”
“แล้วจะให้ผมทำยังไงในเมื่อผู้ใหญ่อนุมัติมาแล้ว”
“เรายัดข้อหาเค้าเพิ่มได้ รั้งตัวเค้าไว้ต่อรองกับตัวชัชชัย”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง” ตะวันฉายบอกหน้าเครียดเสียงเข้ม
“จริงเหรอหมวด แล้วเรื่องชัชชัยล่ะ หมวดจะอธิบายว่ายังไง”
ตะวันฉายอึ้ง
“ผมได้ยินหมดแล้ว เรื่องข้อตกลงของหมวดกับมันหมวดกันมันไว้เป็นพยาน เพื่อมันจะได้ให้การช่วยเหลือน้องของหมวดในศาล หมวดไม่อายบ้างเหรอ”
“ผมไม่ได้รับปากชัชชัย”
“แต่หมวดก็คิดใช่มั้ย”
ตะวันฉายจะตอบปฏิเสธแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“ผมยังพยายามบอกกับตัวเองอยู่นะหมวด บอกให้ตัวเองเคารพและก็เชื่อใจหมวด แต่ยิ่งนานวันเข้ามันก็ยิ่งยากขึ้นทุกที” เสือว่า
ตะวันฉายสบตากับเสือ ต่างฝ่ายต่างเห็นความเหินห่างหมางเมินในแววตา
“ถ้ามันยากนักก็อย่าฝืนใจตัวเอง ผมมีทางของผมที่ต้องเลือก ตอนนี้คุณก็ต้องเลือกแล้วเหมือนกัน”
เสือพยักหน้า “ผมรับปากจ่าส่งไว้แล้ว”
โจเดินมาเคาะกระจกเรียกพอดี ตะวันฉายกับเสือจึงยอมผละออกจากกัน ตะวันฉายเลื่อนกระจกลง
“นี่คุณๆ ตำรวจ ตกลงจะไม่เข้าบ้านหรือไง จอดรถคุยกันตั้งนานแบบนี้ ใครมาเห็นเข้าเดี๋ยวเข้านึกว่าจู่จี๋กันอยู่นะ” โจจ้อเสร็จ ก็ชักเห็นความผิดสังเกต “เป็นอะไรกันน่ะ”
ตะวันฉายเปิดประตูลงจากรถและเดินเข้าบ้านไป โจหันมามองที่เสืออย่างตำหนิ
“นี่หมู่พูดอะไรไม่ดีกับผู้หมวดอีกแล้วใช่มั้ย”
เสือเมินหน้าไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย
เสือกลับถึงอพาร์ตเม้นต์ ไขกุญแจเปิดประตูเข้ามาในห้อง และตรงไปเปิดตู้เย็นคว้าเบียร์มาขวดกะดื่มดับกลุ้ม โจตามมาจ้องตาเขม็ง
“ที่เปิดขวดอยู่ไหนวะ”
“หมู่ไปหาเรื่องอะไรผู้หมวด”
เสือเดินหนี “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรอกน่า เอ วางไว้ไหนวะ”
“เสือ นายนี่ชักจะกำเริบใหญ่แล้วรู้มั้ย ผู้หมวดเค้าเป็นลูกพี่หมู่แท้ ๆ นิดๆ หน่อยๆ นายยอมให้ไม่ได้เลยเหรอ”
เสือยังหาที่เปิดขวด “เราพูดเรื่องนี้กันแล้วนะโจ”
“ทำไมหมู่ต้องเถรตรงกับกฎเกณฑ์ขนาดนี้หมู่อยากเลื่อนขั้นหรือไง อ๋อ หรือนี่เป็นแผนที่หมู่จะเลื่อย ขาเก้าอี้ผู้หมวด”
เสือทนฟังไม่ไหว ปาขวดเบียร์ทิ้ง แล้วดันร่างโจไปชิดข้างฝา
“พอกันที ฉันทนฟังเธอมาพอแล้วโจ นี่เป็นห้องของฉัน ฉันจ่ายเงินค่าเช่าทุกเดือน ถ้าเธอจะอยู่ห้องนี้เธอก็ต้องฟังฉัน หยุดพูดเรื่องผู้หมวดตะวันฉาย”
