คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 2
เหตุการณ์ครั้งนั้น เริ่มต้นขึ้นใน วันกรรมกร ปี “พ.ศ. 2499” ด้านหน้าซ่องยายปริก มีป้ายเขียนหนังสือตัวโตลายมือขยุกขยิกว่า “วันกรรมกร ลดครึ่งราคา”
จุกในวัยสาวใหญ่แต่งตัวในอาภรณ์สีจัดจ้าน แต่งหน้าเข้ม ตระกองกอดกับซิงค์แขกขายผ้า ขายของเงินผ่อนประจำซอย ออกมาที่หน้าซ่อง ซิงค์เดินเซอย่างเมาได้ที่
“ระวังๆ จ้ะ พี่ซิงค์จ๋า พรุ่งนี้มาหาจุกอีกนะจ๊ะ”
ซิงค์เชยคางจุก “จ้ะน้องจุกของพี่”
จุกผลัดกันหอมแก้มกะซิงค์อยู่ไปมา ซิงค์หอมจุก จุกหอมซิงค์อีกหลายทีทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา
“พอแล้วจ้ะพอแล้ว” ซิงค์รีบถูลิปสติกที่เลอะข้างแก้มออก “เดี๋ยวเมียซิงค์สงสัย”
จุกออดอ้อนออเซาะ “แหม...พี่ซิงค์ก็...อยู่กับจุกแล้วอย่าคิดถึงคนอื่นสิจ๊ะ”
“ไม่คิดไม่ได้หรอกจ้ะน้องจุก เมียซิงค์มันดุยังก๊ะเสือ ซิงค์กลับก่อนนะ แล้ววันหลังจะมาใหม่”
ซิงค์เดินออกไป จุกโบกมือบ๊ายบาย พร้อมส่งจูบยกใหญ่
“มาคราวหน้าจะลดแลกแจกแถมให้อีกนะจ๊ะพี่ซิงค์จ๋า”
ปริกตามเข้ามาแซว
“แหม...สมนาคุณซะยกใหญ่เลยนะเอ็ง”
“ต้องสมสิแม่ เดี๋ยวนี้ฝนตกบ่อยลูกค้าเลยน้อยลงไปด้วย ถ้าไม่ใช่ลดครึ่งราคาวันนี้คงเงียบเหงาเป็นบ้า”
ปริกมองจุกอย่างเห็นใจ รู้ว่าเพราะสังขารจุกเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา
จุกหน้าเครียดนึกถึงอนาคตตัวเอง
เวลาผ่านไป ที่หน้าวัดใหญ่ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่
จุกนั่งยองๆ กินข้าวต้มปลาอยู่ในเพิงหน้าวัด ซึ่งมีกันสาดให้พอหลบฝนได้ พอมองไปเห็นคนที่วิ่งเข้ามายืนหลบฝนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากทักอย่างมักคุ้นกัน
“ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอน้า”
ตาศรี ชายสูงวัย มรรคนายกของ วัดใหญ่ศรีสุพรรณ เนื้อตัวเปียกปอนเพราะฝนหันมาตอบ
“เออ ติดฝนว่ะ” ชายสูงวัยเหลียวมามองจุกด้วยสายตาเวทนา “ค่าตัวเอ็งเหลือเท่าไหร่แล้ววะตอนนี้”
จุกแทบสำลักข้าวต้ม เพราะแรงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ น้าจะสมัครเป็นลูกค้าฉันมั่งเรอะ”
“เปล่า อยากรู้ว่าตะก่อนกะเดี๋ยวนี้เอ็งเป็นยังไง”
จุกยกข้าวต้มค้าง เหมือนถูกจี้ใจดำ ทั้งที่พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนี้
“ถ้าตะก่อนน้าไม่ได้แอ้มฉันเด็ดขาด แต่เดี๋ยวนี้น้าพอสู้ไหวนี่นะ”
“เอ็งไม่คิดจะเลิกบ้างหรือวะ”
“น้าจะเลี้ยงฉันไหมล่ะ” จุกสัพยอก
“ถ้าเอ็งเลิกได้จริงๆ ก็พอเลี้ยงไหว เงินทองที่ข้าสะสมไว้ตั้งแต่หนุ่มๆ ก็พอมีอายุข้าก็ไม้ใกล้ฝั่ง ทีแรกข้ากะว่าตายไปก็จะยกให้วัด แต่ถ้าเงินทองมันจะทำให้มนุษย์คนนึงปีนจากหลุมนรกขึ้นมาได้ ข้าก็คิดว่าจะได้บุญมากกว่า”
จุกหัวเราะลั่น ข้าวต้มเกือบพุ่งออกจากปาก
เสียงหัวเราะของจุกดังขึ้นอีกหลังเล่าความจนจบ ผสมกับเสียงหัวเราะของยายปริกและบรรดาลูกเล้าทั้งหลาย
“ฮ่าๆๆ ตาศรีนี่ท่าจะตัณหากลับว่ะ” ปริกว่า
อู๊ดสบช่องเย้ยหยัน “โธ่เอ๊ย...มาตบะแตกตอนแก่”
ชื่นหยามตามกัน “มือถือสากปากถือศีลสิวะเนี่ย”
“แกคงไม่ได้พูดจริงหรอก มันก็แค่เรื่องตลก คนอย่างฉันเหรอจะชายตา แลมรรคนายกแก่ๆ อย่างนั้น ฝันไปเถ๊อะตาศรี”
จุกแอบเบ้ปากเมื่อนึกถึงหน้าตาศรี
คืนวันต่อมา ตาศรีนุ่งกางเกงสีกากีเก่าๆ ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว มีผ้าขาวม้าห่มเป็นสไบเฉียง เดินเข้ามาหน้าซ่องด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม เก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
บรรดาลูกเล้ายายปริกซึ่งสุมหัวกันรอลูกค้าอยู่ครบทีม มี ศรี อู๊ด ถวิล ชื่น แจ่ม ฉลวย มองกันตาโตอย่างแปลกใจ
อู๊ดเปิดปากแซวก่อนใคร “โว้ย พระเสด็จมาโปรดแล้วโว้ย มาชวนแม่เขาสร้างวัดใหม่ยายปริกเหรอน้า”
แจ่มแซวตาม “หรือจะทอดกฐิน ผ้าป่า”
ลูกเล้าหัวเราะกันครื้นเครง ยายปริกได้ยินเสียงก็พาตัวเองออกมามอง
“ชะ...ตาศรีนี่เอง นึกว่าดาราหนังมาถึงถิ่นข้า มาฟิตตอนแก่ละเรอะ” ปริกตะโกนถามไปรอบๆ “ใครจะไปสวรรค์บ้างหือ”
บรรดาลูกเล้าหัวเราะกันคิกคัก
“นังจุกไปไหน” ตาศรีถาม
ชื่นยิ้มแซว “ฮันแน่ ถามถึงดาราเก่าเสียด้วย”
“คงจะมองมานานแล้วนะ น้าเพิ่งรวบรวมเงินได้หรือไง” ถวิลว่า
“น้าไม่ได้เอาเงินในบาตรมานา ไม่งั้นนรกกินหัวตาย”
ตาศรียังคงตอบอย่างเรียบเย็น
“อยากคุยกับนังจุกมัน”
