xs
xsm
sm
md
lg

ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 9

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 9

นิยายละครโทรทัศน์ “ตะวันตัดบูรพา” ฉบับที่ตรงกับที่ออกอากาศทางช่องวัน มากที่สุดในสามโลก

ที่หน้าห้องพักฟื้นหมวดบูรพาเวลานี้ ยักษ์กับจ่าเวศ และจ่าบุญส่ง กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่บริเวณนั้น ยักษ์ถามขึ้นในจังหวะหนึ่งว่า

“เอ่อ ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของผู้หมวดเหรอครับคุณพ่อ”
จ่าเวศแปลกใจ “อ้าว นี่ก็ไม่รู้กันเลยเรอะ”
“ไม่ทราบครับคุณพ่อ เคยเห็นไปหาผู้หมวดที่กองปราบแค่ไม่กี่ครั้ง” บุญส่งว่า
“เอ เจ้าฉายนี่มันยังไง โตจนป่านนี้แล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็ไม่รู้ แย่จริงๆ เป็นลูกพ่อซะเปล่า ไม่รู้จักเจ้าชู้บ้างเล้ย” จ่าเวศบ่นท่าทีน่าขัน
ยักษ์จอมกินถามขึ้น “อาหารเยี่ยมเหลือป่ะ หิวแล้ว”
ระหว่างนี้ โจ ท่าเตียน ส่งเสียงดังมาก จนได้ยินมาถึงหน้าห้อง “ไหนๆ ผู้หมวดอยู่ไหน”
ตามมาด้วยเสียงดาบเสือ “ทางนี้”
เสียงโจดังขึ้นอีก “อ้าวไม่ใช่ทางนี้เหรอ”
บุญส่งมองไปทางเสียง รู้สึกผวานิดๆ เหมือนมีลางสังหรณ์โดยประหลาด

สักครู่ทั้งสามคนจึงมองเห็นโจเดินนำเสือ และหิ้วของทะเร่อทะร่ามาแต่ไกล จ่าเวศ จ่าบุญส่ง และ ยักษ์ มองโจงงๆ
“โอ๊ย ทำไมโรงบาลนี้ทางเดินมันหลายเลี้ยวจังเลยวะ”
“ทางเดินน่ะมันไม่เลี้ยวหรอก เธอต่างหากวิ่งพล่านไปหมด ทำเป็นจิ๊กกี๋ใจร้อนไปได้”
“ผู้หมวด เป็นไงบ้างก็ไม่รู้ โทษนะลุง หลบหน่อย”
โจไม่รู้อิโหน่อิเหน่ดันรถเข็นจ่าเวศหลบทางไป และทำท่าจะเดินเข้าห้องเลย เสือต้องรีบสะกิด
เสือกระซิบบอก “โจๆๆๆ นี่พ่อผู้หมวด”
โจหน้าซีด หันหลังกลับไปไหว้ ท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ หนูชื่อโจ เป็นเพื่อนของผู้หมวดค่ะ”
จ่าเวศรับไหว้งงๆ พอดีกับที่เห็นธิชาเปิดประตูออกมาเพราะเสียงดังหน้าห้อง โจหันไปมองยิ้มทัก
“เอ่อ งั้นนี่ก็คงเป็นน้องสาวผู้หมวดใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ เปล่า ธิชาเค้าเป็นแฟนเจ้าฉาย”
โจหุบยิ้มแทบไม่ทัน ความเริงร่าตื่นเต้นปลาสนการไปสิ้น

ถัดมาไม่นาน ดอกเบญจมาศของธิชา และดอกกุหลาบของโจ แข่งกันบานอวดความสวยอยู่ในแจกันที่สองสาวต่างคนต่างจัดดอกไม้ลงแจกันเดียวกัน
สายตาโจไม่ได้ละจากธิชาเลย มองสำรวจธิชาตั้งแต่หัวจรดเท้า และมองจากเท้าขึ้นมายังหัว
ธิชาเห็นสายตาโจมองเขม็งขนาดนั้นก็พอเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงกระซิบบอกโจเบาๆ
“ฉันกับผู้หมวด เป็นแค่เพื่อนกัน”
โจไม่เชื่อตอบกลับไปเบาๆ ว่า “ตอนนี้ก็พูดได้ แต่ต่อไปใครจะรู้”
ธิชาหันมามองหน้าโจ อีกฝ่ายยิ้มกวนตีนมาให้ ธิชาจึงตัดสินใจปิดปากเงียบ และจัดดอกไม้ต่อ โจมองดอกไม้ธิชาแล้วแกล้งพูดลอยๆ
“ดอกเบญจมาศเหรอ ฉันว่าผู้หมวดเค้าคงไม่ชอบหรอกนะ สวยแต่รูปจูบไม่หอม สู้ดอกกุหลาบก็ไม่ได้ แรกแย้ม ซิงกว่ากันเยอะ”
“คงงั้นมั้งคะ”
ธิชาเซ็งหันไปจะหยิบแจกันมาขลิบกิ่งก้านดอกไม้ให้สวยงาม โจแกล้งปัดแจกันร่วงหล่น
“อุ๊ยโทษ ไม่ได้ตั้งใจค่ะ จริงๆ นะคะ ไม่ได้ตั้งใจเลยซักนิด”
ธิชาเก็บเศษซากเสร็จเรียบร้อย จึงเดินมาข้างเตียงตะวันฉาย
“ผู้หมวดคะ กินผลไม้เยอะๆ นะคะ”
“หมวดคะ ซื้อนมมาเล็กไปหน่อยนะคะ”
“ก็เหมือนกับคนที่ซื้อมาน่ะค่ะ” ธิชาเหน็บ
“อุ๊ยดอกจัด...ดอกไม้ที่เตรียมให้สวยนะคะ”
“ดีออก...ดอกไม้อ่ะค่ะ” ธิชาพยักหน้าให้
เสือที่นั่งเฝ้าไข้ตะวันฉายอยู่ข้างเตียง คอยชะเง้อมองสองสาว ใจคอไม่ดี ก่อนจะหันมามองหน้ากันกับคนป่วย พลางกระซิบถาม
“จะให้เรียกกำลังเสริมมั้ยครับหมวด”
ตะวันฉายมองปรามดุ ให้เสือเงียบ ดาบเสือแอบทำหน้าทะเล้น
ธิชาบอกกับตะวันฉายว่า “เดี๋ยวฉันจะลงไปข้างล่างหน่อย ผู้หมวดจะเอาอะไรมั้ยคะ”
ตะวันฉายตามองที่โจ “อะไรก็ได้ครับ”
ธิชาขยับคว้ากระเป๋า โจขยับตาม
“ฉันไปด้วย”
เสือเห็นท่าไม่ดี
“อ่า...งั้นผมไปด้วยนะครับ ว่าจะไปซื้อหมากฝรั่งพอดี”

ในศูนย์อาหารโรงพยาบาลเวลานั้น ธิชาซื้อของใช้ผู้ป่วยเสร็จ ก็เดินมาเลือกผลไม้เพิ่ม โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกโจมองเขม็ง อารมณ์นางร้ายละครช่องวันเฮชดี เข้าสิง
เสือเห็นแล้วสยอง พยายามสะกิดเตือน แต่โจปัดมือออก
“เจ๊รู้จักกับผู้หมวดนานแล้วเหรอ”
ธิชาเลือกส้มไปด้วย “เพิ่งรู้จักได้ไม่นานจ้ะ
“ฉันรู้จักกับผู้หมวดมาสี่ปีแล้ว เราสนิทกันมากเลยเจ๊รู้ปะ”
ธิชาไม่รู้จะตอบยังไง เลยยิ้มให้ไปตามเรื่อง พลางส่งส้มให้แม่ค้าชั่ง
“ที่บ้านเจ๊ทำงานอะไร”
“เปิดสตูดิโอ รับวาดภาพแล้วก็ทำกรอบรูป”
“อ๋อ ดีจังเป็นศิลปิน ไส้แห้งด้วยรึเปล่า”
เสือชักเห็นว่าล้ำเส้น เยอะเกิน จึงส่งเสียงเตือนเบาๆ “โจ”
ธิชาทำใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โจคงพูดไปอย่างนั้นเอง”
ธิชาจ่ายเงินค่าส้มให้แม่ค้า แล้วส่งถุงส้มให้เสือ
“หมู่คะ ฝากไปให้ผู้หมวดด้วยก็แล้วกันนะคะ ฉันต้องขอตัวไปทำงานก่อน แล้วไว้วันหลังจะมาใหม่”
“ขอบคุณแทนผู้หมวดด้วยนะครับ” เสือยิ้มขอบคุณ
ธิชามองโจอีกครั้งอย่างทำใจ ก่อนจะเดินออกไปทางลานจอดรถ
โจหึงมองหมั่นไส้ ดัดเสียงล้อธิชา “ฉันต้องขอตัวไปทำงานก่อน แล้วไว้วันหลังจะมาใหม่ อ้วก...เจอกันอีกที โดดเตะหัวหลุดจริงๆ ด้วย”
“น้อยๆ หน่อยโจ ทำไมพูดกับคุณธิชาเค้าอย่างนั้น”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ คนไม่ชอบหน้า หมู่อย่ายุ่งได้รึเปล่าเรื่องนี้หมู่ไม่เกี่ยวหรอกนะ จะบอกให้
โจเดินนำไป เสือมองตามอย่างเหนื่อยหน่าย

