คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 7
คุณหญิงอรุณวตีนั่งอยู่ในห้องทำงาน และกำลังรับไหว้สิริกันยาที่ชีวินพามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงน้าขา”
“ไหว้พระเถอะจ้ะ ไปยังไงมายังไงจ๊ะ”
“ยาได้ข่าวจากคุณพ่อว่าพี่วินสอบเข้ากระทรวงต่างประเทศได้แล้ว เลยอยากมาแสดงความยินดีค่ะ”
“ขอบใจนะจ๊ะ แล้วคุณพ่อหนูสบายดีหรือ”
“สบายดีค่ะ เห็นว่าปีนี้จะขึ้นรองอธิบดีแล้ว”
สิริกันยาเหลือบมองชีวินเป็นเชิงอวด ทว่าชีวินเมินมองทำเป็นไม่สนใจ
“งั้นน้าก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิงน้า วันนี้ยาอยากจะชวนไปรับประทานอาหารด้วยกัน”
“น้าคงไปไม่ไหว พักนี้ร่างกายค่อนข้างอ่อนล้า”
“แต่วันนี้ผมตั้งใจอยู่ดูแลคุณแม่ครับ” ชีวินรีบออกตัว
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แม่มีป้าวรรณคอยดูแลอยู่แล้ว วินพาหนูยาไปเถอะ หนูยาอุตส่าห์มายินดีถึงที่นี่”
“นั่นสิคะพี่วิน ยาตั้งใจมาชวนพี่วินไปฉลองกันนะคะ”
ชีวินมีท่าทางอึดอัด อรุณวตีมองลูกชายอย่างเข้าใจและเห็นใจ
ส่วนศจีลงรถเดินมาถึงกลางซอยแหล่งมั่วสุม มีเสียงผิวปากวี้ดวิ้วดังขึ้น ศจีเหลือบไปมอง เห็น ชาติ ปลั่ง และสน ที่ออกจากคุกมานั่งก๊งเหล้ากันอยู่
หญิงสาวอดพึมพำด้วยความหงุดหงิดรำคาญไม่ได้
“นรกส่งไอ้พวกเดนกลับมาอีกแล้ว”
ชาติเดินเข้ามาหาศจี เดินวนรอบตัว ศจีมองอย่างระแวดระวัง
“อยากไปลงนรกกับพวกเราไหมล่ะจ๊ะคนสวย หรือจะให้พาขึ้นสวรรค์ก็ได้นะ”
สามจิ๊กโก๋แสบหัวเราะลั่น ศจีมองอย่างเหยียดหยาม
“ถุย คนอย่างพวกแกนรกยังไม่ต้อนรับ ไปชิงหมาเกิดไป
“ปากร้ายจริงน้องสาว มาให้พี่จูบล้างปากหน่อยมา”
ชาติจะจับมือ ศจีถอยกรูด
แต่แล้วพวกนั้นก็ชะงักกึก เมื่อเห็นสุพรรณเดินเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับศจี”
ปลั่งกับสนเข้ามารุมล้อมสุพรรณ แต่ชาติกันไว้
“ไปพวกเรา หลีกทางให้เมียว่าที่ปลัดหน่อย”
พวกนั้นถอยกรูดออกไป แต่สีหน้าก็ยังเคืองแค้นเต็มที่ สุพรรณรีบดึงศจีออกไปโดยไว
สามแสบจับกลุ่มกันก๊งเหล้าอยู่หน้าปากซอยวัดใหญ่ ชาติ หัวโจก กระแทกแก้วเหล้าเสียงดัง
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
สนแปลกใจไม่หาย “แล้วทำไมพี่ชาติต้องไปกลัวมัน”
“กูไม่ได้กลัว แต่ไอ้เด็กวัดนั่นสนิทกับหมวดวุธ ที่จับพวกเราคราวก่อน”
ปลั่งพยักพเยิดรับรู้ “มิน่ามันถึงกร่างนัก รอมันทิ้งอีจีก่อนเถอะ”
ทั้งสามสบตากันอย่างคั่งแค้น และรู้กัน รอวันเอาคืนสองคน
ส่วนในห้องรับแขกบ้านคุณหญิงอรุณวตีค่ำนั้น รัชนีฉายยิ้มร่าอ้าแขนออก
“มายดาร์ลิ้ง”
“สวัสดีค่ะคุณน้าขา”
สิริกันยาเข้ามากอด หอม ทักทายรัชนีฉายตามแบบฝรั่ง ก่อนจะละตัวออก
“วันนี้แต่งตัวซะสวยเชียว นัดกับชีวินใช่ไหม”
“ก็ตามคำแนะนำของคุณน้าละค่ะ ยาอยากจะมาชวนคุณน้าไปด้วย”
“อุ๊ย น้าไปไปเป็นก้างขวางคอหรอกจ้ะ เธอสองคนไปกันเถอะ”
“แหม แต่ท่าทางพี่วินไม่ค่อยเต็มใจไปกับยาเลยนะคะ ตอนแรกบอกว่าอยากอยู่ดูแลคุณหญิงแม่”
รัชนีฉายปลอบ “ชีวินเขาก็เป็นคนอย่างนี้แหละ เหมือนไม่สนใจอะไรสักอย่าง แต่ไม่ต้องห่วงนะ น้าจะคอยเชียร์อยู่ทางนี้”
สิริกันยาอดนึกถึงศจีขึ้นมาไม่ได้ “ยาเห็นนังเด็กนั่นแล้ว ไม่น่าไว้ใจเลยค่ะ”
