คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 33
วันเดียวกันนี้ สุพรรณพาแกมแก้วมากินข้าวที่ร้านรถเข็นซอกตึก แกมแก้วมองทุกโต๊ะที่มีคนนั่งอย่างงงๆ สุพรรณชี้ให้ดูเก้าอี้ที่ว่างอยู่ 2 ที่ แต่โต๊ะนั้นมีคนนั่งกินอยู่แล้ว
“รีบนั่งสิ”
“มีคนนี่คะ”
สุพรรณหงุดหงิดกับท่าทีลังเลของแกมแก้ว “นั่งลงไปเถอะ รวมกันก็ได้”
แกมแก้วมองหน้าคนร่วมโต๊ะพลางบอกอุบอิบ
“ขออนุญาตนั่งนะคะ”
คนที่นั่งอยู่มองหน้าแกมแก้วราวกับเห็นของประหลาดที่สุดในโลก ที่คนจะนั่งก็ต้องขออนุญาต
สุพรรณส่ายหัวมีสีหน้าเอือมนิดๆ กับความเป็นผู้ดีของแกมแก้ว จึงรีบนั่งลงก่อน แกมแก้วค่อยๆ นั่งลงตามอย่างเกรงใจ
พลันมีเสียง “ขาก” ดังขึ้นใกล้ๆ แกมแก้วถึงกับผงะสะดุ้ง แต่ไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่ก้มมองใต้โต๊ะสายตาแกมแก้ว แลเห็นกระดาษทิชชู่เอย ไม้จิ้มฟัน ไหนจะเศษอาหารอยู่เต็มใต้โต๊ะ ส่วนใกล้ๆ โต๊ะที่นั่งน้ำล้างชามในกะละมังก็เต็มไปด้วยมันย่องลอยฟ่อง
สุพรรณมองแกมแก้วอย่างรู้ใจ
“ถ้าลำพังแต่เงินเดือนพี่ จะพาลูกแก้วมากินของนอกบ้านได้ ก็แค่นี้แหละ”
แกมแก้วได้แต่ยิ้มเจื่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ ลูกแก้วทานได้ทั้งนั้น”
“อดทนหน่อย ใหม่ๆ ก็ยังงี้แหละ นานไปก็ชิน พี่ไม่อยากเกาะลูกแก้วกิน แต่อยากจะเลี้ยงครอบครัวด้วยลำแข้งของตัวเอง เราจะอยู่ด้วยกันก็ต้องอดทนร่วมกัน ดีเสียอีก ลูกแก้วจะได้เข้าได้ทั้งทางสูงทางต่ำ เผื่อพี่ได้ดีลูกแก้วคงมีโอกาสเข้างานในทำเนียบแน่ หรือถ้าตกต่ำตองตอยจะได้กอดคอกันกินข้าวข้างถนนลูกแก้วจะอยู่กับพี่ก็ต้องทนนะจ๊ะ”
“ค่ะพี่พรรณ”
“พอแก้วเรียนจบ เราจะแต่งงานกัน”
หัวใจของแกมแก้วพองโตขึ้นมา
“จริงเหรอคะ”
“แต่ถ้าจะให้จัดงานใหญ่โตพี่คงไม่มีปัญญา ระหว่างนี้พี่จะพยายามเก็บเงินเท่าที่ทำได้”
“พี่พรรณจะจัดการเรื่องลูกแก้วยังไงคะ”
คำตอบของสุพรรณดูเรียบเรื่อย แต่สีหน้าผิดปรกติ
“ได้ เมื่อไรก็เมื่อนั้น” ดวงตาสุพรรณแวววับคล้ายจะหยันไปถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “จะให้ขอกับใคร คุณหญิงศุภศจีเหรอ”
แกมแก้วมองหน้าสุพรรณอย่างรู้สึกระแวง แต่ไม่กล้าทักท้วง
เช้าวันต่อมา แกมแก้วเข้ามาหาชีวินที่ศาลาในสวน ชีวินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน
“พี่วินคะ ลูกแก้วมีเรื่องจะปรึกษา”
“เรื่องนายพรรณหรือเปล่า”
แกมแก้วถึงกับสั่นสะท้าน อึกอักที่ถูกถามดักคอ
“ปริญญาบัตรของเขา ลูกแก้วมีส่วนอยู่ครึ่งนึงไม่ใช่เหรอ”
