คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 3
วันนี้เมื่อในอดีต เสียงปริกร้องดังลั่น ดังออกมานอกร้าน เสริมสวยคุณแดง ในซอยวัดใหญ่
“อีจุกมันจะแต่งงาน”
แดง ช่างผม และเจ้าของร้านถามอย่างแปลกใจ ขณะที่มือกำลังยีผมลูกค้าที่หยิกฟูเป็นระวิง
“ฮ้า...จริงเหรอ มันจะแต่งกะใคร”
“มรรคนายกวัดใหญ่”
ทุกคนในร้านฮือฮา
“อะไรนะ แต่งกะใครนะ” แดงตกใจ
ปริกหมั่นไส้ “ไม้แคะหูชุดละบาทเดียว ซื้อมาทะลวงเสียมั่ง”
“พูดใหม่ซิ”
“แต่งกับตาศรี มรรคนายากวัดใหญ่ เอ้า...ซึมซาบทรวงในหรือยัง”
แดงถึงกับเข่าอ่อนมืออ่อน ทำท่าจะหมดแรง
“อะไร้ ตานั่นอายุจะห้าสิบแล้วมั้ง”
“ไม่ใช่จะห้าสิบแต่ห้าสิบสองแล้ว เขาเรียกตาแก่ทีเด็ด” แจ่มว่า
“ต๊าย...ตาแก่นี่ต้องมีอะไรเด็ดแน่ๆ ถึงเอาชนะใจนังจุกมันได้”
ทุกคนหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกปาก
เช้าเดียวกันนี้ หลวงพ่อถามขึ้นขณะตาศรีกำลังประเคนภัตตาหารฉันเช้า
“ไง...หมู่นี้มีข่าวลือแปลกๆ นะ”
ตาศรีรู้ทันที หัวเราะเบาๆ “คะรับ ก็คงเรื่องกระผม”
หลวงพ่อนิ่งอึ้งไป เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์
“สงสารเด็กมันน่ะครับ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังเลี้ยงมาได้ ทำไมคนสักคนจะเลี้ยงไม่ได้”
ตาศรีประเคนของต่อ หลวงพ่อได้แต่รำพึง
“วัวของผู้ใด ก็ย่อมเข้าคอกผู้นั้น”
ตาศรียกมือไหว้อย่างเข้าใจความหมาย แต่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
เสียงแห่ขันหมากงานแต่ง ดังขึ้นมาอย่างครึกครื้น รื่นเริง เฮฮา
“เอ้า มาละเหวย มาละวา ขันหมากมาแล้ว ตะลาลา...”
เสียงนั้นดังออกมาถึงหน้าซ่องยายปริก ตอนกลางคืน เห็นมีป้ายเขียนตัวหนังสือโย้เย้ว่า “วันชื่นคืนสุข จุรี” คั่นด้วยรูปหัวใจและ ชื่อ “ศรี” และมีตัวหนังสือเล็กๆ แถมท้ายข้างล่างว่า “ลดครึ่งราคา”
มือของหลายคนชนแก้วกัน
“ฮิ้ว…”
อู๊ด ถวิล แจ่ม ชื่น ฉลวย และลูกเล้าอื่นๆ กับลูกค้าชายนั่งฉลองกันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนออกอาการเมาแอ๋
ฉลวยปรือตามองหา “เจ้าสาว...เจ้าสาวอยู่ไหน”
ชื่นปรือตาบอก ”อยู่ในห้อง”
“อุวะ ยังไม่ถึงเวลาส่งตัว ขึ้นห้องทำมาย...ปาย...ปาย...ลากออกมา เพื่อนเจ้าสาวล่ะ” ถวิลเมาปลิ้น
อู๊ดซึ่งนุ่งผ้าหน้านางชักชายพกเรียบร้อย แต่ข้างบนสวมชุดตะเบ็งมาน แต่งหน้าเข้ม ยกแก้วขึ้นอาการงอกแงก
“อยู่นี่ว้อย”
ถวิลบอกว่า “ปาย...ปาย ตามเจ้าฉาวมา”
อู๊ดลุกขึ้น เกือบล้มเพราะทรงตัวไม่อยู่ เพื่อนๆ ช่วยกันยันไว้ แล้วยันหน้ายันหลังให้เดินต่อ
อู๊ดและพรรคพวกเดินโซซัดโซเซมาถึงหน้าห้องจุก ช่วยกันเคาะประตู นำโดยอู๊ด
“จุ๊กกรู หนูจ๋าออกมาได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าบ่าวมาจะได้ทำพิธีซะเลย”
ถวิลบอกอย่างใจร้อน “มันไม่ออกมาเราก็บุกเข้าไปเลยสิวะ”
ทุกคนช่วยกันดึงประตูจนเกือบหลุด ดีที่จุกเปิดออกมาเสียก่อน
“แม่เจ้าโวย” แจ่มตะลึงแล
ชื่นก็ด่วย “สะเด้งเด๊ะ”
จุกสวมชุดไทยนุ่งผ้าถุงผ่าข้างเห็นขาก่อน แถมคล้องพวงมาลัยให้ตัวเองเสร็จสรรพ
อู๊ดตะโกนเรียก “ออกมาได้แล้ว แม่เจ้าสาวด้วย”
ปริกโผล่หน้าออกมา
“เรียกข้าทำไมวะ ได้ฤกษ์แล้วเรอะ”
“ลงไปรอก่อนดีกว่าแม่ เดี๋ยวเจ้าบ่าวมาจะได้ทำพิธีซะเลย”
พูดจบสาวๆ ก็ไปรุมดึงตัวนังจุกกับยายปริกออกมาจากห้อง
“เบาๆ เบาๆ ข้าเดินเองได้”
ปริกกลับไปหยิบกล่องขนมปังคู่ใจออกมา แล้วเดินหนีบไปด้วยท่าทางนวยนาดให้สมกับเป็นแม่เจ้าสาว
มือตาศรีเคาะประตูซ่องรัวๆ
“มีใครอยู่ไหมจ๊ะ แม่ปริก... จุกเอ๊ย...”
