คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 9
ค่ำลง ไฟหน้าซ่องยายปริก ทยอยเปิดทีละดวงๆ จนสว่างจ้า แต่กลับไม่คึกคักลูกค้าบางตาจนน่าใจหาย โสภากำลังออดอ้อนลูกค้าประจำรายหนึ่งที่เดินผ่านมา
“พี่เอิบขา หายหน้าไปนานเลย แวะคุยกับโสภาก่อนนะคะ”
เอิบบอก “ไม่ได้จ้ะ พักนี้เมียพี่เลือดจะไปลมจะมา เดี๋ยวกลับไปมันดักตีหัวพี่พี่ไปก่อนนะจ๊ะ”
โสภาเซ็ง เข้ามานั่งบ่นกับอู๊ด
“วันนี้ลูกค้าหายไปไหนหมดนะ”
“กลางเดือนก็อย่างนี้แหละเอ็ง แม่ไม่ลดแลกแจกแถม เขาก็ไปพวกอาบอบนวดกันหมดแล้ว”
ถวิลมองไป “เฮ้ยๆ นั่นนังจีใช่ไหม”
“ใช่ เรียกมันมาคุยหน่อยซิ อยากรู้เรื่องที่แม่กุเรื่องไอ้ซิงค์เป็นพ่อมันขึ้นมามันจริงหรือเปล่าวะ” อู๊ดว่า
ถวิลร้องเรียกซะดัง “จี...จีเอ๊ย...”
ศจีทำเมินไม่สนใจ เหมือนไม่ได้ยิน
ถวิลหมั่นไส้ “ดูซิมันหยิ่ง ทำเป็นไม่มองพวกเรา”
“ตั้งแต่มันไปทำงานบ้านผู้ดี ก็มองพวกเรายังกับหมา” รินค้อนควัก
“แม่แกว่าโตขึ้นมันจะเป็นนายคน” อู๊ดเลียนเสียงยายปริก “เพชร ยิ่งเจียร ยิ่งขัด ก็ยิ่งส่งรัศมี”
โสภาหมั่นไส้ “เพชรแพทอะไร้ อย่างเก่งก็แค่โป่งหรือมอระขวดละว้า สกุลรุนชาติแต่บ้าน ‘รั้วใหญ่’ ตระกูล ‘ใจกว้าง’ จะไปได้สักแค่ไหน คุยให้เหม็นขี้เหงือก”
“อ้าว ผู้ดีเขาต้องมีของเก่าขายกิน นังจุกมันก็เคยขายของเก่า ทำไมจะเป็นผู้ดีผู้ด่างตะกางใหญ่ไม่ได้ยะ”
พรรคพวกหัวเราะกันเฮฮากับคำพูดถวิล
“ชื่อมันก็บอกแล้วอนาคต มันก็ต้องโย้ๆ เย้ๆ เลี้ยวเข้ามาตามซอกตามซอยบ้าง มันไม่ใช่อนาตรงนี่หว่า มันจะได้ราบเรียบตรงแหนวยังกะซุปเปอร์ไฮเวย์” โสภาว่า
“จะเท่าไหร่เชียวว้า มันก็แค่หลานแม่เล้า” รินดูถูก
บรรดาลูกเล้าต่างพากันพยักพเยิดอย่างเห็นด้วย
ศจีกลับเข้ามาในบ้าน สีหน้าเคร่งเครียด แต่จุกซึ่งนั่งรออยู่ดีใจมาก
“จี กลับมาแล้วเหรอลูก กินข้าวมาหรือยัง”
“ยังจ้ะ”
จุกยิ่งดีใจ “แม่รอกินด้วยอยู่พอดีเลย ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน เดี๋ยวแม่จะตั้งโต๊ะไว้”
ศจีมองหน้าจุกอย่างชั่งใจ
“แม่...”
จุกมองหน้าลูกท่าทีหวาดหวั่น
“จี ถ้าจะถามเรื่องเดิมๆ น่ะ แม่ขอร้องนะ แม่ไม่อยากพูดถึงมันอีก”
“ฉันไม่สนใจแล้วละแม่ ว่าใครจะเป็นพ่อฉัน แล้วพ่อศรีจะรู้อะไรมากแค่ไหนฉันจะไม่ยอมให้อดีตของฉันมาทำลายวันพรุ่งนี้หรอก”
พูดจบศจีก็เดินเข้าห้องไป จุกมองตาม น้ำตาคลอด้วยความดีใจ
ตอนสายวันหนึ่ง สุพรรณเดินหงุดหงิดเข้ามาหน้าตึกคณะ วางหนังสือดังโครม ดนัยมองอย่างรู้ทัน
“อย่าเพิ่งเศร้าไปเลยวะพรรณ กะอีแค่หลาน...”
