คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 32
ในขณะที่ศจีเดินเข้ามาในห้องโถงบันไดด้วยสีหน้าอันเหม่อลอยนั้น นวลผ่องวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหารายงานน้ำเสียงละล่ำละลัก
“คุณหญิง...เจ้าคะ โทรศัพท์จากโรงพยาบาลเจ้าค่ะ...” นวลผ่องหยุดหอบหายใจ “เขาให้ไปรับสายด่วนเจ้าค่ะ”
ศจีรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยใจร้อนรุ่ม
ศจีคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล ศจีพูดค่ะ” ศจีนิ่งฟังปลายสาย “ค่ะๆ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ศจีหน้าตาตื่นตกใจวางสายลงแป้นเสียงดังเปรื่องปร่าง จนทำให้ปราจิตที่กำลังจะเดินผ่านไปถึงกับชะงัก
“มีอะไรเหรอคะ”
“แม่...แม่ค่ะ”
ปราจิตเข้าใจทันที หันไปตะโกนสั่งทางหน้าตึก “ใครอยู่ข้างนอก ให้เอารถออกเดี๋ยวนี้” แล้วหันมาบอกศจี “อย่าเพิ่งตกใจอะไรมาก ไปดูด้วยกันก่อน”
ปราจิตมองศจีที่ยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ตรงหน้าอย่างเวทนา ลืมความหมางเมินที่ผ่านมาจนหมดสิ้น
แกมแก้วนั่งเท้าคางอย่างอารมณ์ดีอยู่ในสวนสวย ในใจเตลิดไปกับชัยชนะที่เพิ่งได้มา โดยไม่ได้สนใจหนังสือตรงหน้า จนกระทั่งชีวินเดินเข้ามาหาก็ยังไม่รู้ตัว
“ลูกแก้ว”
แกมแก้วยังคงใจลอย ชีวินเรียกดังขึ้น
“ลูกแก้ว”
คราวนี้แกมแก้วสะดุ้งเล็กน้อย หันมามอง
“อ้าว พี่วินกลับมาแล้วเหรอคะ ท่าทางงานจะหนัก หน้าเครียดเชียว”
“พี่เครียดเรื่องลูกแก้วต่างหาก”
“อะไรคะพี่วิน”
“ลูกแก้วยังคบกับไอ้พรรณมันเหรอ”
แกมแก้วนิ่งไปแทนคำตอบ ชีวินถอนใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่าย
“ยังไม่เข็ดหรือไง”
“คุณแม่ เคยอบรมลูกแก้วว่า เราเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียงเป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย”
ชีวินนึกหมั่นไส้ “เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่น่ะเหรอ”
แกมแก้วถึงกับสะอึก
“ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ”
“พี่ดูออก ว่าลูกแก้วยอมตามใจไอ้พรรณทุกอย่าง พี่ไม่อยากให้แก้วเป็นแค่สะพานที่เขาใช้ก้าวข้ามไป”
“ไม่ค่ะ พี่พรรณทำให้ลูกแก้วมั่นใจ ว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งลูกแก้ว”
“แค่ลมปากเชื่อได้เหรอ”
“พอเรียนจบเราก็จะแต่งงานกันค่ะพี่วิน”
ชีวินอึ้งไป นึกไม่ถึง มองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าลูกแก้วเลือกอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับสิ่งที่จะตามมาให้ได้”
