คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอน 24
คุณหญิงอรุณวตีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสักครู่แล้ว ศจีเดินออกมาหน้าตึกอย่างเงียบๆ ในสีหน้าเลื่อนลอย ผ่านโต๊ะวางอาหาร จาน ชาม และเศษขยะประดามีที่ยังคงระเกะระกะเกลื่อนกลาด กระดาษเช็ดมือปลิวว่อนไปตามแรงลม ท่ามกลางความเงียบสงัดวังเวง
แต่แล้วศจีก็หยุดชะงัก เมื่อมองเห็นสุพรรณเดินออกมาจากเงามืด ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“คุณหญิงท่านเป็นยังไงบ้าง”
ศจีได้แต่ส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย
“เขาพูดกันว่า...”
แต่แล้วสุพรรณก็ชะงักกึก หยุดคำพูดเท่านั้น จ้องหน้าศจีอย่างเข้าใจ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“จะกลับบ้านไหม”
“ฉันกำลังจะกลับบ้าน”
“ผมจะไปส่ง”
ศจีเดินเลยเขาไป สุพรรณเข้าไปแตะต้นแขนศจีเบาๆ
“ลืมเสียเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่ตั้งต้นใหม่”
แต่ศจีก็ยังเงียบขรึม สุพรรณเดินตามหลังศจีไป
สุพรรณเดินเข้าซอยมาพร้อมกับศจี ที่ยังคงเหม่อลอยเหมือนร่างไร้วิญญาณตลอดเวลา
“หลวงตาเคยสอนว่า ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว คนที่อยู่ข้างหลังต่างหากที่คิดว่า น่ากลัว คนที่อยู่ข้างหลังต่างหากที่เศร้าโศกอาวรณ์ แต่สำหรับคนที่จะจากไป ความตายคือความปรานีของธรรมชาติ หลังจากทุกข์ร้อนต่อสู้จนเหนื่อยแล้ว เขาก็จะได้หลับ พักผ่อนอย่างยาวนาน ไม่ต้องตื่นขึ้นมาต่อสู้อย่างเรา ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เจ็บช้ำ”
ศจีก้าวเดินอย่างมีชีวิตชีวาขึ้น เหมือนคำพูดนั้นมาปลุกประสาทให้ตื่นจากภวังค์
“คุณหญิงท่านร้องไห้มามากแล้ว”
“ใช่ ต่อไปนี้คุณหญิงกำลังจะได้พบกับความสุข อย่างที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์จะได้รับรางวัลอย่างนั้นจากธรรมชาติ”
ศจีครวญ “นี่หรือชีวิต”
“ชีวิตเป็นอย่างนั้น ยามมีชีวิตเราต้องผจญทั้งรัก โลภ โกรธ หลง แต่เมื่อความตายมาถึง...เราถึงจะรู้ว่าที่ทำมาทั้งหมดผิดทั้งเพ”
“คุณหญิงท่านเหนื่อยมามากแล้ว ให้ท่านพักเสียที”
ทั้งสองเดินมาถึงหน้าบ้านศจี
“เข้มแข็งไว้นะคุณ เรายังไม่ได้พัก ยังต้องต่อสู้อีกนาน”
ศจีเดินเข้าบ้าน สุพรรณมองตามจนเธอขึ้นเรือนและปิดประตูตรงบันไดลง
ศจีเดินเข้ามาตรงชานเรือนอย่างเหนื่อยล้า จุกซึ่งกำลังนั่งเจียนใบตองอยู่ร้องทักขึ้นอย่างดีใจ
“ทำไมมาค่ำนักจี แม่เป็นห่วง”
“ก็บอกแม่แล้วนี่จ๊ะว่า วันนี้มีเลี้ยง”
“เรอะ แม่ลืมไป”
“ทำไมแม่ยังไม่นอนอีก”
“ก็นั่งทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย รอจีกลับมา”
“งั้นเข้านอนเถอะแม่ ดึกแล้ว”
ศจีเดินจะเข้าห้อง แต่เสียงจุกก็ลอยมาอีก
“จี พรุ่งนี้โรงเรียนหยุดหรือเปล่าลูก”
ศจีชะงัก หันไปตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“ฉันออกมาทำงานแล้วนะแม่”
“จริงสิ จีออกมาทำงานกับมาแมร์แล้วนี่”
ศจีได้แต่ถอนใจอีกครั้ง กับความจดจำของแม่ที่ดูเลอะเลือนไปมาก ก่อนจะเข้าห้องไปเงียบๆ
ศจีพาตัวเองมาถึงบ้านคุณหญิงอรุณวตีแต่เช้า พบว่าในสนามยังมีร่องรอยงานเลี้ยงซึ่งไม่ได้เก็บกวาด ข้าวของกระจัดกระจาย จานชามแก้วน้ำและขยะเกลื่อนกล่น ด้วยทุกคนวุ่นวายอยู่กับอาการป่วยของคุณหญิง
ศจีเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกอ้างว้างจับใจ
เมื่อเดินผ่านห้องทำงานที่อรุณวตีเคยนั่ง เห็นเบาะรองเก้าอี้มีรอยบุ๋มอยู่ ศจีกวาดตาไปรอบๆ แล้วลงนั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารมาเปิดดู
บรรจงเข้ามาพร้อมกับไม้กวาดเตรียมทำความสะอาด เธอมองศจีอย่างแปลกใจ
“แหม คุณมาแต่เช้า”
ศจีถอนใจยาว
“ได้ข่าวคุณหญิงบ้างไหม”
บรรจงเล่าต่ออย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจนัก
“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ ยังไม่มีใครกลับจากโรงพยาบาลเลย คุณแม่บ้านก็ร้อนใจ เมื่อเช้าเลยตามไปดูที่โรงพยาบาล”
ศจีพยักหน้ารับรู้
“เห็นป้าม่อมเล่าว่า ท่านเป็นยังงี้มานานแล้ว เจ็บๆ หายๆ ไม่เป็นอะไรสักที โรคหัวใจนี่เขาเรียกกันว่าโรคคนมีเงิน” บรรจงหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำขัน “ต้องกินดีอยู่ดี ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งๆ นอนๆ แล้วก็แปลกนะคะ คนมีเงินมากๆ ถึงจะเป็นกันไอ้โรคหัวใจวายอีก กินดีอยู่ดีมากเข้าพาลวายเอาดื้อๆ เสียนี่”
ศจีไม่สนใจฟังเลย หยิบสมุดนัดหมายมาพลิกดู แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้น หมุนหมายเลขแล้วโทร.ออก
“Good morning. May I speak to Mr.Britton please. Okay. I’ll call him later.”
