xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 13

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 13

นิยายละครโทรทัศน์ “ตะวันตัดบูรพา” ฉบับที่ตรงกับที่ออกอากาศทางช่องวัน มากที่สุดในสามโลก

วิทยุภายในห้องพักของดาบเสือ เปิดเพลงรักซึ้งกล่อมห้องอยู่ เมื่อมองเข้าไปในห้องน้ำ เห็นกะละมังซักผ้า มีผ้าแช่อยู่ฟองท่วม โจนุ่งผ้าถุงนั่งซักผ้าอยู่ในนั้น และส่งเสียงฮัมตามเพลงจากวิทยุอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งหูได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“อะไรวะยังไม่หกโมงเลย กลับห้องแล้วเหรอ สงสัยโดดเวรอีกแหงๆ”
โจเช็ดมือป้ายกับผ้าถุง แล้วลุกเดินมาหยุดที่หน้าประตู
“ดาบเสือเหรอ”
เสียงตะวันฉายดังเข้ามา “เปล่าฉันเอง ตะวันฉาย”
“หมวด”
โจเบิกตาโพลงรีบเปิดประตูด้วยความดีใจ พอเห็นตะวันฉายก็กระโดดกอดแขนกอดคอนัวเนีย จนฟองแฟ้บเปื้อนตะวันฉาย
“ว่าไง สบายดีเหรอเรา”
“หมวด โอ๊ยคิดถึงหมวดจังเลย นึกว่าหมวดจะลืมหนูแล้วซะอีก”
โจกอดใหญ่ จนตะวันฉายต้องร้องห้าม
“ฮึ่ย เบาๆๆ”

เวลาเดินทางไปอีกสักครู่แล้ว ตะวันฉายนั่งดื่มน้ำพลางดูโจตากผ้า โดยโจเล่าเท้าความถึงชีวิตให้ฟังมาสักระยะแล้ว
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละหมวด จะกลับไปขายยาที่โต๊ะสนุ้กก็ทำไม่ได้ อีตุ๊กมันเล่นปล่อยข่าวไปซะทั่วว่าหนูน่ะเป็นสายให้หมวด แถมจะกลับห้องมันก็ไม่ยอมให้กลับ หนูก็เลยต้องมาขออาศัยดาบเสือเค้าอยู่แบบนี้แหละ ซักผ้า หุงข้าว ไปเรื่อยเปื่อย เสือเค้าก็ให้เงินบ้างไม่ให้บ้างตามประสา
เฮ้อ อนาถชีวิต เป็นซินเดอเรลล่าอยู่ดีๆ ตอนนี้กลายมาเป็นอีแจ๋วซะแล้ว”
โจปลงอนิจจัง ตะวันฉายฟังแล้วนึกเห็นใจ ควักเงินยัดใส่มือให้ โจตกใจ
“เฮ้ย นี่หนูปรับทุกข์เฉยๆ ไม่ได้ขอตังค์หมวดนะ”
“เอาไปเถอะน่า เธอเดือดร้อนจนป่านนี้ก็เพราะฉัน ถึงยังไงฉันก็ต้องรับผิดชอบ”
โจลังเล “ให้หนูรับเงินผู้หมวดฟรีๆ อย่างงี้ หนูรับไม่ได้หรอก” โจนึกขึ้นได้ “เอางี้มั้ย หนูย้ายไปทำงานบ้านให้ผู้หมวดดีกว่า บ้านผู้หมวดยังไม่มีคนหุงข้าวไม่ใช่เหรอ มีผู้หญิงติดบ้านไว้สักคนไม่เสียหายหรอกน้า”
ตะวันฉายขำ “ไม่ต้องตอบแทนถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” หมวดมองไปที่ระเบียงเห็นเสื้อผ้าบนราวแล้วคิดออก “เอางี้สิ ถ้าขยันซักขนาดนี้ก็วานไปซักที่บ้านฉันด้วยก็แล้วกัน ฉันจ้าง”
“เฮ้ย พูดจริงรึเปล่า อย่าล้อหนูเล่นนะ” โจเนื้อเต้น
ตะวันฉายพยักหน้า “จริงๆ”
“ได้เล้ย หนูคิดไม่แพงอยู่แล้ว เครื่องบ่งเครื่องแบบกางเกงนงกางเกงในซักได้หมด ไม่มีปัญหา” โจกระเซ้า “ว่าแต่หมวดอย่าเขินก็แล้วกัน”
ตะวันฉายจับหัวโจโยก เขย่าเบาๆ อย่างเอ็นดู โจถือโอกาสซบไหล่ตะวันฉาย
ระหว่างนี้ เสือเปิดประตูเข้ามาเห็นทั้งคู่กำลังหยอกล้อกัน ก็อึ้งไปนิดๆ
“อ้าวเสือ กลับมาแล้วเหรอ”
เสือใจแป้ว ที่เห็นโจอยู่กับตะวันฉายสองต่อสอง ตะวันฉายยิ้มให้เสือ โดยไม่รู้ว่าเสือคิดอะไรอยู่

ค่ำนั้น เบื้องหน้า เสือ โจ และ ตะวันฉาย เป็นวง เหล้ายา และข้าวปลาอาหารง่ายๆ ที่วางบนโต๊ะตรงระเบียง มีโจคอยปรนนิบัติพัดวีตะวันฉายสุดฤทธิ์
“บอกตรงๆ นะหมวด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันไอ้เรื่องบัญชีดำที่หมวดว่า แต่พักนี้ก็สังเกตนะว่าสารวัตรลงมาตามงานบ่อยขึ้น เห็นจ่าส่งเคยได้ยินสารวัตรเค้าเปรยๆ ว่าจะมีการเซ็ตทีมใหม่ด้วย”
“แน่ใจเหรอ” ตะวันฉายถาม
“โอ๊ย จำได้แม่นเลยหมวด หน้าจ่าส่งหดเหลือแค่นี้” พูดแล้วเสือก็ขำ “ตอนแรกหมวดไม่อยู่ จ่าส่งแกก็กะจะสร้างผลงานไง พองคับกองปราบเลยนะ แต่พอบอกว่าจะมีคนมาแทนหมวด เลยเหี่ยวเหลือแค่นี้”
เสือชูปลายก้อยแล้วหัวเราะขำ ตะวันฉายยิ้มไปตามเรื่อง รอจนได้จังหวะจึงเอ่ยถาม
“เสือ เป็นไปได้มั้ย ถ้าจะกันตัวบูรพาไว้เป็นพยาน ผมหมายถึงถ้าเค้ายอมมอบตัวในเวลานี้”
เสืออึ้ง นิ่งไปชั่วขณะหนึ่งจึงถามว่า “น้องชายหมวดเค้าขอร้องหมวดงั้นเหรอครับ”
“เปล่า ผมแค่ลองถามดู”
“ในทางทฤษฎีมันก็เป็นไปได้ ถ้าเค้าสามารถหาพยานหลักฐานมายืนยันได้ว่าตัวเค้าไม่ใช่กลไกสำคัญในการค้ายาของเสี่ยเจริญ หรือเค้ายอมให้การที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพรรคพวกที่เหลือ”
“อ้าวแล้วทางปฏิบัติล่ะ” โจซัก
“หมวดก็น่าจะรู้ นายบูรพาน้องชายหมวดไม่มีวันยอมมอบตัว ยิ่งให้การซักทอดพรรคพวกยิ่งไม่ต้องหวัง”
ตะวันฉายหน้าเสีย
เสือเองก็อึดอัดไม่น้อย “หมวด หมวดอย่าว่าผมปากปีจอเลยนะ เรื่องน้องชายผู้หมวดน่ะ ปล่อยไปเถอะ เค้าจะขึ้นเป็นหัวหน้าหรือจะลงไปเป็นนายบูรพาต๊อกต๋อยอะไรผมไม่สนหรอก แต่ผมสนว่าหมวดนั่นแหละจะพัง ถ้าขืนยังตามไปช่วยน้องอยู่แบบนี้”
ตะวันฉายสะท้อนในอก ครุ่นคิดหนัก
โจโมโห เอาถั่วฝักยาวตีปากเสือ พร้อมกับเอ็ดเสียงเข้มราวกับเป็นเมียไม่ก็แม่
“เรื่องดีๆ ไม่มีจะพูดหรือไง ผู้หมวดกลุ้มเลย เห็นมั้ย ปากเสียจริงๆ”
เสือกุมปากหมับ กลอกตามองโจ ท่าทีน่าขัน