“เด็กไหน อ๋อ...เพื่อนยัยลูกแก้วน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ เห็นยืนคุยกับพี่วินตอนยามาพอดี”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ น้าจะคอยดูให้ แล้วอันที่จริง นังเด็กนั่นเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อนาคตท่านทูตอย่างนายชีวินคงจะไม่คว้าเอาผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาให้เสียเกียรติวงศ์ตระกูลหรอกจ้ะถึงยังไง หนูก็ได้เปรียบอยู่หลายประตู”
สิริกันยาอดกังวลไม่ได้ “แต่ยากลัวใจพี่วินน่ะสิคะ”
“น้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง หนูมีคุณพ่อเป็นหลักประกันอยู่แล้ว ทางคุณจิตเองก็คงไม่ยอมแน่ๆ ถ้านึกถึงอนาคตตัวเอง”
สิริกันยากับรัชนีฉายพยักหน้าให้กัน เป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะร่วมมือร่วมใจกันทุกเรื่อง
ขณะที่คุณหญิงอรุณวตีนั่งจิบน้ำขิงอยู่ ท่านทูตปราจิตเข้ามานั่งข้างๆ โอบกอดไว้ ถามอย่างเอาใจ
“วันนี้คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
“ดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ มีแม่หนูศจีมาช่วยงาน”
น้ำเสียงปราจิตมีแววชื่นชม “เด็กคนนั้น ดูเอางานเอาการดีนะ”
อรุณวตีลอบมองสีหน้าสามี แล้วถามอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ คุณพบกับศจีแล้วเหรอคะ”
ปราจิตอึกอัก มีพิรุธเล็กน้อย แล้วรีบกลบเกลื่อนอย่างชำนาญ
“ใช่ค่ะ บังเอิญแกเข้าไปหาหนังสือในห้องสมุด ผม อยู่ในนั้นพอดี” ปราจิตรีบเปลี่ยนเรื่อง “มีคนมาช่วยก็ดีแล้ว คุณจะได้พักผ่อนมากๆ”
“จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของรัชนีฉายด้วยไงคะ”
ปราจิตไม่แน่ใจในความนัยนั้นนัก เอื้อมมือจับมืออรุณวตีไว้
“แต่ถึงยังไง ก็ไม่มีใครทำหน้าที่ภริยาท่านทูตได้ดีเท่าคุณ เมื่อก่อนคุณจัดการงานทุกอย่างได้ดีไม่มีที่ติ ไม่ว่าใครก็ชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน”
“ฉันก็อยากทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แต่ในเมื่อสุขภาพไม่อำนวย ฉันก็ต้องสร้างตัวแทนขึ้นมา ศจีคนนี้แหละค่ะที่ฉันจะสอนทุกอย่างให้กับเขาเผื่อวันข้างหน้า...”
ปราจิตบีบมืออรุณวตีเป็นเชิงปราม
“ไม่ค่ะ วันข้างหน้าที่คุณหมายถึงจะไม่มาในเร็วๆ นี้แน่นอน” ท่านทูตผู้อ่อนโยน พูดจาอ่อนหวานเอามืออรุณวติมาแนบแก้ม “และไม่มีใครมาแทนที่คุณได้อีก วตี”
อรุณวตีมองสามีอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะชินกับคำพูดหวานหูของเขาเสียแล้ว
สองคนเดินมาถึงหน้าซ่อง สุพรรณจูงมือศจีอย่างปกป้อง
“คราวหลังอย่าไปต่อปากต่อคำพวกมันอีกเลยนะจี ผมเป็นห่วงคุณ”
“ฉันไม่อยากทำท่าว่ากลัวพวกมัน แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ช่วย”
“ไม่ต้องทำท่ากลัว แต่แค่หลีกเลี่ยง ไม่ไปเสวนากับคนพรรค์นั้น”
“ฉันจะเลี่ยงได้ยังไงในเมื่อยังอยู่ในซอยนี้”
“ผมบอกแล้วว่าจะพาคุณออกไปให้เร็วที่สุด”
พอผ่านหน้าซ่อง ศจีก็ดึงมือออก สุพรรณหันมามองสีหน้าสงสัย
“ฉันไม่อยากให้ยายเห็น”
สุพรรณพยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่ทันเห็นศจีที่มองเขาด้วยสายตาอึดอัดพิกล