ตาศรีในชุดผ้าพื้นโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตนพร้อม แต่หิ้วรองเท้ามาด้วยเพราะใส่แล้วเดินไม่ถนัด เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ตาศรีก็เคาะอีกครั้ง
“เปิดประตูหน่อยจ้ะ ฉันมาแล้ว”
ตาศรีรออีกสักพัก จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่แล้วก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้า
จุก เจ้าสาวนั่งซึมอยู่กลางวง ตาแทบลืมไม่ขึ้นเพราะความเมา ส่วนปริกนั่งเหยียดยาว มีลูกน้องคอยพัดให้ แต่ละคนตาเยิ้มเมาแอ๋ได้ที่ คนอื่นๆ นั่งบ้างนอนบ้าง เหล้ายากับแกล้มกระจัดกระจายไปทั่ว
พอรู้สึกตัว ปริกก็ตะโกนออกมา
“เจ้าบ่าวมาแล้วโว้ย”
ทุกคนรับเซ็งแซ่ “เจ้าบ่าวมาแล้ว”
คราวนี้ทุกคนลุกฮือกันไปรุมฉุดกระชากตาศรีเข้ามา
มรรคนายกชรา ถูกฉุดมายืนข้างนังจุก แล้วต่างก็มองหน้ากันงงๆ
อู๊ดถามทันที “แม่ แล้วทำยังไงล่ะ”
“อวย...อวยกันได้แล้ว”
ถวิลถาม “อวยอะไรแม่ เอาอวยมาทำไม”
“อีเซ่อ! อวยพรว้อย”
อู๊ดบอกขึ้นว่า “แม่ก็อวยก่อนสิ”
ถวิลกับฉลวยช่วยกันพยุงสังขารปริกให้ลุกขึ้น ปริกทำตัวให้เป็นทางการ
“ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้า” ปริกตบอกตัวเองผางๆ “แม่เจ้าสาว ที่ถึงแม้จะมิใช่ผู้ให้กำเนิดบังเกิดหัว แต่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยแครงจนเท่าหอยกาบ”
ฉลวยสะกิด “แม่...เปรียบอย่างอื่นบ้างสิแม่ หอยแครง หอยโข่ง หอยขม หอยกาบเลิกพูดทีได้ไหม”
“ข้าพเจ้าเลี้ยงมาด้วยดี”
ชื่นเหน็บ “ใช่...หาอาชีพให้ซะด้วย”
“เมื่อลูกสาวจะเป็นฝั่งเป็นฝา ข้าพเจ้าจึงปลาบปลื้ม”
ถวิลแดกดัน “น้ำตาไหลออกมา”
“ลูกเขยข้าพเจ้า ก็เป็นคนดีมีศีลธรรมถือความสัตย์ อีกมัธยัสถ์ละทั้งโลภและโกรธหลง” ปริกว่า
แจ่มกระซิบกับอู๊ด “แม่เรานี่เข้าพรรค ส.ป.ด. ได้สบายๆ”
ปริกร่ายต่อ “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงปลาบปลื้ม”
ถวิลแซว “สองปลื้มแล้วนะแม่”
“ขอให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาว จงอยู่ครองกันตราบกระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกะบองยอดด้วยเทอญ”
เสียงทุกคนร้อง “เฮ...” ลั่น
ทุกคนยกเว้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวชูแก้วขึ้น แล้วดื่มกัน อู๊ดส่งแก้วเหล้าให้ตาศรี
“เจ้าบ่าวกะเจ้าสาว เขาต้องเสพสุราร่วมกัน”
ตาศรีโบกมือสั่นหัวดิก
“ฉันถือศีลจ้ะ พระท่านห้าม...”
ถวิลถือแก้วเหล้าเข้ามากอดคอตาศรี
“เราเสพเป็นระยะๆ พระท่านไม่ว่า พระท่านเทศน์ว่า...สุราเมาเป็นระยะๆ เราต้องเชื่อ การดื่มรวดเดียวไม่เหมาะ”
ถวิลจับตาศรีกรอกเหล้าเข้าปาก ตาศรีถึงกับหน้าแหย
แจ่มกับถวิลรำวงเข้ามาหน้าห้องอย่างสนุกสนาน
“วันนี้เรามีความฉุก ฉะหนุกรื่นเริงหัวจาย ที่นี่เป็นแดนสวรรค์ เธอกะฉันมาเต้นโค้งก้า”
“สนุกเป็นบ้า พรุ่งนี้ใครแต่งอีกซักคนเถอะวะ” แจ่มชักติดใจ
พอมาถึงหน้าห้อง ปริกตะโกนหา
“ส่งตัว…ส่งตัว เจ้าบ่าว เจ้าสาวอยู่ไหน”
ทุกคนหันไป เห็นตาศรีซบอยู่กับอกอู๊ด โดยมีฉลวยที่ช่วยกันประคองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“น้า...น้า...กอดผิดตัวแล้วน้า”
จู่ๆ ตาศรีครวญคร่ำออกมาว่า “เสียใจ น้าเสียเสียใจ...”
ฉลวยงง “เสียใจอะไรน้า”
“น้าควรแต่งงานซะตั้งแต่อายุสิบสาม ไม่ใช่ห้าสิบสามอย่างเดี๋ยวนี้มันซาหนุกซะเหลือเกิน”
จุกถูกชื่นกับลูกเล้าอีกคนประคองอยู่ ปรือตามองตาศรีอย่างงุนงง
จุกนอนอยู่บนเตียง มองไปข้างๆ เห็นตาศรีนั่งพิงหน้าเตียงคอพับ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย จุกเอื้อมมือไปเขย่าตัวตาศรีเรียก
“น้า...น้า...”
ตาศรีนั่งหลับหูหลับตาบ่นพึมพำอ้อแอ้
“สุรา...กาเม...พระท่านห้าม...”
