คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 13
สุพรรณเองก็ถึงกับอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง หนุ่มรูปงามแปลกใจไม่น้อยที่เห็นศจีที่นี่ ส่วนแกมแก้วยิ้มร่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แนะนำศจีกับทุกคนอย่างเบิกบาน
“ศจี เรียนหนังสือกับพวกเรามา แต่ตอนนี้คุณแม่ขอตัวมาเป็นเลขา” แล้วหันมาทางศจี “จีจำได้ใช่ไหม ยัยรัต ยัยวนิดา ส่วนนั่นเพื่อนๆ พี่ๆ จากรัฐศาสตร์ วิมาน ปัทมา พี่ดนัย แล้วก็พี่รหัสของฉัน พี่สุพรรณ”
ศจีรู้สึกเหมือนร่างกระตุกอย่างแรงด้วยความตกใจ แต่ภายนอกยังควบคุมอารมณ์ไว้ได้ สุพรรณผงกหัวน้อยๆ เป็นเชิงทักทายศจี
“พี่พรรณมีน้องชื่ออ่างทอง หรือชัยนาทบ้างหรือเปล่าคะ” แกมแก้วเย้า
“ผมไม่ได้เกิดที่สุพรรณหรอกครับ” ชายหนุ่มสบตาศจี มีรอยยิ้มลึกล้ำเต็มสีหน้า อย่างคนที่รู้จักตื้นลึกหนาบางกันมาอย่างดี “พระที่วัดใหญ่ศรีสุพรรณ ท่านตั้งให้ผมน่ะ ผมมันลูกศิษย์วัด ท่านก็เลยเอาชื่อวัดมาตั้งไว้ให้เป็นที่ระลึก”
แกมแก้วหน้าเสียไปนิดหนึ่ง ที่เป็นชนวนทำให้สุพรรณพูดถึงปมด้อยตัวเอง
“ลูกแก้วพาจีมานั่งเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” ชีวินบอก
“จริงด้วย” แกมแก้วหันมาหาศจี “ไปนั่งข้างลูกแก้วตรงนั้นกัน”
แกมแก้วดึงศจีไปนั่งข้างตัวเอง ซึ่งตรงข้ามกับที่สุพรรณนั่งอยู่
ศจีตั้งใจจะตวัดสายตาผ่านสุพรรณด้วยทีท่าไม่ใส่ใจ แต่สายตาเผอิญเห็นเข็มกลัดเนคไทของสุพรรณเข้า คราวนี้ศจีจับตามองอย่างตั้งใจ ให้สุพรรณเห็นว่าเธอกำลังมองมันอยู่
แล้วศจีก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ เป็นฝ่ายยิ้มหยันนิดๆ เอาคืนบ้าง สุพรรณมองศจีอย่างอับอายและกราดเกรี้ยว
อีกฟาก ยายปริกออกมานั่งรับลมหลังซ่อง เอาพัดมาพัดตัวเองไปมาอย่างร้อนใจ มีอู๊ด กับถวิลตามมา
“วันนี้ลูกค้ามันหายไปไหนหมดวะ”
“มันก็เป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้วนี่แม่” อู๊ดว่า
“ไม่ต้องมาตอกย้ำ”
“อีกหน่อยแม่ได้หลานเขยรวย ก็ยกระดับซ่องให้เป็นเล้าหรูๆ สิ ลูกค้าจะได้เข้าเหมือนเมื่อก่อน”
“แน่นอน แถมจะได้ลูกค้ารวยๆ ระดับอภิมหาเศรษฐีเสียด้วย ข้านะจะเลือกแต่สาวสวยๆ ซิงๆ ไอ้พวกหน้าเก่าๆเหี่ยวๆ แห้งๆ จะโละทิ้งให้หมด”
“พวกฉันถึงจะเก่าแต่ก็เก่าลายครามนะแม่” ถวิลว่า
“ลายครามแตกๆ รั่วๆ น่ะสิไม่ว่า เออ นังหวินเอ็งว่างอยู่ใช่ไหม”
“ฉันก็ว่าง” อู๊ดเสนอตัว
“งั้นเอ็งไปรอนังจีหน้าปากซอยหน่อย” ยายปริกบอก
“ห๊ะ” อู๊ดจะหาทางเลี่ยง เห็นลูกค้าชายแก่ๆ ผ่านมา รีบปรี่เข้าไป “ลุงฉิมจ๋า ลุงฉิมเข้าไปนั่งคุยกันไหมจ๊ะ”
“แหม น้องอู๊ด เรียกพี่ซะแก่เชียว”
“พี่ก็ได้จ้ะ พี่ฉิมจ๋า”
“พี่คุยอย่างเดียว ลดให้ครึ่งราคาได้ไหมจ๊ะ” ฉิมอ้อน
อู๊ดหน้าเสีย ยายปริกเข้าไปดึงอู๊ดออกมา
“ไม่ต้องๆ คนยิ่งน้อยๆ อยู่ ขืนลดอีกขาดทุนกันพอดี ไป ไปรอนังจีหน้าปากซอยซะดีๆ”
อู๊ดทำท่าเซ็ง ถวิลแอบหัวเราะ
ส่วนที่ศาลาเรือนไทย แกมแก้วคุยกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน
“บัลเล่ต์เริ่มซ้อมเดือนหน้าไม่ใช่เรอะ”
“เขาว่างั้น แต่เราอยากซ้อมเสียอาทิตย์หน้าก่อน ไม่ได้ซ้อมนานๆ มันจะเป็นระบำเขย่งเท้า ไม่ใช่ระบำปลายเท้า” รัตนาพรว่า
แกมแก้วบอก “มาซ้อมที่นี่ไหม ให้จีเขาเคาะเปียโนให้จังหวะให้”
วนิดาพยักพเยิด “เออ จริงนะ นักเปียโนมีอยู่ทั้งคนกลัวอะไร”
“ไม่ได้เล่นเสียนาน นิ้วอาจจะแข็งหมดแล้ว”
ชีวินหันมามองศจี เลิกคิ้วนิดๆ อย่างแปลกใจ
“จีเล่นเปียโนด้วยเหรอ”
“เป็นนักเปียโนประจำโบสถ์ที่คอนแวนต์ด้วยค่ะ พี่วิน” แกมแก้วอวด
“งั้นเราก็พวกเดียวกันสิครับ” สุพรรณมองศจี “คือคุณเป็นลูกศิษย์วัดฝรั่ง แต่ผมลูกศิษย์วัดไทย คุณถนัดเปียโน จุกโน แต่ผมถนัดตีกลองเพล”
“ดีอย่างเดียว ที่ดิฉันไม่ต้องชื่อตามวัดไปด้วย” ศจีแขวะ
“แต่ก็ครือๆ เดียวกันละกครับ คุณชื่อศจี ของผมถ้าชื่อเต็มๆ ควรจะชื่อศรีสุพรรณ ตามชื่อวัด เห็นไหมครับอักษรเดียวกันเป๊ะ”
ศจีรู้สึกหน้าชา รู้ว่าสุพรรณตั้งใจเหน็บเธอ
แกมแก้วเอ่ยขึ้นว่า “แต่บัวเกิดจากตมนะคะ”
“ไอ้ที่บานเหนือน้ำอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันมีไม่มากนักนี่ครับ บางดอกมันบานเหมือนกัน แต่เกสรโหว่”
สุพรรณหัวเราะขัน แววตาลึกล้ำ
สีหน้าศจีเข้มขึ้นอีก แต่เสียงรัตนาพรบ่นเรื่องเรียนขึ้นเสียก่อน
“ฝรั่งเศสคราวที่แล้วเราแย่จัง”