ศจีข้ามไปอีกฝั่งของซอย สุพรรณรีบตามไป
ปริกกับอู๊ดที่อยู่ในซ่อง มองออกมาจากหน้าต่าง
“นั่นไงแม่ แฟนจีมัน มาด้วยกันอีกแล้ว”
“คอยดูไปก่อน ข้าเตือนนังจุกมันแล้ว ดูซินังจุกจะทำยังไง”
สองคนเดินมาในสวนแล้ว สุพรรณถามศจี
“ไปทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง”
“ก็...ดีค่ะ”
“ดียังไงครับ”
“บ้านหลังใหญ่ ทุกอย่างดูหรูหราผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว”
“คุณชอบแบบนั้นใช่ไหม”
“ใครๆ ก็อยากมีชีวิตแบบนั้น”
สุพรรณแต่กว่าที่ผมจะไปถึงตรงนั้น จะนานเกินไปสำหรับคุณหรือเปล่า
“มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ ว่าจะไปถึงตรงนั้นได้เร็วแค่ไหน”
“คุณรอผมได้ไหม”
ศจีเดินไม่ตอบเดินหนีไป สุพรรณมองตาม สังหรณ์ใจลึกๆ และเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ศจีเดินจ้ำมาตามทาง มุ่งหน้ากลับบ้านสวน สุพรรณรีบตามมา
“คุณยังไม่ตอบผมเลย จะรอได้ไหม”
“ฉันไม่แน่ใจ เพราะเบื่อสังคมแถวนี้เต็มทน”
“อดทนอีกไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
สีหน้าศจีมีแววเหยียดหยัน สุพรรณจับมือเธอไว้
“รอผมนะจี ผมจะทำให้ได้ คุณต้องเป็นกำลังใจให้ผม”
ศจีตอบอย่างเย็นชา “ฉันจะรอเท่าที่รอได้”
สุพรรณรับรู้ท่าทีนั้น “คุณเปลี่ยนไป”
“ฉันไม่เคยเปลี่ยน คุณต่างหากยังไม่รู้จักฉันดี”
สีหน้าสุพรรณเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เสียงจุกดังขึ้น “จี”
ทั้งสองชะงักหันไปทางเสียง ศจีดึงมือออกจากสุพรรณโดยไว
จุกเดินเข้ามาหาศจี สุพรรณรีบยกมือไหว้ จุกรับไหว้
“เธอกลับไปเถอะจ้ะ ศจีถึงบ้านแล้ว ได้ข่าวว่าอยู่วัดไม่ใช่เหรอ”
“ครับคุณน้า พวกจิ๊กโก๋ปากซอยมันกลับมาแล้ว ผมเป็นห่วงศจีเลยตามมาส่ง”
“ขอบใจจ้ะ เธอไม่น่าลำบากเลย” จุกหันมาทางลูกสาว “จีเข้าบ้านลูก”
จุกดึงศจีขึ้นเรือนไปอย่างหวงแหน เด็กวัดรูปงามมองตามตาละห้อย
ศจีเดินหน้าตึงขึ้นเรือน จุกตามมาถามลูกด้วยความเป็นห่วง
“มันทำอะไรจีหรือเปล่าลูก”
“เปล่านี่จ๊ะ”
“ดีนะที่แม่ออกไปรอจี พักนี้เป็นห่วงลูกยังไงก็ไม่รู้”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่”
“แม่เป็นห่วงจีนะ อยากให้จีได้ดี มากกว่าแค่...เด็กวัด”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะแม่ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะ”
ศจีเดินเลี่ยงเข้าห้องไป จุกมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง
อีกฟาก เพลงรักเพิ่มจบลงอย่างอิ่มเอม รัชนีฉายนอนซบปราจิตอยู่บนเตียง ปราจิตหอมรัชนีฉายหลายครั้ง
“วันนี้อารมณ์ดีจังนะคะ”
“แล้วปกติอารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“ดีเป็นบางครั้งค่ะ มีอะไรให้ครึ้มอกครึ้มใจเหรอคะ”
“ก็เรื่องที่เจ้าวินสอบได้ไง”
“อ๋อ...เรื่องนั้นนั่นเอง นึกว่าเรื่องอื่น”
ปราจิตนิ่วหน้าฉงน “เรื่องอะไรคะ”
รัชนีฉายตั้งใจกระทบกระเทียบเรื่องศจี แต่สุดท้ายทำเฉไฉไปเรื่องอื่นเสีย
“เอ่อ ก็เรื่อง...ว่าที่พ่อตานายวินไงคะ”
ตอนแรกปราจิตขมวดคิ้วงงๆ แต่แล้วก็นึกได้
“อืม...ท่านสุรศักดิ์ ว่าที่รองอธิบดีคนใหม่”
“ถ้าทางเรากับเขาดองกันแล้ว อนาคตของชีวินต้องรุ่งโรจน์จนทุกคนอิจฉาเชียวค่ะ”
