คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 12
ในขณะที่ศจีออกจากตัวตึกเดินมาตามทางเพื่อจะกลับบ้าน เจอกับแกมแก้วที่ลงจากรถพอดี แกมแก้วร้องเรียกเพื่อนรักอย่างดีใจ
“จี”
“วันนี้กลับค่ำเชียว”
“จีก็อยู่ค่ำเหมือนกันนะ ดีใจจังได้เจอ”
“ต้องเตรียมรายชื่อแขกสำหรับงานเลี้ยงพรุ่งนี้ เลยเพิ่งเสร็จน่ะ”
แกมแก้วจับมือศจี ท่าทางมีริ้วรอยกังวล
“ลูกแก้วเอาเข็มกลัดเนคไทให้พี่เขาแล้วละ”
“เขาว่ายังไงบ้าง”
“ไม่รู้สิ ลูกแก้วเดาไม่ออก พอเขาเปิดออกก็ยิ้มๆ ขอบคุณ เท่านั้นเองเขาจะว่าไหมนะที่ ของมันแพงไปหน่อย เขายิ่งถือตัวอยู่”
“แข็งเท่าแข็งเงินง้าง อ่อนได้ดังประสงค์” ศจีว่า
“ฮื้อ ท่าทางเขาไม่ใช่คนยังงั้นนะจี ลูกแก้วชักกลุ้มใจ ไม่อยากให้แล้วซิ”
“ของเก่าหนึ่ง ธาตุแท้ของมนุษย์หนึ่ง ต้องการเวลาพิสูจน์เสมอ”
สีหน้าของแกมแก้วค่อยมีแววกระตือรือร้นขึ้น
“นั่นสินะ ลูกแก้วคิดถูกแล้วที่เชิญเขามานี่ จีจะได้ช่วยดูด้วย”
“เชิญเขามาเมื่อไร”
“พรุ่งนี้จ้ะ จีอยู่ด้วยนะ”
“ทำไมไม่เชื่อตัวเอง”
“ไม่รู้สิ ลูกแก้วคิดว่าจีเป็นผู้ใหญ่กว่าลูกแก้วเยอะแยะ จีพูดอะไรถูกทั้งนั้น”
“แต่จะมีอยู่อย่างนึง ที่เธอจะไม่เชื่อใคร”
“อะไร ลูกแก้วเชื่อจีทุกทีเลยนี่”
“ในความรัก ไม่เคยมีใครฟังใครหรอก”
สีหน้าแกมแก้วเขินอาย
“ลูกแก้วยังไม่รักเขาหรอกน่า เพียงแต่ สนใจ เอาเถอะ ลูกแก้วสัญญาถ้าจีพูดอะไร ลูกแก้วจะเชื่อ แม้แต้เรื่องแฟนด้วยเอ้า”
แกมแก้วเขย่ามือศจีเป็นเชิงยืนยัน แต่สีหน้าศจีไม่เชื่อนัก
สักพักทั้งสองก็มองไปหน้าบ้าน เห็นรถของปราจิตแล่นเข้ามาจอด โดยชีวินเป็นคนขับ
“นั่นคุณพ่อกับพี่วินกลับมาพอดี”
สองสาวรอจนปราจิตลงจากรถ ศจียกมือไหว้ ปราจิตรับไหว้
“ลูกแก้วยังไม่ปล่อยตัวหนูกลับบ้านอีกเหรอ”
แกมแก้วกระเง้ากระงอดใส่บิดา “แหม คุณพ่อก็ พูดยังกับลูกแก้วใช้งานจีหนักงั้นแหละ ลูกแก้วแค่ชวนจี คุยสัพเพเหระน่ะค่ะ”
“ลูกก็ต้องดูเวลาด้วยสิคะ มืดค่ำแล้วศจีจะกลับยังไง”
ชีวินมองจากในรถ สังเกตปฏิกิริยาของศจี
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังมีรถอยู่”
แกมแก้วถามพาซื่อ “คุณพ่อมีธุระจะออกไปอีกหรือเปล่าคะ”
ปราจิตกำลังจะตอบ แต่ชีวินรีบลงจากรถ ส่งเสียเข้ามา
“พี่กำลังจะออกไปบ้านเพื่อนอีก เดี๋ยวจีติดรถไปด้วยก็ได้”
ทุกคนหันมองชีวินสีหน้าแปลกใจ ศจีนิ่ง ปราจิตรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ขึ้นรถมาเถอะ พี่ไม่คิดค่าโดยสารหรอก เร็วครับ พี่ต้องรีบไป”
แกมแก้วพยักหน้ากับศจี “ไปเถอะจี พี่วินจะออกไปอยู่แล้ว”
ศจีจำต้องขึ้นรถไป แกมแก้วมองตามยิ้มๆ ปราจิตรีบเข้าบ้านทำไม่สนใจ
ชีวินขับรถออกมาตามทาง ถามศจีโดยไม่หันไปมอง
“บ้านศจีอยู่ไหนครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันลงป้ายรถเมล์ก็ได้”
“พี่ตั้งใจไปส่งถึงบ้าน”
ศจีนิ่งไปนิดหนึ่ง รู้สึกหัวใจพองโต แต่ก็ยังทำท่าอึกอัก
“พี่วินมีธุระต้องไปบ้านเพื่อนไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“มีเวลาอีกถมไปครับ”
“งั้นเลี้ยวซ้ายแยกหน้าเลยค่ะ”
ชีวินเลี้ยวตามที่ศจีบอก
ชีวินขับรถไปเรื่อยๆ เขามองหน้าศจีอย่างชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะถามออกไป
“ได้ข่าวว่าหลายวันก่อนจีก็ติดรถคุณพ่อออกมา”
“ใช่ค่ะ ท่านกำลังจะไปบ้านท่านอธิบดี บ้านดิฉันบังเอิญเป็นทางผ่านพอดีค่ะ”
ชีวินลอบมองหน้าศจีอย่างจับสังเกต แต่สีหน้าเธอเรียบเฉย ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“ทำงานกับคุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”
“ดิฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมายค่ะ แล้วยังได้พบปะผู้คนในสังคม ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะได้พบด้วย”
“จีชอบเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ดิฉันคิดว่า น่าสนใจ”