“ไม่หยุด นายอิจฉาผู้หมวดเค้าใช่มั้ย”
“ฉันบอกให้หยุด”
“ฉันรู้นะ นายไม่พอใจที่ผู้หมวดเค้ากลับมาได้ดีเหมือนแต่ก่อน นายก็เลยหาเรื่อง”
เสือตวาด “หยุด”
“ทำตัวแบบนี้น่ะทุเรศที่สุดเลย เล่นลอบกัด นายไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
เสือมองโจที่ว่าตนฉอดๆ แล้วโน้มหน้าเอาปากปิดปากโจทันควัน โจตกใจทั้งตีทั้งดิ้นอยู่นาน แต่ไม่หลุดเสียที จนต้องออกแรงผลักเสือออกไป แล้วตบหน้าฉาดใหญ่
เสือชะงัก โจตะลึงตะไล ทั้งตกใจ กลัว และโกรธ เธอดันร่างเสือออก แล้ววิ่งหนีไปจากห้องทันที
“โจ...โจ”
โจไปแล้วโดยไม่ยอมเหลียวหลัง ทิ้งให้เสืองุ่นง่าน ถีบเตะข้าวของในห้องด้วยความเจ็บใจ
บนระเบียงตึกร้างยามนี้ สองคนนัดเจอกันที่นั่น เจิมฉัตรบรรจงจูบทัศน์
“จูบนี้สำหรับอะไร”
“ความรักมั้งคะ”
“ผม...หรือว่าชัชชัย”
เจิมฉัตรเข้าเรื่องทันที
“ฉันคิดว่าชัชชัยต้องถูกขังอยู่ในไนต์คลับ”
“พาตัวมันออกมาได้มั้ย”
“นั่นมันเสี่ยงมากนะ ที่สำคัญชัชชัยไม่ใช่คนโง่ เค้ารู้แล้วว่าฉันจะฆ่าเค้า จู่ๆ จะไปบอกว่าจะช่วยชีวิต เธอคิดว่าเค้าจะเชื่อเธองั้นเหรอ”
“ฉันมีทางทำให้เค้าเชื่อ”
เจิมฉัตรมองทัศน์ด้วยความงุนงง โดยไม่ทันตั้งตัวหล่อนถูกทัศน์ชกเปรี้ยงเข้าหน้า
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 15 (ต่อ)
ชัชชัยนอนซมอยู่ในห้องลับ ทั้งร่างมีแต่รอยฟกช้ำและบาดแผลจากการถูกทรมานของเคี้ยง
เวลาผ่านไปสักระยะ ชัชชัยเริ่มกระสับกระส่ายเหมือนฝันร้าย เหตุการณ์เก่าตอนที่เขาฆ่าเสี่ยเจริญผุดขึ้นมาหลอกหลอน
ชัชชัยสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเจิมฉัตรเดินมาหา แต่ยังไม่ทันสังเกตเห็นว่าใบหน้าเจิมฉัตรมีรอยช้ำจากการโดนชก
“ยังมีหน้ามาหาฉันอีกเหรอ”
“ชัช ฉันเสียใจ ฉันไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะลงเอยแบบนี้”
ชัชชัยเพิ่งสังเกตเห็นรอยช้ำที่ใบหน้าเจิมฉัตร
“ฝีมือใคร”
“ไอ้ทัศน์ มันบังคับให้ฉันบอกที่ซ่อนของเธอ แต่ฉันไม่ได้บอกมันนะ”
ชัชชัยมองหน้าเจิมฉัตรอย่างคลางแคลง
“ชัชชัย เธอให้โอกาสฉันอีกครั้งได้มั้ย ตอนนี้ฉันมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง เราหนีไปเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ย”
“เธอพูดจริงๆ เหรอ”
เจิมฉัตรสวมกอดชัชชัย “ฉันเป็นผู้หญิงนะชัช ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่ปกป้องฉันเท่านั้นเอง ยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