“เขาก็หมายตากันอยู่นี่”
“นายวินท่าทางยังไม่อินังขังขอบกับอนาคตตัวเองเท่าไร”
“อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเรียนจบ”
“แต่หนูยาน่ะทั้งสวยทั้งเก่ง ชาติตระกูลก็เพียบพร้อม ถ้านายวินมัวแต่ชักช้าละก็ อาจจะถูกคนอื่นคว้าไปเสียก่อนนะคะ”
ท่านทูตปราจิตพยักหน้าครุ่นคิด นึกถึงอนาคตของตนด้วย
“เอาไว้ ฉันจะลองคุยกับนายวินดู”
รัชนีฉายลอบยิ้มสมใจ แล้วซุกไซ้ปราจิตประจบเอาใจ
อยู่มาวันหนึ่ง ซิงค์เข็นรถบรรทุกของเต็มอัตรามาตามทางละแวกหน้าโรงพัก ตะโกนเสียงเจื้อยแจ้ว
“มาแล้วจ้า อีนี่ซิงค์มาแล้วนะจ๊ะคุณลูกค้าจ๋า ซิงค์ของคุณลูกค้าทั้งหลายมีผ้าสวยๆ น้ำหอมดับกลิ่นอันมิพึงมีแก่คนนอกจากเต่า แป้งผัดหน้าหอมกรุ่นละมุนละไม ลิปสติกสีสดใส ทาเช้าแดงไปถึงเย็นนะจ๊ะคุณๆ จ๋า”
มีเสียงเรียกดังขึ้น “ไอ้ซิงค์”
ซิงค์หันไป เห็นผู้ชายยืนมองมา รีบถามอย่างเอาใจ
“อีนี่คุณผู้ชายต้องการอะไรจ๊ะ ผ้าสวยๆ ไปฝากแฟน หรือว่าน้ำหอมดับกลิ่นปราบเต่า แป้งผัดหน้าขาวผ่อง ลิปสติกสีสวยๆ สดๆ ก็มีทุกสีเลยนะจ๊ะ”
“กูต้องการ... ชีวิตมึง”
ขาดคำ ชายคนนั้นก็ชักปืนออกมา ซิงค์ตกใจหันหลังจะเข็นรถหนี
“อย่าจ้ะ อย่า อย่าเอาชีวิตฉานเลย จะเอาอะไรก็เอาไป ฉานยกให้”
แต่ไม่ทัน ชายมือปืนเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยง
ซิงค์ส่งเสียงร้องลั่น ล้มฟุบลงทันที ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงปืนออกมาดู
“เฮ้ยๆ ไอ้ซิงค์ถูกยิง”
“แจ้งตำรวจเร็ว” อีกคนร้องบอกกัน
มือปืนรีบหนีไปทันที ก่อนที่ชาวบ้านจะออกมา
ไม่นานนัก ทุกคนกรูกันเข้ามารุมล้อมมุงดูซิงค์ ส่งเสียงอื้ออึง
ซิงค์นอนแน่นิ่งจมกองเลือด หายใจรวยริน
อู๊ดวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโถงซ่อง ถวิลที่นั่งทาเล็บแดงอยู่ถามอย่างแปลกใจ
“วิ่งหนีใครมาวะนังอู๊ด”
“ไอ้ซิงค์น่ะสิ ไอ้ซิงค์” อู๊ดละล่ำละลัก
“หา มันจะมาทวงเงินอีกแล้วเหรอ”
ถวิลตื่นตูม รีบหันหาที่หลบ
“ฟังข้าพูดให้จบก่อนสิวะ บางที คราวนี้หนี้เอ็งจะเป็นศูนย์ ไม่ต้องจ่ายมันให้เมื่อยตุ้มอีกแล้ว”
ถวิลมองหน้าอู๊ดอย่างแปลกใจว่าจะเป็นไปได้ยังไง
ยายปริกกำลังนั่งนับเงินจากกระป๋องอย่างเพลิดเพลิน อู๊ดเปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาหน้าตาตื่น
“แม่ๆ”
“อะไรวะนังอู๊ด เข้ามาไม่เคาะ”
“ไอ้ซิงค์แม่ ไอ้ซิงค์”
“ไอ้ซิงค์มาเอ็งก็จัดเด็กไปรับมันซี่”
“ไอ้ซิงค์ถูกยิง”
ยายปริกตกใจจนผวา แต่แทนที่เงินจะตกจากมือ กลับยิ่งกำเงินแน่นเข้า
“หา ถูกยิงที่ไหน ใครยิงมัน”
“ไม่รู้สิแม่ว่าใครยิง แต่โดนเข้าที่หน้าโรงพัก”
“วะ! มีเรอะ ถูกยิงหน้าโรงพัก”
“จริงๆนะแม่ เขาว่าจ่อยิงกันหน้าโรงพักเลย โดนจนพรุนไปทั้งตัวเลยนะแม่”ฃ
ยายปริกมองหน้าอู๊ดอย่างไม่เชื่อนัก
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ถวิลถึงกับทุบลงกลางโต๊ะวงสนทนาในโถงซ่อง
“ต้องเรี่ยไร”
“ช่วยไอ้ซิงค์มันน่ะเรอะ” โสภาถาม
“อุวะ ช่วยมันทำไม มันต้องช่วยมือปืนสิเว้ย ส่องทั้งทีหามือดีๆ หน่อยไม่ได้จะได้ล้างหนี้กันเสียเลย” ถวิลว่า
ยายปริกเดินเข้ามาพร้อมกับอู๊ด
“พวกเอ็งไปดูไอ้ซิงค์มันหน่อยเถอะวะ มันเป็นยังไงมั่ง”
ลูกเล้าต่างพยักพเยิดกันอย่างเห็นด้วย