จุกยันตัวลุกขึ้น ค่อยๆ คว้าหมอนมาหนุน แล้วหลับตาลง
เหล่าคณานางนอนแผ่หราอยู่ตามพื้น ขวดเหล้า โซดาน้ำหกนอง จานชามแก้วน้ำวางระเกะระกะ ลูกค้าชายบางคนนอนกรนเสียงดังสนั่น ปริกนอนหนุนกล่องขนมปังไว้มั่น
มีเสียงเคาะประตูดังลั่น ปริกงัวเงียขึ้นมา
“ใครอีกวะ วันนี้ปิดกิจการหนึ่งวัน”
เสียงซิงค์ดังเข้ามา “อีนี่จ๋านนะ จ๋าน...ขาประจำเก่านะนาย”
ปริกนิ่วหน้า พยายามลำดับความ
“ใครวะ”
“จ๋านนะ ปริกจ๋า”
ปริกผุดลุขกึ้น คว้ากล่องขนมปังหนีบรักแร้ไปด้วย พอเปิดประตูก็ต้องชะงัก
“ไอ้ซิงค์...มาทำไม”
ซิงค์ยืนยิ้มฟันขาว ผ้าโพกหัวหลุดลงมาถึงขอบตาเพราะความเมา
“เก็บดอกนะ ปริกจ๋า คนที่นี่ไม่จ่ายดอกสักคน ยี่ซิบไปยี่ซิบห้าไม่มา หนูจุรีไม่จ่ายมาสามเดือนแล้ว ผ้านุ่งก็เอาปาย โสร่งปาเต๊ะสวยๆ นะปริกจ๋านุ่งจนหมดลาย ไม่จ่ายซิงค์สักแดง”
“วันนี้อีจุกมันแต่งงาน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“โอ๊ย อีนี้พรุ่งนี้มาเก๊าะไม่ลดราคาซิปริกจ๋า จ๋านเป็นขาประจำลดครึ่งราคา หักดอกไปดีกว่านะ ปริกจ๋า”
ปริกเกาหัวแกรกๆ “แต่วันนี้ นังจุกมันแต่งงาน ผ่อนดอกกับคนอื่นก็แล้วกัน”
“แหม อีนี้เสียความตั้งใจนะปริกจ๋า” ซิงค์ป้องปากตะโกนลั่น “หนูจุรีจ๋าจุรีของซิงค์เอ๋ย”
“อย่าเอะอะไป”
ปริกรีบลากซิงค์เข้าไปข้างใน
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปริกดึงซิงค์เข้ามาในโถงของซ่อง กระซิบพลางชี้ให้ดูลูกเล้าตรงหน้า
“นี่ดูสิ จะเลือกคนไหนได้เลยนะซิงค์จ๋า”
ซิงค์นิ่วหน้ามองไปรอบๆ เบ้หน้ากับสภาพของแต่ละคน
“นังหวิน เอาไหม” ปริกชี้ชวน
ซิงค์มองไปทางถวิลซึ่งนอนน้ำลายไหลยืด ทำปากหยับๆ พลางเการักแร้ตัวเอง ถึงกับเบะปาก
“โอ๊ย...หนูสุดถวิลกลิ่นแรงนะ ปริกจ๋า ซิงค์ซบลงไปทีไรซิงค์จะสลบทีนั้น กลิ่นซิงค์ว่ารุนแรงแล้ว อีนี่แพ้หนูสุดถวิลเลยปริกจ๋า”
ปริกถอนใจอย่างเข้าตาจน พยายามโอ้โลมปฏิโลม
“มาพรุ่งนี้เถอะน่า เอาเถอะ จะลดราคาเป็นพิเศษ”
ซิงค์ไม่ยอม “ไม่ได้นะปริกจ๋า พรุ่งนี้เมียจ๋านมาจากอินเดีย จะเมียแขกเมียไทยหึงบรรลัยทุกคนนะปริกจ๋า”
ปริกเริ่มรำคาญ “เอ้า งั้นคอยอยู่นี่”
ปริกถือกล่องขนมปังไต่กระไดต้วมเตี้ยมขึ้นไปบนเรือน
“คนอื่นไม่รับประทานนะนาย”
ปริกเอาหน้าแนบประตูห้องหอ ได้ยินเสียงบ่นงึมงำของตาศรี ยายปริกเงี่ยหูฟังพลางกระซิบเรียก
“จุก จุกเอ๊ย”
ไม่มีเสียงตอบ ปริกค่อยๆ แง้มประตูโผล่หน้าเข้าไปดู
“จุก แม่เอง”
ปริกกวาดตามอง เห็นตาศรีหลับตานั่งเหยียดยาวอยู่ในท่าเดิม ขณะที่จุกงัวเงียลุกขึ้นตามเสียงเรียก
“อะไรแม่”
“ไอ้ซิงค์มันมา”
จุกตาสว่าง “มาทำไม”
“มาเก็บดอก”
จุกเหลียวไปมองตาศรีที่ยังนั่งหลับอยู่ แล้วค่อยๆ คลานอ้อมลงทางปลายเตียงมาที่ประตู บ่นงึมงำ
“เก็บอะไรกันวันนี้”
“เอ็งลองไปพูดกับมันหน่อยซิ แม่พูดเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่ฟัง”
จุกกลอกตาไปมาเซ็งๆ
“ลงไปซักกะเดี๋ยวเถอะ ตาศรียังไม่สร่างหรอกน่า”
จุกมองตาศรี แล้วมองปริกอย่างตัดสินใจ
“แม่จะเฝ้าไว้เอง”
จุกพยักหน้ารับ แล้วออกไปจากห้อง
แม่เล้าซอยวัดใหญ่มองตาม แต่แล้วเสียงของตาศรีทำให้ปริกถึงกับสะดุ้ง
“โอม กะตึกกะตักกะตึกกะตัก...”
ปริกตกใจหันไปมอง เห็นตาศรียกมือพนมแต้ ทั้งที่ตายังหลับอยู่
“แสนขวานต่อยขวาน ก็หัก แสนหอกจะปักหอกก็ย่อยยับเยิน แสนพะเนินจะตีก็บ่มิต้อง...”
เสียงตาศรีค่อยๆ เบาลงๆ จนมือตก คอพับไปในที่สุด
ปริกถึงกับถอนใจเฮือกโล่งอก แล้วหาวด้วยความง่วงงุน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงบานประตูห้อง วางกล่องขนมปังไว้บนตักกุมไว้แนบแน่น ก่อนจะส่งเสียงกรนแข่งกับตาศรีดังสนั่น อย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร
ในตอนสายวันรุ่งขึ้น ตาศรีหอบหิ้วกล่องเสื้อผ้าของจุกนำเข้ายังบ้านสวนของแก ซึ่งอยู่ท้ายซอย โดยมีจุกตามหลัง และเหลียวมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกแปลกๆ ตาศรีรีบออกตัว
“ไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ นานๆ ก็จะมีคนมาขอซื้อกล้วย ใบตอง มะนาว มะพร้าว ทางโน้นก็มีกระถินเป็นดง ท้ายสวนก็ขายได้ เก็บของเล็กๆ น้อยๆ ขาย พอกับข้าวถมถืดไป
“กับข้าวกับปลากินกันที่ไหนล่ะนี่”
“น้าถืออุโบสถ ไม่กินข้าวเย็น”
“แล้วกันน้า แต่ฉันไม่ใช่ยายชีนี่ ขืนไม่กินข้าวเย็นจะได้หิวตาย”
“เอ็งทำเป็นหรือเปล่า”
จุกหน้าเจื่อนไป “เคยคิดจะหุงข้าวสวย แต่มันกลายเป็นข้าวต้มไปทุกที”
“เอา แล้วจะสอนให้”