“คนเราผิดพลาดกันได้ค่ะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แก้วกับพี่พรรณจะสู้ไปด้วยกัน เหมือนที่เราสู้กันมาตลอด ถ้าสักวัน...พี่วินมีความรัก...ก็จะเข้าใจเองว่ามันมีพลังมากแค่ไหน เรายอมให้อภัยและทนได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักค่ะ”
ชีวินนึกถึงตัวเอง ก่อนจะเดินออกไปอย่างเจ็บปวด
แกมแก้วมองตาม รู้ว่าชีวินมีอะไรบางอย่างเก็บงำเอาไว้ลึกๆ ในใจ
เมื่อศจีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นจุก ก็โพล่งถามออกไปทันทีว่า
“หมอ เป็นยังไงบ้างคะหมอ”
“เสียใจครับ เอ้อ...คุณหญิง”
ศจีแทรกตัวเข้าไปในห้อง พยาบาลสองคนที่เก็บเครื่องมือเสร็จแล้วหลีกทางให้
จุกนอนอยู่บนเตียงในท่าทีนิ่งสงบ ดวงหน้าผ่องใส ริมฝีปากราวกับจะยิ้มรับศจี
แต่คราวนี้ อะไรอย่างหนึ่งเย็นเยือกเข้าไปในอกศจี
“แม่...แม่จ๋า”
ศจีแตะท่อนแขนของแม่อย่างเบามือ ราวกับกลัวแม่จะตื่น
“แม่...ไหนแม่ว่าจะคอยให้จีกลับบ้าน แม่...ตื่นเถอะ”
พยาบาล 1พยายามจะปลอบ “คุณหญิงคะ”
ศจีไม่ได้หันไปมอง ยังคงพูดกับจุกต่อ
“แม่...แม่อย่าตายนะจ๊ะ ถ้าแม่ตาย จีจะอยู่กับใคร”
จุกนอนนิ่งไม่ไหวติง
“จี ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ออกไปข้างนอกเถอะ”
อย่างนี้เองความตาย คราวนี้เสียงของศจีระเบิดก้องออกมาจากอก
“แม่… แม่จ๋า”
ปราจิตรั้งแขนศจีไว้ แต่ศจีดิ้นรนราวกับเด็กที่พยายามไขว่คว้ายึดของรักไว้ให้จงได้
“ปล่อย...ปล่อย”
“จี...จี...”
“แม่...”
“จี” ท่านทูตเสียงเข้มและดังขึ้น “คุณหญิงศุภศจี”
ศจีหยุดชะงักราวกับถูกตรึง ศจีอ่อนตัวลง ยอมให้ปราจิตรั้งตัวออกไปข้างนอก
ปราจิตรั้งตัวศจีออกมา หอบนิดๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องออกแรงลากศจีมากเอาการ
“ทำใจดีๆ ไว้ ออกมานั่งข้างนอกดีกว่า” ปราจิตประคองศจีมานั่ง “เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก”
ศจีนึกถึงเงินสามพันที่ยังอยู่ ถ้าแม่ได้ผ่าตัดก่อนอาจจะไม่ตาย ศจีรู้สึกเหมือนหัวใจแห้งผาก
“แม่...ทำไมแม่ไม่คอยจี”
“เราจะเอา แม่จีไปไว้ที่วัดไหนดี”
“วัดที่อยู่ปากซอยบ้านแม่ วัดใหญ่ศรีสุพรรณเจ้าค่ะ”
ปราจิตค้าน “วัดอยู่ไกลไม่ค่อยมีใครรู้จัก แล้วก็วัดเล็กด้วย จะลำบากนะคะ”
“เอาแม่กลับไปที่นั่นเถอะค่ะ ดิฉันอยากให้แม่ได้เผาที่เดียวกับพ่อ”
ปราจิตจำต้องยอมเมื่อศจียืนยันเสียงแข็ง
“เราจะออกข่าวรดน้ำศพว่ายังไงดี”
ดวงตาของศจีวาวโรจน์
“รดน้ำศพแม่คุณศุภศจีซิเจ้าคะ หรือท่านจะลงเพียงแค่นางศจีก็ได้”
ศจีผละออกจากปราจิตทั้งน้ำตา แม้ยามนี้จะไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะเดินก็ตาม