ตกกลางคืน ขณะที่บุญส่งกำลังนั่งทานข้าวอยู่ในสวนอาหารแห่งหนึ่ง ท่าทางหิวจัดและไม่ได้สนใจนักร้องบนเวทีเลยแม้แต่น้อย แต่สักครู่ก็เห็นมีบริกรเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้
“ฮึ้ย ไม่ได้สั่ง” จ่าเงยหน้าไปเอ็ด
“พี่ที่โต๊ะโน้นเค้าเลี้ยงครับ”
จ่าบุญส่งชะเง้อมองไปอย่างงุนงง จนกระทั่งเห็นทัศน์นั่งส่งยิ้มมาให้ตน

เวลาผ่านไป ทัศน์กับบุญส่งนั่งดื่มอยู่ด้วยกัน จ่าบุญส่งนั้นท่าทางเริ่มติดลมนิดๆ แล้ว โดยไม่รู้กำลังถูกทัศน์ล้วงลูก
“เคยได้ยินสารวัตรเมธาพูดถึงคุณทัศน์มาก่อนเหมือนกันครับ เห็นว่าเคยเป็นตำรวจเก่า แต่ได้ดิบได้ดีไปแล้ว ไม่นึกว่าจะได้มาเจอตัวจริงที่นี่”
“ช่วงนี้จ่าคงเหนื่อยหน่อยนะ ผู้หมวดตะวันฉายมาเจ็บตัวแบบนี้”
“สุดๆ ครับ สารวัตรท่านให้ผมคุมคดีนี้ต่อ วันนี้ผมเลยต้องหอบแฟ้มคดีมาเป็นตั้ง แหม... ความรู้แค่หางอึ่ง เคยคุมงานอะไรกับเค้าที่ไหนกันคุณ ผมว่าคงทำได้ก็แค่หาข่าวเพิ่มเท่านั้นแหละ”
“ทีมของผู้หมวดนี่มีแหล่งข่าวเยอะงั้นเหรอจ่า” ทัศน์หยั่งเชิง
“แหม ถามงี้ผมตอบลำบากนะครับ จะว่าไปก็เป็นความลับของทางราชการ...เอ่อ...”
“ผมเข้าใจ”
บุญส่งยิ้มเกรงใจ ทัศน์หันไปดีดนิ้วเรียกบริกร
“น้อง”
นักร้องที่จัดเตรียมไว้ เข้ามานั่งขนาบซ้ายขวาของบุญส่ง ทำเอาจ่าอ้าปากค้าง
“สวัสดีค่ะป๋าขา” สองสาวทัก
“เอาเป็นว่าเราอย่าคุยเรื่องงานกันเลย คืนนี้เราสนุกกัน ให้เต็มที่ดีกว่า” ทัศน์ว่า
บุญส่งอึ้ง ท่าทีลังเลใจ ทัศน์เอานิ้วแตะริมฝีปากพูดเย้า
“ไม่ต้องห่วง ความลับของทางราชการ”
บุญส่งอึ้งอยู่อย่างนั้น ถูกนักร้องพะเน้าพะนอ ระดมปรนนิบัติจนรับมือไม่ทัน
“ป๋าขาดื่มเยอะๆ สิคะ ป๋า”
ทัศน์ยิ้มมองบุญส่ง ก่อนจะหันมองไปด้านนอกสวนอาหาร

เสียงดนตรีจังหวะคึกคักดังมาจากสวนอาหาร ถึงบริเวณลานจอดรถ ที่รถจ่าส่งเปิดไฟอยู่โดยมีกฤชกำลังคุ้ยทุกซอกทุกมุมในรถค้นหาสิ่งที่ทัศน์สั่ง
รูปถ่ายครอบครัวของบุญส่งติดอยู่หน้ารถ กฤชคุ้ยลิ้นชักใต้คอนโซลและเจอพวกบิลค่าโทรศัพท์ บัตรทางด่วน จิปาถะ
ส่วนยุทธเปิดท้ายรถออก และเจอแฟ้มงานกองอยู่ข้างหลัง เป็นแฟ้มบัญชีค่าใช้จ่าย มันถูกถ่ายรูปบันทึกภาพไว้ ตามมาด้วยแฟ้มรายงาน, แฟ้มสำเนาการจับกุม และอื่นๆ อีก หลายแฟ้ม จนมาถึงแฟ้มประวัติบุคคล ที่มีรูปเสี่ยเจริญ และแฟ้มของบูรพาที่มีแต่รูปถ่ายไม่มีประวัติ เขียนแต่ชื่อว่าบูรพา แค่นั้น
ยุทธสะดุดตา นึกสงสัย และถ่ายเก็บไว้ ปิดท้ายด้วยแฟ้มประวัติของโจ ก็ถูกยุทธถ่ายเก็บไว้ด้วย
ดูเหมือนทัศน์กำลังไล่ล่าข้อมูลหาความเกี่ยวข้องระหว่าง บูรพา กับ ตะวันฉาย

วันรุ่งขึ้น ขณะที่ธิชากำลังวาดรูปอยู่ในสตูดิโอ มือถือที่ชาร์จแบตอยู่ก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้น ธิชารีบขยับไปดู ไม่มีชื่อคนโทร.มา แต่เธอก็กดรับสาย
“ฮัลโหล ธิชาพูดค่ะ”
ปรากฏว่าไม่มีเสียงขานรับจากปลายสาย
“ฮัลโหล ใครจะพูดสายด้วยคะ”
ที่แท้เป็นบูรพาที่เวลานี้นั่งอยู่บนเตียง กำลังสับสนใจไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับธิชายังไง แต่แล้วสายตาเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง จึงตัดสินใจวางสาย
ฝ่ายธิชาลดโทรศัพท์ลงอย่างประหลาดใจ
ทางด้านบูรพาวางโทรศัพท์ลง และมองไปที่ประตูห้อง ซึ่งเจิมฉัตรยืนพิงขอบประตูมองจ้องอยู่
“โทร.หาใครเหรอ”
“ถึงผมจะเปิดประตูห้องทิ้งไว้ แต่คุณก็ไม่น่าจะเสียมารยาทแบบนี้”
“จะบอกอย่างนั้นมันก็คงไม่ได้หรอกนะ เผอิญฉันก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่น่ะ”
“หน้าที่อะไรของคุณ”
“ป๋าเค้าให้ฉันมาจับตาดูเธอเอาไว้”
บูรพาอึ้งไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกหนีไปด้วยความอึดอัด

บูรพาเดินออกมาจะขึ้นรถ เจิมฉัตรเดินตามออกมามองอีก
“จะออกไปไหน”
บูรพาหันมามองตาขวาง โกรธจัด
“ฉันจะได้รายงานป๋าเค้าถูก”
“ผมจะไปเยี่ยมจ๊อด”
บูรพาขึ้นนั่งบนรถ รู้สึกอึดอัดใจที่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ พอเลี้ยวพ้นบ้านเสี่ยเจริญมาได้สักพัก ถึงที่ลับตาบูรพาก็จอดรถข้างทาง มองกระจกหลังว่ามีใครตามมาหรือไม่ ก่อนจะมองสำรวจไปรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ได้ยินเสียงวิทยุตำรวจ เสียงไซเรนดังเข้ามาหลอกหลอน
ตามมาด้วยภาพตะวันฉายถูกยิงนอนจมกองเลือด ภาพนั้นฉายซ้ำไปซ้ำในหัวของเขา
บูรพาเครียดจัด หันไปมองนอกรถครู่หนึ่ง จึงเห็นมามองหน้าตัวเองในกระจกเงา สีหน้าบูรพา เต็มไปด้วยความทุกข์
จมอยู่ในความทุกข์ในอีกครู่หนึ่ง บูรพาจึงผ่อนลมหายใจคล้ายพยายามปล่อยปลง แต่ใบหน้าก็ยังดูอ่อนล้าอยู่ดี