คำว่าแม่เล้าเกือบจะหลุดจากปากรอมร่อ แต่สุพรรณมองหน้าเป็นเชิงปราม ดนัยจึงชะงัก
“ข้าไม่ได้เศร้า ข้าแค่ผิดหวังกับใจคนเท่านั้น”
“โน่น เอ็งดูโน่น ดอกฟ้าพร้อมจะโน้มกิ่งลงมาหาเอ็งทุกเมื่อ จะไปสนใจดอกหญ้าข้างทางทำไมวะ”
แกมแก้วเดินเข้ามาพร้อมกับถุงขนม พลางยกมือไหว้ทั้งสอง รัตนาพรที่มาพร้อมกันก็ยกมือไหว้ด้วย
“สวัสดีค่ะ พี่พรรณ พี่นัย ลูกแก้วแวะซื้อขนมมาฝากค่ะ”
“จากโรงแรมหรูเชียวนะคะ ต้องโทรไปจอง เพราะเขาทำวันต่อวัน สายๆ ก็หมด” รัตนาพรเสริม
สุพรรณรับขนมมาอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ขอบคุณครับ”
“แล้วน้องรัตไม่มีขนมมาฝากพี่บ้างเหรอครับ”
“พี่นัยก็ขอแบ่งจากพี่พรรณสิคะ”
สุพรรณทำท่าหวง “ของน้องรหัสข้า”
“โธ่ อะไรวะ ของแค่นี้ก็ต้องหวงด้วย น้องรหัสข้าไม่ใจดีอย่างน้องรหัสเอ็งก็แล้วไป”
“แหม พี่นัย รัตก็ซื้อมาเผื่อนะคะ รัตแค่พูดเล่น” รัตนาพรยื่นถุงเล็กๆ ให้ “เอ้า นี่ไง”
“ขอบคุณนะครับน้องรัต”
“ข้าก็พูดเล่น” สุพรรณยื่นถุงขนมให้ดนัย “เอ้า แบ่งให้” เขาหันมาทางแกมแก้ว “ลูกแก้วอนุญาตนะครับ”
“ไม่ต้องขออนุญาตลูกแก้วหรอกค่ะพี่พรรณ มันเป็นของพี่พรรณแล้ว จะแบ่งให้ใครก็ได้”
“อ้อ เย็นนี้คณะเราจะซ้อมเชียร์ครั้งใหญ่ ลูกแก้วอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ”
“ลูกแก้วอยู่แน่นอนค่ะพี่พรรณ”
“อ้าว ไม่ชวนฉันเลย” รัตนาพรตัดพ้อ
“ตัวก็ไปด้วยกันอยู่แล้วนี่”
“คุณหญิงแม่ตัวไม่ว่าเหรอ”
“ฮื้อ ท่านไม่ว่าอะไรหรอก ตอนนี้ท่านมีเพื่อนคุยแทนฉันแล้ว”
“งั้นเย็นนี้เจอกันนะครับน้องลูกแก้ว น้องรัต”
แกมแก้วสบตาสุพรรณเขินๆ
เย็นวันนั้น ศจีนั่งจัดเอกสารเข้าแฟ้มอยู่ ขณะอรุณวตีเดินเข้ามา
“หนู วันนี้ท่านจะไปงานเลี้ยง น้องรัชนีฉายเขาก็ว่าจะไปงานวันเกิดเพื่อนยายลูกแก้วเขาก็ติดเชียร์ หนูอยู่เป็นเพื่อนทานข้าวเย็นกับฉันก่อนได้ไหมจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ”
อรุณวตียิ้มพอใจ
ถัดมา อาหารบนโต๊ะซึ่งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด น่าทานทั้งสิ้น แต่มีเพียงอรุณวตีกับศจีนั่งกินกันอยู่แค่สองคนโดยมีบรรจงกับนวลผ่องยืนคอยรับใช้อยู่
อรุณวตีตักอาหารเข้าปากอย่างเฉยเมย เสมือนไม่ได้รู้รสอาหารเลยแม้แต่น้อย
“อาทิตย์หน้าเราจะมีประชุม เรื่องสัปดาห์สินค้าไทยกัน หม่อมท่านมีความเห็นว่า เราควรจะยกเรื่องสินค้าผ้าไทยขึ้นมาพูดกันเป็นหลัก ฉันอยากให้หนูเข้าประชุมด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“เราคิดจะจัดนิทรรศการเรื่องผ้าไทยกัน แต่ไม่อยากได้นางแบบอาชีพที่ซ้ำๆ หน้า บางที หนูอาจจะช่วยเราได้บ้าง”
“ดิฉันไม่ถนัดเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเดินแบบ เคยแต่แสดงละครเวทีของโรงเรียน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะเรื่องนั้น ทางหม่อมท่านมีคนฝึกสอนให้ ถ้าหม่อมท่านขอร้อง หนูก็ช่วยท่านเสียหน่อยนะ”
“เจ้าค่ะ”
อรุณวตีมองไป เห็นใครบางคนก็ยิ้มกว้างดีใจออกมา
“อ้าว ตาวิน ทานข้าวหรือยังลูก”
ชีวินเดินเข้ามา มองศจีแว่บหนึ่ง ก่อนจะตอบ
“แม่ยังมีอะไรเหลือให้ผมไหมละครับ”
ชีวินเข้ามายื่นจมูกแตะซอกคอแม่ พลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้
“ไหนว่าจะกลับค่ำ”
“ผมกลับมาแต่วัน แม่ไม่ดีใจเหรอครับ”
“สงสัยจะกลับมาอาบน้ำ แล้วออกไปอีกมากกว่า”
บรรจงกับนวลผ่องเริ่มเสิร์ฟซุปผักให้ชีวิน
“ไอ้พวกของกระจุ๋มกระจิ๋มไม่เอา ขออย่างชนิดกินอิ่มๆ ดีกว่า” เขาบอก
อรุณวตีพยักบอกกับนวลผ่อง “เสิร์ฟข้าวเลย”
นวลผ่องตักข้าวให้ชีวิน
“ตักมากๆ หน่อย หิวจะแย่”
นวลผ่องตักไม่ทันใจ ชีวินคว้าหม้อมาตักเอง ศจีมองอย่างแปลกใจกับความไม่มีพิธีรีตองของเขา
ถวิลเดินร้องไห้เข้ามาหายายปริก
“ฮือๆ แม่ แย่แล้ว ไอ้ซิงค์ ๆ มัน ฮือๆ”
“หา ไอ้ซิงค์ตายแล้วเหรอ”
“ฮือๆ มันไม่ตายน่ะสิแม่ มันออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
ยายปริกปริกตบเข่าฉาดใหญ่ “อุวะ ทำไมไอ้หน้าเลือดอย่างมันถึงดวงแข็งนัก”
“พรุ่งนี้มันตามมาทวงหนี้พวกเราแน่ ตอนแรกนึกว่ามันจะตาย ฉันเลยเอาเงินที่จะใช้หนี้ไปลงหวยหมดเลย” อู๊ดบ่นหน้าเครียด
โสภาสอดขึ้น “โดนแดกเรียบเลยสิพี่”
“ก็เออสิวะ” อู๊ดว่า
“ส่วนฉันก็เอาไปไถ่นาให้พ่อกับแม่ เงินไม่เหลือสักบาท โอ๊ย...กลุ้ม” ถวิลยิ่งเครียด
“คราวนี้ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ” รินบอก
ยายปริกคำราม “ฮึ่ม มันจะไปทวงหนี้ใครให้ไปทวงที่อื่น แต่ไม่ใช่ที่นี่”
อู๊ดประหลาดใจมากกว่าตกใจ “หา ว่าไงนะแม่ แม่พูดจริงเหรอ”
“คนอย่างกูไม่เคยพูดเล่น ถ้าไอ้ซิงค์เข้ามาบ้านกู กูไม่โกนขนให้หมดหัวไม่ใช่อีปริก!”