รูปถ่ายที่สวยและดูดีที่สุดของจุก ตั้งอยู่บนขาหยั่งหน้าโลงศพบนศาลา เสียงปี่พาทย์มอญประโคมศพดังโหยหวนเศร้าสร้อย
ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาจนแน่นศาลาสวดศพ ทั้งบรรดาคุณหญิงคุณนาย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงต่างประเทศ
ยายปริกกับลูกเล้านั่งอยู่มุมหนึ่งด้านในสุด ชะเง้อชะแง้มองผู้คน พร้อมกับสะอึกสะอื้นไม่หยุด
“รถตะละคัน ยาวยังกะตึก” อู๊ดว่า
“วาสนาของนังจุก แขกรึมืดฟ้ามัวดิน มันน่าจะมีหนังไทยสักจอยี่เกสักโรง” ยายปริกว่า
“แม่ก็มีเสียเองสิ” ถวิลสัพยอก
“เหอะ เขามันเศรษฐีเงินถุงเงินถัง แม่ของมันแท้ๆ ให้มันมีเอง”
อู๊ดลูบแข้งลูบขา ปลอบใจยายปริก
“เอาเถอะน่าแม่ ถึงคราวแม่มั่งฉันจะจัดการให้มีระบำหน้าไฟด้วยยังได้”
ยายปริกมองตาขุ่น
“อีนี่มาแช่งข้า ไว้เอ็งตายเหอะค่อยระบำโป๊”
ลูกเล้าหัวเราะกันคิกคัก
“อ้าว...ก็นึกว่าแม่อยากมีวาสนาบ้างน่ะสิ”
ถวิลถามขึ้น “เขาว่าจีมันได้เป็นถึงคุณหญิงเชียวเรอะ”
“เขาว่ายายคุณหญิงเมียเก่าที่ตาย ทิ้งมะรึดกไว้ตั้งสิบล้าน” อู๊ดว่า
“นังจีก็สบายไป”
“เฮ่ย...มันเป็นคุณหญิงศุภศจีแล้ว”
“ฮึ...ก็พวกคุณหญิงคุณหยัง นังกระชังก้นใหญ่จะสักเท่าไหร่ว้า” ถวิลบอก
“จะเท่าไหร่ก็ดู”
อู๊ดพยักพเยิดไปยังแขกคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย ถวิลมองตามอย่างเห็นด้วย
สายสุนีย์ซึ่งเพิ่งมาถึง รีบเข้ามานั่งรวมกลุ่มกับคุณหญิงคุณนาย
“โอ๊ย หาวัดเสียเจียนตาย เกือบจะกลับเสียแล้วสินี่ เขานึกยังไงถึงมาเผาวัดบ้านนอก”
วัชรินทร์เสริมว่า “นายปราจิตนั่นอีกหน่อยก็เป็นท่านทูต เสียงในกระทรวงเขาก็แข็งไม่ใช่เล่น เผื่อต่อไปจะต้องพึ่งพากันมั่ง”
พิจิตราถือพัดป้องหน้า ขยับให้เห็นแหวนเพชรและสร้อยเพชรแพราวพราว
“นั่นสิ แม่ศจีนี่ก็เคยทำงานสมาคมด้วยกัน จะไม่มาได้ยังไง”
ปราจิตยืนช่วยศจีต้อนรับแขก พยักพเยิดให้ศจีดูแขกผู้ใหญ่อย่างภาคภูมิใจ
“ท่านอธิบดีก็อุตส่าห์มา ให้เป็นคนจุดไฟแล้วกัน นอกนั้นจะเชิญขึ้นทอดผ้า”
ศจีมองไปอย่างรู้สึกอิ่มเอม ที่แม้แต่แขกผู้ใหญ่ยังต้องมาก้มหัวให้แม่ แต่แล้วศจีก็ชะงักนิดหนึ่ง เมื่อมองเห็นใครบางคน
ชีวินซึ่งนั่งอยู่มุมหนึ่งด้านใน สีหน้าศจีนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วยซ้ำไป เธอเดินเข้าไปหาเขา
ศจีเข้ามาหาชีวิน
“คุณวิน ทำไมมานั่งตรงนี้ละคะ”
“เสียใจด้วย คนที่เคยเสียแม่แล้วด้วยกันแหละ ถึงจะรู้สึก”
ประโยคนี้ทำให้ศจีเต็มตื้น ขอบตารื้นขึ้นมาอีก เสียงสั่นสะท้าน
“ขอบคุณค่ะ”
ศจีกับชีวินสบตากันอย่างเข้าใจกันดี มีอะไรบางอย่างในแววตาของทั้งคู่ที่สื่อถึงกัน ศจีรอว่าชีวินจะพูดอะไรอีก แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เชิญครับ”