บรรจงทำความสะอาดไปฟังศจีพูดไป พอศจีวางสายก็มองอย่างชื่นชม
“คุณพูดภาษาฝรั่งเก๊งเก่ง พวกเราข้างล่างยังอยากให้คุณเป็นแฟนกะคุณชีวินมากกว่า”
ศจีตัดบท “เอาละ ช่วยลงไปบอกให้คนข้างล่างจัดการเก็บกวาดสนามให้เรียบร้อย อ้อ ให้คนสวนยกสวิตช์ไฟประดับพุ่มไม้เสียด้วยนะ”
“ค่ะ”
บรรจงรับคำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะออกไป
อีกฟาก ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลประจำ คุณหญิงอรุณวตีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในวงล้อมของทุกคนที่รักและเป็นห่วง คุณหญิงมองไปรอบๆ แกมแก้วถลาเข้ามาหา
“คุณแม่ คุณแม่ฟื้นแล้วค่ะ”
ปราจิตตามมา “วตี เป็นยังไงบ้าง”
อรุณวตีมองไปรอบๆ อย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ชีวินจับมืออรุณวตีไว้
“คุณแม่ครับ วินอยู่นี่”
“วิน ลูกแก้ว คุณจิต” อรุณวตีหันไปมอง “พี่วรรณ”
วรรณเข้ามาเกาะปลายเตียง ลูบเท้าของอรุณวตีอย่างห่วงใย
“คุณคะ”
“เหนื่อย เหลือเกิน”
“เหนื่อยก็พักนะครับคุณแม่ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น พวกเราจะดูแลทุกอย่างแทนคุณแม่เอง”
อรุณวตีอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงเบามากเพราะหมดแรง วรรณสังเกตเห็น
“คุณอยากได้อะไรเหรอคะ”
“เรียกหมอมาดูก่อนเถอะพี่วรรณ” ปราจิตบอก
ทุกคนทำท่าจะถอยกลับออกไป อรุณวตีรวบรวมกำลังทั้งหมดโพล่งออกมา
“จี...ศจี...อยู่ไหน”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
ศจีออกมาตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ในสวน จนนวลผ่องวิ่งหน้าตื่นออกมา
“คุณคะ มีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณค่ะ”
“จากไหนจ๊ะ”
“คุณแม่บ้านโทร.มาจากโรงพยาบาลค่ะ”
ศจีไม่รออะไรอีก รีบรุดเข้าไปในบ้านทันที
ศจีเข้ามาในโถงยกหูฟัง
“สวัสดีค่ะ ศจีพูดค่ะ” ศจีนิ่งฟัง ด้วยสีหน้าตกใจ “อะไรนะคะ คุณหญิงเหรอคะ ค่ะๆจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
ศจีรีบเข้าห้องทำงานไปหยิบกระเป๋าทันที
นางอาลัยเดินออกมาตรงเฉลียงหน้าตึก มองอย่างแปลกใจ
“อ้าว ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลหรอกเหรอ”
รัชนีฉายนั่งตะไบเล็บอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ไปมาเมื่อเช้าแล้วค่ะ คราวนี้ท่าจะหนักกว่าทุกที”
“แล้วทำไมไม่อยู่เฝ้า”
“โอ๊ย คนเยอะแยะค่ะคุณแม่ อยู่กันเต็มห้อง หนูไปก็เกะกะเขาเปล่าๆ อีกอย่าง ไม่ชอบอากาศในโรงพยาบาล มันอึดอัด”
“งั้นก็ไปอยู่รอฟังข่าวที่บ้านสิลูก”
“ยิ่งหดหู่เข้าไปใหญ่ค่ะ พอไม่มีใครอยู่แล้วเงียบเหงายังกับบ้านผีสิง”
“พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย”
“หนูเปรียบเทียบให้ฟังค่ะ คุณพี่ยังไม่ได้เป็นผีไปจริงๆ สักหน่อย ท่าทางหนังเหนียวจะตาย”
รัชนีฉายนั่งตะไบเล็บต่อไปอย่างไม่ยี่หระ อาลัยมองพลางส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอน 24 (ต่อ)
ด้านศจีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นคุณหญิง แกมแก้วเห็นรีบเข้ามาหา
“จี คุณแม่ถามหาจีน่ะ
ศจีเข้ามาคุกเข่าข้างอรุณวตี น้ำตาคลออย่างสะเทือนใจ
“ดิฉันอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
อรุณวตีมองศจีด้วยแววตาอ่อนระโหย ริมฝีปากขมุบขมิบ มีเสียงลอดออกมาค่อยๆ
“จี...สัญญา...อย่าลืมสัญญา”
“เจ้าค่ะคุณหญิง ดิฉันสัญญา”
“ปกป้องไว้ให้ได้ จำไว้นะ”