“จะคุยอย่างเดียว หรือจะแถมอย่างอื่นด้วย ราคาไม่เปลี่ยนแปลง” แจ่มว่า
ปริกซักไซ้ “จะคุยอะไรกับนังจุกมัน”
“จะมาถามอะไรฉัน ฉันบอกแล้วว่าฉันจะคุยกับนังจุก ถ้าฉันมาขอคุยกับแม่ปริกแม่ปริกค่อยถาม”
คนอื่นๆ ปล่อยเสียงหัวเราะคิกคัก เห็นเป็นเรื่องขำขัน จนยายปริกหันไปทำตาเขียว ทุกคนจึงเงียบลง
“งั้นก็จ่ายมา”
ปริกแบมือทำนิ้วกระดิกๆ ไม่คิดว่าตาศรีจะยอมจ่ายง่ายๆ แต่ผิดคาด ตาศรีค่อยล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรที่พับเตรียมไว้เรียบร้อยส่งให้
“ราคานี้ใช่ไหมล่ะ”
ยายปริกมองตาศรีอย่างงุนงงนึกไม่ถึง แต่เมื่อตาศรียอมจ่าย ก็ต้องเปิดประตู จึงหันไปถามลูกเล้า
“นังจุกไปไหน”
“นอนมั้งแม่ มันว่ามันไม่ค่อยสบาย” อู๊ดบอก
“งั้นก็พาไปที่ห้องมัน”
อู๊ด ชื่น แจ่ม และยายปริกเดินนำตาศรีขึ้นบันไดมา สวนกับบรรดาลูกเล้าอื่นๆ ที่บางคนอิงซบกับลูกค้าออกมา บางคนกอดจูบนัวเนียกับลูกค้าอยู่หน้าห้อง สวรรค์สวาทบนชั้นสองของเรือนไม้หลังนี้
แต่ละคนเมื่อเห็นตาศรีแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ ขณะที่ตาศรีไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นแม่แต่น้อย
จนมาถึงหน้าห้องจุก อู๊ดลงมือทุบประตู
“จุก คุณจุรีเจ้าขา เทวทูตท่านมาเยือนเจ้าค่ะ”
จุกเปิดประตูออกมาด้วยท่วงท่าโผเผ ดวงหน้าขาวซีด แต่พอมองเห็นตาศรีก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“อ้าว...น้า มาทำไม”
“นี่ละเว้ย พระที่จะมาโปรดละ” ชื่นว่า
“ตีตั๋วเดินทางกะแม่แล้วเสียด้วย” ถวิลบอก
สีหน้าจุกเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเขียว ตามแรงโมโห
“ไม่เอา กลับไปเถอะน้า”
“ขอคุยด้วยสักกะเดี๋ยวเถอะวะ” ตาศรีบอกเสียงนุ่ม
คนอื่นๆ ถึงกับฮาครืน
ฉลวยปากเปราะใส่ “ดื้อก็เป็นด้วยแฮะ”
“ฉันไม่สบาย ไม่อยากคุยกะใคร” จุกปฏิเสธ
“เอ็งฟังเฉยๆ ไม่ต้องพูดจะเป็นอะไร”
คนอื่นๆ หัวเราะคิกคัก
แจ่มยิ้มเยาะ “แหม ใครว่ามรรคทายกไม่มีหัวใจ”
จุกพูดกับตาศรีท่าทีจริงจัง “ไม่เอา ฉันจะนอน”
“ก็นอนคุยกันจะเป็นอะไรว้า แม่รับเงินแกไปแล้ว”
จุกขมวดคิ้ว ทำท่ารำคาญใจ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“งั้นก็เข้ามา”
ตาศรีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง คนที่อยู่ข้างหลังเฮลั่น
อู๊ดส่งเสียงไล่ตามหลังไป ”น้า...คราวนี้จะได้รู้กันเสียทีละว่า...ประตูไหนกันแน่ ที่เป็นประตูสวรรค์”
ทุกคนฮาครืนใหญ่ แต่ก็ยังมองตามอย่างอยากรู้อยากเห็น
ประตูห้องที่ปิดลง อู๊ดรีบเข้ามาเงี่ยหูแนบประตูฟัง
ยายปริกยืนชะเง้ออยู่ในโถงมองไปที่บันไดทางขึ้นห้องของจุกอย่างเป็นห่วง
“สงสัยจะเหมาทั้งคืนเลยมั้งแม่” ชื่นว่า
“ทั้งคืนไม่กลัว ข้ากลัวตาศรีจะหัวใจวายซะก่อนน่ะซี่” ปริกบอก
“ฉันว่าตาศรีคงได้ยาดีมา พวกม้ากระทืบโรง สาวสะดุ้ง โด่ไม่รู้ล้มน่ะแม่ถึงกล้าบุกมาฟ้า” ชื่นหมายถึง คว้า “ดาวดังของเราถึงถิ่น”
ปริกยังคงมองไปอย่างกังวลใจ
ภายในห้องนอนของจุก เสียงในละครวิทยุที่ดังลั่นห้อง ผู้เป็นเจ้าของห้องใช้เท้าถูพื้นไปมาด้วยความตื่นเต้น
เสียงผู้หญิงร้องขอขึ้นว่า “อย่าค่ะ...อย่าทำอะไรฉัน”
เสียงผู้ชายร้องข่ม “ฉันจะยัดเยียดความเป็นผัวให้กับแก”
“ไม่นะ ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก ยอมเป็นเมียฉันซะดีๆ นังศรีสมร ฮ่าๆๆๆ”
เสียงผู้หญิงกรีดร้อง
“อ๊าย...อย่านะ ปล่อยฉัน อย่า...”
นังจุกนอนถูขาฟังละครวิทยุ พลางแทะเม็ดกวยจี๊อยู่อย่างสบายใจ ขณะที่ตาศรีกำลังนั่งพนมมือสอนธรรมะให้นังจุกอย่างเคร่งเครียด
“สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมะเป็นอนัตตา คนเราทุกคนก็ย่อมหนีความตายไม่พ้น และเมื่อตายไปแล้วจะได้กลับมาเป็นมนุษย์นั้นยาก เพราะต้องตกลงไปในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสูรกายบ้าง สัตว์เดียรฉานบ้าง”
จุกไม่ได้สนใจฟังตาศรีเลย ใจจดจ่ออยู่แต่นางเอกกำลังจะโดนข่มขืนในละครวิทยุ
“น้าว่าจะมีคนมาช่วยมันไหม”
เสียงผู้หญิงในละครวิทยุยังกรีดร้องไม่หยุด ตาศรีก็เทศน์ต่อไปเหมือนอยู่คนละโลกกับจุก
“ฉะนั้นเทวดาก็คือ ผู้ที่ทำความดีไว้ก่อนตาย ตามกำลังบุญของตน...เมื่อคนเราตายไปแล้ว ไม่มีใครเอาอะไรติดตัวไปได้ นอกจากบาปบุญที่ทำไว้ ข้าอยากให้เอ็งสำนึกว่า สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง อีกไม่กี่ปีเอ็งแก่ตัวลงก็จะไม่มีใครต้องการ...”
จุกพลิกตัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
สาวๆ ทุกคนกรูกันเข้ามาเงี่ยหูฟัง ถวิลถึงกับเอาหูแนบประตูห้อง
แจ่มเตือนเพราะรู้ฤทธิ์จุกดี “ระวังมันจะยันออกมา”
“มันไม่รู้หรอก กำลังสนุกเลย” ถวิลว่า
อู๊ดหูผึ่ง “นั่นไงๆ ได้ยินไหม ตาศรีเล่นบทโหด ตบจูบๆ ซะด้วย ไม่นึกเลยว่าจะชอบแบบนี้”
“นั่นมันเสียงละครโว้ย เอ็งจำเสียงนางเอกคณะเกตุทิพย์ไม่ได้หรือไง” ฉลวยบอก
สีหน้าทุกคนผิดหวังไปตามๆ กัน
รุ่งขึ้นอีกวัน จุกลงมาจากชั้นบนในสภาพงัวเงีย ปริกถึงกับเอ่ยปากทักอย่างแปลกใจ
“เมื่อคืนเอ็งกับตาศรีเป็นไงมั่ง ข้าละกลัวเอ็งทำคนแก่หัวใจวาย”
“ไม่มีอะไร ก็...คุยกัน”
“คุยอะไรวะ ทั้งคืน”
“เรื่องมันมี ก็คุยกันนาน”
“คุยเรื่องอะไรนักหนาหือ”
“มันก็มีเรื่องคุยเรื่อยๆ น่ะแม่ ฉันไปหาอะไรกินก่อนนะ หิวแสบไส้ละ”
จุกตัดบท เดินหนีไป ยายปริกมองตามด้วยสายตาอยากรู้
บนศาลาวัดใหญ่ศรีสุพรรณ ตาศรีประเคนภัตตาหารเช้าให้หลวงพ่อแล้วยกมือไหว้ ก่อนจะเริ่มอาราธนาศีล
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” ตาศรีเริ่มตั้งนะโม 3 จบ
ชาวบ้านที่กำลังพนมมือ ต่างมองไปที่ตาศรีพลางซุบซิบกัน
“มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปั จะ สีลานิ ยาจามะ ตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปั จะ สีลานิ ยาจามะ”
ชาวบ้านยังกระซิบกระซาบกันปนไปกับเสียงตาศรี
“ฟังแล้วมันจั๊กกะเดียม ดูเถอะ เป็นมรรคทายกแล้วไปยุ่งเกี่ยวกับนังพวกนั้น” สวาทเป็นคนว่า
ติ๋มผสมโรง “จะยักยอกเงินติดกัณฑ์เทศน์ไปมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้”
พะยอมพยักพเยิดด้วยกัน “วันก่อนติดกัณฑ์เทศน์ไปยี่สิบ สงสัยแล้วเชียวว่าทำไมเห็นแต่ใบละสิบ”
สวาทสรุป “นี่ละเขาเรียกตัณหากลับ”
ทุกคนมองไปทางตาศรีอย่างไม่ไว้ใจ มรรคานายกชรารับรู้ถึงสายตาดูถูกที่มองมา แต่ก็ทำเฉยเสีย
กลับจากวัดถึงบ้าน ตอนสายวันนี้ ตาศรียกไหออกมาเปิด หยิบห่อผ้าสีขะมุกขะมอมข้างในออกมาปัดฝุ่น แล้วค่อยๆ เปิดออกดู ตาศรีมองของในห่อผ้าอย่างครุ่นคิด ดูออกมาจริงจัง และตั้งใจทำอะไรบางอย่าง
ยายปริกซึ่งกำลังนั่งนับเงินในกล่องขนมปัง ถึงกับร้องทัก เมื่อเห็นตาศรีเดินเข้ามา
“บ๊ะ ตาศรี มาแต่หัววันเชียว ใจร้อนเป็นบ้า ข้ายังไม่เปิดทำการโว้ย นังจุกก็ยังไม่ตื่น”
ตาศรีนั่งลงตรงหน้ายายปริก เข้าเรื่องทันที
“ถ้าฉันจะแต่งงานกับนังจุก แม่ปริกจะรังเกียจไหม”
ปริกแปลกใจมากกว่าตกใจ “ไหน...ว่าไงนะ”
“ฉันว่าฉันจะมาสู่ขอนังจุกมัน แม่ปริกจะว่ายังไง”
“ขอเอาไปทำไม”
“หึๆ ฉันจะขอไปทำไมน่ะมันเรื่องของฉัน ว่าแต่แม่ปริกเถอะ จะมีอะไรขัดข้องบ้าง”
“จะขอไปทำลูก หรือขอไปเป็นลูก”
“ช่างฉันเถอะน่า ถ้าทางแม่ปริกตกลงยินยอม ฉันก็จะทำให้สมหน้าสมตา”
ปริกหยีตามองตาศรีอย่างไตร่ตรอง ก่อนจะพยักหน้าเนิบๆ
“ของหยั่งงี้ ปลูกเรือนมันต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอนต้องถามนังจุกมันก่อน แล้วมาฟังข่าววันหลังก็แล้วกัน”
ตาศรียื่นห่อผ้าเก่าๆ ส่งให้ปริก อีกฝ่ายรับมางงๆ แต่พอเปิดออกดูก็ถึงกับตาโต ด้วยในห่อนั้นเป็นกำไลและสร้อยคอทองคำรวมราคาแล้วมากโข
“นี่สินสอดส่วนนึงที่ฉันจะเอามาสู่ขอนังจุกมัน แม่ปริกจะว่ายังไง”
ปริกหยิบกำไลทองมากัดดูเป็นการทดสอบ
“ของแท้นี่หว่า” แล้วกัดสร้อยคออีกอัน “นี่ก็แท้” จากนั้นลองเอาใส่มือชั่งกะน้ำหนักดู “ตั้งบาทเหรอวะเนี่ย เอ็งนี่ผ้าขี้ริ้วห่อทองของจริง”
“ว่าไงจ๊ะแม่ปริก”
ปริกทำเป็นรำคาญ “เออๆ แล้วข้าจะพูดกับมันเอง”
ตาศรีค่อยโล่งอก ส่วนยายปริกได้แต่ส่องดูกำไลและสร้อยอย่างเพลิดเพลิน
ภายในห้องจุกคืนนั้น นอกจาก จุก และ ยายปริก ยังมีอู๊ด ถวิล ชื่น และแจ่ม เสนอหน้าอยู่ด้วย
ปริกถามจุกอย่างตรงไปตรงมา
“เอ็งจะว่ายังไง”
บรรดาลูกเล้าของยายปริกนั่งเรียงกันรอคำตอบหน้าสลอน จุกมองกราดไปที่คนอื่นๆ แล้วกลับมามองยายปริก โพล่งออกมา
“จะให้ฉันมีผัวแก่อายุคราวพ่อ หนังเหี่ยวเป็นริ้วๆ น่ะเรอะ ฉันไม่แต่ง”
ปริกอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเกลี้ยกล่อมต่อ
“อายุเอ็งมันก็ถึงคราวตบแต่งแล้ว ตาศรีแกก็มีอัฐ ถ้าขายไอ้สวนสองสามขนัดนั่นได้ เอ็งเอ๊ย คิดดู วาละเท่าไร นานไปที่มันคงขายกันเป็นฟุต”
อู๊ดสอดขึ้น “ของฉันคิดเป็นนิ้ว”
คนอื่นๆ หัวเราะกันคิกคัก ปริกหันไปเอ็ด
“เขาจะพูดกันเป็นงานเป็นการ อย่าสอด แล้วนี่มานั่งฟังกันทำไม ผมเผ้าหน้าตาไม่ไปทำ อยู่ว่างๆ ก็อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้มันอล่องฉ่องเข้ามั่ง ใครไปใครมาจะได้กลิ่นสะอาด”
“ฉันสะอาดอยู่แล้วแม่ ไม่เชื่อลองดมดู”
ถวิลว่า พลางชูรักแร้ให้ปริกดม ปริกยกเท้าขึ้นยัน
“เฮ้ยไปๆ ไปให้พ้นๆ นะนังหวิน เดี๋ยวปั๊ดถีบ”
ถวิลหดตัวไปชนฝา ปริกหันไปทางจุก ยิ้มหวานให้
“แต่งๆ ไปเถอะนังจุกเอ๊ย รับรองเอ็งสบายไปทั้งชาติ”
“แม่คิดจะไล่ฉันเพราะฉันตกกระป๋องแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นให้ฉันมาช่วยคุมพวกเด็กๆ ก็ได้นี่ ทำไมต้องขายฉันให้ตาแก่นั่น” จุกตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ไม่ใช่นะนังจุก แม่อยากให้เอ็งได้ดีต่างหาก”
อู๊ดสาระแนว่า “แม่รับสินสอดมาแล้วต่างหาก”
ปริกเอาข้อศอกถองอู๊ดจนจุกไป
“แม่รับเงินเขามาแล้วก็แต่งเองเลยสิ ไม่ต้องมากล่อมฉันซะให้ยาก ยังไงฉันก็ไม่แต่ง”
พูดจบจุกก็ลุกพรวดขึ้น สะบัดก้นออกไป ปริกมองตามอย่างขัดใจ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ปกติ ยิ่งมืดค่ำ ถนนเล็กๆ หน้าซ่องยายปริก จะมีลูกค้าชายเดินผ่านไปมาคึกคัก แต่วันนี้กลับเงียบหงอย ลูกค้าชาย 1 เดินตระกองกอดกับอู๊ดขึ้นไปชั้นบน
“คิดถึงพี่เปรื่องจังเลยจ้ะ ไม่ได้มาตั้งหลายวัน” อู๊ดออเซาะ
“พี่ไปราชการต่างจังหวัดจ้ะ เสร็จงานก็รีบมาเลย” ชายชื่อเปรื่องบอก
อู๊ดหอมแก้มคู่ขา “ชื่นใจของอู๊ด”
จุกกับถวิล และแจ่มนั่งตบยุงกันอยู่
“ทำไมวันนี้ลูกค้าน้อย” จุกบ่น
ถวิลทำหน้าเซ็ง “นั่นสิ พักนี้น้อยลงเรื่อยๆ สงสัยแม่ต้องลดแลกแจกแถมบ้างแล้วนา”
“ลดอะไรกันบ่อยๆ วะ แล้วนี่พวกเอ็งไม่ต้องไปแถมให้ลูกค้าหรอกนะเดี๋ยวก็หมดแรงหรอก” ปริกเอ็ดลูกๆ เอา
“แม่ไม่รู้อะไร พวกฉันน่ะพลังช้างกระทืบโรงเชียวนะ”
ปริกค้อนถวิลวงใหญ่
“งั้นก็เรื่องของพวกเอ็ง แต่อย่าหวังว่าข้าจะขึ้นค่าตัวให้”
สาวๆ ทำท่าเซ็ง แต่แล้วพอมองไปข้างหน้า ต่างก็เบือนหน้าหนี เมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา พลางกระซิบกระซาบ
“มาแล้ว ฉันไม่เอานะ บอกมันว่าฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน” แจ่มรีบลุกหนี
ถวิลว่า “มันคงไม่เอาฉันหรอก”
ปริกหันมาทางจุก “นังจุกไหวไหม”
จุกพยักหน้าเออออไป
เป็น นายถม ลูกค้าประจำของแจ่มเดินเข้ามา
“น้องแจ่มไปไหนจ๊ะ เห็นหลังไวๆ”
“อ๋อ...วันนี้มันท้องเสียน่ะ เอานังจุกไปก่อนไหม” ปริกบอก
ถมมองจุกพลางส่ายหน้า
“พักนี้น้องจุกดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย” เขามองไปยังถวิล “น้องหวินล่ะ ว่างอยู่กับพี่ไหมจ๊ะ”
ถวิลตกใจ แต่แอบเบะปาก “ฉันเหรอ ไหนเมื่อก่อนเคยว่าฉันดำไง”
“โถ...น้องหวิน นั่นมันเมื่อก่อนนี่จ๊ะ แต่ตอนนี้น้องหวินราศีจับ สวยขึ้นขาวขึ้น พี่เห็นแล้วอดใจไม่ไหว”
ปริกพยักหน้ากับถวิล ”ไปนังหวิน”
ถวิลลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก ถมกอดถวิลพากันเข้าไปข้างใน
จุกมองตามตาละห้อยกึ่งน้อยใจในโชคชะตาตัวเอง
“ดูสิแม่ วันนี้ขนาดนังหวินยังขายออก แต่ฉันสิ...เฮ้อ...”
