xs
xsm
sm
md
lg

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 11

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 11

ท่านทูตปราจิตเดินออกมาหน้าห้องด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม กระทั่งมีเสียงทักทายของอรุณวตีดังขึ้น

“วันนี้อารมณ์ดีจริงนะคะ”

ปราจิตเกือบสะดุ้ง แต่ก็เก็บอาการไว้ทัน ก่อนจะหันกลับไปยิ้มกว้างให้คุณหญิงภริยา
“วันนี้สะสางงานเสร็จเร็วค่ะ ก็เลยสบายใจ เมื่อกี้ผมถือวิสาสะเข้าไปสั่งงานเลขาคุณเสียเลย”
อรุณวตีเดินเข้ามาจนใกล้สามี
“ฉันเคยบอกคุณแล้วนี่คะ ว่าให้เรียกใช้งานแกได้เหมือนเป็นคนของคุณเองวันนี้งานของฉันก็ไม่มีอะไรแล้ว ที่แกยังไม่กลับคงเพราะยัยลูกแก้วให้อยู่คุยด้วย”
แววตาของปราจิตวาบขึ้นมาแว่บหนึ่ง แต่นานพอที่อรุณวตีจะสังเกตเห็น ปราจิตทำเป็นไม่สนใจ
“ทานของว่างไหมคะ ฉันจะให้ป้าวรรณจัดขึ้นไปให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวผมต้องออกไปอีก”
“ไปไหนเหรอคะ”
“งานเลี้ยงบ้านท่านอธิบดีค่ะ ท่านยังถามถึงคุณด้วย อยากให้คุณไปด้วยกัน”
“เสียดาย ที่ฉันไปไม่ได้”
“ผมเรียนท่านแล้ว ท่านเข้าใจค่ะ”
“งั้นรีบไปแต่งตัวเถอะค่ะ ก่อนที่รถจะติด”
ปราจิตพยักหน้า แล้วเดินออกไป
อรุณวตีมองตามสามี แล้วเหลียวกลับเข้าไปในห้องทำงาน มองศจีอย่างพอใจ ที่เห็นพัฒนาการของปราจิตที่แสดงความรู้สึกต่อเด็กสาวชัดเจน และมากขึ้นเรื่อยๆ

สองสาวนั่งคุยกันอยู่ในบรรยากาศสวนสวยยามเย็น แกมแก้วเล่าให้ศจีฟังด้วยสีหน้าเศร้า เขี่ยของว่างไปจานไปด้วย
“เขาบอกลูกแก้วว่า อย่ามายุ่งกับผมดีกว่า ผมเป็นคนจน ทำไม เพียงแต่ลูกแก้วอยากทักเขาก็ไม่ได้เหรอ”
“ใครจะรู้ เขาอาจจะเตือนใจตัวเขาเองไม่ได้” ศจีว่า
“เออ จริงนะ โถ คราวนี้ลูกแก้วก็จะบอกเขาว่า เวลาเกิดลูกแก้วก็ไม่ได้ลากถุงเงินถุงทองออกมาเหมือนอย่างเขานั่นแหละ แล้วใครจะรวยจะจนกว่ากันได้ยังไง จริงไหม”
“ก็แล้วแต่”
“แล้วแต่อะไร” แกมแก้วมองฉงน
“แล้วแต่คนรวยกับคนจน คนรวยเห็นเงินมามากจนเห็นเงินไม่สำคัญแต่คนจน...เงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ลูกแก้วไม่ค่อยได้คิดเรื่องเงิน เพราะสำหรับลูกแก้วเงินซื้อไม่ได้หมดเสมอไป อย่างเช่น...จีกับลูกแก้วชอบกันโดยไม่มีเรื่องเงินเกี่ยวเลยไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว อย่างน้อยลูกแก้วก็ทำให้ฉันได้มีเงินเดือนอยู่ทุกวันนี้”
“โธ่...นั่นเพราะความสามารถของจีต่างหาก”
“คนรวย มักจะเสียเปรียบอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ค่อยได้รู้ว่าคนที่รักตัวนั้นเขารัก ตัวเราจริงๆ หรือรักเงิน”
“แต่เขาคงไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกจี ถ้าเขาจะชอบเงินละก็ ทำไมเขาจะต้องตีตัวออกห่างล่ะ เขาน่าจะมาคอยตามตื๊อลูกแก้วซี่ถึงจะถูก”
“จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง”
“เอาละ งั้นลูกแก้วจะดูเขาไปนานๆ แต่...เดือนหน้าวันเกิดเขา เขาไม่ได้บอกลูกแก้วหรอก ลูกแก้วแอบไปเปิดทะเบียนนิสิตดู” แกมแก้วออกอาการขวยเขิน “ถ้าเราอยากรู้จักใคร ควรรู้จักเขาให้หมด จริงไหม”
ศจีนิ่ง ไม่ตอบ แกมแก้วจึงพูดต่อ
“จีคิดว่า ลูกแก้วควรจะให้อะไรเขาไหม ลูกแก้วอยากทำให้เขาแปลกใจเล่นน่ะ”
“ก็เธอคิดอยู่แล้วว่า ควรจะให้อะไรเขาไม่ใช่เหรอ”
“ลูกแก้วไม่แน่ใจ”
“งั้นถึงฉันจะบอกยังไง ก็ไม่มีประโยชน์”
“ตอนนี้เขาผูกเนคไท ลูกแก้วคิดจะทำเข็มกลัดเนคไท”
ศจีเปิดกระเป๋าถือ หยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“เอาไปซิ”
“ไม่เอา ของใครเขาให้จีมาไม่ใช่เหรอ”
“ใครจะให้ไม่สำคัญ แต่ถ้ามันเป็นของฉันแล้วฉันจะให้ใครก็ได้”
“อย่าเลย ลูกแก้วจะไปหาอย่างอื่น”
ศจียกข้อมือดูนาฬิกา “เย็นมากแล้ว ฉันจะกลับบ้านละ”
“เดี๋ยวจะให้รถไปส่ง”
“อย่าเลย ฉันไปเองได้”
“ไม่เอา รถมีตั้งหลายคัน ให้ไปส่งได้นี่นา”
แกมแก้วรีบลุกขึ้น ในขณะที่ศจีคว้ากระเป๋าถือมาคล้องแขน โดยไม่สนใจกล่องพลอยที่วางอยู่
“จีอย่าลืมกล่องนั่น”
“ถ้าบอกว่าให้ ก็แปลว่าให้”
พูดจบศจีก็ลุกเดินออกไป แกมแก้วคว้ากล่องนั้นขึ้นมากำไว้ พลางรีบก้าวตามอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจจี ขอบใจมาก แหม ความจริงลูกแก้วเพียงแต่เห็นว่ามันสวย”
“เอาไปเถอะ วันหน้าฉันจะได้มากกว่านี้ อัฐยายซื้อขนมยาย จะไปไหนเสีย”
ศจีเดินยิ้มออกไป แกมแก้วมองตามอย่างไม่เข้าใจความหมายในประโยคสุดท้าย

