คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 5
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่จุกนั่งมัดผักแยกเป็นกำๆ อยู่ตรงชานเรือน เพื่อเตรียมไปขายที่ตลาด ยายปริกต้วมเตี้ยมขึ้นบันไดมาหา
“จุกเอ๊ย”
จุกหรี่ตามอง แล้วเลิกตาอย่างแปลกใจ
“อ้าวแม่ ทำไมวันนี้มาถึงนี่ได้”
“เห็นนังจีไม่ไปหาข้าเป็นเดือนแล้ว เลยจะมาดูหน่อยว่าไม่สบายหรือเปล่า”
จุกอึกอัก “เปล่า เปล่าหรอกแม่”
“แล้วมันเป็นอะไร ทำไมหายหน้าไป”
จุกหลบตาวูบ ทำเป็นปัดฝุ่นบนพื้นให้ “มันใกล้จะสอบแล้ว เลยให้อยู่บ้านอ่านหนังสือ เอ้า นั่งก่อนสิแม่”
ศจีวิ่งเข้ามากอดคอยายปริกเต็มแรง
“โอ๊ย เอาอีกแล้ว นังจีนี่ ทำเอายายเกือบคอหัก”
ศจีหัวเราะชอบใจ จุกมองครุ่นคิดพลางบอกศจี
“จีไปเอาน้ำมาให้ยายหน่อยลูก”
“จ้ะแม่”
ศจีวิ่งตื้อกลับเข้าไปในบ้าน ยายปริกมองตามแล้วหันมามองจุกอย่างประเมิน ก่อนจะถามออกไป
“ถ้าเจ้าซิงค์มาขอศจีไปเป็นลูก จะว่ายังไงวะ”
จุกสวนขึ้นทันควัน “เรื่องอะไร ฉันมีลูกอยู่คนเดียว เลี้ยงมาตะเล็กจนโตตอนนี้จะมาขอ ฉันไม่ให้หรอกแม่”
“เจ้าซิงค์ ฐานะมันดี”
จุกแทรกขึ้นอีก “ฉันไม่ได้เลี้ยงลูกมาไว้เกาะกินนี่แม่ ฐานะใครจะดีจะเลวก็ช่างฐานะฉันเลี้ยงลูกฉันได้ ฉันก็พอใจแล้ว”
ยายปริกมองจุกด้วยดวงตายิบหยีราวกับจะคาดคะเนอะไรอยู่ในใจ
“ถ้ามันเลี้ยงศจีเป็นลูก หากมันตายไป”
“ให้ลูกฉันมีพ่อเดียวเถอะแม่ อย่าให้มีพ่อทั้งเมืองเลย อีกอย่างนึงพ่อศจีมันก็หาที่ไหนไม่เหมือนอยู่แล้ว มันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาก็เพราะเขา จีนี่ พ่อเขารักของเขานัก ฉันจะเลี้ยงให้ดีกว่าแม่มันให้สมใจพ่อเขา ถ้าฉันตายไปเวลาพบน้าศรี ฉันจะได้พูดได้เต็มปาก อย่าให้ฉันตายแล้วมองหน้าแกในเมืองผีไม่ได้เลย”
“แม่ถามดูเท่านั้นแหละ แต่ยังไงก็ตามใจเอ็ง เรื่องเล่าเรื่องเรียนเหมือนกันโรงเรียนนี้เขามีแค่ประถม 4 จะขยับขยายยังไงก็คิดเสีย หรือจะให้มันเรียนแค่นั้น”
“จะให้เรียนต่อ แม่ เรียนให้ได้ปินยาเลย”
สีหน้าของจุกมีแววเคลิ้มฝันถึงอนาคตลูกสาวที่วาดเอาไว้แล้ว
เช้าวันนี้ จุกพาศจีมายืนอยู่หน้าโรงเรียนคอนแวนต์ติดถนนใหญ่ พลางเงยหน้ามองเข้าไปด้านในด้วยความตื่นตาตื่นใจ อาคารเรียนหลายชั้นอันหรูหราใหญ่โตของโรงเรียนแห่งนี้ ทำให้จุกรู้สึกว่าตัวเองเล็กนิดเดียว ขณะก้มลงถามลูก
“จีอยากอยู่โรงเรียนนี้ไหมลูก”
ศจีมองอย่างลังเลครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“งั้นเข้าไปด้วยกัน”
จุกจูงมือศจีเข้าประตูโรงเรียนไป แม้จะไม่มั่นใจนัก แต่มือนั้นก็กระชับมือลูกแน่นอย่างมุ่งมั่นแรงกล้า
จุกพาศจีมาหยุดอยู่หน้าห้องธุรการ เห็นบรรดาคุณหญิงคุณนายราวสิบคนแต่งตัวสวยงาม ต่างนั่งรอ ยืนรออยู่เต็ม บางคนก็คุยกับแม่ชีด้วยภาษาฝรั่ง
ทุกคนเหลือบมองนังจุกด้วยสายตาแปลกแยก และมีแววเหยียดหยามชัดแจ้ง ก่อนจะหันไปคุยกันต่อ
