ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 12
นิยายละครโทรทัศน์ “ตะวันตัดบูรพา” ฉบับที่ตรงกับที่ออกอากาศทางช่องวัน มากที่สุดในสามโลก
ในวันต่อมา บูรพานั่งห่อของขวัญให้พ่อด้วยตัวเอง เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงงานวันเกิดพ่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นครอบครัวยังอยู่กันพร้อมหน้า จ่าเวชวิจารณ์ห่อของขวัญของบูรพา พร้อมกับหัวเราะขำ บูรพายิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น บูรพาลุกไปเปิดประตู ให้เคี้ยงเข้ามาในห้อง
“รบกวนอะไรเอ็งรึเปล่า”
เคี้ยงเหลือบไปเห็นกล่องของขวัญบนเตียง
“จะถึงวันเกิดพ่อของผมแล้วครับลุง ก็เลยว่าจะไปเยี่ยมที่บ้านซักหน่อย ลุงมีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
เคี้ยงส่ายหน้า “แค่จะมาชวนเอ็งคุยเล่นน่ะ”
“ก็ดีครับ ผมว่ามีอะไรจะปรึกษากับลุงอยู่เหมือนกัน”
ความเงียบทำหน้าที่ของมันจน เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง เคี้ยงนั่งนิ่งรอจังหวะเหมาะๆ เพื่อบอกเรื่องสำคัญกับเขา แต่สุดท้ายบูรพาเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน
“หลายปีมานี้ ผมเจอกับเรื่องยุ่งยากมากมาย เรียกได้ว่าตั้งแต่เข้าจนออกมาจากคุก ผมแทบจะไม่ได้มีเวลาจัดการอะไรกับชีวิตของตัวเองเอาเสียเลย ตอนนี้ ไหนๆ ปัญหาต่างๆ ก็สะสางลงได้แล้ว ผมก็เลยคิดว่าอยากจะโอกาสตัวเองเสียที”
เคี้ยงฟังไปกระแอมกระไอไปนิดๆ หวั่นใจอยู่ลึกๆ
“ลุงครับ ผมอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมอยากจะถอนตัว”
สีหน้าเคี้ยงเครียดลงถนัดตา “เอ็งพูดจริงๆ เหรอ”
“ลุงติดขัดอะไรรึเปล่าครับ”
เคี้ยงปฏิเสธกลบเกลื่อน “เปล่าๆ แล้วนี่เอ็งรู้แล้วเหรอว่าจะไปอยู่ที่ไหน จะไปทำอะไร”
“ยังไม่ได้วางแผนหรอกครับ แต่ว่าเร็วๆ นี้คงคิดออก”
เคี้ยงได้แต่นิ่งเงียบ บูรพาหันไปหยิบกล่องของขวัญไปจัดวางเข้าที่ เคี้ยงเฝ้ามองดูบูรพาอึดอัดอัดอั้นเหลือแสน
ฟากชัชชัยหยอดเหรียญลงตู้แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ มันเป็นเบอร์โทรศัพท์สายตรงในห้องนอนของเสี่ยเจริญ ที่กำลังแผดเสียงดังขึ้น จนเจิมฉัตรเดินมารับสาย
“ฮัลโหล” ปลายสายเงียบ “ฮัลโหล”
“สบายดีเหรอเจิมฉัตร”
เจิมฉัตรตื่นตกใจไม่น้อย “ชัช”
ชัชชัยในสภาพสวมหมวกแว่นดำพรางตัว กำลังโทรศัพท์จากเครื่องสาธารณะละแวกชุมชนแห่งหนึ่ง แหล่งกบดานของมัน
“อย่าทำเสียงตื่นกลัวอย่างนั้นสิ ผัวเก่าโทรมาน่าจะดีใจถึงจะถูก”
“ฉันจำเป็นนะคุณชัช ฉันไม่ได้คิดจะทรยศคุณ เหตุการณ์มันบังคับคุณก็เห็นไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเข้าใจเจิมฉัตร ผู้หญิงอย่างเธอรู้จักเอาตัวรอดเสมอ”
เจิมฉัตรทำใจดีสู้เสือ “คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”
“แน่นอน ฉันต้องการให้เธอติดต่อไอ้ทัศน์ บอกมันว่าอย่างน้อยฉันก็ทำงานให้มันสำเร็จ มันควรจะมีน้ำใจกับฉันบ้าง”
เจิมฉัตรนัดเจอทัศน์ที่คอนโดของหล่อน เวลานี้กำลังเดินเข้าไปหาทัศน์ที่ยืนชมวิวอยู่ตรงระเบียง เห็นได้ชัดว่าวันนั้นเจิมฉัตรแต่งตัวเปิดเผยล่อแหลมเป็นพิเศษ
“เค้าต้องการอะไร” ทัศน์ถามขึ้น
“เงินสด 20 ล้าน แล้วก็ช่วยหาทางให้เขาได้หนีไปต่างประเทศ”
“20 ล้าน ไม่มีปัญหา ถ้าเค้าหุบปาก เราก็ยินดีจะเปิดทางให้”
“คุณเต็มใจงั้นเหรอ”
“คุณมีปัญหาอะไร”
“แค่อยากรู้ คุณต้องการช่วยเค้าจริงๆ หรือว่าจำเป็นต้องช่วย เพราะกลัวฉันกับเค้าจะแฉเรื่องของท่านรอง”
ทัศน์ยิ้มชั่ว มองเจิมฉัตรอย่างอดทึ่งไม่ได้
“รู้มั้ย ผมน่ะชักจะหลงเสน่ห์คุณมากขึ้นทุกทีแล้วนะ คุณเจิมฉัตร ข้อเสียของผู้หญิงสวยส่วนใหญ่ก็คือ โง่ แต่คุณไม่ คุณฉลาดเกินไป”
ทัศน์ขยับเข้าใกล้ เจิมฉัตรยกมือลูบต้นขาของเขา และไล้มือขึ้นมาที่ปืน
“ไม่หรอกค่ะฉันก็แค่ผู้หญิงโง่ และคุณก็เป็นผู้ชายมีปืน ฉันยังต้องการคนปกป้อง และแนะนำอยู่เสมอ คุณแนะนำฉันเรื่องชัชชัยได้ใช่มั้ย”
“คนที่หักหลังคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นหักหลัง อย่างชัชชัย ไม่ควรจะมีเงินใช้ถึง 20 ล้าน ไม่ควรจะได้ไปต่างประเทศ”
“ไม่ควรจะมีลมหายใจอีกต่อไป”
ทัศน์พยักหน้าตกลงตามกัน เจิมฉัตรยิ้มอย่างพึงพอใจ สองคนสบตากันลึกซึ้ง ชวนให้นึกได้ไม่อยากว่าจะเกิดอะไรถัดไปจากนี้
ตะวันฉายนอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ที่โซฟาห้องโถงรับแขก ท่าทางเมื่อคืนคงกรำงานหนัก ถึงขนาดยังไม่ได้อาบน้ำก็หลับสนิทคาที่ สักครู่ก็เห็นมีมือธิชาเอื้อมมาสะกิดปลุก
“ผู้หมวด ผู้หมวดคะ”
ตะวันฉายลืมตาตื่น “ธิชา”
“โทษนะคะที่ปลุก เห็นคุณลุงบอกว่าเมื่อคืนคุณอยู่เวรจนถึงเช้า”
ตะวันฉายยังออกอาการเพลียอยู่ “ครับ”
“แต่ฉันมีข่าวดีจะบอกคุณ พรุ่งนี้บูรพาจะมาที่นี่ เค้าจะมาฉลองวันเกิดคุณลุงพร้อมคุณ”
สีหน้าที่อ่อนเพลียของตะวันฉายกลายเป็นกระปรี้กระเปร่า เขาขยับลุกขึ้นนั่ง และมองไปเห็นจ่าเวชที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น กำลังยิ้มให้อย่างมีความสุข
“น้องจะกลับบ้านแล้วลูก”
ซุปเปอร์มาร์เกตเต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายข้าวของมากมาย ภายในร้านยังเปิดเพลงรื่นเริงชวนให้คิดถึงครอบครัวและความสุข ตะวันฉายจูงรถเข็นให้ธิชาเข็นตาม
ตะวันฉายกับธิชากำลังอยู่ที่แผนกเนื้อ ตะวันฉายกำลังเลือกเนื้อตัวไปแพ็คใหญ่ 2-3 แพ็ค ธิชามองอย่าประหลาดใจ
“คุณซื้อเนื้อวัวไปทำไมเยอะแยะคะผู้หมวด”
“บูรพาเค้าชอบกินพะแนงเนื้อฝีมือพ่อที่สุดเลย ผมว่าจะซื้อไปให้พ่อช่วยแกงหม้อใหญ่ๆซักหม้อ คุณว่าดีมั้ย”
“ผู้หมวดคะ บูรพาเค้าเลิกทานเนื้อแล้วค่ะ”
ตะวันฉายชะงัก ค่อยๆ ลดเนื้อวัวแพ็คที่สามที่เลือกอยู่ลง
“เค้าเล่าว่าตอนที่ยังไม่พ้นโทษ พวกเพื่อนๆ เค้าไม่ทานกัน เค้าก็เลยเลิกทานด้วย”
ตะวันฉายคิดไปคิดมา “ถ้างั้น คุณเลือกแทนผมดีกว่า ว่าเราจะซื้ออะไรไปทำกินดี”
ตะวันฉายสลับที่ให้ธิชามาจูงรถแล้วเขาเป็นฝ่ายเข็นตาม ธิชานึกเขินกลัวจะเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ และจุ้นจ้านเกินงาม
“ไม่ค่ะไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณเลือกเถอะค่ะโอกาสสำคัญแบบนี้”
“ถึงตอนนี้คุณคงรู้จักเขามากกว่าผมซะ อีกคุณเลือกดีกว่า คุณบอกมาละกันเดี๋ยวผมไปซื้อ” ตะวันฉายยิ้ม พูดจากใจจริง