“ดีเหมือนกันนะแม่ ถ้าเกิดมันเป็นอะไรไปจริงๆ จะได้เตรียมฉลอง” ถวิลบอก
รินเสริมว่า “ทำบุญใหญ่เจ็ดวันเจ็ดคืนเลย”
“แถมเปิดให้ลูกค้าใช้บริการฟรี” โสภาว่า
“พวกเอ็งจะฟรีก็ฟรีไป แต่ของข้ายังไงก็ไม่ฟรีโว้ย ไม่งั้นหมดหนี้ไอ้ซิงค์จะไปเป็นหนี้ใหม่อีก” ยายปริกแดกดัน
“งั้นลดแค่ครึ่งราคาก็ได้แม่ เรื่องดีๆ อย่างนี้ต้องปุกาศให้รู้กันทั่วซอย” อู๊ดว่า
“ใช่ เรื่องนี้มันต้องจบลงด้วยดี ดีแน่ๆ”
ยายปริกพูด นัยน์ตาฝันหวานอย่างวาดหวัง
จุกกำลังเฉาะมะพร้าวอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ร้องทักแขกผู้มาเยือนอย่างแปลกใจ
“มาทำไมน่ะแม่”
ยายปริกกระย่องกระแย่งเข้ามา นั่งแปะลงข้างจุก
“เจ้าซิงค์มันอยู่โรงกะยาบาล เอ็งรู้หรือเปล่า”
จุกไม่ยินดียินร้าย “มันเป็นอะไรล่ะ”
“ถูกยิง แต่ ช่างมันเหอะ ถ้ามันตาย” ยายปริกตบแคร่ ลดเสียงให้เบาลง “ลูกมันก็ไม่มี”
“ช่างมันปะไร”
“วะ ช่างมันได้เรอะ ไอ้ซิงค์มันรวยรู้จักเท่าไหร่”
“ฉันไม่ใช่เมียมันนี่แม่ จะได้แบ่งสมบัติมันได้”
ยายปริกหมั่นไส้ “เออ แต่ลูกมันล่ะ”
“แม่พูดเองว่ามันไม่มีลูก”
“ลูกมัน” ยายปริกยื่นหน้ามาจนใกล้ “ลูกกะเอ็ง”
จุกมองหน้ายายปริก ทำท่าประหลาดใจ
“ลูกใครนะแม่”
“ลูกเอ็ง เอ็งก็รู้นี่ จีไงล่ะ จุกเอ๊ย ไหนๆ มันก็จะตายแล้ว เอ็งบอกฟามจริง มันเสียเหอะ อย่างน้อยเอ็งก็จะได้ไม่ลำบาก”
“ฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่แม่”
“นั่นแหละ ไอ้ซิงค์มันรวย แบ่งมาได้บ้าง จีกับเอ็งจะได้พอมีกะเขา”
“จีมันลูกฉันกับตาศรี”
“เลิกพูดถึงไอ้ตาลยอดด้วนนั่นทีเถอะวะ อะไรๆ มันก็ซาบซึ้งกะใจข้าใจเอ็ง จีมันมีเค้าตาศรีที่ไหน ตะหมูกมันปากมันน่ะ ลูกแขกชัดๆ”
“มันลูกฉัน” จุกเสียงขุ่น
“เออ มันออกจากท้องเอ็งน่ะแน่ ไม่มีใครเขาว่าแต่พ่อ พ่อมัน เอ็งเข้าใจหรือยัง”
“ศจีมันเป็นลูกพระ”
“พระนารายณ์ซิงค์น่ะสิ ถ้าเอ็งไม่ฉวยโอกาสตอนนี้จะฉวยตอนไหน”
“ทำไมฉันจะต้องฉวยโอกาสด้วยล่ะแม่ ฉันเป็นเมียตาศรีแล้วก็มีลูก ไอ้ซิงค์มันผ่านมาแล้วก็ไป ถ้าฉันจะคิดจำนวนคนที่ผ่านมา พ่อจีมันก็มีนับร้อยสิแม่ ฉันรู้แน่ว่าจีเป็นลูกฉัน ตาศรีทำหน้าที่พ่อ เพราะเลี้ยงดู อุ้มชูอุปถัมภ์มาไอ้ซิงค์กะฉันแค่ ผ่านกันมันจะเป็นพ่อจีได้ยังไง”
“แต่เอ็งอยู่กับไอ้ซิงค์เป็นคนสุดท้าย”
“คำว่าพ่อ ไม่ได้แปลว่าคนให้กำเนิดหรอกแม่ แต่แปลว่าผู้ให้การเลี้ยงดูอบรมด้วย ดูแต่แม่ แม่ยังเป็นแม่ฉันได้ เพราะเลี้ยงดูฉันมายังไงล่ะ ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ”
จุกตัดบทแล้วเดินหนีขึ้นเรือนไป ท่าทางฉุนเฉียวเอาการ
ยายปริกถอนใจ คิดหาทางหว่านล้อมจุกต่อ
ยายปริกไม่ละความพยายาม ตามจุกขึ้นมาบนชานเรือน
“ใครจะเลี้ยงดูช่างมันเหอะ แต่ตอนนี้ถ้าไอ้ซิงค์มันรู้ มันอาจจะให้อะไรจีมั่ง”
“แล้วทำไมมันถึงจะเชื่อล่ะแม่”
“โอ๊ย...คนเก่าคนแก่กัน ไอ้ซิงค์มันก็รักใคร่เอ็นดูจีอยู่แล้ว”
“มันไม่ง่ายหรอกแม่ เมียมันคงไม่ยอม”
“ถ้าเอ็งตกลง แม่จัดการเอง”
คราวนี้นังจุกครุ่นคิด คล้ายไม่แน่ใจ
“พรุ่งนี้เอ็งพาจีไปเยี่ยมมันที่โรงกะยาบาล นอกนั้นแม่จัดการเอง”
จุกส่ายหน้า
“อย่าเลยแม่ ศจีมันมีพ่อคนเดียวดีแล้ว อย่าให้มันกลายเป็นลูกสองพ่อเลย”