เมื่อตะวันฉายกลับมาถึงบ้าน และเตรียมผลัดเปลี่ยนชุดจะอาบน้ำ สายตาเหลือบเห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีข่าวบูรพา รีบคว้ามาพับหรือขยำทิ้งถังขยะ
“วันนี้แกไม่ได้ไปเข้าเวร”
ตะวันฉายตกใจหันไปทางเสียงนั้น พบว่าจ่าเวชนั่งนิ่งหลบมุมอยู่เงียบกริบ จนตะวันฉายไม่ทันสังเกต
“พ่อโทร.ไปที่กองปราบเค้าบอกว่าแกไม่อยู่”
ตะวันฉายตัดสินใจโกหก “ครับพ่อ วันนี้ผมแวะไปเคลียร์ธุระมานิดหน่อยคราวหลังพ่อโทร.เข้ามือถือผมก็ได้นะครับ”
ตะวันฉายเดินเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวออกมา หาเรื่องจะเดินหนีไปอาบน้ำหลังบ้าน
“กี่วันแล้วล่ะ ธุระที่แกว่า”
ตะวันฉายชะงักหันมามองพ่ออีกครั้ง รู้ทันทีว่าจ่าเวชคงรู้อะไรบางอย่างมา
“ที่กองปราบเค้าว่าแกไม่ได้ทำงานที่นั่นมาเกือบเดือนนึงแล้ว”
ตะวันฉายอึ้ง
“ทีนี้พอจะบอกพ่อได้มั้ยเรื่องธุระของแกมันเรื่องอะไร” เห็นตะวันฉายเอาแต่นิ่ง ไม่ยอมพูดยอมจา “ฉาย…แกจัดงานวันเกิดให้พ่อ ซื้อของขวัญมาให้พ่อ แต่แค่พูดความจริง แกกลับทำให้พ่อ
ไม่ได้งั้นเหรอ”
“พ่อ”
“แกมีปัญหาอะไรอยู่ บอกพ่อมาเถอะฉาย พ่อรับได้นะลูกตรงกันข้าม ถ้าแกปิดพ่อ พ่อก็จะกลายเป็นไอ้ง่อยคนนึงที่ไม่มี ความหมายอะไรเลย” จ่าเวชจ้องหน้าลูกถามตรงๆ “พ่อเป็นไอ้ง่อยที่ลูกๆ พึ่งไม่ได้แล้วงั้นเหรอ”
ตะวันฉายตกใจ “ไม่...ไม่ใช่ครับครับพ่อ”
“ที่กองปราบเค้าบอกว่า แกโดนย้ายไปทำงานอยู่ที่สน.ท้องที่ เพราะแกช่วยผู้ต้องหา แต่แกไม่เคยทำ ไม่เคยคิดอะไรระยำอย่างนั้นพ่อรู้ พ่อเชื่อว่าลูกของพ่อไม่มีวันจะเป็นคนกินสินบาทคาดสินบนไปได้ ไม่มีวันจะทรยศต่อศักดิ์ศรีของตำรวจที่อยู่ในสายเลือดของแก ยกเว้น…ยกเว้นแต่ว่าแกจะรู้จักกับผู้ต้องหาคนนั้น”
ตะวันฉายจนแต้มในที่สุด
“แกอยากให้พ่อทายอีกมั้ยว่ามันเป็นใคร”
ตะวันฉายรีบปัด “พ่อไม่รู้จักเค้าหรอกครับ”
จ่าเวชเหลืออด “พ่อเป็นตำรวจนะฉาย เป็นเหมือนกับแก ที่สำคัญคือพ่อเป็นพ่อของแก เป็นพ่อของไอ้บูรพา เรื่องแค่นี้ทำไมพ่อจะเดาไม่ออก แกเลิกหลอกพ่อซะทีได้มั้ย”
ตะวันฉายได้แต่นิ่งเงียบไป
“ไอ้บูรพามันทำอะไรอยู่” เห็นตะวันฉายเงียบอีก จ่าเสียงดังขึ้น “ไอ้ฉาย”
ตะวันฉายจนมุม “ค้า…ค้ายาเสพติดครับ”
จ่าเวชนิ่งงันไป “ตำรวจกำลังรอจะตะครุบมันอยู่ใช่มั้ย”
“ครับ”
จ่าเวชน้ำตาซึม สะเทือนใจใหญ่หลวงกับความเป็นไปของลูกชายทั้งสอง ตะวันฉายเดินเข้ามาหา ปลอบพ่อ
“ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ ถึงยังไงผมก็ต้องทำตามที่รับปากกับพ่อไว้ ผมต้องช่วยน้อง…”
พูดไม่ทันจบคำดี จ่าเวชตบหน้าตะวันฉายเข้าฉาดใหญ่
“พ่อไม่ได้สงสารมัน คนที่พ่อสงสารคือแกเจ้าฉาย ทำไมแกโง่อย่างนี้ แกทำแบบนี้เท่ากับทำลายตัวเอง แกเคยคิดบ้างมั้ย”
“พ่อ เรื่องนี้มันเป็นความผิดของผม ผมเป็นคนก่อมันขึ้นเอง ผมต้องรับผิดชอบ”
“ไม่ แกรับผิดชอบมาพอแล้ว เจ้าฉาย มากเกินไปแล้ว” จ่าเวชสะอื้นไห้ “จริงอยู่ แกมีส่วนทำลายอนาคตของบูรพา แต่แกไม่จำเป็นต้องยกชีวิตทั้งชีวิตให้มันเลยลูก มันพอแล้วลูก พอได้แล้ว”
ตะวันฉายพูดไม่ออก จ่าเวชรั้งตัวลูกชายคนโตเข้ามากอดด้วยความรักและสงสาร
“ไอ้ฉาย ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้”

ทางด้านบูรพาเดินออกมาผ่อนคลายความเครียด เขาเดินตรงมาริมสระน้ำข้างบ้าน แต่แล้วก็เจอจ๊อดนั่งดวดเบียร์กับบังดีและตั้ม เอาตีนแช่น้ำในสระกันอยู่ก่อนแล้ว จ๊อดเหลือบมาเห็นจึงบูรพาบุ้ยใบ้ให้มาร่วมวง
บูรพาถอดรองเท้าเอาตีนแช่น้ำกับจ๊อด ท่าทางผ่อนคลายลง
“ไม่มีป๋าสักคนพวกเราก็ระส่ำระส่าย ไม่รู้ใครจะขึ้นเป็นหัวหน้า เอาแค่แก๊งของป๋าจะยังอยู่ต่อไปรึเปล่า พวกเด็กมันยังไม่รู้เลย” จ๊อดว่าพร้อมกับส่ายหัว “ไม่น่าเชื่อ ขาดป๋าแค่คนเดียวจะเกิดเรื่องตามมามากมายขนาดนี้”
“นี่ยังไม่รวมถึงหุ้นส่วนของป๋าที่ค้ายากับเราอีกนะ” ตั้มบอก
“ป่านนี้คงหัว ปั่นเตรียมถอนหุ้นไปกันหมดแล้ว” บังดีว่าเสริม
“อย่างว่าล่ะ ใครมันไปกล้า ลงทุนกับคนตาย” จ๊อดบอก
“ย่ำแย่อยู่แบบนี้ ลุงเคี้ยงยังบอกให้ข้าหนีไป” บูรพานึกขึ้นได้ มองหน้าจ๊อด “แล้วเอ็งล่ะจ๊อด เอ็งจะเอายังไงต่อ”
“ข้าทิ้งลุงเคี้ยงไม่ได้หรอกว่ะ” จ๊อดบอก
ตั้มเสริมว่า “กูเป็นหนี้ชีวิตมังกรแดงว่ะ”
“มังกรแดงก็เหลือเฮียเคี้ยงคนเดียว ถ้าไม่ช่วยกันแล้วจะช่วยหมาที่ไหนล่ะ” บังดีบอก
บูรพาอึ้งสนิท
จ๊อดมองหน้าบูรพาแล้วเอ่ยออกมาว่า

“กูไม่ได้ประชดมึงน่ะนะ สำหรับกูที่นี่คือครอบครัว ฝันของกูคือได้เป็นสมาชิกแก๊งมังกรแดงนะเว้ย”

อ่านต่อหน้า 2




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 13 (ต่อ)

ฝ่ายเคี้ยงนอนแบบอยู่บนเตียงในห้องพักที่บ้านเสี่ยเจริญ แต่ยังนอนไม่หลับ เอาแต่เหม่อมองเพดานอยู่เหมือนคนปลงไม่ตก สักครู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อมองไปจึงเห็นว่าเป็นบูรพามองเข้ามา ก่อนจะเดินมาที่เตียง

“เอ็งคิดได้แล้วใช่มั้ย”
บูรพาพยักหน้า เคี้ยงเอื้อมมือมาจับมือบูรพาอย่างซึ้งใจ
“ถ้างั้นมะรืนนี้ ข้านัดประชุมทุกคนมารับรองเอ็ง บูรพา”
สองคนไม่รู้ว่า เจิมฉัตรแง้มประตูยืนแอบฟังอยู่หน้าห้องอย่างเงียบกริบ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะผละเดินจากไป

รุ่งเช้า ทัศน์เดินมาตามทางเดินเพียงลำพัง ตรงเข้าไปในห้องโถงคฤหาสน์อันโอ่อ่า ซึ่งในนั้นบารมีรินเหล้าดองโสมชั้นดีดื่มอยู่ เมื่อหันมาเห็นจึงพยักหน้าชวนทัศน์
“โด๊ปซะหน่อยมั้ย กระชุ่มกระชวยดีนะ”
ทัศน์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ว่าไง วันนี้ข่าวดีหรือข่าวร้าย”
“มีทั้งสองข่าวครับ”
“ว่าข่าวดีมาก่อนสิ”
“ชัชชัยถูกส่งไปหาลุงมันที่นรกเรียบร้อยแล้ว”
บารมียิ้มย่อง “งั้นข่าวร้ายล่ะ”
“มีแววว่าบูรพาจะขึ้นมาแทนชัชชัย”
บารมีชะงัก อดทึ่งแก๊งมังกรแดงไม่ได้ ที่ฆ่าไม่หมดเสียที
“ไอ้โง่ รนหาที่ตายอีกคนหรือไงวะ”
“ขืนไล่ฆ่ากันแบบนี้ วัดไหนก็เผาศพให้ไม่ทันแน่ เราต้องหาทางตัดไม้ข่มนาม สั่งสอนไม่ให้ใครกล้าขึ้นมาเป็นนายใหญ่อีก”
“ไม่สายไปหน่อยเหร้อ”
“ไม่ ถ้าเราเริ่มที่นายบูรพา เดี๋ยวนี้”
บารมีนิ่งคิดสักพัก “ถ้าจะสอนก็ต้องให้หลาบจำ แกคงเข้าใจนะ”
ทัศน์พยักหน้ารับ บารมีจิบเหล้าอย่างสบายอารมณ์

อีกฟาก ที่ห้องทำงานเสี่ยเจริญ เคี้ยงกับจ๊อดกำลังตรวจดูรายชื่อแขกจากเอกสารของในมือแต่ละคน ในขณะที่บูรพาไม่ได้สนใจเอกสารรายชื่อแขกในมือ เอาแต่นั่งเหม่อ
“เสี่ยวิชัย...เสี่ยวิชัย อ้อ คนนี้ข้ารู้จัก เป็นเจ้าของโรงไม้ เค้ากับป๋าเอ็งสนิทกัน ถ้ายังไงก็เชิญเค้ามาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยก็ดี จะได้รู้ว่าเรายังให้เกียรติเค้าอยู่”
จ๊อดคอยติ๊กชื่อตามที่เคี้ยงบอก
“แล้วคนนี้ใครวะไอ้จ๊อด คี...คีมูร่า”
“คุณคิมูระลุง เป็นคนญี่ปุ่น ก็คนที่ออกทุนให้เราผลิตยาอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะ”
“เฮ้ย งั้นก็ต้องเชิญมาสิวะ มีอย่างเรอะ นายทุนใหญ่ทั้งคนจะไม่เชิญ แล้วเอ็งก็ดันไม่บอกข้าก่อน เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
เคี้ยงยิ้มขำตัวเอง ก่อนจะเหลือบไปเห็นบูรพาที่นั่งเหม่ออยู่ในนั้นนานสองนานแล้ว
“บูรพา” บูรพาไม่ได้ยิน เคี้ยงเสียงดังขึ้น “บูรพา”
บูรพาได้สติ หันมามองเคี้ยงหน้าตาเครียด เคี้ยงมองดุ อย่างครูมองศิษย์
“พรุ่งนี้แขกเหรื่อมาตั้งมาก หวังว่าเอ็งคงไม่อยู่ในสภาพนี้หรอกนะ”
บูรพานิ่งไปด้วยความละอายใจ จ๊อดเองก็เห็นใจบูรพาไม่น้อย พอดีโทรศัพท์มือถือของบูรพาดังขึ้น บูรพาเหลือบมองชื่อ แล้วเหลียวมองเคี้ยงเหมือนเกรงใจหน่อยๆ
“รับสายซะสิ คนโทร.มาอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้นะ”
บูรพาชั่งใจ
“คุยเรื่องงานรับตำแหน่งกันต่อเถอะ”
เคี้ยงยิ้มอย่างพอใจ พยักหน้าให้จ๊อดอ่านรายชื่อแขกต่อไป
บูรพายังมองมือถืออย่างกระตือรือร้น หลังจากเห็นชื่อว่าใครโทร.มา