แกมแก้วถาม “ให้จีกวดดีไหม”
สุพรรณได้ทีเหน็บศจีอีก ไม่ยอมเลิกระรานง่ยๆ
“คุณนี่ถนัดหลายอย่างจริง ยังมีอีกบ้างไหมที่คุณ ‘ถนัด’ แต่ไม่มีใครรู้”
ศจีมองหน้าสุพรรณอย่างโกรธขึ้ง
“ดิฉันมีความถนัดอีกอย่างค่ะ ที่ไม่ได้บอกให้ใครรู้ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น เพราะดิฉันใช้ความถนัด เหล่านั้นในเวลาต่างกัน ตามที่คิดว่าควรใช้ แต่สิ่งเดียวที่ดิฉันไม่เคยใช้ คือความไม่ซื่อสัตย์สุจริต”
สีหน้าของสุพรรณเผือดลง ศจียิ้มน้อยๆ แต่เต็มไปด้วยแววเยาะหยัน
ชีวินฟังการสนทนาอย่างเงียบๆ แต่มีแววสงสัยอยู่
บรรจงถือถาดเปล่าเข้ามาเร่ง พวกในครัวที่ยุ่งขิงกันได้ที่
“ป้าๆ เร็วหน่อย”
“โอ๊ย มีตั้งสองงาน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” ละม่อมบ่นบ้า
“เอาของคุณรัชนีฉายก่อน ของคุณลูกแก้วมีไม่กี่คน”
“งั้นเอ็งเอาพวกของว่างนั่นออกไปก่อน” ละม่อมบอก
บรรจงรีบยกของว่างออกไป นวลผ่องเข้าไปช่วยจัดจาน
“คุณรัชนีฉายนี่ทำยังกับเป็นคุณหญิงงั้นแหละ”
“เขาว่า...”
บุญส่งเว้นวรรคค้างคำ ละม่อมสงสัย “ว่าอะไร”
“คุณรัชนีฉายจะคอยเป็นคุณหญิงต่อจากคุณหญิงวตีนี่” บุญส่งบอก
“ยังกะนางจันทากับจันทีนั่นแหละ” ละม่อมว่า
นวลผ่องงง “เป็นยังไงป้า”
“เอ้า เก๊าะมเหสีจันทีไม่มีปาก นางจันทาพูดมากเฝ้าริษยาน่ะซิ”
นวลผ่องกับบุญส่งต่างหัวเราะอย่างเห็นด้วย
งานเลี้ยงในสวนสวยดำเนินไป รัชนีฉายหัวเราะอย่างเริงร่า ขณะคุยกับแขกผู้ใหญ่ชาวไทย
“ตอนที่ดิฉันตามคุณพี่ไปประจำที่ฝรั่งเศสน่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งเศสชอบเข้ามาทัก เพราะคิดว่าดิฉันเป็นพวกยิปซีน่ะค่ะ ฮะๆๆๆ พวกนั้นคงไม่รู้จักประเทศไทย ดิฉันต้องอธิบายเสียยืดยาวว่าไทยแลนด์น่ะอยู่ตรงไหนของเอเชีย พวกเขาก็ทึ่งมาก อยากมาเที่ยวอยากมาดูว่าพวกเราขี่ช้างไปไหนมาไหนกันยังไง ไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้เราเจริญแล้ว มีรถราขับเหมือนบ้านเมืองเขานั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ”
แขกผู้ใหญ่ต่างเหลือบตามมองอย่างรู้สึกไม่ชอบใจนัก ปราจิตมองไปรอบๆ พลางจิบไวน์อย่างเบื่อหน่าย สายสุนีย์เข้ามาคุย
“คุณหญิงเป็นอะไรไปเหรอคะคุณจิต”
“ก็โรคเดิมน่ะครับ เธอรู้สึกอ่อนเพลีย เลยขอตัวพักผ่อน”
“แหม น่าเสียดายนะคะ ทุกคนบ่นคิดถึงเธอกันใหญ่ เวลาเธอออกงานน่ะมักจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด ใครมีอะไรก็ชอบมาเล่าให้เธอฟัง”
พิจิตราว่า พลางเหลือบมองรัชนีฉายเป็นเชิงตำหนิ ปราจิตมองตามสายตานั้น รู้ว่ารัชนีฉายทำตัวไม่เหมาะสมนัก สายตาท่านทูตแลเลยไปทางศาลาเรือนไทย เห็นศจีลุกออกจากศาลา เดินกลับไปที่ตึกใหญ่
ปราจิตทำท่าจะออกจากงานแล้วตามศจีไป แต่รัชนีฉายเข้ามาดึงปราจิตไว้ก่อน
“คุณพี่ขา”
ท่านทูตจำต้องหันไปคุยกับแขกต่อ สีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน และคอยแต่หันไปมองที่ตึกใหญ่เป็นระยะ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ใครบางคนกำลังมองงานเลี้ยงทั้งสองงานจากระยะไกล เห็นงานกลุ่มวัยรุ่นของแกมแก้วซึ่งมีศจีนั่งคุยอยู่ด้วย กับงานเลี้ยงรับรองแขกต่างชาติของรัชนีฉาย ที่ควงแขนปราจิตเฉิดฉายไปทั่วงาน
คุณหญิงอรุณวตีนั่นเอง เป็นคนที่กำลังมองภาพนั้นอยู่ จนกระทั่งวรรณเดินเข้ามา
“กำลังสนุกกันใหญ่เชียวค่ะ”
“งานไหนจ๊ะพี่วรรณ”
“ทั้งสองงานนั่นแหละค่ะ สนุกไปคนละแบบ”
อรุณวตีมองไปอย่างมีแววยิ้มเยาะนิดๆ
“แต่ดูท่าทาง ท่านของพี่วรรณจะไม่ค่อยสนุกเท่าไร”
วรรณมองตาม “เหมือนท่านกังวลอะไรสักอย่าง”
“พี่วรรณคิดว่ากังวลอะไรเหรอจ๊ะ”
สุวรรณสบตาอรุณวตี รู้แต่ไม่กล้าพูด ว่ากังวลเรื่องศจี
ศจีหยิบกระเป๋าถือ ล็อคกุญแจลิ้นชัก แล้วหยิบกระเป๋าเตรียมตัวจะกลับ
เสียงปราจิตดังขึ้น “จะกลับแล้วหรือหนู”
ศจีเงยหน้าขึ้น เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แต่น้ำเสียงยังปกติ
“เจ้าค่ะ”
“คุยกันหน่อยได้ไหม”
ศจีนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน มือประสานกันเรียบร้อย ปราจิตนั่งลงตรงโซฟารับแขกในห้อง
“เรื่องเมื่อเช้า รัชนีฉายกับฉัน มีความสัมพันธ์กันหลายปี ตั้งแต่วตีเขาล้มเจ็บ โดยที่เขาเองก็รับรู้ยินยอม แต่มีข้อแม้อยู่ว่า จะให้อื้อฉาวไม่ได้เพราะในฐานะนักการทูตอย่างฉัน ชื่อเสียงทางบ้านและสังคมย่อมเป็นประกันถึงหน้าที่ด้วย”
“ดิฉันคิดว่า...”