ไม่นานหลังจากนั้น จ๊อดนั่งทานบะหมี่แห้งของโปรดอย่างมูมมาม โดยมีบูรพานั่งมองอยู่ตรงหน้า สองคนอยู่ในห้องบนชั้นบนของไนต์คลับแห่งนี้
“โอย แซบ อร่อย นี่ถ้าไม่ได้เอ็งข้าแย่แน่ๆ ไอ้ปอดมันเอาข้าวแมวที่ไหนมาให้กินก็ไม่รู้ รสชาติสุนัขไม่รับประทาน สงสัยเมียมันทำกับข้าวไม่อร่อย แล้วแอบเอามาให้ข้ากินแทนแหงๆ คราวหลังซื้อเจ้านี้เอ็งต้องบอกมันอย่าใส่ชูรสนะ กินแล้วคันหัวยิบๆ เลยว่ะ”
จ๊อดเห็นบูรพาจ้องตนนิ่ง ก็หยุดชะงัก
“เฮ้ย หิวก็แบ่งกันได้นะ เล่นจ้องแบบนี้ใครจะไปเจี๊ยะลงวะ”
“เอ็งต้องลำบากเพราะข้าแท้ๆ ไอ้จ๊อด”
“อีกแล้ว พูดงี้อีกแล้ว เพื่อนกัน พูดอะไรอย่างนั้นแล้วเอ็งดูข้าลำบากที่ไหน นั่งกินนอนกินแสนจะสบายอย่าคิดมากสิวะ จะดีจะร้ายมันเป็นเรื่องของดวง”
“ดวงข้ามันคงเป็นดวงกาลกิณี ทุกคนที่อยู่ใกล้ถึงได้เดือดร้อนไปกันหมด”
จ๊อดอึ้งไป ได้แต่พยักพเยิดหน้า ปล่อยให้บูรพาคิดไปถามยถากรรม
“ตามใจ อยากจะคิดก็คิดไป พูดอะไรมันก็วกมาเรื่องเดิมจนได้ เฮ้อ”

รถนายดาบตำรวจเสือแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านจ่าเวศ เสือลงมากางเก้าอี้รถเข็นให้ ก่อนจะช่วยกันกับโจประคองจ่าเวศลงจากรถ
ถัดมา เสือกับโจช่วยกันเข็นรถพาจ่าเวศเข้าบ้านมา หลังกลับจากโรงพยาบาลไปเยี่ยมลูก
“เอาล่ะๆ ที่เหลือลุงจัดการเองได้ขอบใจนะ ดาบเสือ แล้วก็เอ่อ…”
โจยิ้มหวาน “โจค่ะ”
“คุณพ่ออยู่คนเดียวได้แน่หรือครับ”
“ได้สิน่า ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกทีเจ้าฉายมันไปเข้าเวร ลุงยังอยู่ของลุงได้เลยนี่ ดาบกลับบ้านไปพักซะเถอะ พอเจ้าฉายมันจะออกจากโรงพยาบาล ค่อยมารับลุงใหม่ก็แล้วกัน”
ขณะที่เสือพาจ่าเวศเข้าบ้าน โจกวาดมองสำรวจไปรอบๆ โถงบ้าน
“แหม บ้านคุณลุงน่าอยู่จังเลยนะคะ อุ๊ย มีรูปผู้หมวดตอนเด็กๆ ด้วย”
โจปราดไปหยิบรูปมาดู ก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นรูปของตะวันฉายที่ถ่ายกับบูรพา
โจหันมาชี้ให้เสือดูรูปหน้าตาตื่น
“เฮ้ย หมู่ ไอ้นี่มัน...”
เสือนึกขึ้นได้ รีบกระโดดผลุงไปตะครุบปากโจไว้ทันที โจเลยได้ส่งเสียงอู้อี้ในคอว่า
“ไอ้บูรพา”
จ่าเวศส่ายหัว “อะไรกันน่ะ สองคนนี้ เล่นกันเป็นเด็กไปได้”
“ไม่มีอะไรครับคุณลุง ถ้าไงผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ”
เสือดึงรูปจากมือโจส่งให้จ่าเวศ แล้วลากคอโจออกไปโดยไว จ่าเวศมองตามงงๆ ก่อนจะมองรูปในมือด้วยความสงสัย
“ตกใจอะไรของเค้านะ”

เสือลากโจออกจากบ้านมาที่รถ โจแกะมือเสือออก
“โว้ย เค็มจะตายชัก อุดอยู่ได้ เกือบหายใจไม่ออกน่ะรู้มั้ย”
“โจ ห้ามพูดเรื่องนายบูรพากับพ่อผู้หมวด ห้ามพูดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น เข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า”
“ไม่เข้าใจ นายต้องบอกมาก่อน ทำไมถึงมีรูปถ่ายนายบูรพาอยู่ในบ้านนี้”
เสือชะเง้อมองไปข้างในเพราะกลัวจ่าเวศได้ยิน ก่อนจะตอบโจ โดยเลือกโกหก
“บังเอิญน่ะ”
“บังเอิญบ้าอะไรเล่า นายบอกฉันว่าบูรพาเป็นคนยิงผู้หมวดไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมในรูปมันเหมือนคนรู้จักกันเลยล่ะ”
“อย่าถามเซ้าซี้น่า ไม่รู้ซักเรื่องมันจะขาดใจตายหรือไง”
“นี่ดาบ ฉันไม่ชอบนะ ทำงานด้วยกันก็ต้องไว้ใจกัน ห้ามมีความลับ ตกลงนายบูรพาเป็นอะไรกับผู้หมวด”
เสือจนมุม เลยตัดสินใจบอกความจริง “เค้าเป็นน้องชายผู้หมวด”
โจตะลึงตะไลไปแล้ว

ในขณะที่โจกำลังเดินมาตามระเบียงแฟลต สีหน้ายังงุนงงครุ่นคิดไม่ตกสักที เรื่องความจริงที่ได้ทราบเกี่ยวกับตะวันฉายและบูรพา
“อะไรวะพี่น้อง เป็นไปได้ไง แล้วทำไมสภาพมันต่างกัน เป็นหน้ามือกับหลังเท้าแบบนี้ ไม่อยากเชื่อ ฝันไปรึเปล่าวะ”
เมื่อโจเปิดประตูห้องเข้าไป แต่แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นตุ๊กนั่งอยู่ที่โซฟา โดยมี กฤต กับ ยุทธ นั่งถือปืนจ่อประกบคนละข้าง
ตุ๊กสะอึกสะอื้น “กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเป็นสายให้ตำรวจอีโจ ทำไมไม่เชื่อกูแต่แรก”
โจเอะใจมองไปมุมห้องเห็นทัศน์กำลังนั่งยองๆ รื้อแผ่นซีดีเกมอยู่ที่หน้าจอทีวี และเหลียวมาทักด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ว่าไงหนูโจ”
โจตกใจขยับจะถอยหลังหนี แต่แล้วก็ถูกกฤชกับยุทธที่ดักอยู่ดันตัวให้กลับเข้าห้อง ยุทธปิดประตูลงกลอน รูดม่านปิดทึบทั้งห้อง
ถัดมา ทัศน์นั่งเล่นเกมเพลย์กับทีวีอย่างเมามันเขี้ยว เป็นเกมส์ยิงโดยใช้ปุ่มกด มีโจนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ ส่วนตุ๊กนั่งอยู่ที่เตียง โดยมีกฤชกับยุทธนั่งประกบสองข้าง ตุ๊กเอาแต่ร้องไห้กระซิกๆ เสียงเบาๆ กะว่ายังไงก็ตายห่าแน่
“เป็นสายตำรวจมานานรึยัง” ทัศน์ถาม
โจตอบเนือยๆ “เพิ่งเป็นค่ะ”
ทัศน์ได้ยินเสียงก็เลิกเล่นเกม หันมาตบบ่าลูบหัวปลอบโจ
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พวกฉันไม่ทำอะไรเธอกับเพื่อนหรอก ฉันแค่อยากได้ข้อมูลนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
โจโพล่งขึ้น “พวกมึง เอ๊ยพี่เป็นใครกันคะ”
“เอาเป็นว่าฉันเป็นหน่วยงานที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็แล้วกัน” ทัศน์ยิ้มชั่ว “ตอบคำถามมาดีกว่า ฉันสัญญาว่าจะปิดเรื่องของเธอเป็นความลับ แต่ถ้าไม่บอก…”
ทัศน์ผินหน้าไปยังตุ๊ก ยุทธตะปบบ่าตุ๊กหมับ ตุ๊กโวยวายลั่นด้วยความปอดแหก
“อย่า อย่าทำฉัน ฉันเคยมีผัวแล้ว..ฮือๆๆ อีโจ สงสารกูมึงก็บอกมันไปเหอะ”
โจไม่มีทางเลือก
“พี่อยากรู้เรื่องไหนอ่ะ”
ทัศน์พูดช้าๆ ชัดๆ

“คนสนิทของเสี่ยเจริญ นายบูรพา”

อ่านต่อหน้า 2




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 9 (ต่อ)

ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง กฤชรินเครื่องดื่มในตู้เย็นมาเสิร์ฟให้ทัศน์ที่ยังสอบปากคำโจอยู่ ในขณะที่ยุทธยังนั่งประกบตุ๊กอย่างใกล้ชิดแทบจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ตุ๊กหนาวๆ ร้อนๆ ไม่รู้จะม่องเท่งเมื่อไหร่