จุกมีสีหน้าไม่แน่ใจนัก
สองสามเดือนมานี้ จุกนั่งๆ นอนๆ เป็นคุณนายเมียมรรคนายกอยู่แต่ในบ้านสวน ตาศรีคอยดูแลหุงหาข้าวปลาให้ทานก่อนไปปฏิบัติภารกิจที่วัด เช้าและเพล
เช้าวันนี้ จุกกึ่งนั่งกึ่งนอนกินกล้วยน้ำว้าอยู่นอกชาน ขณะที่ตาศรีนั่งผ่าฟืนอยู่ตรงลานไม่ไกลนัก จุกกินเสร็จโยนเปลือกทิ้ง แต่ต้องตกใจ เมื่อพบว่าเปลือกกล้วยไปแปะลงบนหัวของตาศรีพอดี สักพักจุกก็หัวเราะลั่นอย่างขำขัน
ตาศรีประเคนของให้หลวงพ่อ ชาวบ้านมองตาศรีแล้วต่างซุบซิบกัน ตาศรีเหลือบมองนิดหนึ่งแต่ก็ทำไม่สนใจ
ฝ่ายจุกเอนหลังนั่งกินตะลิงปลิงจิ้มกะปิอย่างเอร็ดอร่อย แล้วยื่นให้ตาศรีที่หอบใบตองมัดใหญ่เข้ามา ตาศรีส่ายหน้า
จุกยัดเยียดใส่ปากให้ตาศรีกิน ตาศรีเบ้หน้ารู้สึกถึงรสเปรี้ยวปรี๊ด ทำหน้าเหยเกแลดูน่าขัน จุกหัวเราะขำ แต่แล้วก็ทำท่าพะอืดพะอม วิ่งออกไป ตาศรีมองตามอย่างตกใจ
จุกเอาแต่โก่งคออาเจียนอยู่ในสวนหลังเรือน
ตาศรีตามเข้ามาลูบหลังให้ ถูกนังจุกปัดออกไปอย่างรำคาญ
ข่าวเรื่องจุกท้องดังไปทั้งซอยวัดใหญ่ คณานางคณิกาที่ซ่องหูผึ่งกันทั้งแถบ เมื่ออู๊ดโพล่งออกมาอย่างดีใจ
“ใครวะ ไม่เชื่อว่ามรรคนายกจะมีของดี”
“ไม่ใช่สากกะเบือนี่โว้ย” ถวิลว่า
ปริกยิ้มไม่เต็มยิ้มนัก “จะได้เป็นยายคนแล้วสิกู”
“ดีนะแม่ ได้เป็นยายแบบไม่ต้องท้องเองด้วย ฮ่าๆๆ”
ทุกคนหัวเราะ ปริกยิ้มยินดี ชักชวนลูกเล้า
“ไป ไปเยี่ยมนังจุกมันหน่อย”
“ไปเมื่อไรแม่” ฉลวยถาม
“ไปวันนี้เลยซี่ เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยกลับมาเปิดทำการ”
“คนกำลังท้องกำลังไส้ มันต้องอยากกินเปรี้ยวๆ ปูดๆ บ้าง แม่ไม่ซื้ออะไร ไปเยี่ยมมันบ้างเรอะ” อู๊ดถาม
“เฮ้ย มันอยู่กะเรือกกะสวน ผลหมากรากไม้เยอะแยะ มันจะอยากแหลกอะไร”
ฟังแม่เล้าจอมงกสาธยาย บรรดาลูกเล้าได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ
ตาศรีคุยโวเสียงดังลั่น ขณะที่นั่งกรีดใบตองไป โดยที่จุกนั่งจุมปุ๊กอยู่ด้วยตรงนอกชาน
“ลูกคนนี้มันต้องลูกพระมาเกิด”
เสียงปริกดังเข้ามา “พระถังซำจั๋งน่ะซี้”
ตาศรีหยุดกึก หันขวับไปพลางหัวเราะร่า
“เชิญ...เชิญ แหม...วันนี้มากันถึงนี่”
ปริกไต่กระไดมาพลางหอบฮั่กๆ โดยมีถวิล อู๊ด ฉลวย แจ่ม ชื่น ตามหลังมาด้วย
อู๊ดหันไปทักถาม “ไงวะคุณนายจุก ชะ นั่งเท้าแขนแอ่นหยัดเชียวนิ”
“อ้าว มาได้ยังไงไม่ยักบอก”
“ก็แม่น่ะสิ พอได้ข่าวเอ็งก็ใจร้อน รีบมาเลย” ถวิลบอก
“ขึ้นไปนั่งบนบ้านกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันหาน้ำหาท่าให้กิน”
อู๊ดกับถวิลช่วยกันประคองปริกขึ้นบนบ้านไป
หย่อนก้นลงไม่ทันหายเหนื่อย ปริกหอบแฮ่ก แต่ไม่วายถามอย่างตื่นเต้น
“เอ็งท้องเรอะ”
จุกพยักหน้าเนือยๆ ไม่ยินดียินร้าย ปริกตบเข่าฉาด
“อ๊ะ นึกว่าข่าวโคมลอย กี่เดือนแล้ววะ”
จุกนับนิ้วไปมาอย่างไม่แน่ใจ
“คงจะสักสาม ฉันไม่ได้สนใจ”
ปริกมองประเมิน “แสดงว่า แต่งปุ๊บท้องปั๊บ”
ตาศรียกขันน้ำฝนมาวางตรงหน้า
“ลูกพระมาเกิดน่ะแม่ปริก อยู่ด้วยกันดีๆ ก็มีลูก”
พวกลูกเล้าหัวเราะขำกันคิกคัก อู๊ดนำทีม “ฮ่าๆๆ น้านี่พูดแปลก ก็ต้องอยู่ดีๆ ซิเล่าถึงได้มีลูก เด็กๆ มันยังร้องเล่นกันบ่อยๆ ว่า ใครอยากมี ผอ สระอัว ไม่ต้องกลัวท้องป่อง”
ตาศรีบอกว่า “แต่ฉันอยู่เฉยๆ”
ชื่นยิ้มแซว “น้าอาจจะทำเฉย ตั้งสติ แต่นังจุกมันคงไม่เฉยน่ะซิ”
“น้าแกไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับฉันหรอก” จุกว่า
คนอื่นอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
อู๊ดร้องลั่น “หา! ว่าอะไรนะ คนนาเว้ยไม้ใช่ปลากัด อยู่คนละขวดจะได้มีลูก”
“น้าเขาไม่เคยนอนกะฉันสักที” จุกย้ำ
คนอื่นมองหน้ากันไปมาอย่างงุนงงยิ่งขึ้น ปริกถามเสียงหลง
“ว่าอะไรนะนังจุก”
“ฉันว่าน้าศรีเขาไม่เคยนอนกะฉัน อยู่ดีๆ ฉันก็ท้องขึ้นมา”
“พูดเป็นบ้า มดลูกเอ็งมันเหมือนไก่หรือไง ถึงได้มีไข่ลม”
ปริกหันมาถามจุกจริงจัง “เอ็งพูดให้แน่ๆ นังจุก ก็ตาศรีมาติดใจเอ็งถึงขนาดสู่ขอแต่งงานแต่งการกัน แล้วเอ็งจะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“ฉันอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้นอนด้วยกัน” จุกยืนคำเดิม
“ตะก่อนที่แต่งงานล่ะ” ปริกซักฟอก
“น้าศรีเขามาหาฉันจริง แต่เขามาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเลิกอาชีพเก่า ให้มาอยู่กับเขา จนฉันใจอ่อนวันที่เขาช่วยพาฉันไปหาหมอนั่นแหละ”
ทุกคนสบตากันอย่างงงเป็นไก่ตาแตก
“อุวะ! ถึงตาศรีจะแก่แต่เอ็งยังสาว ของยังงี้...”