ปราจิตขัดขึ้น “ไอ้ที่หนูคิดอยู่นั่นแหละ ทำให้ฉันต้องพูด”
ศจีนิ่งเงียบ ได้แต่ฟังอย่างสนใจอยู่นิ่งๆ
“ตอนที่ฉันอยู่เมืองนอก รัชนีฉายเขาตามออกไปว่าจะไปเล่าเรียนอะไรของเขา แต่เมื่อวตีเขาเจ็บ ฉันไม่มีทางออกทางอื่น ผลมันก็เป็นอย่างนี้เมื่อกลับมาอยู่ที่นี่ ฉันเคยรับปากวตีว่าจะไม่ทำอะไรออกหน้าออกตา และอาการเขาก็ทรุดลง ฉันจึงไม่อยากให้มีอะไรสะเทือนใจเขา ฉันจึงขอร้องหนูอย่างที่พูดมาแล้ว”
“ดิฉันทราบเจ้าค่ะว่า อะไรควรไม่ควร”
“แต่ ระยะหลังๆ รัชนีฉายเขาดูจะ ยุ่ง มากไปหน่อย จนใครๆ ชักจะรู้” ท่านทูตมองศจีตรงๆ “ฉันอยากให้หนู ช่วยอะไรสักนิด เช่น อะไร พึงจัดการได้โดยไม่ต้องผ่านรัชนีฉาย หนูก็จัดการไป”
“เช่น อะไรเจ้าคะ”
“การนัดหมายของคุณวตี การเลื่อนเวลานัดหมาย ถ้าคุณวตีเจ็บไม่สามารถรับแขกได้ เรียกว่า ตัดการออกแขกเป็นตัวตั้งตัวตีให้น้อยลง”
“ข้อนี้ ดิฉันสั่งการเองไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องสุดแต่คุณหญิงท่านจะสั่ง”
“แต่ในฐานะเลขา เธอให้คำแนะนำคุณวตีเขาได้”
“บางครั้งคุณรัชนีฉายก็เรียกไปสั่งการเอง อย่างเมื่อเช้า”
ปราจิตนิ่วหน้า “ทำไม”
“เธอเรียกหาสมุดนัดหมาย ให้ดิฉันขอจากคุณหญิงท่านขึ้นไปให้เธอตรวจข้างบน”
ปราจิตอึ้งไปนิดหนึ่ง
“เวลาออกงานด้วยกัน เขาชอบมาพักที่ห้องเฉลียง”
“เมื่อเช้าดิฉันนำสมุดนัดหมาย ไปให้ที่ห้องแต่งตัวใหญ่เจ้าค่ะ”
ปราจิตผงกศีรษะนิดๆ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็น
“คราวหลัง หนูให้เขาไปเรียนถามคุณวตีเขาดูเองดีกว่า ตอนนี้ฉันขอร้องหนูแค่นี้แหละ”
“เจ้าค่ะ”
ปราจิตเยื้อนยิ้มพอใจ
แกมแก้วมองจากศาลาทรงไทยเข้าไปในบ้าน อย่างเป็นกังวล
“จีเข้าไปนานแล้ว ยังไม่ออกมาอีก”
“จะหนีกลับบ้านเสียแล้วละมั้ง” รัตนาพรว่า
“คงไม่หรอก ถ้ากลับจีน่าจะมาบอกเราก่อน”
ชีวินขยับตัว
“พี่จะเข้าไปล้างมือ เดี๋ยวแวะดูให้เอง”
“ค่ะพี่วิน อย่าปล่อยให้จีกลับนะคะ ช่วยบอกจีว่าเดี๋ยวคืนนี้ลูกแก้วจะให้คนรถไปส่ง”
ชีวินยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะลุกออกไป สุพรรณมองตาม
เห็นศจีขยับจะหยิบกระเป๋า ปราจิตเอ่ยถาม
“หนูจะกลับบ้านเหรอ”
“เจ้าค่ะ”
“วันนี้ดูแต่จะมีแต่คน ‘มีงานง ทั้งนั้น ฉันจะออกไปส่งหนูเอง ขืนอยู่ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า ก็ต้องออกไปรับแขกอีกจนได้ หนูสั่งให้ใครเอารถคันเล็กออกมาคอยที่ข้างตึกทีได้ไหม แล้วหนูคอยอยู่ในรถก่อนเดี๋ยวฉันจะออกไป”
“เอ้อ...ดิฉัน...”