แต่ก็ไม่ได้ติดใจซักไซ้ไล่เลี่ยง

เมื่อศจีกับแกมแก้วเดินออกมาหน้าตึกใหญ่ แกมแก้วเห็นอะไรบางอย่างที่สนามหน้าบ้านก็อุทานอย่างดีใจ

“คุณพ่อกำลังจะออกไปข้างนอก”
รถของปราจิตเลี้ยวอ้อมสนามมาเบรกตรงหน้าทั้งสองพอดี
“ดีเลยจะได้ฝากจีไปด้วย”
ปราจิตไขกระจกลง โผล่หน้ามาถาม
“จะไปไหนกันคะ”
“จะไปไหนละคะ”
“ไปบ้านท่านอธิบดีค่ะ”
“จะฝากศจีไปด้วยค่ะ พ่อไปส่งหน่อยได้ไหมคะ”
ปราจิตเลียนเสียงหวานๆ ของแกมแก้ว
“ก็ทำไมจะไม่ได้ละคะ”
ปราจิตเลื่อนตัวชะโงกมาเปิดประตูตอนหน้าให้ ศจียอบตัวลงเล็กน้อย
“ถ้าคนละทางก็ไม่ต้องลำบากท่านหรอกเจ้าค่ะ”
“แค่ขับรถจะลำบากอะไร หนูซิโหนรถเมล์ไปจะลำบาก”
“ทำไมพ่อไม่เรียกคนรถละคันคะ”
“พ่อสงสารเขาค่ะ วันนี้ใช้ทั้งวันแล้ว ให้เขาได้พักบ้าง สงสัยท่านอธิบดีจะคุยนาน ก่อนคุณแม่เข้านอนลูกแก้วเตือนคุณแม่ให้ทานยาด้วยนะคะ”
“ค่ะ” แกมแก้วบอกกับศจี “ไปเถอะจี”
ศจีก้าวขึ้นไปนั่งแต่โดยดี พลางพยักยิ้มลากับแกมแก้ว
ปราจิตถามศจีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน คล้ายกับที่ใช้กับแกมแก้วเมื่อครู่
“ไปทางไหนคะ”
มีสายตาคู่หนึ่ง มองตามรถปราจิตที่แล่นออกไป
เจ้าของสายตาคู้นั้น คืออรุณวตีนั่นเอง สีหน้าคุณหญิงมีรอยยิ้มบางเฉียบทว่าลึกล้ำ

ปราจิตขับรถมาตามทาง ในแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็น ทำให้ผิวหน้าของศจีผ่องใส เขาชำเลืองมองศจีแว่บหนึ่ง มีประกายจุดขึ้นในดวงตา
“หนูรุ่นเดียวกับลูกแก้วเหรอคะ”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมไม่คิดเรียนต่อมหาวิทยาลัยกับเขาบ้าง
“ในความสำเร็จอย่างเดียวกัน บางคนเดินทางตรงได้ แต่บางคนต้องเดินทางอ้อมเจ้าค่ะ”
ปราจิตนึกสนุก “อะไรละคะ ที่หนูคิดว่าเป็นความสำเร็จของมนุษย์”
“อยู่ดีกินดี มีเกียรติ”
“บางคนเขามีทางลัดนะหนู”
“แต่เราหาทางนั้นไม่ได้เหมือนกันหมดนี่เจ้าคะ”
ปราจิตหันมามองศจีอีกครั้งอย่างอดทึ่งไม่ได้
“คุณวตีเขาชมหนูเสมอว่าเป็นเด็กฉลาด ดูเหมือนจะมีหนูเป็นคนแรกที่เขาว่า ได้ดังใจทุกอย่าง”
“คุณหญิงท่านกรุณามากกว่า”
“คุณวตีเขาเป็นคนพิถีพิถัน เจ้าระเบียบ ถ้าเขาชมใครต้องหมายความเช่นนั้นจริงๆ”
“งั้นก็ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ขอบพระคุณฉันจะถูกเหรอ”
“อย่างน้อยก็สำหรับคำชมที่ท่านอุตส่าห์เก็บมาบอกอีกต่อหนึ่ง เพราะคุณหญิงท่านไม่เคยบอกดิฉันเลย”
“ตายจริง หนูคงไม่คิดว่าฉันพูดเองนะคะ”
“ก็ถ้าท่านจะชมดิฉัน ทำไมท่านจะไม่กล้าชมเองล่ะเจ้าคะ ท่านจะต้องอ้างคุณหญิงท่านทำไม”
ปราจิตหัวเราะร่าเริงน้ำเสียงแจ่มใส
“เอาเป็นว่า ฉันเห็นพ้องกับวตีเขาก็แล้วกัน”
ศจีเหลือบตามองท่านทูตนิดหนึ่งแล้วผินหน้ามองตรงไปอย่างเดิม

ปราจิตได้แต่มองเด็กสาวอย่างหลงใหล

อ่านต่อหน้า 2

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 11 (ต่อ)