“ชะ แม่แนะทางได้ให้เอ็งนะโว้ย” ยายปริกหมั่นไส้
“ฉันไม่อยากได้นี่แม่”
“อีลูกคนนี้”
“ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอกแม่”
“งั้นข้าจัดการเอง ถ้าสำมะเหร็จเอ็งจะมามีเสียงอะไรไม่ได้ทั้งนั้นนะนังจุก”
“ตามใจแม่เถอะ แต่อย่าให้ฉันกับจีเข้าไปยุ่งก็แล้วกัน”
“เงินทองมันเป็นของต้องใช้ ไม่หามามันจะงอกเงยได้ยังไง มะรึดกไอ้ซิงค์มันน้อยๆ อยู่เรอะ ชะลงไอ้ซิงค์สะลามลาตาย นังเมียมันเก๊าะขนกลับอินเดียหมดเศษซะกิดเราจะเสียดุล”
ยายปริกบ่นอุบขณะที่เดินกระย่องกระแย่งลงบันไดไป
จุกมองตามพลางส่ายหน้า
ถัดมาไม่นาน อู๊ดนั่งลงบอกปริกด้วยท่าทางตื่นเต้น
“จวนแล้วแม่ กลิ่นมันออกตึๆ แล้ว”
ถวิลบอกเสริม “หมอเขาต้องให้ทั้งเลือดทั้งน้ำเกลือ ลงนอนแขม็บๆ อย่างนี้ฉันว่าไม่เกินสามวันเจ็ดวัน”
สีหน้าปริกยินดีลิงโลด
“บ๊ะ...จริงเหรอวะ”
“จริงแม่ เห็นกะตาเลยว่ามันหมดเรี่ยวแรง ที่สำคัญ...ไม่พูดถึงหนี้พวกเราสักแอะ” อู๊ดว่า
“ลงถ้าทวงหนี้ยังไม่มีแรงอย่างนี้ มันคงหนักจริง” แม่เล้าวัดใหญ่คิดปราด “ก่อนอื่น ต้องเกริ่นให้เจ้าตัวรู้เสียก่อน”
ยายปริกมีสีหน้ามุ่งมั่นมาก
ยายปริกพาตัวเองออกมาหน้าซ่อง ชะเง้อคอมองไปที่ถนนในซอยรอศจี
“รอใครน่ะแม่” โสภาชะเง้อตาม
“เอ็งไปดักรอที่ป้ายรถเมล์ที ถ้าจีลงจากรถให้มันเลยเข้ามาหาก่อนกลับบ้านบอกว่ามีธุระ”
“ธุระอะไรแม่”
“เอ็งไม่ต้องยุ่งหรอกน่า ไปบอกมันตามนี้ก็พอ”
“แล้วถ้าเผื่อมันถาม จีมันยิ่งขี้สงสัยอยู่”
“ก็ให้มันมาถามข้านี่ จะเดินไปหรือให้ข้าถีบ”
ปริกเงื้อเท้า โสภารีบเดินออกไป ปริกบ่นตามหลัง
“หมูมันอยู่ในอวยแท้ๆ ชั่วแต่หยิบขึ้นมากิน นังจุกยังไม่ยอมหยิบยังงี้อดตายเปล่า”
ยายปริกชะเง้อคอยยืดคอยาวอย่างกระวนกระวาย
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ศจีกลับจากทำงานบ้านคุณหญิงอรุณวตี จะเดินเข้าซอย แต่เห็นใครบางคนก็หยุดกึก เป็นสุพรรณที่ยืนรออยู่ พอเห็นศจีก็ยิ้มกว้างทักทายอย่างดีใจ
แต่แล้วมีเสียงโสภาเรียกดังขัดขึ้นมาก่อน “จี”
ศจีหันไป เห็นโสภาเข้ามาคว้าแขน
“มีอะไรพี่โสภา”
“แม่ แม่อยากคุยกะแกหน่อย”
“คุยเรื่องอะไร”
“แม่ไม่ยอมบอก ไปถามเองเถอะ”
ศจีหาทางเลี่ยงสุพรรณ จึงรีบตามโสภาไป สุพรรณมองตามอย่างไม่สบายใจ
ยายปริกผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความดีใจ
“มาแล้วเหรอ”
ศจีเข้ามาหายายปริก
“ยายหาฉันเรื่องอะไร”
“ไปคุยในห้องยายนี่”
ปริกจูงมือศจีเข้าไป
ศจีฟังแล้วนิ่งอึ้งไปหลังจากยายปริกเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง
“นี่ละความเป็นมาของเอ็งกับเจ้าซิงค์ คิดดู มะรึดกของเจ้าซิงค์มันจะควรตกก๊ะใคร”
ยายปริกมองสีหน้าศจีที่ยังนิ่งแล้วพูดต่อ
“แม่จีน่ะ ยายพูดเท่าไรก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอนิ่งทื่อมะลื่อลูกเอ๊ย” ยายปริกเอามือทาบตักศจี “คราวนี้จะได้สบายเสียที ไม่ต้องอะไร ดูหน้าตาจีเองก็แล้วกัน มันละม้ายคล้ายตาศรีกรงไหนบ้างหรือ”
ศจีรู้ทัน “ยายจะบอกแค่นี้ใช่ไหม”
“ยายว่าจะชวนจีไปเยี่ยมไอ้ซิงค์มัน ยังไงๆ มันก็เชื้อสาย ไปดูใจมันเสียหน่อยนะลูกนะ”
“ยายจะไปก็ไปเถอะ”
ยายปริกอ้าปากค้าง
“อ้าว แล้วไม่ไปด้วยกันเรอะ”
ศจียิ้มนิดๆ ดวงตาพราวระยับอย่างประหลาด