บูรพาเข้ามาในห้องนอน สิ่งแรกที่ทำคือเปิดเครื่องเช็คข้อความเสียงที่ธิชาฝากเอาไว้อย่างร้อนรน
“บูรพา นี่ฉันนะคะ วันนี้ฉันโทรมาหาคุณหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีคนรับสาย เมื่อวันก่อนฉันกับพี่ชายคุณคุยกันแล้วเรื่องคุณ ตะวันฉายยืนยันว่าคุณอาจจะมีทางออกฉันอยากให้พวกเราลองมาคุยเรื่องนี้กันพรุ่งนี้ฉันจะรอคุณที่ท่าน้ำ เวลาเดิมคุณต้องมาให้ได้นะคะ”
เสียงเงียบไปเพียงเท่านี้ บูรพาลดหูโทรศัพท์ลง ยังคิดไม่ตกว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง

วันต่อมาธิชากับตะวันฉายรออยู่ที่ท่าน้ำ เวลาล่วงเลยผ่านไปนานสองนานจนธิชากระวนกระวาย แต่ตะวันฉายนั้นเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว
“เค้าคงไม่มาแล้วล่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันว่าเค้าต้องมา เชื่อฉันสิคะ เค้าเองก็ต้องการคำตอบของปัญหานี้อยู่เหมือนกัน เค้าต้องมาหาคุณแน่”
ตะวันฉายไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่ก็ยอมรอต่อไปตามคำขอของธิชา สักครู่สายตาเขาก็เหลือบเห็นบูรพาเดินออกจากท่าเรือมา
“นั่นไงคะ เค้ามาแล้ว”
บูรพาเดินมาประจันหน้าธิชากับตะวันฉาย
บูรพามองพี่ชายกับคนรัก ประชดออกมาอย่างอ่อนใจ “คงบรรลุไอเดียอะไรกันมาอีกแล้วใช่มั้ย ประมาณว่าแผนอนาคตของผมอะไรทำนองนั้น”
“บูรพาคะ เป็นไปได้มั้ยคะ ถ้าคุณจะมอบตัวตอนนี้แล้วให้การเป็นพยานกับทางตำรวจ”
บูรพาเหลียวมามองตะวันฉายตาขวาง “นี่ จะให้ฉันขายเพื่อนงั้นเหรอ”
ตะวันฉายเงียบไม่ต่อปากต่อคำ ปล่อยให้ธิชาทำหน้าที่โน้มน้าวต่อ
“เราปรึกษากันแล้ว มันเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณนะคะบูรพา”
“ไม่ คุณลืมวิธีนี้ซะเถอะ ต่อให้ผมยอม ทางตำรวจก็คงไม่มีทางยอมกับผมหรอก”
ธิชามองมา ขอความช่วยเหลือจากตะวันฉาย
“ไม่แน่หรอกบูรพา ฉันลองคุยเรื่องนี้กับเพื่อนมาแล้ว เค้าบอกว่ามันมีทางเป็นไปได้ ที่แกจะหลุดจากบัญชีดำ”
บูรพาฉุนกึก มองตำหนิธิชา “นี่คุณเอาเรื่องนี้ไปบอกเค้าด้วยงั้นเหรอ”
“แต่คุณน่าจะฟังพี่คุณบ้างนะคะ อย่างน้อยคำแนะนำของเค้า ก็เป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง”
“ธิชา คนแต่ละคนมีทางเลือกของตัวเอง จะให้ใครมาช่วยตัดสินใจแทนให้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก” เขาหันมาทางตะวันฉาย “พรุ่งนี้จะมีประชุมเรื่องคนที่จะมาแทนป๋า ฉันตกลงรับปากกับเค้าไปแล้วว่าจะรับตำแหน่ง”
ธิชาตกตะลึง แต่ตะวันฉายดูเหมือนจะชินชาซะแล้ว กับการกระทำแบบนี้ของน้องชาย
“มันช่วยแกได้แค่ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ใช่ตลอดไป”
“ก็ลองดู นักการเมืองดังๆ ยังอยู่กันได้ ขอให้มีเงินเถอะน่า ฉันไม่คิดหรอกว่าถ้าฉันมีเงินมีอำนาจ แล้วจะมีใครกล้าทำอะไรฉัน”
“คราวนี้แกเลือกเองอีกแล้วนะ บูรพา”
“แล้วฉันก็รับผิดชอบเองด้วย”
ธิชาฟังแล้วรู้สึกสิ้นหวัง บูรพาดูออกมองธิชาอย่างเป็นห่วง แล้วแข็งใจปลีกตัวเดินกลับไป ธิชารีบตาม

บูรพาเดินจะมาขึ้นรถ ธิชาตามบูรพาออกมา บอกกับเขาว่า
“พรุ่งนี้ฉันจะรอฟังคำตอบคุณที่นี่”
“คุณได้ยินคำตอบไปแล้วธิชา”
“ฉันไม่ได้ยิน ฉันต้องการคำตอบที่มาจากใจของคุณ ไม่ใช่อารมณ์ของคุณ”
บูรพาได้แต่ฝืนทำใจแข็งบอกไปว่า “พรุ่งนี้ผมจะไม่มาที่นี่”
จากนั้นบูรพาขึ้นรถแล้วขับออกไปจากที่นั่นทันที ทิ้งธิชาให้มองตามตาละห้อย ตะวันฉายเดินมายืนมองอย่างปลงๆ

บูรพาขับรถไปตามท้องถนนด้วยความปวดร้าวในใจ เขานึกสับสนระหว่างเหตุผลที่จะต้องเป็นเจ้าพ่อ หรือยอมมอบตัว จากคำแนะนำของคนรอบข้างที่ให้ไว้
รถจอดติดไฟแดง บูรพาหยุดคิดอยู่แต่เรื่องเดิม แต่ก็คิดไม่ตก จนเมื่อไฟเขียวสว่างขึ้น เขาจึงตัดสินใจเลี้ยวรถไปทางใดทางหนึ่งอย่างกะทันหัน

บูรพาเดินมาที่หน้าประตูรั้วบ้าน หลังจากจอดรถแอบไว้แถวนั้น และมองเข้าไปในบ้านเหมือนโหยหาความอบอุ่นทางใจ จ่าเวชเข็นรถออกมาดูด้วยความประหลาดใจ
บูรพากำลังกวาดมองดูรูปถ่าย และภาพความทรงจำต่างๆ ในบ้าน เหมือนจะมองหาที่มาของตนในอดีต จ่าเวชเห็นเข้าก็พูดเสริม
“ไอ้บ้านหลังนี้ อะไรๆ มันก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวคนอยู่น้อยไป บางทีพ่อเกือบนึกไปว่าโลกทั้งโลกมีพ่ออยู่แค่คนเดียวยังไงยังงั้น”
“พ่ออย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมก็ไม่ได้ทิ้งพ่อไปไหนไกลยังไงๆ ซักวันนึงผมก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้ว”
“อย่าปลอบพ่อเลยบูรพา พ่อเข้าใจ ความรู้สึกบางอย่างมันก็ยากจะลบเลือนจริงๆ เหมือนที่แกรู้สึกกับเจ้าฉายในเวลานี้”
บูรพาชะงักโดนจี้ใจดำ
“พ่อจะไม่ขอให้แกยกโทษให้พี่เค้าหรอกแต่พ่อขอแค่ว่าถ้าแกปรองดองกับพี่ไม่ได้ ก็อย่าให้มันเลยเถิดถึงขั้นทำลายกันเลยนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อคงนอนตายตาไม่หลับแน่”
บูรพาสะท้อนใจ “พ่อ ผมจะไปทำร้ายพี่ฉายได้ยังไงกันล่ะครับ ก็เราเป็นพี่น้องกัน”
“แต่อยู่กันคนละฝ่าย”
บูรพาช็อก ตะลึงตะไล ถามกลับเสียงแผ่ว “ใครเป็นคนบอกพ่อ”
จ่าเวชยิ้มให้ลูก แต่มันช่างแห้งแล้งเหลือเกิน
“พ่อรู้เอง แต่มันก็สมควรแก่เวลาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พ่อครับ ผม…ผม…”
จ่าเวชบีบมือปลอบ
“พ่อไม่โทษแกหรอก พ่อเคยคิดอยู่เสมอ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแกนับตั้งแต่ห้าปีก่อน พ่อกับเจ้าฉายต้องรับผิดชอบกันคนละครึ่ง เจ้าฉายรับส่วนของมันไปแล้ว นี่พ่อก็ถือว่าพ่อรับส่วนของพ่อละกันนะ”
“พ่อ แต่ผมไม่เคยโทษพ่อเลยนะครับ”
“งั้นแกก็ต้องไม่โทษเจ้าฉายเหมือนกัน เพราะในเหตุการณ์ตอนนั้น ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็คงทำอย่างเดียวกันกับมัน”
บูรพาสับสนหนักจะรับปากก็ไม่ได้ ปฏิเสธก็เกรงใจ
“ค่อยๆ คิดดูนะ เดี๋ยวพ่อจะไปหาอะไรมาให้แกรองท้อง”
จ่าเวชปลีกตัวเข้าครัวไป บูรพาได้แต่คิดหนัก
จ่าเวชเข็นรถเข็นเข้ามาในครัว และเริ่มเปิดตู้กับข้าว หยิบอาหารจะมาอุ่นให้บูรพา แต่หยิบจับไม่ทันไร บทบาทความเป็นพ่อผู้เข้มแข็งก็ทะลุขีดจำกัดของมัน จ่าเวชถึงกับก้มลงซบหน้าร้องไห้ปิดปากสะอึกสะอื้นออกมา สะท้อนใจในชะตากรรมของครอบครัวตน