จุกมองสังคมตรงหน้าอย่างพิศวงงงงวย เสียงคุณหญิงคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาว่า
“ปีนี้จะสร้างตึกใหม่หรือคะ ขอบริจาคด้วยสักห้าหมื่นเถอะ โรงเรียนของเราทั้งที ถ้าไม่ช่วยกันใครจะช่วย”
จุกถึงกับสะดุ้ง หันไปมอง เห็นคุณหญิง 1 คนนั้นยืนคุยกับมาสเตอร์
“จดชื่อไว้เลยนะคะ มาเซ่อร์ วันประชุมผู้ปกครองตอนโรงเรียนเปิดเทอมจะนำมามอบให้”
คุณหญิง 2 บอก “จ้า คุณหญิงตราตั้งยังหมาดๆ ก็ต้องโฆษณาหน่อย ถ่ายรูปไปลงหนังสือสัก 2-3 ฉบับก็พอ”
เสียงอีกทางหนึ่งบ่นดังขึ้นมาเบาๆ ผู้พูดเป็นคุณนาย 3
“บ้าจัง ยายนี่อวดรวยให้ตั้งห้าหมื่น แล้วเราจะให้ต่ำกว่าได้ยังไง”
คุณหญิง 4 พยักพเยิด “ฮื้อ ทำบุญกับเรื่องเด็กมันคนละเรื่องย่ะ ปีที่แล้วผู้ว่าคนนึงจะเอาลูกสาวมาเข้า ให้มาแมร์คนละสามหมื่น มาแมร์ยังไม่รับ ถ้าบอกว่าเต็มก็เต็ม”
จุกรับฟังอย่างไม่สบายใจนัก รู้สึกความหวังเลื่อนลอยไกลออกไปลิบตา ครั้นพอก้มลงมองศจีแต่กลับไม่เห็นลูกแล้ว
จุกตกใจมาก “จี”
จุกวิ่งออกมาในสนามหน้าอาคารเรียน มองไปทั่วพร้อมกับร้องหาศจี
“จี”
“แม่”
จุกมองหาว่าลูกอยู่ไหน จนเห็นศจีกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนามหญ้า และล้มลงไป จุกตกใจถลาเข้าไปดู
“เป็นไงบ้างลูก”
แต่ศจีกลับลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหญ้าอย่างสนุกสนาน
“แม่...หญ้านุ้มนุ่ม”
จุกประคองศจีขึ้นมา
“จีมานี่ลูก อย่าซน”
“จีไม่ได้ซน จีมาดูสนามกะดอกไม้สวย”
“ไม่ได้ เข้ามาไม่ได้”
“ไม่มีป้ายห้ามนี่แม่”
“บางอย่าง บางที ถึงจะไม่มีป้ายห้าม เราก็ต้องห้ามตัวเองไว้ก่อนลูก”
มีเสียงดังขึ้นว่า “ที่นี่ไม่มีข้อห้าม ดินแดนใดที่พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองอยู่ทุกคนมีสิทธิ์โดยทัดเทียมกัน”
แม่ลูกหันไปมองอย่างตกใจ เห็นมาแมร์มองมา ดวงตาคู่นั้นยิ้มฉาย เต็มไปด้วยร่องรอยความปรานี
“มีธุระอะไรเหรอ”
จุกอ้อมแอ้ม “อิฉัน...พาลูกมาฝากค่ะ”
“ชั้นไหนล่ะ”
ศจีตอบแทนแม่ “ป.ห้าค่ะ”
มาแมร์ก้มลงมองศจี ที่พูดต่ออย่างฉาดฉานว่า
“หนูจบป.สี่แล้ว โรงเรียนไม่มีป.ห้า แม่จะพามาเข้าโรงเรียนใหม่”
“เอ...ชั้นนี้ดูเหมือนจะเต็มแล้วนา”
“หนูสอบป.สี่ ได้ที่หนึ่งค่ะ ตั้งเก้าสิบหกจุดเจ็ดศูนย์ ครูบอกว่าหนูสอบเข้าที่ไหนก็ได้ หนูเลยอยากมาอยู่โรงเรียนใหญ่ๆ”
“ชอบโรงเรียนนี้หรือหนู” มาแมร์ถาม
“ชอบค่ะ มันสวย สวยกว่าที่ไหนๆ สนามหญ้าสวย ดอกไม้สวย”
มาแมร์ยิ้มให้ศจีอย่างเอ็นดูปนเมตตา แล้วหันไปถามจุก
“ทำงานอะไรหรือเปล่า”
“ทำ...สวน... ก็พอได้บ้าง อิฉันไม่เคยเรียนหนังสือ” จุกลูบแขนลูกเบาๆ “พ่อเด็กก็เสียตั้งแต่แกยังเล็กมาก อิฉัน...อิฉันไม่ใช่คนดีนัก เลยอยากให้ลูกได้เรียนดีๆ มีเพื่อนดีๆ สิ่งแวดล้อมที่ดี ถ้าอยู่กับอิฉันลำพัง ไม่นาน มันก็คงจะเหมือนอิฉัน...”