ยายปริกสำทับด้วยการตบโต๊ะอีกฉาดใหญ่ บรรดาลูกเล้าต่างมองหน้ากันด้วยความดีใจ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 9 (ต่อ)
รัชนีฉาย และ สิริกันยา นัดเจอกัน สองสาวนั่งทานอาหารกันอยู่ในร้านอาหารหรูหรา สิริกันยาโวยวายอย่างหัวเสีย
“ยาไม่ยอมนะคะคุณน้าขา พี่วินทำแบบนี้ยารับไม่ได้ค่ะ”
“ใจเย็นๆ นะจ๊ะหนูยา น้าก็เห็นวันนั้นนายวินพาหนูยาออกไปฉลองนี่จ๊ะ ไหนเล่าให้น้าฟังซิว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น”
สิริกันยาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พี่วิน พายาไปทานอาหารที่...ที่ร้านข้างทางค่ะ”
รัชนีฉายสีหน้าตกอกตกใจมาก
“อะไรนะจ๊ะหนูยา นายวินกล้าทำอย่างนั้นเชียวเหรอ”
“ยิ่งกว่านั้นเสียอีกค่ะคุณน้า”
สิริกันยานึกถึงเหตุการณ์วันนั้นด้วยความเจ็บใจ
ที่ร้านข้ามต้มข้างทาง สิริกันยามองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก
“พี่วินพายามาที่ทำไมคะ”
สิริกันยากับชีวินยืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่กำลังนั่งกินข้าวต้มกุ๊ย
“ก็มาทานข้าวฉลองที่พี่สอบเข้ากระทรวงได้ยังไงละครับ”
สิริกันยามองไปรอบๆ อย่างรังเกียจมาก
“แต่ว่า ที่นี่มัน...”
ชาย 1 แต่งตัวมอมแมม ท่าทางเหมือนผู้ใช้แรงงาน บนบ่ามีผ้าสกปรกพาดอยู่ ตะโกนสั่งดังลั่น
“แปะ ซุปตีนไก่ได้หรือยัง”
“ฮ่อๆ รอเหลียวๆ”
ชาย 2 สั่งตาม “ของอั๊วยังไม่ได้เลย รอนานแล้วนะโว้ย”
“ใจเยงๆ กะลังทำอยู่”
สาวไฮโซมีสีหน้าขยะแขยงจนสุดจะทน
“ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ยี้ เราควรจะไปภัตตาคารหรูๆ ตามโรงแรม หรือร้านอาหารมีระดับไม่ใช่เหรอคะ
“พี่ว่าที่นี่เป็นชีวิตจริงๆ ดีออก เผลอๆ อาหารจะอร่อยกว่าภัตตาคารหรูด้วยซ้ำ”
เด็กเสิร์ฟเดินผ่านมาเกือบชนสาวเจ้า สิริกันยาทำสีหน้ารังเกียจ ดูแคลนใส่
“ยาไม่เคยทานอาหารในที่แบบนี้ ยารับไม่ได้ค่ะ”
“งั้นยาก็ควรจะหัดไว้ พี่จะเป็นนักการทูต พี่ก็ต้องรู้จักประเทศของตัวเองให้ดีก่อนถึงจะไปบอกกับคนอื่นได้ว่าประเทศเราเป็นยังไง”
“แต่ยาไม่อยากทานที่นี่ ไว้วันหลังพี่วินมาทานคนเดียวก็ได้นี่คะ”
“ถ้างั้น พี่จะส่งยากลับบ้านก่อน” ชีวินไม่ใส่ใจใดๆ
“ไม่ค่ะ พี่วินต้องพายาไปฉลองที่อื่น” สิริกันยาออกคำสั่ง
“พี่หิวแล้ว ทานที่นี่แหละ ร้านนี้อร่อยมากนะ”
“ยาทานไม่ลง”
“งั้นก็ไม่ต้องทาน นั่งเป็นเพื่อนพี่ก่อนก็ได้ครับ พออิ่มแล้วพี่จะไปส่งยาที่บ้าน”
ชีวินไปนั่งแหมะลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง สิริกันยามองอย่างขัดใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่อย่างนั้น
พอฟังจบแล้ว รัชนีฉายโวยวายขึ้นมาอย่างโกรธแค้นแทน และรับไม่ได้
“อุ๊ยตายแล้ว ทำไมถึงทำอย่างนั้น”
“ยาก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ยาไม่เข้าใจพี่วินเลย”
“แล้วหนูต้องนั่งทานกับเขางั้นเหรอ”
“ยาจำใจค่ะ จำใจที่สุดในชีวิต แต่ยาทานอะไรไม่ลงเลย ได้แต่นั่งดูพี่วินทานของสกปรกโสโครกพวกนั้น”
“ทำไมยาไม่บอกน้าก่อนหน้านี้จ๊ะ”
“ยาอายค่ะ ไม่กล้าบอกใครว่าต้องไปนั่งในร้านแบบนั้น แล้ว ยาก็ไม่อยากให้พี่วินถูกดุ แต่ในเมื่อคุณน้าถามขึ้นมา ยาก็เลยต้องเล่า เพราะยาอัดอั้นมาหลายวันแล้ว”