ปริกพูดไม่ทันขาดคำตาศรีรีบบอก “ฉันถืออุโบสถจ้ะ”
“มันอาจจะมีเวลาลืม” ปริกไม่ยอม
“ถึงลืมยังไง ก็ไม่มีทางหรอกแม่” ตาศรีที่เรียกปริกตามธรรมเนียมบอก
“ทำไม”
ตาศรียิ้มเหนียมๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มออกมา
“ฉันครบสามสิบสองกะเขาเมื่อไหร่แม่ปริก ฉันมีแค่สามสิบเอ็ดฝ่าๆ นิดหน่อย”
ปริกตบเข่าฉาด “ต๊าย ไอ้ตาลยอดด้วน”
“นี่ละ ฉันถึงว่าลูกพระ ฉันขอเจ้าพ่อมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ คงมีสักองค์ท่านสงสารเลยบันดาลมหัศจอรอหันการันต์ยอ”
ปริกหันไปทางจุก “อีหนู...เอ็งแน่ใจนะว่า...”
“โธ่แม่ ถึงฉันจะเลวเกวมายังไง ไอ้ที่จะไปท้องกับใครแล้วมาแหมะให้น้านั้น ไม่ต้องเซด”
ปริกได้แต่ทำตาปริบๆ ยังไม่อยากเชื่อ
“ลูกคนนี้มีบุญนะแม่ปริก นี่ละ จะเกิดมาทำชื่อเสียงให้พ่อแม่ ถ้าเป็นผู้ชายมันจะได้เป็นขุนพล ถ้าเป็นผู้หญิง...”
ฉลวยแหลมออกมา “จะได้เป็นดาราเหรียญทองเหมือนแม่”
ตาศรีโบกมือขวักไขว่
“มันจะได้เป็นเจ้าคนนายคนต่างหาก”
ตาศรีพูดบอกทุกคนนัยน์ตาฝันๆ อย่างปลาบปลื้มใจและเปี่ยมหวัง แต่ปริกยังมองหน้าจุกที มองตาศรีที อย่างงุนงงสงสัย
แม่เล้ากะลูกเล้าเดินตามกันเป็นขบวนมาตามทางเดินในสวนมุ่งหน้ากลับซ่อง ปริกซึ่งเดินนำหน้าบ่นพึมพำมาตลอดทาง
“มนุษย์มันเกิดทางอื่นได้อีกหรือเปล่าวะ”
ถวิลเองก็เง็งไม่หาย “หรือจะจริงของน้าศรีแก”
“นั่นสิ น้าศรีแกก็ยอมรับแล้วว่ามีแค่สามสิบเอ็ดฝ่าๆ” ฉลวยออกความเห็น
อู๊ดถามขึ้นว่า “แต่ไอ้ที่ว่าฝ่าๆ น่ะ มันฝ่าแค่ไหน”
“ถ้าฝ่าๆ มากกว่าขันที มันอาจจะเฮงเจ๊าะขึ้นมาได้นา” แจ่มว่า
“มันยาก ถ้าไม่ถึงห้าสิบปูเซนต์มันยาก”
สีหน้าแม่เล้าซอยวัดใหญ่ครุ่นคิดหนัก
ทุกคนแวะมาทำผมที่ร้านเสริมสวยคุณแดง อู๊ดนั่งโม้ให้แดงฟัง ขณะที่แดงกำลังไดร์ผมให้พะยอม ซึ่งคอยเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ
“ผิวมันผ่องเชียวเจ๊ สวยผิดหูผิดตา” อู๊ดว่า
แจ่มเสริม “ตาศรีบอกว่าเป็นลูกพระ”
“พระพายละมั้ง” ฉลวยบอก
แดงออกความเห็น “หรือเจ้าพ่อจะเสด็จมาตอนกลางคืน”
“นั่นซิ นังจุกมันไม่ยอมบอก” ถวิลพยักพเยิดตาม
“หรือตาศรีแกมียา” แจ่มว่า
ปริกได้แต่ส่ายหน้า พึมพำ
“มันต้องมีช่องโหว่ กรงไหนสักแห่ง ต้องมีช่องโหว่”
คนอื่นมองหน้าปริก แล้วหันกลับมามองหน้ากันตาปริบๆ
ตอนค่ำวันนั้น ซิงค์หอบข้าวของมาถึงหน้าซ่อง พร้อมตะโกนโฆษณาสรรพคุณแจ้วๆ
“อีนี่ซิงค์มาแล้วนะหนูจ๋า ซิงค์ของคุณหนูๆ ทั้งหลาย มีผ้าสวยๆ น้ำหอมดับกลิ่นอันมิพึงมีแก่คนนอกจากเต่า แป้งผัดหน้าหอมกรุ่นละมุนละไม ผัดเย็นถ้าไม่ล้าง ขาวจั๊วะถึงเช้านะหนูจ๋า”
พวกสาวๆ กรูกันเข้ามารุมดูสินค้าของซิงค์
“ไหนๆ มีอะไรใหม่ๆ มามั่ง” แจ่มถามขึ้น
“คุณนายปริกอยู่ไหม หนูจ๋า”
อู๊ดตะโกนเรียกปริก
“แม่...แม่... ซิงค์มา”
ปริกนั่งคิดหัวแทบแตกอยู่ข้างใน พอเห็นหน้าซิงค์ก็ลุกขึ้นร้องลั่น
“นี่แหละ ไอ้ช่องโหว่” พลางตะโกนบอกอู๊ด “ให้มันเข้ามานี่”
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ซิงค์ทำท่ากระดี๊กระด๊าหน้าตาระรื่นเมื่อเข้ามาในห้องปริก
“โอ๊ย วันนี้วันดีเด็ดสะระตี่ ปริกจ๋าเรียกเข้ามาในห้อง อีนี้เมียแขกก็ไปอินเดียอีกแล้ว ซิงค์กำลังว้าเหว่วิเหวโหว”
ปริกสวนขึ้น “เมียเอ็งไปอินเดียอีกแล้วเหรอวะซิงค์”
“ใช่จ้าปริกจ๋า เมียซิงค์ไปอาบน้ำพระคงคาขอลูกอีกแล้ว”
“งั้นปัญหาคงอยู่ที่เมียเอ็งแล้วละ อาบจนตัวเปื่อยก็ไม่เห็นจะมีลูกซะที”
“อีนี่เมียซิงค์ถึงได้ต้องไปอาบน้ำแล้วบนบานขอพระนาร้ายนารายณ์ไงละจ๊ะ หวังว่าท่านจะประทานมาให้ซิงค์สักที”
“บางทีท่านอาจจะประทานมาให้เอ็งทางอื่นก็ได้นะ”
“ปริกจ๋า หมายความว่ายังไงหรือจ๊ะ”
ปริกนั่งลงพลางมองซิงค์อย่างพิเคราะห์
“คืนนั้นเอ็งเก็บดอกกับนังจุกมันยังไงวะซิงค์”
ซิงค์ยิ้มเขินๆ
“อีนี่ปริกจ๋าจะรู้ไปทำไมจ๊ะ”
“ฉันอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“พิสูจน์อะไรหรือปริกจ๋า อีนี่บอกซิงค์มาหน่อยสิจ๊ะ ซิงค์จะได้ตอบถูก”
“ก็แค่ตอบมาว่าเก็บดอกมันยังไง”
ซิงค์ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อีกวันหนึ่ง พอชาวบ้านไหว้พระเสร็จ เดินออกมาก็ตั้งวงซุบซิบกันอย่างเมามัน