มาแมร์มองจุกด้วยแววตาไตร่ตรองและเข้าใจดี
มาแมร์เดินนำศจีกับจุกเข้ามาในห้องธุการพวกคุณหญิงคุณนายต่างย่อตัวลงไหว้อย่างเคารพนบนอบ แต่กลับมองจุกกับศจีด้วยความแปลกใจและมีแววเหยียดหยามในสายตา
มาแมร์บอกกับแม่ชีฝ่ายธุรการ
“ซิสเตอร์ จัดการเรื่องเด็กคนนี้ที รับเข้าชั้นป.ห้าได้เลย”
ซิสเตอร์บอกว่า “ชั้นนี้เต็มแล้วค่ะมาแมร์”
“รับไว้อีกคน” มาแมร์หันมายิ้มกับจุก “ทางโรงเรียนเขาต้องการหลักฐานหลายอย่าง ถามซิสเตอร์เขาแล้วกัน”
มาแมร์พูดจบก็เดินออกไป คุณหญิงคุณนายคนอื่นกรูเขามาล้อมมาแมร์
คุณนาย 3 ถามว่า “งั้นของดิฉันล่ะคะมาแมร์ ชั้น ม.ศ.สี่”
“ของหนูค่ะมาแมร์” คุณหญิง 4 ถามตามกัน
“เดี๋ยวๆ ขอดูบัญชีก่อน”
จุกมองตาม พยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมา
จุกจูงมือศจีออกมาหน้าอาคารเรียน สีหน้าปลาบปลื้มใจไม่หาย จนศจีกระตุกมือถาม
“แม่ ถ้าจีโตขึ้น จีจะเป็นคุณหญิง จะได้มีเงินทำบุญเยอะๆ แต่งตัวสวยๆ”
จุกพยักหน้าเออออไปอย่างไม่สนใจนัก
“แม่ คุณหญิงเป็นยังไงแม่”
จุกตัดบท “ไม่รู้สิ”
ศจีทำท่าคิดก่อนจะพูดออกไปอย่างมั่นใจ
“ไว้จีโตขึ้น พอจีได้เป็นคุณหญิง จีก็รู้เองแหละ นะแม่นะ”
จุกมองศจีอย่างภูมิใจกึ่งขำที่ลูกสาวคิดไปถึงเพียงนั้น
วันนี้ยายปริกซึ่งรู้ข่าวจุกจะให้ศจีเรียนคอนแวนต์แวะมาที่บ้านสวน ทิ้งตัวลงบนแคร่ ถามขึ้นอย่างไม่สบายใจนัก
“ไหวเหรอวะจุก”
จุกนั่งเจียนใบตองไปอย่างอารมณ์ดี
“ไหวสิแม่ จีมันได้เรียนฟรี เสื้อผ้าก็ฟรีด้วย”
“ถึงจะฟรี แต่กว่าจะจบมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกจิปาถะ”
“ฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”
“ทำไมต้องเอาถึงยังงั้นจุกเอ๊ย ให้พอสมฐานะเราไม่ดีกว่าเรอะ ถ้าหมดทุนหมดกำลังเสียก่อนจะเสียใจภายหลัง”
“ไม่เป็นไรแม่ ผิดนัก...ก็ขายที่ขายทางส่งเสียให้ได้ ที่ให้ลูกเข้าโรงเรียนดีๆ น่ะฉันอยากให้จีมันมีเพื่อนดีๆ คนรวยๆ ฐานะดี เขาอยู่โรงเรียนยังงี้ทั้งนั้นถ้ามีเพื่อนดี จีมันจะได้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี อีกอย่าง...แม่รู้ไหม บางคนเรียนจนจบหาอะไรทำไม่ได้ เพราะไม่มีพวกมีพ้อง ถ้าจีมันมีเพื่อนมากๆ เรื่องเรียนจบแล้วไม่มีงานทำ ไม่ต้องคิด”
“มันก็ถูก” ปริกถอนใจอย่างกังวล “แต่กำลังเอ็งจะพอหรือเปล่าน่ะสิ”
“เรื่องนั้นฉันบอกแล้วไงแม่ ฉันไม่กลัวหรอก ฉันจะลองดู ให้จีมันได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นคุณหญิงคุณนายอย่างที่ตั้งใจไว้”
สีหน้าจุกยังมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ยายปริกได้แต่มองหน้าอดีตลูกเล้าอย่างไม่แน่ใจนัก
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ทางฝ่ายสุพรรณนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวใจพองโตอยู่ในห้องพักภายบนกุฏิวัดใหญ่ พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ จนกระทั่งไฟในห้องเปิดสว่างขึ้น สุพรรณกะพริบตาด้วยรู้สึกแสบตา ดนัยซึ่งเพิ่งกลับมามองหน้าเพื่อนขำๆ