ด้านบูรพายังนั่งครุ่นคิดอยู่ที่เดิม แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์สายในบ้านดังขึ้น บูรพาเห็นพ่อไม่ออกมารับจึงตัดสินใจรับสาย
“ฮัลโหล บ้านจ่าเวชครับ”
“หึ กลุ้มใจอยู่เหรอคุณบูรพา หรือกำลังหาวิธีชวนคุณพ่อไปร่วมงานรับตำแหน่งวันพรุ่งนี้”
บูรพาตกใจ “นั่นใคร”
ทัศน์โทรศัพท์จากในรถที่จอดซุ่มอยู่หน้าบ้านจ่าเวช มองเข้าไปในบ้านเห็นบูรพาลิบๆ
“ไม่ต้องตกใจ ผมแค่มีคำพูดมาฝากคุณเท่านั้นเอง” ทัศน์ขู่ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “แก๊งเสี่ยเจริญควรจะยุติบทบาทของตัวเองได้แล้ว ถ้าไม่อยากเป็นชัชชัยคนต่อไป ก็อย่าคิดเป็นนายใหญ่คนที่สอง คุณได้ยินชัดมั้ย”
“แกเป็นใคร ฉันคุ้นเสียงแก เราเคยเจอกันใช่มั้ย”
ทัศน์แสดงตัวทันที “ใช่ ที่บ้านท่านรองบารมีไงล่ะ”
บูรพานึก จำทัศน์ได้
“แต่ผมไม่ได้โทร.มารื้อฟื้นจ๊ะจ๋ากับคุณหรอกนะ คุณบูรพา เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ ถ้าคุณไม่อยากเสียของรักของหวงของคุณ ก็เชื่อคำเตือนของผมก็แล้วกัน”
เสียงจากปลายสายขาดหายไปเท่านั้น บูรพาได้แต่นิ่งอึ้ง ตะลึงตะไลคาที่

เช้าวันต่อมา บริเวณท่าน้ำที่บูรพากับธิชาเคยนัดพบกันเป็นประจำ บรรยากาศดูอ้างว้างอึมครึม หม่นเศร้าพิกล ธิชาลงรถเดินมาถึงท่าเรือ และหยุดรออยู่อย่างเดียวดาย

ที่หน้าเรือนหลังใหญ่ในอาณาบริเวณบ้านเสี่ยเจริญ
พวกสมุนออกมาเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่บูรพา เคี้ยง บังดี ตั้ม และ จ๊อด จะได้รับการคุ้มกันออกมา โดยจ๊อดคอยดูแลประคองเคี้ยง บูรพามีท่าทีไม่ไว้วางใจ เขาเล่าเรื่องที่ถูกขู่ให้เคี้ยงฟังตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
“เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกบูรพา ลงว่าเราคุ้มกันหนาแน่นขนาดนี้ คนของไอ้บารมีไม่มีทางลงมือแน่”
บูรพายังไม่คลายกังวล เชื่อว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น
พวกสมุนเคลียร์ทางให้ เคี้ยง บูรพา และจ๊อดขึ้นรถ บังดี และตั้ง ไปขึ้นอีกคัน
บูรพาขึ้นไปนั่งบนรถ รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก

ประตูห้องประชุมใหญ่ชั้นบนออฟฟิศของอาคารผับ เปิดออก เห็นพนักงานผับเข้ามาจัดเตรียมสถานที่
ในขณะที่เหล่าสมาชิกของแก๊งมังกรแดงก็เดินทางมาถึง และกำลังทักทายกัน บ้างก็จับกลุ่มสนทนากันอยู่ เจิมฉัตรคอยรับรองเหล่าสมาชิกอย่างเป็นกันเอง
เจิมฉัตรหยุดหันไปดูนาฬิกา และพรายยิ้มออกมาราวกับรับรู้ในแผนร้ายของทัศน์

บรรยากาศดูอึมครึมขมุกขมัวตลอดเช้าวันนี้ บูรพานั่งอยู่บนรถมองออกไปยังข้างทาง เห็นคนจีนเผากระดาษไหว้อะไรกันอยู่ มองไปอีก พบว่ารถแล่นมาจอดหน้าร้านขายโลงศพเข้าพอดี
“ไอ้ฉิบหาย ไอ้จ๊อดมึงไม่มีที่อื่นจะจอดแล้วหรือไง รู้ทั้งรู้วันนี้ไอ้บูรพาจะรับตำแหน่ง เสือกผ่ามาจอดตรงนี้” เคี้ยงด่า แถมด้วยการไออีกสองสามโขลก
“โธ่ลุง รถติดแหงกออกอย่างนี้ เลือกที่จอดได้ที่ไหน”
บูรพาขนลุกเกรียว เหลียวไปมองหน้าร้านขายโลงอีกครั้ง รู้สึกสังหรณ์ใจมากขึ้นว่าหายนะจะบังเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ คำขู่ของทัศน์ดังก้องขึ้นในหัวของเขา
“เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ ถ้าคุณไม่อยากเสียของรักของหวงของคุณ ก็เชื่อคำเตือนของผมก็แล้วกัน”
บูรพานึกขึ้นได้ ตัดสินใจกดโทร.มือถือถึงธิชาทันที

ธิชายังคงนั่งบ้าง ยืนบ้าง รอบูรพาอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกเข้ามือถือ จึงยกขึ้นดู ครั้นพอเห็นว่าเป็นเบอร์บูรพาก็แกล้งปิดเครื่องเสีย โดยไม่ยอมรับสาย กะจะให้เขามาหาเธอด้วยตัวเอง
ระหว่างนี้ผู้คนเริ่มควักไขว่ เห็นผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาเหมือนมือปืน เดินตรงมาทางที่ธิชายืนอยู่ เหมือนกำลังถืออะไรบางอย่างไว้ด้านหลัง

โทรศัพท์เครื่องในห้องโถงบ้านจ่าเวชดังขึ้น ตะวันฉายเดินเข้ามายกหูรับสาย
“ฮัลโหล บ้านจ่าประเวศครับ”
“นี่ฉันเองนะ”
“บูรพา”
จ่าเวชกำลังนั่งดูทีวีอยู่ รีบหยิบรีโมทมาหรี่เสี่ยง และเหลียวมามองด้วยความสนใจ
บูรพาบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ฟังฉันนะ ตอนนี้ธิชาอยู่ที่ท่าเรือมหาราช แกรีบไปรับตัวกลับมาด่วนเลยฉันสังหรณ์ใจว่าวันนี้จะเกิดเรื่อง”
ตะวันฉายอึ้ง นิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วเหลือบไปมองจ่าเวช
“ตกลง”
จ่าเวชรอจนตะวันฉายวางสายจึงถามขึ้น “มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ ผมไปธุระแป๊บนึง เดี๋ยวผมรีบมาครับ”
“อ้าวฉายมันเรื่องอะไรกันน่ะ ฉาย”
ตะวันฉายออกไปเสียก่อน

ตะวันฉายขึ้นมอเตอร์ไซค์สตาร์ตเครื่อง แล้วขับแล่นออกจากซอยบ้านไปราวกับจะบิน

อ่านต่อหน้า 3




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 13 (ต่อ)

รถตู้ที่บูรพากับเคี้ยงนั่งมาเพิ่งมาถึงหน้าผับ คนบนรถลงมาจากรถ

บูรพาเก็บมือถือ สีหน้าของเขากังวลชัดแจ้ง จ๊อดประคองเคี้ยงลงตามา เคี้ยงถามขึ้น
“บูรพา มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
บูรพาเกรงใจ “ลุงเคี้ยง วันนี้เลื่อนกำหนดการออกไปก่อนได้มั้ย ผมไม่พร้อม”
“เฮ้ย นัดคนมากันหมดแล้ว เอ็งจะมาเลื่อนอะไรตอนนี้” จ๊อดท้วง
“ไม่รู้ว่ะจ๊อด แต่ข้าว่ามีคนจ้องจะเล่นงานเราอยู่”
เคี้ยงกับจ๊อดมองหน้ากันงงๆ ก่อนที่เคี้ยงจะเอ่ยปลอบ
“เอ็งอย่าประสาทเสียไปหน่อยเลยน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็รีบเข้าไปจัดธุระให้เสร็จก็แล้วกัน ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรนี่ แค่ประกาศตัวแล้วก็ทำความคุ้ยเคยกับพรรคพวกของเราเท่านั้นเอง
บูรพาพยักหน้าให้เคี้ยงอย่างเสียมิได้

พนักงานเปิดประตูห้องประชุมให้ เคี้ยงเดินนำบูรพาเข้าสู่ภายในห้องประชุม และพบว่ามีแขกเหรื่อรออยู่มากมาย เห็นเจิมฉัตรที่รับรองแขกอยู่ด้านใน พาแขกมาแนะนำให้รู้จักกับบูรพา ก่อนที่ประตูจะปิดลง

ด้านตะวันฉายบิดมอเตอร์ไซค์คันเก่งไปตามท้องถนนอย่างรีบเร่งราวกับจะบินกระนั้น สีหน้าตะวันฉายร้อนรนด้วยความเป็นห่วงธิชา

ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ธิชาเรื่อยๆ โดยที่ธิชาไม่ได้คิดอะไร

สีหน้าบูรพากระวนกระวายมากขึ้นทุกขณะ ไม่ได้สนใจสิ่งที่เคี้ยงพูดเปิดประชุมเอาเลย
“เป็นที่รู้กันว่า ที่เรามารวมตัวกันในวันนี้ ก็เพราะการตายของเสี่ยเจริญ เพื่อนและนายใหญ่ของพวกเราเป็นเหตุผลสำคัญ รองลงมาจากนั้นคือข่าวการตายของชัชชัย ทายาทของเสี่ยเจริญที่หนังสือพิมพ์เพิ่งเขียนข่าวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ซึ่งเท่ากับเป็นบทสรุปโดยสมบูรณ์ กลุ่มก๊กของพวกเรากำลังต้องการนายใหญ่คนใหม่ ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนเสี่ยเจริญ”