ธิชาอิหลักอิเหลื่อ
ถัดจากนั้นธิชาจูงรถเข็นพาตะวันฉายมาทีแผนกอาหารทะเล
“ทำอาหารทะเลดีกว่าค่ะ ทานง่ายมีประโยชน์ บูรพาเค้าชอบทานอาหารทะเล ยิ่งปลานี่”ชั้นหนึ่ง ทานได้เป็นตัวๆ เลย”
ในขณะเลือกซื้อของ ธิชาตัดสินใจพูดกับตะวันไปตรงๆ
“คุณจริงจังกับทุกอย่างมากเกินไป ผู้หมวดเรื่องบางเรื่องความรู้สึกสำคัญกว่าหลักการนะคะแค่คุณแสดงมันออกมาบ้าง อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”
“นั่นสินะ”
ธิชาขำ “มันไม่เห็นต้องมีเหตุผลก็ได้นี่คะผู้หมวด แค่รู้สึกชอบหรือไม่ชอบ”
“ผมดูเป็นคนเก็บความรู้สึกงั้นเหรอ”
“อย่าว่ากันเลยนะคะที่ฉันพูดตรงๆ ฉันแค่ไม่อยากให้ คุณพลาดอะไรดีๆ ในชีวิตไปมากกว่านี้”
ตะวันฉายมองหน้าธิชาอย่างเข้าใจ
หลังจากได้ของครบครันแล้ว ตะวันฉายเข็นรถใส่ข้าวของมาที่ลานจอดรถรถกับธิชา
“คุณไม่เห็นเคยเล่าเลยว่า ต่อไปนี้คุณกับบูรพาจะมีโครงการยังไงต่อ”
ธิชามองฉงน “คุณหมายถึงโครงการแบบไหนคะ”
“ก็…ชีวิตคู่”
ธิชาเขิน “ยังหรอกค่ะ เราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลยด้วยซ้ำ”
“ผมว่าบูรพา เค้าโชคดีมากที่ได้รู้จักกับคุณ”
“คุณก็รู้จักกับฉันเหมือนกันนี่ ทำไมไม่คิดว่าตัวเองโชคดีบ้างล่ะ”
ตะวันฉายได้แต่ฝืนยิ้มให้ธิชา ความหม่นหมองกัดกินหัวใจของเขาอยู่ในยามนี้
อ่านต่อหน้า 3
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ธิชาขับรถมาตามถนนสายเล็กๆ สายหนึ่ง บรรยากาศร่มรื่น สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกมีความสุขกับงานครั้งนี้ ตะวันฉายลอบมองธิชาเงียบๆ มาตลอดทาง
ตะวันฉายนึกถึงความอ่อนโยน ความสดใสของธิชาที่เขาได้เห็นได้สัมผัสมาทั้งผ่านทางบูรพา และที่ได้ประสบด้วยตนเอง
ตะวันฉายเมินหน้าไปนอกหน้าต่าง เหมือนอยากลืม และสลัดความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อธิชา
ทางด้านเสือไขกุญแจเข้ามาในห้อง และเห็นห้องโล่งสะอาด เมื่อมองไปด้านในก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งซิ่นเสื้อยืดกำลังขัดระเบียงอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ขอโทษครับ เข้าห้องผิด”
เสือกลับออกไป มองเลขห้องอยู่สักครู่ก็นึกขึ้นได้เปิดประตูเข้ามาใหม่
“เฮ้ย ห้องกูนี่หว่า”
สาวนุ่งซิ่น สวมหมวกอาบน้ำ ถือแปรงขัดส้วมที่กำลังขัดระเบียงอยู่หันมา เธอคือโจ ท่าเตียน
“เป็นบ้าอะไรอีกล่ะคะดาบเสือ”
“นี่ นี่เธอ..เธอจัดห้องฉันเหรอ”
“ฮือก็ใช่สิ ทนอยู่เข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้ รกบรรลัย”
เสือตกใจกวาดตาไปทั่วห้อง “สมใจล่ะ..สมใจ” โจงง เสือรีบบอก “นกอ่ะ”
“โน่นไง”
โจชี้ไปใกล้ๆ ตู้เย็น
“หัดเอาเวลามาใส่ใจความเป็นอยู่ซะมั้งสิ ขนาดฉันว่าชุ่ยแล้วนะยังได้ไม่ถึงครึ่งของดาบเลยมั้ง”
เสือไม่สนใจใดอื่น ดูนกสมใจอย่างห่วงใย คอยประคบประหงม จนสายตาเสือมองไปเห็นว่าบนโซฟามีที่นอน ผ้าห่ม หมอนวางอยู่
“นั่นอะไร”
“เขตของนาย”
”แค่นี้พอนอนเหรอ” เสือคิดว่าโจจะนอนบนโซฟา
โจก้าวเข้ามาที่ฝั่งเตียง “นี่เขตของฉัน นี่ขอเตือนก่อน กลางคืนอย่าเข้ามายุ่มย่ามเชียวนะ” โจชูมีดให้ดู “ฉันมีมีดด้วยนะจะบอกให้”
“นั่นมันมีดทำครัวฉัน”
“ยืมก่อน อ้อแล้วก็รูปในตู้เย็น ฉันทำความสะอาดแล้ววางไว้ให้”
ถัดมา เสือกับโจนั่งกินข้าวกันอยู่ที่ระเบียง กับข้าวมีแค่ไข่เจียว และผัดผักที่เสือปลูก โจเห็นเสือตักเอาตักเอาไม่พูดอะไรสักคำ
“ใช้ได้ปะ”
เสือพยักหน้า “ก็พอทานได้”
โจเบะปากอย่างหมั่นไส้
“ไหนบอกวันนี้จะไปเยี่ยมผู้หมวด”
“ฮื่อ โทร.ไปแล้ว ผู้หมวดบอกวันนี้วันเกิดคุณลุง”
“อ้าวแล้วเค้าไม่เชิญเราไปด้วยเหรอ”
โจพูดแล้วของขึ้น “เค้าสั่งห้ามโผล่ไปทั้งคู่เลยล่ะ งานนี้มีแขกสำคัญ นายบูรพากับยายอาร์ตติสต์สองจิตสองใจนั่นไง”
“ฮื่อ งั้นเค้าก็ทำถูกแล้วล่ะที่ขอไม่ให้เราไป ขืนไปก็ต้องมีเรื่องกัน โจทก์เก่าเราทั้งคู่”
โจพยักหน้ายอมรับ
“คิดๆ ดูเรานี่ก็ตัวแสบพอกันเลยนะดาบเสือ อยู่ที่ไหนก็มีแต่เรื่อง”
“เพิ่งรู้ตัวเหรอ”
“นี่แต่ฉันมาอยู่กับหมู่คงไม่ได้ทำให้หมู่เดือดร้อนหรอกใช่มั้ย”
เสือมองโจที่นุ่งผ้าซิ่น มองบ้าน มองกับข้าว
“ไม่นี่ ก็เจียวไข่อร่อยดี”
“ถ้าอีตุ๊กหายโกรธเมื่อไหร่ฉันจะรีบย้ายออก นายอย่าห่วงเลยนะ”
“ไม่ต้องรีบ…เอ่อ…ตามสบาย”
โจยิ้มขอบใจก่อนจะกินข้าวต่อ ส่วนเสือลอบมองโจ แล้วมองห้องตัวเองอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจที่มีโจมาอยู่ด้วย
ค่ำนี้ ผับเปิดทำการตามปกติ เคี้ยงเพิ่งเดินนำสมุนเข้ามาตรวจความเรียบร้อยในร้าน เคี้ยงยังคงไอโขลกๆ เป็นระยะ พอดีจ๊อดเดินเข้ามารายงาน
“ลุงเคี้ยงว่าจะโทรไปหาอยู่พอดี”
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ
จ๊อดส่งซองเอกสารให้ “ผู้ชายใส่แว่นที่โต๊ะ 7 เอาซองนี่มาให้ บอกว่าก่อนตายป๋าสั่งซื้อของจากมันไว้”
เคี้ยงมองไปที่ชายสวมแว่น ท่าทางดูเหมือนแมงดาไฮโซกำลังนั่งโบกมือทักทายเคี้ยง
เคี้ยงถามจ๊อดงงๆ “ของอะไร”
“ไม่ทราบครับ”
เคี้ยงเปิดซองดูภายใน เห็นมีกระดาษเพียงแผ่นเดียว
“มันบอกว่าป๋าจ่ายสดไปก่อนแล้วสามหมื่น ยังค้างมันอีกสามหมื่น ผมว่าต้องเป็นไอ้พวก 18 มงกุฎมาลักไก่เราแน่ๆ เลยครับลุงเคี้ยง ยำเลยมั้ยครับ”
เคี้ยงพิจารณาดูกระดาษแล้วหน้าเครียดไปชั่วขณะ มันเป็นเอกสารสำคัญที่เคี้ยงคาดไม่ถึงเอามากๆ เคี้ยงครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะสั่งการ
“จ่ายเงินให้มันไป”
จ๊อดตกใจ “อะไรนะลุง ตกลงจะจ่ายให้มันจริงๆ เหรอ”
“กระดาษแผ่นนี้ราคาถึงหกหมื่น” เคี้ยงนึก หน้าเครียดลงไปถนัดตา “ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเรา หรือโชคร้ายของไอ้บูรพากันแน่”
ขณะที่บูรพาเดินหอบของขวัญออกมาจากห้อง แต่เจอเคี้ยงกับจ๊อดเดินมาดักเข้าพอดี
“เอ็งจะออกไปธุระข้างนอกเหรอ”
บูรพาประหลาดใจ “ครับ”
“พอมีเวลาคุยกันสักครู่มั้ย ไม่นานนักหรอก”
เคี้ยงไม่รอคำตอบ เดินนำออกไปทันที ทิ้งไว้แต่จ๊อดที่ยักไหล่ให้บูรพาอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเคี้ยงไปรู้อะไรเข้า
บูรพาตามเข้ามาในห้องทำงานเสี่ยเจริญ ในขณะที่จ๊อดซึ่งตามรั้งท้ายมาก็ปิดประตู
“ข้าตกลงใจแล้ว เรื่องคนที่มาเป็นนายใหญ่คนใหม่แทนเสี่ยเจริญ ข้าขอมอบตำแหน่งนี้ให้เอ็ง บูรพา”
บูรพาขยับปากจะปฏิเสธ “ผม...”