ศจีเดินจากไป ชีวินได้แต่มองตามอย่างมีความเสียดายบางอย่างลึกซึ้ง
บ่ายวันนี้ ควันจากเมรุพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ศจียืนแหงนหน้ามองไป น้ำตาคลอ พูดกับปราจิตที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ป่านนี้พ่อคงจะมาคอยรับแม่ไปแล้วละมัง”
“ไปจี”
ปราจิตเดินลงไป ศจีเดินตาม เจอยายปริกเข้ามาดักถาม
“จี แล้วไอ้บ้านช่องจะว่ายังไง ขืนปิดไว้เฉยๆ ใครรู้แกวมันจะเข้าไปขนหมดนาลูกนา หรือจะให้ยายดูแลไว้ให้ เรือกสวนก็ให้เขาเช่าไป ถ้าจะขายก็ไม่เลว ที่แถวนั้นพอจะมีราคา ยายพอรู้จักๆ จะได้บอกเขาไป”
ความเหนื่อยหน่ายทำให้ศจีเกือบจะตอบรับยายปริก แต่พอเห็นสีหน้าแววตาของยายปริก ก็ทำให้ศจีสะดุดใจอยู่ครามครัน
“พรุ่งนี้มาเก็บ...กระดูก...แล้วจะเลยเข้าไปดูเอง”
แววผิดหวังฉายชัดบนสีหน้ายายปริก อย่างที่ศจีคิดไว้ไม่มีผิด
“พรุ่งนี้จะเลี้ยงพระไม่ใช่หรอ แล้วจะมีเวลายังไง”
“เลี้ยงพระแล้ว ก็เข้าไปได้”
ยายปริกสะบัดน้ำเสียงใส่ “ตามใจ”
“แต่...ถ้าจะมีใครมาขอถือสวน ยายช่วยบอกด้วยแล้วกัน”
“เออ...ก็จะบอกๆ เขาไป”
ถวิลเข้ามากระซิบกับยายปริก
“แม่จะชักกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะคราวนี้”
ถวิลหันไปหัวเราะกับอู๊ด ปริกถองถวิลจนจุก
ศจีเหลียวมองคนรอบข้างด้วยความรู้สึกอ้างว้าง
นึกถึงตาศรีที่ใช้แรงหาสมบัติไว้ให้เธอและแม่จนตัวตาย อย่างนี้แล้วเธอจะขายสมบัติของพ่อได้อย่างไร
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 32 (ต่อ)
ศจีเดินออกมาขึ้นรถกับปราจิตและชีวิน ดวงตาของศจีพร่าพราว โดยไม่ทันสังเกตเห็นสุพรรณที่เดินสวนอยู่อีกด้านไกลออกไป มีเพียงชีวินที่หันไปมองอย่างแปลกใจนิดๆ แต่ไม่ได้ปริปากบอกใคร
สุพรรณมาหยุดยืนมองแสงไฟในเมรุที่ลุกแดงโชน เขาเปรยขึ้นกับสัปเหร่อที่กำลังเก็บของอยู่แถวนั้นอย่างปลงๆ
“มนุษย์ก็เท่านี้นะลุง จะดิ้นรนสักแค่ไหน ก็เท่านี้เอง”
สัปเหร่อหันมองสุพรรณอย่างแปลกใจ
“อ้าว ไอ้พรรณ เพิ่งมาเหรอวะ”
“เราเองก็เถอะ จะต้องการอะไรนักหนา มีหน้าที่ยังไงก็ทำไปตายแล้วก็หมดสิ้นกัน”
สัปเหร่อเอ็งนี่พูดเหมือนปลงเลยวะ
“ฉันปลงจริงๆ ลุง”
สัปเหร่อหัวเราะหึๆ ก่อนจากไป สุพรรณมองซากของจุก คล้ายกับตัดสินปัญหาหัวใจของตนได้ในบัดนั้นเอง
สุพรรณเดินเศร้าเข้ามาในห้องบนกุฏิ ดนัยมองอย่างแปลกใจ
“ตกลงเอ็งไปงานเผาแม่ของคุณหญิงมาหรือเปล่าวะ”
“ไปมาแล้ว”
“เป็นไง เห็นเขาว่าคนใหญ่คนโตคุณหญิงคุณนายไปกันแน่นวัดแทบแตก”
“ข้าไม่เห็นหรอกว่ะ เห็นแต่...”