ทัศน์ยื่นแก้วน้ำให้โจ “เผื่อเธอจะคอแห้ง ช่วยเล่าใหม่อีกทีซิ”
“โธ่พี่ชาย ถ้าไม่เชื่อหนู แล้วจะถามไปทำไมเล่าพี่ พี่ถามมาเจ็ดแปดครั้งแล้วนะ อันไหนหนูรู้หนูก็บอกไปแล้ว อันไหนไม่รู้จะให้หนูทำเป็นรู้ได้ยังไง”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้เรื่องนายบูรพากับผู้หมวดตะวันฉาย”
โจส่ายหน้าดิก “ไม่รู้”
“แล้วรู้รึเปล่าว่า นายบูรพาช่วยชีวิตผู้หมวดเอาไว้ เพราะอะไร”
“ก็บอกไม่รู้ เค้าเป็นไม้ป่าเดียวกันมั้ง”
“รู้รึเปล่าว่า ถ้าฉันจับได้ว่าเธอโกหกจะเกิดอะไรขึ้น” ทัศน์มองจ้องตาโจซึ่งเอาแต่หลบตาวูบ “เธอหลบตาฉันทำไม รู้มั้ยเวลาฉันคุยกับคน ฉันชอบมองตา”
“หนูไม่กล้าหรอกพี่”

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง เล่นเอาตุ๊กตกใจปัดเอาแก้วน้ำร่วงลงพื้น
“คุณพี่โจครับ คุณพี่ตุ๊กครับ อยู่รึเปล่า”
ทัศน์บุ้ยใบ้หน้าให้ตุ๊กไปจัดการ ตุ๊กลุกไปเปิดประตูแง้มออกเห็นขี้ยาสูงวัย มายืนหนาวและหาวอยู่หน้าห้อง
“มีของมั้ย ขอกู้ซักตัวนึงสิ”
ตุ๊กมองขี้ยา ในขณะที่เอวตัวเองโดนยุทธเอาปืนจ่ออยู่ข้างหลัง
“รอเดี๋ยวนะ”
ตุ๊กเดินกลับมาหยิบของที่ซ่อนไว้หลังกรอบรูป
ตุ๊กหยิบยาพลางเหลือบมองโจ และเหลียวมองไปที่ประตู โจรับรู้ว่าตุ๊กส่งสัญญาณ
เสียงขี้ยาแหลมเข้ามา “แหมวันนี้คนเยอะจริง เปิดบริการถึงบ้านเลยหรือไง อีตุ๊ก”
พลางขี้ยาหันมามองโจกับทัศน์
“แฟนเหรอวะ อีโจ หล่อดีนะ”
ทัศน์ทำเป็นยิ้มโอบบ่าโจอย่างสนิทสนม โจถือโอกาสลอบมองพื้นประเมินสถานการณ์ และหาทางหนีทีไล่ เห็นพื้นตรงหน้ามีคราบน้ำที่ตุ๊กทำหกไว้เจิ่งนอง ใกล้ๆ กันมีกระติกน้ำร้อนเสียบปลั๊กเอาไว้ชงกาแฟ ยังไม่ถอดสาย
ตุ๊กเดินไปจะส่งของให้ขี้ยา แต่แล้วก็หยุดกึก หันกลับร้องให้สัญญาณ
“อีโจ”
โจรออยู่แล้วกระแทกตัวใส่ทัศน์เต็มแรง คว้ากระติกน้ำร้อนสาดเข้าที่หน้ายุทธอย่างจัง จนยุทธต้องหมอบลงไป ตุ๊กกระชากตัวขี้ยาผลักชนกฤชล้มลง ขี้ยาหัวกระแทกพื้นสลบคาที่
กฤชขยับจะช่วยทัศน์แต่โจกระชากสายเสียบกระติกน้ำร้อน จับยัดไปที่ตัวกฤชที่กฤชโดนไปช๊อตสะท้านเฮือกฟุบไปทันที
โจกำลังจะวิ่งหนีแต่ทัศน์จับไว้ได้ แล้วต่อยท้องโจจนฟุบลง ตุ๊กช็อค มองเหตุการณ์อย่างตะลึงตะไล ทัศน์เข้ามาต่อยตุ๊กจนร่วงผล็อยสลบไป
ทัศน์เดินไปถอดปลั๊กที่กฤชโดนช็อตอยู่ รอจนกฤตเริ่มฟื้นได้สติ ทัศน์จึงก้มลงมาคุยกับโจทั้งที่ยังสลบอยู่
“ลงว่ามันโกหกปกป้องเจ้าบูรพาขนาดนี้ ก็แปลว่ามันต้องสนิทกับผู้หมวดตะวันฉายไม่เบา ขืนไปยุ่งกับมันมาก เรานั่นแหละจะเดือดร้อน”
ทัศน์นิ่งนึก สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“สู้เก็บไว้ใช้งานต่อไป ยังจะเข้าท่ากว่า จริงมั้ย”
ทัศน์สั่งให้ลูกน้องถอนตัวกลับ แล้วเดินออกไป

โจกับตุ๊กฟื้นแล้ว เวลานี้เดินคุยกันมาตามทางเดินใต้ต้นมะขามของสนามหลวง
“สะใจมึงรึยังอีโจ บอกแล้วว่าอย่าเป็นสายตำรวจอย่าไปรับเงินตำรวจเห็นมั้ย แล้วคราวนี้จะไปซุกหัวที่ไหน”
“มึงจะบ่นทำไมอีกวะ เงินกูก็ได้มาก็แบ่งมึงน่ะ นี่ ไอ้กำไลที่กูซื้อให้มึงนี่ก็ของตำรวจ รู้ไว้ซะด้วยอีตุ๊ก”
ตุ๊กถอดให้ทันที “งั้นมึงเอาไปเลย เอาคืนไปเลย คนอย่างกูตุ๊กท่าเตียนไม่รับเงิน ไม่รับของๆตำรวจ”
โจบอก “สร้อยด้วย”
ตุ๊กถอดสร้อยทองที่คออีก “เอาสิวะ เอาไป”
“กางเกงด้วยโว้ย”
ตุ๊กแหกปากลั่น “กูไม่ถอด โจกูอยากจะกลับบ้าน”
“ไม่เอาดิมึง ไปกับกู ไปหาที่อยู่ใหม่”
“กูเกิดที่นั่น” ตุ๊กบอก
“มึงคิดดีแล้วใช่มั้ย เออ เอาตามมึงว่าแล้วกัน”
ทั้ง 2 กอดกันกลม เป็นการล่ำลา
“โจกูรักมึง กูรักมึง มีปัญหาโทร.หากูนะเพื่อน”

จ่าเวศนั่งดูทีวีอยู่ในโถงบ้านตามลำพังอย่างเงียบเหงา พลางดูนาฬิกาเป็นระยะ เหมือนอยากให้เช้าไวๆ จะได้ไปเยี่ยมตะวันฉายอีก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้าน
“ใครมาดึกๆ ดื่นๆ ป่านนี้”
จ่าเวศผลักประตูออกมา ชะเง้อมองไปที่ประตูรั้ว
“นั่นใครน่ะ”
เงาดำตะคุ่มๆ ที่ประตูรั้ว ไม่ขยับ และก็ไม่ยอมขานตอบ จ่าเวศใจไม่ดีเลยแกล้งขู่
“ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันมีปืนนะ”
บูรพาค่อยๆ เดินออกจากความมืดออกมาที่สว่าง จ่าเวศเห็นหน้าถนัดก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“บูรพา”
อารามดีใจ จ่าเวศโถมตัวจะเข้าไปหาลูก จนเสียหลักล้มโครมลงจากรถเข็น ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
บูรพาตกใจรีบเปิดประตูรั้วกระโจนเข้ามาหาพ่อทันควัน
“พ่อ”
บูรพาประคองจ่าเวศขึ้นนั่งบนรถเข็นพาเข้ามาในบ้าน
“บูรพา แกหายไปไหนมา พ่อเป็นห่วงแกมาก แกรู้มั้ยพ่อนึกว่าแกต้องรอให้พ่อตายไปก่อน แกถึงจะยอมกลับบ้าน”
“พ่อ… พ่อครับ”
บูรพาก้มลงกราบเท้าพ่อด้วยความคิดถึง และรู้สึกผิดเต็มประตู
“ผมผิดไปแล้วพ่อ ยกโทษให้ผมด้วย
จ่าเวศร้องไห้กอดลูกชายที่หายไปด้วยความคิดถึง