“เอาน่า นี่มันยังหัวค่ำอยู่ เดี๋ยวก็คงมีลูกค้าของเอ็งบ้างหรอก”
เสียงตาศรีดังขึ้น “จุกเอ๊ย”
จุกชะงัก หันกลับไป ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“แน่ะ...พูดไม่ทันขาดคำก็มาเลย”
ตาศรียืนยิ้มแฉ่ง สะพายย่ามที่มีข้าวของตุงอยู่ข้างใน จุกเดินหนีเข้าไปข้างใน
จุกหนีเข้ามาเซ็งๆ ปริกตามเข้ามา
“เอ็งจะหนีไปอย่างนี้ตลอดชีวิตไม่ได้นะนังจุก”
“ฉันไม่ได้หนี”
“ไม่ได้หนีแล้วเรียกว่าอะไรวะ” ปริกเหน็บ
“ฉันแค่เบื่อ ไม่อยากเห็นหน้า”
“ยังไงตาศรีก็เป็นลูกค้า แล้วเอ็งก็นั่งว่างทั้งคืน จะมาเล่นตัวทำไมว้า”
“เล่นตัวอะไร แม่ก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาฉันเลือกลูกค้ามากแค่ไหน”
“ก็นั่นมันเมื่อก่อน รับๆ ไปเถอะ ดีกว่าเอ็งไปนั่งตบยุงอยู่หน้าบ้านนะโว้ย”
จุกเหลือบมองไปทางตาศรีที่อยู่ด้านนอกอย่างชั่งใจ
จุกเข้ามาในห้อง ตาศรีตามเข้ามาพลางปิดประตู แล้วควักกล้วยน้ำว้า มะพร้าว มะละกอ จากในย่ามออกมาวางบนโต๊ะ
“น้าทำอะไร”
“เอามาฝากเอ็งไง ข้าอยากให้เอ็งกินของมีประโยชน์ ของพวกนี้มาจากสวนของข้า ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อ”
จุกลอบมองเหยียดๆ “ฉันไม่ชอบกิน น้าเอากลับไปเถอะ”
ตาศรีมองยิ้มๆ รู้ทันแต่ไม่โกรธ
“ข้าไม่เอากลับหรอก ถ้าเอ็งไม่กิน ก็เอาไว้ให้แม่ปริก หรือคนอื่นๆ ก็ได้...”
จุกขัดขึ้น “วันนี้น้าอยากพูดอะไรก็พูดมา ฉันจะนอนละ”
พลางจุกเดินไปเปิดวิทยุเสียงเพลงสุนทราภรณ์ดังลั่น แล้วล้มตัวลงนอน ตาศรีมองอย่างใจเย็น
“เอ็งก็เห็นแล้วนะนังจุก สังขารมันร่วงโรยไปทุกวัน เกิดแก่เจ็บตายไม่มีใครห้ามได้ ตอนนี้เอ็งยังมีทางเลือก เลือกที่จะเดินออกมาเถอะวะจุกก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไป”
จุกแหวขึ้นมาเหมือนถูกแทงใจดำ
“น้าว่าฉันแก่แล้วใช่ไหม ฉันเพิ่งจะยี่สิบกว่าเองนะ เทียบกับน้าแล้วยังเด็กกว่าเยอะ อย่ามาหวังเลยว่าฉันจะยอมเป็นเมียน้า ไปลำบากทำสวนทำไรขาย” จุกชี้ผลไม้บนโต๊ะ “ไอ้ของพวกนี้ ฉันมีของดีกว่าที่น้าคิดเยอะ...”
แต่แล้วจู่ๆ จุกก็ทรุดลงไปนอนกุมท้อง “โอ๊ย”
“อ้าว...นังจุก เอ็งเป็นอะไรไปวะ นังจุก”
จุกพูดไม่ออกอีก ได้แต่นิ่วหน้า ตาศรีตกใจมองซ้ายมองขวา
“ทำใจดีๆ ไว้นะนังจุก ทำใจดีๆ สวดพระพุทธคุณตามข้าไว้”
จุกกัดฟันพูดเสียงแหบแห้ง “ฉันยังไม่ตาย”
“ยังไม่ตายก็ดีแล้ว แสดงว่าเอ็งไม่เป็นอะไรมาก”
“โอ๊ย...ปวดท้องจะตายอยู่แล้ว”
จุกลงไปนอนบิดไปมาหน้าซีดขาว มรรคนายกชรา ตกใจเลิกลัก ทำอะไรไม่ถูก
ตาศรีอุ้มจุกลงมา ปริกเห็นก็ตกใจ ถลาเข้ามาดู
“นังจุกเป็นอะไรไปวะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ ก็ทรุดลงไป บอกว่าปวดท้องมาก”
“เดี๋ยวข้าเอายาหอมให้กิน”
“ฉันพาไปหาหมอดีกว่า”
“ตอนนี้จะไปหาหมอที่ไหนวะ โรงพะบาลปิดหมดแล้ว”
“ฉันรู้จักหมออยู่คนนึง ไปวัดบ่อยๆ แกเปิดคลินิกอยู่แถวนี้”
“งั้นรีบพามันไปซิ”
ตาศรีรีบอุ้มนังจุกออกไปอย่างทุลักทุเล
แจ่มถามขึ้น “จะตามไปไหมแม่”
“ไปแล้วใครจะดูที่นี่ละวะ”
ปริกมองตามนังจุกอย่างเป็นห่วง แต่ก็ห่วงซ่องด้วย
ตาศรีอุ้มจุกมาวางไว้ที่ม้านั่ง ก่อนจะกดกริ่งหน้าคลินิกหมอพูนในซอย รอสักพักก็ยังไม่มีใครเปิด
ตาศรีเคาะประตูรัวๆ
“คุณหมอครับคุณหมอ ผมนายศรีครับ ช่วยเปิดหน่อย”
ประตูค่อย ๆ เปิดออก หมอพูนแง้มประตูออกมา
“คลินิกปิดแล้ว ไว้พรุ่งนี้เถอะ”
หมอพูนทำท่าจะปิดประตู แต่ตาศรีเอามือกันไว้
“หมอครับหมอ เดี๋ยวก่อนครับ นังจุกมันปวดท้องจะตายอยู่แล้ว”
หมอชะงัก หันไปมองนังจุก ตาศรียกมือไหว้ปลกๆ
“ขอร้องเถอะครับ ช่วยรักษานังจุกมันหน่อย นึกว่าเอาบุญเถอะนะครับ”
หมอมองสภาพของนังจุกอย่างชั่งใจ
ตาศรีนั่งรออย่างกระวนกระวาย จนหมอพูนออกมาบอกอาการของจุก
“หมอฉีดยาให้แล้วนะ อีกสักพักคงค่อยยังชั่ว แต่โรคนี้ต้องรักษาต่อเนื่อง”
“นังจุกเป็นอะไรครับ”
หมอถอนใจยาว “คนไข้ติดเชื้อหนองใน เชื้อลามไปมากแล้ว ถ้ามาช้ากว่านี้นิดเดียวอาจจะถึงขั้นพิการ”
ตาศรีตกใจ “ร้ายแรงอย่างนั้นเลยหรือคะรับ”
“ตาศรีไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงพวกนี้นะ” หมอเตือนสติ อย่างคนรักใคร่กัน
“กระผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอย่างที่คุณหมอเข้าใจนะครับ”
“แล้วที่เขาพูดกันล่ะ วันนี้ยังพามาอีก นายศรีก็ต้องตรวจร่างกายด้วยนะ”
“กระผมไม่ได้ยุ่งกับนังจุกหรือใครจริงๆ ที่กระผมไปบ่อยๆ ก็เพราะอยากเปลี่ยนใจนังจุกเท่านั้นเอง”
หมอพูนมองตาศรี แล้วถอนใจอีก
“งั้นเดี๋ยวหมอจะให้ยาไปกินก่อน แล้วมาฉีดยาตามนัดนะ”
ตาศรีรีบยกมือไหว้ “ขอบพระคุณครับคุณหมอ”
ชายชรามองเข้าไปในห้องตรวจรักษาคนไข้อย่างโล่งใจขึ้น
สักครู่ตาศรีเข้ามาหาจุก ถามอาการ
“ค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหมวะจุก”
“น้ามาช่วยฉันทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