“ที่แท้ก็หนีกลับบ้านมานอนฝันหวานเหรอวะไอ้พรรณ”
“ข้าไม่ได้หนี”
“ไม่ได้หนีอะไรวะ วันนี้น้องใหม่หน้าแฉล้มเรียงหน้ามาลงชื่อโต๊ะคณะ แทนที่จะช่วยกันต้อนรับ ข้าหันไปอีกที เอ็งอันตรธานหายไปซะแล้ว”
“ข้าบอกแล้วว่ามีธุระ”
“ธุระอะไรจะสำคัญกว่าต้อนรับน้องใหม่วะ” ดนัยนึกได้ ชี้หน้าเพื่อน “อ๋อ นอนยิ้มอย่างนี้ต้องมีเรื่องให้ฝันหวานแน่ๆ”
สุพรรณพลิกตัวหันกลับ ยิ้มกับตัวเอง “ไม่มีอะไร”
“มีนัดกับแม่สาวตาคมหลานยายปริกแน่ๆ”
สุพรรณแกล้งหาว “ข้าง่วงละ เอ็งก็ไปอาบน้ำนอนไป”
“หลงสาวเอามากเว้ยเพื่อน มีอะไรดีๆ ไม่ยอมบอกกัน”
ดนัยส่ายหน้ายิ้มรู้ทัน แล้วหันไปหยิบผ้าขาวม้า สุพรรณยิ้มกับตัวเอง แล้วหลับตาลงอย่างมีความสุข
ทางด้านศจีพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย วิทยุข้างตัวยังมีเสียงเพลงคู่ “สัญญารัก” ของนักร้องคู่ขวัญสุนทราภรณ์ สุเทพ วงศ์กำแหง และ สวลี ผกาพันธ์
“รักเอย น้องเองยังเฝ้าเฉลียว”
“รักเอยรักเดียวที่พี่ใฝ่ปอง”
“พี่ต้องคอย เฝ้าออมถนอมใจน้อง”
“มิทำขุ่นข้องหมองใจ”
เสียงของสุพรรณดังเข้ามาในห้วงความคิดของศจี
“ผมตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะสอบเข้ารับราชการเป็นปลัดอำเภอ คุณรอผมได้ไหม”
“รออะไรคะ”
“รอผมมาสู่ขอคุณไงครับ”
“เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“แต่ผมอยากให้คุณเป็นคุณนายปลัดอำเภอ แล้วผมจะตั้งใจทำงาน คุณจะได้เป็นคุณนายนายอำเภอ คุณนายผู้ว่าในอนาคตด้วย”
“คุณไม่เชื่อผมเหรอ ผมสัญญาว่าจะทำให้ได้”
ศจีพึมพำออกมาแข่งกับเสียงสุพรรณในความคิด
“ฉันจะคอยดูก็แล้วกัน”
ศจียิ้มกับตัวเองอย่างฝันหวาน
เช้าวันนี้ แกมแก้วเดินมาที่ตู้ล็อกเกอร์อาคารเรียนคณะรัฐศาสตร์ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ยิ่งพอเปิดตู้ รอยยิ้มก็ระบายเต็มใบหน้าสวย รีบหยิบบางอย่างในนั้นออกมา
มันเป็นจดหมายจ่าหน้าซองถึง “น้องลูกแก้ว” จาก พี่รหัสซึ่งที่แท้คือ สุพรรณ นั่นเอง แกมแก้วรีบเปิดอ่านทันที
“สวัสดีครับน้องลูกแก้ว สบายดีหรือเปล่าครับ เปิดเทอมสัปดาห์ที่ 2 แล้ว พี่หวังว่าลูกแก้วจะปรับตัวกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้บ้าง หนังสือที่พี่เคยแนะนำไปนั้น เห็นลูกแก้วบอกว่าตอนนี้ขาดตลาด ยังหาซื้อไม่ได้ พี่จึงฝากหนังสือมากับจดหมายฉบับนี้ด้วย”
แกมแก้วมองหนังสือในล็อกเกอร์ แล้วยิ้มกับตัวเอง
“ลูกแก้วต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกพี่ได้ พี่จะคอยดูแลลูกแก้วอยู่ห่างๆ จนกว่าเราจะได้พบกันในวันรับน้องใหม่ของคณะนะครับ...พี่รหัส”
แกมแก้วถือจดหมายค้าง แววตาเป็นประกายวิบวับ แต่แล้วก็รู้สึกว่าใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง พอหันไปก็ตกใจ รีบพับจดหมายทันที