“ฉันไม่ได้จะไปส่งหนูอย่างเดียวหรอก ฉันจะออกไปพอให้พ้นแขกเสียก่อนถึงจะกลับ ถึงหนูไม่ไปด้วย ฉันก็ออกไปอยู่ดีแหละ”
ศจีคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นศจีสะพายกระเป๋าเดินออกมา ชีวินจะเข้าไปทัก แต่แล้วก็หยุดกึก เมื่อเห็นบิดาตามออกมาด้วย ชีวินมองตามด้วยสีหน้าสงสัย
ทางด้านรัชนีฉายซึ่งอยู่ในงานเลี้ยงสอดตามองหาปราจิต
“เอ๊ะ คุณพี่หายไปไหนแล้วล่ะ” พลางมองหาคนรับใช้ พอเห็นบรรจงผ่านมาเสิร์ฟน้ำจึงเรียก “บรรจง...บรรจง”
บรรจงรีบเข้ามา
“เห็นคุณท่านไหม”
“เห็นเข้าไปข้างในบ้านค่ะ”
“นานหรือยัง”
“สักพักใหญ่ได้แล้วค่ะ”
“จะเข้าไปทำไมกันนะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไปได้แล้ว จะไปไหนก็ไป”
บรรจงออกไป รัชนีฉายทำท่าจะเดินไปที่ตึก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายสุนีย์กับพิจิตราเข้ามาทัก
“อ้าว คุณน้องรัชนีฉาย จะไปไหนเหรอคะ” สายสุนีย์ถาม
“จะเข้าไปตามคุณพี่หน่อยค่ะ เห็นหายไปนาน”
“มาคุยกันก่อนดีกว่าค่ะ แหม วันนี้คุณน้องออกงานแทนคุณหญิง คงจะเหนื่อยสินะคะ” พิจิตราว่า
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ อะไรที่ช่วยคุณพี่วตีได้ น้องก็ยินดีทำเต็มที่”
“แหม ช่างเป็นน้องสาวที่น่ารักจริงๆ นะคะ”
สายสุนีย์จับมือรัชนีฉายไว้ รัชนีฉายได้แต่ฝืนยิ้มและคุยด้วยตามมารยาท
สิทธิ์ขับรถมาจอด โดยมีศจีนั่งอยู่ข้างคนขับ
“ขอบคุณค่ะ”
สิทธิ์ลงจากรถ แล้วโค้งให้ศจี ก่อนจะเดินออกไป
สักพักปราจิตก็ออกมา โดยเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง แล้วขึ้นรถฝั่งคนขับขับออกไป
ชีวินตามมาซุ่มดูทั้งสองเพื่อความแน่ใจ เขามองตามรถที่แล่นออกไปอย่างผิดหวังและเสียใจ
เสียงของสิริกันยา ดังเข้ามาในห้วงความคิด
“ยาเห็นท่าทางเด็กศจีคนนั้น เอ่อ ไม่เบาเหมือนกันนะคะ คุณพ่อพี่วินก็คง...”
ชีวินตัวสั่นเทา กำมือแน่น อย่างรู้สึกรับไม่ได้
ระหว่างนี้ วรรณยืนมองเหตุการณ์เดียวกันนี้อยู่เช่นกันจากอีกมุมหนึ่ง แต่หญิงสูงวัยไม่เห็นชีวิน
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 13 (ต่อ)
อรุณวตีกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านแมกกาซีนอยู่บนเก้าอี้หวายตัวยาว จนกระทั่งเห็นวรรณเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ จึงละสายตาขึ้นมอง
“มีอะไรเหรอจ๊ะพี่วรรณ”
“เปล่าค่ะ”
อรุณวตีปิดแมกกาซีนลง พลางขยับตัว
“พี่วรรณอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“เรื่อง คุณรัชนีฉาย ถึงยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำนะคะ”
“พี่วรรณรู้จักฉันดีกว่าคนอื่น ควรจะรู้ว่าถ้าฉันตกลงใจอะไรแล้วฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“แต่...คราวที่เกิดเรื่องคราวแรกนั่น”
“ให้ฉันแก้ตัวอีกครั้งเถอะ พี่วรรณ ชั่วชีวิตของฉัน มีแต่คนผูกปัญหาไว้ให้แก้ตลอดมา คราวนี้ พี่วรรณรู้ไหม หมอเขาเคยทำนายโรคฉันไว้ว่าอย่างไร” น้ำเสียงคุณหญิงกึ่งดุดัน กึ่งเศร้า “ฉันอาจจะมีเวลาถึงสิ้นปีเท่านั้นแหละจ้ะพี่วรรณ”
วรรณนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ค่อยๆ เอื้อมไปแตะข้อเท้าอีกฝ่าย
“ไหนว่า...”
“ฉันก็ไม่อยากบอกใครหรอกจ้ะ พี่วรรณ”
ป้าวรรณมองหน้าอรุณวตีน้ำตาคลอ แต่สีหน้าอรุณวตีกลับเยือกเย็น
“ถ้าตาวินกับยายลูกแก้วรู้เข้า แกก็คงเศร้าโศกจนไม่เป็นอันทำอะไร สำหรับ ‘ท่าน’ ของพี่วรรณ ก็คงเอาใจเพิ่มขึ้นหน่อย แต่รัชนีฉายเขารู้” อรุณวตีหัวเราะแค่นๆ เบาๆ “เราจะพูดกันไปทำไม จริงไหมพี่วรรณ แต่ที่ฉัน
อยากให้พี่วรรณรับรู้อีกคน ก็เพราะเหตุว่าพี่วรรณเท่านั้น ที่จะช่วยให้ความตั้งใจของฉันสำเร็จได้”
“พี่จะช่วยอะไรได้คะ”
“ยายลูกแก้วกับ เด็กคนนั้น รักใคร่กันนักหนา ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางฐานะบ้าง แกก็คงไม่ สะเทือนเท่าไหร่ สำหรับตาวิน เด็กๆ เท่ากัน จะได้ทำอะไรแกไม่ได้”
“เผื่อเกิดท่านหลง”