แกมแก้วเด็ดดอกไม้มาดึงกลีบเล่น ชีวินมองน้องสาวอย่างอ่อนโยน
“ลูกแก้ว มีคนพูดอะไรๆ เข้าหูพี่มากมาย แต่พี่จะไม่ถามลูกแก้วเพราะเหตุผลหลายอย่าง เช่น ถ้าจริงพี่วินก็จะเสียใจมาก เพราะลูกแก้วควรรู้อะไรๆ ดีอยู่แล้ว และก็ต้องเสียใจด้วยที่พี่ไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายที่ดี”
“ไม่หรอกค่ะ พี่วินเป็นพี่ชายที่ดีของลูกแก้วเสมอ”
ชีวินมองน้องสาวอย่างเข้าใจ
“พี่คิดว่าคนเราอาจมีเวลาที่ก้าวพลาด แต่จะต้องไม่พลาดตลอดไป พี่ฝากศจีเขา ไว้ เพราะพี่รู้จักลูกแก้วดีกว่าที่ลูกแก้วคิด เรื่องนายสุพรรณก็เหมือนกัน ที่พี่ไม่ห้ามปราม เพราะเห็นว่าความยากจนไม่ใช่ส่วนที่เลว นายพรรณเขามีอะไรดีๆ หลายอย่าง รวมทั้งความเป็นคนจริงที่จะปกป้องลูกแก้วได้ เสียอย่างเดียวคือความยโสเกินไป ถ้าเขารู้ว่าเมื่อไรควรอ่อนเมื่อไรควรแข็ง เขาจะไปไกลกว่านี้”
“ลูกแก้วก็รู้ค่ะ ต่อไปคงจะค่อยๆ โน้มน้าวให้เขาอ่อนลงบ้าง”
“แต่อย่าทำให้เขารำคาญเสียก่อน ความอ่อนหวานของผู้หญิงเป็นของดีแต่ไม่ใช่ความอ่อนแอ เวลาพี่ไม่อยู่จะทำอะไรจงคิดให้ดี เสียเวลาคิด ดีกว่าจะเสียเวลาทั้งชีวิต เพราะงานอย่างอื่นหยุดยั้งตั้งแต่ต้นได้แต่งานชีวิตไม่เคยกลับมาตั้งต้นได้เลย”
สีหน้าแกมแก้วค่อยดีขึ้น
“พี่พรรณเขาสัญญาว่าจะแต่งงานกับลูกแก้ว เมื่อลูกแก้วเรียนจบ”
“คุณพ่อรู้หรือยัง”
“ยังค่ะ”
“ไปบอกท่านเสียไป ยังไงๆ ผู้ใหญ่ก็ควรได้รับรู้ไว้บ้าง”
“ลูกแก้วกลัว”
“กลัวอะไร”
แกมแก้วอึกอัก ชีวินถอนใจ
“ถึงจะยังไม่ถึงขั้นเตรียมตบแต่ง ลูกแก้วก็ควรบอกคุณพ่อให้รับรู้ไว้ นายพรรณก็เถอะ ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ เขาต้องกล้าเข้าไปพูดกับคุณพ่อพูดอย่างลูกผู้ชายด้วยกัน ตรงไปตรงมา”
“เผื่อคุณพ่อเอ็ด”
“ก็ฟังดูซิว่าเอ็ดยังไงเรื่องอะไร เรามีอะไรก็ชี้แจงไป ยังไม่ทันเข้าไปพบ กลัวล่วงหน้าจะถูกเหรอ”
“เอ้อ...พี่วินช่วยพูดก่อนได้ไหมคะ ท่านจะได้เรียกลูกแก้วไปถาม ลูกแก้วไม่รู้จะเริ่มยังไง”
ชีวินถอนใจยาวอย่างอ่อนใจ
“ลูกแก้ว ก็ทีเรื่องคิดจะมีครอบครัวมันมิใหญ่กว่าเหรอ ทำไมลูกแก้วคิดได้ทีแค่นี้คิดไม่ได้ พี่เป็นผู้ชายพูดไปก็ไม่ดี ถ้าไม่กล้า ไปบอกเขาแน่ะไป๊ เคยเป็นเพื่อนกันทำไมไม่พูดกัน”
แกมแก้วขยับจะปฏิเสธ แต่แล้วความคิดแวบหนึ่งก็ผ่านเข้ามา
“ลูกแก้วจะลองดู”