ด้านธิชายืนรอบูรพาอย่างกระวนกระวาย
แขกเหรื่อในที่ประชุมจับตามอง
“ในวาระโอกาสนี้ ผมในฐานะที่เป็นสหาย เป็นหุ้นส่วน และเป็นสมุนที่เสี่ยเจริญไว้ใจมากที่สุด มีความยินดีที่จะแนะนำให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านได้รู้จักกับนายใหญ่คนต่อไปของพวกเรา คนที่จะนำพาความรุ่งโรจน์กลับมาสู่อาณาจักรของเราอีกครั้ง”
ระหว่างที่เคี้ยงพูดอยู่นั้น เจิมฉัตรซึ่งนั่งติดกันกับบูรพา ก็หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ และกระซิบกระซาบเบาๆ
“ป๋าเคยบอกฉันว่า ชีวิตคนเรานี่แปลก เวลาที่เสียอะไรไป ก็ต้องได้อะไรมาแทนที่สักอย่างเสมอ เหมือนๆ กับเวลาที่ได้อะไรมา เราก็ต้องเสียของรักของหวงไปเช่นกัน”
บูรพาเหลือบมาองเจิมฉัตรอย่างนึกหวั่นๆ อยู่ในใจ เจิมฉัตรยิ้มหวานหยด แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจเอามากๆ
“เธอกังวลเรื่องนี้บ้างมั้ย บูรพา”

ตะวันฉายลงรถ รีบโลดแล่นมาถึงท่าน้ำ เห็นชายคนนั้นท่าทางไม่น่าไว้ใจ ก็รีบวิ่งมา พร้อมกับตะโกนเรียกธิชาในขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเดินถึงธิชาแล้ว

ส่วนเคี้ยง พาทุกคนเข้าสู่วาระสำคัญ
“ผมขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับอดีตคนสนิทของเสี่ยเจริญ...”
บูรพาเตรียมตัวขึ้นเป็นเจ้าพ่อ รอเพียงเคี้ยงประกาศเรียกชื่อ
“ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจ และมีความเหมาะสมมากที่สุด ที่จะเป็นผู้นำสมาชิกของเราทุกคน ขอเรียนเชิญทุกท่านได้โปรดให้เกียรติแก่หัวหน้าคนใหม่ของเรา คุณบูรพา...”
ทุกคนมองมาที่บูรพาเป็นตาเดียว ส่วนบูรพายังนั่งนิ่ง อีกอึดใจในเสี้ยววินาทีสุดท้ายนี้ เขาจะกลายเป็นเจ้าพ่อ เคี้ยงเหลือบมองมายังบูรพาทั้งสองสบตากัน เคี้ยงนึกหวั่นกลัวบูรพาจะเปลี่ยนใจ
สุดท้ายบูรพาขยับตัวและยืนขึ้น เขายืนอย่างองอาจสง่าผ่าเผยอยู่เหนือทุกคนในโต๊ะ ตอบรับการประกาศตัวเป็น นายใหญ่แก๊งมังกรแดง จากเคี้ยงอย่างเป็นทางการ
สมาชิกในโต๊ะพากันปรบมือกราวใหญ่ และยืนขึ้นให้เกียรติครบทุกก๊ก ทุกคน
แว่วเสียงปรบมือดังสอดรับกับจังหวะก้าวเท้าของตะวันฉายที่เดินรี่เข้าไปหาธิชาตรงท่าน้ำ และคว้าตัวธิชาเข้ามาในอ้อมแขน
เวลาเดียวกัน บูรพายืนขึ้น และโน้มศีรษะลงรับการเป็นเจ้าพ่ออย่างสง่างาม
ตะวันฉายคว้าร่างธิชามาโอบไว้ในอ้อมแขนทั้งตัว แล้วชักปืนออกมาจ่อไปยังชายคนนั้น แต่แล้วชายคนนั้นกลับยกมือขึ้น เผยเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังคือลูกโป่ง ที่เขาจะเอามาเซอร์ไพรส์ ลูกสาว ซึ่งเดินไปหาพ่อ สองคนกอดกันอย่างมีความสุข
ธิชาอึ้งมองตะวันฉาย และถึงแม้ตะวันฉายจะไม่ได้มองเธอแต่เธอก็เห็นความหวงแหนที่เขามีให้ ตะวันฉายลดปืนลงถอนหายใจ แล้วจับธิชายืนปกติ
“เกิดอะไรขึ้นคะผู้หมวด คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“บูรพาโทร.ไปบอกผมว่าจะมีคนทำร้ายคุณ”
ธิชาคิดแล้วคิดอีก แต่ก็นึกไม่ออกว่ามีอะไรชวนให้สงสัยว่าจะเกิดเหตุเช่นนั้น

ภายในห้องประชุมชั้บนของผับ บรรดาแขกเหรื่อต่างทยอยกลับ พากันเข้ามาแสดงความยินดีจับมือบูรพา โดยมีเคี้ยง เจิมฉัตร และ จ๊อด คอยช่วยต้อนรับขับสู้ และส่งแขก จนมีเสียงมือถือของบูรพาดังขึ้น บูรพารีบปลีกตัวออกไป เคี้ยงมองตามอย่างไม่พอใจนัก
บูรพารับสายจากตะวันฉาย
“ฮัลโหล นี่ฉันเอง ธิชาปลอดภัยรึเปล่า”
ตะวันฉายอยู่กับธิชาที่บริเวณลานจอดรถ
“ทุกอย่างเรียบร้อย บูรพา แกบอกได้มั้ยว่า ทำไมถึงคิดว่าจะเกิดเรื่องกับธิชา”
บูรพาจำใจบอก “มีคนโทร.ไปที่บ้าน มันขู่ว่าถ้าฉันรับตำแหน่งมันจะเล่นงานคนใกล้ตัวฉัน”
ตะวันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาตกใจ
“แกว่ามันโทร.หาแกยังไงนะ มือถือหรือที่บ้าน”
“มันโทร.ไปที่บ้าน” บูรพานึกขึ้นได้ “ที่บ้าน…พ่อ”

ขณะเดียวกัน จอทีวีในห้องโถงรับแขกบ้านจ่าเวชกำลังฉายหนังไทยเก่าเก็บ พระเอกนางเอกร้องเพลงพลอดรักหวานชื่น จ่าเวชนั่งดูทีวีไปพลางขัดเครื่องเงินไปด้วย โดยไม่ได้สังเกตว่ามีรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้ารั้วบ้าน

เมื่อกระจกหน้าต่างรถคันนั้นเลื่อนลง เผยให้เห็นเป็นทัศน์ที่ยิ้มชั่วมองตรงดิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้อย่างประสงค์ร้าย

ภายหลังจากวางสายไป บูรพาเดินเร็วรี่ออกมาจากห้องประชุม เพื่อจะไปที่รถ เคี้ยง จ๊อด และเจิมฉัตร ที่รับรองแขกอยู่มองตามไปอย่างงุนงง ทุกคนต่างตั้งตัวไม่ติด พอดีกับที่ยากูซ่า 2 ล่าม ของ คิมูระ ปราดเข้ามาขวางหน้า แสดงความยินดี

“ยินดีด้วยนะครับคุณบูรพา ในนามของคุณคิมูระ ผมหวังว่าต่อไปกิจการของเราจะเจริญรุดหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้”
“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระด่วน”
บูรพาดันยากูซ่า 2 หลบออกไปอย่างไม่ใยดี อีกฝ่ายทั้งแปลกใจและไม่พอใจ เหลือบมองมาที่เคี้ยงอย่างกังขา เคี้ยงพูดไม่ออก จ๊อดรีบตามบูรพาไป
“บูรพา เฮ้ย นั่นเอ็ง เอ๊ยคุณ จะรีบไปไหน บูรพา”
ออกมายังลานจอดรถ บูรพาขึ้นรถสตาร์ตเครื่องแล่นออกไปโดยไม่สนใจจ๊อด
“คุณบูรพา หัวหน้า เอ๊า อะไรของมันวะ” จ๊อดเกาหัวงงสุดขีด

กฤชใช้กล้องส่องทางไกลอันเล็ก ส่องดูรอบบริเวณบ้านจ่าเวชจนแน่ใจแล้วหันมารายงาน
“ไอ้แก่นั่นอยู่บ้านคนเดียว” กฤชว่า
ทัศน์พยักหน้ารับรู้ แล้วหันมาสั่งยุทธที่กำลังสวมถุงมือหนัง
“อีก 8 นาทีจะวนกลับมารับ อย่าให้โครมครามนักล่ะ เดี๋ยวชาวบ้านจะแตกตื่น”
ยุทธพยักหน้ารับ “แค่ไอ้แก่คนเดียว ไม่เห็นจะยาก”
จากนั้นยุทธหยิบแว่นดำขึ้นสวมแล้วลงไปจากรถ ทัศน์หันไปพยักหน้าให้กฤชที่เป็นโชเฟอร์ กฤชออกรถแล่นจากไป

ภาพบนจอทีวีดำเนินต่อไป จ่าเวชยังนั่งดูทีวีอยู่ด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งได้ยินเสียงกึกๆ มาจากในครัว จึงชะเง้อไป เห็นหม้อพะโล้ซึ่งจ่าตุ๋นขาหมูไว้กำลังเดือดพล่าน จ่าเวชเข็นรถเข็นเข้าครัวไป ในขณะที่ยุทธมองซ้ายมองแลขวา เมคชัวร์อีกครั้ง ก่อนจะผลักประตูเข้ามาในบ้าน
จ่าเวชนั่งรถอยู่หน้าเตาแก๊ส และกำลังใช้ทัพพีตักน้ำพะโล้ขึ้นชิม ปรุงรสด้วยน้ำปลา แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จ่าเวชขยับจะถอยรถเข็นออกไปรับโทรศัพท์ แต่แล้วก็ปะทะเข้ากับยุทธที่ยืนกร่างขวางอยู่ ยุทธตวัดเส้นลวดรัดลำคอจ่าเวชอย่างรวดเร็ว จ่าเวชพยายามเอามือสอดง้างไว้ ยุทธแสยะยิ้มชั่ว ออกแรงกระตุกสุดแรง ท่ามกลางเสียงโทรศัพท์ที่ยังดังระงมอยู่

ส่วนที่ท่าน้ำ ตะวันฉายถือโทรศัพท์มือถือแนบหูรอให้พ่อรับสาย ธิชายืนรอฟังผลอย่างร้อนรน
“ว่าไงคะ”
“ไม่มีคนรับสาย เดี๋ยวผมรีบกลับไปดูก่อนดีกว่า”
“ฉันไปด้วยค่ะ”
ตะวันฉายคิดนิดหนึ่งจึงพยักหน้าให้ ธิชาขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปด้วยกันกับตะวันฉาย

จ่าเวชถูกยุทธรัดคอจนตาเหลือก นิ้วที่ง้างเส้นลวดอยู่นั้นถูกบาดจนเลือดไหลโกรก ขณะที่ยุทธยิ้มเหี้ยมอย่างชะล่าใจกะว่าจ่าเวชต้องเสร็จตนแน่
แต่แล้วมีเสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น ยุทธหันไปมองตามเสียงนั้น