“ถ้าพบบ่อยๆ ก็จะไม่คิดว่าน่าสนใจหรอกครับ” เขาท้วง
“ทำไมละคะ”
“ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน เพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น”
“มันเป็นเงื่อนไขของสังคมนี่คะ เขาได้จากเรา เราก็ได้จากเขา”
“แล้วจีล่ะ คบกับใครเพราะหวังผลหรือเปล่า”
ชีวินเหลือบตามองศจีอย่างค้นหาแว่บหนึ่ง
“ถ้าใครจริงใจกับดิฉัน ดิฉันก็จริงใจกับเขาค่ะ”
ศจีเหลือบตามองชีวิน เห็นสายตาของเขาที่มองมาเหมือนมีความหมายแฝงอยู่
เธอแสร้งหลบตานิดๆ ในกิริยาเขินอายชวนมอง
ชีวินขับรถมาจอดเทียบปากซอยวัดใหญ่
“ดิฉันจะลงตรงนี้ค่ะ”
ชีวินมองเข้าไปในซอย “ทำไมไม่ให้พี่เข้าไป”
“ซอยแคบมากค่ะ รถเข้าไปลำบาก”
ชีวินมีสีหน้าสงสัย “ซอยนี้ลึกไหมครับ มีบ้านคนเยอะไหม”
“ลึกเข้าไปส่วนใหญ่เป็นสวนค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นน่าจะเปลี่ยว พี่ลงไปส่งดีกว่า”
“ไม่ต้องค่ะ ด้านหน้าจะเป็นบ้านคนไม่เปลี่ยวเลยค่ะ พี่วินส่งตรงนี้ก็พอเดี๋ยวจะเสียเวลา ขอบคุณค่ะ”
ศจีรีบไหว้ชีวินแล้วรีบลงจากรถ โดยไม่ให้เขาถามต่อ ชีวินมองตามอย่างแปลกใจ
ยายปริกร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่ออู๊ดมารายงานถึงในห้องจบลง มีถวิลตามมาฟังด้วย
“นังจีน่ะเรอะ มีราชรถมาส่งถึงปากซอย”
“ใช่แม่ เขาลือกันไปทั้งซอย” อู๊ดว่า
“เมื่อก่อนมันก็มีรถเพื่อนมันที่โรงเรียนมาส่งบ่อยๆ นี่หว่า ไม่เห็นจะแปลก” ยายปริกท้วง
“แต่คราวนี้มันนั่งคู่กับคนขับนะแม่”
ถวิลตั้งข้อสังเกต “หรือจะมีแฟนเป็นคนขับรถ”
“คนขับรถบ้าอะไรดูมาดผู้ดีขนาดนั้น” อู๊ดแย้ง
“เอ็งพูดยังกับตาเห็น” ยายปริกว่า
“ฉันไม่เห็นหรอก”
“ปั๊ดโธ่”
ยายปริกยกเท้าทำท่าจะถีบเข้าให้ อู๊ดหลบวูบ
“แต่เขาลือกันให้ลั่นซอย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันนะแม่ หลายวันก่อนก็คนนึงมีอายุหน่อยแต่ดูดี วันนี้ก็อีกคนนึงหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ท่าทางผู้ดีทั้งคู่”
ถวิลนึกได้ “แล้วไอ้เด็กวัดที่เคยเดินตามนังจีล่ะ”
“ไม่มีแล้ว คงเห็นว่าสู้ผู้ดีมีรถขับไม่ได้หรอก”
“บางทีนะ บางทีมันกำลังจะได้เป็นเจ้าคนนายคน อย่างที่นังจุกกับตาศรีหวังไว้ก็ได้ ต้องเรียกสินสอดให้สมฐานะ คราวนี้ข้าจะได้สบายสักที”
ยายปริกยิ้มกริ่มอย่างมีความหวัง ลูกเล้าต่างมองหน้ากันอย่างรู้สึกขนลุก
วันหนึ่ง ศจีอยู่ที่บ้านคุณหญิงแล้ว หยิบเอกสารมาดู เตรียมทำงาน เสียงแกมแก้วเจื้อยแจ้วเข้ามา
“จีจ๋า”
ศจีเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นแกมแก้วในชุดนักศึกษาโผล่เข้ามาอย่างร่าเริง
“วันนี้อย่ารีบกลับบ้านเร็วนักนะ ลูกแก้วจะมีปาร์ตี้นิดหน่อยระหว่างเพื่อนฝูง”
ศจียิ้มเย้า “พี่รหัสเหรอ”
แกมแก้วหน้าแดง “เดี๋ยวก็รู้เอง”
พูดจบแกมแก้วก็ผลุบออกไปโดยเร็ว ศจียิ้มนิดๆ ในความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของเพื่อนคุณหนู
เวลานั้น คุณหญิงอรุณวตีก้มลงมองดูบัญชีที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมองวรรณอย่างช้าๆ
“อะไร้พี่วรรณ ค่าใช้จ่ายในบ้านทำไมมันมากนักล่ะ เดี๋ยวนี้ตกเดือนละหมื่นแล้วเชียวเหรอ”
วรรณพยักหน้า น้ำเสียงมีแววประชดชัดแจ้ง
“ก็ทำไมจะไม่ถึง เดี๋ยวเลี้ยง เดี๋ยวเลี้ยง แล้วยังข้าน้ำคนหลวงไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังกับโรงแรม”
อรุณวตีเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้พลางถอนใจยาว
“นี่ถ้าบวกค่าใช้จ่ายข้างบนของท่าน ของใครต่อมิใคร มิตกเข้าไปอีกเดือนละ 2-3 หมื่นรึคะ” วรรณบ่น
“ทำยังไงได้ล่ะ พี่วรรณ”
วรรณลดเสียงลง แต่มีแววหมั่นไส้อย่างเด่นชัด
“เงินเดือนท่านเท่าไหร่เชียว ดีแต่มีทุนเก่าชักเนื้อ”
“มันก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่ พี่วรรณ นี่เขาจะสร้างสนามกอล์ฟใหม่ คุณปราจิตเขาว่า ทางสนามเขาเรียกเก็บล่วงหน้าเฉพาะสมาชิกคนละสามหมื่น ไม่คิดค่าบำรุงรายเดือน ค่าใช้จ่ายตอนลงสนาม”