“พอพี่ไปอีกคน ลูกแก้วจะไม่เหลือใครเลย ลองๆ คบค้ากันไว้ มีอะไรจะได้ช่วยกัน คุณพ่อก็อายุมากแล้ว หมู่นี้ดูท่านเพลียๆ เหนื่อยๆ ชอบกล ถนอมน้ำใจท่านไว้บ้าง อะไรที่ท่านรัก ท่านชอบ เราไม่รัก ไม่ชอบก็เฉยเสีย อย่าไปเกลียดให้ท่านรำคาญใจ ต่อไปลูกแก้วออกไปเป็นคุณนายนายอำเภอจะต้องรู้จักคำว่าน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก ไว้บ้าง”
แกมแก้วพยักหน้ายอมรับ
ศจีวางเครื่องแบบของท่านทูตปราจิตลงบนโต๊ะทำงาน แกมแก้วก้าวเข้ามายืนรีรออยู่เหมือนมีอะไรจะพูดด้วย ในที่สุดก็ทักอย่างเก้อเขินนิดๆ
“คุณพ่อจะไปงานไหน”
“ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ท่านทูตประเทศไหนก็ไม่ทราบค่ะ”
ได้ยินคำพูดสุภาพของศจี แกมแก้วก็มองศจีอย่างรู้สึกละอาย รู้สึกไม่สนิทใจ
“จัดเก่งนี่”
“ต้องพยายามจำ พยายามศึกษาค่ะ เพราะเป็นหน้าที่”
“ต้องไปด้วยไหม”
“งานอย่างนี้ผู้หญิงไม่ต้องไปค่ะ ถึงบางงานดิฉันก็ไปไม่ได้ หากเป็นทางราชการโดยตรง เพราะ ดิฉันไม่มีตำแหน่ง”
“ทำไมจะไปไม่ได้ เธอก็เป็น อะไรๆ กับคุณพ่อ เพียงแต่ยังไม่ได้เหรียญตรา”
ศจีนิ่งไปอย่างไม่ได้ตอบคำถาม
“ดิฉันขอตัวไปจัดเครื่องราชให้ท่านก่อนนะคะ”
ศจีเดินออกไป แกมแก้วรีบตามไป
แกมแก้วตามศจีมาถึงประตูห้องทำงาน ตัดสินใจพูดออกไปอย่างกริ่งเกรง
“ฉัน...เอ้อ...แก้ว มีเรื่องจะพูดด้วย”
ศจีหันกลับมาด้วยสีหน้าฉงน “คะ”
แกมแก้วสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจโพล่งออกไป
“เราจะแต่งงานกัน”
แกมแก้วหวังจะยิ้มเยาะและพูดยาวกว่านี้ แต่หลุดออกมาได้แค่นั้นด้วยความตื่นเต้น
ศจีมองอดีตเพื่อนรักด้วยรอยแย้มหยัน
“เดี๋ยวนี้”
แกมแก้วกลับขึ้งโกรธเสียเองเมื่อเห็นสีหน้าของศจี คำพูดวิงวอนแต่มีแววเสียดสี
“เราจะหมั้นกันไว้ก่อน พี่พรรณรับปริญญาแล้ว จะรอให้ฉันเรียนจบเสียก่อน จี จะบอกคุณพ่อให้ทีได้ไหม นึกว่าช่วยให้คนที่เธอรู้จักดีสองคนมีความสุขด้วยกัน”
ศจีเมินหน้าไปนิดหนึ่ง
“คุณพ่อรักจีมากนะ ถ้าสนับสนุนเราก็คงไม่มีอุปสรรค พี่พรรณ เขาบอกให้ลูกแก้วมาบอกจี”
ศจีเหมือนถูกตีแสกหน้าอย่างจัง ความเจ็บช้ำผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ ดวงตาระยับขึ้น
“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นดีแค่ไหน อย่าว่าแต่ปัญญาจะมีเมีย มีลูกเลย ปัญญาจะเลี้ยงตัวก็ให้มีเสียก่อน”
“เขาจะมีปัญญาแค่ไหนเอาไว้ดูต่อไป”
“คุณนี่ไม่เคยรักดี เจ็บแล้วไม่จำ บทเรียนคราวที่แล้วเอาไปทิ้งเสียที่ไหน ไอ้ที่ป่องแล้วไม่มีปัญญามันไม่แสดงอะไรบ้างเหรอ”
ถึงจะตกใจอยู่บ้างกับคำหยันนั้น แต่แกมแก้วกลับสะใจมากกว่า รู้สึกถึงชัยชนะที่ได้เห็นศจีออกฤทธิ์เต็มที่