อรุณวตีโบกมือ “เรื่องทรัพย์สมบัติ ฉันจัดการเรียบร้อยแล้วพี่วรรณ หลงก็หลงกันไปดีเสียอีก พี่วรรณคอยนั่งหัวเราะแทนฉันก็แล้วกัน”
วรรณได้แต่ถอนใจ เพราะรู้ว่าคงไม่มีทางทัดทานได้อีก
เห็นชีวินเดินซึมกลับเข้ามาในศาลาทรงไทย แกมแก้มรีบถาม
“อ้าว พี่วิน จีไม่ได้มาด้วยเหรอคะ”
ชีวินกัดกรามแน่น “เขากลับไปแล้ว”
สีหน้าแกมแก้วสลดลง เช่นเดียวกับสุพรรณที่ทั้งผิดหวังและแปลกใจ
“กลับแล้ว กลับไปได้ยังไงคะ ดึกแล้วด้วย ทำไมไม่บอกเราก่อนหรือเขาบอกพี่วิน”
“เปล่า คงไม่ได้บอกใครทั้งนั้น นอกจาก พี่บังเอิญเห็น เขากลับ”
“โธ่ เสียดายจัง ยังคุยกันได้ไม่เท่าไรเลย”
“เขาคงไม่อยากคุยกับพวกเรานักหรอก” ชีวินว่า
แกมแก้วฉงน “ทำไมละคะ”
ชีวินไม่ตอบ แต่หยิบเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มอักๆ อย่างรู้สึกอัดอั้นในใจ
สุพรรณมองท่าทีชีวิน รับรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ
แกมแก้วยังคาดคั้นถามพี่ชาย
“พี่วินพูดเหมือนมีอะไรไม่พอใจจีเหรอคะ”
“เปล่า พี่คิดว่าเขาอาจจะทำงาน ‘เหนื่อย’ มากละมั้ง”
“แต่ก็น่าจะล่ำลากันก่อนนะคะ ทำไมต้องรีบร้อนอย่างนี้”
ชีวินบีบแก้วในมือจนแน่น ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
อรุณวตียืนจดสายตามองไปที่งานของรัชนีฉายในสวน
“คุณท่านของพี่วรรณหายไปไหนแล้ว ปล่อยให้คุณน้องรับแขกเมืองอยู่คนเดียว”
“คุณหญิงคงยังไม่ทราบ”
อรุณวตีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม วรรณอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ท่านหลบออกไปกับแม่ศจีศรีใสนั่น”
แม้จะหวังผลไว้แล้ว แต่สีหน้าอรุณวตีก็ยังผิดปกติไปนิดหนึ่ง แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มบางเฉียบแทนที่
“งั้นเราก็หวังผลอย่างต้องการได้แล้วสินะ”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขัดจังหวะ แล้วแกมแก้วก็โผล่หน้าเข้ามายิ้มแจ่มใส
“แหม ลุกแก้วกำลังภาวนาอยู่เชียว ขอให้คุณแม่ตื่นเสียที ลูกแก้วจะพาเพื่อนๆ เข้ามาแนะนำได้ไหมคะ”
“แม่ตื่นตั้งนานแล้ว กำลังคุยกับป้าวรรณ วันนี้ปาร์ตี้เนื่องในโอกาสอะไรจ๊ะ” คุณหญิงเย้า
“โอกาสอยากอวดคุณแม่กับเพื่อนๆ น่ะค่ะ”
“แล้วกัน เห็นแม่เป็นนางงามหรือยังไง”
แกมแก้วเข้ามาคุกเข่าลงจูบต้นแขนมารดาอย่างรักใคร่
“ลูกแก้วคุยให้เพื่อนๆ ฟังเรื่องคุณแม่เสมอ ใครๆ ก็เลยอยากเห็นว่าคุณแม่น่ารักแค่ไหน”
“เอาละจ้ะ ไม่ต้องประชาสัมพันธ์ เดี๋ยวแม่จะออกไปที่ห้องนอก จะแนะนำใครก็แนะนำมา” อรุณวตีหันมาทางวรรณ “พี่วรรณ เดี๋ยวช่วยเปลี่ยนเสื้อทีนะจ๊ะ”
ถัดมาไม่นานนัก คุณหญิงอรุณวตีเดินเข้ามาในห้องรับแขก ด้วยชุดเนี้ยบรับกับรองเท้าที่สวยสง่า เพื่อนๆ ของแกมแก้วถึงกับฮือฮา
“คุณหญิงแม่ของลูกแก้ว งามสง่าชะมัดเลย” รัตนาพรชม
วนิดายิ้ม “เราอยากมีแม่ยังงี้มั่ง”
ปัทมาบอกว่า “ยังกับหลุดออกมาจากแม็กกาซีน”
อรุณวตียิ้มทักอย่างอ่อนโยน แกมแก้วแนะนำเพื่อนทีละคน
“คนนี้รัตนาพร นั่นวนิดา วิมาน ปัทมา เป็นเพื่อนชั้นปีเดียวกับลูกแก้วค่ะส่วนคนนั้นพี่ดนัย กับ พี่สุพรรณ เป็นรุ่นพี่ลูกแก้วที่อยู่คณะเดียวกันค่ะ
ทุกคนที่ถูกกล่าวชื่อยกมือไหว้ท่าทีนอบน้อม อรุณวตีรับไหว้ แต่สายตาไปสะดุดกับเข็มกลัดเนคไทของสุพรรณ จึงถามเขาอย่างสนใจเป็นพิเศษ
“ปีเดียวกับตาวินหรือเปล่าจ๊ะ”
แกมแก้วถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับสุพรรณ “พี่วินปีชวด พี่พรรณปีขาลหรือเปล่าคะ”
ทุกคนพลอยคิกคักไปด้วย
“แหม ลูกแก้วช่างล้อเลียนแม่ แม่หมายความว่าอยู่ชั้นเดียวกันหรือเปล่าต่างหาก”
“ผมเป็นรุ่นพี่สามปีครับแม่ แล้วก็คนละแผนกด้วย” ชีวินบอก
อรุณวตีซักอย่างสนใจ “คณะนี้มีกี่แผนก แม่ไม่เคยจำได้สักที”
“มีการทูต การคลัง การปกครองขอรับ”
“ชอบทางปกครองหรือจ๊ะ”
สุพรรณยิ้มขรึมก่อนตอบว่า “อยากจะลองเป็น ‘เจ้าคนนายคน’ ดูบ้างขอรับ”
“อ้าว ทำไมจ๊ะ”
“ตระกูลผมเคยเป็นแต่ชาวนา ยังไม่มีใครเคยเป็นเจ้าคนนายคน ก็เลยคิดว่าควรจะลองเป็นดูบ้าง”