“อีกหน่อยก็ต้องกินลูกกอล์ฟ” วรรณแดกดัน
“มันก็จำเป็นอยู่ ผู้ใหญ่ๆ ลงเล่นกันทั้งนั้น ถ้าไม่ลงก็ไม่กว้างขวาง ยิ่งนักการทูตต่างประเทศมาที ไอ้เรื่องการบ้านการเมืองเขาก็พูดกันในสนามกอล์ฟ”
“โฮ้ย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่มีแต่รายการรักษาเกียรติยศท่านทั้งนั้น อยากรู้นักว่าถ้าไม่มาแต่งกับคุณจะมาถึงแค่นี้ไหม”
“ถ้าฉันอยากเป็นคุณหญิงอรุณวตี มันก็ต้องทำยังงี้แหละพี่วรรณ”
“แล้วคุณได้อะไรมั่ง ทำทางไว้ให้คุณหญิงรัชนีฉายงั้นเหรอ”
สีหน้าอรุณวตีเผือดลง แต่เสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาเยือกเย็นยิ่งนัก
“หึๆ รัชนีฉายเขาชอบของสำเร็จรูป พี่วรรณก็รู้อยู่แล้ว อะไรที่ต้องลงทุนลงแรง เขาไม่นิยม”
“คุณจะลงทุนลงแรงให้เขาอีกซิ”
“พี่วรรณก็รู้ดีนี่นาว่า ฉันคิดยังไง”
วรรณมองหน้าอรุณวตีอย่างไม่สบายใจ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 12 (ต่อ)
อีกฟาก แกมแก้วนั่งรอใครบางคนอยู่ตรงโต๊ะสนามหน้าตึกคณะ ท่าทีกระวนกระวายชัดแจ้ง
“วันนี้เขามาเรียนหรือเปล่า”
“มาสิจ๊ะ เมื่อเช้าฉันยังเห็นเลย ใจเย็นๆ สิตัว”
พอเห็นคนที่กำลังรอเดินมา แกมแก้วก็ผุดลุกขึ้นอย่างดีใจ
“มาแล้ว”
รัตนาพรมองตาม พอเห็นก็ร้องอ๋อทันที
แกมแก้วเดินเข้าไปหาสุพรรณ พอเธอเห็นอะไรบางอย่างที่เนคไทของเขาก็ยิ้มอย่างดีใจ
“พี่พรรณคะ”
“ครับลูกแก้ว”
“ลูกแก้วดีใจที่เห็นพี่พรรณกลัดเข็มกลัดมา ชอบไหมคะ”
“สวยดีครับ แต่วันหลังอย่าซื้อของแพงอย่างนี้ให้พี่อีกนะครับ”
“ลูกแก้วไม่ได้ซื้อค่ะ มีเพื่อนยกพลอยเม็ดนี้ให้ลูกแก้ว ลูกแก้วเลยเอามาทำเข็มกลัดให้”
“ถ้าเขายกให้ ทำไมลูกแก้วไม่เก็บไว้เองละครับ”
“ลูกแก้วมีเครื่องประดับที่คุณแม่ซื้อให้เยอะแล้วค่ะ แล้วพลอยเม็ดนี้ เพื่อนของลูกแก้วก็รู้ว่าลูกแก้วเอามาทำอะไร ตกลงเย็นนี้พี่พรรณไปงานบ้านลูกแก้วนะคะ”
“พี่บอกแล้วนะครับว่าอย่าลำบากจัดเลย”
“แต่ลูกแก้วตั้งใจจัดให้พี่พรรณนะคะ พี่วินก็จะรีบกลับด้วย พี่พรรณรู้จักพี่วินด้วยใช่ไหมคะ”
“พี่วินที่สอบได้กระทรวงต่างประเทศน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ พี่วินเป็นพี่ชายของลูกแก้วเอง”
“พี่ไม่ได้เจอพี่วินนานแล้ว” สีหน้าสุพรรณคล้ายอยากเจอมาก
“งั้นไปเถอะนะคะพี่พรรณ ลูกแก้วบอกคนที่บ้านให้เตรียมงานแล้วค่ะ”
สุพรรณสีหน้าลำบากใจเอาการ แกมแก้วมองลุ้น
อรุณวตีเดินเข้ามาสั่งงานศจีที่โต๊ะทำงาน
“เดี๋ยวฉันจะจ่ายเช็คไว้ให้พี่วรรณอีกนะจ๊ะหนูจี ขอสมุดเช็คหน่อยจ้ะ”
ศจีหยิบสมุดเช็คมายอบตัวส่งให้ อรุณวตีมองที่นิ้วของศจี
“อ้าว นี่หนูยังไม่ได้เอาพลอยเม็ดนั้นไปทำแหวนอีกเหรอจี”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไม ไม่มีเงินเหรอ” อรุณวตี เปิดสมุดเช็คเซ็นชื่อไปด้วย “ค่าแหวนนี่สักเท่าไรนะหนู”
ศจีสั่นศีรษะ “เห็นจะยังไม่คิดทำเจ้าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
ศจีนั่งนิ่ง
“ฉันรักหนู แต่ฉันมันเป็นคนมีข้อเสียอยู่ว่า ถ้ารักใครแล้ว ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร นอกจากใช้วิธีการให้ และให้ บางคนเลยไม่เข้าใจ”
“เป็นความกรุณาแล้วเจ้าค่ะ”
“ท่าทางหนู จะเป็นคนมักน้อย แต่คนมักน้อยก็มักจะมีข้อเสียเปรียบคนอื่นอยู่อย่างนึงคือ จะถูกฉกชิงโอกาสดีๆ ในมือไปเสมอ”
“ถ้าโอกาสนั้นดีจริง และปล่อยให้คนอื่นฉกชิงไปได้ คนคนนั้นก็ไม่ใช่คนมักน้อยเจ้าค่ะ แต่เป็นคนโง่ คนมักน้อย กับ คนโง่ มีข้อแตกต่างกันนิดเดียวเจ้าค่ะ คือคนมักน้อยรู้ว่า เมื่อไรควรได้เมื่อไรควรปล่อยวางหากคนโง่ สิ่งควรได้กลับไม่ได้ และสิ่งที่ไม่ควรได้พยายามไขว่คว้า”