“เราจะมีลูกด้วยกันใหม่ คราวนี้เราจะใช้ปัญญาของเราเอง”
ศจีหัวเราะเยาะเย้ย “ใช่ นายนั่นน่ะ มีปัญญาทำลูกแน่ แต่ไอ้ปัญญาเลี้ยงลูกมันต้องคุณ เขาจะทำลูกสักเท่าไหร่ก็ได้ เพราะสมบัติเมียมีพอจะเลี้ยงทั้งลูกทั้งผัว ตอนนี้ก็เรียนจบแล้วมีลูกอีกสักคน พ่อตาขี้คร้านจะทูนลูกสาวให้ ไม่งั้นจะเอาหน้าไปไว้ไหน ทำไมจะต้องให้ฉันไปบอก คุณไปบอกเองซี้ ไป๊”
วรรณโผล่หน้าเข้ามาพอดี หญิงชราถึงกับตกใจ
“อะไรกันคะ”
“ถามเขาสิคะป้าวรรณ ถามเขาว่าหาผัวทั้งที เอาไอ้ที่มันพ้นลูกศิษย์วัดไม่ได้เหรอ”
แกมแก้วหน้าซีดขาว แล้วค่อยกลายเป็นสีแดงเข้ม วรรณจะเป็นลม
“โธ่...อะไรกันอีก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้าวรรณ ลูกแก้วเข้ามาคุยให้ฟังว่า พี่พรรณเรียนจบแล้วเราจะแต่งงานกันเท่านั้น ท่านก็เลยโกรธ ถึงแก้วจะมีแฟนแค่ลูกศิษย์วัด แต่ต่อไปยังมีหวังได้เป็นคุณนายนายอำเภอ หรือคุณหญิงท่านผู้ว่าฯ ไม่ใช่ คุณหญิงนอกทำเนียบ อย่างที่เห็นๆ กัน”
พูดจบแกมแก้วก็เดินลอยหน้าลอยตาออกไป วรรณมองคนโน้นทีคนนี้ที เหมือนจะหมดแรง
ศจีเดินออกไป พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“เจ้าประคุณเอ๊ย พอกัน ขิงก็ราข่าก็แรง คุณลูกแก้วหนอคุณลูกแก้ว เดี๋ยวนี้จะพูดจะจาทำไมแข็งกระด้างอย่างนี้ ถ้าคุณหญิงท่านยังอยู่ คงจะลมใส่แล้วใส่อีก แล้วนี่มันอะไรกัน”
ศจีเอามืออันสั่นระริกเกาะโต๊ะทำงานช่วยพยุงกายในอาการคุมแค้น และต้องพยายามระงับใจอย่างสูงสุด วรรณเดินเข้ามา อาการหายใจหนักๆ ของศจีค่อยคลายลง แต่น้ำเสียงยังแหบแห้ง
“เขาจะแต่งงานกับนายนั่นป้าวรรณ”
วรรณแสร้งถามอย่างอารมณ์เย็น ด้วยความฉงนฉงายในใจว่า ทำไมศจีต้องโกรธแค้นถึงเพียงนี้
“ใครกับใครคะ”
“จะใคร ก็ลูกแก้ว กับเจ้าหมอนั่นแหละ ป้าวรรณลืมแล้วเหรอ ที่เราวิ่งกันหัวซุน”
“ได้ยินว่าเรียนจบ แต่งกันได้ก็ดี ถึงยังไงก็ ล่วงเลยกันมา กลับตัวกลับใจเสียใหม่ แต่คุณลูกแก้วยังเรียนไม่จบ หรือจะคอยให้จบ เขาจะยังไงกันคะ”
“ผู้ชายน่ะจบแล้ว คงจะคอยให้ผู้หญิงจบไม่ไหวละมั้ง”
“ถ้ารั้งไม่ไหวก็ตามที ดีกว่าจะเกิดเรื่องอีก”
“ถึงเรียนจบกะอีแค่ใบปริญญาจะเอาไปทำอะไรได้ สมัยตั้งตัวเองจากเงินสลึง เสื่อผืนหมอนใบมันหมดไปแล้วนะป้าวรรณ”
“คุณลูกแก้วเธอพอมี ถ้ารักกันจริงจะเป็นไรมี”
“ป้าวรรณว่าดีงั้นเหรอ”
ศจีย้อนแย้งในเนื้อเสียงเย้ยหยัน
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 33 (ต่อ)
วรรณมองหน้าศจีอย่างเพ่งพิศ
“จะว่าไม่ดีก็เพราะเหตุใดละคะ ความไม่เหมาะสมหรือว่า...”
ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้วรรณค้างประโยคนั้นไว้ ถึงศจีจะเด็กกว่า แต่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นนายขึ้นมา จึงพูดอะไรไม่ถนัด
“เรื่องนี้เรียนให้ท่านตัดสินดีกว่า อนาคตของลูกท่าน ท่านคงจะจัดการได้ดีที่สุด คนนอกจะยุ่งอะไรได้ ที่อาศัยบารมีท่านปกหัวมาความสุขก็พออยู่แล้ว” หญิงชราซ่อนความนัยอะไรบางอย่าง “โบราณท่านว่า ต้นคดปลายตรงน่ะใช้ได้ แต่ต้นตรงปลายคดน่ะเลี้ยงไม่ได้”
วรรณผละไปทันทีหลังจากพูดจบ แล้วศจีก็เพิ่งสะดุ้งกับความหมายในประโยคท้ายๆ
“เดี๋ยว”
วรรณไม่ได้หันกลับมาอีก ศจีได้แต่มองตามเหมือนมีใครกำลังเพ่งมองมาอย่างเย้ยหยัน
ภาพคุณหญิงอรุณวตีซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นมองมายังเธอ ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“เกียรติยศเป็นของร้อน คนที่มีเกียรติน่ะ มันเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟละหนู ยิ่งเกียรติมาก ก็ยิ่งร้อนมาก”
เวลานั้นศจีฟังอย่างไม่เข้าใจนัก อรุณวติยิ้มบางๆ อย่างเยือกเย็น
“ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ต่อไปเมื่อโตขึ้นได้เห็นโลกมาขึ้น หนูจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้”
อีกเหตุการณ์ก่อนสิ้นลม คุณหญิงอรุณวตีมองศจีด้วยแววตาอ่อนระโหย ริมฝีปากขยับขมุบขมิบ มีเสียงลอดออกมาค่อยๆ
“จี...สัญญา... อย่าลืมสัญญา”
“เจ้าค่ะคุณหญิง ดิฉันสัญญา”
“ปกป้องไว้ให้ได้ จำไว้นะ”
“เจ้าค่ะ ด้วยชีวิตของดิฉันเอง”
นึกถึงเรื่องนี้แล้ว ศจีทรุดลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน
“เราทำได้แค่นี้เอง แค่นี้เอง”
สีหน้าของสุพรรณวาบขึ้นมาในห้วงคิด พร้อมกับรอยยิ้มหยัน
ศจีเผลออุทานออกมากับตัวเอง
“ไม่ใช่...ไม่ใช่ เราไม่เคยคิดถึงผู้ชายคนนี้ ไม่เคย”
ศจีมองเหรียญตราที่ประดับอยู่บนเสื้อปราจิตในรูป ด้วยความรู้สึกอันเจ็บปวด เธอหลับตาลง พร้อมกับยกมือปิดหน้าอย่างอัดอั้น รู้ว่าตัวเองได้ก้าวเข้ามาบนเส้นทางเกียรติยศ โดยไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว
“โอ”
อีกฟาก ปราจิตเดินมาที่หน้าห้องทำงาน ในสภาพหน้าตาซีดเซียวเหม่อลอย มีจรรยาเดินตามหลัง จังหวะหนึ่งปราจิตซวนเซ จรรยาจะเข้าไปประคอง แต่ปราจิตโบกมือ
“ไม่เป็นไร ประชุมนานไปหน่อย”
“กาแฟไหมคะท่าน”
“ไม่ต้องๆ ฉันขออยู่เงียบๆ สักพัก”
ปราจิตเข้าไปในห้อง จรรยามองตามหน้าเสีย
เมื่อลับจากสายตาผู้คน ปราจิตเข้ามาในห้องทำงาน ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้าโรยแรง แทบไม่เหลือภาพท่านทูตผู้งามสง่า