“เจ้าค่ะ ด้วยชีวิตของดิฉันเอง”
ทุกคนมองการสนทนาของสตรีทั้งสองคนอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าหมายความถึงเรื่องอะไร ซึ่งเป็นที่รู้กันเพียงสองคน
“ขอบใจ”
ศจีวางมือทับลงบนมือของอรุณวตี ราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่น เลือดเนื้อและชีวิตลงสู่ร่างที่กำลังจะสูญสลายตรงหน้านี้
“ขอบพระคุณ สำหรับทุกสิ่งที่ท่านเคยทำให้ดิฉัน และ ดิฉันเสียใจที่ไม่เคยทำให้ท่านดีกว่านี้”
ริมฝีปากของอรุณวตีขมุบขมิบอีกครั้ง แต่ไม่มีเสียงใดๆ ลอดออกมา
ปลายนิ้วของอรุณวตีพยายามกระดิกเกาะเกี่ยวนิ้วของศจีเอาไว้ เป็นเครื่องหมายว่าทั้งสองกำลังสัญญาแก่กัน
“ลาก่อนเจ้าค่ะ”
ศจีกราบลาบนมือนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้น น้ำตาของเธอก็หยดรินลงบนหลังมือของคุณหญิงผู้ป่วยหนัก
อรุณวตีหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน หยาดน้ำตารินไหลออกมาจากหางตาของเธอเช่นกัน
อาลัยถึงกับทำมาลัยที่ร้อยอยู่หล่นจากมือ เมื่อเสียงรัชนีฉายดังลั่นเข้ามา
“คุณแม่ขา...คุณแม่”
“มีอะไร เอะอะเสียงดังเชียว”
รัชนีฉายหน้าตาตื่น หายใจหอบแรงด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่ค่อยมีแววเศร้านัก
“คุณพี่วตี คุณพี่...สิ้นใจแล้วค่ะ”
อาลัยใจหายวับ อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว
“หลังจากนี้หนูก็จะได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสียที”
“จะทำอะไรก็อย่าเพิ่งออกนอกหน้านักนะลูก รอให้ผ่านไปสักพักจะดีกว่า”
“หนูอดทนรอมานานแล้วค่ะแม่ นานเกินกว่าที่ควรจะทนแล้ว”
รัชนีฉายเดินออกไป อาลัยมองตามอย่างหนักใจ
บ่ายคล้อย สัปเหร่อและเด็กวัดช่วยกันยกโลงขึ้นตั้งเสร็จแล้ว ปราจิตและวรรณช่วยกันตรวจดูความเรียบร้อย แกมแก้วเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น มีชีวินนั่งข้างคอยปลอบน้องสาว สองพี่น้องตาแดงก่ำทั้งคู่ ศจีช่วยดูแลการจัดดอกไม้ใบหน้าหมอง
ท่ามกลางความโศกเศร้านี้ รัชนีฉายถลาเข้ามาทุ่มตัวเกาะโลงไว้ พลางร้องไห้คร่ำครวญ
“โธ่ คุณพี่วตี ทำไมถึงด่วนจากน้องไปเร็วนัก ไม่ทันได้ดูใจกันเลย พี่วตีไม่น่าเลย... ฮือๆ”
อาลัยเข้าไปดึงรัชนีฉายออกมา
“พอเถอะรัชนีฉาย ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานก่อน”
“หนูเสียใจนี่คะแม่ โธ่ เห็นกันอยู่หลัดๆ มาจากไปเสียแล้ว ไม่ทันได้ทำใจเลย”
ปราจิตยังเดินดูความเรียบร้อยในงานเฉยเมย โดยไม่ได้สนใจรัชนีฉายนัก รัชนีฉายจึงลุกขึ้นไปถาม
“มีอะไรให้น้องช่วยก็บอกเลยนะคะคุณพี่ น้องยินดีทำเพื่อคุณพี่วตีทุกอย่าง”
ปราจิตเบือนหน้ามาบอกเรียบๆ อย่างเย็นชา
“ไม่ต้องหรอก ฉันมอบหมายงานเรียบร้อยแล้ว เรื่องงานการในบ้านให้พี่วรรณทำต่อไป เพราะเคยรู้เคยทำมาแล้ว เรื่องงานการของคุณวตีที่ยังคั่งค้างอยู่ ให้...ศจี สะสางให้เสร็จ รวมทั้งตอบรับแสดงความเสียใจอะไรด้วย”
รัชนีฉายสะอึกไปนิดหนึ่ง แต่ก็ทำเป็นไม่แยแส เข้าไปเกาะแขนปราจิต
“งั้นน้องจะช่วยคุณพี่ต้อนรับแขกเองค่ะ”
ปราจิตดึงแขนออก แล้วผละไปอย่างนิ่มนวล รัชนีฉายได้แต่มองตามเจ็บใจ
ค่ำนั้นปราจิตยืนรับแขกอยู่หน้าศาลาสวดศพ มีรัชนีฉายเข้ามายืนเคียงคู่ด้วย แขกทยอยเข้ามาเรื่อยๆ
“เสียใจด้วยนะคะ” คุณหญิงกัลยาเดินเข้ามา
รัชนีฉายใช้ผ้าเช็ดหน้าสีดำริมขลิบลูกไม้แตะนัยน์ตา
“ปุบปับก็ไปค่ะ ไม่ได้สั่งเสียอะไรเลย คุณพี่เธอเป็นมานานแล้วค่ะเรารู้กันอยู่แล้ว ก็ได้แต่ประคับประคองไว้”