“คุณหญิงศุภศจีล่ะซี้”
“เปล่า ข้าเห็นสัจธรรมว่ะ”
ดนัยมองสุพรรณอย่างงุนงงไม่เข้าใจ
“สัจธรรมอะไรของเอ็งวะ”
“สัจธรรม...ที่ทำให้ข้าตัดสินปัญหาหัวใจของตัวเองได้”
สุพรรณมองไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ในห้วงเวลา 2 ปีที่เลยผ่านมานี้
เช้าวันหนึ่ง ชีวินเปิดประตูเข้ามาในห้องสมุด ท่านทูตปราจิตเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร
“อ้าว มาแล้วเหรอวิน” ท่านทูตส่งเอกสารให้ลูกชายอ่าน “ทางมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเขาตอบรับมาแล้ว สำหรับปริญญาเอกของลูก เขาจะเปิดเทอมเดือนหน้า ลูกจะไปก่อน หรือจะไปใกล้ๆ วันเปิดเทอม ก็สุดแต่จะตัดสินใจ”
ชีวินตอบทันทีอย่างเตรียมการไว้แล้ว
“ผมขอไปเลยครับ อย่างน้อยจะได้ไปดูลู่ทางไว้ก่อน ผมยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับอเมริกานัก”
ปราจิตพยักหน้าเข้าใจ แล้วมองหน้าชีวินอย่างพิจารณากึ่งลังเล
“วิน...ลูกเคยมีปัญหาอะไรในบ้านบ้างหรือเปล่า”
ชีวินมองสบตาที่แลตรงมาอย่างแน่วแน่ ราวกับจะใช้เพื่อแสดงความจริงใจด้วย
“พ่อกับแม่ เลี้ยงลูกมาด้วยดี ให้ทุกอย่างที่ลูกอยากได้ ฉะนั้น อะไรที่เป็นความสุขของพ่อ ไม่เคยมีปัญหาเลยครับ”
“วิน” น้ำเสียงปราจิตสะท้านนิดๆ “ลูกก็เป็นผู้ชายและก็โตแล้วด้วยลูกคงเข้าใจว่าผู้ชายนั้น ความรักไม่เคยสิ้นสุดลงที่ใดเลยลูกแต่ พ่อบอกลูกได้เต็มปากว่า ในชีวิตของพ่อ ไม่เคยที่จะรักพร้อมกับยอมรับนับถือพร้อมกันไปด้วย ต่อผู้หญิงคนไหนเลยนอกจาก...คุณแม่ของวิน”
ชีวินมองหน้าพ่ออย่างเข้าใจ ปราจิตลุกขึ้นทอดสายตาไปไกล
“ถ้าไม่มีคุณแม่ของวิน พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะมาได้ถึงขนาดนี้หรือไม่ ฉะนั้น ถ้าวินจะหาเมียสักคน จงมองให้ลึกซึ้งว่า นอกจากความเป็นเมียแล้ว เขาจะเป็นแม่ที่ดีของลูกด้วยหรือเปล่า เมียนั้นหาเท่าไหร่ก็หาได้นะลูก แต่...เมียที่จะเป็นแม่ที่ดีหายากนัก บางครั้งถึงรวยจนล้นฟ้าก็ยังช่วยไม่ได้”
ปราจิตลูบหน้าราวกับจะสลัดความทรงจำเก่าๆ ทิ้งไป
“นี่ถ้าหากคุณแม่วินยังอยู่คงภูมิใจมาก เหลือแต่ลูกแก้วอีกคน ถ้าสำเร็จ...พ่อคงนอนตายตาหลับ”
ชีวินมองหน้าพ่ออย่างใจหาย ใบหน้าที่เคยสดใสแข็งแรง ท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างคนหนุ่ม บัดนี้ดูอ่อนเนือยลงอย่างประหลาด