“ฉันไม่เคยคิดหรอกจ้ะว่า การเป็นเจ้าคนนายคนเป็นของดี แล้วก็ไม่ใช่ฉันคิดว่าฉันเป็นเจ้าคนนายคน เพียงแต่ ตระกูลฉันเคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมานาน จึงเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดเสมอๆ ว่า ข้าราชการคือผู้รับใช้ในการของแผ่นดินและผู้ที่อยู่ในการของแผ่นดิน”
“ไม่ทราบสิขอรับ แต่กระผมอยากเป็นนายอำเภอ ให้คนอื่นมานั่งไหว้บ้างเพราะญาติพี่น้องไปอำเภอทีไร ต้องไหว้ตั้งแต่เสมียนนักการขึ้นไปทุกที”
แกมแก้วมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยกับคำพูดหัวรุนแรงของสุพรรณ ชีวินหันมามองสุพรรณแว่บหนึ่งอย่างพึงใจ
“นายพรรณเขาหัวโซเชียลลิสต์ครับแม่”
“ดี เด็กหนุ่มๆ ที่มีหัวรุนแรงแปลว่าเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า ไม่คิดจะสมัครเข้าเป็นกลุ่มเยาวชนพัฒนาของคุณหญิงกนกบ้างหรือจ๊ะ”
“ไม่ละขอรับ กระผมขี้เกียจไปเดินเรี่ยไรเงินตามโรงหนัง หรือตามตลาดนัดให้ท่านเอาไปพัฒนา”
อรุณวตีเยื้อนยิ้ม ดูออกว่าพอใจกับท่าทีและความคิดของสุพรรณไม่น้อย
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทางด้านปราจิตขับรถเอื่อยๆ มาตามทาง เขาหันไปมองศจีที่นั่งตัวลีบอยู่ สีหน้ายิ้มๆ
“ฉันหิว ช่วยแวะไปกินอะไรเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหมคะ”
ศจีมีท่าทางเกรงใจนิดๆ “ดิฉันอิ่มแล้ว”
ปราจิตหัวเราะร่วนอย่างไม่ถือสา
“แต่ฉันหิวนี่คะ เธอไม่หิวด้วยก็ไม่เป็นไร นั่งเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”
ศจียังไม่ทันตอบ ปราจิตก็เลี้ยวรถไปอีกทาง ศจีมองออกไป สีหน้าตกใจเล็กน้อย
“ไปหาร้านเล็กๆ นอกเมืองสบายกว่า อย่าโกรธหาว่าต้องไปนั่งร้านเล็กๆ นะคะ” ท่านทูตบอก
“ดิฉันไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะมีเกียรติอะไรนักหนา”
“นั่นไง ไม่โกรธ แต่น้อยใจ ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติหรือไม่มีเกียรติหรอกค่ะ แต่ ฉันรำคาญ เดี๋ยวพบคนโน้น คนนี้ และก็ไม่ใช่เพราะกลัวใครมาพบระหว่างอยู่กับหนู เอ้อ...” ท่านทูตลงเสียงหนักแน่น เป็นเชิงล้อ “เธอ...
เพราะฉันเคยคิดว่า...เธอ...โตแล้ว ไม่ใช่หนูเท่ายายลูกแก้ว เราควรพูดแบบคนโตๆ ด้วยกันดีกว่า”
“เจ้าค่ะ”
“บางทีนะคะ ฉันก็เบื่อคนที่ต้องพบเห็นคบค้าสมาคมอยู่ทุกวี่ทุกวันเหมือนกัน นานทีปีหน ถ้าได้คนคุยที่เราถูกอารมณ์ ฉันก็อยากเป็นตัวของตัวเองบ้าง เท่านี้แหละค่ะ ที่ฉันว่าอยากไปกินร้านเล็กๆ เงียบๆ เข้าใจหรือยังคะ เห็นไหมมันไม่ได้เกี่ยวกับเกียรติศักดิ์ของฉัน หรือของเธอสักหน่อย”
ศจีผินใบหน้าไปสบตากับปราจิตตรงๆ ปราจิตหันมายิ้มนิดๆ รู้สึกว่าโลกนี้แจ่มใสขึ้น
ทันทีที่ลงนั่งเรียบร้อย ปราจิตเปิดเมนูอาหาร พลางถามศจีอย่างเอาใจใส่
“น้ำมะนาวเย็นๆ ไหมคะ ไม่ทำให้อิ่ม ไม่ทำให้อ้วน หรือไม่ชอบรสเปรี้ยวก็เลือกน้ำส้มคั้นออกหวานนิดหน่อย”
“ท่านเลือกของท่านเถอะเจ้าค่ะ”
ปราจิตทำจมูกย่นนิดๆ
“ตอนนี้ เรามาทำสัญญาสันติภาพกันก่อนดีไหมคะ ในสัญญาข้อแรกห้ามเรียก ‘ท่าน’ ข้อสองห้าม ‘เจ้าคะ เจ้าขา’ ฟังดูพิกล นะคะ นะคะ”
ท้ายเสียงท่านทูตปราจิตพูดด้วยสำเนียงคล้ายหนุ่มน้อยกำลังเว้าวอนสาวด้วยทีท่าสุภาพ ศจียิ้มนิดๆ
“ดิฉันชอบทำอะไรต่อหน้า และลับหลังเหมือนกันเจ้าค่ะ ถ้าดิฉันพูดจาไม่เรียบร้อยกับท่านต่อหน้าคนอื่น ใครๆ จะเห็นว่าดิฉันปราศจากความเคารพ คนในบ้านจะเอาตัวอย่าง”
“งั้นฉันเห็นจะต้องพอใจเพียงเป็น ‘ท่าน’ ของหนู เอ้อ...ของเธอสินะ”
ศจียิ้มละไม ปราจิตมองจ้องใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างหลงใหล
“บรรยากาศแบบนี้ ค่อยทำให้รู้สึกเป็นอิสระแก่ตัวเองหน่อย อย่างน้อย...ฉันก็ได้ถอดหน้ากากตัวเอง ออกวางชั่วคราว เธอรู้ไหม หน้ากากชนิดเดียวที่นักการทูตทุกคนต้องใส่เป็นประจำ คือ...ดวงหน้าแห่งความยิ้มแย้มจะรัก จะโกรธ หลง ยิ้มไว้ทั้งนั้น”
ศจีอดหัวเราะไม่ได้ แต่ปราจิตทำหน้าขึงขัง