เป็น โจ ที่ยืนหิ้วตระกร้าผ้าชะเง้ออยู่ที่หน้าบ้านอย่างงุนงง เพราะไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูรับสักที
“มีใครอยู่มั้ยคะ มารับผ้าไปซักค่า สงสัยไม่อยู่ เอ...หรือผู้หมวดลืมสั่งคุณลุงไว้ว่าเราจะมา”
โจลองเอามือไปแตะประตูรั้ว ปรากฏว่าประตูเปิดได้
“อ้าว ประตูก็ไม่ล็อคแฮะ”

โจเดินเข้ามาในบ้านจ่าเวช และกวาดสายตามองหา
“คุณลุงขา นี่หนูโจเพื่อนผู้หมวดเองนะคะ คุณลุงอยู่รึเปล่า ยู๊ฮู อยู่มั้ย”
ส่วนที่ในครัว ยุทธออกแรงกระตุกลวดแน่นขึ้นเพื่อเร่งให้จ่าเวชตายไวๆ แต่จ่าเวชพยายามดิ้นรนรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย คว้าขวดน้ำปลาตีใส่หัวยุทธเต็มแรง ยุทธผงะไป
โจได้ยินเสียง รีบกระโจนไปที่ครัว
“คุณลุง อยู่ในครัวหรือคะ”
ครั้นโจเดินเข้ามาในครัวเห็นเหตุการณ์เข้าก็ตกใจ กรี๊ดลั่น
“อ๊าย คุณลุง”
ยุทธชักปืนติดที่เก็บเสียงออกมาจะยิงใส่โจ แต่จ่าเวชเห็นเข้ารีบตะครุบมือยุทธ
“หนีไปนังหนู หนีไป”
จ่าเวชจับมือยุทธกดลงหม้อพะโล้ที่กำลังเดือดพล่าน ยุทธแผดเสียงร้องทิ้งปืนคาหม้อไว้ แล้วชกจ่าเวชจนตกจากเก้าอี้รถเข็น ก่อนที่มันจะผวาไปหาอ่างล้างจาน แล้วเปิดน้ำก๊อกรีบแช่มือ โจถือโอกาสนั้นเข้าไปลากตัวจ่าเวชออกมา
“คุณลุง ทางนี้”
ยุทธเห็นเข้าก็รีบถีบโจออกจากจ่าเวช โจกระเด็นไปชนตู้กับข้าวล้มโครมคราม มีดทำครัวที่เก็บอยู่ในตู้หล่นร่วงออกมา
จ่าเวชตะกายคลานไปจะคว้ามีด แต่ยุทธเอาตีนกระทืบหลังเอาไว้
จ่าเวชแผดร้อง คว้ามีดหันมาฟันใส่ขายุทธ ทำเอายุทธร้องเสียงหลงเสียหลักล้มลง จ่าเวชรีบพลิกตัวจะแทงซ้ำ แต่ยุทธคว้ามือไว้ สองคนจึงเกิดการยื้อแย่งกันขึ้น

ตะวันฉายเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในซอยบ้านอย่างรีบเร่ง บิดเร่งความเร็วสุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยสีหน้าร้อนรน ธิชาเองก็มีท่าทางกังวลมากไม่ต่างกัน

ฟากบูรพาขับรถมาราวกับจะบิน พลางกดหมายเลขโทรศัพท์ไปด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีคนรับก็วางสาย ขยับเกียร์เพิ่มความเร็วรถยิ่งขึ้น รถบูรพาแล่นหายไปตามท้องถนน

ระหว่างนี้เองโจเริ่มได้สติหายมึน หันมาดูเหตุการณ์อย่างตื่นตะลึง
จ่าเวชร้องบอก “นังหนูหยิบปืน หยิบปืนมาเร็ว”
โจผวาไปหยิบปืนจากหม้อพะโล้แต่คว้าได้ไม่ทันไร ก็ต้องรีบปล่อยปืนร่วงลงพื้นเพราะความร้อน
ยุทธใช้มือหนึ่งรั้งมีด และยื่นอีกมือไปจะคว้าปืน จ่าเวชถือโอกาสต่อยยุทธจนกระเด็นไป โจโผเข้าแย่งปืนมาถือไว้ แต่บีบแรงไปหน่อยจนปืนลั่น กระสุนซัดใส่ตุ่มน้ำเอย หม้อ ชามรามไหวุ่นวาย โจขวัญกระเจิง ร้องไปยิงไป
ยุทธกับจ่าเวชหลบกระสุนคนละทิศละทาง ยุทธเห็นท่าไม่ดีตะเกียกตะกายหนีออกจากครัวไป

ยุทธเดินลากขาออกมาจากบ้านอย่างรีบเร่ง พอดีกับรถตู้ย้อนกลับมารับ ยุทธจึงรีบขึ้นรถ
“เกิดอะไรขึ้น” ทัศน์อย่างไม่พอใจ
“มีคนมาช่วยมัน”
ทัศน์เจ็บใจชักปืนออกมา ทำท่าจะเข้าไปซ้ำ
“เป็นไปได้ยังไงกันวะ”
กฤชซึ่งขับรถอยู่ส่งเสียงขึ้นมา “คุณทัศน์”
ทัศน์มองตามไปเห็นมอเตอร์ไซค์ตะวันฉายกำลังแล่นตรงเข้ามายังหน้าบ้าน ทัศน์อารมณ์เสียบ่นขมุบขมิบด่าอย่างเจ็บใจก่อนจะสั่งกฤช
“ถอยก่อน”
กฤชออกรถแล่นจากไป สักพักจึงเห็นมอเตอร์ไซค์ของตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน
“พ่อ พ่อ”
ตะวันฉายโลดแล่นเข้าบ้านไป ธิชาตะลึงอยู่สักครู่ จึงตามตะวันฉายเข้าไป

ตะวันฉายเข้ามาเห็นสภาพเละเทะของบ้านก็ผวาเข้าไปดูจ่าเวช
“พ่อ พ่อเป็นยังไงบ้างพ่อ”
จ่าเวชเหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่โบกมือปฏิเสธ ตะวันฉายประคองพ่อขึ้นนั่งรถเข็น ส่วนธิชาตามเข้ามาและเหลือบเห็นโจนั่งทื่อช็อกอยู่กับพื้น มือยังกำปืนแน่น จึงรีบเข้าไปดู
“โจ”
โจสะดุ้งปืนลั่นออกมาอีกนัดหนึ่งถูกของในครัวอีก ธิชาผงะออกอย่างตกใจ จ่าเวชกับตะวันฉายพลอยสะดุ้งไปด้วย
โจเปิดปากพูดออกมา อาการยังช็อกอยู่ “ตายรึเปล่า มันตายรึเปล่า”
“มันไปแล้วโจ” ธิชาค่อยๆ ดึงปืนออก “ไม่มีอะไรแล้วนะไม่มีอะไรแล้ว”
เพียงเท่านั้นโจก็หมดความอดทน ทิ้งปืนไปไกลตัว แล้วร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ ธิชาลูบตัวปลอบ
“ไม่เป็นไปนะ ไม่ต้องกลัว”

ตะวันฉายมองสภาพความวินาศสันตะโรรอบตัว เขาขบกรามแน่น นึกแค้นน้องชายอยู่ในใจ

อ่านต่อหน้า 4




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 13 (ต่อ)

เวลาผ่านไป บูรพามาถึงและนั่งดูอาการจ่าเวชที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
บูรพานึกแค้นใจที่เขาเป็นต้นเหตุ ธิชาเดินมาลูบบ่าปลอบ

“ให้คุณลุงพักผ่อนเถอะค่ะ”
บูรพาพยักหน้า ธิชาเดินนำคนรักออกจากห้องไป

โจอยู่ในห้องโถงรับแขกกำลังโทรศัพท์คุยกับเสือ
“ดาบเสือเหรอ ฮื่อ วันนี้ไม่กลับนะ จะค้างที่บ้านผู้หมวด เอาน่ะอย่าถามเลย สรุปว่าไม่กล้ากลับบ้านคนเดียวก็แล้วกันแค่นี้นะ”
โจวางสายก่อนจะมองไปยังตะวันฉายที่เอาแต่นั่งซึมมองมาด้วยความเป็นห่วง พอดีธิชากับบูรพาเดินออกมา ตะวันฉายมองบูรพาแล้วมองออกไปที่สนามหน้าบ้าน แล้วลุกเดินนำออกไป
บูรพารู้ว่าตะวันฉายมีปัญหาต้องเคลียร์กับตน จะตามออกไป ธิชากลัวมีเรื่องกันรีบรั้งไว้
“บูรพาคะ”
บูรพาลูบบ่าปลอบธิชา แล้วตามตะวันฉายออกไป ธิชาชะเง้อตามอย่างเป็นห่วง