เคี้ยงสวนออกมา “เอ็งไม่มีสิทธิ์ตอบปฏิเสธ
“แต่ยังไงผมก็ต้องปฏิเสธ”
“ก็เท่ากับว่าเอ็งรนหาที่ตาย”
จ๊อดตกใจ “ลุงเคี้ยง”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมลุงต้องบังคับผมแบบนี้ ลุงก็รู้ว่าผมกำลังจะถอนตัว”
“อย่าเข้าใจผิดไอ้บูรพา ข้าไม่ได้คิดจะบีบบังคับอะไรเอ็ง แต่ที่ข้าเลือกเอ็งก็เพราะเอ็งหมดสิทธิ์ถอนตัวซะแล้ว”
บูรพางุนงง
“เอ็งจำได้มั้ยที่ป๋าของเอ็งเค้าเคยขอเวลากับชัชชัย เพื่อสืบหาหลักฐานเรื่องของเอ็ง” เคี้ยงนิ่งนึกตามไปด้วย “ข้าน่าจะรู้ ปากมันบอกกับข้าบอกกับเอ็งว่าไม่สืบ…ก็เพราะต้องรักษาน้ำใจ แต่ความจริง มันให้คนไปดึงข้อมูลลับนี้ออกมา”
เคี้ยงเลื่อนซองสีน้ำตาลไปตรงหน้าบูรพา
“รู้มั้ยว่ามันคืออะไร”
บูรพาเปิดดึงกระดาษในซองออกมาครึ่งหนึ่ง เห็นเอกสารทั้งหน้ามีรอยขีดค่าเกือบหมด เห็นอักษรเพียงไม่กี่ตัว
“บัญชีดำของตำรวจ ถ้าพวกเอ็งไม่เคยรู้ก็รู้เอาไว้ซะ ไอ้วายร้ายทุกคนที่มีชื่ออยู่ในนั้น คือบุคคลที่ตำรวจจะไม่มีวันปล่อยให้ลอยนวลไปตลอดชาติ หมดสิทธิ์ที่จะมีชีวิตเหมือนปุถุชนคนอื่นๆ ถ้าไม่ติดคุกก็ต้องตาย”
บูรพาแปลกใจ “ทำไมมีแต่แถบดำทั้งนั้น ทุกชื่อถูกฆ่าทิ้งหมด”
“ชื่อที่ถูกฆ่าทิ้ง คือชื่อของคนที่ไม่เกี่ยวกับเรา และถูกปกปิดเป็นความลับ เพราะแต่ละชื่อคนที่ดึงข้อมูลสามารถนำไปขายเป็นข้อมูลได้ทั้งนั้น”
บูรพามองไปที่กระดาษแผ่นนั้นอย่างหวาดหวั่น ความกลัวแผ่ขึ้นมาเป็นริ้วๆ ในใจเขา
“ป๋าของเอ็งสั่งให้ค้นมาสองชื่อ อยู่ข้างล่าง”
บูรพาค่อยๆ ดึงกระดาษส่วนที่เหลือออกมาจากซอง
เคี้ยงบอกต่อว่า “มีชื่อเอ็งกับชัชชัยอยู่ในนั้น”
บูรพาไล่สายตาลงไป เห็นชื่อตัวเองชัดแจ้ง บูรพาหนาวสะท้านขึ้นมาทั้งกาย
ขณะที่ธิชาสะพายกระเป๋ากำลังจะออกไปข้างนอก ปูได้ยินเสียงก็ชะโงกหน้าออกมาดู
“จะไปข้างนอกเหรอ”
“ไปงานวันเกิดของคุณพ่อบูรพาเค้าน่ะ”
“กลับดึกรึเปล่า”
ธิชาใส่รองเท้า “คงไม่ดึก”
“ตกลงนายนั่นเค้าจะถอนตัวจริงๆ เหรอธิชา”
“ฉันเชื่อใจเค้า ฉันเชื่อว่าเค้าต้องทำได้”
“ได้อย่างนั้นก็ดี ความจริงเค้าก็ดูไม่เลวหรอกนะ ถ้าเริ่มต้นใหม่ได้”
ธิชายิ้มออกมา
“ขอบใจนะปู”
ปูมองตามธิชาออกไปจากห้อง ลึกๆ ยังนึกเป็นห่วง กลัวธิชาผิดหวัง
ธิชาเดินลงบันไดมา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นึกถึงสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งเรื่องบูรพาจะถอนตัวจากธุรกิจมืด รวมทั้งเรื่องปูที่เริ่มยอมรับในตัวบูรพา ระหว่างนี้ไฟตรงบันไดกระพริบดับๆ ติดๆ
ส่วนภายในห้องทำงานเสี่ยเจริญ บูรพานิ่งไปเหมือนถูกสาปไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วทิ้งกระดาษในมือไป ขณะที่เคี้ยงยังไอโขลกๆ อยู่
“ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องเป็นหัวหน้าแทนป๋า”
“นอกจากเอ็งที่เป็นคนสนิทของเสี่ยเจริญ กับข้าที่เป็นอดีตคนสนิทแล้วยังมีใครที่เหมาะสมกว่าอีกงั้นเหรอ”
“งั้นทำไมไม่เป็นลุง ทำไมต้องเป็นผมด้วย”
“บูรพา เอ็งเคยสงสัยมั้ย ว่าทำไมข้าถึงได้รับนิรโทษกรรม ทั้งๆ ที่ความจริงข้าน่าจะติดอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิต”
บูรพาลืมนึกเรื่องนี้ไปเลย จ๊อดเองก็สงสัยเช่นกัน เคี้ยงยิ้มก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ดูเลือดบนนั้น
“เพราะคุกไม่ได้มีไว้ขังคนตาย”
ทั้งจ๊อดทั้งบูรพาถึงกับอึ้ง ตะลึงตะไล เคี้ยงฝืนยิ้มให้สองคน แล้วเปิดตลับยามากิน คว้าแก้วน้ำมาดื่มตาม แต่แล้วก็สำลักไออีก เลือดสีแดงฉานพุ่งลงไปปนน้ำในแก้ว เคี้ยงทิ้งแก้วร่วงลงแตกกระจาย ก่อนที่จะเซไปพิงเก้าอี้
“ลุงเคี้ยง”
อีกฟาก จ่าเวชนั่งชะเง้อรอบูรพาอยู่ที่หน้าบ้าน กระทั่งเห็นรถธิชาแล่นเข้ามาจอด ธิชาลงจากรถ ตรงเข้ามาไหว้จ่าเวช
ไม่นานต่อมา ทั้งธิชาและตะวันฉายช่วยจัดโต๊ะอาหารอยู่ด้วยกัน ธิชาคอยชะเง้อมองจ่าเวชด้วยความเห็นใจ
“คุณลุงคงอยากเจอบูรพามาก”
“อันที่จริง พวกเราทุกคนก็รอคอยวันนี้กันทั้งนั้น”
“แต่คงไม่มีใครต้องลำบากเท่าคุณ”
ตะวันฉายชะงัก เห็นสายตาธิชามองมายังเขาอย่างชื่นชม
“ฉันเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่บูรพาหายโกรธแล้ว เขาจะต้องภูมิใจ ในตัวคุณค่ะผู้หมวด ภูมิใจในทุกๆ เรื่องที่คุณเสียสละเพื่อเค้า”
“อย่าชมผมอย่างนั้นเลย ตอนแรกผมเองก็เกือบจะรับไม่ไหวอยู่แล้วเหมือนกัน ถ้าไม่มีข่าวดีเข้ามาเสียก่อน ขอให้ครั้งเห็นครั้งสุดท้ายเถอะที่ผมต้องรอเค้ากลับบ้าน ถ้าขืนยังมีปัญหาอะไรตามมาอีกล่ะก็…”
ธิชาหน้าเสีย ตะวันฉายรู้ตัว
“ขอโทษที ผมแค่กังวลไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
ธิชาพยักหน้าไม่ว่าอะไร แต่ท่าทางเธอเริ่มกังวลตามขึ้นมาบ้าง
นาฬิกาเดินหน้าไม่หยุดหย่อน เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ล่วงเลยไป แต่บูรพายังไม่มา
จากเย็นย่ำกลายเป็นเวลาค่อนคืน
ทั้งจ่าเวช ตะวันฉาย และธิชายังนั่งรอบูรพาอยู่ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนกระวนกระวาย จนในที่สุดจ่าเวชก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“ทำไมป่านนี้เจ้าบูรพายังไม่มาอีก ฉาย โทร.ตามน้องได้มั้ยลูก”
ตะวันฉายมองสบตาธิชา “ครับพ่อ”