“โธ่ หนูยา อย่าทนอัดอั้นอยู่คนเดียวนะจ๊ะ ต่อไปมีอะไรก็เล่าให้น้าฟังเถอะจ้ะ น้าจะอยู่ข้างหนูเสมอ”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า ยาสบายใจที่ได้เล่าออกมาบ้าง ถ้าพี่วินเป็นแบบนี้ ยาเป็นห่วงอนาคตของเขาค่ะ เขาจะเป็นนักการทูตที่ดีได้ยังไง”
“ฮึ่ม...เห็นทีต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียแล้ว”
นัยน์ตารัชนีฉายแวววาบขึ้นมาอย่างร้ายกาจ
ชีวินตักอาหารกินอย่างรวดเร็วท่าทีหิวโหย อรุณวตีมองลูกชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะถาม
“งานที่กระทรวงเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรมากหรอกครับแม่ นอกจากคอยเอาใจพวกฝรั่งทั้งวัน เบื่อจะแย่”
“มันก็คืองานของเรานี่ลูก”
“แต่ผมคิดว่าน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ฝรั่งมาเมืองไทยก็น่าจะเอาใจเราบ้าง”
“เราได้ประโยชน์จากเขา เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับเขาสิลูก”
“เราได้ประโยชน์คนเดียวเมื่อไรละครับ มันก็ได้ด้วย”
ศจีลอบยิ้ม ชื่นชมในความคิดของชีวิน เขาหันมามองเธอ
“หรือศจีว่าไงครับ”
“ถ้าเราเลือกหน้าที่เป็นนักการทูต เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักการทูต ประสานประโยชน์ของเขากับของเราให้ลงตัวที่สุดค่ะ” ศจีว่า
“งั้นพี่คงไม่ใช่นักการทูตที่ดีนัก เพราะพี่ประสานประโยชน์กับใครไม่เป็น”
“ลองหัดประสานดูบ้างก็ดีนะจ๊ะลูก”
“ผมคงทนไม่ได้ ถ้าเจอพวกปากหวานก้นเปรี้ยว หรือพวกแบ่งชนชั้นดูถูกคนอื่น” ชีวินบอกอีก
“แย่จริง นักการทูตอะไรไม่มีความอดกลั้น” อรุณวตีเย้า
“คนเรา บางคนมีหน้ากากมากเกินไป จนบางทีก็ลืมไปว่า หน้าไหนหน้าจริงหน้าไหนหน้าปลอม ของผม” ชายหนุ่มเคาะหน้าตัวเอง “มันมีอยู่หน้าเดียว ยังหัดถอดหัดวางไม่ได้ รอให้หน้าที่มันรัดเข้ามาเสียก่อน บางที จะวางไว้หลายหน้าละมั้ง” แล้ววางช้อนส้อมลง “ผมอิ่มแล้ว ขอตัวนะครับ”
“อ้าว ไม่ทานของหวานเหรอจ๊ะ”
“ไม่ละครับ ไว้หิวตอนดึกๆ ค่อยมาทานก็แล้วกัน”
ชีวินลุกออกไปเลย ศจีมองตามชีวินด้วยความรู้สึกค่อนข้างทึ่ง แต่อรุณวตีกลับส่ายหน้า
“ดูเถอะ แต่ละคน ทั้งลูก ทั้ง...” คุณหญิงถอนใจ “ฉันเสียใจไม่ควรให้เขาเรียนการทูตประเทศไหนมีทูตอย่างนี้ก็เห็นจะแย่หน่อย”
“แต่บางสถานการณ์อาจจะใช้ได้เจ้าค่ะ”
อรุณวตีหัวเราะขัน “ใช้ประกาศสงครามใช่ไหมล่ะ”
ศจีหัวเราะเบาๆ
“การเป็นนักการทูตไม่ใช่ของง่าย หนูรู้ไหม เคยมีนักการทูตเขาให้คำนิยามไว้ว่า ทูต คือคนที่ต้องไปโกหกประเทศอื่นเพื่อประเทศของตนเอง แต่การเป็นเมียนักการทูต ยิ่งหนักไปกว่า อย่างหนู เหมาะสำหรับเป็นคุณหญิงทูตแท้ๆ”
ศจีชะงัก มองผู้พูดด้วยสีหน้าแปลกใจ อรุณวตีมองตอบด้วยรอยยิ้มประหลาด
“เมียทูตต้องมีทั้งความสงบ สำรวม และความปราดเปรียวทันคน ในขณะเดียวกันหนูมีคุณสมบัติทั้งสองประการ”
นวลผ่องเอาของหวานเข้ามาเสิร์ฟ อรุณวตีรอให้นวลผ่องออกไปก่อน จึงพูดต่อ
“เมื่อฉันแต่งงานกับคุณปราจิต พ่อนายวินยังเป็นเพียงเลขานุการตรี เราต้องหอบกระเป๋าเดินทางทั้งของเราเอง และของ ฯพณฯ ท่าน ยามย้ายประเทศเราต้องหัดตั้งแต่เสิร์ฟโต๊ะกว่าจะได้นั่งโต๊ะ เราต้องฟังเขาพูดกันมาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนครั้ง กว่าเราจะได้พูดเอง เรียกว่า กว่าคุณจิตจะเป็นท่านทูตได้เต็มตัวเราก็ต้องเป็น ‘ขี้ทูต’ มานานนักหนา จำไว้นะหนู ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยที่จะได้มาง่าย ยิ่งการรักษาสิ่งที่ได้มายิ่งยากกว่าร้อยเท่าทวีคูณ”