รัชนีฉายเข้ามาในบ้าน โวยวายใส่วรรณ โดยไม่ไว้หน้า

“คุณพี่ออกไปไหน ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“ทำไมท่านออกไปไหนต้องรายงานคุณทุกเรื่องเหรอคะ”
รัชนีฉายมองพี่เลี้ยงของพี่สาวด้วยดวงตาที่ลุกวาว เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“แกไม่ต้องมาประชดฉัน”
“ดิฉันมิได้ประชดค่ะ เพียงแต่พูดถึงความเป็นจริงที่คุณอาจจะหลงลืมไปบ้าง”
“ความจริงเป็นยังไงแกก็รู้ดีอยู่แล้ว แกนั่นแหละควรจะสำเหนียกซะบ้างว่าฉันเป็นใคร แกเป็นใคร”
เสียงคุ้นหูดังขัดขึ้น “มีอะไรเหรอรัชนีฉาย ป้าวรรณ”
ทั้งสองหันไป เห็นอรุณวตีเดินเข้ามา
“น้องแค่อยากรู้ว่าคุณพี่หายไปไหน เห็นคนรถบอกว่ากลับมาส่งท่านแล้ว แต่ท่านขับรถออกไปอีก”
“น้องมีธุระอะไรกับคุณจิตเหรอจ๊ะ”
“ธุระ” รัชนีฉายคิดปราดเดียว “เรื่องงานเลี้ยงอาทิตย์หน้าค่ะคุณพี่”
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ต้องไปถามคุณจิตของเธอเอาเอง เป็นการส่วนตัว”
พูดจบอรุณวตีก็เดินออกไป วรรณยิ้มเยาะนิดๆ แล้วเดินตามไป
“คุณพี่”
รัชนีฉายเนื้อตัวสั่น ได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บใจ

ขณะรถจอดติดไฟแดงสี่แยก ปราจิตหันมาชวนศจีคุยต่อ
“เป็นไงงานที่ทำอยู่”
“ท่านล่ะเจ้าคะ รู้สึกยังไงกับงานที่ทำอยู่”
“ทำไมเธอจะต้องย้อนถามฉันด้วยล่ะ”
“เพราะคนทำงานทุกคนมักจะนึกเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งสิเจ้าคะ คืองานของคนอื่นมักจะน่าสนุกกว่าหรือสบายกว่างานที่เจ้าตัวทำอยู่”
“จริง ฉันก็เบื่องานที่ทำอยู่เหมือนกัน เธอรู้ไหม เคยมีคนให้คำจำกัดความของคำว่า ‘นักการทูต’ ไว้ว่า คือคนที่ถูกส่งไป TO LIE ในประเทศอื่นเพื่อประเทศของตน คำว่า TO LIE นี่จะแปลว่านอนหรือพูดปดก็ได้แต่ฉันน่ะว่าควรจะใช้ทั้งสองความหมาย เพราะงานของฉันถ้าไม่ไปนอนพุงอืดอยู่ในประเทศอื่น ก็ โกหกเป็นไฟ เพื่ออะไรๆ อีกหลายอย่าง แล้วเธอจะไม่ให้ฉันเบื่องานในหน้าที่ของฉันได้ยังไง”
“ไม่เคยมีมนุษย์คนใดพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่”
“เธอด้วยใช่ไหม”
“ดิฉันเป็นมนุษย์นี่เจ้าคะ” เธอย้อนอีก
ปราจิตทำจมูกย่นเหมือนเด็กๆ
“อะไรๆ ก็ดีหมด แต่ฉันไม่ชอบคำว่า เจ้าคะ ของเธอเลย ฟังดูมันเหลื่อมล้ำยังไงก็ไม่รู้”
“ถ้ามนุษย์ในโลกนี้เท่ากันหมด ท่านคิดหรือเจ้าคะว่าจะดี”
ปราจิตหันมามองศจีแว่บหนึ่งอย่างอัศจรรย์ใจ
“เธอพูดเหมือนไม่ใช่เด็ก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับยัยลูกแก้วไม่ใช่เหรอ”
“ท่านก็ยอมรับว่าดิฉันไม่ใช่เด็กอยู่แล้ว”
“ตอนไหน”
“ทีแรก ท่านเรียกดิฉันว่าหนู แต่ต่อมาท่านเรียกดิฉันว่า...เธอ”
ปราจิตถอนใจยาว ใช้มือยันพวงมาลัยขยับไหล่ในท่าราวกับนักขับรถแข่ง
“เธอเป็นเด็ก ไม่ใช่...เป็นผู้หญิงฉลาดตะหาก พอใจไหมที่ฉันว่าเธอเป็นผู้หญิงคนนึง”
ศจีเพียงยิ้มแทนการตอบ
“ฉันเคยนึกอยู่เสมอว่า ผู้หญิงนั้นธรรมชาติสร้างสรรค์มาอย่างดีที่สุด เว้นแต่ ลืมให้สมองมา เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ควรดูถูกธรรมชาติ”
“ดิฉันก็เคยนึกว่า ธรรมชาติให้ผู้ชายมาหมดทุกอย่าง ยกเว้นเพียง อย่างเดียว”
“อะไร หรือเธอคิดว่าผู้ชายไม่มีสมอง” ท่านทูตมองฉงน
“มิได้เจ้าค่ะ” ศจีพูดกลั้วหัวเราะอย่างสดใสกึ่งล้อเลียน “สิ่งที่ผู้ชายขาดคือ...ความซื่อสัตย์”
พูดจบศจีก็ชี้ไปข้างทาง
“จอดเจ้าค่ะ ดิฉันจะลงตรงนี้”
ปราจิตจอดรถชิดขอบทาง ก่อนจะหันมามองศจีอย่างครุ่นคิด
“ใช่ ฉันเป็นผู้ชายที่ธรรมชาติสร้างมาเช่นที่เธอว่า แต่ ถ้ามีเวลา บางที เธอจะได้รู้ว่า ทำไมผู้ชายบางคน จึงกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ และบางคนก็ ซื่ออย่างสัตว์”

ศจีเพียงยิ้มบางๆ ขณะหันมาไหว้ลา แล้วก้าวลงรถไป

ศจีก้าวลงจากรถของปราจิตตรงปากซอยวัดใหญ่ศรีสุพรรณตอนค่ำ ท่ามกลางสายตาของคนแถวนั้นที่เหลียวมาดูเป็นทิวแถว