สุพรรณกับดนัยเข้ามาหาชีวินกับแกมแก้ว
“เสียใจด้วยนะครับพี่วิน ลูกแก้ว” สุพรรณบอก
“เสียใจด้วยครับ เมื่อคืนเพิ่งเห็นท่านแท้ๆ”
“คุณแม่จากไปเมื่อเช้านี่เอง” ชีวินบอกกับสองหนุ่ม
แกมแก้วเอาแต่สะอึกสะอื้น ชีวินโอบปลอบ
“เข้มแข็งไว้ลูกแก้ว คุณแม่ไม่ไปไหนไกลหรอก ท่านยังดูแลเราอยู่เสมอ”
“ถึงยังไงมันก็ทำใจยากค่ะพี่วิน”
สุพรรณมองแกมแก้วอย่างเห็นใจ เขามองไปเห็นศจีคอยดูแลแขกที่เข้าไปไหว้ศพ
“ผมไปกราบศพก่อนนะครับ”
สุพรรณกับดนัยเดินเข้าไปหน้าศพ
พอสุพรรณกราบศพเสร็จ ดนัยเข้าไปกราบต่อ สุพรรณถอยมาคุยกับศจี
“เสียใจด้วยนะครับ ไม่นึกว่าท่านจะจากไปเร็วขนาดนี้”
ศจีตอบอย่างเฉยชาว่า “ขอบคุณค่ะ”
“เสร็จงานแล้วผมจะรอคุณนะ จะได้กลับพร้อมกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต้องมีงานต้องทำต่ออีก”
สุพรรณจะพูดอะไรต่อ แต่ศจีผละไปต้อนรับแขกคนอื่น
สุพรรณมองตามด้วยแววตาผิดหวัง
พระเริ่มสวดอภิธรรม แต่บรรดาคุณหญิงคุณนายที่นั่งพนมมืออยู่ซุบซิบกันสนุกปาก สายสุนีย์เปิดประเด็นตามเคย
“โรคหัวใจอะไร้ โรคช้ำใจน่ะสิ ผัวกับน้องเมีย เป็นข่าวมาเสียเท่าไหร่แล้วรายนี้น่ะพัลวันพัลเกกันมานาน พอพี่สาวตายโครม ก็คงจะได้ออกหน้าออกตาเสียทีละมั้ง ขนาดยังอยู่ เขายังแสดงออกนอกหน้าจนลือกระฉ่อน”
กัลยาเสริม “ตอนนี้เขาว่าแกมีอะไรๆ กับเด็กที่เป็นเลขาคุณหญิงไม่ใช่เรอะ”
วัชรินทร์พยักพเยิด “โธ่ ก็ยัยคุณหญิงเองนั่นแหละชักมา เข้าทำนองหาเมียให้ผัว จะได้คุมให้อยู่นั่นแหละ”
พิจิตราใช้พัดปิดปาก พลางหัวเราะคิกคัก
“อะไร้ แม่ศจี แกยังเด็กอยู่ ถ้าน้องเมียนี่ละก็เชื่อได้ เขากระแซะกระซิบกันมานานแล้ว”
“โธ่คู้น...ไม่งั้นโบราณเขาจะว่าหรือว่า มะม่วงขบเผาะมันอร่อยเหาะแค่ไหนรายนี้พ่อฟาดทั้งมะม่วงขบเผาะทั้งมะพร้าวห้าว สำราญบ๊านอุราไปเลย” สายสุนีย์ว่า
นางอาลัยนั่งฟังอยู่ข้างหลัง ได้แต่ถอนใจพลางส่ายหน้า จน ญาติ 1 ที่มาด้วยกันเอ่ยถามขึ้น
“แล้วนี่จะยังไงกัน เมื่อไรเขาจะจัดการทางคนของเรา”
“คุณวตี เธอเพิ่งตาย ตัวยังอุ่นๆ อยู่มั้ง อย่าเพิ่งพูดดีกว่า”
“กระเสาะกระแสะอยู่นานกว่าจะไป ยัยรัชนีฉายแกอดทนดี นี่ไม่รู้จะได้อะไรบ้าง” ญาติ 2 ถาม
อาลัยมองไปทางรัชนีฉายซึ่งยืนเคียงข้างปราจิตรับแขกอย่างไม่สบายใจนัก
ไม่นานนั้นเอง นางอาลัยดึงลูกสาวออกมามุมลับตาคนข้างศาลา รัชนีฉายตะบึงตะบอนใส่
“อะไรคะคุณแม่”
“อย่าทำอะไรให้ออกนอกหน้ามากนักนะลูก มันจะไม่งาม เขาจะพูดกันได้ว่า” อาลัยอ้ำอึ้ง เพราะกระดากปาก “คุณพี่เพิ่งเสียตัวยังอุ่นอยู่แท้ๆ”
รัชนีฉายยักไหล่อย่างไม่สะดุ้งสะเทือน
“หนูก็ทำอย่างที่เคยทำ ใครๆ ก็รู้อยู่ว่าหนูเคยช่วยคุณพี่วตีรับแขกตั้งแต่มีชีวิตอยู่”
“ตอนคุณพี่วตีเธอยังอยู่ ใครจะพูดอะไรก็ไม่เท่าไร เพราะมีตัวค้ำประกัน แต่นี่ ทำอะไรพองามจะดีกว่านะลูก”
รัชนีฉายสะบัดหน้าอย่างไม่เชื่อฟังนัก
สุพรรณกับดนัยเดินออกมาเพื่อจะกลับบ้าน ข้างหน้าทั้งสองนั้น บรรดาคุณหญิงคุณนายยังซุบซิบกันอยู่
“นี่ๆ ดิฉันได้ยินข่าวใหม่มา เขาว่าคุณหญิงแกช็อกตาย เรื่องผัวกับเลขา นี่ฉลองวันเกิดอยู่ข้างล่าง นั่นไปฉลองกันข้างบน” สายสุนีย์ว่า
สุพรรณกับดนัยมองหน้ากัน อึ้งไปทั้งคู่กับข่าวนี้
“สงสารยัยรัชนีฉาย เท้งเต้งเปล่า” กัลยาบอก
วัชรินทร์จีบปากจีบคอ “ฮู้ย...ใครเขาจะเห็นขี้ดีกว่าไส้ เขาดองกันให้เป็นเนื้อสองชั้นมิดีกว่าเร้อ เด็กนั่นหัวนอนปลายตีนมาจากไหน?