ตะวันฉายเดินมาที่โทรศัพท์ สังหรณ์ใจว่า อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ธิชาเองก็เริ่มกังวลแต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน จ่าเวชยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ตะวันฉายค่อยๆ ลดหูโทรศัพท์ลง ชะเง้อมองไป
บูรพาจอดรถเสร็จ เหลือบมามองที่กล่องของขวัญข้างตัวด้วยสีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด
ตอนนั้นเคี้ยงกระอักกระไอออกมาเป็นเลือด จนเขาต้องรีบเข้าไปประคอง
“ไอ้จ๊อดโทร.ตามหมอเร็วเข้า ลุงเคี้ยงทำใจดีๆ ไว้”
เคี้ยงเสียงแผ่ว “บูรพา เอ็งต้องเข้าใจ เอ็งไม่มีวันถอนตัวได้อีกแล้วทันทีที่เอ็งพ้นจากอำนาจ ทันทีที่เอ็งไม่มีเงินของป๋าหนุนอยู่ข้างหลัง พวกตำรวจจะรุมกันเล่นงานเอ็งเหมือนหมาตัวนึง”
บูรพาได้แต่นิ่งฟังอย่างปวดร้าว
“ที่สำคัญเอ็งช่วยไอ้เจริญค้ายา มาถึงขั้นนี้โทษเอ็งคงไม่ใช่ต่ำ กว่า 20-30 ปี ชีวิตทั้งชีวิตของเอ็งบูรพา เอ็งพร้อมจะกลับเข้าคุกอีกรอบงั้นเหรอ เอ็งคิดดูให้ดี”
บูรพาดึงสติตัวเองกลับมา สะดุ้งนิดๆ เมื่อมีเสียงเคาะกระจก บูรพาลดกระจกหน้าต่างลง เห็นธิชากำลังยิ้มให้
“ทุกคนกำลังรอคุณอยู่ค่ะ”
บูรพามองธิชาอย่างขมขื่น ก่อนจะเหลียวมองไปที่ตัวบ้าน เห็นตะวันฉายเข็นรถพาจ่าเวชออกมารอ สีหน้าของจ่าเวชยิ้มแย้ม เปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
บูรพาอึ้ง เจ็บปวดปวดร้าวเหลือเกินกับเส้นทางในชีวิต ที่ถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกโดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
อ่านต่อหน้า 3
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ค่ำคืนนี้ จ่าเวช ตะวันฉาย และ บูรพา ทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในรอบ 5 ปี ภายหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้น ตะวันฉายตักข้าวใส่จานพ่อ น้อง และจานตัวเองเสร็จ จึงลงนั่งตรงข้ามกับบูรพา
ธิชามองภาพสามคนอย่างสุขใจ แล้วส่งยิ้มมาให้บูรพาจากในครัว บูรพายิ้มให้ ลึกๆ ยังกังวลเรื่องที่รับปากธิชาเอาไว้
จ่าเวชเห็นอาการธิชากับบูรพา เลยกระซิบถามตะวันฉายเบาๆ
“ตกลงหนูธิชา เป็นแฟนเจ้าบูรพาหรอกเหรอ”
ตะวันฉายกระซิบตอบว่า “ผมบอกแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่แฟนผม พ่อก็ไม่เชื่อ”
จ่าเวชกระซิบอีก “ก็ตาแกมันเหมือนชอบเค้านี่หว่า”
ตะวันฉายนึกกระดากใจ หลบสายตาพ่อ พอดีเห็นธิชายกอาหารจานสุดท้ายออกมาจากในครัว จ่าเวชเลยหยุดซักเลิกสงสัย
“มาแล้วค่ะ เมนูจานเด็ด ปลาเก๋าราดพริก”
ธิชาวางลงแล้วบอกบูรพา
“จานนี้ต้องยกความดีความชอบให้พี่ชายคุณนะค่ะ เค้าลงมือเองหมดทุกอย่างเลย”
บูรพาเหลือบมองตะวันฉาย แต่ไม่กล้าสู้หน้าและสบตาด้วย
“ยกให้คนสอนดีกว่ามังครับ ต้องคอยปากเปียกปากแฉะอยู่ตั้งนาน” ตะวันฉายเย้า
“โอ้โห น่าทานซะด้วย” จ่าเวชบอกกับธิชาว่า “นี่หนูสอนเจ้าฉายทำกับข้าวได้หรือเนี่ย ขนาดลุงพูดจนปากจะฉีกถึงหู มันยังไม่ยอมฟังเลยไอ้นี่มันบ้าทฤษฎี เอะอะก็เปิดตำราลูกเดียว”
“แหม พ่อคนเราก็ต้องมีเปลี่ยนกันบ้างสิ”
ตะวันฉายมองมาที่บูรพา บอกเบาๆว่า “ยอมปรับปรุงตัวให้กันบ้าง”
บูรพารู้ว่าตะวันฉายกำลังหมายถึงตน ก็ทำเป็นไม่สน
“ลงมือทานข้าวกันดีกว่าค่ะ”
ทุกคนลงมือทาน ธิชาสะกิดบูรพาที่นั่งขรึมอยู่ให้สนใจพ่อ บูรพาตักอาหารให้จ่าเวช
“พ่อ...ทานเยอะๆ นะครับ”
จ่าเวชยิ้มอย่างมีความสุข แกล้งเลื่อนจานปลาของตะวันฉายมาตรงหน้าบูรพา
“แกก็เหมือนกัน ทานให้เยอะๆ นะ พี่เค้าอุตส่าห์ทำให้”
บูรพานิ่ง และพบว่าทุกคนรอลุ้นอยู่ว่าเขาจะยอมทานปลาหรือไม่ โดยเฉพาะธิชาที่มองอย่างวิงวอน บูรพายอมตักปลาใส่ปากเคี้ยว
“อร่อยครับ”
ทุกคนยิ้มโล่งใจมีความสุข ตะวันฉายแม้จะไม่แสดงออกมากนักแต่ก็รู้สึกดีใจ การทานอาหารดำเนินต่อไปอย่างออกรส จ่าเวชเคี้ยวตุ้ยๆ จนสำลักข้าว ธิชารีบส่งน้ำให้
“ไม่เป็นไรนะคะคุณลุง”
“ไม่เป็นไรๆ กับข้าวมื้อนี้อร่อยจริงๆ”
ธิชากระซิบ “ยังไม่หมดหรอกนะคะ คืนนี้บูรพามีข่าวดีจะบอกคุณลุงด้วย”
จ่าเวชยิ้มชื่นมองมาที่บูรพา โดยไม่ทันสังเกตว่าลกชายออกอาการอึดอัดมาก
เวลาผ่านไป งานเลี้ยงจบลงอย่างมีความสุข โดยเฉพาะจ่าเวชนั้นแฮปปี้กว่าใคร บูรพาส่งพ่อเข้านอน โดยมีตะวันฉายยืนดูอยู่ห่างๆ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว แกน่าจะอยู่ค้างที่บ้านสักคืน”
“อย่าเลยครับพ่อ ผมยังต้องไปส่งธิชาเค้าอีก”
จ่าเวชบ่น “แกนี่ก็เหลือเกิน เอาแต่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด หัดเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่ดูแลแฟนซะบ้างสิ ปล่อยให้พ่อหน้าแตกอยู่ตั้งนาน ตอนแรกยังนึกว่าธิชาเค้าเป็นแฟนเจ้าฉายมันซะด้วยซ้ำ”
บูรพาเพียงแต่ฝืนยิ้มไม่ว่าอะไร
“หางานอย่างอื่นทำซะเถอะบูรพา แล้วกลับมาอยู่บ้านเรานะลูก เชื่อพ่อนะ”
บูรพามองตะวันฉายและหันมาตอบพ่ออย่างลังเล
“อีกไม่นานหรอกครับพ่อ แล้วผมจะกลับบ้าน”
จ่าเวชยิ้มชื่น เชื่อสนิทใจ ในขณะที่ตะวันฉายเริ่มฉุนขึ้นมานิดๆ ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะหมดความอดทนกับการกลับคำพูดของน้องชาย
ธิชายืนคิดถึงเรื่องบูรพาอยู่ที่รถด้วยความผิดหวัง สักครู่ก็เห็นบูรพาเดินกลับออกมาโดยมีตะวันฉายตามหลังมาส่ง ตะวันฉายเหลียวไปดูในบ้าน เห็นว่าห้องจ่าเวชปิดไฟนอนแล้ว
ฝ่ายบูรพามองหน้าธิชาอย่างกระดากใจ ก่อนจะหันไปบอกตะวันฉาย
“เดี๋ยวฉันกับธิชาจะกลับแล้ว...”