จ่าเวศขึ้นนอนบนเตียงแล้ว โดยมีบูรพานั่งเฝ้าอย่างใกล้ชิด
“แกหายไปไหนมาตั้งนานทำไมแกถึงไม่ส่งข่าวมาหาพ่อบ้าง”
“ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัดครับพ่อ ผมผิดเอง ที่ไม่บอกพ่อแต่แรก ผมตั้งใจว่าจะเขยิบฐานะให้ได้ก่อนแล้วค่อยติดต่อมา”
“เขยิบฐานะ โธ่ บูรพาเอ๊ย นี่แกคิดจะกู้หน้าตัวเองด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ”
บูรพายิ้มให้พ่อ นึกละอายใจ ที่ต้องโกหกพ่อ
“แล้วแกไปทำอะไรอยู่ที่นั่น เค้าลือว่าแกไปทำงานใกล้ชิดกับพวกนักเลงจริงรึเปล่าลูก”
บูรพาอึดอัดมาก “ไม่จริงหรอกครับพ่อ แค่บริษัทที่ผมทำอยู่มีพวกคนไม่ดีถือหุ้นอยู่บ้างเท่านั้นเอง พ่อวางใจเถอะนะครับ”
จ่าเวศยิ้มได้ “ดีลูกดีแล้ว แม่แกเค้าจะได้หมดห่วง แล้วนี่เมื่อไหร่แกถึงจะยอมกลับบ้านหือ”
“อีกสักพักครับพ่อ ให้งานลงตัวก่อนแล้วผมจะกลับมา”
จ่าเวศลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
“ท่าทางแกคงจะงานรัดตัว นี่แกคงได้ข่าวเจ้าฉาย ก็เลยลาเจ้านายเค้ามาเยี่ยมมันใช่มั้ยลูก”
บูรพาอึ้ง จะบอกว่าไม่ใช่ก็พูดไม่ได้
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ก็ไปเยี่ยมพี่แกพร้อมกันนะ ถือว่าพ่อขอร้องครอบครัวเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันตั้งนานแล้ว”

รุ่งเช้า ธิชาเดินมาหยุดหน้าห้องพักฟื้น แล้วเคาะประตูห้อง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงจากภายในแว่วออกมา มันเป็นเสียงบ่นของ เจ้าหน้าที่ 1 คนสเก็ตซ์รูปคนร้าย ที่ต่อว่าตะวันฉาย
“ผู้หมวด เดี๋ยวก็คิ้วเข้มคิ้วบาง ตาโตบ้างตาตี่บ้างคุณจะเอายังไงแน่”
ตะวันฉายท่าอึดอัดใจ ในขณะที่ เจ้าหน้าที่ 1 กำลังคาดคั้นหนัก
“ทำไมพวกยากูซ่า 3 คนนั่น คุณถึงได้บอกรูปพรรณสัณฐานได้ชัดเจน แต่คนของเสี่ยเจริญที่ยิงคุณแท้ๆ คุณกลับทำเหมือนกับไม่ได้เห็นหน้าเค้าอย่างนั้น”
“ผมเห็นเค้าไม่ถนัด เค้ายืนย้อนแสงอยู่”
เจ้าหน้าที่ 1 มองอย่างคลางแคลง “ก็ได้ งั้นผมจะไปรายงานสารวัตรตามนี้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก”
เจ้าหน้าที่ 1 เก็บรูปสเก็ตซ์ลุกขึ้นไปเปิดประตู และเจอธิชายืนอยู่ เธอยิ้มทักทายหากแต่ เจ้าหน้าที่สเก็ตซ์รูป ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะยิ้มตอบ เดินหน้าบูดออกไปเลย
ธิชามองมาที่ตะวันฉาย และเริ่มสงสัยอะไรบางอย่างในใจ

ขณะเดียวกัน บูรพาเข็นรถเข็นพาจ่าเวศมาตามทางเดิน ท่าทางอึดอัดมากเพราะรู้ดีว่ากำลังเข้ามาในดงตำรวจ พอดีเดินสวนกับ เจ้าหน้าที่สเก็ตซ์รูปที่กำลังจะกลับ
“อ้าวกลับแล้วเหรอครับผู้หมู่” จ่าเวศทักทาย
“ครับจ่า”
เจ้าหน้าที่ 1 เหลือบมองบูรพา ทำเอาบูรพาต้องรีบหลบสายตา
“นี่ลูกชายคนเล็กครับ ไปทำงานที่ต่างจังหวัดเสียนาน”
เจ้าหน้าที่สเก็ตซ์รูปพยักหน้ารับรู้ แต่ท่าทางเหมือนว่าจะรู้สึกเคลือบแคลงในพิรุธของบูรพา
“ตอนนี้ผู้หมวดเค้าอยู่ในห้องคนเดียวหรือครับ” จ่าเวศถาม
“อ้อ เปล่าครับ มีเพื่อนผู้หญิงอยู่ด้วยขอตัวนะครับ”
เจ้าหน้าที่ 1 ผละตัวไป จ่าเวศยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันมาบอกบูรพา
“นี่บูรพา แกย่องไปดูในห้องหน่อยสิว่าพี่แกอยู่กับใคร ถ้าอยู่กับแฟนเค้าเราจะได้ไม่ต้องเข้าไปกวน”
บูรพาแปลกใจที่ได้ยินว่าตะวันฉายมีแฟน เขาชิดรถเข็นพ่อเข้าข้างทาง แล้วเดินไปที่ห้องพี่ชาย

ธิชากำลังนั่งปอกผลไม้ให้ตะวันฉายทาน
“ตะกี้คุณน่าจะอยู่ด้วย เผื่อจะได้ช่วยลงสีให้รูปคนร้ายซะหน่อย สงสัยคงแจ๋วน่าดู”
ธิชาไม่ตอบ ยิ้มรับขรึมๆ จนตะวันฉายผิดสังเกต
“มีอะไรหรือครับ”
“ฉันแค่แปลกใจว่าทำไมผู้หมวดจำหน้าคนร้ายที่ยิงผู้หมวดไม่ได้”
“ผมเห็นเค้าไม่ถนัด”

“ก่อนจะไปทำงานคราวนี้คุณพูดถึงแต่ว่าจะจับบูรพา แต่พอเสร็จงาน คุณไม่ถามถึงเค้าเลยสักคำ”
ตะวันฉายอึ้งหลบสายตา ธิชามองสภาพตะวันฉายแล้วนึกสงสาร เริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
“เค้าอยู่ที่นั่นใช่มั้ยคะ”
ตะวันฉายเงียบ
“คุณยิงเค้ารึเปล่า”
ตะวันฉายส่ายหน้า ธิชาสะเทือนใจ
“แต่เค้ายิงคุณ”
ตะวันฉายนิ่ง ธิชาทั้งผิดหวังและเสียใจจนน้ำตาซึม
ระหว่างนี้ บูรพาแอบแง้มประตูออก และเห็นเหตุการณ์เข้า
“ฉันขอโทษ ฉันมองคุณผิดไป ฉันเคยนึกว่าคุณหมดความอดทนที่จะช่วยเค้าแล้ว แต่ความจริงคุณ” ธิชาจะร้องไห้ “เค้าทำคุณขนาดนี้ คุณก็ยังยกโทษให้เค้า”
ธิชาร้องไห้ซบหน้าลงกับมือของตะวันฉาย บูรพามองภาพตรงหน้า ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

บูรพาละตัวออกจากประตูกลับมาหาจ่าเวศ
“พ่อโทษทีนะครับ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน ขอตัวก่อนนะครับ”
บูรพารีบผลุนผลันไป จ่าเวศงงพอๆ กับตกใจ
“อ้าว บูรพานั่นจะไปไหนเล่า เจ้าฉายยังไม่ได้กินข้าวเย็นกับแกเลย”

ธิชายังคงร้องไห้ซบกับมือตะวันฉายอยู่อย่านั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงดังลั่นาจากหน้าห้องก็เงยหน้าขึ้น ทั้งตะวันฉายและเธอต่างก็ตกใจ
จ่าเวศส่งเสียงเรียกลูกชายดังลั่น “บูรพากลับมาก่อน บูรพา”
ตะวันฉายตกใจ “บูรพา”
ธิชาผละจากตะวันฉายผลักประตูออกไปโดยไว

ธิชากระวีกระวาดวิ่งออกมา และเจอจ่าเวศอยู่ตามลำพัง
“บูรพาไปทางไหนแล้วคะ”
“ทางโน้นไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน” จ่านึกขึ้นได้ “เอ๊ะ นี่หนูรู้จักบูรพาด้วยหรือ”
ธิชาไม่มีเวลาตอบ เธอรีบวิ่งตามบูรพาไป จ่าเวศได้แต่มองตามงงๆ