“ยัยรัตนี่ มาตั้งแต่เมื่อไร”
รัตนาพรเพื่อนร่วมคณะ และเพื่อนสนิทของแกมแก้วยิ้ม มองเหล่
“ยังอ่านไม่จบเลย ขออ่านบ้างสิ”
“ไม่ได้ ตัวก็ไปอ่านของพี่รหัสตัวสิ”
“พี่รหัสของฉันไม่ค่อยเขียนจดหมายมาเลย”
“เวลาเขาเขียนมาเธอก็ไม่ค่อยตอบไปเหมือนกัน”
“ก็ของฉันไม่ตื่นเต้นเหมือนของตัวเองนี่ ดูเขาเป็นชายหนุ่มที่ช่างเอาใจใส่ ดูแลน้องรหัสทุกอย่าง อยากได้หนังสืออะไรก็หามาให้ อยากรู้จังว่าพี่รหัสของเธอเป็นใคร”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ฉันไปสืบให้เอาไหม”
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากรู้วันนั้นเลย ตื่นเต้นดีออก”
“แหม...ทำอย่างกับนัดบอดอย่างนั้นแหละ”
รัตนาพรค้อนแกมแก้วอย่างหมั่นไส้
ค่ำคืนนั้น ขณะที่แกมแก้วถือหนังสือกลับเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็ชะงักกึกมองแม่บ้านและพี่เลี้ยงคุณหญิงมารดาอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ ป้าวรรณ”
“คุณหญิงท่านอยากพบคุณลูกแก้วค่ะ”
สีหน้าแกมแก้วแปลกใจไม่หาย
ป้าวรรณเดินนำแกมแก้วเข้ามาในห้องนอนคุณหญิง พอมาถึงอรุณวตีก็พยักหน้าให้วรรณออกไป
“คุณแม่ขา ยังไม่นอนอีกหรือคะ
“รอลูกกลับมาน่ะสิ หมู่นี้กลับดึกจังนะลูกแก้ว”
“ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมทุกวันเลยค่ะ ลูกแก้วต้องอยู่ซ้อมเชียร์บ้างติวกับเพื่อนบ้าง” หญิงสาวเข้าไปกอดมารดา “คิดถึงคุณแม่จะแย่”
“อย่ามาประจบแม่เลย ลูกแก้วสนุกจนลืมแม่ไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มาคุยกับแม่บ้าง”
“ไม่ลืมหรอกค่ะคุณแม่ขา ลูกแก้วกว่าจะกลับก็ดึก เลยไม่อยากเข้ามากวนเวลาพักผ่อน รู้ว่าคุณแม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
อรุณวตีลูบผมแกมแก้วอย่างอ่อนโยน แผ่วเบา
“รู้ว่าแม่เหนื่อย ถ้างั้นหาคนมาช่วยงานแม่ทีสิจ๊ะ”
แกมแก้วมองฉงน “คุณแม่จะให้ลูกแก้วเป็นธุระหาให้เหรอคะ”
“ธุระเรื่องนี้ต้องเป็นลูกแก้วของแม่เท่านั้น”
แกมแก้วมองแม่อย่างแปลกใจยิ่งขึ้น
เป็นเพราะเมื่อวานศจีลาหยุด เช้าวันนี้ เธอจึงเปิดเอกสารดูงานที่คั่งค้างเพื่อทยอยเคลียร์ ครูน้อยเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
“ศจี เมื่อวานเธอไม่มา คุณหญิงเฉลามาพูดเรื่องจัดงานศิษย์เก่า ไม่มีใครรู้รายละเอียดสักคน มาแมร์โมโหแทบตาย”
“ดิฉันทำบันทึกไว้ให้มาแมร์แล้ว แต่เผอิญยังไม่ได้นำเสนอ”
“เธอไม่อยู่สักคนงานไม่เดินเลย แล้วเมื่อวานเป็นอะไรจ๊ะ ป่วยเหรอ”
“ทำนองนั้นค่ะ”
“ศจี”
เสียงเรียกดังขึ้น ก่อนครูเจนเจ้าของเสียงจะเข้ามาสมทบอีกคน พร้อมกับหอบเอกสารกองโตมาด้วย
“ช่วยดูบัญชีพวกนี้หน่อยจ้ะ เงินบริจาคของผู้ปกครองนักเรียน มาแมร์ให้ แยกของปีนี้กับปีที่แล้ว”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวบ่ายนี้เสร็จแล้วจะนำไปให้นะคะ”