ชัชชัยเยื้อนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะบอกกับเจิมฉัตรว่า
“ฉันอยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ หาให้ฉันได้มั้ย”
เจิมฉัตรรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยอมพยักหน้า
เวลานั้น รถเจิมฉัตรกำลังแล่นฝ่าความมืดไปบนท้องถนน มุ่งหน้าออกชานเมือง ภายในรถเจิมฉัตรขับมาด้วยสีหน้าหวาดระแวง ส่วนชัชชัยสวมเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่
“ต้องใส่ชุดเก่งด้วยเหรอ”
“ไม่งั้นก็ไม่ใช่ชัชชัยตัวจริงน่ะสิ”
“ทำไมเธอไม่ขอปืน ฉันมีนะ”
“แน่ใจเหรอว่าถ้าฉันขอแล้วเธอจะยอมให้”
ชัชชัยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เจิมฉัตร ทำเอาอีกฝ่าย ร้อนๆ หนาวๆ กลัวถูกจับได้
“ขอยืมโทรศัพท์แทนดีกว่า”
เจิมฉัตรหยิบส่งให้ “เธอจะโทร.หาใครเหรอ”
ชัชชัยส่ายหน้า “แค่ส่งข้อความให้เพื่อน”
เจิมฉัตรยิ้มขัน “เธอมีเพื่อนด้วยเหรอ”
“เพื่อนใหม่น่ะ”
ชัชชัยกดส่งข้อความลงบนมือถือ ระหว่างนั้นเจิมฉัตรก็แอบลดมือลงดึงปืนในกระเป๋าพกออกมาตรวจดูว่ายังอยู่แน่
รถของเจิมฉัตรแล่นทะยานฝ่าความมืดไป
คืนนั้น บูรพาหลับอยู่ในห้องนอนของธิชา บริเวณชั้นบนของสตูดิโอ โดยมีธิชาเฝ้าดูด้วยความเป็นห่วง กระทั่งมีเสียงสัญญาณส่งข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น บูรพาลืมตาตื่น เอื้อมมือไปตะปบที่ปืน จนเห็นว่าธิชามองอยู่
ธิชามองด้วยความกังวล ที่เห็นคนรักหวาดระแวงถึงขนาดนี้ บูรพาเก็บปืน เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู
“ใครโทร.มาหรือคะ”
บูรพากดดูหน้าจอ “เปล่า แต่มีคนส่งข้อความเข้ามา”
ธิชามองบูรพาด้วยความประหลาดใจ
“บนโต๊ะทำงาน” สีหน้าบูรพาฉงนฉงาย “อะไรอยู่ที่โต๊ะทำงาน”
อีกฟากรถเจิมฉัตรเลี้ยวเปลี่ยนทางมาตามถนนเปลี่ยวเล็กๆ สายหนึ่ง
ชัชชัยเหลียวมองข้างทาง “เราจะไปไหนกันแน่ไปพม่าแบบคราวก่อนอีกหรือไง”
“เปล่า นี่เป็นทางลัดน่ะ เราจะลงใต้กัน”
ชัชชัยมองไปยังทางข้างหน้าที่แล่นไปสู่ความมืด
“บนรถนี่มีอะไรกินมั้ย”
เจิมฉัตรประหลาดใจนิดๆ เมื่อเห็นชัชชัยเปิดค้นลิ้นชักตรงหน้าคอนโซล พอเจอขนมเค้กซองก็ฉีกกินอย่างมูมมาม เหมือนตั้งใจจะยัดอาหารใส่ท้องให้เต็มอิ่ม แล้วหยิบน้ำจากเบาะหลังมาดื่ม
อาการของชัชชัยยิ่งทำให้เจิมฉัตรกลัว
“เผื่อเป็นอะไรขึ้นมา เป็นผีอิ่มดีกว่าเป็นผีอดนี่จริงมั้ย”