“พ่อคงได้อยู่จนเห็นผมเป็นด็อกเตอร์กลับมาแน่ๆ”
ปราจิตพยายามฝืนยิ้มให้ดูแจ่มใส
“ไม่คิดจะให้พ่อได้อุ้มหลานก่อนเหรอวิน”
“ยังครับพ่อ”
“นี่ยังไม่มีแฟนเลยเหรอ”
“ยังไม่อยากคิดครับพ่อ”
“แล้วสิริกันยาล่ะ”
“เราเป็นแค่เพื่อนกันครับ ถ้าผมจะแต่งงาน ผมจะหาผู้หญิงอย่างที่พ่อสอน”
ปราจิตตบไหล่ให้กำลังใจชีวิน
ชีวินมานั่งรับลมอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาในสวนสวยสักครู่หนึ่งแล้ว พอเห็นศจีเดินผ่านมาก็ชะงักเล็กน้อย ศจีเอ่ยปากทักทาย
“จะไปนอกเมื่อไหร่คะ”
ชีวินวางหนังสือลง
“ยังไม่ได้กำหนดแน่ แต่คงเร็วๆ นี้”
สีหน้าศจีสลดไปนิดหนึ่ง ชีวินก็มีแววเศร้าในดวงตา
“คิดว่า คงจะไปหลายปี ฝากคุณพ่อฝากลูกแก้วด้วย”
ศจีมองชีวินอย่างประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาฝากฝังพ่อและน้องกับเธอ ชีวินอธิบายต่อ
“คุณพ่ออายุมากแล้ว และตอนนี้เราก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน ถ้าเรือแตก...เราทุกคนก็มีสภาพเหมือนกันหมด ความสุขในบั้นปลายของท่านในตอนนี้อยู่ที่...” เขามองหน้าศจีแทนคำพูด “เรามาช่วยกันประคับประคอง ให้ท่านมีความสุขตลอดไปดีกว่า ส่วนยัยลูกแก้วความคิดยังเป็นเด็ก ความคุ้นเคยกันมาคงทำให้รู้ใจกัน ฝากด้วย”
ศจียิ้มบางเฉียบ เหมือนรอยยิ้มของหน้ากากที่ปราศจากความหมายลึกลงไปในหัวใจ
“ดิฉันรับฝากคุณลูกแก้วจากคุณหญิงท่าน นับจากวันที่ท่านจะสิ้นใจ”
คราวนี้ชีวินมีแววประหลาดใจบ้าง
“ดิฉันให้สัญญากับท่านว่าจะ ปกป้อง...และคนอย่างดิฉัน ไม่เคยลืมสัญญา”
“ถ้าคุณแม่ฝาก ย่อมแสดงว่าคุณแม่รู้แล้วว่าอะไรดีไม่ดี ควรไม่ควรอย่างไร ข้อนี้...เห็นจะไม่ต้องพูดกันอีก ขอบใจ...สำหรับสัญญาที่ให้ไว้กับคุณแม่ และ...คงจะได้กลับมากล่าวคำนี้อีก เมื่อ...กลับมา”
ศจีส่ายศีรษะนิดๆ
“ดิฉันจะสัญญาเฉพาะว่า ตราบใดที่ดิฉันยังอยู่ที่นี่ ภายใต้ร่มไม้ชายคาของคุณหญิงท่าน ดิฉันจะพยายามทำอย่างดีที่สุด แต่ ดิฉันไม่ยอมรับคำว่า จะอยู่คอยรับคำขอบใจ”
“ทำไมล่ะ”
“ถ้าเมื่อใดดิฉันรู้สึกว่า ดิฉันไม่สามารถจะทำอะไรได้อีก ดิฉันจะไป”
“จะทิ้งคุณพ่อท่านไปเหรอ”
“ตราบใดที่ความสุขของท่านยังอยู่ที่ดิฉันอย่างที่ว่า...ดิฉันจะอยู่ หากเมื่อใดที่ดิฉันหมดความหมาย ดิฉันจะไป”
ชีวินก้มศีรษะให้นิดๆ “นั่นสุดแล้วแต่ภายหน้า”