ศจีสังเกตเห็นว่าในสีหน้าสวยสง่าของคุณหญิงอรุณวตี มีร่องรอยว้าเหว่ขมขื่นอยู่ลึกๆ
บริเวณหน้าซ่องยายปริก เริ่มคึกคัก ลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการ
ซิงค์เข็นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งบรรทุกของเข้ามาในซอย ท่าทียังกระย่องกระแย่งแบบคนเจ็บอยู่บ้าง พลางตะโกนเรียกลูกค้า
“ลูกค้าทั้งหลายจ๋า อีนี่ซิงค์กลับมาแล้วจ้า ใครคิดถึงซิงค์ซิงค์ก็มา สินค้ามีให้เลือกหลายอย่างเหมือนเดิมนะจ๊ะนายจ๋าสาวๆ จ๋า”
แดงร้านเสริมสวยบ่นบ้า “โธ่ นึกว่าม้วยมรณา ม่องเท่งซี้แหงแก๋ไปซะแล้วเจ้าซิงค์”
“โอ้นาร้ายณ์ นารายณ์ ทรงเมตตาซิงค์ ให้ซิงค์อยู่รับใช้พ่อแม่พี่น้องต่อไปนะจ๊ะวันนี้เจ๊แดงจ๋าจะรับอะไรดี ยาย้อมผมก็มีนะจ๊ะ ย้อมแล้วผมดำสนิทติดทนนานไปถึงปีหน้าเลยจ้า”
“ไม่ถึงชาติหน้าเลยเหรอ ลูกค้าบ่นขี้เกียจย้อมบ่อยๆ”
“อีนี่ถ้าเป็นชาติหน้าละต้องไปเกิดใหม่นะจ๊ะเจ๊แดงจ๋า”
ซิงค์เข็นรถมาใกล้ซ่อง อู๊ดพยักพเยิดทักทาย
“อ้าว เพิ่งออกจากโรงพะบาลก็มาขายของแล้วเหรอซิงค์”
“ซิงค์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาหรอกจ้ะอู๊ดๆ จ๋า หมดเงินค่าหมอไปหลายหมื่น ทำงานไม่ได้เป็นเดือน ซิงค์ต้องรีบหามาชดเชย”
ถวิลประชด “ขยันจริงจริ๊ง”
อู๊ดค้อนขวับ “งกมากกว่าละมั้ง”
“อีนี่ซิงค์ไม่งกนะจ๊ะ ซิงค์ต้องหาเลี้ยงตัวเองหาเลี้ยงเมีย แล้วก็เก็บเงินเอาไว้เวลาเจ็บป่วย อู๊ดๆ ก็เหมือนกันนะจ๊ะ ต้องเก็บเงินไว้บ้าง ถ้าไม่มี อีนี้ก็มากู้ซิงค์เพิ่มได้”
อู๊ดบ่นใส่หน้า “โอ๊ย ไม่อยากจะกู้แล้ว ดอกเบี้ยแพงชิบ”
“ซิงค์คิดไม่แพงนะจ๊ะอู๊ดจ๋า ถ้าอู๊ดจ่ายตรงเวลาไม่เลื่อนไม่ผัดผ่อน นี่ก็เลยเวลาจ่ายหนี้ซิงค์มาอีกแล้วนะจ๊ะ” ซิงค์หยิบสมุดบัญชีมาดู “ของอู๊ดยังค้างค่าลิปสติก 2 แท่ง กับผ้า 3 ผืน จะผ่อนหรือจะจ่ายสดเลยจ๊ะอู๊ดจ๋า”
อู๊ดหน้าซีด หาทางเลี่ยง เสียงยายปริกแหวดังลั่นเข้ามา
“ไอ้ซิงค์”
ซิงค์มองหน้าปริก ตกใจเล็กน้อย
“อีนี่ปริกจ๋าเรียกซิงค์ซะลั่นเลย คิดถึงซิงค์ใช่ไหมละจ๊ะ”
“ไปให้พ้นเลยนะไอ้ซิงค์ ไอ้คนใจร้ายใจหินใจมาร อย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
“อีนี่แม่ปริกจ๋า ฟังซิงค์ก่อนนะจ๊ะ”
“ทำไม เอ็งจะให้ข้าฟังอะไร”
“ซิงค์คิดถึงปริกม้ากมากนะจ๊ะ เรื่องที่วันนั้นปริกเล่าให้ฟัง ซิงค์ยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา”
“คิดถึงแล้วเอ็งทำอะไรบ้างไหม”
“อีนี่อย่างที่ซิงค์บอกไปจ้ะปริกจ๋า”
ยายปริกโมโห หันไปหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ขึ้นมาเงื้อ
“งั้นมึงรีบไสหัวไป ไอ้แขกหน้าเลือด สันดานมึงมันก็หน้าเลือดอยู่วันยังค่ำ”
“โอ๊ย ปริกจ๋า อย่าทำซิงค์นะปริก”
“ไปให้พ้น ไป๊”
ซิงค์รีบเก็บของใส่กระบะ วิ่งหนีไปแทบไม่ทัน ยายปริกนั่งลงเหนื่อยหอบ อู๊ดรีบเอาพัดมาพัดให้
“เยี่ยมไปเลยแม่ไอ้ซิงค์คงเข็ด ไม่กล้ามาเหยียบที่นี่ไปอีกนาน”
“แม่...” ถวิลลากเสียงยาว พร้อมกับยกนิ้วให้ “แผนของแม่นี่เด็ดสะระตี่จริงๆ”
ยายปริกมองตามซิงค์จอมงก แล้วยิ้มอย่างสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางฝ่ายอรุณวตียกแก้วน้ำขิงขึ้นจิบ พลางถามศจีอย่างเป็นห่วง
“รัชนีฉายกับหนูเป็นไงบ้างจ๊ะ”
“ก็ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
“ไม่มีแปลว่าอะไรจ๊ะ แปลว่าไม่พบกัน ไม่พูดกัน”
“ถ้าพบก็พูดกันเจ้าค่ะ”