บูรพาพูดไม่ทันจบ ตะวันฉายก็ปราดเข้าผลักเอกบูรพาเข้ากับรถ และกระชากคอเสื้อมาขยุ้มไว้ ธิชาปล่อยให้พี่น้องเคลียร์กัน เธอเดินออกมายืนดูเงียบๆ
“แกจะทำอะไร”
“ทำไม ก็ในเมื่อแกรับปากกับธิชาแล้ว ทำไมแกถึงต้องมากลับคำอย่างนี้ ตอบฉันสิบูรพา แกมีปัญหาอะไร ทำไมถึงยังถอนตัวไม่ได้”
บูรพากระอึกกระอัก “มันยังไม่ถึงเวลา”
“เวลาที่ว่า มันอีกนานแค่ไหนบูรพา ทุกคนต้องรอความหวังจากแกอีกนานแค่ไหน พ่ออายุหกสิบแล้วนะ จะให้รอความหวังของแกไปอีกกี่ปี”
บูรพาเจ็บปวด และขมขื่นเหลือเกิน ได้แต่เบือนหน้าหนี
“ฉันรู้ว่าความผิดของฉันที่ทำลายชีวิตแก ต่อให้ตายก็ไม่มีทางชดใช้แกได้หมด แต่แกก็ไม่น่าจะถือทิฐิมาลงกับพ่อแบบนี้ ถ้าแกไม่อยากเห็นหน้าฉัน ฉันไปอยู่ที่อื่นไปให้พ้นหน้าแกก็ได้”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
”แล้วเพราะอะไรบูรพา ทำไมแกถึงต้องยืดเวลาออกไปอีก บอกฉันได้มั้ยว่าแกมีเหตุผลอะไร”
“มันไม่ใช่เรื่องของแก ชีวิตของฉันๆ จัดการเอง”
“ถึงแกจะไม่นับฉันเป็นพี่ แต่แกอย่าลืม ฉันยังเป็นลูกของพ่อ ฉันยังมีสิทธิ์ปกป้องพ่อ จากความหวังลมๆ แล้งๆ ของแก”
บูรพาผลักตะวันฉายออกไป
“ปกป้อง สภาพแกตอนนี้ยังจะปกป้องอะไรได้อีก ไอ้ตำรวจคุมด่านข้างทางอย่างแก จะโดนไล่ออกวันไหนเมื่อไหร่ยังไม่รู้ยังคิดจะเป็นฮีโร่คอยยุ่งกับชีวิตคนอื่นอยู่อีกหรือไง”
“อย่างน้อยฉันยังยืนหยัดต่อสู้อยู่กับมัน ไม่ใช่เอาแต่หนีปัญหาไปพึ่งไอ้พวกนอกกฎหมาย ไปเป็นขี้ข้าให้ไอ้พวกค้ายานรกพวกนั้น”
บูรพาและตะวันฉายต่างฝ่ายต่างเครื่องร้อนแล้ว ธิชารีบปราดเข้ามาขวาง
“วันนี้วันเกิดคุณลุง ฉันว่าพวกคุณอย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ” ธิชาขอร้องตะวันฉาย “นะคะผู้หมวด ฉันขอร้อง”
ระหว่างนี้จ่าเวชตื่นขึ้นมา และมองออกมาจากหน้าต่างห้องนอน เห็นตะวันฉายกับบูรพาท่าทางเหมือนโต้เถียงอะไรกัน และธิชากันตะวันฉายออกจากบูรพา
จ่าเวชเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเคลือบแคลงใจ ถึงไม่ได้ยินเสียงถนัด แต่ก็รู้ดีว่าระหว่างสองพี่น้องมีเรื่องบาดหมางกัน เป็นเรื่องที่ตนยังไม่รู้
บูรพาและธิชาจอดรถไว้ ทั้งสองคนเดินมาคุยกันที่มุมสงบมุมหนึ่ง บูรพาเอาแต่นิ่งเงียบด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้ม จนธิชาตัดสินใจเอ่ยถาม
“ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้คะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณควรจะรับรู้อะไรอีกรึเปล่าธิชา คุณรับปัญหาของคนเลวๆ อย่างผมมาพอแล้ว”
“คุณบอกมาเถอะค่ะ เราลำบากมาด้วยกันจนถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้เรื่องมันเลวร้ายแค่ไหน ฉันก็เชื่อว่าต้องรับได้”
บูรพาลังเลอยู่สักครู่หนึ่งจึงยอมเปิดปาก “ชื่อผมถูกขึ้นบัญชีดำของตำรวจเรียบร้อยแล้ว”
ธิชาอึ้งไป
“คดีที่ผมทำเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาจะกัดไม่ปล่อย จนกว่าผมจะหมดอำนาจ และถูกจับ หรือไม่ก็ตาย” บูรพาเน้นคำตอนท้าย “ผมไม่มีอนาคตเหลือแล้ว”
ธิชาสะเทือนใจใหญ่หลวง เมื่อรู้ว่าทุกอย่างที่ทำมาพินาศลง จนเมื่อได้สติก็พยายามปลอบคนรัก
“เรา เราหนีไปด้วยกันก็ได้นี่คะ หนีไปที่ไหนๆ ไกลที่ไม่มีใครรู้จักเรา”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเสี่ยงเกินไปที่คุณจะไปกับผม”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่คิดว่ามันเสี่ยง ถ้าเราจะทำเพื่อกันและกัน บูรพาคะ ถ้าเราทอดทิ้งกันเมื่อไหร่ นั่นต่างหากละคะที่เสี่ยงสำหรับฉัน”
บูรพาซาบซึ้งน้ำใจธิชา
“ไม่ว่าคนอื่นจะคิดกับคุณยังไง แต่สำหรับฉัน คุณเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
บูรพารั้งร่างธิชามากอดไว้ด้วยความตื้นตัน
ฟากชัชชัยกดโทรศัพท์โทร.เข้ามือถือเจิมฉัตรด้วยสีหน้าร้อนรน เขามองซ้ายขวาหน้าหลังด้วยความระแวงตลอด
“ฮัลโหลเจิมฉัตร นี่ฉันเอง...เรื่องที่ให้เธอเจรจากับทัศน์ไปถึงไหนแล้วแล้วเงินล่ะ ตกลงมันจะให้รึเปล่าดี…งั้นเวลากับสถานที่ให้มันนัดมาได้เลย เมื่อไหร่ก็ได้ ฉันต้องการรีบไปจากนี่ให้เร็วที่สุด”
เจิมฉัตรอยู่ที่คอนโด ค่อยๆ ลดโทรศัพท์มือถือในมือลง แววตาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
“มันว่าไง” เสียงทัศน์ถามขึ้น
“ชัชชัยอยากให้เราเลือกสถานที่ให้เค้า”
“งั้นเหรอ”
ทัศน์กำลังทานอาหารเช้าอยู่อย่างอารมณ์ดี
“น่าสงสารนะ แม้แต่ที่ตายก็ต้องให้คนอื่นเลือกให้”
เจิมฉัตรยิ้มบางๆ ไม่ว่าอะไร
บริเวณลานโล่ง ติดถนนเปลี่ยวเลียบริมน้ำ ย่านชานเมืองแห่งนี้ บรรยากาศเงียบสงัด ออกไปทางวังเวงด้วยซ้ำ มีคนจรจัดกำลังเก็บขยะ กระป๋อง ขวดน้ำใส่ถุงเพื่อเอาไปขายอยู่ในนั้น จนกระทั่ง เห็นรถคันหนึ่งแล่นมาจอดรอเวลา เป็นกฤชกับยุทธนั่งอยู่บนรถคันนั้น
คนจรจัดชะเง้อมองหน่อยๆ ก่อนจะละสายตาไปเก็บขยะต่อ
สักครู่หนึ่ง ชัชชัยจึงค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน เดินตรงไปที่รถ กฤชกับยุทธเปิดประตูลงมายืนรอ
ชัชชัยมีท่าทีหวาดระแวง ขณะสะพายกระเป๋าเดินไปยังรถสองคน มือซุกอยู่ที่กระเป๋าถือปืนไว้ในสภาพเตรียมพร้อมตลอดเวลา สายตาชัชชัยเหลือบมองไปที่กฤช เห็นกฤชมือซุกอยู่ที่ชายเสื้อสภาพพร้อมชักปืนเช่นกัน
“รอนานรึเปล่าครับ” ยุทธเปิดปากทักทาย
ชัชชัยยังเดินเข้ามาเรื่อยๆ “ไม่ ตรงเวลาดีนี่”
“ครับ ที่ระยอง เพื่อนคุณทัศน์ทำเรือประมงอยู่ที่นั่น เค้าจะส่งคุณข้ามฝั่งไปพม่า” ยุทธบอก
“แล้วเงินล่ะ อยู่ที่ไหน”
“ในรถ” กฤชพูดพร้อมกับเปิดประตู “เชิญครับ”
ชัชชัยมองไปในรถเห็นกระเป๋าอยู่ในนั้นจริง แต่ครั้นมองสีหน้ากฤชกับยุทธก็ดูไม่น่าไว้ใจ เพราะมันฉายแววเหี้ยมเกรียมอำมหิตชัดเจน กฤชยิ้มให้และผายมือเชิญอีก
ชัชชัยเห็นท่าไม่ดี ถดตัวถอยหนี เท่านั้นเองกฤชกับยุทธก็ชักปืนออกมาทันที ชัชชัยยิงสวนป้องกันตัวเช่นกัน
ชัชชัยและนักเลงทั้งสองกระหน่ำยิงเข้าหากันในระยะประชิดชนิดหูดับตับไหม้ มองแต่ไกลเห็นประกายปืนลั่นราวกับประทัดแตก
คนจรจัดรีบหลบหาที่กำบัง และซุ่มดูเหตุการณ์อย่างตื่นตะลึง
ชัชชัยโดนยิงที่ขาเจ็บจนแทบทรุด แต่ยังไม่ยอมหยุดยิงตอบโต้ เขาแผดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งเหมือนปักหลักสู้ตาย
“มึงตาย อ๊าก...”