“เรื่องจริงนะคะ วันนี้เหมือนกัน ถ้าไม่หลบออกมาเสียก่อน คงต้องไปยืนปวดแก้มอยู่ที่สนาม” ท่านทูตทำผงกหัวซ้าย ขวา คล้ายกำลังคุยอยู่ “ความคิดของมาดามน่าฟังมาก...ใช่ทีเดียว ควรจะต้องเป็นอย่างนั้น”จากนั้นทำตาลอยทีท่ารำพึงเหมือนพูดกับตัวเอง “ความคิดของมาดามน่าฟังหรอก แต่...มันเหมาะสำหรับฟังเล่นมากกว่าจะนำไปปฏิบัติ”
ศจีหัวเราะออกมาอีกครั้ง ปราจิตถอนใจยาว
“เห็นไหมว่า การทูตคือการพูดไม่ตรงกับความคิด”
“ตกลงเราเชื่อนักการทูตไม่ได้เสมอไปสิเจ้าคะ”
“แหม...หนู เอ๊ย...คุณศจี”
ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะกัน เหมือนกับโลกนี้มีเพียงสองคน
รัชนีฉายผลุนผลันเข้ามาในตึกใหญ่
“คุณพี่อยู่ไหนคะ คุณพี่ปราจิต”
รัชนีฉายชะงัก เมื่อเห็นใครบางคน เป็นวรรณเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามีแววหยันๆ
“รู้ใช่ไหมว่าคุณพี่ไปไหน”
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าท่านให้คนเอารถคันเล็กออกไป”
“ตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อตอนสามทุ่มเศษๆนี่เอง”
รัชนีฉายกำมือแน่น
“คุณพี่นะคุณพี่ อยู่ดีๆ ก็หายตัวไป ทิ้งให้น้องต้อนรับแขกหลายสิบอยู่คนเดียว ใจร้ายที่สุด”
รัชนีฉายเดินปึงปังออกไป วรรณมองตามพร้อมกับยิ้มเยาะ
อีกฟาก บริกรยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟปราจิต และเสิร์ฟน้ำให้ทั้งสอง
“คุณแม่คุณรัชนีฉายเป็นน้าแท้ๆ ของคุณอรุณวตี ตอนที่คุณวตีเจ็บมาก คุณวตีเขาเคยบอกฉันว่า เขายินดีแยกทางไปเงียบๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ฉัน แต่คุณน้าท่านไม่ยอม นี่ละค่ะคือเหตุผลว่า ทำไมรัชนีฉายถึงเข้ามาเกี่ยวข้อง”
ศจีดื่มน้ำ พลางรับฟังด้วยท่าทางไม่สนใจ แต่ปราจิตกลับมองหน้าศจีอย่างอยากได้คำตอบ
“เธอคิดว่า ฉัน ผิดมากไหม”
“ปัญหาของท่าน ไม่มีใครกล้าตัดสินใจได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะทุกคนมีปมชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ความผิดความถูกต้องของแต่ละคน เราจะเอาตัวเราความคิดของเราไปตัดสินไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ปมทุกปมของเขาอย่างแท้จริง”
“เธอทำให้ฉันสบายใจขึ้นเยอะ อย่างน้อยที่สุดในสายตาของเธอ ฉันเป็นเพียง ‘ท้าวแสนปม’ เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่คนบาปเสียเลยทีเดียวใช่ไหมคะ”
“แต่ท่านก็มีบาป”
ปราจิตแสร้งทำตกใจ “แล้วกัน ตรงไหนคะ”
“ตรง ไม่ซื่อตรงต่อผู้หญิงถึงสองคน”
“ทั้งๆ ที่ผู้หญิงทั้งสองคนตกลงกันแล้วน่ะเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ท่านไม่ซื่อตรงกับผู้หญิงคนที่เคยรัก และไม่ซื่อตรงต่อผู้หญิงที่ท่านคงบอกอีกว่ารัก”
ปราจิตยิ้มขรึม “เมื่อฉันอายุเท่าเธอ ฉันก็เคยคิดว่า ความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และมีความหมายรวมทั้งหมดของชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้นฉันจึงได้รู้ว่า ความรักเป็นเพียงความชื่นบานจุดหนึ่งในหัวใจ ทว่าทั้งหมดของชีวิตต้องการอุปกรณ์อีกมากนัก ไม่ใช่แต่เพียงความรักอย่างเดียว เธอเคยรักใครหรือยัง”
“ถมไปค่ะ รักพ่อ รักแม่ รักครู รักเพื่อน”
“รักพวกนั้นก่อทุกข์ไม่มากเท่ากับคู่รัก”
“ดิฉันไม่ชอบมีทุกข์มาก”
ปราจิตยิ้มพรายนิดๆ “สักวัน ถ้าเธอรักใคร เธอจะรู้เอง แปลกนะ คนเราถ้าอยู่กันไปนานๆ ความรักมันจะตกมาเป็นอันดับรอง แต่ความเห็นใจความศรัทธา เชื่อใจกันจะขึ้นมาเป็นลำดับต้น และคราวนั้นแหละ อุปกรณ์การดำรงชีวิตที่ฉันว่า มันจะเพิ่ม”
ศจียิ้มบางๆ มองท่านทูตอย่างเข้าใจ
ในขณะที่นวลผ่องยกน้ำขิงมาให้คุณหญิงในห้องนอน อรุณวตีถือโอกาสถาม
“ท่านยังไม่กลับเหรอ”
“ยังเจ้าค่ะ”
“แล้วคุณรัชนีฉายล่ะ”
“คุณรัชนีฉายเพิ่งส่งแขกเสร็จเจ้าค่ะ”
อรุณวตีพยักหน้ารับรู้ “เอาละ ไปได้”
อรุณวติยกนมร้อนขึ้นจิบ ยิ้มกริ่มอย่างรอคอยเวลา
นวลผ่องกลับเข้ามาในครัว ส่ายหน้ากับตัวเอง
“โอ๊ย ฉันละสงซ้านสงสาร คุณน้องทำโจ่งแจ้งขนาดนั้น แต่คุณหญิงท่านกลับใจเย็นยังกับน้ำแข็ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เป็นฉันละก็...”