ตะวันฉายยืนรอบูรพาอยู่เงียบๆ จนบูรพาตามออกมา
“ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพ่ออีกครั้งเดียว แกลืมตารางไปได้เลยบูรพา เพราะฉันนี่แหละจะเป็นคนเด็ดหัวแกกับมือ”
“ฉันรู้”
“คนที่โทรมาขู่แก มันเป็นใคร”
บูรพาไม่อยากดึงพี่ชายมาเกี่ยว “นั่นมันหน้าที่ของฉัน แกไม่เกี่ยว”
ตะวันฉายโกรธจัด “จนป่านนี้แกยังบอกว่าฉันไม่เกี่ยวงั้นเหรอ ทุกอย่างมันฉิบหายวอดวายขนาดนี้ แต่แกบอกว่าฉันไม่เกี่ยว แล้วพ่อล่ะบูรพา พ่อไปเกี่ยวอะไรกับงานของแกด้วย ทำไมพ่อต้องมารับเคราะห์เพราะแกแบบนี้”
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง แกไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น หน้าที่ของแกคือดูแลพ่อให้ดีที่สุด”
“แล้วหน้าที่ของแกล่ะบูรพา แกทำอะไร วิ่งหนีแล้วก็ทิ้งปัญหาไว้ข้างหลังงั้นเหรอ”
บูรพาสะเทือน โดนจี้ใจดำจังๆ
“แกบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เองใช่มั้ย งั้นฉันถามหน่อยเหอะ ห้าปีมานี่แกเคยจัดการกับอะไรได้นอกจากปัดกับโยนมันให้พ้นตัว แล้วปล่อยให้คนอื่นรับภาระ”
บูรพาชักโกรธ “อ้อ ได้โอกาสระบายออกแล้วงั้นสิ”
“ถ้าอยากจะระบายฉันคงใส่แกไปตั้งนานแล้ว แกหันไปดู มีใครในบ้านนี้บ้างที่ยังไม่เคยซวยเพราะแก”
บูรพาเหลือบไปก็เห็นธิชา ก็ชะงัก นิ่งไป นึกละอายใจอยู่บ้าง
“ฉันมันน่าหมดหวังสำหรับแกแล้วใช่มั้ย” บูรพาตัดพ้อ
“ยังมีหวังบูรพา ไม่ใช่ตัวแก แต่เป็นความรักของพ่อกับแม่ที่อยู่ในเลือดของแก นั่นแหละเป็นแรงจูงใจเดียวที่ฉันยังคิดจะช่วยแกต่อไป แต่ฉันไม่มีวันจะพาไอ้ตัวอันตรายอย่างแกกลับบ้านเด็ดขาด คนอย่างแกมีที่เดียวเท่านั้นที่จะมีลมหายใจอยู่ได้ ก็คือในคุก”
บูรพารู้สึกว่าตะวันฉายกลับมาเป็นตะวันฉายที่เอาจริงอีกครั้งก็อดหนาวๆลึกไม่ได้ เขามองไปที่ธิชาก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ตะวันฉายมองตามก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปเอาของบางอย่าง ธิชามองตามเพราะไม่รู้ว่าตะวันฉายจะไปเอาอะไรมาให้น้อง แต่ครู่เดียวตะวันฉายก็กลับออกมา
ธิชารีบรั้งเขาไว้ “ตะวันฉายคะ คุณจะทำอะไร”
ตะวันฉายแกะปลดแขนธิชาออก เอ่ยขึ้น
“บูรพา”
บูรพาหันมา ตะวันฉายโยนของอย่างหนึ่งลงพื้นตรงหน้าบูรพา ปรากฏว่าเป็นกุญแจมือ
“ของแก เก็บไว้ดีๆ และก็เตือนตัวเองไว้ มันคือสิ่งเดียวที่จะช่วยชีวิตแกได้ ตราบใดที่แกยังไม่ยอมสวมมัน อายุแกจะสั้นลง”
“แกมีปัญญาก็มาสวมให้ฉันสิ”
บูรพาเตะกุญแจมือทิ้งไว้ก่อนจะขึ้นรถไป ตะวันฉายมองตามอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่ธิชาก็มองตะวันฉายสีหน้าหวาดหวั่น เพราะรู้ว่าเขาเอาจริงแน่นอน

เคี้ยงนั่งหน้าหงิกไอโขลกๆ รอการกลับมาของบูรพาอยู่ในบ้านเสี่ยเจริญ โดยมีจ๊อดที่รอเป็นเพื่อนอยู่อย่างใจคอไม่ดี คอยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้และปลอบเคี้ยง
“อย่าลืมทานยานะลุง เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีก”
เคี้ยงมองปรามดุๆ จ๊อดจึงถอยไปหามุมสงบนั่งหลบภัย สักครู่จึงเห็นบูรพาเดินคอตกกลับเข้ามา
“แกหายไปไหนมาทั้งวัน โทรศัพท์ไปก็ไม่ยอมรับสาย”
บูรพาหย่อนตัวลงนั่งอย่างอ่อนเพลีย ก่อนจะให้คำตอบ
“ท่านรองบารมีส่งคนไปทำร้ายพ่อผม”
เคี้ยงอึ้ง ชะงักงันไป “อะไรนะ”
“ลุงได้ยินแล้ว มันเคยขู่ผมเอาไว้อย่างนั้น แล้วมันก็ทำจริงๆ”
“ทำไมมันต้องทำอย่างนั้น ทำไมมันไม่เล่นงานแก” เคี้ยงแปลกใจ
“ถ้าฆ่าผมตาย ก็มีคนต่อไปมาแทน แต่ถ้าทำแบบนี้ ไม่มีใครกล้าขึ้นเป็นหัวหน้าอีกแน่”
เคี้ยงเครียด
“ท่านรองบารมี นี่งานแรกเราก็ต้องเจอศึกใหญ่แล้วเหรอ”

ผับใกล้ปิดแล้ว เจิมฉัตรกลับก่อน เดินออกมาจากประตูตรงไปยังลานจอดรถ สมุนที่เฝ้าประตูสองสามคนพากันก้มหัวให้
“กลับแล้วเหรอครับคุณเจิมฉัตร” สมุน 1 ทัก
“อืม ฝากดูที่เหลือด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรก็โทรไปบอกฉัน”
“จะให้ตามเด็กขับรถให้มั้ยครับ” สมุน 2 เป็นห่วง
“ไม่ต้อง ฉันขับเอง”

เจิมฉัตรเดินมาที่รถและกดรีโมท ก้าวขึ้นไปนั่ง หล่อนพลิกกระจกหน้าส่องดูลิปสติกเล็กน้อยก่อนจะสตาร์ทรถ แต่ทว่ารถสตาร์ทไม่ติด
เจิมฉัตรรู้สึกประหลาดใจ กวาดมองออกไปรอบตัวพบว่าบรรยากาศค่อนข้างเปลี่ยว ก็เริ่มใจคอไม่ดี พอดีเหลือบเห็นคนใส่ชุดยามยืนอยู่ก็ค่อยใจชื้น เปิดประตูลงไปเรียก
“นั่นใครอยู่ตรงนั้นน่ะ มาช่วยดูรถให้ฉันหน่อยซิ”
ยามยืนนิ่ง เจิมฉัตรโกรธ
“นี่หูแตกเรียกไม่ได้ยินหรือไง มาช่วยดูรถให้ฉันหน่อย เป็นอะไรถึงสตาร์ตไม่ติดก็ไม่รู้”
ยามซึ่งยืนอยู่ในเงามืดนั้น โยนอะไรออกมาตรงหน้า เจิมฉัตรก้มลงมองและพบว่ามันคือชิ้นส่วนของรถที่ถูกถอดออกและทำให้รถสตาร์ตไม่ติด
เจิมฉัตรหน้าซีดเงยหน้ามองไป จนเห็นคนในเงามืดเดินออกมาช้าๆ ปรากฏว่าเป็นชัชชัย
“อีตัวแสบ”
เจิมฉัตรหวีดร้องเสียงหลงขยับจะเข้ารถ แต่ชัชชัยก็ชักมีดสปาต้าปรี่เข้ามาเสียก่อน เจิมฉัตรตัดสินใจทิ้งรถวิ่งหนี แต่เห็นว่าจวนตัวก็เลยได้แต่วิ่งไปรอบๆ รถ
“อย่านะชัชชัย อย่าทำอะไรฉัน ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ใช่ฉันรู้ ฉันเชื่อว่าเธอไม่รู้เรื่อง มานี่สิเจิมฉัตรมาหาฉัน แล้วเราจะได้คุยกันไงล่ะ”
ชัชชัยเงื้อมีดฟันเจิมฉัตร อีกฝ่ายก้มหัวหลบมีดฟันโดนเสาปูนเป็นประกาย แล้วกรีดร้องวิ่งหนีต่อ ชัชชัยไล่ล่าไปติดๆ แต่แล้วก็ชะงักกุมท้อง เห็นมีรอยเลือดชุ่มออกมา
“ไอ้ระยำ แผลกู”
เจิมฉัตรสบโอกาสขยับจะหนี แต่ชัชชัยก็ปาดมีดขวางไว้
“มึงจะหนีไปไหนอีเจิมฉัตร อีนกสองหัว คนอย่างมึงมันดวงกินผัวแท้ๆ ใครได้มึงเป็นเมียก็มีแต่ความฉิบหาย”
เจิมฉัตรทั้งเหนื่อยทั้งกลัว จนสุดท้ายเลือดขึ้นหน้า เถียงสวนไปบ้าง
“เออ ใช่ แกก็คนหนึ่งล่ะ ขอให้ฉิบหายๆ อย่างที่ว่าเหอะ”
“มึงอย่าอยู่เลย”
ชัชชัยไล่ต้อนเจิมฉัตรอย่างยากลำบากเพราะแผลเก่าที่ฉีกออกกว้างขึ้น เจิมฉัตรได้สติรีบขย่มรถที่จอดอยู่รอบๆ ตัว จนสัญญาณเตือนภัยดังระงม
ชัชชัยหน้าเสียเริ่มลังเล
“เอาสิ แค้นนักไม่ใช่เหรอ แน่จริงก็เข้ามาเลย ดูว่าเธอจะเก็บชั้นได้ก่อน หรือคนที่คลับจะวิ่งมาดูก่อน”
เสียงคนเอ็ดตะโรใกล้เข้ามา ชัชชัยหันรีหันขวาง
“เข้ามาสิ ฉันบอกให้เข้ามาไงล่ะ มีน้ำยาแค่นี้เองเหรอชัชชัย”
ชัชชัยเห็นจวนตัว ได้แต่เอามีดชี้หน้าฝากอาฆาตไว้ ก่อนจะเร้นกายถอยหายไปในความมืด ทิ้งให้เจิมฉัตรถอนหายใจอย่างโล่งอก

ที่คอนโดหรูของทัศน์วันถัดมา ทัศน์หั่นผักเตรียมทำอาหารอยู่ เห็นเจิมฉัตรนั่งอยู่ด้วย
“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดถึงชู้เก่าจนตาฝาด”
เจิมฉัตรซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หันมาตอบอย่างไม่พอใจ
“นี่ ฉันไม่ได้กระสันทุกเวลาขนาดนั้นหรอกนะ ฉันเห็นกับตาว่าเป็นชัชชัย ที่สำคัญมันกำลังบาดเจ็บ มีแผลที่ท้องด้วย”
“งั้นก็ไม่ผิดตัว” ทัศน์เซ็ง แดกไม่ลง “สงสัยจะมือตก หมู่นี้เก็บใครไม่ยักตายซักคน”
“ยกเว้นชัชชัย เธอต้องให้มันตายให้ได้นะทัศน์ ปล่อยมันไว้ไม่ได้เพราะมันไม่ใช่แค่อาฆาตเราเท่านั้น แต่มันยังรู้อะไรๆ มากเกินไปอีกด้วย ขืนปล่อยมันไว้เราได้ยุ่งกว่านี้อีกแน่”
ทัศน์คิดสักครู่ “เธอบอกใครรึเปล่าว่าเจอมัน”
เจิมฉัตรส่ายหน้า “ฉันบอกพวกที่ผับว่าเป็นคนโรคจิต”
“ดี ตอนนี้ตำรวจก็กำลังซาๆ เรื่องควานหาตัวมัน ถือโอกาสนี้ระดมคนมาล่ามันซะเลยก็สิ้นเรื่อง”
“นานแค่ไหนกว่าจะรู้ผล”
“ไม่เกิน 3 คืน เตรียมตัวอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ละกัน”
เจิมฉัตรยิ้มพอใจ
ทัศน์ลอบมองเจิมฉัตรด้วยความสมเพชความคิดของผู้หญิงคนนี้ อยู่เงียบๆ