กฤชและยุทธสู้ฤทธิ์บ้าของชัชชัยไม่ได้ จำต้องหลบหาที่กำบัง ชัชชัยถือโอกาสนั้นวิ่งหนีไป แต่แล้วก็ต้องเจอกับแสงไฟจากรถอีกคันแล่นตรงดิ่งเข้ามา ก่อนและกว่าจะคิดอะไรออกรถคันนั้นมาจอดเทียบข้างตนเรียบร้อย
ทัศน์ที่เป็นคนขับรถคันนั้นมา ยิ้มให้ชัชชัยอย่างเหี้ยมเกรียม ก่อนจะชักปืน เล็งยิงใส่ชัชชัยเข้ายอดอกเต็มเหนี่ยว แรงกระสุนถีบร่างชัชชัยจนหงายหลังร่วงตกน้ำไปเสียงดังตูมใหญ่
ไม่นานต่อมา รถของทัศน์และรถของสมุนแล่นตามกันออกไป ทุกอย่างรอบบริเวณเงียบสงัดดังเดิม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
สักพักจึงเห็นคนจรจัดจึงค่อยๆ เดินย่องออกมาดูเหตุการณ์อย่างตื่นกลัว ก่อนจะชะโงกลงไปในน้ำ เห็นแต่ความมืดมิดในสายน้ำนั้น
อา...หรือว่าชัชชัยจะปิดฉากชีวิตของเขาลงเพียงเท่านี้
อ่านต่อหน้า 4
ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 12 (ต่อ)
รุ่งเช้า สารวัตรเมธากำลังอ่านรายงานอยู่ที่โต๊ะในสำนักงานกองปราบ โดยมีจ่าบุญส่ง ดาบเสือ และหมู่ยักษ์รอฟังความคิดเห็น
“ตราบใดที่ยังไม่เจอศพ เราก็ยังปักใจเชื่อไม่ได้เด็ดขาดว่าชัชชัยจะตายไปแล้วจริงๆ ดังนั้นการควานหาตัวต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้หลักฐานชี้ชัดในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องหัวหน้าคนใหม่ที่จะมาแทนเสี่ยเจริญ” เมธามองมาที่บุญส่ง “จ่าส่งคุณสืบเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“ยังเป็นข่าวลืออยู่ครับสารวัตร ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าจะเป็นใครจะขึ้นรับตำแหน่ง บางทีอาจจะเป็น เคี้ยง มังกรแดง หรือไม่ก็อาจจะเป็นนายบูรพา น้องของผู้หมวดครับ”
“ผมอยากให้ตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด โดยเฉพาะประเด็นการแย่งชิงอำนาจภายในกลุ่มของเสี่ยเจริญซะล่ะ เพราะเป็นไปได้ว่าบางที ทั้งหมดอาจจะเป็นแผนการของ เคี้ยง มังกรแดง กับ นายบูรพาที่ต้องการชิงอำนาจจากเสี่ยเจริญก็ได้”
เสือเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ผมว่าคนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด ก็คงต้องเป็นตัวของชัชชัยเท่านั้นล่ะครับสารวัตร”
เมธาครุ่นคิดสักพักจึงสั่งการ
“พวกคุณกระจายกำลังกันออกไป ส่วนหนึ่งคอยจับตาดูความ เคลื่อนไหวของนายเคี้ยงกับนายบูรพา อีกส่วนหนึ่งล่าตัวชัชชัยมาให้ได้” สารวัตรเน้นคำ “ไม่ใช่แค่การตายของเสี่ยเจริญเท่านั้นที่ชัชชัยจะเป็นตัวไขปริศนา แต่ยังรวมถึงเบื้องหลังการค้ายาของเสี่ยเจริญอีกด้วย”
ทั้งหมดยืดตัวตรงรับคำสั่งพร้อมเพรียง “ครับ”
ขณะบูรพาเดินทางมาเยี่ยมเคี้ยงที่โรงพยาบาล แต่แล้วก็พบว่าที่หน้าห้องมีเหตุการณ์วุ่นวาย เพราะลูกสมุนของตนที่อารักขาเคี้ยงถูกพวกตำรวจกันตัวให้ยืนรออยู่ด้านนอกหมด ทำให้พวกสมุนฮึดฮัดไม่พอใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่”
ยักษ์แสดงตัว และยื่นเอกสารอนุญาตให้ดู “เราทำตามหน้าที่คุณบูรพา เรามาสอบปากคำคุณเคี้ยง รวมทั้งคุณด้วย”
บูรพามองไปในห้องด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเห็นเสือ กับบุญส่งกำลังสอบปากคำเคี้ยงอยู่
เคี้ยงสวมหน้ากากออกซิเจน ไอเบาๆ พลางเหลือบมองบูรพาอย่างขอความช่วยเหลือ
“พวกคุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง คนป่วยหนักขนาดนี้ พวกคุณยังจะรบกวนเค้าอีกงั้นเหรอ”
เสือรีบกันบุญส่งไว้ และปราดเข้ารับมือบูรพา
“ผมเองจ่า” เขาหันมาหาบูรพา “ใครหาเรื่อง พูดให้สวยนะคุณ นึกว่าอยู่ดีๆ พวกผมเที่ยวไล่มาสอบปากคำชาวบ้านเล่นหรือไง ไอ้ที่ต้องมาทนเหม็นขี้หน้าอยู่นี่ ก็เพราะไอ้เรื่องที่พวกคุณก่อเอาไว้นั่นแหละ”
บูรพาประเมินสถานการณ์ แล้วพยายามระงับโทสะ
“ก็ได้ แต่ลุงเคี้ยงอาการทรุดอยู่ ถ้ายังไงขอเลื่อนให้ปากคำเป็นวันหลัง ตกลงมั้ย”
เสือหันไปมองจ่าส่งขอความเห็น
บุญส่งแดกดัน “ป่วยจริงเหร้อ การเมืองซะล่ะมั้ง”
บูรพาฉุน
“เสี่ยเจริญตายไม่ทันไร ลุงของคุณก็มาป่วยเอาดื้อๆไม่บังเอิญไปหน่อยหรือไง”
บูรพาฉุนกึก “คุณว่าอะไรนะ”
เสือบอกไปตรงๆ “เราสงสัยว่า ลุงเคี้ยงของคุณแกล้งป่วย”
“คนอย่างลุงเคี้ยงไม่จำเป็นต้องตบตาใครเพื่อหนีปัญหา ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปถามหมอดูก็ได้”
“เฮอะ ยัดเงินไว้เท่าไหร่แล้วล่ะ ใครจะไปรู้” เสือไม่เชื่อ
“แล้วคุณจะเอายังไง”
เสือเดินกวนๆ มาดูเคี้ยง สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจดึงหน้ากากออกซิเจนของเคี้ยงออก
บูรพาโกรธจัด “นั่นคุณทำอะไรของคุณ จะบ้าไปแล้วเหรอไง”
เสือกวนตีนต่อ “อ้าวไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงล่ะว่าป่วยจริงไม่จริง”
“แต่นี่คุณกำลังจะฆ่าเค้านะ”
เสือมองแล้วยักไหล่ไม่สนใจ บูรพาขยับจะไปช่วยเคี้ยง แต่ถูกเสือผลักออก บูรพาโกรธถลันจะเข้าไปเอาเรื่อง พอดียักษ์เปิดประตูเข้ามาก็รวบตัวบูรพาเอาไว้
“อยู่ละ ซ่านักใช่มั้ย”
“ปล่อยสิวะ ปล่อย”
บูรพาพยายามดิ้นรนแต่ก็สู้แรงยักษ์ไม่ได้
“คุณบูรพา พวกผมน่ะไม่ใจดีเหมือนผู้หมวดหรอกนะ ขืนคุณยังยุ่มย่ามอีก อาจจะโดนข้อหาขัดขวางการปฏิบัติ งานของเจ้าหน้าที่ก็ได้”
บูรพาฮึดฮัด ได้แต่มองเคี้ยงที่เริ่มมีอาการหายใจไม่ออกอย่างตกใจ
“ลุงเคี้ยง”
ยักษ์รวบตัวบูรพารัดแน่นขึ้นอีก “อยู่เฉยๆ”
เสือมองเคี้ยงอย่างทึ่งๆ “โอ้เว้ย สมเป็นดาวร้ายมืออาชีพจริงๆ จ่าดูสิ สวมบทบาทได้แนบเนียนดีมาก ทำสำออยจะเป็นจะตายได้อย่างน่าเชื่อถือ”
เคี้ยงเกร็งตัวจนบิด มือจิกผ้าปูที่นอนแน่น ท่าทางจะขาดใจตายในไม่ช้านี้
“ลุงเคี้ยง” บูรพาใจหาย ตะโกนบอกเสือ “พอได้แล้ว เค้าหายใจไม่ออก ไม่เห็นหรือไง”
บุญส่งเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ “เฮ้ย ไอ้เสือท่าทางมันหายใจไม่ออกจริงๆ ว่ะ”
“ปล่อยมันเหอะน่าลุง คนชั่วน่ะตายยาก ผมว่าเดี๋ยวมันบิดๆเบี้ยวๆจนเซ็ง เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาเองแหละ”
ยักษ์เริ่มสังเกตเห็นเช่นกัน “หมู่ หน้ามันเขียวๆ นะ”
เคี้ยงทุรนทุรายสุดขีด ปัดป่ายข้าวของเปะปะ จนเสือชักตกใจ
“เฮ้ย เอาจริงเหรอวะเนี่ย”
เสือรีบหันไปคว้าหน้ากากออกซิเจนมาครอบตามเดิม แต่เคี้ยงกลับไอไม่ยอมหยุด
“ฉิบหายแล้ว”
“มันเป็นอะไรของมันวะ”
สิ้นคำของเสือ เคี้ยงกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ เปื้อนเต็มเสื้อเสือ เล่นเอาเสือตกใจแทบช็อก
“ลุงเคี้ยง”
บูรพาสะบัดยักษ์ออก รีบเข้ามาดูอาการเคี้ยง
“ลุงเคี้ยง เป็นยังไงบ้าง ลุง”
เคี้ยงไออีกสองสามครั้ง ก่อนจะปรือตาลงทำท่าจะหมดสติ