“ขอโทษ โชคดีนะคะ และฝากคำว่า ลาก่อน ไว้สำหรับวันที่เดินทางด้วย”
ศจีหมุนตัวกลับ เหมือนคนเคยรู้จักกันมา แล้วแยกจากกันไปโดยไม่ต้องมีเครื่องหมายแห่งความรำลึกถึงทิ้งไว้ข้างหลัง
ไม่นานถัดมา ชีวินเดินออกมา ต้องสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงแกมแก้วดังขึ้น
“ชอบเขาเหรอคะพี่วิน”
ชีวินหันไปมอง สีหน้ากึ่งรำคาญคิ้วขมวด
“ลูกแก้วพูดว่ายังไงนะ”
แกมแก้วเดินเข้ามาหาชีวิน พร้อมกับยื่นดอกไม้ในมือให้พี่ชาย
“ดอกไม้แก้อกหักรักช้ำค่ะ”
“แล้วไง”
แกมแก้วหัวเราะฝืดๆ ฝืนๆ คล้ายเกรงใจพี่ชายอยู่บ้าง แม้จะไม่พอใจก็ตามที
“ลูกแก้วล้อเล่นค่ะ”
ชีวินมองหน้าน้องสาวอย่างเพ่งพิศ ถามเสียงหนักกว่าปกติ
“มีอะไรอยากจะพูดกับพี่เหรอ พูดตรงๆ พี่ไม่ชอบวิธีการประชด”
คราวนี้แกมแก้วเสียงอ่อนลง ตาตกจับแค่ดอกไม้ในมือ
“ลูกแก้วไม่ได้คิดว่าเสียมารยาท และไม่ได้มายืนแอบ แต่ ทีแรก ลูกแก้วมาเดินเล่น มองเห็นพี่วินแล้วคิดว่าจะเข้ามาคุยด้วยพอดี จีเขาเดินเข้ามาก่อน”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ถึงลูกแก้วจะเข้ามาตอนนั้น พี่ก็จะพูดอย่างนั้น อยู่นั่นเอง ทำไม พี่พูดอะไรผิดเหรอ”
“ถ้าลูกแก้วโตแล้ว ทำไมจะต้องฝากลูกแก้วกับเขา”
“ถ้าลูกแก้วได้ยินหมด ลูกแก้วไม่ได้ยินเหรอที่พี่ว่าลูกแก้วโตแต่ตัว ความคิดอ่านยังเป็นเด็ก”
“เขากับลูกแก้วน่ะเคยเป็นเพื่อนกันมานะคะ”
“คนเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้แปลว่าความคิดอ่านจะเท่ากัน อย่าว่าแต่พี่วิน แม้แต่คุณแม่ก็ยังเคยฝากฝังลูกแก้วกับเขา”
“ลูกแก้วไม่เชื่อ”
“เขาจะพูดปดเอาอะไรล่ะ”
“อย่างน้อยก็ให้พี่วิน ให้คุณพ่อเชื่อถือเขาล่ะค่ะ”
“เขาเคยประพฤติตัวไม่น่าเชื่อถือเหรอ”
ชีวินย้อนแย้ง น้ำเสียงขุ่นเขียว
แกมแก้วขยับริมฝีปาก แต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะเท่ากับต้องเผยถึงความในใจที่ซ่อนไว้
“ถ้าลูกแก้วคิดว่าตัวเองโตแล้วอย่างที่พูด ก็ต้องคิดอย่างคนโตๆ วางใจเป็นกลาง ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์ พี่วินรักคุณพ่อ ฉะนั้นอะไรที่เป็นความสุขของท่าน ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็วางเฉยเสีย การขัดขวางความสุขของท่าน ลูกแก้วคิดว่าถูกเหรอ”
“พี่วิน ถามจริงๆ เถอะค่ะพี่วินเคยรัก...”