บูรพาก้าวยาวๆ เดินหนีออกมา เห็นธิชาวิ่งตามมาทางข้างหลัง
“บูรพา”
บูรพายังคงเดินหนี
“บูรพา”
บูรพายังไม่ยอมหยุด จนกระทั่งธิชาไล่มาถึงตัวจนต้องกระชากไหล่เค้าให้หันมา
“คุณกำลังจะทำอะไร”
บูรพาเงียบ พยายามซ่อนความรู้สึก โดยไม่ยอมมองหน้าคนรัก
“คุณพูดอะไรหน่อยได้มั้ย อย่าเอาแต่เงียบแบบนี้ บูรพาคุณเข้าใจอะไรผิดอยู่ใช่มั้ย”
บูรพาเงยหน้ามองธิชาช้าๆ
“บูรพา”
“ผมไม่ได้เข้าใจผิดธิชา ผมรู้ว่าคุณกับเค้าไม่ได้มีอะไรกัน เพียงแต่ ตอนที่ผมเห็นคุณอยู่กับเค้า…”
บูรพายนึกถึงภาพตอนธิชาอยู่กับตะวันฉาย ภาพนั้นช่างดูงดงามเหมาะสมกันยิ่งนัก
“มันเหมาะสมกันดี ไม่เหมือนเวลาที่คุณต้องอยู่กับผมเลย”
“จนถึงเวลานี้คุณยังมีใจมาคิดเรื่องแบบนี้อีกงั้นเหรอ แทนที่คุณจะเข้าไปเยี่ยมเค้า คุณกลับหนีออกมาเพราะปัญหาแค่นี้”
บูรพาเงียบอีก
“บูรพา คนที่คุณพามาด้วยแล้วก็ทิ้งไว้หน้าห้อง ไม่ใช่พ่อของคุณเหรอคะ แล้วตำรวจคนที่นอนเจ็บอยู่ ใช่พี่ชายของคุณรึเปล่า”
“คุณจะโกรธผมทำไม”
“ฉันต่างหากที่ควรถามว่า คุณยิงเค้าทำไม”
บูรพาชะงัก “คุณรู้...”
“ใช่ฉันรู้ บูรพาฉันเจ็บปวดมากที่อุตส่าห์ต่อสู้กับเค้าเพื่อคุณ ในขณะที่คุณโกหกแล้วก็หลอกลวงฉัน คุณไม่ได้เป็นอย่างคุณพูด คุณทำงานให้พวกโจร คุณเป็นคนเลว”
“แต่ผมจำเป็นต้องทำอย่างนั้นธิชา”
ธิชาอึ้งไปก่อนจะเอ่ยปากเย้ยหยันออกมาอย่างปวดร้าว
“จำเป็นงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอกบูรพา มันเป็นแค่ข้ออ้างของคุณต่างหากที่คุณจะได้ไม่รู้สึกผิดที่คุณโกหกฉัน แล้วก็ทำร้ายพี่ชายของคุณ คุณบูรพา ฉันถามคุณจริงๆ อีกหน่อยถ้าฉันขวางทางของคุณขึ้นมา คุณจะทำยังไงกับฉัน” ธิชายิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บปวด “คุณจะฆ่าฉันงั้นเหรอ”
“ธิชา มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”
“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด แล้วมันเป็นแบบไหนเหรอ บูรพา คุณตอบฉันหน่อยสิ”
บูรพาตัดบท “เราไม่ควรพูดอะไรตอนนี้”
“แต่ฉันต้องการคำตอบ แล้วคุณก็ต้องตอบฉันด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะโกหกชั้นอีกครั้ง ชั้นก็จะฟัง...”
“ธิชา ไอ้สารเลว ไอ้ขี้คุกคนนี้ ไม่คู่ควรกับคุณมาตั้งแต่ต้นแล้ว คุณน่าจะรู้ ผมไม่มีอะไรจะบอกคุณ นอกจากคำว่าขอโทษ ผมบอกคุณไม่ได้ว่าทำไม ผมถึงยิงเค้า แต่ผมบอกคุณได้ว่าผม ไม่เคยคิดที่จะหลอกคุณเลย แม้แต่น้อย”
บูรพาเหลียวมองไปข้างหน้า แล้วหันกลับมาหาธิชา
“มันไม่เคยมีบ้านหลังนั้นหรอกธิชา ไม่มีเคยเรือลำนั้นด้วยผมไม่มีอนาคตอะไรให้คุณ ไม่มีอะไรเลย นอกจากความฝันลมๆ แล้งๆ ผมขอโทษ”

ธิชาน้ำตาร่วง เสียใจเหลือแสน ไม่ต่างบูรพาที่ผละจากไป พกพาความปวดร้าวติดใจไปด้วย

อ่านต่อหน้า 3




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 9 (ต่อ)

ทันทีที่กลับถึงห้องพักในบ้านเสี่ยเจริญ บูรพาได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปวาดของธิชาที่มอบให้ เขาจดสายตาจ้องภาพเรือที่กำลังแล่นไปสู่ทิศตะวันออกนิ่งนาน สุดท้ายตัดสินใจปลดภาพนั้นลงมา

ส่วนทางด้านธิชาร่ำไห้อยู่บนเตียงในความมืดของห้องนอนชั้นบนของสตูดิโอ เธอครุ่นคิดกับสิ่งที่บูรพาพูดด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจ สุดจะประมาณ

ธิชาไปเยี่ยมตะวันฉายแต่เช้า และเข็นรถพาตะวันฉายลงมารับลมที่สวนสวยของโรงพยาบาล สักพักหนึ่งจึงพยุงตะวันฉายพามานั่งลงพักที่ม้านั่งยาว ตะวันฉายหันไปมองธิชา และดูออกว่าเธอฝืนยิ้มให้เขา ราวกับคนมีเรื่องทุกข์กัดกินใจ
“ความจริงคุณไม่ต้องมาเยี่ยมผมทุกวันก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันภูมิใจซะด้วยซ้ำที่ได้ทำอะไรให้คุณบ้าง”
“ทำไมคุณต้องทำอะไรให้ผมด้วยล่ะ”
เห็นธิชาเงียบไป ตะวันฉายจึงเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ธิชา ผมกับบูรพาต่างฝ่ายก็ต่างทำตามหน้าที่ของตัวเองถึงผมบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดอะไรของเค้า”
ธิชาละอายใจแทนคนรักอยู่ดี
“ดังนั้นคุณกับผมก็ไม่มีอะไรติดค้างกัน คุณไม่จำเป็นต้องใช้หนี้แทนเค้า”
ธิชาหน้าเศร้าลง “แต่คุณช่วยเค้า คุณปล่อยเค้าไป”
ตะวันฉายส่ายหน้า “ผมไม่ได้ช่วยอะไรเค้าธิชา ที่ผมปกปิดเรื่องเค้าไว้ในเวลานี้ ก็เพราะผมต้องการเป็นคนจับเค้ากับมือ คนอย่างเค้าถ้าไม่เห็นดำเห็นแดง ก็ไม่มีวันยอมรับว่าแพ้”
ธิชาเอ่ยถามขึ้นอย่างลำบากใจ “คุณไม่คิดบ้างหรือคะ ว่าเค้าจะกลับตัว”
ตะวันฉายยิ้มบางๆ “ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ธิชา แต่เวลาหมดลงแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ชื่อของเค้าต้องขึ้นบัญชีจับตายของกรมตำรวจแน่ๆ”
ธิชาใจหายวับ หน้าสลดลงชัดแจ้ง
“ธิชาถ้าคุณอยากช่วยเค้า ผมว่าคุณควรจะไปเกลี้ยกล่อมให้เขาถอนตัวและหนีไปเสียแต่เดี๋ยวนี้ บางทีถ้าเขาหายไปซะ อะไรๆ มันอาจจะดีขึ้น”
“บางทีฉันอาจจะทำได้ไม่สำเร็จ” เธอถอนใจอย่างแรง
ตะวันฉายอึ้ง นิ่งฟัง

“เพราะชั้นไม่คิดว่าเค้าจะฟังชั้นอีกต่อไป แต่เพื่อตัวเค้า...ยังไง ชั้นจะพยายามค่ะ”
ตะวันฉายฟังแล้วพยักหน้าให้กำลังใจธิชา แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม

ถัดมาธิชาประคองตะวันฉายพาเขาหัดเดิน ตะวันฉายเสียหลัก ซวนเซทำท่าจะล้มธิชารีบโอบประคองเขาเอาไว้ ช่างบังเอิญเหลือเกินว่าในจังหวะเดียวกันนี้เสือกับโจซึ่งมาเยี่ยมตะวันฉาย เดินมาเห็นเข้าพอดี
โจมองอย่างหมั่นไส้ แล้วรีบฉากหลบ ปล่อยให้เสือตรงไปหาตะวันฉายและธิชาเพียงลำพัง
“คุณธิชาพาหมวดมาเดินเล่นหรอครับ”
“ค่ะ เดี๋ยวว่าจะกลับแล้ว”
เสือมองมาที่โจเข้าใจก่อนจะเดินไป