“ขอบใจจ้ะ” ครูเจนหันมาบ่นกับครูน้อย “เมื่อวานศจีไม่อยู่ แย่เลยนะคะครู”
“นั่นสิ วันนี้งานเลยกลับมากองที่ศจีอีก งั้นเราไม่กวนแล้ว ศจีจะได้ทำงานต่อ”
ครูเจนกับครูน้อยชักชวนกันออกไป
ศจีแอบยิ้มในหน้าที่รู้ว่าตนมีความสำคัญขนาดนั้น ก่อนจะนั่งลงทำงาน มีอีกคนเดินเข้ามาเรียก
“จี”
ศจีหันมายิ้มทัก “เธอนี่เอง”
“คิดถึงจีจังเลย”
แกมแก้วเข้ามากอดศจีอย่างดีใจ
“วันนี้ไม่เรียนหนังสือเหรอ”
“เรียนจ้ะ แต่รีบมาหาจีเพราะมีธุระสำคัญอยากคุยด้วย”
ศจีนิ่วหน้า “ธุระ อะไรเหรอ”
แกมแก้วนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานศจีในห้องธุรการ
“คุณแม่บ่นว่าตั้งแต่ลูกแก้วเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกแก้วออกจากบ้านแต่เช้าๆ กลับมืดๆ คุณแม่เลยไม่มีเพื่อนคุย”
ศจียิ่งแปลกใจ “งั้นเหรอ”
“ใช่ แล้วงานคุณแม่ก็เยอะมาก ท่านเปรยๆ ว่าอยากจะหาเลขาสักคนมาช่วยท่านถามว่าศจีทำอะไรอยู่”
ศจีฉงนฉงาย “ท่านอยากให้ฉันไปเป็นเลขา”
แกมแก้วยิ้มร่า “จ้ะจี นะ...ไปเป็นเลขาคุณแม่ดีกว่า คุณแม่จะได้มีผู้ช่วย เราจะได้เจอกันบ่อยๆ ด้วย”
ศจีสีหน้าลังเล
แกมแก้วเสริมอีกว่า “อีกอย่าง ถ้าจีไปอยู่ด้วย คุณน้ารัชนีฉายจะได้ไม่กล้าไปวุ่นวายกับคุณแม่ หมู่นี้คุณน้าเขาชอบมายุ่งกับเราเรื่อย เขาไม่ได้สั่งแต่คนใช้แล้วนะจี คุณพ่อ คุณแม่ ลูกแก้ว เขาสั่งหมดเลย”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนสั่ง ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรายอมทำไหม” ศจีย้อนแย้ง
“โธ่ จีไปดูด้วยตาเถอะ แล้วจะรู้เอง”
ศจีมองหน้าแกมแก้วอย่างครุ่นคิดตัดสินใจ
“นะจีนะ คุณแม่ต้องจัดงาน ต้องติดต่อกับผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีระดับท่านทูต ชาวต่างชาติก็มาก รับรองจีจะได้ใช้ความรู้อย่างเต็มความสามารถ มากกว่าที่นี่เสียอีก”
คราวนี้แววตาของศจีเป็นประกายฉายโชนขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
“แหม ถ้ามาแมร์ได้ยินลูกแก้วมาชวนจี มีหวังโดนตะเพิดออกไปไม่ทัน”
แกมแก้วพูดเองหัวเราะขำเอง ส่วนศจีสีหน้าเรียบนิ่ง เหมือนตัดสินใจได้แล้ว
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 5 (ต่อ)
“อะไรนะ จะไปเป็นเลขาคุณหญิงน่ะเหรอ”
สุพรรณอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ ขณะไปรับศจีจากหน้าปากซอย และเดินคุยกันมาในซอย เพื่อไปส่งศจีที่บ้านสวน
“จะเป็นเลขาก็ไม่ตรงเสียทีเดียว ที่จริง ท่านคงจ้างฉันไปเป็นเพื่อนคุยมากกว่า”
สุพรรณท้วงติง “แล้วมันจะมีความก้าวหน้าตรงไหน”
ศจีพูดติดตลก
“ก้าวหน้าสิ ฉันจะได้ฝึกงานเป็นคุณนายผู้ว่าไปด้วยไงล่ะ”
สุพรรณยิ้มกว้างดีใจ “จริงด้วย”
สุพรรณจับมือศจีอีก พอเธอจะดึงมือออก แต่เขาไม่ยอม
“เอ๊ะ คุณนี่ ฉวยโอกาสอยู่เรื่อยเลย”
“ไม่ได้ฉวยโอกาส ผมแสดงความดีใจต่างหาก ดีใจที่คุณนึกถึงผม”
“ฉันนึกถึงอนาคตของตัวเองมากกว่า”