“ทำไมจะต้องไป”
“เอ๊ะ” แม่เล้าซอยวัดใหญ่ชักโมโห “ก็มันเป็นพ่ออย่างที่เล่าตะกี้”
“ยายแน่ใจเรอะ คนที่ผ่านไปผ่านมาบ้านยายนี่เท่าไหร่ เขาเคยรับเป็นพ่อของเด็กคนไหนบ้างไหม” ศจีลุกขึ้น “ฉันไม่สนใจหรอกยายว่าฉันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ฉันสนใจแต่ว่า ต่อไปฉันจะเป็นอย่างไรเท่านั้น”
พูดจบศจีก็เดินออกไป ปล่อยให้ยายปริกเต้นผางและค้อนขวับ
“ยโส นี่ละเข้าถึงว่า ด้านได้ อายอด”
ยายปริกกระย่องกระแย่งออกมาหน้าซ่อง พลางบ่นบ้าอย่างหงุดหงิด
“ของมันควรได้ ของมันควรได้”
ยายปริกร้องเรียก
“ใครว่างบ้างว้อย ไปเยี่ยมไอ้ซิงค์กันหน่อย”
บรรดาลูกเล้าต่างมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
ยายปริกกับลูกเล้าเดินมาถึงปากตรอก ซึ่งมีแผงขายผลไม้ตั้งอยู่
“แม่...ไม่ซื้อของไปเยี่ยมมันบ้างเรอะ” รินถาม
“ไหนว่าเจ็บจะตาย จะกินอะไรได้”
“มันต้องมีไปตามธรรมเนียมนี่แม่” อู๊ดติง
ยายปริกมองผลไม้อย่างลังเล
“ซื้อมะพร้าวอ่อนเถอะวะ น้ำมันกินชื่นใจดี”
ลูกเล้ามองหน้ากัน ทำตาปริบๆ
ไม่นานต่อมา บรรดาลูกเล้ายายปริกช่วยกันหอบหิ้วมะพร้าวพะรุงพะรังเข้ามาตามทางเดินในตึกผู้ป่วย ยายปริกท่าทางเหนื่อยหอบ
“ทางนี้แม่” ถวิลชี้ไปทางป้าย
“ทำไมมันไกลนักวะ โอย...จะเป็นลม”
ยายปริกทำท่าจะเป็นลม อู๊ดประคองยายปริกไว้
“ระวังนะแม่ เดี๋ยวก็ได้ตามไอ้ซิงค์ไปหรอก”
ยายปริกตบปากอู๊ด “แหม อีปากกระโถน ข้านี่แหละจะส่งเอ็งไปอยู่กะมัน”
อู๊ดเผลอปล่อย ร่างยายปริกเซไป ถวิลรีบเข้าไปประคอง
“โธ่แม่ ไม่น่าเลย”
ความงกในกมลสันดาน ซิงค์รักษาตัวในห้องพักคนไข้รวม ยายปริกมาถึงถลาเข้ามาที่เตียงซิงค์
“เป็นไงเจ้าซิงค์ คิดถึงพ่อแก้วแม่แก้วไว้เถอะวะ”
ซิงค์ซึ่งนอนซมอยู่ มีสายระโยงรยางค์และผ้าพันแผลเต็มตัวหันมา
“โอย...ปริกจ๋า อีนี้ซิงค์ตายแน่ๆ”
“ลองพูดได้แปลว่าเอ็งยังไม่ตาย หมอเขาว่ายังไงบ้าง” อู๊ดถาม
“เขาว่าเขาจะผ่าเอากระสุนฝังในออก เขาว่ามันเฉียดขั้วหัวใจไปนิดเดียว”
“มือมันห่วย” ถวิลบอก
“โอ๊ย...ถ้ามือมันดี ซิงค์เก๊าะตายแหงแก๋”
รินถาม “ไหนว่าเมียจะเอาแม่น้ำคงคามาพรมๆ แล้วก็หายไงล่ะ”
“ซิงค์ยังไม่กล้าให้พรมนะหนู ขืนพรมซิงค์เก๊าะไปสวรรค์เท่านั้น ซิงค์ยังอยากอยู่เห็นหน้าหนู”
ยายปริกกลอกตาไปมา ใช้ความคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
“เมียเขามาบ้างหรือเปล่า”
“มาทุกวันเลยปริกจ๋า ทีแรกเขาร้องไห้กลัวซิงค์ตาย”
“เขากลัวไม่ตายจริงมั้ง ซิงค์ตายใครจะเลี้ยงเมียซิงค์”
คำพูดของถวิลทำให้ยายปริกยิ้มออก เริ่มรู้สึกเข้าเค้า “เออ คนเรามันก็ยังงี้แหละ พอจะตายถึงจะห่วงลูกห่วงเมีย”
“ซิงค์ห่วงแต่เมียนะปริกจ๋า ผู้หญิงอินเดียถ้าผัวตายลำบากมาก”
“อ้าว แล้วลูกล่ะไม่ห่วงหรือไง”
ซิงค์มองตากลับงง ว่าถามอย่างนี้ได้ไง
“ซิงค์ไม่มีลูกจะต้องห่วง”
“ทำไมจะไม่มี” ยายปริกโน้มตัวลงใกล้หู “เอาเถอะ ไหนๆ ก็ล่วงเลยมาถึงแค่นี้แล้วจะบอกอะไรให้”
ซิงค์มองหน้าปริกงงๆ
ทางด้านศจีกลับมาบ้านสวนด้วยสีหน้าครุ่นคิด เรื่องที่เพิ่งได้ฟังจากยายปริก จุกเห็นรีบเข้ามาหา
“จี กินข้าวหรือยังลูก”
“ยังจ้ะแม่”
“งั้นแม่จะไปอุ่นกับข้าวให้”
จุกทำท่าจะเดินไปทางครัว เสียงศจีเรียกไว้
“แม่...”