ชาติเปิดปากถากถางทันที “แม่โว้ย เดี๋ยวนี้เป็นแม่กะชังก้นใหญ่เสียแล้ว”
“อ้อ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องขึ้นรถเมล์” สนเสริม
ปลั่งผสมโรงว่า “สงสัยราชรถจะมาเกยซะละมั้ง”
ชายชั่วทั้งสามประสานเสียงหัวเราะกันเป็นที่สนุก
ศจีทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย จึงรีบเดินเข้าซอย แต่สายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง ศจีหันไปมอง เป็นสุพรรณยืนอยู่มุมหนึ่งที่ป้ายรถเมล์ ศจีรู้สึกหน้าแดงวาบขึ้นมา แล้วเดินเชิดหน้าเข้าซอยไป
แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังไปมองอีก แต่ไม่เห็นสุพรรณยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

ฟากรัชนีฉายเดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด พลางร้องเรียกสาวใช้คู่ใจ
“บรรจง บรรจง” ไม่มีเสียงขานรับทันใจ เจ้าหล่อนเรียกเสียงดังจนเป็นตวาด “นังบรรจง”
“เจ้าค่ะ ๆ มาแล้วเจ้าค่ะคุณขา”
“แกรู้ไหมว่าคุณพี่ไปไหน ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ”
“เอ่อ...คือ...” บรรจงกระอึกกระอัก
“แกรู้ใช่ไหม”
บรรจงมองหน้ารัชนีฉายอย่างไม่กล้าพูด
“ท่านไปไหน บอกมาซี่ บอกมา”
บรรจงยังนิ่ง รัชนีฉายเข้าไปตบปากบรรจง
“ฉันบอกให้บอกไง ไม่บอกใช่ไหม”
รัชนีฉายตบตีบรรจงอย่างหงุดหงิด
บรรจงได้แต่ปัดป้อง “อย่าค่ะ คุณรัชนีฉาย อิฉันยอมบอกแล้วค่ะ”
รัชนีฉายหยุดตบตี รอฟังบรรจง
“หนูเห็น...เด็ก...ผู้ช่วยคุณหญิง ขึ้นรถไปกับท่านค่ะ”
คำพูดคำนั้นกระแทกเข้าหน้ารัชนีฉายจังๆ นัยน์ตาเธอลุกวาวอย่างโกรธเกรี้ยว
“นังศจี”

รัชนีฉายเดินปึงปังเข้ามาในห้องนอนพี่สาว อรุณวตีกำลังอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้น
“คุณพี่คะ คุณพี่ทราบหรือเปล่าคะว่าคุณพี่ปราจิตไปไหน”
“ทำไมฉันจะต้องทราบทุกเรื่อง”
“แต่น้องมั่นใจว่าคุณพี่รู้เรื่องนี้”
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าล่ะ”
“คุณพี่ปล่อยให้นังเด็กนั่นออกไปกับเขา”
อรุณวตีทำทีเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“เด็กไหน”
“ก็เด็กที่คุณพี่เลี้ยงไว้ไงคะ นังเด็กศจี”
อรุณวตียกแก้วชา เครื่องดื่มโปรดขึ้นจิบอย่างไม่เดือดร้อน
“เขาจะติดรถคุณจิตออกไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่”
“น้องรู้...คุณพี่ตั้งใจใช่ไหมคะ”
อรุณวตีถามกลับเสียงเรียบ “ตั้งใจอะไร”
“ก็ตั้งใจ”
เสียงวรรณดังขัดขึ้น “คุณรัชนีฉายคะ”
รัชนีฉายหันขวับไปถลึงตามองวรรณที่เดินเข้ามา
“ดึกป่านนี้แล้วคุณไม่ควรรบกวนคุณหญิงท่านนะคะ”
“งั้นดึกป่านนี้แล้ว ทำไมคุณพี่ยังไม่กลับ ไปไหนกับนังเด็กนั่น”
“คุณจิตไปงานเลี้ยงที่บ้านท่านอธิบดี เธอไม่รู้หรอกเหรอ” คุณหญิงบอก
“นั่นมันแค่ข้ออ้าง”
อรุณวตีประชด “แสดงว่าเมื่อก่อนเขาก็อ้างอย่างนี้บ่อยๆ”
รัชนีฉายอึ้ง นิ่งงันไป แล้วสะบัดหน้าเดินอารมณ์เสียออกไป อรุณวตีมองตามนิ่งๆ
“เรื่องมันชักจะเกินไปแล้วนะคะคุณ”
“นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
“แค่เริ่มต้นก็ส่อเค้าวุ่นวายแล้วนะคะ” วรรณเตือน
“ฉันนิ่งมานานเกินไปแล้ว ปล่อยให้วุ่นวายเสียบ้างก็ดี”

นัยน์ตาอรุณวตีฉายแวววาบขึ้นวูบหนึ่ง

อ่านต่อหน้า 3

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 11 (ต่อ)

รัชนีฉายออกมานอกห้องนอนพี่สาว หายใจรุนแรงอย่างคนระงับอารมณ์ไม่อยู่

“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
แววตาของรัชนีฉายวาบขึ้นอย่างร้ายกาจ

ดึกแล้วรถปราจิตแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่ ปราจิตกลับเข้ามาในห้องนอนด้วยท่าทางกรึ่มๆ พอเปิดประตูห้อง เปิดไฟ ก็แปลกใจ เมื่อพบว่ารัชนีฉายนอนอยู่บนเตียงในชุดนอนเซ็กซี่
ปราจิตสะบัดหน้าเบาๆ พยายามสลัดความเมาทิ้ง
“เธอ ไม่ควรเข้ามาในห้องนี้”
รัชนีฉายเข้ามากอดปราจิตไว้จากด้านหลัง กระซิบข้างหูกิริยายั่วยวน
“น้องคิดถึงคุณพี่นี่คะ คิดถึงเหลือเกิน ทนคิดถึงไม่ไหว น้องผิดด้วยเหรอคะ”
“แต่ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“น้องไม่ค้างห้องนี้ก็ได้ค่ะ”
“ถึงไม่ค้างก็ไม่ได้”
“งั้นเราไปที่ห้องน้องนะคะ”
“ไว้วันหลังก็แล้วกันค่ะ วันนี้พี่เพลียเหลือเกิน”
รัชนีฉายไม่ฟัง ปลดกระดุมปราจิตทีละเม็ด
“งั้นน้องเปิดน้ำอุ่นๆ ให้อาบนะคะ จะได้หายเพลีย”
ปราจิตพยายามดันมือรัชนีฉายออก “ไม่ต้องหรอก”
รัชนีฉายลูบไล้อกปราจิตปลุกเร้าอารมณ์
“เถอะค่ะ คืนนี้น้องยินดีบริการคุณพี่ทุกอย่าง”
ด้วยความเมาปราจิตชักเคลิ้มคล้อยตาม สีหน้ารัชนีฉายยิ้มหยันอย่างสะใจ