“มนุษย์ในโลกนี้ ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นญาติโก โหติกา ก็เกี่ยวข้องเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน เอ็งกะข้าถึงได้เกี่ยวกันทางสายเลือด แต่ชะตาฟ้าลิขิตให้ได้มาช่วยเหลือกัน ข้าช่วยเอ็งแต่เอ็งก็ช่วยให้ข้าได้บุญด้วย”
“อ๋อ...งั้นเหรอ”
“โรคของเอ็งมันเกิดจากงานที่เอ็งทำ ถ้าเอ็งกลับไปทำอีก มันก็จะเกิดอีกทรมานไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเราเลือกเอง อย่าให้มันนำเรา เราต้องนำมันนะจุกเอ๊ย”
จุกอึ้งไป เริ่มได้คิด
“สัญญานะนังจุก ว่าเอ็งจะไม่กลับไปทำอย่างนั้นอีก สัญญากะข้าสิ”
จุกเหลือบมองตาศรีอย่างคิดอะไรบางอย่าง
ภาพความหลังหยุดลงที่ฉากชีวิตฉากนี้ อดีตดาวประจำซ่องยายปริก นั่งน้ำตาคลอ มองรูปของตาศรีบนหิ้งพระ
“น้า ฉันทำตามสัญญาที่ให้กับน้าทุกอย่างแล้วนะ ตอนนี้ลูกสาวเรา ศจีก็บอกว่าเรียนจบแล้ว อยากจะทำงาน ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ฉันจะไม่ให้มันไปเฉียดใกล้ซ่องยายปริกแน่นอน ฉันเอาชีวิตของฉันเป็นประกัน”
จุกมองรูปตาศรี แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 2 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง งานเลี้ยงต้อนรับ ชีวิต ยังไม่เลิกรา แต่เวลานี้ป้าวรรณประคองคุณหญิงอรุณวตีเข้ามานั่งที่เตียง ก่อนจะยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้ดื่ม
“ทานยาก่อนนะคะ”
“เฮ้อ...ถ้าจัดงานใหญ่อย่างนี้ทุกวันฉันท่าจะแย่”
“คุณหญิงพักผ่อนเถอะค่ะ หน้าตาไม่ค่อยดีเลย”
“ถ้าไม่ใช่งานของตาวินละก็ ฉันคงขอตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อรุณวตียังไม่ทันอนุญาต ประตูก็ถูกเปิด รัชนีฉายกรีดกรายเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริง โดยยังอยู่ในชุดราตรีออกงาน
“คุณพี่ขา เป็นยังไงบ้างคะ แขกถามถึงกันใหญ่เลยที่คุณพี่เข้ามาก่อน”
“พี่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยจ้ะ”
รัชนีฉายมองหน้าอรุณวตีอย่างพิจารณา “เอ๊ะ ท่าทางจะไม่หน่อยละมั้งคะ ดูสิหน้าซีดเชียว งั้นคุณพี่รีบเข้านอนเถอะค่ะ น้องเป็นห๊วงเป็นห่วง กลัวจะเป็นลมต้องส่งโรงพยาบาลกันอีก”
“คุณหญิงก็กำลังจะเข้านอนนี่แหละค่ะ”
รัชนีฉายมองหน้าวรรณเหมือนจะตำหนิว่า อย่าสะเออะตอบ แต่พูดออกมาว่า
“เหรอจ๊ะ ไม่บอกฉันคงไม่รู้หรอกนะ” แล้วหันมาทางอรุณวตี “วันหลังถ้าคุณพี่เหนื่อย ก็บอกน้องได้นะคะ น้องยังสาวยังมีแรงทำอะไรอีกมากมาย น้องยินดีเป็นตัวแทนออกงานแทนคุณพี่เอง รับรองว่าจะทำทุกอย่างให้ดีหรือดีกว่าที่ผ่านมา คุณพี่ไม่ต้องกังวลนะคะ จะได้พักผ่อนรักษาตัวอย่างสบายใจ ดีไหมคะ”
วรรณขยับปากจะตอบ แต่อรุณวตีแอบจับมือไว้ ได้แต่ยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น
“ขอบใจนะรัชนีฉาย นี่ก็ดึกแล้ว เธอไปพักผ่อนบ้างเถอะ”
“สำหรับน้อง ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลค่ะคุณพี่”
พูดจบรัชนีฉายก็หัวเราะร่าเริงอย่างเป็นนัยๆ
ป้าวรรณแอบกัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ อยากจะตอบโต้กลับให้เจ็บแสบ แต่เกรงใจคุณหญิง
“งั้นเธอก็ไปทำอะไรตามที่อยากทำเถอะจ้ะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวน้องจะไปช่วยคุณพี่ปราจิตส่งแขกจนกว่าทุกคนจะกลับหมด กู๊ดไนท์นะคะคุณพี่ขา”
รัชนีฉายเข้าไปกอดอรุณวตีไว้เบาๆ แบบธรรมเนียมฝรั่ง ขณะที่อรุณวตีนั่งเฉยซ่อนความเจ็บปวดไว้ลึกสุดใจ
จนพอรัชนีฉายเดินร่าเริงออกไป อรุณวตีก็กำมือแน่นอย่างเจ็บปวด
ป้าวรรณได้แต่จับมือคุณหญิงไว้ และมองอรุณวตีอย่างสงสารและเห็นใจ
ตอนสาย ศุภศจีแต่งตัวเรียบร้อยออกมาหน้าบ้าน จุกตามมาถามอย่างเป็นห่วง
“จะไปไหนเหรอจี”
ศจีใส่รองเท้าไปด้วยคุยกับแม่ไปด้วย “ไปหางานทำจ้ะแม่”
“งานอะไรลูก”
“ยังไม่รู้หรอกแม่ มีงานอะไรให้ทำก็ทำ”
จุกมีสีหน้าดูออกว่าค่อนข้างตกใจ
“ทำไมจีไม่เรียนต่อละลูก แม่ยังส่งจีได้นะ”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะแม่ ฉันอยากทำงานมากกว่า”
“อย่านะจี อย่ายอมไปทำอะไรก็ได้ จีต้องทำงานที่มีเกียรติ สมกับที่ร่ำเรียนมายิ่งซ่องยายปริกอย่าเฉียดเข้าไปใกล้เป็นอันขาด สัญญากับแม่นะจี สัญญา”
“รู้แล้วจ้ะแม่”
ศจีเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีก จุกมองเป็นห่วงตามลูกไป
ศจีเดินเรื่อยๆ ออกมาจากซอยวัดใหญ่ศรีสุพรรณ สวนกับพวกชาวบ้านที่ยืนคุยกัน
“เห็นว่าเมื่อเช้าตำรวจมาจับพวกไอ้ชาติไปแล้ว” เอี่ยมเอี่ยขึ้น
เทืองบอกอย่างสะใจ “เออ...จับซะทีก็ดี ไปดัดสันดานซะให้เข็ด”
ย้อยบอกว่า “ได้ยินว่าเพราะมันไปมีเรื่องกับขาใหญ่ประจำซอย”
พวกชาวบ้านต่างมองศจี พลางซุบซิบกันใหญ่ ศจีเดินเชิดออกไปอย่างไม่แยแส
ศจีมายืนรอรถเมล์อยู่ตรงป้ายปากซอย รับรู้ว่ามีใครบางคนเข้ามายืนข้างๆ เธอ ศจีเหลียวไปมองแล้วต้องชะงัก ตกใจนิดๆ
“นี่...คุณอีกแล้วเหรอ”
สุพรรณยืนยิ้มแฉ่ง “ผมขึ้นรถที่นี่ประจำอยู่แล้ว”
“คุณเป็นคนแจ้งตำรวจไปจับไอ้พวกที่ทำร้ายฉันเมื่อคืนใช่ไหม”