ทุกคนสอดส่ายสายตาไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“น้ำตาลใกล้มด ใครจะอดได้” กัลยาว่า
“นั่นสิคะ” พิจิตราหัวเราะคิกคัก “มดก็เลยเปรมไป น้องเมีย เลขา เมีย เออ...ไม่มีเมียเสียแล้ว เขายกใครขึ้นหม้อเอ่ย”
“น้องเมียละมั้ง ภาษีเขามันดีกว่า อีกอย่าง...เขาก็มาก่อนแม่เลขา” กัลยาว่า
สายสุนีย์ท้วง “ไม่แน่นะคู้ณ เด็กมันอาจจะมีทีเด็ด ยัยรัชนีฉายแกเหี่ยวไปแยะแล้ว”
“แต่เขาคั่วกันมานานแล้วนี่จ๊ะ” พิจิตราว่า
“เดี๋ยวนี้เขาโอนตำแหน่งกันได้ ยังกับโอนมรดกแล้ว ไม่รู้เรื่องเรอะ” กัลยาถาม
“อ้าว...ก็ตำแหน่งคุณหญิงใครเขาอยากให้คนอื่นได้ไป พี่ตายปุ๊บก็ต้องรีบยัดเยียดน้องแทนปั๊บถึงจะถูกจ้า”
จบคำพูดวัชรินทร์ ทุกคนหัวเราะคิกคักอย่างรู้กัน
สายสุนีย์พยักพเยิดไปทางแกมแก้ว
“สงสารยัยลูกสาว แม่เขาเลี้ยงมาแบบไข่ในหินเสียด้วย คราวนี้จะลำบาก”
“จะลำบากยังไง้ ร่ำรวยออกปานนั้น แล้วก็โตแล้ว เอาตัวรอดยังไม่ได้ก็แย่ละ” พิจิตราว่า
วัชรินทร์เสริม “อ้าว ก็พ่ออย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ คุณจิตน่ะ เสือเก่า เราก็เคยได้ยินให้รวยยังไงมันก็หมดได้”
“ดูแต่ลูกชายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้น” กัลยามองไปยังชีวิน
“คุณหญิงมองไว้ให้ลูกสาวใช่ไหมละคะ ท่าทางน่าจะพอพึ่งได้นะคะ” สายสุนีย์ยิ้ม
กัลยามองชีวินอย่างหมายมาดไว้ในใจ
สุพรรณกับดนัยได้ยินแล้วอึ้งไปอย่างนึกไม่ถึง
ดนัยส่ายหน้ากับสุพรรณขณะเดินออกมารอรถเมล์หน้าวัด สุพรรณนั้นหน้าเครียดตลอดเวลา
“พวกคุณหญิงคุณนายนี่นินทากันไม่แพ้ยายแม้นยายปริกแถวบ้านเราเลยว่ะ” ดนัยว่า
“มันคงเป็นสันดานของมนุษย์ทุกชนชั้นละมั้ง”
“เอ็งว่าจริงเหรอวะ เรื่องพ่อของลูกแก้วกับเลขาน่ะ เลขาก็แม่ศจีน่ะสิ”
สุพรรณกัดกรามแน่น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถ้าเป็นจริงก็สงสารลูกแก้วนะ เพื่อนกันแท้ๆ เลย แม่เพิ่งเสียไปต้องเสียเพื่อนอีกคน”
“ข้าก็เคยคิดว่าเขาคิดจะจับลูก นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นพ่อ”
“มันทางลัดกว่านี่หว่า ลัดไปถึงตำแหน่งคุณหญิงทันตาเห็น ไม่ต้องรอเป็นสิบๆ ปีจนเหนียงยานเว้ยเพื่อน”
สุพรรณนิ่งนึก สีหน้าทั้ง เสียใจ เจ็บใจ และแค้นใจระคนกัน
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอน 24 (ต่อ)
อีกวันหนึ่ง ขณะศจีนั่งทำงานอยู่ รัชนีฉายเปิดประตูเข้ามา มองไปที่เก้าอี้ที่อรุณวตีเคยนั่ง
“เดี๋ยวให้ใครยกเก้าอี้ตัวนี้ ไปไว้ในห้องข้างบนเสียเถอะ เห็นทีไรใจหายทุกที โถ เคยนั่งทำงานทุกวัน”
“อย่าเพิ่งเลยค่ะ”
รัชนีฉายฉุนกึก “ทำไม”
“ดิฉันยังอยากเห็นเก้าอี้ตัวนี้อยู่ที่นี่ ตราบใดที่ดิฉันยังทำงานอยู่ค่ะ มันเหมือนกับคุณหญิงยังไม่ได้ไปไหน”
รัชนีฉายยิ้มเหยียด “ฮึ อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า ไม่ต้องมาเสแสร้งต่อหน้าฉันเลยฉันดูคนอย่างเธอออก”
“ดิฉันก็ดูคุณออกเหมือนกัน” ศจีสวนกลับอย่างไม่ครั่นคร้าม
“อีนังกิ้งก่า”
รัชนีฉายเงื้อมือทำท่าจะตบศจี
เสียงวรรณดังขัดขึ้น “มีอะไรกันเหรอคะ”
รัชนีฉายชะงัก
“ฉันจะให้คนยกเก้าอี้ตัวนี้ขึ้นไปไว้ข้างบน เวลาผ่านมาเห็นทีไรทำให้นึกถึงคุณพี่ มันเศร้ามันหดหู่ใจ แต่แม่ศจีกลับอยากให้ตั้งเอาไว้อย่างเดิม”
วรรณบอกเสียงเรียบ “ที่นี่ห้องทำงานของศจี และศจีก็ยังทำงานให้ที่นี่อยู่ แล้วแต่ความสบายใจของ
เจ้าของห้องเถอะค่ะ”
“งั้นฉันจะรอเวลาที่ศจีไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว ค่อยสั่งคนยกออกไปก็ยังไม่สาย”
รัชนีฉายยิ้มหยัน ก่อนสะบัดหน้าออกไป วรรณมองตามขำๆ
“คงกลัวผีละมั้ง เดี๋ยวนี้ข้างบนกล้าขึ้นที่ไหน ยิ่งห้องขาวด้วยแล้ว หน้าห้องยังไม่ยอมเฉียด”
ศจีได้แต่ยิ้มเย็นอย่างขำไปด้วย แล้วนึกอะไรขึ้นได้
“ป้าวรรณคะ นิมนต์พระที่จะเลี้ยงปิดศพคุณหญิงท่านหรือยัง”
วรรณตบอกผาง “อุ๊ยตาย ข้าวของเครื่องเลี้ยงจัดหมด ลืมนิมนต์พระ”