อรุณวตีเยื้อนยิ้ม “งั้นฉันก็คงโง่ เพราะฉันพยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ควรได้ถึงสองประการ ประการแรก ชีวิตตนเอง ทั้งๆ ที่โรคมันบั่นทอน กับประการที่สอง...” คุณหญิงชะงักไปนิดหนึ่ง “มันอาจไม่ควรพูด แต่หนูเป็นเลขาของฉันนี่นะ ถ้าไม่คุยกับหนู ฉันก็ไม่รู้จะคุยกับใคร หนูว่าท่านยังหนุ่มอยู่ไหม”
“คนที่ร่างกายสมบูรณ์ มักจะดูไม่ค่อยแก่เจ้าค่ะ”
“เขายังหนุ่มอยู่เชียวละ”
“คุณหญิงก็ยังไม่แก่เจ้าค่ะ”
“ฉันแก่นะหนู อย่างน้อยก็ แก่โรค ประการนี้แหละที่ฉันว่าฉันพยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ฝันไปไม่ได้ ฉันพยายามยึดเขาไว้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันมีค่าเท่ากับไม้ใกล้ฝั่ง ถ้าฉันเป็นอะไรลงไป คุณจิตจะลำบาก” คุณหญิงขยับมือเสยผมอย่างอ่อนแรง “ฉันเคยหวังจะให้รัชนีฉาย เขาดูแล บ้าน ดูแลตาวิน ยัยลูกแก้ว เอ้อ ดูแลทุกๆ คนต่อจากฉัน แต่ หน้าที่การงานของคุณจิตเขาไม่ใช่จะทำอะไรได้ง่ายๆ”
“ดิฉันยังจำได้ คุณหญิงเคยบอกว่านักการทูตจะด่างพร้อยไม่ได้ทั้งทางการงาน และเรื่อง ส่วนตัว”
อรุณวตีพยักหน้า “รัชนีฉายเขาถึงไม่ใช่น้องแท้ แต่ก็เกือบแท้ๆ เขาเป็นลูกของน้า แต่พ่อเดียวกัน เรื่องนี้มีคนรู้ไม่เท่าไหร่ หากมีอะไร ฐานะทางสังคมของคุณจิตก็ไม่น่าดูนัก แต่ ถ้าฉันเป็นอะไรไป ก็คงนอนตาไม่หลับ เพราะผู้ชายน่ะ เขาอยู่โดดๆ อย่างผู้หญิงเราไม่ได้ ตาวินแกเป็นผู้ชายก็คงไม่ยุ่งยาก ยายลูกแก้วนี่ซิแกอ่อนความคิด อ่อนโลก เป็นเด็กจะลำบาก ถ้าได้คนที่เข้ากับเขาได้ก็ดีไป หนูว่ายังไงงั้นไหมจ๊ะ”
ศจีออกตัว “ดิฉันยังเด็กค่ะ”
“ฉันเคยคิดอยู่เสมอว่าหนูเป็นผู้ใหญ่ว่ายัยลูกแก้วเยอะยะ ถ้าลูกแก้วเขามีความคิดความอ่านอย่างหนู ฉันก็คงไม่ห่วงอย่างนี้หรอก”
“มิได้เจ้าค่ะ ดิฉันกำลังจะเรียนท่านว่า มีชีพ ก็มีห่วง ดุจบ่วง ประแจมือ สิ้นชีพ ก็สิ้นถือ ทิฐิสิ้นสุบินหวัง”
อรุณวตีชะงักไปนิดหนึ่ง
“หนูไปเอามาจากไหนจ๊ะนั่น”
“ของโอมาร์ คัยยั่ม เจ้าค่ะ”
“จริง” อรุณวตีทอดถอนใจยาว “หนูเข้าใจเตือนสติฉัน คนเรา ยังมีลมหายใจอยู่มันก็มีห่วงนั่นห่วงนี่ ตายแล้วมันก็หมดกัน งั้นก็ ช่างเขาเถอะเมื่อไรเราตายเสีย ก็เท่ากับเราพ้นทุกข์ไป เขาอยู่ข้างหลังเขาจะจัดการกันยังไงก็ช่าง ขอบใจนะหนู”
อรุณวตีลุกเดินออกไป ศจีมองตามด้วยความรู้สึกเห็นใจ
คุณหญิงอรุณวตีนั่งลงจิบชา ก่อนจะหันไปปรารภกับวรรณที่เลื่อนจานขนมเข้ามาให้
“ฉันเริ่มเห็นพ้องกับพี่วรรณอย่างนึงแล้วนะ”
“เรื่องอะไรเหรอคะคุณ”
“เด็กคนนั้นไม่ใช่ขี้ไก่ ไม่ธรรมดาเลย”
อรุณวตีหันมาสบตากับวรรณอย่างรู้กัน
ศจีนั่งพิมพ์บัตรเชิญอยู่ กระทั่งเสียงรัชนีฉายดังขึ้น
“วันนี้คุณพี่วตีไม่สบาย ไม่รับแขก”
ศจีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาฉายรอยประหลาดใจนิดๆ
“คะ”
รัชนีฉายสวมชุดนอนผ้าพองฟู มีเสื้อคลุมแพรสวมทับอีกที ต่างจากปกติที่ต้องแต่งตัวสวยพร้อมต้อนรับแขกเสมอ
“วันนี้ถ้ามีแขก หรือมีเรื่องด่วน ให้มาเสนอฉันแทน”
ศจีทำหน้าเฉย รัชนีฉายจึงขมวดคิ้วหงุดหงิด
“วันนี้มีรายการนัดหมายอะไรบ้าง ให้สำรวจเสีย พอฉันทานข้าวกับคุณจิตแล้ว เธอค่อยรายงาน”
ศจีมองรัชนีฉายด้วยสายตาเหมือนรู้ทัน ริมฝีปากมีรอยยิ้มนิดๆ แต่เต็มไปด้วยริ้วรอยเย้ยหยัน
“ค่ะ”
รัชนีฉายรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที รีบกระชับเสื้อคลุม แล้วหันกลับเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
รัชนีฉายเดินผ่านโต๊ะวางแจกันซึ่งมีดอกเบญจมาศประดับอยู่ พอเห็นก็โวยวาย
“ทำไมวันนี้ใช้ดอกเบญจมาศปักแจกัน”
“คุณลูกแก้วสั่งไว้ค่ะ เธอว่าทนดีกว่ากุหลาบ” บรรจงว่า
“ถ้าฉันสั่งไว้ว่ากุหลาบ ก็ต้องเป็นกุหลาบ ไป เอาไปเปลี่ยนใหม่”
บรรจงรีบเอาแจกันออกไป รัชนีฉายมองตามอย่างหงุดหงิด
ขณะศจีนั่งพิมพ์ดีดอย่างคร่ำเคร่ง บรรจงเข้ามาหา
“คุณคะ คุณรัชนีฉายให้ดิฉันมารับรายงานนัดหมายวันนี้ค่ะ”
“ไม่มี”
บรรจงมีท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย
“แต่ว่า...”