บรรจงถามทันที “ทำไม แกจะทำไม”
“ไม่เฉยอย่างนี้หรอก ถึงจะเป็นน้องเป็นนุ่งก็เถอะ ต้องตบซ้ายตบขวา สั่งสอนให้สำนึกซะบ้าง”
บรรจงค้อน “เก่งเหลือเกินนะเอ็ง”
“อ้าว เป็นเอ็งไม่โกรธหรือไง น้องสาวควงผัวตัวเองไปทั่วงาน แขกเขาจะคิดยังไง”
ละม่อม เอ่ยขึ้น “คุณน้องเธอก็ทำเกินไปจริงๆ ไม่เกรงใจพี่สาวตัวเองเลย”
“นั่นสิป้าม่อม คุณหญิงท่านยังอยู่ ยังรับรู้ทุกอย่างนะ จะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปเสียแล้ว”
ทั้งสามหันไปเห็นวรรณตรงประตู ถึงกับสะดุ้งเฮือก วรรณกราดสายตามองมายังทั้งสามอย่างดุดัน
“เรื่องของนาย บ่าวไพร่ไม่เกี่ยว”
วรรณเดินออกไป ทั้งสามได้แต่สบตากันอย่างรู้สึกขนลุก
นวลผ่องบ่นงึม “ป้าวรรณนี่ยังกับมีหูทิพย์งั้นแหละ นินทาเจ้านายทีไร ได้ยินทุกที”
รถของปราจิตแล่นเข้ามาจอด พอศจีลงจากรถจะเดินเข้าซอย ก็มีมือใครบางคนเข้ามาจับแขนเธอไว้
ศจีตกใจสะบัดออก แล้วหันไปเงื้อมือจะตบ แต่ก็ชะงักกึก ที่แท้เป็นอู๊ดที่ยกมือปัดป้อง
“ว้าย อย่านะจี อย่า”
ศจีถอนใจ ลดมือลง สีหน้างุนงง
“น้าอู๊ด มาทำอะไรแถวนี้ดึกๆ ดื่นๆ”
“ก็มารอเอ็งน่ะสิ”
“รอฉันทำไม”
“แม่เขาอยากรู้ ว่าคนที่มาส่งจีบ่อยๆ น่ะเป็นใคร”
ศจีส่ายหน้า แล้วเดินลิ่วๆ ออกไป
“จี...จี...” อู๊ดรีบตามศจีไป
ศจีเดินเลี้ยวเข้าซอยมา แล้วก็ต้องหยุดอีกครั้ง เมื่อเห็นใครบางคน
สุพรรณซึ่งกลับมาถึงก่อนศจีเล็กน้อย หันมามองเธออย่างแปลกใจ
แต่พอเห็นอู๊ดเดินตามมาร้องเรียก “จี...จี”
สุพรรณจึงฉากหลบไปอีกทาง ไม่ให้อู๊ดเห็น
อู๊ดมาดักหน้าศจีไว้
“เดี๋ยวก่อนจี เอ็งมีแฟนใหม่แล้วเหรอ เลิกคบกับเด็กวัดคนนั้นแล้วใช่ไหม”
“ฉันยังไม่เคยคบใครเลยนะ น้าอู๊ดเอาอะไรมาพูด”
“โธ่ จะปิดไปทำไม เขาลือกันให้ทั่ว”
“น้าอย่ามายุ่งเรื่องของฉันได้ไหม”
“ข้าก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่ยายเอ็งน่ะอยาก”
“น้าอู๊ดช่วยกลับไปบอกยายด้วยนะ ไม่ต้องห่วงฉันมากนักหรอก ฉันโตแล้วยายเอาเวลาไปใส่ใจกับกิจการและลูกๆ ในสังกัดของยายจะดีกว่า”
พูดจบศจีก็เดินหนีไป อู๊ดได้แต่มองตาม เกาหัวไปมาเซ็งๆ
ฝ่ายยายปริกชะเง้อคอมองไปทางปากซอยอย่างร้อนใจ
“ทำไมนังอู๊ดยังไม่กลับมาอีก เอ็งออกไปหน่อยซินังหวิน”
“โธ่แม่ มันก็รอนังจีอยู่ไง คงยังไม่กลับละมั้ง”
“แต่นี่มันดึกแล้วนะโว้ย อาชีพอย่างมันไม่น่าจะกลับดึกขนาดนี้”
“แม่รู้เหรอว่ามันทำอาชีพอะไร”
“อ้าว ก็เป็นเลขาพวกผู้ดีไงละวะ ทำไมข้าจะไม่รู้”
“แน่ใจเร้อ”
“เอ็งอย่ามาชักใบให้เรือเสีย” ยายปริกมองไป “โน่นๆ กลับมาแล้วนี่” แล้วร้องเรียก “จีเอ๊ย จี”
ศจีเดินจ้ำ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยายปริกหงุดหงิด
“อะไรของมันวะ เรียกแล้วไม่มา” จนเห็นอู๊ดตามมา “นังอู๊ด มานี่เรียกนังจีมานี่ด้วย”
อู๊ดมองไปที่ศจี “จี”
“บอกยายว่าดึกแล้วฉันง่วง จะรีบกลับบ้าน ฉันไปละ”
อู๊ดลังเล แล้วก็ตรงไปหายายปริก
“จีมันบอกว่าง่วงน่ะแม่”
“ฮึ่ม อะไรของมันวะ เดี๋ยวนี้ไม่ทักทายกันมั่งเลย แล้วเอ็งได้ความว่ายังไงบ้าง” ยายปริกเคืองขุ่น
อู๊ดทำหน้าเซ็ง
ศจีเดินเข้ามาตามทางในสวน ขณะจะเลี้ยวเข้าบ้าน เธอต้องหยุดกึกเมื่อเห็นสุพรรณเดินออกมาจากมุมมืด
“คุณออกมาก่อนผมนานแล้วนี่”
“เหรอคะ ฉันไม่ทราบว่าคุณอยู่ต่อถึงเมื่อไร”
“จุดไต้ตำตอจริงๆ นะ ไม่นึกว่าคุณจะเป็นเพื่อนกับลูกแก้ว”
ศจีมองเนคไทของสุพรรณ “ฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ว่าคุณจะเป็นพี่รหัสที่ลูกแก้วเล่าให้ฟัง บ่อยๆ”
สุพรรรณสะอึกไปนิดหนึ่ง
“โลกนี้มันช่างบังเอิญมากจริงๆ แต่ก็ดีที่บังเอิญได้เจอคุณที่นั่น ทำให้ผมรู้คำตอบบางอย่างที่เคยเป็นปริศนาลึกลับมานาน”
ศจีเลิกคิ้วรอฟังอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ความจนเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากหนีให้ไกล และเราก็กำลังหนีมันอยู่ทั้งคู่ แต่คุณมีทางลัดที่หนีได้เร็วกว่าผม”
“ฉันไม่รู้ทางลัดหรอกค่ะ ฉันรู้จักแต่โอกาส”
“ผมก็มีโอกาส แต่ผมเคยที่จะเลือกความรักมากกว่า”
“เราสองคนรู้เช่นเห็นชาติกันดีเกินไป”
“ใช่ เราจน แล้วเราก็พยายามตะเกียกตะกายเพื่อไปสู่สังคมที่ดีกว่าด้วยกันทั้งคู่”
“ฉันไม่เหมือนคุณ อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยรับของฟรีจากใคร”
ศจีเข้าบ้านไปโดยไม่แยแส สุพรรณมองตามด้วยสายตาเจ็บปวดรวดร้าว ทั้งรักทั้งแค้นเหลือคณา
อ่านต่อตอนที่ 14