จุกหันกลับมาหา “ว่าไงจี”
“วันนี้ยายเรียกหนูไปคุย”
จุกนิ่งไป รู้ทันทีว่ายายปริกพูดเรื่องอะไร
“เรื่องที่ยายเล่าให้ฟัง จริงหรือเปล่าแม่”
“เรื่อง...เรื่องอะไรจี”
“พ่อของฉัน ไม่ได้ชื่อศรีหรอกเหรอ”
จุกหน้าเครียดไป “แล้วจีคิดว่ายังไง”
ศจีเม้มปากแน่น
“ฉันบอกยายไปว่า ฉันไม่สนหรอกว่าอดีตฉันเกิดมาได้ยังไง ใครเป็นพ่อของฉัน ฉันสนใจแต่วันข้างหน้าเท่านั้น”
“แม่ดีใจที่จีคิดอย่างนั้น”
“แต่ฉันก็อยากรู้ความจริงจากปากของแม่ ว่าพ่อศรีรู้หรือเปล่าว่า ฉันไม่ใช่ลูก”
จุกถอนใจยาว ท่าทีอึดอัด
“พ่อเขาก็ไม่สนใจหรอกจี”
“แม่มีฉันก่อนหรือหลังแต่งงานกับพ่อ”
จุกน้ำตาคลอ “จี ทำไมถึงถามอย่างนี้”
ศจีมองแม่อย่างโกรธขึ้ง ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายจ้ะแม่ มันต้องไม่ตายไปพร้อมกับพ่อศรี”
จุกน้ำตาไหลพราก วิ่งหนีเข้าห้องไป ศจีมองตามน้ำตาคลอ ทั้งเสียใจและผิดหวังสุดจะประมาณ
ซิงค์ทำตากลับไปมาอย่างงุนงงหลายรอบ หลังจากฟังจบ พวกลูกเล้าทำตาโตอย่างสนใจและแปลกใจไปตามๆ กัน
“มิน่า มันถึงละม้ายๆ” อู๊ดพึมพำ
“แหม...ปริกจ๋า มันยังกะกำเนิดนางสีดาเปี๊ยบเลย อีนี้พอซิงค์รู้ตัวว่ามีลูกเก๊าะเป็นสาว”
ยายปริกทำท่าโศกาอาดูรอย่างสมบทบาท พยายามบีบน้ำตาแต่น้ำตาดันไม่ยอมไหล
“นังจุกมันไม่อยากพูด เพราะมันว่าที่ไหนใครจะเชื่อ โธ่เอ๋ย ข้าเองก็ไม่อยากพู้ด แต่เห็นจะตายจะต้อย ก็อยากให้ตายตาหลับ”
“โอ๊ย...เพียงแต่ห่วงเมียคนเดียวซิงค์ก็ตายไม่ลงแล้ว ขืนมีลูกซิงค์ตายไม่ได้แน่ๆ”
ปริกชักฉุน “คนเรา เกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้นแหละวะ ใครมันจะอยู่ค้ำฟ้าถึงที่มันก็ต้องตาย”
“แต่ซิงค์ยังไม่ถึงที่”
“เออ แล้วเรื่องศจีจะทำยังไง”
“จะทำยังไงปริกจ๋า ขืนเมียซิงค์รู้ ซิงค์ต้องตายแน่ๆ เมียซิงค์ดุยังกับเจ้าแม่กาลี เผื่อเมียรู้เข้า” ไม่เพียงไม่สนใจ ซิงค์ยังทำหน้าสยองเมื่อพูดถึงเมีย “เขาต้องตัดของซิงค์ไปผัดใบกะเพรากิน เหมือนที่ลงหนังสือพิมพ์แน่ๆ”
“ลูกทั้งคนเอ็งจะทำยังไง”
“หนูจุรีคนดีเลี้ยงมาจนโตแล้ว เขาไม่อยากให้ซิงค์รู้ ซิงค์ก็ทำม่ายรู้เสียสิปริกจ๋า”
ยายปริกทนไม่ไหว ลุกขึ้นชี้หน้าซิงค์ กระแทกเสียง
“เอ็งมันคนไม่มีมนุษยธรรม ลูกทั้งคนเอ็งยังดูดาย ไอ้ซิงค์ เอ็งกะข้าขาดกันในวันนี้”
“โธ่ ซิงค์กะปริกก็ยังไม่ได้ผูกติดกันซะหน่อย”
“ข้าพูดถึงสัมพันธไม้ตรีว้อย” ยายปริกหันมาทางลูกเล้า “กลับ พวกเรากลับเอามะพร้าวไปด้วย ไม่เยี่ยมไม่เยิ่มมันแล้ว เจ้าประคู้ณ” พร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัวแช่ง “ลงมีดวันไหนขอให้ตายวันนั้น”
“แล้วกันปริกจ๋า อีนี้แช่งซิงค์ไม่ดีม้ากมากนะปริก”
“เออสิวะ”
ยายปริกสะบัดหน้าพรืดออกนำหน้า
บรรดาลูกเล้าพากันอุ้มมะพร้าวตามไป แถมหยิบผลไม้จากตะกร้าเยี่ยมไข้ของซิงค์ไปด้วย
ยายปริกเดินคุมแค้นมาตามทาง จนลืมความเหนื่อย ขบเหงือกบ่น
“หน้าโลหิต! หนอยแน่ ไอ้คนพรรค์ยังงี้ มันควรจะตายเสียนานแล้ว”
“แม่ จีเขาเป็นลูกไอ้ซิงค์จริงๆ เหรอแม่” รินถามแทนคนอื่น
ยายปริกเพิ่งได้สติ เลยหันไปโมโหใส่
“อย่าใส่เกือก มันแผนโว้ย...มันแผน”
ยายปริกเดินนำหน้าออกไปอย่างฉุนเฉียว บรรดาลูกเล้างงทั้งแถบ
อ่านต่อตอนที่ 8