“งั้นก็แปลว่าเข้ากันได้”
ศจีไม่ตอบ อรุณวตีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“รัชนีฉายเขาเป็นคนดุ หนูอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่ถ้าหนูประจบเขาให้ดีถ้าถึงใจ รายนั้นเท่าไหร่เป็นเท่ากัน จำไว้เถอะหนู เป็นผู้น้อยก็ต้องก้มประณมกร เหนื่อยไปก่อนจะสบายเมื่อปลายมือ ลักษณะอย่างหนูนี่เห็นจะได้ดี” คุณหญิงอบรมกลายๆ
ศจีหัวเราะเบาๆ “ไม่ดีก็เลวเจ้าค่ะ เพราะทางของมนุษย์มีอยู่สองอย่างนี้เท่านั้นส่วนสิ่งที่หล่อเลี้ยงมนุษย์ก็มีอยู่สองอย่างเช่นกัน คือ รักกับแค้น”
สองหญิงวัยคราวแม่ และ ลูก สบตากันนิ่งนาน ราวกับจะหยั่งความลึกล้ำของอีกฝ่ายกระนั้น ศจียิ้มเรียบเฉย อรุณวตียิ้มบางๆ
“ใช่ รักกับแค้น เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจมนุษย์อย่างดีที่สุด ผู้หญิงเราถ้าออกปากว่าเกลียดใครมากที่สุด ก็แปลว่าเคยรักคนนั้นมามากที่สุดเช่นกัน หนูเคยมีทั้งสองอย่างนี้ไหม”
“ยังเจ้าค่ะ”
“สักวัน หนูจะได้รับรู้รสชาติของมัน”
อรุณวตีเอื้อมมือไปกดกริ่งบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะบอกกับศจี
“เดี๋ยวฉันจะให้รถไปส่งหนู”
ศจีเดินออกมายืนรอรถ เธอยิ้มให้กับใครบางคนในสายตา เป็นชีวินที่ยืนอยู่ริมระเบียง เมื่อเห็นศจีก็มองมา
“เธอคงเห็นธาตุแท้ของพี่แล้วว่าเป็นยังไง”
“ดิฉันเห็น ว่าพี่วินดูเป็นมนุษย์มากที่สุด”
ชีวินเลิกคิ้วมองศจีอย่างแปลกใจ
“หมายความว่ายังไง”
“ในขณะที่ทุกคนกำลังทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด พี่วินดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ ทำตามหัวใจตัวเอง”
ชีวินคลี่ยิ้มออกมานิดๆ อย่างชอบใจ
“งั้นเหรอ ขอบใจนะที่มองพี่ในแง่ดีอย่างนั้น ในขณะที่คนอื่นกลับมองว่าพี่...ขวางโลก”
“มันขึ้นอยู่กับว่า โลกใบนั้นเป็นโลกของใคร ต่างหากละคะ”
ชีวินมองศจีอย่างทึ่งๆ
รถของท่านทูตปราจิตแล่นเข้ามา จากมุมของปราจิต มองเห็นชีวินคุยยิ้มหัวกับศจีอย่างอารมณ์ดี
สีหน้าปราจิตมองทั้งสองอย่างรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จึงรีบลงจากรถ เดินเข้าไปหาทั้งคู่
“สวัสดีครับ คุณพ่อ”
“สวัสดีค่ะท่าน”
ศจียกมือไหว้ปราจิต ท่านทูตรับไหว้ แล้วหันไปถามชีวิน
“กลับมานานแล้วเหรอวิน”
“นานแล้วครับ กลับมาทานข้าวเป็นเพื่อนคุณแม่”
“ดีแล้วลูก กลับบ้านเร็วหน่อย หมู่นี้พ่องานยุ่ง ทั้งงานสังคมงานในกระทรวง”
“นั่นสิครับ เราอยู่ใกล้กัน ยังไม่ค่อยได้พบกันเลย” ชีวินบอกสีหน้านิ่ง
ปราจิตมองอย่างนึกรู้ว่าลูกชายประชด
“ลูกก็รู้ว่างานของพ่อเป็นยังไง พ่อไม่ได้แค่ทำงานตามหน้าที่อย่างเดียว แต่ต้องทำงานเพื่อสังคมด้วย”
ชีวินนิ่ง คร้านจะเถียงต่อ ปราจิตหันมาทางศจี สีหน้าอ่อนโยน
“วันนี้หนูอยู่เสียค่ำเลยนะ งานคงมากละสิคะ”
“งานไม่มากเท่าไร แต่คุณหญิงให้อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
“ดีค่ะ คุณหญิงเธอจะได้ไม่เหงา หมู่นี้เธอดูสดใสขึ้นมากทีเดียว คงเพราะมีหนูมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วนี่หนูกลับบ้านยังไง”
ศจียังไม่ทันตอบ สิทธิ์ก็เดินเข้ามาค้อมตัวกับศจี
“รถพร้อมแล้วครับ”
“ค่ะ” ศจีหันมาลาพ่อกับลูก “ดิฉันไปก่อนนะคะ”
ศจียกมือไหว้ ทั้งสองรับไหว้ ชีวินมองตามศจีที่เดินออกไปด้วยสายตาลึกซึ้ง
ปราจิตลอบสังเกตสีหน้านั้นของบุตรชายอย่างขุ่นมัว