“เธอคิดว่าฉันหลอกเธองั้นเหรอ”
“ไม่ได้แค่คิด แต่มั่นใจ 100 %”
“แล้วทำไมยังมากับฉัน”
“ตำรวจก็ลบคดีให้ฉันไม่ได้ ไอ้แก่เคี้ยงก็จ้องจะล้างแค้น แล้วก็ยังมีไอ้ทัศน์กับเธออีก ถ้าเธอเป็นฉันแล้วยังจะหนีไปไหน สู้ลองเสี่ยงดูสักตั้งไม่ดีกว่าหรือไง”
เจิมฉัตรตกใจคว้าชักปืน แต่ชัชชัยคว้าไว้ อีกมือหนึ่งตะปบปิดปากปิดจมูกเจิมฉัตร นั่นทำให้รถของเจิมฉัตรแล่นเป๋ไปมาสักพักก็จอดลง คนในรถดิ้นขลุกขลักๆ จนมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด
ในรถคันดังกล่าวน่าจะมีคนโดนกระสุนปืนตาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครตายกันแน่
ทัศน์ กฤช และยุทธยืนรอเจิมฉัตรอยู่ที่จุดนัดตรงป่าละเมาะ สักพักหนึ่งจึงเห็นรถแล่นเข้ามาจอด ประตูรถคันนั้นเปิดออก พร้อมๆ กับที่สามคนได้เห็นศพของเจิมฉัตร่วงลงมากองจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ และเห็นชัชชัยเจ้าของผลงานก้าวลงมาจากรถอย่างไม่ครั่นคร้าม
ทัศน์ยิ้มชั่ว
ชัชชัยยิ้มทัก “ไอ้ทัศน์”
ทัศน์เอื้อมมือแตะที่หัวเข็มขัดและเคาะเบาๆ
“มีโอกาสก็น่าจะหนี ไม่น่าโง่เลยคุณชัช”
“ก็อยากจะหนีเหมือนกัน แต่ตกอยู่ตรงกลางระหว่างสามฝ่ายแบบนี้ มันมองไม่เห็นทางรอด”
“ยกเว้นแต่จะกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปให้สิ้นซากสินะ”
ชัชชัยเดินเข้าหาทัศน์ช้าๆ
“เลือกผิดซะแล้ว คุณชัช”
“ไม่แน่…ไม่แน่”
ชัชชัยชักปืน กฤชกับยุทธชักปืน ดาหน้าออกไปรับมือแทนนาย ในขณะที่ทัศน์ยังใจเย็น
ชัชชัยระดมยิงใส่ เช่นเดียวกับที่กฤชและยุทธยิงตอบโต้ กฤชโดนยิงล้มลง ส่วนยุทธกระโจนหลบฤทธิ์กระสุนของชัชชัย
ถัดจากนั้น ชัชชัยบ่ายปากกระบอกปืนมาที่ทัศน์ มือทัศน์ละจากเข็มขัดชักปืนออกมา
ทัศน์ยกปืนเล็ง ชัชชัยกระหน่ำยิงใส่ก่อนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้ทัศน์มึงตาย”
ทัศน์ยิงนัดแรก หัวเข่าของชัชชัยถูกยิงกระจุย
ทัศน์ยิงนัดที่สอง ปืนของชัชชัยกระเด็นหลุดไป เห็นนิ้วมือของชัชชัยร่วงติดไปด้วย ชัชชัยแผดร้องเสียงดังโหยหวน ทรุดกายลงกุมมือร้องครวญคราง ทัศน์เดินเข้ามาหาช้าๆ
เมื่อมองผ่านแนวป่าเข้าไป เห็นทัศน์จ่อปืนยิงประหารชัชชัยนัดสุดท้ายอย่างเลือดเย็น
วันต่อมา บูรพา พร้อม เคี้ยง และจ๊อด พากันมาอยู่ในห้องทำงานเสี่ยเจริญ แววตาของบูรพามองตรงไปเบื้องหน้า ราวกับเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัชชัย
เคี้ยง กับ บูรพา มองดูจ๊อด ที่เกณฑ์สมุนมาช่วยกันค้นหาของที่ชัชชัยส่งข้อความมาบอกเมื่อคืนนี้ ทุกคนหาจนทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะบนโต๊ะทุกตัวในห้องนี้
บูรพาใช้มือลูบโต๊ะทำงานเสี่ย แล้วใช้มือกวาดข้าวของทุกอย่างทิ้งไป แต่ก็ไม่เจอสมุดบัญชี บูรพาครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน
เคี้ยงและจ๊อดกำลังคุมสมุนค้นห้องอยู่อีกมุม จ๊อดเหลือบเห็นบูรพาก็สะกิดให้เคี้ยงหันมาดู
“เฮีย”
บูรพาปีนโต๊ะ และค่อยๆ เปิดฝ้าเพดานเหนือโต๊ะ ออกช้าๆ พร้อมกับสอดมือไปค้นหาในฝ้าดังกล่าว สุดท้ายกล่องไม้เก่าใบหนึ่งถูกยกลงมา บูรพากระโดดลงจากโต๊ะ วางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ แล้วเปิดออก ภายในมีสมุดบัญชีธนาคารอยู่ชุดหนึ่ง
“ไอ้บารมี”
บูรพาคำราม พลางหันมามองเคี้ยงกับจ๊อด
“มันเสร็จเราแน่”
สองคนหารือกันเครียดอยู่ภายในห้องรับแขกที่บ้าน บารมีตรวจดูสำเนาตัวอย่างของสมุดบัญชีสองสามหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะตรงจุดที่เป็นลายเซ็นต์ของตน โดยมีทัศน์รอฟังผลอย่างเคร่งเครียดอยู่ข้างๆ
“มีอีเมลมาครับท่าน ของจริงรึเปล่าครับท่าน”
บารมีมองเอกสารหน้าเครียด “ของจริง มันบอกรึเปล่าว่าต้องการอะไร”
“มันยื่นคำขาดไม่ให้เราตอแยกับพวกมัน ที่สำคัญห้ามเราขวางการขยายอำนาจของมันเด็ดขาด”
บารมีตีสีหน้าถมึงทึง ก่อนจะฉีกสำเนาบัญชีในมือทิ้งช้าๆ อย่างเหี้ยมเกรียม
“คิดจะเทียบรุ่น มันจะมากไปแล้ว อย่างนี้มันหยามน้ำหน้ากันชัดๆ”
“ถ้าครั้งนี้ขืนเราปล่อยให้มันเรียกร้องอะไรตามใจ อีกหน่อย มันคงเรียกร้องอะไรเต็มไปหมด” ทัศน์ว่า
“แกมีทางรับมือกับมันใช่มั้ย”
ทัศน์พยักหน้า “มันแรงมา เราก็ต้องแรงไป ไม่มีทางเลือกอื่น”
บารมีนิ่งคิดสักพักหนึ่ง จึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุมัติ
อีกฟาก เคี้ยงพลิกดูสมุดบัญชีในมืออย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนจะมองบูรพาและจ๊อดที่นั่งรอฟังความเห็นอยู่
“มันขอนัดเจรจากับเราอย่างเป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนการสงบศึกกับสมุดบัญชีเล่มแรก”
ทุกคนได้ฟังแล้วก็โล่งใจ
“แปลว่าต่อไปนี้มันก็ไม่มายุ่งกับเราแล้วใช่มั้ยเฮีย” จ๊อดถาม
เคี้ยงพยักหน้า พลางเหลือบมองมายังบูรพา และแปลกใจที่บูรพาไม่ยิ้มแย้มเอาเลย
“ความจริงเฮียไม่น่ายื่นเงื่อนไขข้อที่สองไปด้วยเลย” บูรพาติง