“วตี...วตี...ช่วยผมด้วย”
ปราจิตหลับตาลงอย่างขมขื่น ผิดหวังรุนแรงที่สุดในชีวิต
“สิ่งที่บากบั่นสร้างมาด้วยความมานะพยายาม ต้องพังพินาศลงเพราะตัวผมเองงั้นเหรอ คุณวตี”
ปราจิตพยายามกล้ำกลืนความอ่อนแอโหยหาที่พึ่งที่พุ่งขึ้นมาอย่างสุดกลั้น
ขณะเดียวกัน พิสมัยกับลัดดาเข้ามาสมทบตั้งวงซุบซิบกับจรรยา โดยพิสมัยเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า
“ผลการประชุมเป็นยังไง พลิกโผเหรอ”
จรรยาพยักหน้า “มีม้ามืดแซงคิวมาจากคอก เบื้องบน”
พิสมัยดูจะสะใจมากกว่าสงสาร “มิน่า เซกลับมาเชียว หวังไว้มากนี่”
“คนที่ขึ้นมาดันไม่มีใครคาดหมายเสียด้วย ฝีมือเทียบคุณจิตไม่ได้แม้แต่ครึ่งเดียว” จรรยาว่า
ลัดดาแปลกใจ “แล้วแซงหน้ามาได้ยังไง”
จรรยาบอกเป็นนัยว่า “ที่ประชุมว่าเป็นเพราะ ภาวะส่วนตัวบางประการที่ไม่เหมาะสม”
ลัดดาฉงนฉงาย “แค่นี้เองเหรอ ถึงหลุดลงมาไม่เป็นท่า”
พิสมัยแทรกขึ้น “เห็นเคยภูมิใจนักหนาว่ามีฝีมือเสียอย่าง ตั้งแต่ตอนมีเรื่องน้องเมียน่ะ”
ลัดดาพยักพเยิด “ตอนนั้นคุณหญิงตัวจริงยังอยู่นี่จ๊ะ”
“นั่นสิ ตอนนี้เหลือแต่คุณหญิงนอกทำเนียบ แถมมีประวัติด่างพร้อยเสียด้วย” จรรยาบอก
“ทีแรกคงดีใจเหมือนได้เพชรน้ำเอก แต่พอใช้กล้องส่องถึงจะดูออกว่ามีตำหนิ” พิศมัยว่า
จรรยาเสริมอีกว่า “นี่หละน้า เขาถึงเรียกว่า มีเมียดีเป็นศรีแก่ตัว”
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างเห็นด้วย
ฝ่ายปราจิตก้าวลงบันไดด้วยท่าทางซวนเซนิดๆ สิทธิ์ซึ่งรออยู่ก้าวยาวๆ เข้าไปหา
“ท่านขอรับ”
“สิทธิ์เหรอ”
“ครับผม”
“หน้ามืดไปหน่อย” ปราจิตส่งแฟ้มเอกสารให้สิทธิ์ “ช่วยรับที”
“ท่านเกาะแขนกระผมก็ได้ขอรับ” สิทธิ์เป็นห่วงนายมาก
“ไม่ต้อง”
ปราจิตพยายามพยุงสังขารแสนอ่อนล้า เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ สิทธิ์มองตามอย่างเป็นห่วง แล้วรีบขึ้นรถตามไป
“ไปไหนต่อครับท่าน”
“กลับบ้าน”
สิทธิ์รับคำแล้วออกรถไป ปราจิตเอนศีรษะพิงกับเบาะอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรงจนจับขั้วหัวใจ
รถท่านทูตปราจิตที่นายสิทธิ์ขับ แล่นมาจอดเทียบหน้าตึกใหญ่ สิทธิ์กระหืดกระหอบลงจากรถมาเปิดประตูให้ ปราจิตซึ่งนั่งอยู่ในรถยังหลับตา หน้าซีดเผือดอย่างคนที่ใจสลาย
“คุณวตี...คุณวตี”
สิทธิ์วิ่งเข้ามาในบ้าน เจอศจีที่ออกมาพอดี
“คุณหญิงครับ ท่านไม่สบายมาก นอนอยู่ในรถ”
“เป็นอะไรไป...โธ่” ศจีเสียงสั่น “เรียกใครไปช่วยอุ้มคุณท่านขึ้นมาเร็วๆ”
นับจากนั้นคนในบ้านต่างวิ่งกันอลหม่าน