“อย่างน้อยผมก็เป็นส่วนหนึ่งในอนาคตของคุณด้วยใช่ไหม”
ศจีสะบัดมือออก แล้วเดินนำหน้าไปอย่างเขินอาย สุพรรณรีบตามไป
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปอย่างมีความสุข
อีกวัน เมื่อมาแมร์เปิดซองสีขาวบนโต๊ะของท่านออกมาดู หญิงสูงวัยทำท่าคล้ายไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ศจี มีอะไรเหรอ”
“ใบลาออกค่ะ”
“ใช่ แล้วทำไมคิดว่าจะลาออก”
“ดิฉันได้งานใหม่ค่ะ แต่ในใบลาดิฉันเรียนแล้วว่าจะยังทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะหาคนมารับหน้าที่ต่อได้”
“งานใหม่เงินเดือนดีกว่าที่นี่เหรอ” มาแมร์มองนิ่ง
“ดิฉันยังไม่ทราบค่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมเธอคิดจะออก”
“เพราะดิฉันเห็นว่า ทางโน้นมีความจำเป็นมากกว่าทางนี้”
สีหน้าของมาแมร์เต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย
“คุณหญิงอรุณวตีค่ะ ท่านต้องการเลขาเพราะท่านไม่ค่อยสบาย ดิฉันเห็นว่าท่านเป็นคนเจ็บ ดิฉันอาจจะทำประโยชน์ให้ได้มากกว่า”
มาแมร์ค่อยแสดงความเข้าใจ แต่ดวงตาฉายรอยลึกล้ำกว่าปกติ
“ฉันเข้าใจละ แต่ขอเตือนอย่างนึงนะศจี คำเตือนนี้มิได้มาจากฉันในฐานะที่เป็นมาแมร์ แต่เป็นคำเตือนจากคนที่เห็นเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย”
ศจีตั้งใจฟัง
“คนเรา ถ้าสักแต่เป็นคนก็ย่อมปราศจากความนับถือจากคนอื่น ยกเว้นแต่ว่าเขาพยายามทำตนให้เป็นที่นับถือ มนุษย์ทุกคนมาจากดิน ย่อมไปสู่ดินมาจากผงคลีปลักตม แต่ยามที่เรายังไม่ได้กลับไปสู่ความเป็นดิน เราต้องปั้นรูปลักษณ์ของเรา ให้มีค่าควรแก่การนับถือจงได้”
“ดิฉันทราบค่ะ มาแมร์ ดิฉันไม่ได้เป็นแค่ดิน หากเป็นปลักตมผงคลีอย่างที่มาแมร์ว่า แต่ที่นี่ได้ปั้นดิฉันขึ้นมาจากปลักตมนั้นแล้ว จะเหลือก็เพียงการระบายสีรูปปั้นเลือกศิลปินไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่ ศจี แต่การดูดซับสีนั้น มันสุดแต่ดินที่ปั้นไว้เดิม รักษาความละเอียดอ่อนของเนื้อดินไว้ให้ดีศจี”
“ขอบพระคุณค่ะมาแมร์”
ศจีลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะ ไปคุกเข่าลงกราบถึงข้างเก้าอี้ของมาแมร์ ครูใหญ่ผู้อารีย์วางมือลงบนเรือนผมศจี
“จำไว้นะศจี ถ้าโลกภายนอกผันผวนอย่างไร ถึงแม้ฉันจะตายไปแล้ว แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนที่นี่ยังยินดีรับเธอกลับเข้ามาเสมอ ไปเถอะ ไปเริ่มงานใหม่ของเธอได้เลย ที่นี่ปั้นเธอมาแล้ว ถ้าจะฉาบสีให้คงมีสีขาวอย่างเดียวแต่ข้างนอก เขาจะฉาบให้เธอทุกสี แม้แต่สีดำ ระวังนะศจี จำเรื่องพระคัมภีร์ไว้ คนที่เข้ามาจูบเราด้วยความรัก คือคนที่จะพาความตายมาให้ คนที่เรารักมักจะทำให้เราเจ็บช้ำกว่าคนที่รักเราเสมอ”
ศจีกราบลงอีกครั้ง ลุกยืนแล้วหันกลับ ก้าวออกจากห้องนั้นอย่างมั่นคงและสง่างาม