นำโดยพะยอม “ได้ข่าวว่านังจุกมันท้องแล้วนะ”
สวาทเสริม “จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างตาศรีจะมีลูกกะเขาเป็นด้วย”
“นั่นสิ แต่แปลกนะ ตั้งแต่ตาศรีแต่งงานแล้วดูผอมเอาๆ” ติ๋มตั้งข้อสังเกต
“สงสัยนังจุกมันจะกินผัว” สวาทว่า
ติ๋มโพล่งขึ้น “วะ! ตาศรีน่ะแก่จะตายอยู่แล้ว ยิ่งมามีเมียสาว ไม่ตายเร็วทนได้เรอะ”
เสียงตาศรีดัง แทรกเข้ามา
“มนุษย์...มันจะมีอะไร”
พวกที่นินทากันอยู่ถึงกับสะดุ้ง มองไปเห็นตาศรียิ้มใจเย็น
“เกิด กิน นอน ทำงาน แก่ แล้วก็ตาย...มันก็เหมือนๆ กัน ถึงจะตายก็ไม่ว่า ขอให้ได้เห็นหน้าลูกเสียก่อน”
พูดจบตาศรีก็เดินผ่านไป ชาวบ้านต่างมองหน้ากัน
หลายเดือนผ่านไป ตาศรีกลับมาบ้านพร้อมกับหิ้วปิ่นโตกลับมาด้วย มองหาจุก
“จุกเอ๊ย จุก ฉันกลับมาแล้ว วันนี้ที่วัดมีงาน เลยเอากับข้าวทำบุญกลับมาเผื่อเอ็งด้วย”
ไม่มีเสียงตอบ ตาศรีชักใจคอไม่ดี มองไปเห็นข้าวของล้มระเนระนาด
“จุก เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า”
มีเสียงดังโครมครามออกมาจากทางห้องน้ำ ตาศรีตกใจรีบวิ่งไปดู
“จุก”
พอตาศรีมาถึง ก็เห็นนังจุกในสภาพท้องโย้จวนคลอด โผล่ออกมาจากห้องน้ำ หน้าซีดเหงื่อแตกกาฬ กุมท้องอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย...ปวดท้องจังน้า”
ตาศรีถลาเข้ามาประคองจุกอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ท้องเสียหรือเปล่า”
“ตอนแรกนึกว่าใช่ แต่มันไม่มีอะไรออกมาเลยนี่น้า นอกจากปวดๆ”
“มันปวดยังไง”
“ก็ปวดท้องแหละ อูย...มันปวดแล้วก็หาย หายแล้วก็ปวดอีก”
ตาศรีถึงกับเต้นผาง ร้องลั่น
“เอ็งเจ็บท้องจะคลอดแล้วล่ะซิ”
“เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“คิดถึงพระสิวะจุก”
จุกตวาดแหวใส่ “ฉันยังไม่ตายนะน้า พาฉันไปโรงพยาบาลที”
ตาศรีรีบประคองจุกไปเรียกรถอย่างทุลักทุเล
เช้าวันรุ่งขึ้น ปริกพร้อมกับบรรดาลูกเล้า โผเข้ามาหาจุกที่นอนแบบอยู่บนเตียง ในห้องคนไข้รวม ส่งเสียงถามกันเซ็งแซ่ ขณะที่ตาศรีนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
แจ่มถามเป็นคนแรก “ลูกอยู่ไหนวะ ขอดูหน้าหน่อย”
ถวิลซัก “เจ็บไหมวะจุก”
อู๊ดซัก “เฮ้ย...ลูกหน้าเหมือนใครวะ”
ชื่นถามตาม “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ปริกแผดเสียงด่าลั่น
“ค่อยๆ หน่อย ให้ข้าพูดมั่ง”
ทุกคนค่อยเบาเสียงลง ปริกหันไปถามจุก
“ไหนล่ะลูกเอ็ง”
“เขายังไม่เอามาให้เลยแม่”
ตาศรีพูดแซงขึ้นอย่างปลาบปลื้ม
“ลูกคนนี้ดวงมันดี ฉันลองผูกดวงดูแล้ว มันจะเป็นใหญ่เป็นโตต่อไปข้างหน้า”
อู๊ดปากเปราะ “งั้นน่ากลัวจะเป็นดาราเหมือนแม่มัน”
แจ่มปากดี “หรือไม่ก็ได้รับโอนกิจการจากยาย”
ตาศรีหน้าเจื่อน ส่วนบรรดาลูกเล้าอื่นๆ หัวเราะกันคิกคัก
สักครู่หนึ่งพยาบาลเข็นรถเด็กเข้ามา พลางถามหา
“นางจุรี มีไหมนางจุรี”
นังจุกลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว
“ลูก”
พยาบาลอุ้มลูกเข้ามาให้ จุกคว้าเด็กมาไว้ในอ้อมแขน
อู๊ดยื่นหน้ามาดู “ต๊าย น่ารัก”
ฉลวยยิ้มชื่น “อุ๊ย ตะลุมปุ๊กดีจัง”
จุกอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขนรัดแน่นเพราะกลัวตก เด็กตกใจร้องไห้จ้า
“เฮ้ย ค่อยๆ หน่อย เดี๋ยวเด็กหายใจไม่ออก”
“มา ขอยายอุ้มที”
ปริกเอื้อมมือไปช้อนร่างหลานไปอุ้ม พวกลูกเล้ากระซิบกระซาบ
“เหมือนลิงอุ้มแตงว่ะ”
ปริกไม่ใส่ใจเสียงอู๊ด “วะ ปากนิดตะหมูกหน่อย ผมหยักศกเสียด้วย ตาโต ผิวพรรณดี จมูกมีสัน
นิดๆ สวยยังกะตุ๊กตา” พลางถามจุกว่า “จะให้ลูกชื่ออะไรวะนังจุก”
ชื่นเสนอชื่อ “เจี๊ยบ”
ฉลวยบอก “แจ๋ว”
แจ่มขอเสนอ “แจ่ม เหมือนข้า”
ตาศรีค่อยๆ แทรกขึ้นมาเสียงอ่อยๆ
“ฉันผูกดวงแล้ว แม่ชื่อจุรี พ่อชื่อศรี ลูกก็ต้องชื่อ ศจี”
ถวิลเหน็บ “ไหนน้าว่าลูกพระ ไม่ใช่ลูกพระไงล่ะ”
“ใช่ แต่ฉันมันพ่ออุปภัมภ์” ตาศรีว่า
ปริกพยักหน้า “ก็เพราะดี”
อู๊ดเล่นกับศจี “ไง แม่กะจี้รี่”
ชื่นหมั่นไส้ “แหม ยังจะเปลี่ยนชื่อให้เด็กนะนังอู๊ด”
ปริกมองหลานในอ้อมแขนอย่างเอ็นดูรักใคร่ จูบหอมหลานสาวตัวน้อยฟอดใหญ่
“ครบเจ็ดวัน โกนผมไฟแล้วยายจะทำขวัญให้”
อู๊ดพยักพเยิด “ทองสักบาทเป็นไงแม่”