สิทธิ์และลอยเปิดประตูรถเข้ามาคนละด้าน ปราจิตลืมตาขึ้น ถามเสียงอ่อนล้าสีหน้าฉงน
“อะไรกัน”
วรรณชี้สั่งคนนั้นคนนี้อยู่ที่ขั้นบันได
“ไปต้มน้ำร้อนไว้เร็วๆ เข้า ยาลมอยู่ไหน เอ้า...หลีกไป อย่ามามุง”
ปราจิตกะพริบตาสองสามครั้ง พร้อมกับยันตัวขยับมาทางประตูฝั่งที่สิทธิ์เปิดอ้ารออยู่
“ไป ไป๊เจ้าสิทธิ์ หลีกไป อะไรกันตื่นไม่เป็นเรื่อง มึนหัวนิดหน่อยเลยนั่งเพลินไปเท่านั้นเอง”
แต่พอปราจิตออกมายืนตรงก็เซแซดๆ จนต้องคว้าขอบประตูไว้ ศจีเห็นก็รีบสั่ง
“พยุงท่านเร็ว”
ปราจิตโบกมือห้าม พลางตีสีหน้ารำคาญใส่ แต่พอจะก้าวขึ้นบันได ก็ต้องคว้าแขนนายสิทธิ์ที่ยื่นออกมาทันท่วงที
“เอ้า ขอเป็นหลักหน่อย แต่ไม่ต้องถึงกับหามหรอก”
“ไปพักที่ห้องข้างล่างก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ศจีว่าแล้วขึ้นบันไดไปล่วงหน้าอย่างรีบร้อน วรรณสั่งคนรอบข้าง
“ขึ้นไปดูที่นอนให้ท่าน เร่งแอร์ให้เย็นถึงขีดสุดเลย จะได้เย็นเร็วๆ พอเย็นจัดค่อยลดลง น้ำร้อนใครไปต้มหรือยัง เดี๋ยวจะไปโทร.เรียกหมอ ยาลมค้นได้ไหม”
นวลผ่องกับบรรจงรับคำแล้วกุลีกุจอวิ่งเข้าไปในบ้านเป็นที่วุ่นวาย
ศจีก้มลงมาถามปราจิตที่นอนหน้าซีดอยู่
“เป็นอะไรเจ้าคะ”
ปราจิตมองหน้าศจีพลางถอนใจยาว รู้สึกผิดที่อาจทำให้ชีวิตศจีต้องลำบากเมื่อตนไม่ได้ตำแหน่ง
“เป็นลม เห็นจะเป็นเพราะแก่แล้ว”
ศจีอึ้งไป เพราะเพิ่งได้ยินปราจิตพูดเรื่องความแก่เป็นครั้งแรก
“ท่านยังไม่แก่หรอกเจ้าค่ะ คงทำงานหนักเกินไปมากกว่า ป้าวรรณตามหมอแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมาเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกน่ะ งงๆ ไปนิดเดียว นอนสักเดี๋ยว อาบน้ำเย็นๆ คงหาย”
ปราจิตลุกขึ้นนั่งเสยผม วรรณเปิดประตูเข้ามาเห็นจึงทักท้วง
“นอนเสียก่อนไม่ดีเหรอคะ อีกสักครู่หมอก็มาแล้ว”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ถ้าหมอมา ท่านก็ให้ตรวจเสียหน่อยแล้วกันเจ้าค่ะ”
ปราจิตพยักหน้ารับ ศจียิ้มพอใจ
หมอรุจน์เอาหูฟังออก หลังจากตรวจปราจิตอย่างละเอียด สีหน้าดูออกว่าหนักใจ จนปราจิตแซว
“ทำยังกับตรวจทำประกันชีวิตเชียวนะหมอ”
“ผมอยากให้ท่านเข้าโรงพยาบาล ตรวจเช็คร่างกายใหญ่เสียที”
ปราจิตแซวเล่นไม่เลิก “วัดคลอเรสเตอรอลด้วยกระมัง”
“ทุกอย่างครับท่าน”
“ทำไม ได้ยินเสียงเครื่องเคราข้างในมันเดินไม่แจ่มใสเหรอ”
“ผมอยากให้แน่ครับ” หมอบอก
“เห็นจะไม่มีเวลาพอที่จะไปนอนเขลงให้หมอตรวจหรอก”
“สักสามวันก็ได้ครับ”
ปราจิตแสร้งทำเป็นร่าเริงตลอดเวลา ไม่อยากให้ใครรู้ว่าป่วย เพราะจะมีผลกับหน้าที่การงานด้วย