สองคนไม่ทันเห็นหรือใส่ใจว่า ระหว่างนี้อรุณวตียืนอยู่หน้าห้องหอ แอบมองผ่านประตูที่เปิดแง้มออกเห็นเงาร่างของทั้งสองที่ล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน น้ำตาของอรุณวตีไหลออกมาอย่างเจ็บปวด แต่มือนั้นกลับกำแน่นอย่างไม่ยอมแพ้

วันรุ่งขึ้น อรุณวตีลุกจากเตียงด้วยใบหน้าอ่อนระโหย ก่อนจะเซหน้ามืด และกุมหน้าอกอย่างรู้สึกเจ็บหัวใจ อรุณวตีพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวด แต่ก็ทนไม่ไหว ทรุดลงกับพื้น แน่นิ่งไป

ศจีสะพายกระเป๋าเข้ามาที่โต๊ะทำงาน พอวางกระเป๋า ก็มีเสียงโวยวายของสุวรรณดังลั่นบ้าน
“ตามหมอที ใครช่วยโทร.ตามหมอที”
ศจีจะเดินไปดู วรรณหน้าตื่นออกมา
“มีอะไรคะป้าวรรณ”
“คุณหญิงอาการไม่ค่อยดี รีบโทร.หาหมอเร็วเข้า”
“ค่ะๆ”

แม้จะตกใจ ศจีคุมสติได้ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วรีบหมุนไปตามเบอร์โดยไม่ต้องเปิดสมุด

เวลาผ่านไปหมอรุจน์ชายสูงวัยอายุราว 60 ปี เป็นหมอประจำตระกูล กำลังเก็บกล่องล่วมยา พลางคุยกับอรุณวตี

“ผมฉีดยาแล้วก็ให้ยาคุณหญิงเพิ่มไปอีกตัว แต่คุณหญิงพยายามอย่าเครียดอีกนะครับ”
“หมอสั่งอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ดิฉันก็ไม่เคยทำได้เลย”
“ต้องทำให้ได้นะครับ เพื่อสุขภาพของคุณหญิงเอง แล้วก็...” หมอหันไปพูดกับศจีและวรรณ “ต้องอย่าให้มีเรื่องอื่นมากระทบจิตใจด้วย”
สองสตรีต่างวัยได้แต่ก้มหน้านิ่ง
อรุณวตีชิงตอบว่า “เรื่องนั้นคงยากยิ่งกว่าค่ะ เพราะเราไปบังคับคนอื่นไม่ได้”
หมอรุจน์หัวเราะ “เรื่องนั้นผมทราบดีครับ แต่บางทีการปล่อยวางก็จะทำให้สบายใจมากขึ้น”
“คุณหมอนี่นอกจากรักษาหัวใจแล้วยังรักษาจิตใจด้วยนะคะ” คุณหญิงสัพยอก
“โรคนี้ต้องรักษาทั้งสองอย่างควบคู่กันไปครับ”
“ดิฉันจะพยายามทำอย่างที่คุณหมอแนะนำค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
อรุณวตียกมือไหว้ หมอรุจน์รับไหว้ อรุณวตีพยักพเยิดกับศจีเป็นเชิงบอก
ศจีช่วยหิ้วล่วมยาให้หมอ แล้วเดินออกไปส่ง

วรรณจับมืออรุณวตีไว้ ลูบเบาๆอย่างปลอบโยน
“ขวัญเอ๋ยขวัญมานะคะคนดีของพี่”
“ฉันคงทำให้ทุกคนตกใจ”
“ตอนที่พี่เข้าไปเห็นตกใจแทบแย่ เกือบจะทำอะไรไม่ถูก แต่ตอนนี้พี่ดีใจอย่างที่สุด”
“แต่บางคนคงรอให้มีวันนี้เร็วๆ เสียที”
“ให้เขารอเก้อไปเถอะค่ะ คุณหญิงของพี่เข้มแข็ง จะต้องชนะมารผจญทั้งหลายให้ได้”
วรรณบีบมือให้กำลังใจ อรุณวตีฝืนยิ้มซ่อนความเจ็บปวดร้าวลึก

นวลผ่องนั่งซักผ้าอยู่ตรงลานหลังตึกใหญ่ พลางคุยกับบรรจงอย่างอยากรู้อยากเห็น
“คุณหญิงท่านจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“เห็นหมอมาตรวจแล้วนี่ ท่านก็เป็นโรคเดิมๆ” บรรจงว่า
“แต่ข้าตะหงิดๆ ว่าต้องมีอะไรที่ทำให้ท่านสะเทือนใจ” นวลผ่องนึกได้ “เมื่อคืนคุณรัชนีฉายค้างที่ไหน”
บรรจงย้อน “ทำไมข้าจะต้องบอกเอ็ง”
“ไม่บอกข้าก็รู้ ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น แต่ไม่กล้าพูด”
“ไม่ได้ค้างหรอก แต่กว่าจะลงมาก็เกือบเช้า”
“ตายแล้ว ไหนคุณหญิงเธอเคยห้าม ว่านอกจากคุณท่านแล้ว ไม่ให้ใครเข้าไปใช้ห้องนั้นเด็ดขาด เพราะเป็นห้องหอของคุณท่านกับคุณหญิง ตั้งแต่คุณหญิงไม่สบาย เธอก็ย้ายลงมานอนข้างล่าง ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่ามเลย แล้วนี่…”
“แต่คุณรัชนีฉายเธอเป็นน้อง” บรรจงว่า
“ยังไงก็น้องคนละแม่ละวะ แถมแม่ของคุณรัชนีฉายก็เป็นน้าแท้ๆ ของคุณหญิงเสียอีก แหม อะไรมันจะซ้ำรอยขนาดนั้น”
“ระวังหัวจะขาด”
“เอ็งนั่นแหละจะขาดก่อนเพื่อน เพราะมีอะไรเอ็งก็มาปูดในครัวจนไม่เหลืออะไรลับๆ แล้ว” นวลผ่องด่า
“มีใครในบ้านไม่รู้เรื่องนี้บ้าง”
ศจีเดินผ่านมาพอดี เธอชะงักฟัง จนกระดาษที่ถือมาร่วงลงจากมือ ศจีก้มลงเก็บกระดาษชึ้นช้าๆ พอยืดตัวตรงก็เจอกับสายตาที่มองเขม็งตรงมา เธอวางหน้าเฉยสอดกระดาษเข้าแฟ้ม ตั้งท่าจะออกเดิน แต่ถูกวรรณที่จ้องอยู่พยักหน้าเรียกเสียก่อน
“อะไรคะ ป้าวรรณ”
“เย็นนี้จะมีแขกมาทานน้ำชาไม่ใช่เหรอ มาตรวจรายชื่อของว่างหน่อยสิ”
วรรณเดินนำหน้าไป ศจีเดินตาม มองอย่างรู้ทันว่าพี่เลี้ยงคุณหญิงผู้เป็นนาย ไม่ได้เรียกไปด้วยเหตุผลที่บอกเป็นแน่