แกมแก้วซ้อมเชียร์เสร็จแล้ว มานั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าตึกคณะ รอรถที่บ้านมารับ พลางชะเง้อมองหาใครบางคน เมื่อเห็นสุพรรณตรงมาทางนี้ก็ดีใจ รีบก้มหน้าก้มตาอ่านต่อ สุพรรณเอ่ยทักขึ้น
“ลูกแก้วยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“ลูกแก้วรอคนขับรถมารับน่ะค่ะ”
“งั้นพี่นั่งเป็นเพื่อนนะครับ”
แกมแก้วดีใจ “ขอบคุณค่ะ”
สุพรรณลงนั่งตรงข้าม “ซ้อมเชียร์เหนื่อยไหมครับ”
“เหนื่อยค่ะ แต่ก็สนุกมาก”
“ลูกแก้วเลยต้องกลับบ้านค่ำ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าได้แลกกับประสบการณ์ที่คงเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ตั้งแต่ลูกแก้วเข้ามาเรียน ไม่เคยมีคำว่าเครียดหรือเหงาเลยค่ะ”
“พี่ดีใจนะครับที่ลูกแก้วชอบที่นี่ ได้ข่าวว่าลูกแก้วเป็นน้องสาวของพี่ชีวินด้วยเหรอครับ”
แกมแก้วยิ้ม “พี่พรรณรู้จักพี่วินด้วยเหรอคะ”
“รู้จักสิครับ พี่วินเป็นรุ่นพี่คณะที่ดังมาก สมัยเรียนทำกิจกรรมหลายอย่างถึงแม้เราจะไม่ทันกันแต่พี่วินก็เคยกลับมาที่คณะและได้พบกันพอรู้ว่าลูกแก้วเป็นน้องรหัสพี่ก็ยังฝากฝังลูกแก้วเสียยกใหญ่”
แกมแก้วหัวเราะขัน “ที่แท้เบื้องหลังเป็นอย่างนี้นี่เอง”
“แต่ที่พี่ดูแลลูกแก้ว ไม่ใช่เพราะพี่วินฝากฝังนะครับ รุ่นพี่พร้อมจะดูแลรุ่นน้องทุกคนอยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่พรรณ ลูกแก้วประทับใจมากค่ะที่รุ่นพี่ทุกคนดูแลรุ่นน้องอย่างดี”
แกมแก้วมองสุพรรณตาเป็นประกายสดใส
ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน ถูกคอกัน
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 9 (ต่อ)
รถที่นายสิทธิ์ขับแล่นมาถึงหน้าปากซอยวัดใหญ่ ศจีบอกสิทธิ์ที่ทำท่าจะเลี้ยวเข้าซอยทันที
“จอด จอดตรงนี้เลยค่ะ”
“แต่คุณหญิงสั่งให้กระผมไปส่งถึงบ้าน”
“ส่งตรงนี้เหมือนเดิมก็พอค่ะ ซอยบ้านหนูแคบมาก น้าเข้าไปไม่สะดวก”
สิทธิ์ทักท้วง “แต่นี่มันก็มืดค่ำแล้วนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คนในซอยรู้จักกันทั้งนั้น ขอบคุณค่ะ”
ศจีลงจากรถโดยที่สิทธิ์ไม่ทันได้คัดค้านอะไรอีก ศจียืนมองจนรถขับออกไปลับตา จึงเดินเข้าซอยไป
ศจีเดินเข้ามาในซอย เธออดไม่ได้ที่จะมองหาใครบางคนที่เคยยืนรอเธออยู่ รู้สึกใจหายนิดๆ ที่ไม่เห็นสุพรรณแล้ว
เสียงชาติดังขึ้น “มองหาใครจ๊ะ แม่ศจียาหยีจ๋า”
ศจีพยายามไม่หันไปมอง แต่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียง
“วันนี้ไอ้หนุ่มมารอ สงสัยจะโดนทิ้งซะแล้วว่ะ” สนว่า
ปลั่งเสริม “แค่เด็กวัด สาวเจ้าคงไม่สนหรอกมั้ง”
“เอ๊ะ หรือว่าโดนไอ้เด็กวัดหลอกเจ๊าะไข่แดงแล้วทิ้งวะ” ชาติแดกดัน
ทั้งสามหัวเราะอย่างสนุกปาก ศจีไม่อยากต่อปากต่อคำ รีบเดินหนี
แกมแก้วยังคุยกับสุพรรณอย่างออกรส
“เรียนการปกครองอย่างพี่พรรณก็น่าสนุกดีนะคะ”
“พี่เรียนเพราะอยากช่วยชาวบ้านน่ะครับ ไม่ใช่ว่าพี่มีอุดมการณ์อะไรหรอกนะครับ แต่พี่เกิดมายากจน เห็นชาวบ้านต้องอดมื้อกินมื้อ พี่ก็อยากช่วยให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแม้จะในฐานะข้าราชการตัวเล็กๆ ก็ตาม”
แกมแก้วมองสุพรรณอย่างชื่นชม
“ลูกแก้วนับถือความคิดของพี่พรรณจังค่ะ”
“พี่ไม่มีอะไรน่านับถือหรอกครับ ความรู้มีเพียงน้อยนิด แต่มีความฝันที่ใหญ่เกินตัว”
“ลูกแก้วเชื่อว่ามันไม่ใหญ่เกินความสามารถของพี่พรรณหรอกค่ะ”