“เอาเถอะหมอ จะหาเวลาก่อน ได้เมื่อไหร่จะนัดไป ตอนนี้งานมันชุก นายวินก็จะไปนอก หมดงาน หมดเรื่องลูกจะนอนให้หมอตรวจจนครบเชียวล่ะ”
หมอมองเลยไปยังศจี ศจีก้มศีรษะนิดๆ หมอจึงเก็บเครื่องมือโดยไม่ได้โต้แย้งอีก
“ตอนนี้ท่านควรพักให้มาก ทำงานให้น้อย จนกว่าร่างกายจะเป็นปกติ”
“แหม ไอ้ที่แนะนำมาน่ะถูกใจจริงๆ พักมาก ๆ ทำงานน้อยๆ กินแต่ของอร่อยๆ เที่ยวให้เพลิน เฮ้อ...อยากทำอย่างนั้นใจจะขาดเชียวหมอ แต่ไม่รู้จะได้ทำเมื่อไหร่”
หมอรุจน์ได้แต่มองหน้าปราจิตอย่างเป็นห่วง
ศจีออกมาส่งหมอ สองคนเดินห่างประตูห้องออกมาตรงบันได หมอจึงหันมากระซิบ
“ความดันท่านสูง ระวังอย่าให้คิดมาก หรือล้มแรงๆ”
“ค่ะคุณหมอ”
หมอหันกลับเดินลงบันไดไป ศจีมีสีหน้าไม่สบายใจชัดแจ้ง
พอศจีกลับเข้ามา ก็เห็นปราจิตลุกจากที่นอนแล้ว
“อาบน้ำอุ่น แล้วนอนสักพัก ดีไหมเจ้าคะ”
“ขออาบน้ำอุ่นอย่างเดียวค่ะ แต่เห็นจะไม่นอน”
“จะไปไหนเจ้าคะ”
ปราจิตตอบพลางยิ้มเยือกเย็น ไม่อยากให้ใครเห็นถึงความพ่ายแพ้อ่อนแอ
“ซ้อมมือสักหน่อยค่ะ อาทิตย์หน้าจะลงทีม”
ปราจิตมองศจีอย่างสงสัยว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ ทำไมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาเลย
แล้วเขาก็นึกเสียดายที่ศจีมีภูมิหลังอันมีตำหนิ จนรู้สึกหายใจขัดขึ้นมา
“จี...” พลางวางมือบนไหล่ของศจี “จะเสียใจไหม ถ้า...ไม่ได้ไปนอกอย่างที่เคยบอก”
ดวงตาของศจีรื้นขึ้นมา รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ปราจิตผ่องถ่ายมาให้
“ทำไมเจ้าคะ”
“เพราะ ที่ประชุมเขาเปลี่ยนตัวค่ะ จีเห็นจะไม่ได้เป็นคุณหญิงทูตอย่างที่ฉันเคยสัญญาเสียแล้ว”
“ดิฉันไม่เคยหวังเจ้าค่ะ”
ปราจิตมองศจีอย่างสงสัย น้ำเสียงสะท้านนิดๆ
“จี เคยอยากได้อะไรบ้างไหมคะ บอกมาเถอะ ฉันอยากให้ เพราะ ฉันเคยเป็นแต่คนได้ คนตักตวง โดยไม่เคยเป็นคนให้ใครๆ สักที ชีวิตบางทีมันก็สั้นนัก ฉันอยากเป็นคนรู้จักการให้เสียบ้าง จีไม่เคยขอสักอย่างเดียวทำไมอย่างนั้นคะ”
ศจีเกิดความรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาด้วยความตื้นตัน
“ท่านให้ดิฉันแล้ว”
น้ำตาของศจีไหลรินออกมา ปราจิตมองอย่างแปลกใจ
“ให้เดี๋ยวนี้ ขณะนี้เอง”
ปราจิตรู้สึกแปลบปลาบในใจ ด้วยมโนธรรมอันเจ็บปวด เขารวบร่างของศจีมากอดรัดไว้ เหมือนพ่อที่กอดลูกมากกว่าจะรู้สึกปรารถนาอย่างเคย
“จี...โอ...”
ศจีซบลงกับอกของปราจิตด้วยความยินยอม ไม่ใช่ถูกกดรั้งอย่างเมื่อก่อน น้ำตาพรั่งพรูดุจทำนบพังทลาย
ประหนึ่งว่าอกอุ่นนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่เธอโหยหามาตลอดทั้งชีวิต
อ่านต่อตอนที่ 34 อวสาน