“เอ็งกลัวอะไรวะ ก็แค่ห้ามไม่ให้มันมาควบคุมการค้าของเราเท่านั้น”
“แต่มันก็เหมือนจะประกาศตัวว่า เราจะโตไม่ยั้งนะเฮีย ผมกลัวท่านรองบารมีจะมองว่าเราคิดทาบรัศมี”
“ฮึ่ย เอ็งอย่าใจเสาะนักเลยวะ ไอ้บูรพา ตอนนี้มันเป็นทีของเรา ต่อให้มันเจ๋งกว่านี้ ก็คงไม่กล้าเอาพิมเสนมาแลกเกลือหรอกวะ”
บูรพายังไม่ค่อยวางใจนัก เคี้ยงยิ้มปลอบ
“เรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเอง เอ็งคอยจัดการเรื่องค้าขายของเอ็งไปเถอะ ไม่ต้องห่วง ทีนี้แหละพวกเราได้สบายกันไปทั้งชาติ”
เคี้ยงหัวเราะอย่างลำพองใจ ส่วนบูรพาเพียงพยักหน้า ท่าทางดูออกว่ายังมีความกังวลในใจ
ในเวลาต่อมา จอทีวีในโถงนั่งเล่น ภายในห้องนอนธิชา เป็นรายงานพิเศษสถานการณ์ยาเสพติด และจุดจบของแก๊งค้ายาชื่อดัง ในรายงานข่าวมีภาพศพ ภาพเหตุการณ์จับกุม ตลอดจนภาพเมียและลูกผู้เคราะห์ร้ายร้องไห้อย่างน่าอนาถ เสียงรายงานข่าวดังต่อเนื่องมา แต่บูรพาเหม่อมองทีวีด้วยสีหน้าอันเลื่อนลอย
“มีอะไรน่าดูเหรอคะ”
บูรพาหันไปทางธิชาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ และกำลังหวีผมอยู่ในหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บูรพาถามขึ้น
“จำได้มั้ยธิชา เคยมีอยู่ครั้งนึง คุณขอร้องให้ผมหนีไปกับคุณ”
*ธิชาเหลียวมาหรืออาจคุยกับบูรพาผ่านทางกระจกเงา
ธิชาพยักหน้า “จำได้สิคะ จำได้ดีด้วยว่าคุณปฏิเสธยังไง”
“ตอนนั้น คุณไม่กลัวเหรอว่าถ้าหนีไปกับผมแล้วคุณจะต้องเดือดร้อน ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตอย่างผม”
ธิชาละมือจากการหวีผม หันมายิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงมัน บูรพาเงียบ
“คุณน่าจะถามฉันก่อนหน้านี้สักคำ แทนที่จะคิดเอาเอง”
ธิชากับบูรพามองตากัน ธิชาเดินออกมานั่งตรงหน้าเขา และมองอย่างแสนรัก
“ฉันไม่เคยกลัว…ถ้าจะมีอะไรที่ฉันกลัว ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ…การไม่กล้ายอมรับความจริงของคุณ”
“คุณว่ามันสายเกินไปรึเปล่า ถ้าผมจะเปลี่ยนใจ”
ธิชามองบูรพานิ่ง รอฟัง
“เราจะหนีไปด้วยกัน”
ธิชานิ่งไป คล้ายไม่เชื่อหูตัวเอง เธอเอื้อมมือมาจับแขนบูรพา และมองหน้าเขาเขม็ง ก่อนจะพยักหน้าออกมา บูรพารั้งตัวธิชามากอดเอาไว้
“ผมจะพาคุณไปจากที่นี่ ธิชา ผมสัญญา ผมไม่ยอมให้คุณเสียน้ำตาเพราะผมอีกแล้ว”
ตะวันฉายกอดให้ความมั่นใจกับธิชาเต็มรัก
อ่านต่อตอนที่ 16