“เดี๋ยวป้าวรรณลองสั่งมาสิคะว่าจะให้เตือนเรื่องอะไรบ้าง จะจดไว้ให้งานมันยุ่งๆ จะได้ช่วยเตือน”
ศจีหยิบกระดาษมาเตรียมจด วรรณมองอย่างเกรงใจนิดๆ พอใจหน่อยๆ แต่ก็อดประชดไม่ได้
“โอ๊ย ฉันไม่ต้องถึงกับมีเลขาหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยกันทำ ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อคุณหญิงท่าน”
วรรณอึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงกับน้ำตาตก
“เห็นกันอยู่หลัดๆ ทูนหัวของวรรณ ถ้ามีทุกข์ไปทางอื่น ถึงทางหมื่นแสนไกลจะไปหา...แต่นี่...ขัดสนจนใจไปป่าช้า”
“วันนี้ท่านไป แต่วันหน้า เราก็ต้องไป เราพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อคนที่ไปก่อนเราดีกว่าค่ะป้าวรรณ วันหน้า ให้คนอื่นเขาทำเพื่อเราบ้าง”
“ตอนนั้นจะมีใครทำหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ศจียิ้มนิดๆ “เราตายไปแล้วจะกลัวอะไร แต่เอาเถอะ ถ้าป้าวรรณกลัวจะจัดการให้”
“ขอบใจ”
วรรณมองศจีอย่างรู้สึกซาบซึ้งประทับใจเป็นครั้งแรก ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
ที่ศาลาสวดศพค่ำคืนนี้ รัชนีฉายตรวจตราความเรียบร้อยของงาน พอเห็นบุญส่งกับบรรจงที่ช่วยกันปลดดอกกุหลาบบางดอกลง พลางใช้ตุ้มกุหลาบบ้าง มะลิบ้าง เสียบแทน
“ดอกไม้คืนนี้ทำไมไม่เปลี่ยน”
“คุณศจีเธอให้เปลี่ยนสองคืนครั้งค่ะ คืนที่สองใช้วิธีแซมดอกที่เหี่ยวๆ เอา” บรรจงบอก
“อะไร้ แค่นี้จะเท่าไหร่นักหนา”
ศจีเดินเข้ามาอธิบาย
“ค่าดอกไม้เปลี่ยนทีร่วมพันนะคุณ อย่างคืนก่อนที่คุณให้ใช้กล้วยไม้ทั้งหมดน่ะ เล่นเข้าไปพันกว่า แล้วมันก็ไม่ได้ทนทานกว่าไอ้ดอกอื่นๆ สองคืนเปลี่ยนครั้งน่ะดีแล้ว”
รัชนีฉายเต้นเร่าๆ
“งานของคุณพี่มีแต่แขกคนใหญ่คนโต ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งประหยัดให้คนอื่นเขาดูถูก”
ปราจิตเดินเข้ามา นิ่วหน้ามองรัชนีฉาย
“เอะอะอะไรกัน”
“ก็เรื่องดอกไม้น่ะสิคะ แม่ศจีน่ะเปลี่ยนแค่คืนเว้นคืน มันไม่สมหน้าสมตากับงานของคุณพี่”
“ปล่อยให้ศจีเขาจัดการเถอะ เธออย่าไปจุกจิกนักเลย จะวุ่นวายเปล่าๆ”
พูดจบปราจิตก็เดินออกไปต้อนรับแขกที่ทยอยกันเข้ามา รัชนีฉายมองตามอย่างรู้สึกขัดใจ
รัชนีฉายเดินเข้ามาหลังศาลา เห็นวรรณกำลังช่วยละม่อมกับบุญส่งจัดกล่องของว่างใส่ถาด จึงตรงเข้ามาแหวอย่างหมั่นไส้
“ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นข้าวต้มหรือของว่างอย่างอื่นบ้าง”
“แขกแต่ละคืนไม่ใช่น้อยนะคะคุณ ของกะยาก ไหนจะจาน ชาม โกลาหลกันไปหมด ดิฉันว่าพวกขนมนิดๆ หน่อยๆ ใส่กล่อง เสิร์ฟกับน้ำชาใส่ถ้วยกระดาษน่ะดีแล้ว ใช้แล้วทิ้งเลย ของเหลือก็ไม่เสีย คนที่มางานเขาก็คงไม่ตั้งใจมากินกันนักหรอก เลี้ยงพอเป็นพิธีเท่านั้น” วรรณอธิบาย
รัชนีฉายเจ็บใจ พูดอะไรก็ไม่มีใครฟัง รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา บ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด
“คนในบ้านนี้เป็นยังไง ใช้ใครไม่ได้ดังใจสักคน คุณจิตให้ท้ายอีเด็กนั่นจนชั้นบ่าวไพร่ก็รู้ ดูเถอะ มันถึงทำยังกับเราเป็นหัวหลักหัวตอ”
“คุณก็ใช้เขาตามหน้าที่สิคะ บางคนมันไม่ใช่หน้าที่ของเขาคุณเรียกใช้มันถึงทำอะไรไม่ถูก” วรรณติง
“ก็คนบ้านนี้มีเท่าไหร่ ใครจะจำได้ว่ามีหน้าที่อะไรเป็นของใคร”
“ทีเด็กเพิ่งมาอยู่ ทำไมจำได้คะ”
รัชนีฉายอึ้งๆ “ถ้าไม่เห็นกับคุณพี่วตี ไม่เห็นแก่หลานๆ ฉันไม่สนใจแล้ว”
“คุณก็ทำเพื่อคุณหญิงท่านมานานแล้ว ก็ต้องทำต่อไปล่ะค่ะ”
รัชนีฉายทำไม่รู้ไม่ชี้กับสำเนียงประชดของวรรณ เดินตะบึงตะบอนออกไป
วรรณได้แต่มองตาม พลางยิ้มเยาะ
วรรณ นวลผ่อง และละม่อม ช่วยกันจัดกล่องขนมเรียบร้อย
“เดี๋ยวพวกเธอเตรียมยกออกไปรับรองแขกได้เลย เดี๋ยวฉันออกไปดูเรื่องเสิร์ฟน้ำก่อน”
ทั้งสองรับคำ พอวรรณออกไป นวลผ่องก็กระซิบกับละม่อม
“ไอ้ที่ว่าเห็นจะจริงนะป้า”
“อะไรไอ้ที่ว่า”
“ก็” นวลผ่องกระซิบ “ที่คุณรัชนีฉาย เขาหึง...”