“พวกมันทำร้ายผม ผมเป็นเจ้าทุกข์เอง ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“แต่ชาวบ้านเขาพูดถึงฉัน”
“คุณจะไปสนใจขี้ปากชาวบ้านทำไมกัน ท่าทางคุณมั่นใจจะตาย”
“ตราบใดที่ยังอยู่ในสังคม ฉันก็ต้องสนใจว่าคนอื่นพูดถึงฉันยังไง แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ พวกนั้นจะได้เข็ดซะบ้าง”
สุพรรณนึกได้ “แล้วเมื่อคืนงานเลี้ยงเป็นยังไง”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันไปงานเลี้ยง”
“ก็ดูจากการแต่งตัวของคุณ แล้วไปกลางค่ำกลางคืนแบบนั้น ถ้าไม่ใช่งานเลี้ยงจะไปทำงานกลางคืนหรือไง”
ศจีมองจ้องสุพรรณตาเขียวปัด เด็กวัดรูปหล่อมองเป็นเรื่องขำๆ
“นี่คุณกำลังด่าผมด้วยสายตาใช่ไหม”
“หรือจะให้ฉันด่าด้วยปาก”
“พอแล้วครับ แค่สายตาคุณผมก็กลัวจะแย่ คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยไปงานเลี้ยงมาเป็นไงบ้าง”
“ก็สนุกดีค่ะ เป็นงานเลี้ยงใหญ่โตมีแต่พวกผู้ดีทั้งนั้น” ศจียังตื่นเต้นไม่หาย
สุพรรณมองหน้าศจี “ท่าทางคุณจะตื่นเต้นไม่น้อยเลยนะ แววตาเป็นประกายเชียวผิดกับเวลามองผม”
ศจีมองสุพรรณด้วยตาเขียวปัดอีกครั้ง
“ไม่ต้องมาจับผิดฉัน”
“ผมไม่ได้จับผิดครับ แต่เมื่อคืนเห็นรถที่มารับคุณแล้ว ก็รู้ว่าต้องไปงานหรูหราใหญ่โตมากทีเดียว คุณไม่เหมาะจะอยู่ในสังคมแบบนั้นหรอก”
“คุณกำลังใช้ความคิดคุณตัดสินคนอื่น” น้ำเสียงศจีมีวี่แววว่าฉุนนิดๆ
“ผมแค่อยากจะเตือนคุณให้ตื่นจากฝัน ถ้าเราไม่รวยไม่ได้มากจากชนชั้นสูงด้วยกัน พวกเขาก็ไม่มีวันต้อนรับเรา”
“สักวันฉันจะทำให้พวกเขาต้อนรับฉันให้ได้”
ศจีมีสีหน้าไม่ยอมแพ้ประกอบคำพูดอันจริงจังนั้น สุพรรณมองอย่างเป็นห่วง
ไม่นานถัดมา ศจีพาตัวเองมานั่งลงตรงหน้ามาแมร์ที่ห้องทำงานของท่าน ในโรงเรียนคอนแวนต์
“ดิฉันทราบว่าครูฝ่ายธุรการลาออกไปคนนึงใช่ไหมคะ”
“ทำไมเหรอ”
“ดิฉันอยากสมัครงานหน้าที่นั้นค่ะ”
มาแมร์มองศจีอย่างแปลกใจ เมื่อรับรู้ว่าศิษย์คนเก่งจะไม่เรียนต่อระดับอุดมศึกษา
“เธอไม่เข้ามหาวิทยาลัยเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
“ทำไม ทุนไม่พอ หรือเหตุผลอื่น”
“แม่ดิฉันแก่มากแล้วค่ะ ดิฉันไม่อยากให้แม่ลำบากอีก”
“ถ้าเธอเรียนด้วยทุนของทางโรงเรียน คุณแม่เธอก็จะไม่ลำบากอะไร”
“ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังต้องจ่ายค่ารถ ค่าอาหาร และค่าอื่นๆ อีกอยู่ดี ดิฉันอยากมีงานทำเลี้ยงแม่” ศจีแจงเหตุผลที่แท้
“แต่อีกสี่ปี พอเพื่อนๆ จบออกมาเธอจะเสียใจนะศจี ที่มาด่วนตัดอนาคตตัวเองคุณแม่เธออดทนมานาน ทำไมจะคอยอีกสี่ปีไม่ได้ คนเรียนเก่งอย่างเธอไม่ต้องเผื่อห้าปีหกปีเหมือนคนอื่นๆ ด้วย” มาแมร์ทักท้วง
“ดิฉันแน่ใจว่าจะไม่มีวันเสียใจ เพราะอีกสี่ปีข้างหน้าดิฉันอาจจะไม่มีโอกาสเลี้ยงแม่ตอบแทนก็ได้”
มาแมร์เอนหลังพิงพนัก ถอนใจยาว
“ก็สุดแล้วแต่เธอ พระผู้เป็นเจ้าประทานความคิดเห็นต่างๆ ให้แก่มนุษย์ เพื่อจุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกัน บางที...อาจจะทรงประทานพรด้านอื่นให้เธอ มากกว่าด้านการเรียนก็ได้”
ศจียกมือไหว้มาแมร์
“ขอบพระคุณค่ะ”
สีหน้าของศจีมีแววมุ่งมั่นอะไรบางอย่าง
ศจีลงรถเมล์กำลังจะเดินเข้าซอยบ้าน มีเสียงคุ้นหูของใครบางคนร้องทัก
“ศจี”
ศจีหันกลับไปทางเสียง สีหน้าดีใจชัดแจ้งที่เห็นแกมแก้วโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถ กวักไม้กวักมือเรียก ศจีเดินเข้าไปใกล้ แกมแก้วเปิดประตูออกกว้าง แต่ศจีไม่ได้ขึ้นไปนั่ง
“แหม...มาจอดคอยอยู่เกือบสองชั่วโมงแน่ะ จะเข้าไปหาที่บ้านก็ไม่แน่ใจว่าเข้าตรอกไหน เคยมาส่งแค่นี้ทุกที จะถามใครก็ไม่กล้า”
“มีธุระอะไรเหรอ”
“โธ่...ถามได้ เหงาจะตาย คิดถึงจีด้วย”
ศจีเพียงยิ้มบางๆ อย่างพอใจที่ตัวเองมีความสำคัญขนาดนั้น
“จีไปกวดวิชาที่ไหนบ้างหรือเปล่า ของลูกแก้ว คุณแม่ให้หาครูมากวดให้ที่บ้านตัวต่อตัวเลย ไปไหนก็ไม่ได้”
“ไม่ได้กวด” ศจีบอก
“นั่นสิ จีเก่งออก กวดไปทำไม เออ...จีจะไปซื้อใบสมัครวันไหน จะได้ไปด้วยกัน”
“ไม่ต้องซื้อ เพราะฉันจะไม่ไปสอบเอนทรานซ์”
“อ้าว...ทำไม หรือจีได้ทุนไปนอก”
“เปล่า ฉันจะทำงานที่โรงเรียน”
“จีน่ะเรอะจะเป็นครู”
“ทำไม คนอย่างฉันเป็นครูไม่ได้เหรอ”
“ไม่ใช่ว่าจีสอนใครไม่ได้ แต่เรายังเด็กเกินกว่าจะเป็นครูต่างหาก”
“ฉันอยู่ฝ่ายธุรการน่ะ”
“ทำไมเธอไม่เรียนต่อล่ะจี”
“ฉันไม่อยากเรียนเป็นหมอรักษาคนไข้จนตาย หรือเป็นนักบัญชีคิดเงินให้คนอื่นจนตาย”
“แต่งานที่เธอทำ มันก็ต้องพิมพ์ดีดจนตาย” แกมแก้วท้วง
“ถ้าวาสนาฉันมันจะเป็นแค่เสมียนพิมพ์ดีด ก็จะทำยังไงได้
พูดจบศจีก็เดินออกไปเหมือนเธอจะโกรธ
“จี...เดี๋ยวก่อนจ้ะจี”
แกมแก้วรีบลงจากรถตามไป
รถลงมาแกมแก้วเข้ามาดึงศจีไว้
“ขอโทษ ลูกแก้วไม่ได้ตั้งใจจะพูดดูถูกจี ขึ้นมาบนรถก่อนเถอะ ลูกแก้วจะไปส่งบ้าน”
ศจีกลับสั่นศีรษะ
“ไม่ต้องหรอก”
“โธ่...อีกหน่อยเราก็ต้องแยกกัน ลูกแก้วยังไม่เคยรู้จักบ้านจีเลย”