“ไม่มี ไปบอกแค่นั้นก็แล้วกัน”
บรรจงถอนใจยาว แอบหน้าเสีย แล้วก็กลับออกไป
ศจีพิมพ์ดีดต่อ สักพัก รัชนีฉายก็เข้ามาสุ้มเสียงที่พูดออกมาฟังออกว่าไม่พอใจ
“แม่ศจี ฉันสั่งให้มาเอารายการนัดหมาย ทำไมไม่ได้”
ศจียังคงพิมพ์ข้อความจนจบย่อหน้า จึงวางมือจากแป้นพิมพ์
“ดิฉันนำรายการให้คุณไม่ได้”
“ทำไม เธอเห็นคำสั่งของฉันเป็นยังไง”
“สมุดรายการนัดหมายอยู่ที่คุณหญิงค่ะ ท่านเอาไปดูตั้งแต่เมื่อวาน ยังไม่ได้ส่งกลับมา”
รัชนีฉายนิ่งอึ้ง อัดอั้น คอแข็งอยู่ชั่วครู่
“งั้นเธอไปขอมาจากคุณพี่ แล้วส่งไปให้ฉันที่ห้องแต่งตัว”
ศจีกลั้วหัวเราะนิดๆ แต่ตีหน้าซื่อ “ห้องไหนคะ ห้องใหญ่ หรือห้องพักแขกที่เฉลียง”
รัชนีฉายหายใจหอบแรง หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ตอบเสียงสะบัด
“ห้องพักแขก”
“อ้อ...ค่ะ”
รัชนีฉายสะบัดหน้าใส่ศจี แล้วเดินปึงปังแทบจะเป็นกระทืบเท้าออกไป
ศจีมองตาม สีหน้ามีแววยิ้มเยาะระบายเต็ม
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 12 (ต่อ)
อรุณวตียังสนทนากับพี่เลี้ยงคนสนิทต่อ เวลานั้นคุณหญิงส่ายหน้าพลางปรารภอย่างไม่พอใจ
“เขาชักจะล่วงสิทธิ์ฉันมากขึ้นทุกทีแล้วนะ พี่วรรณ”
“ก็ คุณไม่ว่ากล่าวเอง อะไรก็เฉย อะไรก็เฉย”
“พี่วรรณก็รู้นี่นาว่าทำไมต้องเฉย ถ้าห้ามทางนี้ไปปูดทางอื่น มันยิ่งกระทบไปอีกหลายด้าน”
“ให้มันพ้นหูพ้นตาไม่ดีกว่าหรือคะ อีแบบนี้บอกแล้วว่าขว้างงูไม่พ้นคอ”
วรรณถอนใจ
“ฉันเคยขอร้องคุณจิตแล้วว่า จะไปที่ไหนฉันก็ไม่ว่า แต่ใต้หลังคายังงี้ลูกเต้าบ่าวไพร่จะคิดยังไง”
“คุณรัชนีฉายเธอทำให้คิดกันมานานแล้ว”
“เถอะ มันก็ยังเคลือบแคลง” คุณหญิงระบายความรู้สึกอย่างขมขื่น “แล้วนี่ ห้องนอนฉัน เตียงแต่งงานฉันแท้ๆ นะพี่วรรณ”
“คุณจะยึดถืออะไรมันนัก ของทุกอย่างแม้กระทั่งสังขาร มันยังไม่ใชช่ของเราจริงแท้ เพราะถ้ามันเป็นของเรา เราก็ต้องห้ามไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายได้”
“พอเถอะพี่วรรณ เลิกเทศนาโปรดสัตว์ได้แล้ว”
“ถ้าคุณไม่ปลง แล้วจะเป็นยังไง พูดไป คิดไป ทุรนทุรายไปมันก็ไอ้แค่นั้นทุกที”
ศจีหอบแฟ้มเอกสารมาถึงหน้าห้อง พอได้ยินเสียงคุยกันจึงชะงักกึก
“ใคร้ ใครเขาจะมารับรู้กับคุณบ้าง พี่วรรณเตือนคุณตั้งแต่แรกแล้วคุณก็ว่าเฉยเสีย เมื่อเฉยมาตะแรก คุณก็ต้องเฉยให้ตลอดไป”
ศจียืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่เข้าไปในห้อง
อรุณวตีลุกขึ้น น้ำเสียงเข้มงวดขึ้น
“ฉันเห็นจะต้องจัดการอะไรเสียบ้างแล้ว”
“ไอ้ที่คุณคิดไว้อีก มันจะถูกเร้อ”
“อย่างน้อยนะพี่วรรณ เวลาตายฉันคงนอนตาหลับ เพราะคนข้างหลังจะได้หัดแก้ปัญหากันเสียบ้าง”
“มันจะยุ่งกันใหญ่นะคุณ ไม่เคยได้ยินเขาว่าคางคกขึ้นวอ แมงปอใส่ตุ้งติ้งบ้างหรือไง”
“ดิซิ พี่วรรณ ฉันจะคอยดูว่าเขาจะทำกันยังไง”
“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่า ไอ้ปมที่คุณผูกไว้มันจะมาถึงคุณวิน กับคุณลูกแก้ว”
“ตาวินแกโตแล้ว ไม่มีปัญหาหรอกพี่วรรณ ยายลูกแก้วฉันก็ทำอะไรๆ ไว้เรียบร้อย ถ้าแกรู้จักประคองตัว แกก็สบาย แล้วคุณจิตน่ะ ถึงจะยังไงเขาก็มีดีอยู่อย่างที่รักลูก”
“คุณอย่าเพิ่งคิดมากดีกว่า คิดไป แค้นไป มันก็ทำลายตัวเอง คนอื่นเขาก็ตีปีกไปเท่านั้น”
ศจีทำเป็นขยับตัวก้าวเนิบๆ เหมือนกำลังจะเข้าไปในห้อง เมื่อนวลผ่องเข้ามา
“คุณจะเข้าไปหาคุณหญิงเหรอคะ”
“มีอะไรเหรอ”
“ฝากเรียนถามคุณแม่บ้านด้วยนะคะว่า วันนี้คุณลูกแก้วสั่งให้จัดอาหารเลี้ยงเพื่อน แม่ครัวยังไม่ได้รับรายการอาหารเลย”
ศจีพยักหน้า นวลผ่องออกไป ศจีจึงเคาะประตู จนได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน
“เข้ามาสิหนู”
ศจีเปิดประตูห้องเข้ามา อรุณวตีเรียกมานั่งใกล้ๆ
“มานั่งนี่”
ศจีไปนั่งข้างคุณหญิง
“มีจดหมายอะไรบ้างจ๊ะ”
ศจีส่งแฟ้มให้
“วันนี้ฉันไม่รับแขกนะหนู”
“คุณรัชนีฉายบอกแล้วเจ้าค่ะ เธอให้มาเรียนขอสมุดนัดหมายด้วย”
อรุณวตีถึงกับชะงัก น้ำเสียงมีริ้วรอยไม่พอใจ
“เขาจะเอาไปทำไม”
“อาจจะช่วยรับแขกแทนกระมังเจ้าคะ”
“งั้นเดี๋ยวหนูเอาไปให้ด้วยแล้วกัน”
อรุณวตีพลิกดูจดหมายในแฟ้มอยย่างคร่าวๆ ก่อนจะเซ็นชื่อลงไป ศจีหันไปทางวรรณ
“ป้าวรรณคะ ตะกี้เด็กฝากให้มาเรยีนถามเรื่องอาหารเลี้ยงเย็นนี้ด้วยค่ะ”
อรุณวตีหันไปถามวรรณ “ใครจะเลี้ยงอะไรจ๊ะ พี่วรรณ”