“เรื่องของเจ้านาย เราเป็นบ่าว” ละม่อมบอก
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ของมันจริงนี่ป้า”
ละม่อมเถียงไม่ออก
รัชนีฉายกระทืบเท้าเข้ามาหามารดาอย่างหงุดหงิด
“ไปกินรังแตนที่ไหนมาน่ะหือ”
“ก็นังแม่บ้านกับนังเด็กนั่นสิคะ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย คุณจิตก็อีกคนหนูเสนอความเห็นอะไรไม่มีใครสนใจเลย คอยดูนะ ถ้าได้เข้าไปดูแลบ้านเมื่อไร จะไล่ออกให้หมด”
“อย่าคิดว่าเสียงบ่าวเสียงไพร่ในบ้านไม่สำคัญ ถ้าเราเข้าไปแล้วมันไม่นับถือเราจะควบคุมดูแลบ้านได้อย่างไร”
“แต่ถ้าเราเป็นนายจ้าง ก็ต้องมีสิทธิ์สั่งให้พวกเขาทำอย่างที่เราต้องการ”
“ถูกละ มีเงินก็จ้างได้หาเอาใหม่ได้ แต่ถ้าเกิดออกทีเดียวทั้งโขยงก็จะกลายเป็นว่าเราไม่รู้จักเลี้ยงคน การครองเรือนมันต้องครองได้ตั้งแต่ความสะอาดเรียบร้อยของบ้าน ตลอดจนความสงบของคนในเรือนนะลูก”
รัชนีฉายได้แต่ฮึดฮัด กล้ำกลืนฝืนทนความหงุดหงิดลงไป แต่ในใจคิดวางแผนอะไรบางอย่าง
ตอนดึกคืนเดียวกันนี้ รัชนีฉายก้าวเข้ามาในห้อง มองแกมแก้วในชุดดำที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนอน
รัชนีฉายมองแกมแก้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปแตะไหล่ แกมแก้วสะดุ้ง พลิกตัวกลับมาโดยเร็ว เสียงละห้อยโหยหา นัยน์ตาแดงก่ำ
“คุณแม่”
แต่แล้วแกมแก้วมีสีหน้าผิดหวัง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“น้าเอง” รัชนีฉายนั่งลงข้างเตียง ลูบผมแกมแก้ว บอกเสียงเครือสั่น “มันง่าย ที่จะพูดว่า อย่าเสียใจไปเลย แต่ทั้งลูกแก้วทั้งน้า ย่อมรู้ดีว่า มันยากที่จะไม่ให้เรารู้สึกอย่างนั้น...เราไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว หมดสิ้นกันที”
รัชนีฉายอ้าแขนออก แกมแก้วโผเข้าหา ซบสะอื้นราวกับใจจะขาด
“คุณพี่วตีคงอยู่ได้อีกนาน หากเราประคองหัวใจเธอให้ดี แต่นี่ เธอช็อกเพราะความเลวของน้าเอง น้าไม่ควรไปบอก”
“บอกอะไรคะ”
รัชนีฉายอ้ำๆ อึ้งๆ “เรื่อง คุณพ่อ...กับเด็กนั่น. อย่าไปสนใจอะไรเลย เด็กๆ ฟังแล้วไม่งาม”
“เล่าเถอะค่ะ ลูกแก้วอยากทราบ”
รัชนีฉายทำท่าลังเล เพื่อยั่วให้คนฟังยิ่งอยากรู้มากขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก...เผอิญน้าเข้าไปพบในห้องขาว”
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอน 24 (ต่อ)
รัชนีฉายเล่าให้ลูกแก้วฟังจงใจใส่ร้ายศจีทุกประโยค สาวน้อยโลกสวยมีสีหน้าโกรธขึ้งปนเสียใจ มือกำแน่น ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาไหลพราก
“ลูกแก้วไม่อยากจะเชื่อ ว่าเพื่อนของลูกแก้วเป็นคนแบบนี้”
“เชื่อเถอะจ้ะลูกแก้ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจมีอยู่มากมาย แม้แต่น้าก็ยังนึกไม่ถึง ถ้าเป็นกับตาวินน้ายังไม่แปลกใจ”
“ไม่น่าเลย”
“น้าใจเบาเอง ที่รีบไปเล่าเพราะความโกรธ โธ่...ใครๆ ก็รู้อยู่ว่า คุณพี่วตีเธอหวงห้องนั้น”
“หนูกับพี่วินไม่มีวันยอมหรอกค่ะ”
รัชนีฉายลอบยิ้มอย่างสาสมใจ
วันถัดมา แกมแก้วเดินออกมาจากห้อง เจอกับศจี แต่แทบไม่มองหน้า
“ลูกแก้วจะไปวัดแล้วเหรอ เดี๋ยวไปพร้อมกันสิ”
แกมแก้วตอบอย่างหมางเมิน “ไม่เป็นไร ฉันอยากไปก่อน”
แกมแก้วเดินออกไป ศจีมองตามอย่างรู้สึกแปลกๆ แม้แต่วรรณที่เห็นเหตุการณ์ยังอดถามไม่ได้
“คุณโกรธอะไรกับคุณลูกแก้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ เธอกำลังไม่สบายใจมังคะ คงไม่อยากพูดกับใครมากว่า”
ปากบอกไปอย่างนั้น แต่ลึกๆ แล้วศจีรับรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ
ในเวลาต่อมา ชีวินลุกขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นแกมแก้วในชุดดำก้าวเข้ามา
“ลูกแก้ว มีอะไรเหรอ”
แกมแก้วตาแดงก่ำ
“พี่วินรู้เรื่อง...คุณพ่อกับ...”
พูดได้เท่านั้นแกมแก้วก็น้ำตาไหลพราก ชีวินมองตกใจ
“กับใคร”
“กับจี...”