ชีวินไหวตัวทัน จึงรีบตัดบทเสียก่อน
“อย่าถามพี่ ถ้าลูกแก้วรู้แก่ใจตัวเองว่าคำถามนั้นเป็นสิ่งไม่ควร หัวใจมนุษย์ชอบไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ แล้วทำไมเราจะต้องคิดแต่เรื่องที่จะพาเราไปสู่ความไม่ดีทั้งหลายด้วย”
พูดจบชีวินก็เดินออกไปเลย เพราะหากแกมแก้วถามคำถามเดิมต่อไปอีก เขาก็คงตอบไม่ได้
แกมแก้วมองตามอย่างรู้สึกผิด
ภายในร้านอาหารหรูวันนี้ รัชนีฉาย และ สิริกันยา นัดพบกันที่นี่ พอนั่งลงได้สิริกันยาโวยวายออกมาอย่างเจ็บใจ
“คุณน้าคะ ยาเสียใจ เสียใจเหลือเกิน”
“มีอะไรกันจ๊ะหนูยา”
“พี่วินจะไปเรียนต่อค่ะคุณน้า”
รัชนีฉายเอามือทาบอกอย่างไม่เชื่อหู
“อะไรกัน? เป็นไปได้ยังไง? ก็นายวินเรียนจบโทแล้วนี่”
“พี่วินจะไปเรียนต่อเอกน่ะสิคะ คราวนี้ไปนานยิ่งกว่าคราวที่แล้วด้วย”
“หนูยาก็ตามไปเรียนต่อด้วยสิ”
“ไม่ล่ะค่ะ ยาไม่อยากเรียนเอก กว่าจะจบมาก็แก่กันพอดี”
“งั้นก็หาทางหมั้นกันไว้ก่อน”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ยารู้ว่าที่พี่วินไปครั้งนี้ เพราะหาทางเลี่ยงยาต่างหาก”
รัชนีฉายโมโหแทน “ฮึ...นายวินนะนายวิน มีเพชรอยู่ในมือไม่รู้จักรักษาไว้”
“น้ารัชนีฉายรู้ไหมคะ ว่าคุณพ่อพี่วินกำลังจะตกกระป๋องอยู่แล้ว เพราะประวัติที่ด่างพร้อยของแม่ยาย แต่คุณพ่อของยาคิดว่าเราจะดองกัน เลยอุตส่าห์ช่วยไว้ แล้วนี่พี่วินคิดจะมาตีจาก คุณพ่อยาต้องไม่พอใจมากแน่ๆ”
รัชนีฉายมองหน้าสิริกันยาอย่างเจ้าเล่ห์ รีบใส่ไฟทันที
“ก็แล้วทำไมยาจะต้องไปสนใจคนอย่างนายวินด้วยละจ๊ะ มีชายหนุ่มดีๆ อีกมากมายที่อนาคตไกล และพร้อมที่จะมาสยบแทบเท้าหนูอยู่แล้ว”
“ยาก็รอต่อไปไม่ไหวแล้วละค่ะ”
“คนที่หยิ่งจองหองพองขน ก็สมควรจะได้รับบทเรียนไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
สิริกันยายิ้มเหี้ยมเกรียม ในขณะที่รัชนีฉายยิ้มร้ายสะใจ สมใจ ที่โอกาสในการแก้แค้นปราจิต และ ศจีเดินทางมาถึงแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 33