“ไอ้ยักษ์ ไปตามหมอเร็ว” จ่าบุญส่งร้องสั่ง
ยักษ์รีบออกประตูไป ในขณะที่เสือยืนทื่อมองเคี้ยงอย่างคาดไม่ถึง บูรพาเงยหน้าขึ้นมองเสือตาวาวโรจน์ด้วยความเคียดแค้นสุดจะประประมาณ เสือหน้าเสีย บูรพาโผเข้าชกเสือเต็มหมัด
“อย่าอยู่เลยมึง”
จ่าส่งตะโกนออกไปนอกห้อง “เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอกมาช่วยหน่อยเร็ว”
กลายเป็นความโกลาหลย่อมๆ คนที่อยู่ด้านนอก กรูกันเข้ามายื้อยุดทั้งคู่ออกจากกัน
ที่บ้านเสี่ยเจริญในเวลาต่อมา บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเคี้ยงเข้ามาในโถงบ้าน
บุรุษพยาบาลและหมอที่นำเคี้ยงมาส่งเพิ่งกลับออกไปจากห้อง บูรพายืนอยู่หน้าประตูเฝ้ามองสภาพของเคี้ยงอย่างสังเวชใจ จมูกยังมีสายเครื่องช่วยหายใจ และให้อาหารระโยงรยางค์
เคี้ยงนอนเหม่อมองเพดานเหมือนปลงต่อชะตากรรมของตนเองเช่นกัน บูรพาเดินมานั่งข้างๆ
“ลุงเคี้ยง”
เคี้ยงอ่อนเพลียอยู่ “นี่ไงล่ะเหตุผลที่ข้าต้องเร่งให้เอ็งขึ้นเป็นหัวหน้า เพราะบ่าวที่ไม่มีนาย ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวนึง”
บูรพานึกสงสารเคี้ยงจับใจ เคี้ยงให้กำลังใจ
“เอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้บังคับอะไรเอ็ง ถ้าเอ็งยังมั่นใจว่าจะถอนตัว ก็รีบไปซะ อย่ารอให้
สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่านี้”
“แล้วลุง”
“เอ็งไม่ต้องสนใจ ข้ามันแค่เดนตาย เอ็งลืมแล้วเหรอ” เคี้ยงบีบมือบูรพาเบาๆ “เอ็งหนีไปซะ ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่มีใครหาเอ็งพบ ที่ที่เอ็งสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่เอ็งรัก”
บูรพาเครียดจัด สับสนว้าวุ่นอยู่ในใจ
เช้าวันต่อมา ธิชาเพิ่งลงมาทำงานในสตูดิโอ เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่เหน็บอยู่ในกระบอกรับที่หน้าร้าน กลับมานั่งตรงโซฟา แล้วคลี่ออกอ่านโดยไม่คิดอะไร แต่แล้วเธอก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาเห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวชัชชัยเด่นหราเป็นข่าวลีดบนหน้าหนึ่ง
“ดับทายาทเสี่ยเจริญ ปมเลือดบัลลังก์เจ้าพ่อ”
ธิชาครุ่นคิดด้วยความกังวลใจ
ในเวลาไม่นานต่อมา หนังสือพิมพ์เล่มนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะรับแขก
จนกระทั่งมีเสียงตะวันฉาย “พยานยืนยันว่าคนที่ถูกยิงตกน้ำไปเป็นชัชชัยที่ตำรวจ กำลังล่าตัวอยู่”
ตะวันฉายนั่งคุยอยู่กับธิชาในโซฟารับรองลูกค้าในสตูดิโอนั้น โดยมีหนังสือพิมพ์วางอยู่ตรงกลาง
“ตอนนี้ยังไม่พบศพ แต่หนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวเสียใหญ่โตว่าคงตายแน่แล้ว แถมยังทายอีกว่าคนสนิทของเสี่ยเจริญจะขึ้นนั่งตำแหน่งหัวหน้าแทนชัชชัยเร็วๆ นี้”
ร่องรอยกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าธิชาชัดแจ้ง ตะวันฉายถามออกไปว่า
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าเค้าหมายถึงใคร”
ธิชาพยักหน้า “ทางตำรวจคงไม่ได้เข้าใจผิด ว่าบูรพาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกนะคะ”
“ผมไม่ทราบ แต่ข่าวออกมาอย่างนี้แล้วภาพพจน์ของบูรพาในสายตาตำรวจคงไม่สวยแน่” ยิ่งคิดยิ่งหนักใจ “ธิชา คืนนั้นเค้าบอกอะไรคุณรึเปล่า เกี่ยวกับเรื่องนี้”
ธิชาส่ายหน้า แต่ท่าทางมีพิรุธ ตะวันฉายสงสัย
“เค้าไม่บอกเลยหรือ ว่าทำไมเค้าถึงไม่ยอมถอนตัว”
“เค้าบอกแค่ว่าเค้ามีเหตุจำเป็นเท่านั้นเองค่ะ”
“อาจจะหมายถึงการได้เลื่อนเป็นหัวหน้า”
ธิชารีบแย้ง “ไม่ใช่นะคะ บูรพาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น”
ตะวันฉายมองจ้องเป็นเชิงถามว่า แล้วคุณรู้ได้ไง ธิชาหลบสายตาอย่างมีพิรุธมากขึ้น
“ธิชา นี่ไม่ใช่เวลามาปกป้องกันนะผมอยากรู้ว่าอะไรคือเหตุผลของเค้า”
ธิชาลังเลใจ ว่าจะเล่าดีหรือไม่
จนเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ตะวันฉายนั่งนิ่ง คิดหนัก เมื่อฟังธิชาเล่าจบลง
“ที่เค้าไม่ยอมให้คุณรู้เรื่องนี้ก็เพราะกลัวคุณจะบุ่มบ่ามทำอะไรเพื่อเค้าอีก เค้าบอกว่าถ้าคุณถูกไล่ออกคุณลุงคงจะต้องเดือดร้อนมาก”
ธิชาเองก็พลอยหนักใจ
“ผู้หมวดคะ เท่าที่บูรพาว่ามา บัญชีดำมันเหมือนกับประกาศจับตายยังไงอย่างนั้นเลยหรือคะ”
ตะวันฉายส่ายหน้า ท่าทียังกลุ้มหนัก “เปล่า มันหมายถึงการเร่งปราบปรามโดยด่วนที่สุดต่างหาก คนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำได้ ก็แปลว่าคดีที่เค้าก่อไว้ต้องเป็นคดีอุกฉกรรจ์มาก อาจถึงขั้นที่ทางผู้ใหญ่ในสำนักงานต้องลงมาคุมคดีด้วยตนเอง ว่าง่ายๆ ก็คือ กฎหมายไม่มีทางรามือกับคนที่มีชื่อในบัญชีนี้ จนกว่าจะปิดคดีได้”
“ถ้างั้นบูรพาก็อาจจะคิดถูกไม่ใช่เหรอคะ ที่ยังไม่ถอนตัวอย่างน้อยอำนาจที่เค้ามีก็ยังเป็นเกราะให้ตำรวจก็ไม่กล้าเล่นงานเค้า”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น เมื่อไหร่ที่มีพยานหลักฐานแน่นหนาพอต่อให้บูรพาใหญ่ค้ำฟ้า ผมก็ไม่คิดว่าเค้าจะรอดมือกฎหมายไปได้”
ธิชาอึ้ง นิ่งงันไป ตะวันฉายเองก็เช่นกัน
“บูรพา ยังพอมีทางออกอยู่ใช่มั้ยคะ ผู้หมวด”
ตะวันฉายเงียบ ไม่มีคำตอบให้ เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่า ในสถานการณ์นี้เขาจะช่วยน้องชายไหวไหม?
วิทยุภายในห้องพักดาบเสือ เปิดเพลงรักซึ้งกล่อมห้องอยู่ กะละมังซักผ้าในห้องน้ำมีผ้าแช่อยู่ฟองท่วม โจนุ่งผ้าถุงกำลังซักผ้าและส่งเสียงฮัมตามเพลงจากวิทยุอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งหูได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อะไรวะยังไม่หกโมงเลย กลับห้องแล้วเหรอ สงสัยโดดเวรอีกแหงๆ”
โจเช็ดมือป้ายกับผ้าถุง แล้วลุกเดินมาหยุดที่หน้าประตู
“ดาบเสือเหรอ”
เสียงตะวันฉายดังเข้ามา “เปล่าฉันเอง ตะวันฉาย”
“หมวด”
โจเบิกตาโพลงรีบเปิดประตูด้วยความดีใจ พอเห็นตะวันฉายก็กระโดดกอดแขนกอดคอนัวเนีย จนฟองแฟ้บเปื้อนตะวันฉาย
“ว่าไง สบายดีเหรอเรา”
“หมวด โอ๊ยคิดถึงหมวดจังเลย นึกว่าหมวดจะลืมหนูแล้วซะอีก”
โจกอดใหญ่ จนตะวันฉายต้องร้องห้าม
“ฮึ่ย เบาๆๆ”
เวลาเดินทางไปอีกสักครู่แล้ว ตะวันฉายนั่งดื่มน้ำพลางดูโจตากผ้า โดยโจเล่าเท้าความถึงชีวิตให้ฟังมาสักระยะแล้ว
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละหมวด จะกลับไปขายยาที่โต๊ะสนุ้กก็ทำไม่ได้ อีตุ๊กมันเล่นปล่อยข่าวไปซะทั่วว่าหนูน่ะเป็นสายให้หมวด แถมจะกลับห้องมันก็ไม่ยอมให้กลับ หนูก็เลยต้องมาขออาศัยดาบเสือเค้าอยู่แบบนี้แหละ ซักผ้า หุงข้าว ไปเรื่อยเปื่อย เสือเค้าก็ให้เงินบ้างไม่ให้บ้างตามประสา