ขณะเดียวกัน เสือ ยักษ์ และบุญส่ง เดินออกมาส่งตะวันฉายที่มาติดต่อเรื่องคดีทำร้ายจ่าเวช
“ลำบากหน่อยนะหมวด ทั้งยายเด็กโจแล้วก็คุณพ่อของผู้หมวดบอกเห็นหน้าคนร้ายไม่ถนัดทั้งคู่ เป็นแบบนี้คงจะตามดมกลิ่นยากหน่อย” จ่าว่า
“เลือดคนร้ายล่ะ เช็คดีเอ็นเอได้มั้ย” ตะวันฉายถาม
“โธ่หมวด เล่นถึงขั้นนั้นมันต้องคนร้ายที่มีประวัติเลือด แล้วก็ต้องชี้ชัดได้ว่าคนร้ายอยู่ประมาณวงไหน ขืนควานหาสุ่มแบบนี้ สิ้นปีโน่นถึงจะเจอ” เสือบอก
“เอางี้ดีมั้ยครับหมวด จะให้จัดกำลังไปอารักขามั้ยครับ” ยักษ์ว่า
“อย่าถึงขั้นนั้นเลย แค่ให้สายตรวจท้องที่ไปวนดูบ่อยๆ หน่อย ก็พอ”
“ดีครับ เอแล้วใครจะติดต่อกับ สน.ท้องที่ ไอ้ยักษ์ เอ็ง” จ่าบุญส่งมองหน้ายักษ์เขม็ง
“ไม่ต้องหรอก ตำรวจท้องที่ ยืนอยู่นี่คนนึงแล้วไง”
ตะวันฉายชี้เข้าที่ตัวเองอย่างประชดชีวิต สามคนหน้าเจื่อน
“แหม หมวดก็ ผมลืมไป” จ่าหน้าจ๋อย
ตะวันฉายยิ้ม ไม่ว่าอะไร เสือนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“เออหมวดครับ แล้วโจเป็นยังไงบ้างครับเนี่ย”
“ก็โอเคขึ้นแล้ว แต่ยังผวาอยู่หน่อยๆ คุณจะไปเยี่ยมมั้ยล่ะ เห็นโจเค้าบ่นๆ ถึงอยู่เหมือนกันนะ”
เสือดีใจ “ครับ ไปครับ”
ยักษ์กับบุญส่งแอบพยักพเยิดกันเหมือนดูอาการเสือออก
“เนื้อเต้นเชียวนะเอ็ง” จ่าเหน็บ
ตะวันฉายเองก็ดูออก แต่ไม่พูดอะไร

โจกำลังรีดผ้าอยู่ในบ้านจ่าเวช โดยมีเสือมาคอยนั่งเฝ้าราวกับผัวมาตามเมียกระนั้น
“เอ๊ะ ไม่กลับ บอกว่ายังไม่กลับหมู่จะถามเซ้าซี้ไปทำไม ไม่เห็นเหรอว่าอยู่ที่นี่มีงานทำ”
“อยู่ที่โน่นก็มี เธอไม่อยู่แป๊บผ้ากองเป็นภูเขาเลยรู้มั้ย”
“เสือก็ซักเองสิ ทำไม หรือดาบมีปัญญาจ้างฉัน หน็อย ทำเป็นมาตะล่อม จะหลอกไปทำงานบ้านฟรีล่ะสิท่า ฝันไปเหอะ”
“เธอเองก็ฟอร์มเหมือนกันแหละน่า โธ่เอ๊ยทำงานๆ อยากอยู่ใกล้ผู้หมวดมากกว่าล่ะมั้ง”
โจฉุน เสือลอยหน้าลอยตาพูดต่อ
“อ่านนิยายน้ำเน่ามากไปก็เงี้ย ทำแปลงกายมาเป็นนังแจ๋ว กะว่าคุณผู้ชายจะเข้าห้องผิด”
“ก็แล้วมันหนักหัวใครไม่ทราบ”
“หนักหัวเรือ รู้จักมั้ย ได้ดีแล้วถีบหัวเรือส่งน่ะ”
โจหมั่นไส้ ประชดส่ง “อู๊ย คม คิดมาจากบ้านเลยหรือไงจ๊ะมุขเนี้ย หาดาบ”
เสืออ้าปากจะเถียงต่อ พอดีตะวันฉายโผล่หน้าออกมาจากห้องจ่าเวช และเตือน
“ชู่ เบาๆ”
ตะวันฉายกลับเข้าห้องไป ทิ้งให้เสือกับโจงอนใส่กัน แต่จะเห็นว่าลับหลังโจนั้น เสือแอบมองอยู่หงอยๆ รู้สึกผิดหวังที่โจเห็นตะวันฉายดีกว่าตนตลอด

ตะวันฉายกลับเข้ามาในห้องและลงมือนวดยาตามรอยช้ำที่แขนขาให้จ่าเวชต่อ
“ดีนะตั้งแต่มีเด็กคนนี้มาอยู่ หายเหงาไปเยอะเชียว โดยเฉพาะหู เมื่อตอนเที่ยงมาป้อนข้าวให้พ่อแป๊บเดียว หูอื้อไปข้างนึงเลยว่ะ” น้ำเสียงจ่าเวชเอ็นดูมากกว่ารำคาญ
“โจคงไม่ถึงกับจะให้มาอยู่กับเราหรอกครับพ่อ ผมตั้งใจจะจ้างไว้ไปเช้าเย็นมากกว่า”
“แกไม่สนเด็กนี่บ้างเหรอ”
ตะวันฉายครวญ “พ่อ อีกแล้วเหรอครับ”
“เออน่า ถามไปงั้นแหละ ไม่กล้าเดาหรอก ตอนนั้นหนูธิชาก็ดูผิดไปคนนึงแล้วล่ะ
คิดๆ ก็น่าเสียดาย พ่อยังนึกว่าแกกับหนูธิชาเป็นแฟนกันซะอีก”
ตะวันฉายฟังแล้วจ๋อยไปสนิท จนจ่าเวชเอ่ยขึ้น
“นี่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับน้องไม่ได้เลยหรือไง”
“พ่อก็รู้ ต่อให้ผมรักมันยังไง แต่ลงว่าเกิดเรื่องกับพ่อขนาดนี้”
จ่าเวชรีบบีบมือห้ามไม่ให้ตะวันฉายพูดต่อ
“มันก็เหมือนกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อน โทษกันไปกันมาก็คงไม่จบหรอก”
ตะวันฉายพยักหน้า
“แล้วเรื่องมันแกจะเอายังไงต่อ”
ตะวันฉายถอนใจ “ผมอยากหยุดมันพ่อ ทุกคนให้โอกาส ให้เวลากับมันมาพอแล้ว แต่สภาพผมตอนนี้คงไม่มีปัญญาจะไปทำอะไรมันได้”
“ตั้งแต่เล็กจนโต แกกับบูรพาแข่งกันประจำ พ่อจำได้ต่อให้แกไม่ตั้งใจจะอ่อนข้อ แกก็ยังแพ้มันอยู่เรื่อย แกเคยสงสัยมั้ยว่าเพราะอะไร”
ตะวันฉายตั้งใจฟัง
“บูรพามันเป็นคนหุนหัน เวลาลงเล่นเกมอะไร มันก็อยากจะเอาชนะจนลืมตัว ลืมไปว่าผลได้ผลเสียที่ตามมาจะเป็นยังไง ลืมแม้แต่ว่ามันเล่นกับใคร หรือเล่นกับอะไรอยู่”
“แต่มันก็เป็นสมาธิอย่างนึงในเกม ควรจะมีแค่ตัวเรากับคู่แข่ง ไม่ควรมีเงื่อนไขอื่น”
“รู้ก็ดีแล้วนี่ ถ้าแกจะชนะมัน แกก็ต้องคิดให้ได้อย่างมัน”
ตะวันฉายประหลาดใจ “ผมนึกว่าพ่อจะห้ามผมซะอีก พ่ออยากให้ผมจับบูรพางั้นเหรอ”
จ่าเวชส่ายหน้า “แต่บูรพามันลืมตัว มันไม่รู้หรอกว่าความตายคือจุดจบของเกมที่มันเล่นอยู่ ถ้าแกจะช่วยน้อง ก็ต้องทำให้มันหยุดเล่นเกมนี้แกจะต้องเล่นให้ชนะมัน ก่อนที่เวลามันจะหมด”
ตะวันฉายนิ่งคิดตามที่พ่อพูด

ที่ชุมชนเล็กๆ ใต้ทางด่วน มีคนจรจัด ขี้ยา ใช้เศษไม้ตอกกั้น แบ่งเป็นเพิงที่พำนักอาศัย เห็นซอกสี่เหลี่ยมแคบๆ ซอกหนึ่งมีตะเกียงจุดอยู่วับแวบ ชัชชัยยื่นเข็มในมือไปลนไฟฆ่าเชื้อโรค แล้วใช้ฟันกัดผ้าก๊อซเอาไว้ ก่อนจะเริ่มต้นเย็บแผลอย่างเจ็บปวดทรมาน ชัชชัยเย็บแผลไปครางไปเหมือนเสือบาดเจ็บ
เวลาล่วงเลยไปอีก ชัชชัยฉีกหนังสือพิมพ์มาห่อสำลีเปื้อนเลือด และอุปกรณ์ทำแผล เพื่อจะนำไปทิ้ง แล้วเอนตัวพิงฝาอย่างอ่อนล้า แต่แล้วสายตาเหลือบเห็นข่าวบนหนังสือพิมพ์เข้า จึงเลื่อนมาดู
ชัชชัยเห็นภาพข่าวหน้าหนึ่งหรา

“บุกฆ่าอดีตตำรวจ ปมแค้นแก๊งค้ายา”

ชัชชัยพลิกดูข่าว และมองสภาพแผลของตัวเองด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

อ่านต่อตอนที่ 14



กำลังโหลดความคิดเห็น