“คุณลูกแก้วค่ะ เห็นว่าจะมีเพื่อนมา 4-5 คน”
“ดี เลี้ยงเสียในบ้าน ดีกว่าออกไปข้างนอก พี่วรรณจ๊ะ สมุดนัดหมายอยู่บนโต๊ะโทรทัศน์ ช่วยหยิบให้หนูจีแกที” คุณหญิงหันมาทางศจี “หนูช่วยเอาไปให้คุณรัชนีฉายทีนะ แล้วบอกด้วยว่าฉันขอบใจมาก”
ปราจิตอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อคลุมออกมา จนเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครน่ะ”
“น้องเองค่ะคุณพี่”
ปราจิตนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปเปิด สีหน้าแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
รัชนีฉายที่สวมชุดนอน มองจากในห้องจะเห็นเงาเรือนร่างของเธอเต็มตา
“น้องจะมาดูว่าคุณพี่เป็นยังไงบ้าง”
รัชนีฉายเดินเบียดปราจิตเข้ามาในห้อง
“พี่กำลังจะแต่งตัว”
รัชนีฉายลงนั่งบนเตียง
“วันนี้คุณพี่วตีไม่ค่อยสบาย น้องจะออกงานแทนคุณพี่วตีเองค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ระหว่างนี้รัชนีฉายลงนอนบนเตียง สะบัดผมบิดกายท่าทางยั่วยวน
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ศจีเดินขึ้นบันไดมา หยุดยืนงงมองซ้ายมองขวาอยู่นาน จนเห็นบรรจงออกมาจากห้องๆ หนึ่ง พร้อมกับไม้กวาดและที่โกยผง ศจีจึงเอ่ยถาม
“คุณรัชนีฉายพักอยู่ห้องไหนจ๊ะ”
“ห้องเฉลียงด้านนี้ค่ะ” บรรจงทำสีหน้ามีลับลมคมใน “แต่ ดูเหมือนจะไม่อยู่ในห้อง”
“อ้าว งั้นไปไหน”
“ไม่ทราบสิคะ ดิฉันเพิ่งทำความสะอาดห้องเฉลียงเสร็จ หรือจะไปอยู่ห้องใหญ่”
ศจีทำหน้าเฉย ราวกับไม่รู้เรื่องอะไร
“วันนี้ คุณท่านไม่ไปทำงานเสียด้วย คุณลองไปดูสิคะ”
บรรจงเดินหัวเราะคิกคักห่างออกไป ศจีต้องตะโกนถาม
“ห้องใหญ่ไปทางไหน”
“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาค่ะ เอ้อ แต่ ระวังนะคะ ถ้าคุณรัชนีฉายไม่อยู่ จะยุ่ง”
พูดจบบรรจงก็หัวเราะคิกคักออกไป ศจีมองไปทางห้องนอนใหญ่อย่างครุ่นคิด
ศจีเดินมาถึงหน้าห้องนอนใหญ่ ลังเลว่าจะเคาะดีหรือไม่ พอจะเอื้อมมือเคาะ ก็มีเสียงเอ็ดอึงแหวของรัชนีฉายดังลอดออกมา
“ทำไมคะ คุณพี่เห็นน้องเป็นยังไง”
รัชนีฉายในชุดนอนแหวใส่ปราจิตที่ยืนหันหลังให้
“ห้องนี้มันเขตหวงห้ามอะไรนักหนา ถึงจะเข้ามาไม่ได้”
ปราจิตหันกลับมา ตอบอย่างอ่อนโยน แต่มีร่องรอยรำคาญแฝงอยู่
“ไม่เหมาะ เธอเข้ามาได้ แต่ที่จะมา เอ้อ ใช้เป็นห้องของเธอเองพี่คิดว่าไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะ แต่หลายคืนก่อน ทำไมคุณพี่ให้น้องนอนในนี้ได้ หรือว่าเหมาะเฉพาะเวลาต้องการตัวน้องคะ”
ปราจิตปราม “ค่อยๆ หน่อย ผมไม่อยากให้ใครได้ยิน”
“โอ๊ย ช่างเถอะค่ะ มันไม่แปลกอะไรอีแล้ว น้องทนหลบทนซ่อนมาหลายปีเต็มที ชากับไอ้เสียงซุบซิบเต็มที ถึงบ่าวไพร่ก็เถอะ ใช่ว่ามันจะไม่รู้”
“เราตกลงกันไว้แล้วนี่นาว่า เราจะไม่ทำอะไร อย่าน้อยก็เห็นแก่คุณวตีเขา”
“ถ้า เห็นแก่คุณพี่วตี เห็นแก่ตำแหน่ง เห็นแก่อะไรอีกร้อยอย่างพันอย่าง แต่ไม่ใช่เห็นแก่น้อง”
“เธอก็ได้ทุกอย่างแล้ว เพียงแต่ ห้องนี้มันห้องหอของคุณวตี เขาเคยขอร้องไว้”
“พี่วตีอยู่ข้างล่าง จะไปรู้อะไร”
“อย่างน้อย คนทำห้องก็รู้ แล้วคิดหรือว่าคุณวตีเธอจะไม่ทราบ”
“เรื่องนี้รู้ๆ กันอยู่แก่ใจ จะเป็นอะไรไปคะ”
“เธออยู่ห้องทางโน้นก็ดีแล้ว ทำไมกับสมบัติที่แต่งตัวจะต้องเข้ามาแต่งในนี้”
“น้องนอนในนี้ได้ ก็อยู่ในห้องนี้ได้เหมือนกัน”
ปราจิตมองรัชนีฉายอย่างเอือมระอา
ศจียังยืนอยู่หน้าห้อง แล้วพูดถามกับใครบางคนด้วยเสียงดัง
“คุณรัชนีฉายอยู่ห้องไหนจ๊ะ”
ตรงนั้นไม่มีใครยืนอยู่ด้วย ศจีเว้นระยะ ราวกับจะรอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง
“ขอบใจจ้ะ”
คราวนี้ประตูห้องใหญ่เปิดออกกว้าง เห็นรัชนีฉายยืนอยู่ ใบหน้ามีริ้วรอยกึ่งกำชัยชนะ กึ่งโกรธขึ้งแฝงอยู่ ศจีทำหน้าเฉยเป็นปกติ
“ดิฉันเอาสมุดนัดหมายมาให้ค่ะ”
“ทำไมไม่ให้ใครเอาขึ้นมา”
“ดิฉันคิดว่า เผื่อคุณจะสั่งเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”
รัชนีฉายมีสีหน้าดีขึ้น เพราะฟังเหมือนกับศจียอมรับในอำนาจของเธอแล้ว
“ดีแล้ว เดี๋ยวตอนฉันแต่งตัวค่อยขึ้นมารับคำสั่ง”
ศจีกลับลงไป รัชนีฉายมองตามด้วยแววตายิ้มหยัน ก่อนจะปิดประตูลง
ศจีเงยหน้าขึ้นจากแป้นพิมพ์ เมื่อรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้า เป็นท่านทูตปราจิตในชุดแต่งกายสากล ถามอย่างร้อนรน แต่ยังปนอ่อนหวาน