“ฉันทำงานที่โรงเรียน เธอไปหาฉันที่โรงเรียนก็ได้”
“ทำไมล่ะ แก้วไม่ได้คบจีเพราะบ้านนี่นา”
“อย่าดีกว่า ถ้าเราไม่ได้คบกันเพราะบ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักบ้านฉันฉันจะเข้าบ้านละ โรงเรียนเปิดเทอมฉันต้องไปทำงาน ไว้พบกันที่โรงเรียน”
พูดจบศจีก็เดินเข้าซอยไป แกมแก้วได้แต่มองตามตาละห้อย
ศจีเข้ามาในซอย ชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นใครบางคน แต่แล้วก็เดินต่อ ผ่านหน้าใครคนนั้นไป
สุพรรณซึ่งก็คือใครคนดังกล่าว เขารีบเดินตามศจี
“คุณก็มาดักรอฉันเหมือนกันเหรอ”
“บังเอิญเจอกันอีกมากกว่า”
“จะให้ฉันเชื่ออย่างนั้นก็ได้”
สุพรรณเดินไปขวางศจีไว้
“คุณเลือกเอ็นฯคณะไหน”
ศจีฉุนกึกเธอถูกถามเรื่องนี้ 3 ครั้ง ในวันนี้ “ถามทำไม”
“ผมจะช่วยติวให้”
“ไม่จำเป็นค่ะ ขอบคุณ”
“อ๋อ ได้ข่าวว่าคุณเรียนเก่งมากนี่ สอบได้ที่หนึ่งทุกปี น่าจะเก่งกว่าผมเสียอีก”
ศจีเหลือบมองสุพรรณด้วยหางตา
“ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งหรอกค่ะ แต่ฉันมีเหตุผลอื่น” หญิงสาวหยุดเดิน “เอาละคุณส่งฉันแค่นี้ก็พอ”
“ผมจะไปส่งคุณถึงหน้าบ้าน”
ศจีมองสุพรรณเซ็งๆ
ศจีมาถึงหน้าบ้าน จุกออกมารับ
“กลับมาแล้วเหรอจี” สายตามองเห็นสุพรรณอยู่ไกลๆ “นั่นใครเหรอลูก”
สุพรรณยกมือไหว้จุก ซึ่งรับไหว้งงๆ แล้วสุพรรณก็หันหลังเดินออกไป จุกซักศจีอีก
“จีมากับใครเหรอลูก”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอกแม่ เด็กวัดแถวนี้จ้ะ”
ศจีเข้าบ้านไปเลย จุกเหลียวไปดูสุพรรณแว่บหนึ่งจึงเดินตามลูกสาวเข้าบ้านไป
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 2 (ต่อ)
จุกเดินตามลูกเข้าบ้านมาพร้อมความสงสัย
“นายคนนั้นมาจีบลูกเหรอจี”
ศจีชะงักนิดหนึ่ง ทำท่าไม่สนใจ
“ไม่ใช่หรอกจ้ะแม่”
“แต่แม่ดูออกนะจี”
ศจีหันกลับมา หน้านิ่ว ”ช่างเขาเถอะ เขาจะมาจีบหรือเปล่าแม่อย่าสนใจเลยยังไงฉันก็ไม่ได้ชอบเขา”
“ดีแล้วจี ลูกยังเด็ก อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกนี้เลยมันไม่ดี” เห็นศจีนิ่งไม่หืออือ “เออ...แล้ววันนี้ไปหางานเป็นยังไงบ้างได้หรือเปล่า”
“ได้แล้วจ้ะแม่”
จุกดีใจ “งานมันหาง่ายอย่างงั้นเลยเหรอจี ลูกได้งานที่ไหน”
“ฉันได้งานธุรการในโรงเรียนคอนแวนต์ที่เคยเรียนจ้ะ”
“เก่งจริงๆ เลยจี คนอื่นเขาหางานเขาสอบกันแทบตายกว่าจะได้ นี่จีออกไปวันเดียวก็ได้งานแล้ว”
จุกจะเข้าไปจับตัวศจีด้วยความดีใจ แต่ก็หยุดตัวเองไว้อย่างไม่กล้า
สุพรรณกลับเข้ามาท่าทีเซ็งๆ ลงนั่งในห้องพักบนกุฏิ ถอนใจเฮือก ดนัยที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับแซว
“ไงวะพรรณ จีบสาวเจ้าติดหรือยัง”
สุพรรณสั่นหัวอนาคตของหัวใจมืดมน “ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอีกว่ะ”
“อะไร้ ขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นแค่หลานสาวแม่เล้านั่นนะ”
สุพรรณโกรธ ชี้หน้าดนัย ”ถ้ารักจะเป็นเพื่อนกันก็อย่าดูถูกศจีนะไอ้นัย ถึงจะเป็นหลานแม่เล้าแต่ก็รักดี เรียนเก่ง ไม่เคยทำตัวเหลวไหล”
ดนัยเกิดหมั่นไส้ “งั้นเอ็งก็เป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงต่อไปเถอะวะไอ้พรรณ สวยหยาดฟ้ามาดินก็จริง แต่เย่อหยิ่งยังกับลูกคุณหนู เอ็งมองมากี่ปีแล้ววะ ยังไม่ได้แอ้มแม้แต่ปลายเล็บ”
สุพรรณนั่งยิ้มนึกถึงความหลัง
เมื่อ 3 ปี ก่อนสุพรรณซึ่งสวมกางเกงขาสั้นทรงนักเรียน เขาเพิ่งมาเป็นเด็กวัดใหม่ๆ เดินสะพายย่ามก้มหน้าตามหลังหลวงพ่อต้อยๆ หลวงพ่อหยุดบิณฑบาต สุพรรณช่วยเอาของที่ชาวบ้านถวายมาใส่ย่าม
พอเงยหน้าขึ้น สุพรรณก็ถึงกับชะงักค้าง เด็กหนุ่มและเห็นศจีในชุดนักเรียนคอนแวนต์เดินหิ้วกระเป๋ามา พอผ่านหลวงพ่อก็ยกมือไหว้ แล้วมองสบตาสุพรรณนิดหนึ่ง ก่อนจะมองเลยแล้วเดินจากไป
สุพรรณมองตามอย่างหลงใหล อ้าปากค้างนิดๆ
หลวงพ่อหันมามอง เมื่อไม่เห็นสุพรรณรับของไปใส่ย่าม
“สุพรรณ” หลวงพ่อเรียกดังขึ้น ”สุพรรณ สุพรรณ”
สุพรรณรู้สึกตัว รีบยกมือไหว้หลวงพ่อ แล้วเอาของใส่ย่าม แต่ยังมองตามศจีอย่างไม่ละสายตา
จนหลวงพ่อซึ่งเดินจากไปแล้ว ต้องหันกลับมากระแอมไอเรียก สุพรรณรีบตามไป
อีกวันหนึ่ง ศจีหิ้วกระเป๋านักเรียนขึ้นมาบนรถเมล์ กระเป๋ารถเมล์เดินผ่านมา ศจียื่นเงินให้ แต่กระเป๋ารถเมล์ไม่รับ
“ข้างหลังให้แล้วครับ”
ศจีหันไปมองหา เห็นสุพรรณที่ยืนข้างหลังถัดไปอีกสองสามคน ยิ้มพยักหน้าให้ เขาสวมชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ถือหนังสือสองสามเล่มในมือ
ศจีนิ่วหน้านิดๆ อย่างงุนงงกึ่งคลับคล้ายคลับคลา ก่อนจะหันกลับมาคิดว่าเขาเป็นใคร แล้วเธอก็นึกออก พอหันไปอีกที สุพรรณก็ยังมองเธอและยิ้มให้อยู่
คนข้างหลังศจีเดินไปที่ประตูเพื่อจะลงรถ ศจีเลยขยับไปข้างหลังใกล้กับสุพรรณ ตัดสินใจถาม
“คุณออกค่ารถให้ฉันทำไม”
สุพรรณอึ้งไป ไม่นึกว่าศจีจะกล้าถาม แทนที่จะเขินอายเหมือนเด็กสาวอื่นๆ
“เอ่อ...”