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น แกมแก้วพาศจีเข้ามาถึงหน้าห้องทำงานคุณหญิงอรุณวตีบนตึกใหญ่
“ห้องนี้แหละคุณแม่ใช้เป็นกองบัญชาการทำงาน รับแขก นั่งเล่น ถ้าจีมาทำงานที่นี่ ก็คงต้องอยู่ในห้องนี้ทั้งวัน”
ศจีเหลียวดูรอบด้าน ดวงตาฉายประกายพึงพอใจขึ้นมา เหมือนกำลังมองปราสาทหรูของเจ้าชาย รัชนีฉายเดินเข้ามา มองลูกแก้วอย่างแปลกใจ
“อ้าว...ลูกแก้ว ไม่ไปเรียนหนังสือเหรอ”
แกมแก้วตอบอย่างไม่ไยดีนัก
“เดี๋ยวไปค่ะ”
“คุณแม่กำลังทำอะไร”
“หมอกำลังตรวจค่ะ หนูเลยพาเพื่อนมาคอยที่นี่”
“มีธุระอะไรเหรอ”
รัชนีฉายหันมามองศจีด้วยดวงตาคมกริบ
“หนูจะพาเพื่อนมาเป็นเลขาคุณแม่”
รัชนีฉายถึงกับนิ่วหน้า น้ำเสียงที่ถามกลับ มีร่องรอยความไม่พอใจเจือปน
“เอ๊ะ ทำไมเรื่องนี้น้าไม่ทราบ”
“ก็จีเขาจะมาเป็นเลขาคุณแม่ ไม่ใช่เลขาคุณน้านี่คะ” เด็กสาวย้อนยอก
“แต่เวลาคุณพี่จะทำอะไร เคยบอกน้า”
“บางอย่างที่คุณแม่เห็นเป็นเรื่องส่วนตัว ก็คงไม่บอกคุณน้าหรอกค่ะ”
รัชนีฉายนิ่งคิด “คุณพ่อทราบหรือเปล่า”
“หนูให้คุณแม่บอกคุณพ่อเอง เมื่อคืนคุณแม่ดูทีวีกับคุณพ่อจนดึก ท่านคงบอกกันแล้วกระมังคะ”
“มิน่า” รัชนีฉายเบะปากนิดๆ เป็นเชิงเยาะ “วันนี้หมอเลยมาตรวจแต่เช้า”
จากนั้นรัชนีฉายเดินเข้าไปด้านใน แกมแก้วดึงศจีตามไปด้วย
รัชนีฉายเดินผ่านแจกันที่ปักดอกกุหลาบไว้เต็ม
“อะไร สายจนป่านนี้ ทำไมยังไม่มีใครมาเปลี่ยนดอกไม้”
รัชนีฉายกดออดติดผนัง สักครู่สาวใช้คนสนิทของเธอชื่อ บรรจง เข้ามาคุกเข่ารอรับใช้
“บรรจง วันนี้ทำไมยังไม่เปลี่ยนดอกไม้ เดี๋ยวสายเข้า แขกไปใครมาก็จะโกลาหลกันหรอก”
“เอ่อ..คือว่า...”
บรรจงอึกอัก ชำเลืองไปมองแกมแก้วที่เข้ามาพอดี
“หนูสั่งบรรจงเขาเองค่ะ ว่ายังไม่ต้องเปลี่ยน วันก่อนหนูเห็นบัญชีค่าดอกไม้มันเยอะนัก เช้าขึ้น ดอกไหนดีดอกไหนเลวไม่รู้ โละทิ้งหมด ถ้าเราปลูกได้เองค่อยทำยังงั้น หนูว่าเราลองใช้วิธีรักษาให้มันสดอยู่สัก 2-3 วัน จะได้ทุ่นไป”
รัชนีฉายฉุนที่ถูกก้าวก่าย “นี่ ยายลูกแก้ว เรื่องดูแลบ้านคุณแม่เธอมอบให้น้านะ เธอจะสั่งการอะไรควรมาปรึกษาน้าเสียก่อน”
“ก็หนูบอกอยู่เดี๋ยวนี้ไงคะ”
รัชนีฉายอ้าปากจะเถียงต่อ แต่เสียงของคุณหญิงอรุณวตีดังขึ้นเสียก่อน
“อะไรกันจ๊ะ”
ศจีหันไปมอง เห็นอรุณวตีเดินออกมาส่งหมอ แกมแก้วกับศจียกมือไหว้หมอที่เดินออกไป
รัชนีฉายหันไปยิ้ม ถามอรุณวตีด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
“หมอว่ายังไงบ้างคะคุณพี่”
“ก็อย่างที่รู้ๆ กัน”
“ยายลูกแก้วบอกว่า เมื่อคืนคุณพี่นอนดึก โธ่ ก็หมอเขาห้าม คุณพี่ก็ทราบอยู่แล้วนี่คะ”
“ไม่ได้ดึกดื่นเท่าไรหรอก”
อรุณวตีหันไปทางศจียิ้มบางๆ ทัก ศจีสบตาคู่นั้น แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ อรุณวตีรับไหว้
“ฉันดีใจที่หนูยอมมาทำงานให้นะศจี เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
รัชนีฉายมองศจีอย่างไม่พอใจนัก
อ่านต่อตอนที่ 6