“ฉันคิดว่าหนูคงไม่ได้เรียนคุณหญิงใช่ไหมคะ”
“ท่านเคยสั่งดิฉันเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าอะไรที่จะทำให้คุณหญิงช็อก ดิฉันไม่ควรทำ”
ปราจิตหน้าสลดลงอีก “แล้วฉันจะเล่าให้หนูฟัง ขอบใจหนูมาก”
ปราจิตหันกลับก้าวออกจากห้อง ศจีมองตาม สักพักบรรจงเข้ามา
“คุณรัชนีฉายให้หาค่ะ”
ศจีนิ่วหน้า คิดว่าอะไรอีกแล้ว
ภายในห้องนอนปราจิตเวลานั้น รัชนีฉายสั่งเสียงแหวใส่ช่างทำผมที่กำลังเกล้าพันผมให้
“ผมที่เหลือให้ม้วนเป็นหลอดๆ ระต้นคอเข้าใจไหม หลอดยาวๆ จ้ะ ไม่ใช่เป็นก้นหอยขมวดไว้อย่างนั้น”
ช่างถอนใจนิดๆ แต่ก็พยายามทำตามคำสั่งดีที่สุด นวลผ่องถือชุดเข้ามา รัชนีฉายส่ายหน้า
“ชุดน้ำชาบ่าย ไม่ใช่ชุดราตรีจ้ะ”
“ที่ห้องโน้น คุณทิ้งไว้แต่ชุดราตรีกับชุดนอนนี่คะ” นวลผ่องว่า
รัชนีฉายหน้าเข้มขึ้น
“ไม่ต้องมาเถียง ไหน เปิดตู้ห้องนี้ซิ”
นวลผ่องเปิดตู้ออก เห็นชุดราตรีของคุณหญิงอรุณวตีแขวนเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบในนั้น
“หยิบชุดชีฟองสีนวลมาซิ”
นวลผ่องอึกอัก เสียงรัชนีฉายแหวใส่อีก
“หูหนวกหรือยังไงหา”
รัชนีฉายชะงัก เมื่อเห็นศจีก้าวเข้ามา โดยมีบรรจงตามมา นวลผ่องเหลียวมองศจีเป็นเชิงปรึกษา แต่ศจีสบตาเฉย
“นั่งก่อนสิ”
ศจีนั่งลง
“ผู้แทนสมาคมสตรีชื่ออะไรเป็นญี่ปุ่นๆ นั่น จะมาทำไม”
“คุณหญิงท่านนัดจะจัดงานแสดงการจัดดอกไม้ตามแบบญี่ปุ่นเดือนหน้าค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเธอเข้ามาพบด้วย เพราะคงรู้เรื่องดีแล้ว บ่ายนี้เลี้ยงน้ำชาภริยาสถานทูตสเปน เธอไม่ต้องอยู่ก็ได้ เพราะฉันรู้จักเขาทั้งหมด แม่วรรณเขาเตรียมน้ำชาที่ไหน ฉันอยากได้ที่เรือนไทย”
“ที่นั่นเย็นนี้คุณลูกแก้วจะมีปาร์ตี้ค่ะ”
“งานเด็กๆ ให้ย้ายไปที่เทอเรซ ฉันอยากให้พวกทูตเขาประทับใจเกี่ยวกับคนไทย เมืองไทย ที่นั่นมีไม้ไทยมาก พวกผู้หญิงคงสนใจ”
“ดิฉันคิดว่า คุณลูกแก้วคงจะกลับมาดูแลความเรียบร้อย ก่อนถึงเวลา คุณรัชนีฉายบอกเธอได้ไหมคะ คงมีเวลาเปลี่ยนที่กันทัน”
รัชนีฉายนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เกิดจะเลี้ยงอะไรกันขึ้นมา เอาเถอะ งั้นให้จัดที่สวนแทน ใช้เครื่องไทยทั้งหมดนะ”
“คุณหญิงสั่งแล้วค่ะ”
“อ้าว เอ๊ะ ไหนว่าไม่สบายมาก”
“ป้าวรรณเข้าไปเรียนท่านถามว่าจะงดหรือไม่ ท่านสั่งให้จัดตามปกติแต่ให้คุณรับแขกแทนค่ะ”
รัชนีฉายหน้าเครียดขึ้น รู้สึกว่าทั้งหมดที่ทำมา เท่ากับเป็นการรับคำสั่ง
“ทำไมคุณพี่วตีไม่ปรึกษาฉันก่อน ถ้าฉันไม่ว่างจะว่ายังไง เห็นเราคอยรับคำสั่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันงั้นเรอะ”
ไม่มีใครตอบคำถามได้ ต่างยืนนิ่ง รัชนีฉายได้แต่มองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิด
ศจีทำท่าจะกลับออกไป รัชนีฉายเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ศจีชะงัก รัชนีฉายหันไปทางนวลผ่องที่ยืนถือชุดของอรุณวตีอยู่
“เอ้า ยืนเร่อร่าอยู่นั่น มานี่”
นวลผ่องส่งชุดให้รัชนีฉาย
ปราจิตเข้ามาในห้องคุณหญิงภริยา ดูอาการแล้วพลางจับมือเธอไว้
“เสียดายวันนี้คุณไม่ออกรับแขกพร้อมกับผม”
“ดิฉันเชื่อว่ารัชนีฉายจะทำหน้าที่แทนดิฉันได้ดี”
“ไม่มีใครแทนที่คุณได้หรอกค่ะ รัชนีฉายยังใหม่มาก นี่ก็สั่งคนโน้นคนนี้ให้เตรียมอะไรวุ่นวายไปหมด”
“ยัยหนูศจีแกก็ช่วยดูอยู่ค่ะ ฉันมอบหมายงานให้แกไว้แล้ว”
“ถ้ามีคนของคุณมาช่วย ผมก็เบาใจขึ้น”
ปราจิตยกมือคุณหญิงมาจูบ อรุณวตีมองท่านทูตสามีด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ อย่างมีเลศนัย
รัชนีฉายซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของอรุณวตีแล้ว หมุนตัวไปรอบๆ ให้ศจีดู
“เป็นไง”
“ดิฉันว่า ถ้ามีแพรผูกเอวสักผืน คงจะดีขึ้น”
รัชนีฉายพอใจ หันไปออกคำสั่งกับบรรจงและนวลผ่อง
“ไหน ดูซิ มีแพรบ้างไหม”
บรรจงกับนวลผ่องช่วยกันสาละวนหา แต่ก็ไม่เจอ ทั้งสองมองหน้ากันพลางสั่นศีรษะ
“ไม่มีค่ะ” บรรจงบอก
“อะไรไม่มี ฉันเคยเห็นคุณพี่ใช้ตั้งหลายหน”
“เคยมีค่ะ แต่...พอถึงปีท่านส่งเสื้อเก่าๆ ไปขายสมทบทุนกาชาดหมด” นวลผ่องว่า
“งั้นหาเข็มขัดอะไรก็ได้”
บรรจงหยิบขึ้นมา “เส้นนี้ได้ไหมคะ”
“ไอ้นั่นมันใช้กลางคืน เข็มขัดลายทองโปร่งๆ ของคุณพี่ มีอยู่เส้นนึงเอาไว้ที่ไหน”
“เอ้อ ท่านรักมาก แล้วก็...” นวลผ่องกระอึกกระอัก