ไม่นานต่อมา โจมองผ่านหน้าต่างห้องพักฟื้นหมวดตะวันฉายลงไปยังชั้นล่าง เห็นธิชากำลังเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปเลย โจยืนเกาะขอบหน้าต่าง แอบยกมือไล่ พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาตามหลังธิชาไป
“ชิ้วๆ”
เสียงของดาบเสือดังขึ้น “ไม่กี่วันก่อนมีคนกลุ่มหนึ่งไปขู่โจที่ห้อง บังคับให้บอกความลับเรื่องบูรพา”
เสือนั่งคุยอยู่กับตะวันฉาย ซึ่งเอนตัวครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง
“โชคดีที่โจหัวไวก็เลยโกหกไปได้เรื่อยเปื่อย ท่าทางพวกนั้นคงคิดว่าบูรพาเป็นสายตำรวจ”
“รู้รึเปล่าว่าพวกไหน”
“คงไม่ใช่พวกเสี่ยเจริญ ไม่งั้นต้องไม่ปล่อยโจไว้แบบนี้แน่”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าเป็นห่วง ลงถ้ามันรู้ว่าโจทำงานให้เรา อีกไม่นานคนอื่นก็คงต้องรู้ได้เหมือนกัน”
เสือนิ่งคิด แล้วจึงถามขึ้นว่า “ผู้หมวดคิดจะให้โจถอนตัวเหรอครับ”
โจได้ยินเข้าก็หูผึ่ง รีบแจ้นมาร่วมวงสนทนาด้วยทันที ส่งเสียงดังลั่น
“เฮ้ย หนูไม่ถอนนะหมวด ถอนแล้วใครจะหาข่าวให้หมวดล่ะ”
“นี่โจ เห็นเธอตั้งใจทำงานฉันก็ดีใจนะ แต่เธอก็น่าจะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองไว้ด้วย งานของฉันมันไม่ได้สำคัญไปกว่าชีวิตของเธอหรอก”
โจจ๋อยสนิท “หมวด…ว่างั้นเหรอ”
“แน่นอนสิ อย่างน้อยฉันก็ถือว่าเธอเป็นน้องเป็นนุ่งคนนึง จะไม่ห่วงได้ยังไง”
เสือได้ยินหันมามองหน้าโจ ดูออกว่าอีกฝ่ายผิดหวังเล็ก ที่หมวดให้ได้แค่น้อง

เย็นแล้ว ขณะที่เสือนั่งรอจนโจขึ้นมานั่งบนรถ แต่เสือยังไม่ยอมออกรถ รอจนได้จังหวะจึงบอกกับโจว่า
“โจ เรื่องที่ผู้หมวดพูดฉันว่ามันก็มีเหตุผลนะ ถ้าพวกนั้นรู้แล้วว่าเธอเป็นสายตำรวจ อีกหน่อยพวกเสี่ยเจริญก็คงต้องรู้ด้วย”
“ก็ช่างหัวมันประไรเล่า รู้ก็รู้ไปสิ อย่างมากก็โกหกมันไปว่าเข้าใจกันผิด โธ่เอ๊ยรอดมาได้ตั้งหลายงาน ไม่มาตกม้าตายตอนจบหรอกน่า” โจ ท่าเตียน ไม่ยี่หระ
“โจ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วนะ มันอันตรายเธอไม่รู้หรือไง ผู้หมวดเค้าเป็นห่วงเธออยู่นะ”
“ก็ดีสิ หัดเห็นคุณค่ากันซะบ้าง”
เสือโกรธ “เคยคิดบ้างรึเปล่าว่ายังมีคนอื่นที่เค้าเห็นค่าของเธอมากกว่าผู้หมวด แล้วเค้าจะเสียใจขนาดไหน ถ้าเธอเกิดบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปขึ้นมา เคยคิดบ้างรึเปล่า”
ตอนท้ายดาบเสือตะโกนใส่ ซะดังลั่น เล่นเอาโจงง
“ทำไมต้องตะคอกขนาดนี้ด้วย นี่ชั้นถามหน่อยเหอะ ใครจะมาสนอะไรฉันขนาดนั้น”
เสือขยับปากจะบอกว่า ฉันไง แต่สุดท้ายก็ลังเล
“เห็นมั้ย...ไม่มีหรอก”

สองคนแวะทานข้าวเย็น ที่ร้านอาหารติดกับโรงพยาบาล โจนั่งตรงข้ามกับเสือ
“เอ้า กินๆๆๆ มื้อนี้หมวดเค้าฝากชั้นมาเลี้ยงตามสัญญา”
โจทำหน้าซังกะตาย เหมือนคนเบื่อโลก
“นี่โจ จริงๆ แล้วการที่หมวดเค้าให้เธอเลิกทำงานเนี่ย ฉันว่ามันดีแล้วนะ ดูอย่างหมวดดิ ชีวิตตำรวจอย่างพวกฉันมันไม่แน่ไม่นอนหรอก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมถ้าต้องเอาเธอมาเสี่ยงด้วย หลังจากนี้คิดเลยดีกว่าว่าอยากทำอะไร อยากเที่ยวก็เที่ยว อยากทำอะไรก็ทำ อยากรู้สึกอะไรก็รู้สึก”
โจเงยหน้ามองงงๆ “เป็นอะไรเนี่ย อยู่ดีๆ ก็มาเทศน์กันชุดใหญ่เลย”
“เอ้า ก็พูดความจริง”
“อยากรู้เหรอว่าตอนนี้ฉันรู้สึกอะไร”
“อยากรู้” โจพยักหน้าหงึกๆ
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้นายรู้สึกอะไร”
“เอางี้ดีกว่า ยิ้งฉุบกัน ใครแพ้บอกก่อน”
โจตกลง สองคนเป่ายิ้งฉุบกัน เสือแพ้ แต่อ้ำอึ้งอยู่นั่น พยายามจะพูดว่า ฉันรักเธอ แต่พูดไม่ออกบอกไม่เป็น
โจเร่ง “เอ้า เร็วๆ เอาจริงๆ นะห้ามโกหก”
เสือกลั้นใจบอกไป “ฉันรักเธอโจ”
โชคร้ายอะไรอย่างนั้นจังหวะที่เสือบอก เด็กเสิร์ฟดันทำข้าวของตกกระจายดังเปรื่องปร่างทำเอาต้องโจหันไปมอง เลยไม่ได้ฟังที่เสือพูด สักครู่โจจึงหันมาถามอีกรอบ
“เอ้า อะไรนะอีกทีได้มั้ย”
เสือโครตเซ็ง “ไม่ได้ ของแบบนี้ได้ทีเดียว อ่ะตาเธอบ้าง บอกฉันได้แล้วว่าเธอรู้สึกอะไร”
“ก็ได้ ฉันรู้สึกว่า ฉันมันคงเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลก ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ ไม่ว่าฉันจะหวังอะไร มันก็เป็นหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งนั้น”
เสือซักไซ้ “เธอหวังอะไร อย่าอิดออด บอกมา”
“ที่ฉันทำงานให้หมวดเนี่ย” โจเงียบไปพักหนึ่งจึงพูดต่อ “ฉันหวังว่าสักวัน...หมวดเค้าจะชอบฉันบ้าง”
เสืออึ้งไปช้ำใจไม่น้อย แม้จะพอรู้บ้าง แต่นี่ได้ฟังโจบอกเองจากปาก
“แต่นี่เป็นความลับนะ ถ้านายบอกใครถือว่าเราไม่ใช่เพื่อนกัน”
เสือนิ่งคิด แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวด

“งั้นเธอรอฉันตรงนี้แป๊บนึง เดี๋ยวฉันมา”

อ่านต่อหน้า 4




ตะวันตัดบูรพา ตอนที่ 9 (ต่อ)

เสือหายหัวไปครู่ใหญ่ๆ จู่ๆ ก็เห็นเขาเข็นรถพาหมวดตะวันฉายออกมาจากโรงพยาบาล และเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้

“จะดีเหรอเสือ เอาฉันออกมานอกโรงบาลเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับหมวด ตรงนี้ก็อยู่ข้างๆ โรงพยาบาลเองแต่หมวดสัญญาอะไรกับโจไวหมวดต้องทำตามสัญญานะครับ”
ตะวันฉายนั่งอยู่กับโจที่ยิ้มดีใจจนปากแทบฉีก แก้มแทบแตก
“หมวด...เสือสุดยอดเลย”
เสือยิ้มเฝื่อนๆ ตะวันฉายเห็นโจดีใจก็ขัดเสียไม่ได้
“ได้...ไหนๆ ฉันก็ไม่ต้องทำงานแล้วนิ”
“มันต้องอย่างนี้สิหมวด”
โจหันไปมองเสือเป็นเชิงตำหนิ เหมือนเป็นก้างขวางคอ เสือเซ็ง เลยหยิบวอออกมาแกล้งพูดคนเดียว
“วอ2 รับทราบ เดี๋ยวจะตามไป หมวดครับมีคดีพอดีผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ้าวเสือ ไม่นั่งกินด้วยกันก่อนล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับหมวด ผมต้องปฏิบัติตามหน้าที่ครับ”
เสือหันไปยิ้มให้โจก่อนเดินออกไปสีหน้าเศร้าจัด