ชีวินอึ้ง นิ่งงันไป แกมแก้วมองอย่างใจหาย
“พี่วินรู้แล้ว ทำไม ทำไมลูกแก้วเพิ่งรู้”
ชีวินกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไป
“พี่บังเอิญเห็น เลยแค่สงสัยเท่านั้น”
“เห็นอะไรคะ”
ชีวินอึกอัก
แกมแก้วซัก “บอกลูกแก้วมาสิคะพี่วิน อย่าปล่อยให้ลูกแก้วโง่อยู่คนเดียวเลย”
“เห็นคุณพ่อขับรถออกไปส่งศจี”
แกมแก้วนึกขึ้นได้ทันที วันที่ไปส่งสุพรรณ เธอเห็นท้ายรถของบิดาแล่นออกไป แกมแก้วมองตาม ถามสุพรรณอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ นั่นเหมือนรถของที่บ้านเลย”
แกมแก้วมองเห็นไม่ชัด จึงชะโงกออกไปดู
“ระวังนะลูกแก้ว มันอันตราย”
“เสียดายจัง เห็นไม่ชัด เหมือนรถที่คุณพ่อขับประจำ แต่คงไม่ใช่หรอกท่านจะมาแถวนี้ทำไม”
นึกขึ้นมาแล้วสีหน้าแกมแก้วกระจ่างแจ้งขึ้นมา
“รถคันนั้น วันนั้น...เป็นรถของคุณพ่อจริงๆ ด้วย ลูกแก้วเห็นที่ปากซอยบ้านจี แต่ไม่แน่ใจ”
“ก็คงจะใช่”
“แล้วพี่วินยอมเหรอคะ ยอมให้มีแม่เลี้ยง ที่ ที่อายุน้อยกว่าเหรอคะ”
สีหน้าของชีวินเจ็บปวดขมขื่นและเจ็บใจระคนกัน
“พี่ไม่ยอมแน่ แต่ตราบใดที่เรายังไม่มีหลักฐาน เราก็ทำอะไรไม่ได้”
“หลักฐาน ต้องมีหลักฐานอะไรเหรอคะ เราไม่ใช่ตำรวจจับผู้ร้ายนี่คะพี่วิน”
“ใจเย็นๆ สิลูกแก้ว”
“ลูกแก้วเย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ พวกเขาทำร้ายจิตใจคุณแม่ ฆ่าคุณแม่ทางอ้อม ลูกแก้วไม่ยอมแน่ เราสองคนต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะคะพี่วิน”
“คุณแม่เพิ่งเสียไป เราอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามตอนนี้เลย”
“ก็เพราะคุณแม่เพิ่งเสียไปไงละคะ เราถึงต้องรีบจัดการ ถ้ามัวแต่ปล่อยให้เวลาผ่านไป มันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ ถ้าพี่วินเลือกจะเฉย ลูกแก้วก็จะจัดการเอง”
แกมแก้วผลุนผลันออกไป
“ลูกแก้ว”
ชีวินมองตามน้องสาวหน้าเครียด
ศจีเงยหน้าขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีดตรงหน้า เมื่อมีเสียงบานประตูถูกเปิดเข้ามา ตอนแรกเธอยิ้มนิดๆ แต่แล้วก็พลันหุบยิ้ม เมื่อเห็นแกมแก้วเดินเข้ามา ด้วยสีหน้ามึนตึงเมินเฉยชัดแจ้ง
“แก้ว เอ้อ...ฉันอยากพูดด้วย”
ศจีมองแกมแก้วอย่างพิศวงนิดๆ ทำให้แกมแก้วกลับเก้อเขินเสียเอง
“ฉันอยากจะถามนิดเดียว”
“ได้สิ”
“คุณแม่” แกมแก้วเสียงสั่นเครือ “หัวใจวายเพราะ เธอใช่ไหม” น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด “เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง จี...ทำได้ยังไง คุณแม่รักเธอมาก เกือบเท่าๆ กับฉัน คุณแม่เคยพูดกับใครๆ ทุกคนว่าเธอเป็นมือขวาของท่าน คุณแม่ถ่ายทอดทุกอย่างของท่านให้แก่เธอ มากกว่าที่ฉันเคยรู้ เคยได้ แล้วทำไม”
“เธอไปเอามาจากไหน”
แกมแก้วปล่อยโฮ น้ำตาไหลพราก
“มันเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ เธอฆ่าคุณแม่ ถึงจะไม่ใช่ทางตรง ก็โดยทางอ้อมได้ยินไหมจี...เธอฆ่าคุณแม่ทางอ้อม”
ศจีจ้องแกมแก้วนิ่ง แกมแก้วเริ่มไม่กล้าสบตาศจี แต่ก็ยังพรั่งพรูไม่ยอมหยุด
“อย่าคิดนะว่า ถึงไม่มีคุณแม่แล้ว ฉันกับพี่วินจะยอมให้เธอมาแทนที่คุณแม่เราไม่ยอม ได้ยินไหม...เราไม่มีวันยอม”
แววตาของศจีวาววับขึ้น แกมแก้วพยายามระงับอารมณ์ แต่สีหน้าและกิริยาหยามหยัน
“ถูก คุณพ่ออาจจะยังหนุ่ม เราอาจจะมีแม่เลี้ยง แต่..แม่เลี้ยงของเราต้องไม่ใช่คนอย่างเธอ เราไม่มีวันยอมรับ”
เสียงปราจิตดังขึ้น “นั่นมันเรื่องของพ่อไม่ใช่เหรอ”
แกมแก้วนิ่งอึ้งอย่างนึกไม่ถึง
ปราจิตก้าวเข้ามา พลางมองแกมแก้วอย่างตำหนิ
“ลูกแก้ว ลูกโตพอที่จะคิดอะไรของตัวเองได้บ้างแล้วใช่ไหม ทำไมต้องให้คนอื่นเอาความคิดมายัดใส่สมองให้ลูกด้วย ลุกอยากให้ในหัวของลูกมีแต่กะโหลก แต่มันสมองเป็นของคนอื่นงั้นเหรอ”
แกมแก้วกัดฟันเม้มปากแน่น
“ความตายของแม่ ไม่ได้มีแต่ลูกคนเดียวที่เสียใจ เราทุกคนก็เสียใจแต่ ทำไมเราต้องโทษคนอื่นด้วยว่าทำให้แม่ตาย แล้วลูกยังล่วงเกินพ่อ กล่าวโทษเพื่อนโดยไม่มีอะไรเป็นพยานหลักฐานทั้งสิ้น”
น้ำเสียงแกมแก้วแม้จะมีแววยำเกรง แต่มีรอยขมขื่นแฝงอยู่
“งั้นพ่อปฏิเสธมาสิคะ ปฏิเสธมาว่า พ่อไม่มีอะไรกับจี”
“ถ้าพ่อปฏิเสธลูก ก็แสดงว่าพ่ออยู่ภายใต้อาณัติลูก ให้พ่อตัดสินทุกอย่างเองในฐานะที่เป็นพ่อได้ไหม”
“พ่อปฏิเสธไม่ได้อย่างที่คุณน้า”
“เราเลิกพูดกันเถอะลูก ถ้าลูกมาพูดในฐานะเป็นปากของน้ารัชนีฉายแต่ถ้าลูกจะพูดกับพ่ออีก ต้องพูดในขณะที่ลูกเป็นตัวของตัวเอง แล้วพ่อจะพูดกับลูกในฐานะที่เป็นพ่อด้วยเช่นกัน”
แกมแก้วหันกลับไปด้วยอาการหุนหันพลันแล่น
ปราจิตมองตามลูกสาวไปด้วยอาการอ่อนเพลียละเหี่ยใจ รับรู้ว่าปัญหาก่อตัวขึ้นแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 25