รัชนีฉายเสียงเข้ม “เอามา”
นวลผ่องจำใจหยิบเข็มขัดเส้นนั้นขึ้นมาส่งให้รัชนีฉาย รัชนีฉายหันไปทางศจี สีหน้าเหมือนได้ชัยชนะ
“เอาละ เธอไปได้ เดี๋ยวเตรียมตัวพบผู้แทนสตรีอะไรนั่นด้วยกัน ฉันจะลงไปหาคุณพี่สักหน่อย”
ศจีกลับออกไปนอกห้อง
นวลผ่องกะบรรจงเดินเข้ามาในครัว พลางปาดเหงื่อ ละม่อมหันไปโวยวาย
“อ้าว พวกเอ็งนี่ เพิ่งจะลงมาเรอะ ข้าทำกันอยู่สองคนจะไม่ทันแล้ว”
“โฮ้ย กว่าจะช่วยคุณเธอแต่งตัวเสร็จ เกือบตายแน่ะป้าม่อม” นวลผ่องบ่น
“ก็เอ็งมัวแต่พิรี้พิไร ตัวนั้นก็ไม่กล้าหยิบ ตัวนี้ก็ไม่กล้าเอา” บรรจงว่านวลผ่อง
“อย่าทำเป็นไม่รู้ ว่าเสื้อผ้าในตู้นั่นของคุณหญิงทั้งนั้น” นวลผ่องบอก
บุญส่งตาเหลือก “หา นี่...นี่ คุณน้องเธอใส่เสื้อผ้าคุณหญิงออกงานเรอะ”
นวลผ่องบอก “ก็ใช่น่ะสิพี่ส่ง”
“ในเมื่อคุณน้องเธออยากได้ แกก็หยิบๆ ไปเหอะ” บรรจงว่า
นวลผ่องนึกออก “ไอ้เข็มขัดเส้นนั้น ฉันจำได้ว่าท่านทูตสเปนให้คุณหญิงเป็นของขวัญ”
“อ้าว เกิดท่านจำได้ขึ้นมา คุณรัชนีฉายจะเอาหน้าไปไว้ไหน” บุญส่งถาม
นวลผ่องตอบอย่างสะใจ “ดีน่ะสิ ข้าน่ะอยากให้เขาจำได้”
ทุกคนมองหน้ากันยิ้มๆ อย่างรู้กัน ยกเว้นบรรจงที่หน้าเสีย นึกเป็นห่วงนายหญิงขึ้นมาเหมือนกัน
แกมแก้วโผล่หน้าเข้ามาหาศจี ยิ้มแย้มร่าเริงใบหน้าสดใส
“แหม ลูกแก้วกลัวจีหนีกลับจะแย่ ดีใจจังที่เห็นจียังอยู่”
“เพื่อนๆ มากันแล้วเหรอ”
“มาแล้วจ้ะ มากับรถลูกแก้ว เดี๋ยวจะแนะนำให้จีรู้จัก จีไม่ไปล้างหน้าหน่อยเหรอ”
“ไม่ละ อย่าให้เกินหน้าลูกเจ้านายจะดีกว่า” ศจีเย้า
“โธ่ จีละก็ พูดอะไรอย่างนั้น ลูกแก้วไปอาบน้ำเดี๋ยวนะ”
แกมแก้วรีบออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้น
ในสวนบ้านคุณหญิงตอนเย็น มีงานจัดเลี้ยงสองงาน โดยงานเลี้ยงรับรองแขกต่างชาติจัดในสวนสวย เป็นงานเลี้ยงซึ่งจัดแบบค็อกเทล แขกไทยและแขกต่างชาติทยอยกันเข้ามาแล้ว บางคนยืนพูดคุยกัน
ในนั้นมีสายสุนีย์กับพิจิตรา กลุ่มเพื่อนคุณหญิงอรุณวตีคุยกันอยู่มุมหนึ่ง
“ได้ข่าวว่าวันนี้คุณหญิงไม่ออกงาน” พิจิตราว่า
“แล้วใครจะมาออกแทนล่ะคะ”
พิจิตรามองไป “โน่นไงคะ”
รัชนีฉายควงปราจิตมาที่งาน
“สวัสดีค่ะ ทุกท่าน Good evening ladies and gentlemen.”
ทุกคนมองรัชนีฉายด้วยแววตาแปลกใจ รัชนีฉายหันไปมองปราจิตเป็นเชิงบอกให้เขารีบแนะนำ
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน คนนี้คือคุณรัชนีฉาย เป็นน้องสาวของภรรยาผม วันนี้คุณหญิงอรุณวตีไม่ค่อยสบาย คุณรัชนีฉายจะทำหน้าที่ต้อนรับทุกท่านแทนคุณหญิงเองครับ เชิญทุกท่านตามสบายครับ
Good evening my honorable guests. This is KhunRatchaneechai. She’s my wife’s sister. Khun Ying Arunwatee is not feeling well today.KhunRachaneechai will take care of you. Please make yourself at home.”
แขกในงานต่างพยักหน้าเข้าใจ
“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
พิจิตรากับสายสุนีย์แอบซุบซิบกัน
“เนี่ยเหรอน้องสาวของคุณหญิง” พิจิตราถาม
“ใช่ค่ะ แต่เป็นคนละแม่นะคะ แม่ของคุณน้องคนเนี้ย ก็เป็นน้องสาวของแม่คุณหญิงเหมือนกัน” สายสุนีย์บอก
“อุ๊ยต๊าย ได้ยินมานานแล้ว ว่าน้องสาวทำหน้าที่แทนพี่สาวทุกอย่างทั้งงานนอกบ้านในบ้าน ไม่นึกว่าจะมาออกงานแสดงตัวชัดเจนอย่างนี้ประวัติศาสตร์ครอบครัวมิซ้ำรอยรึคะ”
“เขาก็พยายามแสดงตัวมาตลอดล่ะค่ะ แต่พักหลังคุณหญิงเธอสุขภาพย่ำแย่ลง แม่คุณน้องนี่ก็เลยจัดการซะ” สายสุนีย์เสริม
“ท่าทางไม่เบาเลยนะคะ ข้ามหน้าข้ามตาเหลือเกิน ถึงยังไงคุณหญิงก็ยังอยู่ไม่น่าจะยอม แบบนี้ต่างชาติจะมองยังไง”
“นั่นสิคะ น่าเกลียด”
พิจิตราและสายสุนีย์มองรัชนีฉายอย่างเหยียดหยาม
ส่วนที่ศาลาเรือนไทยแกมแก้วใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงเพื่อนๆ โดยทุกคนรับรู้ว่าสาวเจ้าเลี้ยงวันเกิดให้สุพรรณนั่นเอง
ศจีเดินลงมาจากตึก ลัดเลาะมาถึงศาลาในสวน
“แน่ะจี”
ศจีหันไปตามเสียง เห็นแกมแก้วโบกมือไหวๆ จึงเดินเข้าไปสมทบ
“จี แหม กว่าจะมาได้”
ศจีมองกราดไปที่ศาลา เห็นคนคุ้นหน้าหลายคน รวมทั้งชีวินที่นั่งอยู่กับชายคนหนึ่ง รัตนาพรโบกมือให้ศจีอย่างคุ้นเคย ศจียกมือไหว้ชีวิน ชีวินรับไหว้
และแล้วศจีก็ใจหายวาบตัวชา เมื่อชายคนที่นั่งข้างชีวินหันมา เขาคือสุพรรณนั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 13