รถที่นายสิทธิ์ขับแล่นเข้ามาถึง แกมแก้วมองไปอย่างเสียดาย ไม่น่ามาเร็วเลย สุพรรณมองตาม
“รถมาแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ พี่พรรณไปกับลูกแก้วนะคะ เดี๋ยวให้คนรถไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอกครับ บ้านพี่คนละทางกับบ้านลูกแก้ว”
“แต่พี่พรรณอุตส่าห์นั่งเป็นเพื่อนลูกแก้วตั้งนาน”
“พี่รหัสก็ต้องดูแลน้องรหัสสิครับ”
แกมแก้วอิดออดเซ้าซี้ “แต่ว่า...”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่รถ”
สุพรรณลุกขึ้น แกมแก้วลุกตามอย่างเสียดาย
ฟากปราจิตเข้ามาหาอรุณวตีถึงในห้องนอน อรุณวตีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“งานเลี้ยงเป็นยังไงบ้างคะ”
“งานเล็กๆ น่ะค่ะ แต่คนถามถึงคุณมากเชียว ว่าเมื่อไรจะมาออกงานด้วย”
“คงอีกนานล่ะค่ะ ไม่ชวนรัชนีฉายไปด้วยละคะ”
“วตี อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ คุณก็รู้”
อรุณวตีทอดถอนใจ “ฉันไม่อยากปล่อยให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยว”
ปราจิตจับมืออรุณวตีกุมไว้
“ไม่เลยค่ะ ผมต่างหากกลัวว่าคุณจะเหงา พอวันนี้รู้ว่าคุณมีทั้งนายวินทั้งแม่หนูศจีทานข้าวด้วยก็ค่อยสบายใจ”
“มีแม่หนูมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อนด้วย ฉันก็ไม่ค่อยเหงาหรอกค่ะ ถึงอายุแกจะยังน้อย แต่ก็เป็นเพื่อนคุยที่ดีคนนึง ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูเหมือนจะเข้าใจไปเสียหมด”
ปราจิตเห็นด้วย “เด็กคนนี้ฉลาด คมคาย”
รอยยิ้มของอรุณวตีมีแววลึกล้ำ
“คุณเคยบ่นว่าเวลามาทำงานที่บ้าน หาคนช่วยเหลือไม่ค่อยได้ ลองให้ศจีช่วยบ้างไหมคะ”
“เดี๋ยวคุณจะว่า คนของคุณมีเท่าไหร่เรียกมาใช้หมด”
“จะเป็นอะไรไปคะ งานของดิฉันมีบ้างไม่มีบ้าง ยายหนูแกมีเวลาว่างถมไป”
“งั้นผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะคะ”
“เราไม่ต้องมีอะไรเกรงใจกันแล้วละคะ”
ปราจิตยิ้มพึงใจ อรุณวตีลอบมองสีหน้าสามีอย่างมีแผนการ
เช้าวันรุ่งขึ้น หน้าปากซอยวัดใหญ่ มีผู้คนสัญจรไปมา
ศจีออกมายืนรอรถเมล์ เธอชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นใครบางคน สีหน้าดีใจฉายวาบอีกนิดแต่รีบปกปิดด้วยความเฉยเมย แล้วก็เดินผ่านเลยไป
เป็นสุพรรณซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษา ถือหนังสือเตรียมไปเรียน มองศจีอย่างเจ็บปวด
“จะไม่ทักทายกันเลยเหรอ ทำไมต้องทำเหมือนคนไม่รู้จัก”
ศจียังนิ่งเฉย สุพรรณเดินตาม
“ผมอยากรู้ว่าผมทำอะไรผิด”
ศจีเบือนหน้าไปตอบ
“คุณไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันผิดเอง”
“คุณให้คำตอบได้แค่นี้เหรอ”
“แล้วจะให้ฉันตอบอะไรมากกว่านี้ละคะ”
“เหตุผลมากกว่านี้ ทำไมๆๆ”
“บางที คนเราก็มีเหตุผลมากมายที่พูดออกมาไม่ได้”
“เพราะผมจนใช่ไหม” สุพรรณโพล่งขึ้น
“คุณอาจจะพบคนที่ดีกว่าฉัน”
“คุณกำลังพบคนที่ดีกว่าผม”
“เราสองคนมีโอกาสที่ดีกว่านี้”
สุพรรณยืนขวางศจีไว้ บอกด้วยสีหน้าเว้าวอน
“ให้โอกาสผมอีกไม่ได้เหรอ”
“โอกาส ไม่ได้มีบ่อยๆ สำหรับคนอย่างพวกเราหรอกค่ะ”
สุพรรณพยักหน้ารับ “ได้ ศจี ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้โอกาสตัวเองบ้าง หวังว่าคุณจะพบคนที่ดีกว่าผมจริงๆ”
ศจีเดินขึ้นรถเมล์ไป สุพรรณมองตามศจีอย่างน้อยเนื้อต่ำใจและแค้นใจเหลือแสน
อ่านต่อตอนที่ 10