“เออสิวะ จะทำกำไลตีนทองให้ใส่ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน”
ตาศรียกมือลูบผมศจี มือนั้นสะท้าน พึมพำเบาๆ ออกมา
“เด็กมันดวงดี ใครเห็นใครก็เมตตา”
ตาศรีมองทารกศจีด้วยแววตาปีติยินดี สุดจะประมาณ
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 3 (ต่อ)
3 เดือนต่อมา ศจีร้องไห้จ้าอยู่บนเบาะที่นอน ตาศรีรีบวิ่งเข้ามาดู
“จีลูกพ่อ”
ตาศรีกำลังจะช้อนอุ้มศจีขึ้นมา แต่มือของจุกเข้ามาคว้าไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง”
จุกอุ้มศจีขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“คงจะหิวแล้วละมั้ง” ตาศรีบอก
“เพิ่งให้นมไปเมื่อตะกี้ คงต้องซื้อนมผงชงให้กินบ้างละนะ นมแม่เริ่มไม่พอแล้ว”
“เดี๋ยวฉันไปซื้อเอง” ตาศรีอาสา
“เงินพอเหรอ ขายได้แต่ใบตุ้งใบตอง ส้มสูกลูกไม้ วันละสิบยี่สิบมันจะไปพอที่ไหน”
ตาศรีอึ้งไป คิดหนัก
“ขายที่เสียดีไหม มีคนมาทาบๆ หลายรายแล้ว”
“ไม่เอา เกิดหมดเงินคราวนี้ได้หมดตัวกันละ มีที่อยู่ที่กินได้วันละห้าวันละสิบก็ยังดีกว่าไม่มีเลย”
“แล้วจะทำยังไง” ตาศรีเครียด
“ทำยังไงก็ได้ ให้มันมีกินมีใช้ก็แล้วกัน”
ตาศรีใช้ความคิด “ฝีมือช่างไม้ก๊อกๆ แก๊กๆ ก็ยังพอมี ตะก่อนเคยต่อโลงผีให้วัด”
“ฝีมือต่อโลงอย่ามาพูดเลยน้า ไม้สี่แผ่นตอกไม่ติดก็แย่ละ”
“เออนั่นแหละ ถ้าต่อไม่เป็น ยาไม่ดี มันจะอ้าซ่าออกมา ที่พูดน่ะยังไม่จบ ศาลา กุฏิพระ ก็เคยซ่อม”
จุกค้อนเอา “ก็ทำไมไม่พูดเรื่องศาลาก่อน ดันพูดเรื่องโลง”
“พอตายโครมลงเมื่อไรละ ถึงจะรู้ว่าโลงมันสำคัญกว่าอย่างอื่นทั้งนั้นต่อโลงให้วัดได้บุญดี”
“ฉันยังไม่คิดจะตายหรอก น้าคิดเผื่อตัวเองเถอะ”
“หัวถนนมีร้านขายโลง จะลองไปเป็นลูกมือมันดู เผื่อจะได้ค่าแรงอีกวันละสิบยี่สิบ”
จุกเออออไป แล้วหันหลังให้นมลูกในอ้อมกอด ตาศรีแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
ตาศรีคร่ำเคร่งกับการหาเงินมาเลี้ยงลูก เวลานี้อยู่กับไอ้สังข์ลูกน้อง ช่วยกันยกโลงที่ต่อเสร็จแล้วขึ้นไปยังแท่นบนศาลาวัด แต่แล้วก็เซๆ ไป สังข์เข้าช่วยประคอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้า”
“ไม่เป็นไร คงเพราะเมื่อคืนนอนดึก”
หลวงพ่อถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไป ไปหามดหาหมอเสียบ้างนะ เดี๋ยวนี้ดูซูบไปมาก”
“ก็ โรคชราแหละขอรับ แก่แล้ว ทั้งโรคาพยาธิ ทั้งมัจจุราช ชักจะถามๆ หา”
“พักเสียบ้างนะน้า ถ้าเป็นอะไรไป เมียกะลูกน้าจะลำบาก”
ตาศรีสีหน้าครุ่นคิด
ตาศรีเดินผ่านหน้าซ่อง ท่าทางเหมือนคนหมดแรง ปริกกับอู๊ดซึ่งกำลังช่วยกันเปิดประตู ร้องทักขึ้น
“อ้าว วันนี้กลับบ้านแต่วันเลยนะตาศรี”
“รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ”
“นั่นสิ ดูหน้าน้าซีดยิ่งกว่าศพที่น้าทำพิธีให้ซะอีก”
ปริกโมโห หยิกแขนอู๊ดอย่างแรง
“โอ๊ย อะไรละแม่”
“พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย นั่นพี่เขยเอ็งนะนังอู๊ด”
“ฉันพูดเล่นนี่แม่”
ตาศรียิ้มหน้าเซียวๆ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไม่ถือ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ฉันไปก่อนละนะ จะรีบกลับไปนอนพัก”
“เออ เดินดีๆ ล่ะตาศรี”
ตาศรีเดินเซไปตลอดทาง ปริกมองตามอย่างชักเป็นห่วง
“พักหลังนี่ดูตาศรีแก่ไปเยอะนะ”
“ทั้งต่อโลงทั้งเป็นสัปเหร่อนี่แม่ อยู่แต่กับศพ จะให้มีสง่าราศีเหมือนตอนเป็นมรรคนายกคงไม่ได้ แกทำเพื่อลูกเมียแท้ๆ นังจุกมันโชคดีได้ผัวดี” อู๊ดบอก
“ข้าก็หวังว่ามันจะรู้สึกว่าตัวมันโชคดี”
ปริกมีสีหน้าครุ่นคิดกังวลอะไรบางอย่างลึกๆ
เด็กหญิง ศจี โตขึ้นทุกวัน ตอนนี้อายุ 11 เดือน ตั้งไข่แล้ว ตาศรีกลับเข้ามาบ้าน ทรุดนั่งอย่างหมดแรง จุกอุ้มศจีในมือ ถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมกลับเร็วละน้า เดี๋ยวเขาก็ตัดค่าแรงให้ครึ่งเดียวหรอก”
“รู้สึกแน่นๆ ในอก หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม ขอนอนสักหน่อย”
“อายุมากก็ยังงี้แหละ เดี๋ยวฉันชงยาหอมให้”
ตาศรีพยักหน้า จุกวางลูกลง แล้วออกไป
ตาศรีหลับตาลงพักหนึ่งอย่างเหนื่อยอ่อน แต่แล้วเสียงอ้อแอ้ของศจีก็ทำให้ตาศรีลืมตาขึ้น
“ป้อ...ป้อ...”