เฮ้อ อนาถชีวิต เป็นซินเดอเรลล่าอยู่ดีๆ ตอนนี้กลายมาเป็นอีแจ๋วซะแล้ว”
โจปลงอนิจจัง ตะวันฉายฟังแล้วนึกเห็นใจ ควักเงินยัดใส่มือให้ โจตกใจ
“เฮ้ย นี่หนูปรับทุกข์เฉยๆ ไม่ได้ขอตังค์หมวดนะ”
“เอาไปเถอะน่า เธอเดือดร้อนจนป่านนี้ก็เพราะฉัน ถึงยังไงฉันก็ต้องรับผิดชอบ”
โจลังเล “ให้หนูรับเงินผู้หมวดฟรีๆ อย่างงี้ หนูรับไม่ได้หรอก” โจนึกขึ้นได้ “เอางี้มั้ย หนูย้ายไปทำงานบ้านให้ผู้หมวดดีกว่า บ้านผู้หมวดยังไม่มีคนหุงข้าวไม่ใช่เหรอ มีผู้หญิงติดบ้านไว้สักคนไม่เสียหายหรอกน้า”
ตะวันฉายขำ “ไม่ต้องตอบแทนถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” หมวดมองไปที่ระเบียงเห็นเสื้อผ้าบนราวแล้วคิดออก “เอางี้สิ ถ้าขยันซักขนาดนี้ก็วานไปซักที่บ้านฉันด้วยก็แล้วกัน ฉันจ้าง”
“เฮ้ย พูดจริงรึเปล่า อย่าล้อหนูเล่นนะ” โจเนื้อเต้น
ตะวันฉายพยักหน้า “จริงๆ”
“ได้เล้ย หนูคิดไม่แพงอยู่แล้ว เครื่องบ่งเครื่องแบบกางเกงนงกางเกงในซักได้หมด ไม่มีปัญหา” โจกระเซ้า “ว่าแต่หมวดอย่าเขินก็แล้วกัน”
ตะวันฉายจับหัวโจโยก เขย่าเบาๆ อย่างเอ็นดู โจถือโอกาสซบไหล่ตะวันฉาย
ระหว่างนี้ เสือเปิดประตูเข้ามาเห็นทั้งคู่กำลังหยอกล้อกัน ก็อึ้งไปนิดๆ
“อ้าวเสือ กลับมาแล้วเหรอ”
เสือใจแป้ว ที่เห็นโจอยู่กับตะวันฉายสองต่อสอง ตะวันฉายยิ้มให้เสือ โดยไม่รู้ว่าเสือคิดอะไรอยู่
ค่ำนั้น เบื้องหน้า เสือ โจ และ ตะวันฉาย เป็นวง เหล้ายา และข้าวปลาอาหารง่ายๆ ที่วางบนโต๊ะตรงระเบียง มีโจคอยปรนนิบัติพัดวีตะวันฉายสุดฤทธิ์
“บอกตรงๆ นะหมวด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันไอ้เรื่องบัญชีดำที่หมวดว่า แต่พักนี้ก็สังเกตนะว่าสารวัตรลงมาตามงานบ่อยขึ้น เห็นจ่าส่งเคยได้ยินสารวัตรเค้าเปรยๆ ว่าจะมีการเซ็ตทีมใหม่ด้วย”
“แน่ใจเหรอ” ตะวันฉายถาม
“โอ๊ย จำได้แม่นเลยหมวด หน้าจ่าส่งหดเหลือแค่นี้” พูดแล้วเสือก็ขำ “ตอนแรกหมวดไม่อยู่ จ่าส่งแกก็กะจะสร้างผลงานไง พองคับกองปราบเลยนะ แต่พอบอกว่าจะมีคนมาแทนหมวด เลยเหี่ยวเหลือแค่นี้”
เสือชูปลายก้อยแล้วหัวเราะขำ ตะวันฉายยิ้มไปตามเรื่อง รอจนได้จังหวะจึงเอ่ยถาม
“เสือ เป็นไปได้มั้ย ถ้าจะกันตัวบูรพาไว้เป็นพยาน ผมหมายถึงถ้าเค้ายอมมอบตัวในเวลานี้”
เสืออึ้ง นิ่งไปชั่วขณะหนึ่งจึงถามว่า “น้องชายหมวดเค้าขอร้องหมวดงั้นเหรอครับ”
“เปล่า ผมแค่ลองถามดู”
“ในทางทฤษฎีมันก็เป็นไปได้ ถ้าเค้าสามารถหาพยานหลักฐานมายืนยันได้ว่าตัวเค้าไม่ใช่กลไกสำคัญในการค้ายาของเสี่ยเจริญ หรือเค้ายอมให้การที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพรรคพวกที่เหลือ”
“อ้าวแล้วทางปฏิบัติล่ะ” โจซัก
“หมวดก็น่าจะรู้ นายบูรพาน้องชายหมวดไม่มีวันยอมมอบตัว ยิ่งให้การซักทอดพรรคพวกยิ่งไม่ต้องหวัง”
ตะวันฉายหน้าเสีย
เสือเองก็อึดอัดไม่น้อย “หมวด หมวดอย่าว่าผมปากปีจอเลยนะ เรื่องน้องชายผู้หมวดน่ะ ปล่อยไปเถอะ เค้าจะขึ้นเป็นหัวหน้าหรือจะลงไปเป็นนายบูรพาต๊อกต๋อยอะไรผมไม่สนหรอก แต่ผมสนว่าหมวดนั่นแหละจะพัง ถ้าขืนยังตามไปช่วยน้องอยู่แบบนี้”
ตะวันฉายสะท้อนในอก ครุ่นคิดหนัก
โจโมโห เอาถั่วฝักยาวตีปากเสือ พร้อมกับเอ็ดเสียงเข้มราวกับเป็นเมียไม่ก็แม่
“เรื่องดีๆ ไม่มีจะพูดหรือไง ผู้หมวดกลุ้มเลย เห็นมั้ย ปากเสียจริงๆ”
เสือกุมปากหมับ กลอกตามองโจ ท่าทีน่าขัน
เมื่อตะวันฉายกลับมาถึงบ้าน และเตรียมผลัดเปลี่ยนชุดจะอาบน้ำ สายตาเหลือบเห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีข่าวบูรพา รีบคว้ามาพับหรือขยำทิ้งถังขยะ
“วันนี้แกไม่ได้ไปเข้าเวร”
ตะวันฉายตกใจหันไปทางเสียงนั้น พบว่าจ่าเวชนั่งนิ่งหลบมุมอยู่เงียบกริบ จนตะวันฉายไม่ทันสังเกต
“พ่อโทร.ไปที่กองปราบเค้าบอกว่าแกไม่อยู่”
ตะวันฉายตัดสินใจโกหก “ครับพ่อ วันนี้ผมแวะไปเคลียร์ธุระมานิดหน่อยคราวหลังพ่อโทร.เข้ามือถือผมก็ได้นะครับ”
ตะวันฉายเดินเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวออกมา หาเรื่องจะเดินหนีไปอาบน้ำหลังบ้าน
“กี่วันแล้วล่ะ ธุระที่แกว่า”
ตะวันฉายชะงักหันมามองพ่ออีกครั้ง รู้ทันทีว่าจ่าเวชคงรู้อะไรบางอย่างมา
“ที่กองปราบเค้าว่าแกไม่ได้ทำงานที่นั่นมาเกือบเดือนนึงแล้ว”
ตะวันฉายอึ้ง
“ทีนี้พอจะบอกพ่อได้มั้ยเรื่องธุระของแกมันเรื่องอะไร” เห็นตะวันฉายเอาแต่นิ่ง ไม่ยอมพูดยอมจา “ฉาย…แกจัดงานวันเกิดให้พ่อ ซื้อของขวัญมาให้พ่อ แต่แค่พูดความจริง แกกลับทำให้พ่อ
ไม่ได้งั้นเหรอ”
“พ่อ”
“แกมีปัญหาอะไรอยู่ บอกพ่อมาเถอะฉาย พ่อรับได้นะลูกตรงกันข้าม ถ้าแกปิดพ่อ พ่อก็จะกลายเป็นไอ้ง่อยคนนึงที่ไม่มี ความหมายอะไรเลย” จ่าเวชจ้องหน้าลูกถามตรงๆ “พ่อเป็นไอ้ง่อยที่ลูกๆ พึ่งไม่ได้แล้วงั้นเหรอ”
ตะวันฉายตกใจ “ไม่...ไม่ใช่ครับครับพ่อ”
“ที่กองปราบเค้าบอกว่า แกโดนย้ายไปทำงานอยู่ที่สน.ท้องที่ เพราะแกช่วยผู้ต้องหา แต่แกไม่เคยทำ ไม่เคยคิดอะไรระยำอย่างนั้นพ่อรู้ พ่อเชื่อว่าลูกของพ่อไม่มีวันจะเป็นคนกินสินบาทคาดสินบนไปได้ ไม่มีวันจะทรยศต่อศักดิ์ศรีของตำรวจที่อยู่ในสายเลือดของแก ยกเว้น…ยกเว้นแต่ว่าแกจะรู้จักกับผู้ต้องหาคนนั้น”
ตะวันฉายจนแต้มในที่สุด
“แกอยากให้พ่อทายอีกมั้ยว่ามันเป็นใคร”
ตะวันฉายรีบปัด “พ่อไม่รู้จักเค้าหรอกครับ”
จ่าเวชเหลืออด “พ่อเป็นตำรวจนะฉาย เป็นเหมือนกับแก ที่สำคัญคือพ่อเป็นพ่อของแก เป็นพ่อของไอ้บูรพา เรื่องแค่นี้ทำไมพ่อจะเดาไม่ออก แกเลิกหลอกพ่อซะทีได้มั้ย”
ตะวันฉายได้แต่นิ่งเงียบไป
“ไอ้บูรพามันทำอะไรอยู่” เห็นตะวันฉายเงียบอีก จ่าเสียงดังขึ้น “ไอ้ฉาย”
ตะวันฉายจนมุม “ค้า…ค้ายาเสพติดครับ”
จ่าเวชนิ่งงันไป “ตำรวจกำลังรอจะตะครุบมันอยู่ใช่มั้ย”
“ครับ”
จ่าเวชน้ำตาซึม สะเทือนใจใหญ่หลวงกับความเป็นไปของลูกชายทั้งสอง ตะวันฉายเดินเข้ามาหา ปลอบพ่อ
“ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ ถึงยังไงผมก็ต้องทำตามที่รับปากกับพ่อไว้ ผมต้องช่วยน้อง…”
พูดไม่ทันจบคำดี จ่าเวชตบหน้าตะวันฉายเข้าฉาดใหญ่
“พ่อไม่ได้สงสารมัน คนที่พ่อสงสารคือแกเจ้าฉาย ทำไมแกโง่อย่างนี้ แกทำแบบนี้เท่ากับทำลายตัวเอง แกเคยคิดบ้างมั้ย”
“พ่อ เรื่องนี้มันเป็นความผิดของผม ผมเป็นคนก่อมันขึ้นเอง ผมต้องรับผิดชอบ”
“ไม่ แกรับผิดชอบมาพอแล้ว เจ้าฉาย มากเกินไปแล้ว” จ่าเวชสะอื้นไห้ “จริงอยู่ แกมีส่วนทำลายอนาคตของบูรพา แต่แกไม่จำเป็นต้องยกชีวิตทั้งชีวิตให้มันเลยลูก มันพอแล้วลูก พอได้แล้ว”
ตะวันฉายพูดไม่ออก จ่าเวชรั้งตัวลูกชายคนโตเข้ามากอดด้วยความรักและสงสาร
“ไอ้ฉาย ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้”
อ่านต่อตอนที่ 15