วรรณเดินเข้ามาในห้องพักแขกบนตึก หยุดอยู่กลางห้อง แล้วหันไปทางศจี ถามเสียงขุ่น
“รู้เรื่องดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
ศจีมองตอบตรงๆ แต่ไม่ปริปาก
“เรื่องอย่างนี้มันปิดไม่ค่อยมิด แต่ เราก็ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นเกินความจำเป็น”
“ถ้าต้องการจะปิดให้มิด ก็ไม่ควรประเจิดประเจ้อเกินความจำเป็นสิคะป้าวรรณ”
วรรณขมวดคิ้ว นิ่งอึ้ง
“มันนอกเหนือจากที่เราจะพูดได้ แต่ที่เราทำได้คือ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย อย่างน้อยก็เห็นแก่คุณหญิงเธอ”
“คุณหญิงท่านก็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่เหมือนกันเหรอคะ”
วรรณค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อล้า
“นั่นมันเรื่องในครอบครัวของเธอ เราเองในเวลานี้ก็เสมือนคนในการจะเอาไฟในออก ไฟนอกเข้า มันไม่สมควร”
“แต่ไฟกลางเรือน ไม่มีใครคิดจะดับให้คุณหญิงท่านเลยเหรอคะ”
วรรณถอนใจยาว ท่าทางเหมือนจะใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณหญิงท่านสามวันดี สี่วันไข้ อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ งานการท่านก็ต้องทอดธุระให้คุณรัชนีฉาย อีกอย่างนึง นั่นก็เป็นน้องแท้ๆ ถึงจะเป็นไฟก็ไฟเย็น ไม่เดือดร้อนอะไรนักหนา”
“แต่ก็ยังเป็นไฟใช่ไหมคะป้า” ศจีย้อนถาม
“มนุษย์ มันต้องมีไฟในหัวใจกันทั้งนั้น สุดแต่ว่าเชื้อไฟของใครมันจะมากกว่ากัน ถ้าเชื้ออิจฉา ริษยา ชิงดีชิงเด่นมันมีมาก ไฟมันก็ลามเลียมาก คุณหญิงท่านดับเชื้อลงเสียหลายกองแล้ว ถ้าไม่มีใครไปเติมเชื้อให้ท่านอีก มันก็คงจะไม่กระไรนักหนา”
ศจีเยื้อนยิ้มนิดๆ “ฉันก็ไม่ใช่นักเติมเชื้อหรอกป้า แต่ใครอย่ามาจุดไฟให้ฉันก็แล้วกัน”
วรรณสบสายตากับศจีจังๆ

สายตาคู่นั้นทำให้หญิงสูงวัยรู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ

อ่านต่อหน้า 4

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 11 (ต่อ)

วรรณบอกกับอรุณวตี ขณะยกน้ำชาเข้ามาให้

“แม่ศจีนี่ น้ำนิ่งไหลลึกนะคะ”
“ทำไมล่ะพี่วรรณ”
“เขาพูดเป็นนัยๆ เรื่องคุณรัชนีฉาย”
อรุณวตียิ้มเยือกเย็น “ใครอยู่นานไปก็ต้องรู้จนได้แหละพี่วรรณ ควันความมันปิดมิดอยู่เหรอ”
“อิฉันไม่ค่อยไว้ใจแม่คนนี้”
“ไม่ใช่เฉพาะเด็กศจีหรอกค่ะพี่วรรณ คนที่เราไว้ใจที่สุด เขาก็ยังกลายเป็นคนไม่น่าไว้ใจไม่ใช่เหรอ เกียรติยศนี่มันแปลกนะพี่วรรณ มันทำให้เราต้องอดทนไปเสียทุกอย่าง”
วรรณเอื้อมมือไปลูบเท้าของอรุณวตีอย่างเบามือ
“พี่วรรณบอกตั้งแต่ทีแรกแล้ว ให้ตัดไฟเสียแต่หัวลม”
“เขาก็จุดดวงใหม่อีกละพี่วรรณ ไอ้กองอื่นหรือเราก็ตามไปดูไม่ถนัดอีกอย่าง ถ้าไปปะทุที่อื่น จะพลอยยุ่งมาถึงตำแหน่งหน้าที่ พี่วรรณก็รู้อยู่ว่างานกระทรวงนี้ใครมีด้วงมีแมงได้เสียเมื่อไหร่”
“แล้วที่คุณคิดใหม่นี่ มันจะงามหรือ”
“ถ้าไฟกองเก่าลุกลามนัก มันก็ต้องก่อเชื้อใหม่ละพี่วรรณ ทางโน้นน่ะลุกไหม้มานาน เชื้อไฟมันคงลดลงแล้ว” คุณหญิงยิ้มอย่างมีนัย “เชื้อใหม่ของฉันนี่ฉันอบรมบ่มมากับมือ อายุอานามก็เห็นจะยังไม่ทันแก่กล้าเท่าไหร่นัก”
“ดูคนแต่หน้าไม่ได้นะคะ มันต้องดูเนื้อด้วย” วรรณทักท้วง
“เนื้อแกก็ไม่มีอะไรนี่พี่วรรณ คนขาดแคลนไปเสียทุกอย่างนั้น ถ้าเติมให้เต็มขึ้นมาได้ ใครๆ ก็อยากตักตวง ขั้นแรกก็ต้องให้คุ้นกับความสบาย ได้เห็นสิ่งล่อตาล่อใจ ลงท้าย เขาก็เดินมาเอง”
“แล้ว...คุณรัชนีฉาย” วรรณอดสงสารไม่ได้
อรุณวตียิ้มเยือกเย็น “พี่วรรณก็รู้ เวลาของฉันมีไม่มากนักหรอก และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นั่นมันปัญหาของรัชนีฉายที่เขาจะต้องแก้ไขเอาเอง”
วรรณได้แต่มองอรุณวตีอย่างไม่แน่ใจนัก แต่สีหน้าอรุณวตีกลับมั่นใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่