ศจีเหมือนจะเดินมาหาตาศรี ตาศรีดีใจ ทำท่ายื่นมือออกไป
“จี...มาหาป้อ มาหาป้อมา”
ศจีกำลังจะเดินเข้ามาถึงตัวตาศรีแล้ว แต่จุกแผดเสียงดังขึ้นเสียก่อน
“อย่ามายุ่งกับลูกของฉัน”
จุกเข้ามาคว้าตัวศจีไปอย่างหวงแหน พอเห็นหน้าซีดเซียวของตาศรี เสียงเลยอ่อนลง
“น้ากำลังไม่สบาย เดี๋ยวอุ้มแล้วทำลูกตกละยุ่งเลย” แล้วยื่นยาให้ตาศรี “เอ้า...ยาลม กินแล้วไปนอนพักก่อน”
ตาศรีรับยาไปดื่ม สีหน้าอ่อนเพลียยังไม่ดีขึ้น พอตาศรีล้มตัวจะนอน ศจีก็ร้องขึ้น
“โอ๋...แม่อยู่นี่...แม่อยู่นี่”
เสียงร้องของศจีแผดจ้าขึ้นอีก ทารกตัวน้อยถึงกับตัวงอ เหมือนกลั้นลมหายใจจนหน้าเขียว ทำให้ตาศรีชะงัก นังจุกก็ตกใจ
“จีเป็นอะไร”
เพราะความตกใจ ทำให้นังจุกยอมให้ตาศรีคว้าตัวศจีไปแต่โดยดี
“มานี่ มาลูก มาหาป้อ ป้ออยู่นี่ โอ๋ ใครมาทำขวัญเมืองให้เคืองขัด สียะตราหนึ่งหรัดเจ้าร้องไห้” ตาศรี “กอดจูบศจีอย่างทะนุถนอม “แต่ช้าแต่ เขาแห่ยายมามาถึงศาลา ก็จะได้กินนม...”
ศจีร้องเบาลง
“แม่ศรีเมืองของพ่อ หนูรู้ไหม ศจี แปลว่าอะไร แปลว่าพ่อชื่อศรี แต่ชื่อจุรีไงลูก”
จุกมองภาพลูกที่ซบอกตาศรีอย่างขวางหูขวางตา ด้วยความริษยาจับใจ ทำให้โพล่งออกไป
“แม่ชื่อจุรี แต่พ่อไม่ได้ชื่อศรีหรอก”
ตาศรีพยักพเยิดกับศจีที่เริ่มทำเสียงหัวเราะถูกใจ
“หนูเป็นลูกพระ นะลูกนะ ลูกพระให้พ่อ”
จุกกระแทกเสียงใส่ “เจ้าพ่อซิงค์ไงล่ะ คืนนั้นละมันประทานมาให้”
พอได้ยินประโยคหลังตาศรีก็ถึงกับชะงักกึก จุกอุ้มลูกเดินหนี ตาศรีรีบพยุงสังขารตามไป
ตาศรีตามจุกออกมาตรงชานเรือน ถามให้แน่ใจ
“เมื่อกี้เอ็งว่าอะไรนะ”
“น้าได้ยินไม่ชัดหรือไง”
“ได้ยินแต่ไม่แน่ใจ”
“ฉันว่าเจ้าพ่อซิงค์มันประทานมาให้ คืนนั้นมันมาเก็บดอก ฉันไม่มีดอกจะจ่าย ก็เลยคิดบัญชีเบ็ดเสร็จ เลิกแล้วกันไป”
ตาศรีใจหายใจคว่ำ ถามเสียงเบาโหวง “คืนไหน”
“ก็อีคืนที่แต่งกัน แล้วน้ามัวแต่นอนท่องคาถาปลุกตัวอยู่นั่นแหละ”
“คืนวันแต่ง แต่ไป...” ตาศรียั้งปากไว้ทัน
“ก็มันจะเป็นไรไป อย่างน้อยก็ได้ลูกพระของน้าออกมาละ” จุกแดกดัน
สีหน้าตาศรีสลดลง “ศจีมันก็ลูก...”
นังจุกเริ่มใจหาย แต่ยังเถียง กระแทกเสียงเย้ย
“ลูกพระ! ลูกพระนารายณ์ที่เจ้าซิงค์มันนับถืออยู่ก็ไม่รู้”
ตาศรีครวญ “ไม่น่า...”
“คราวนี้น้าอย่ามายุ่งกับลูกของฉันได้ไหม”
“น่าเสียใจนะ เอ็งทำดีมาตั้งนาน และถ้าเอ็งจะประพฤติอย่างนั้นในสมัยก่อนข้าก็ไม่เสียใจ แต่...เอ็งทำ...คืนนั้น...มันไม่ดี”
นังจุกเริ่มเงียบเพราะรู้สึกเสียใจว่าไม่ควรหลุดปากออกไป กลัวตาศรีไม่ยกมรดกให้ลูก
“ข้าเคยขอเอ็งแล้ว ตะก่อนๆ น่ะข้าไม่ถือ แต่ถ้าอยู่กินด้วยกันเมื่อไหร่ข้าขอเอ็งก็ตกปากรับคำ”
“มันก็แค่คืนนั้น”
“นั่นแหละ แต่ก็เป็นคืนที่เอ็งคิดจะร่วมหอลงโรงกะข้า” ชายสูงวัยค่อยๆ วางศจีลงกับที่นอนด้วยท่าทางประคับประคอง “ลูกโตขึ้น มันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
จุกโมโห “ไว้บนบ่ามันนั่นแหละ”
“เรื่องนี้มีใครรู้มั่ง”
“แม่...”
“อ้อ...”
ตาศรีพูดแค่นั้นก็นิ่งไป จุกสาละวนอยู่กับศจีที่เริ่มร้องไห้โยเยอีก
โดยไม่ได้สังเกตว่าตาศรีค่อยๆ เดินออกไปด้วยท่าทางเซื่องซึม
ปริกออกมาดูลูกค้าหน้าร้าน พอเห็นใครบางคนก็ร้องทักอย่างแปลกใจ
“จะไปไหนอีกน่ะตาศรี”
ตาศรีหันมามองยายปริกหน้าเศร้าๆ ตอบสั้นๆ
“ไปวัด”
ปริกเกาหัวแกรกๆ อย่างแปลกใจ
“ไหนว่าไม่สบาย”
อู๊ดมองตามแล้วว่า “คงมีศพตายโหงมามั้งแม่ ไม่มีใครยอมทำนอกจากสัปเหร่อศรี”
ยายปริกไม่วายมองตามตาศรีด้วยสีหน้าสงสัย แม่เล้าซ่องวัดใหญ่สังหรณ์ใจโดยประหลาด
อ่านต่อหน้า 4