ตะวันฉายเอ่ยขึ้น “ฉันขอโทษนะ ที่เบี้ยวเธอมาตลอดเลย”
“นี่ดีนะที่หมวดถูกยิง ไม่งั้นหมวดคงไม่ได้มาตามสัญญาแน่”
“ฉันนี่แย่จริงๆ เลย ช่วยน้องก็ไม่ได้ แถมยังทำให้เธอลำบากด้วย”
โจรู้ดีว่าตะวันฉายเองก็เครียดหนักเหมือนกันทั้งเรื่องงาน และเรื่องตะวันฉาย จึงฝืนยิ้มให้
“น่าหมวด คิดมากน่า หนูไม่เป็นอะไรหรอก หนักกว่านี้หนูก็เจอมาแล้ว เชื่อไหมหมวด ถ้าโลกนี้มีสงคราม อีโจนี่แหละที่จะรอด”
ตะวันยิ้มแหยๆ
“ขอบใจนะ”
โจยิ้มปลื้ม
“หมวดเชื่อเถอะ ต่อให้ทั้งโลกไม่มีใครเข้าใจหมวด หนูนี่แหละจะอยู่ข้างๆ หมวดเอง”
“ก็คงมีแต่เธอสินะ ที่มีรอยยิ้มให้ฉันแบบนี้”
โจเขินนิดๆ
“หมวด ถามจริงๆ มาถึงขั้นนี้แล้วหมวดรู้สึกยังไงกับหนู” โจโพล่งออกไป
“ฉันรักเธอ...” ตะวันฉายตอบแล้วเว้นคำไว้เท่านั้น
โจอึ้ง หน้าแดงซ่าน เขินสุดชีวิต
“จริงเหรอหมวด”
ตะวันฉายกลับบอกต่อว่า “จริงสิ ฉันน่ะมีแต่น้องชาย พอมีเธอฉันก็รู้สึกว่าได้น้องสาวมาอีกคน”
โจหุบยิ้ม หน้าเศร้าสลด
ตะวันฉายไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ถามทำไมเหรอ”
“อ๋อ หนูมันเด็กกำพร้า ได้มีพี่ชายซักคนก็ดีเหมือนกัน หนูก็ดีใจที่หมวดคิดแบบนี้ นึกว่าพอได้มาใกล้ชิดกันแล้วจะมาหลงรักหนูอะไรแบบเนี้ย”
“บ้า นี่สรุปเรียกมากินข้าว หรือมาเม้าท์เนี่ย เดี๋ยวฉันต้องรีบกลับห้องนะ”
ตะวันฉายหันไปกินข้าวต่อ โจลอบมองผู้หมวด หน้าหมองตาเศร้าโครตๆ

ทางด้านเสือเดินเซ็งชีวิตออกมานั่งเศร้าอยู่ตรงหน้าร้าน ติดกับถนน ปวดใจที่โจไม่ได้สนใจใยดีในตัวเองเลย ทั้งๆ ที่พยายามบอกรักให้รู้ไปแล้วหลายรอบ
พอดีมีโจรวิ่งราวกระเป๋าวิ่งผ่านหน้าเสือไป ผู้หญิงที่โดนกระชากกระเป๋ามาขอร้องให้เสือช่วย
ทั้งที่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว แต่เสือก็ต้องจำใจปฏิบัติหน้าที่ วิ่งตามโจรไปโดยไม่คิดชีวิต

วันต่อมา ทัศน์ยืนแกร่วกินไอติมอยู่คนเดียวตรงระเบียงหน้าห้องพักบนคอนโดหรูแห่งนี้สักระยะแล้ว เหมือนรอใครอยู่ จนเห็นเจิมฉัตรเดินตรงมา
“ชัชชัยมาไม่ได้ ช่วงนี้ป๋ากำลังจะสืบสาวเรื่องบูรพา เค้ากลัวว่าป๋าจะสืบเรื่องของเค้าด้วย”
“ถึงขนาดไม่กล้าใช้โทรศัพท์นี่ก็เว่อร์ไปหน่อยนะ”
ทัศน์มองเจิมฉัตรที่ดูลอกแล่กแล้วนึกขำ เอื้อมมือไปปลดแว่นดำออกจากใบหน้าสวยๆ นั้น
“เค้าให้ฉันมาถามว่าเราจะเอาไงต่อ”
“กลับไปบอกชัชชัย ผมกำลังได้เบาะแสใหม่เกี่ยวกับบูรพา และคิดว่าจะได้หลักฐานเร็วๆนี้ด้วย”
เจิมฉัตรสนใจ “หลักฐานอะไร”
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ บอกเค้าแต่เพียงว่า มันอาจจะทำให้เค้าไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น”
“แค่นั้นใช่มั้ย”
ทัศน์คิดอีกครู่หนึ่งจึงว่า “แค่นั้น”
เจิมฉัตรคว้าแว่นดำมาขยับลุกขึ้น แต่ทัศน์ยื่นช้อนไอศกรีมมาให้ตรงหน้า
“ฉันไม่ชอบ”
ทัศน์พูดเป็นนัย “ผู้หญิงน่ะจริงๆ ชอบของหวานกันทุกคนแหละน่า ผมรู้”
เจิมฉัตรหันมาจะด่าแต่แล้วเธอกลับเห็นบางอย่างในแววตาคู่นั้น ทัศน์ดูมีลีลาล้ำลึก ใจเย็นและมีอำนาจ ท้าทายให้เธอเล่นเกมด้วย
เจิมฉัตรเลยก้มลงประคองมือของทัศน์ ป้อนไอศกรีมเข้าปากตัวเอง
“พอใจรึยัง”
ทัศน์พยักหน้า “วันหลังมาใหม่นะ”
เจิมฉัตรเดินออกไป ทัศน์ส่งสายตากวนประสาทตามไปให้

รถทัศน์แล่นเข้ามาจอดหน้าสตูดิโอของธิชา ทัศน์ลดกระจกลงดู
“แน่ใจนะว่าใช่”
“แน่ใจครับ มีคนยืนยันว่ามันชอบมาที่นี่บ่อยๆ” กฤชบอก

ในขณะที่ปูกับธิชากำลังคุยกับลูกค้าอยู่นั้น ทัศน์เดินเข้ามาเห็นช่วยหยิบจับกรอบรูปให้ลูกค้า พลางเอ่ยขึ้นแนะนำตัวเอง
“ผมเป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับผู้หมวดตะวันฉาย แต่ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ฝ่ายกิจการภายใน”
“คุณมีธุระอะไรหรือคะ”
“ผมแค่อยากคุยอะไรกับคุณด้วยหน่อย เกี่ยวกับคุณบูรพา”
ธิชาตกใจมาก จนมีพิรุธแม้จะปฏิเสธไป “ฉันไม่รู้จักคนชื่อนั้น ชั้นไม่รู้จักนายบูรพาอะไรนั่น”
“คุณจะช่วยตะวันฉายได้มากกว่านี้นะครับคุณธิชา ถ้าคุณพูดความจริง”
ธิชาอึ้ง นิ่งงันไป
ทัศน์ดูอาการออก “ตะวันฉายกำลังเจอปัญหาใหญ่เพราะนายบูรพาเบื้องบนกำลังเพ่งเล็งว่าเค้ากำลังพยายามช่วยเหลือผู้ต้องหารายนี้”
ธิชาลังเล “คุณไม่ได้หลอกฉันนะคะ แล้วคุณบอกกับผู้หมวดเรื่องนี้รึยังคะ”
“ตามหน้าที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมเองก็ลำบากใจมากที่ช่วยอะไรเค้าไม่ได้ในตอนนี้ แต่ถ้าคุณเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟัง ผมรับรองครับว่าจะต้องจัดการเคลียร์ทุกอย่าง
ได้แน่”
ธิชาลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จึงตัดสินใจเอ่ยถาม
“คุณอยากรู้เรื่องอะไร”
“ผู้หมวดตะวันฉายกับบูรพารู้จักกันมานานรึยังครับ”
ธิชาขยับจะตอบ แต่แล้วก็ชะงักไป เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันมาคาดคั้น
“คุณบอกว่าคุณเป็นเพื่อนนักเรียนตำรวจของตะวันฉาย แต่คุณไม่รู้ว่าบูรพากับตะวันฉายเป็นอะไรกันงั้นหรือคะ แล้วอย่างนี้ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง”
ทัศน์นั่งฟังยิ้มมุมปาก
ธิชาลุกยืนขึ้น “เชิญค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ แต่เชิญออกไปจากร้านของฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาลากคอคุณ”

ทัศน์มองหน้าธิชาแล้วยิ้มชั่วออกมา เหมือนเขาได้คำตอบในใจแล้ว

อ่านต่อตอนที่ 10



กำลังโหลดความคิดเห็น