กลับถึงบ้าน ชีวินและแกมแก้วรีบรุดเข้ามาเยี่ยมอรุณวตีทันที
“แม่ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ ไม่ต้องห่วง”
“แล้วคุณพ่อรู้หรือยังคะ”
“ยังจ้ะ วันนี้คุณพ่อมีภารกิจติดตามท่านรัฐมนตรีทั้งวัน แม่ไม่อยากให้มีอะไรไปรบกวนท่าน”
“ทั้งที่คุณพ่อมีเรื่องมารบกวนคุณแม่อยู่ตลอดเวลา” ชีวินอดประชดไม่ได้
“ลูกไม่ควรพูดถึงคุณพ่อแบบนั้นอีกนะจ๊ะ แม่ไม่สบายใจเลย”
“ขอโทษครับ ผมมันอดไม่ได้จริงๆ แล้วคุณแม่เครียดเรื่องอะไรครับ”
“จะเรื่องอะไรอีกละคะพี่วิน ถ้าไม่ใช่เรื่อง...” แกมแก้มจะหลุดปากคำว่ารัชนีฉาย ออกมา
อรุณวตีปราม “ลูกแก้ว”
“ก็มันจริงนี่คะ”
“แม่ก็เป็นแบบนี้ สามวันดีสี่วันไข้ แม่จึงอยากเห็นลูกทั้งสองมีคนดูแลที่ดี มีรากฐานให้เติบโตต่อไปในวันข้างหน้า”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกครับ เรารักคุณแม่มาก ผมกับลูกแก้วจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง”
อรุณวตีกอดลูกทั้งสองไว้คนละข้าง ชีวินกัดกรามแน่น มองคุณหญิงมารดาอย่างสงสารและเห็นใจ

ชีวินนั่งเหม่ออยู่ในสวนสวยหน้าบ้านคนเดียว จวบจนศจีถือเอกสารเดินออกมาแล้วชะงักมอง ชีวินหันไปเห็นเธอพอดี
“ยังไม่กลับเหรอครับศจี”
“พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงน้ำชาที่นี่ ดิฉันเลยต้องดูแลจนเสร็จน่ะค่ะ พี่วินท่าทางกังวล เรื่องสุขภาพของคุณหญิงใช่ไหมคะ”
“นั่นเครียดแต่ชินแล้วครับ ตอนนี้เครียดเรื่องอื่นมากกว่า”
“ดิฉันเคยคิดว่า คนที่มีทุกอย่างพร้อม ไม่น่าจะเครียดเรื่องอื่นอีก จนกระทั่งได้เข้ามาอยู่ที่นี่”
ชีวินหัวเราะนิดๆ อย่างขมขื่น
“บางครั้ง ชีวิตอย่างพวกเราก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เห็นหรอกครับเราอาจจะต้องเลือกหน้าตาและศักดิ์ศรีก่อนความสุขของตัวเอง”
“ถ้าพี่วินเคยจน พี่วินจะไม่พูดอย่างนี้”
ชีวินมองอย่างฉงน ศจีพูดต่อว่า
“เวลาที่เราจน เราไม่มีอะไรเลยแม้แต่ความสุข ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาหรือศักดิ์ศรี เราไม่มีสิทธิ์จะเลือกอะไรทั้งนั้น พวกคุณยังดีที่มีโอกาสได้เลือก ขอให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริงเถอะค่ะ”
ชีวินมองหน้าศจีอย่างทึ่งในความคิดแบบผู้ใหญ่ของเธอ
“ศจีเข้าใจพูด ทำให้พี่รู้สึกว่าปัญหาของตัวเองเล็กลงไปทันที”

สองคนไม่ทันเห็นว่า รัชนีฉายยืนอยู่หลังพุ่มไม้ มองทั้งสองคนอย่างมีแผนร้าย

สองคุณน้าคุณหลานนัดพบกันในร้านอาหารหรู ที่นัดประจำ สิริกันยาถามย้ำอย่างโกรธเกรี้ยว

“อะไรนะคะคุณน้า นังนั่นมันกล้าขนาดนั้นเชียวเหรอ”
รัชนีฉายใส่ไคล้ชุดใหญ่ “มันเล่นหูเล่นตากับตาวิน คงกะจะจับหวังไต่เต้าขึ้นจากสลัมมาอยู่คฤหาสน์”
สิริกันยาแค้นจัด “ที่แท้พี่วินก็หลงเสน่ห์มัน ถึงพยายามเลี่ยงยาตลอด”
“นังเด็กคนนี้มันร้ายนัก ให้ท่าทุกคนในบ้าน แม้กระทั่ง...”
สิริกันยานึกได้ทันที “ตายแล้ว คุณอาจิตด้วยเหรอคะ”
รัชนีฉายหายใจแรงอย่างอัดอั้น
“น้าเห็นแววมันตั้งแต่แรกแล้ว มักใหญ่ใฝ่สูง กิ้งก่าได้ทอง ทำท่าจองหองพองขน คงอยากจะปีนป่ายขึ้นไปเป็นคุณหญิงคุณนายกับเขาบ้าง”
“ยาไม่มีวันปล่อยให้มันได้พี่วินไปหรอกค่ะ ไม่มีทาง”
รัชนีฉายยิ้มกับสิริกันยาอย่างพร้อมจะร่วมมือร่วมใจจัดการศจี

ภายในห้องทำงานชีวิน ที่กระทรวงต่างประเทศ เวลาบ่ายวันนั้น ชีวินเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร สีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นสิริกันยาปรี่เข้ามาอย่างดีใจ
“พี่วินอยู่นี่เอง”
“ยามาได้ยังไงครับ”
“ยามารอคุณพ่อค่ะ เย็นนี้ยาจะไปงานเลี้ยงบ้านท่านทูตฝรั่งเศสแทนคุณแม่ พี่วินไปด้วยกันไหมคะ”
“งานพี่ยังไม่เสร็จเลยครับ แล้วเขาก็ไม่ได้เชิญพี่ด้วย”
“งั้นยาขอเวลาสักประเดี๋ยว มีเรื่องอยากจะปรึกษาพี่วินหน่อยค่ะ”
ชีวินดูนาฬิกา “นี่มันยังเป็นเวลางาน”
“ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นค่ะ มันเป็นเรื่องในบ้านของพี่วินเอง ยาไม่สบายใจถ้าไม่ได้เล่าให้พี่วินฟัง”
ชีวินมองหน้าสิริกันยาอย่างสงสัย สิริกันยายิ้มกริ่ม

สองหนุ่มสาวคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งในสวนสวยของกระทรวง ชีวินส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้
“ไม่จริง เอาอะไรมาพูด”
“คุณแม่ยาได้ยินมาอย่างนี้จริงๆ ค่ะ ยาก็เลยอยากได้ยินจากปากพี่วินเองว่ามันจริงหรือเปล่า”
“ข่าวโคมลอยของคนที่หาสาระไม่ได้”
น้ำเสียงขุ่นเคืองนั้นทำเอา สิริกันยาแอบสะดุ้ง
“ยาขอโทษนะคะที่ทำให้พี่วินไม่สบายใจ แต่ยาเห็นท่าทางเด็กศจีคนนั้น เอ่อ...ไม่เบาเหมือนกันนะคะ คุณพ่อพี่วินก็คง...”
ชีวินสวนออกมา “หยุดพูดเดี๋ยวนี้! ถ้าเรารักจะคบหากันต่อไป ไม่ว่าในฐานะใดเธอไม่ควรเอาเรื่องบัดสีอย่างนี้มาเข้าหูพี่ หรือคนในครอบครัวของพี่ โดยเฉพาะคุณแม่ เพราะท่านกำลังไม่สบาย เธอก็รู้”
“ยาถึงมาถามพี่วินไงละคะ อยากให้พี่วินช่วยระวังไว้ด้วย”
“พี่ไม่ระวังอะไรทั้งนั้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง”
“ยาสบายใจค่ะที่พี่วินยืนยันอย่างนี้”
“อย่าพูดเรื่องแบบนี้ให้พี่ได้ยินอีก จำไว้”
พูดจบชีวินก็ผลุนผลันออกไป สิริกันยามองตามยิ้มกริ่มออกมาอย่างสาสมใจ

อีกฟาก แกมแก้วชะเง้อมองรอใครบางคนอย่างกระวนกระวายอยู่บริเวณตึกเรียนคณะรัฐศาสตร์ พอเห็นใครบางคนก็ดีใจ รัตนาพรวิ่งเข้ามากระซิบ
“มาแล้วๆ”
สุพรรณเดินผ่านทางที่ทั้งสองรออยู่ แกมแก้วรีบลุกขึ้น
“พี่พรรณคะ พี่พรรณ”
สุพรรณชะงัก หันมามองทักทาย
“น้องลูกแก้ว น้องรัต”
แกมแก้วยื่นกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งให้เขา สุพรรณมองงงๆ
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ค่ะพี่พรรณ”
“ลูกแก้วทราบได้ยังไงครับ”
“เอ่อ...บังเอิญ...”
รัตนาพรบอกตามตรง “รัตได้ยินจากพี่นัยน่ะค่ะ”
สุพรรณพยักหน้ารับรู้ แต่ยังลังเลที่จะรับ
“ของขวัญวันเกิดพี่พรรณ รับไปสิคะ”
“ท่าทางจะเป็นของแพง พี่รับไม่ได้หรอกครับ”
“ลูกแก้วตั้งใจให้พี่พรรณนะคะ ถ้าพี่พรรณไม่รับลูกแก้วจะเสียใจมาก”
สุพรรณมองหน้าแกมแก้ว เห็นแววตาที่เว้าวอนจึงใจอ่อน เอื้อมมือไปรับมา
“ขอบคุณครับ พี่แกะดูได้เลยไหม”
“ได้สิคะ ลูกแก้วอยากรู้ว่าพี่พรรณจะชอบหรือเปล่า”
สุพรรณแกะกล่องของขวัญ แกมแก้วมองหน้ากับรัตนาพร ด้วยสีหน้าลุ้นๆ ว่าจะถูกใจเขาไหม

ค่ำคืนนั้น สุพรรณพลิกเข็มกลัดในมือไปมา ดนัยอาบน้ำเสร็จเข้าห้องมาเห็น
“โอ้โฮเฮะ สวยนี่หว่า เข็มกลัดเนคไทเหรอ”
ดนัยจะคว้าเอาไป แต่สุพรรณชักมือกลับเสียก่อน
“เริ่มหวงแล้วเรอะ”
“มันคนละอย่างกัน ของชิ้นนี้แบ่งไม่ได้โว้ย”
สุพรรณเก็บเข็มกลัดนั้นใส่กล่องไว้อย่างเดิม
“อ๊ะ รีบเก็บเชียว แค่กล่องยังหรูเลย ไอ้พรรณเอ๋ย ข้าละอิจฉาเอ็งจริงๆ ว่ะ นี่ได้ข่าวว่าเขาจะจัดวันเกิดให้เอ็งด้วยนี่ แล้วเอ็งจะว่ายังไง จะไปหรือเปล่า”

สุพรรณมีสีหน้าครุ่นคิดหนักใจเอาการว่าจะรับไมตรีน้องรหัสดีไหม?

อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น