“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันจำได้ว่าคุณเป็นเด็กวัดใหญ่ใช่ไหม” เธอไม่รอคำตอบจากเขา “วันหลังคุณไม่ต้องออกให้ฉันหรอกค่ะ ถ้าคุณยังอาศัยวัดอยู่ก็น่าจะต้องประหยัดมากกว่าฉันอีก”
สุพรรณอึ้งไปโดนสาวรุ่นน้องสั่งสอน ศจีหันกลับ แล้วขยับกลับไปนั่งข้างหน้าอย่างไว้ตัว
สุพรรณมองสาวเจ้าอย่างไม่ยอมแพ้
นึกขึ้นมาแล้วสุพรรณยิ้มให้กำลังใจตัวเอง ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“คอยดูนะ ข้าเรียนจบสอบได้เป็นปลัดอำเภอเมื่อไร จะบุกไปขอถึงบ้าน”
“โอ้โฮ ต้องรอนานขนาดนั้นเลยเหรอวะ ระวังนะสาวเจ้าจะโดนคาบไปเสียก่อน”
“ข้ารู้ คนอย่างศจีไม่ตกลงปลงใจกับใครง่ายๆ หรอก ข้าจะใช้วิธีตามติดอย่างนี้แหละ ไม่ใจอ่อนก็ให้มันรู้ไป”
“เอ็งไม่คิดเหรอว่าเขาจะมองคนที่สูงกว่าเอ็ง”
“ถ้าคนที่สูงกว่า เขารู้ว่าศจีเป็นลูกหลานใครก็คงรังเกียจ แต่ข้าไม่รังเกียจข้าจะฉุดศจีให้พ้นจากปลักตมที่จมอยู่ ไปให้พ้นจากไอ้สลัมนี่ให้ได้”
“เออ...ข้าจะคอยดู”
ดนัยล้มตัวลงนอนสีหน้าหมั่นไส้ ส่วนสุพรรณยังนั่งยิ้มฝันหวานอย่างสุขใจที่ได้รัก
ในสวนสวยบ้านคุณหญิง คืนวันเดียวกัน
แกมแก้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลาอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะระริกของรัชนีฉายดังทำลายสมาธิ แกมแก้วหันไปดู มองผ่านพุ่มไม้ที่บังตัวศาลาอยู่ เห็นรัชนีฉายคล้องแขนปราจิตออกมาที่รถ
“วันนี้เราไปไหนกันดีคะคุณพี่”
“ร้านริมน้ำที่เราเคยไปดีไหม” ท่านทูตว่า
“คืนนี้น้องอยากไปเต้นรำน่ะค่ะ” รัชนีฉายฉอเลาะพลางอิงซบไหล่ “โลลิต้าดีกว่านะคะคุณพี่ขา”
“มันจะดึกนะคะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย พรุ่งนี้วันเสาร์ คุณพี่ไม่ต้องทำงานนี่คะ”
“แต่พี่มีไปออกรอบกับท่านรัฐมนตรี”
“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ไว้คราวหน้าคุณพี่ต้องตามใจน้องนะคะ”
“รับรองค่ะ”
ปราจิตหยิกจมูกรัชนีฉายอย่างเอ็นดู อีกฝ่ายยิ่งอิงแอบแนบซบกับอกปราจิตอย่างไม่อายสายตาใคร
แกมแก้วจิกหนังสือแน่น เม้มปากอย่างเจ็บใจ
อีกด้านหนึ่ง ชีวินก็กำลังมองมาด้วยแววตาครุ่นคิด
แกมแก้วเดินเข้ามาหาพี่ชายที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เช่นกัน น้ำเสียงเด็กสาวคับแค้นเหมือนจะร้องไห้
“คุณพ่อไม่เกรงใจคุณแม่เลย”
ชีวินกัดกรามแน่น แต่ทำเป็นพูดใจเย็นออกไป
“ยังไม่ชินอีกเหรอ”
“ลูกแก้วไม่มีวันชินหรอกค่ะ แล้วนับวันน้ารัชนีก็ยิ่งออกนอกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ”
“พี่ก็พยายามอดทน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะไม่เห็นคุณแม่เดือดร้อนอะไร อาจเป็นเพราะท่านป่วย เลยต้องการให้มีคนมาทำหน้าที่แทน”
“คุณแม่น่ะเหรอไม่เดือดร้อน พี่วินไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงหรอก คุณแม่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไว้ในใจ เพื่อคนที่ท่านรัก คือคุณพ่อ...กับ...กับน้องสาวท่านเอง”
“ลูกแก้วต้องเข้าใจนะ ว่าเป็นน้ารัชนียังไงก็ดีกว่าคนอื่น”
“ใช่สิคะ พี่วินเข้าใจเพราะพี่ยาก็เป็นคนที่น้ารัชนีแนะนำให้”
“มันไม่เกี่ยวกันหรอกนะ พี่ไม่ได้ชอบสิริกันยา แก้วก็รู้อยู่ แต่พี่ทำเพื่อคุณพ่อถ้าลูกแก้วทนกับสิ่งที่เห็นวันนี้ไม่ได้ ก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือ ต่อไปจะได้มาช่วยงานคุณแม่ ไม่ต้องพึ่งน้ารัชนีฉายอีก”
แกมแก้วน้ำตาคลอด้วยความอัดอั้น
“แต่ลูกแก้วไม่มีสมาธิอ่านเลยค่ะพี่วิน”
“นึกถึงอนาคตเข้าไว้น้องพี่ อดทนวันนี้เพื่อวันข้างหน้าของเรา”
ชีวินกอดไหล่น้องสาวไว้อย่างให้กำลังใจ แกมแก้วได้แต่เม้มปากแน่น
ป้าวรรณมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วมองอรุณวตีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักหัวเตียงอย่างเป็นห่วง
“คุณหญิงขา...”
“ฉันไม่เป็นไรจ้ะ พี่วรรณมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะนอนแล้ว”
“อย่าหาว่าพี่วุ่นวายเลยนะคะ แต่ไม่อยากเห็นคุณหญิงเป็นแบบนี้เลย คุณหญิงน่าจะให้คุณรัชนีฉายกลับไปอยู่ที่...”
“ไม่มีประโยชน์หรอกจ้ะ ของอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ฉันง่วงแล้ว พี่วรรณก็ไปนอนเถอะ”
อรุณวตีล้มตัวลงนอน สีหน้าเหนื่อยอ่อน ป้าวรรณดับไฟหัวเตียง แล้วเดินออกไป
พอเสียงประตูปิดลงแล้ว อรุณวตีนอนลืมตาโพลง คิดอะไรบางอย่าง
ในห้องธุรการ โรงเรียนคอนแวนต์วันนี้ ศุภศจีพิมพ์ดีดอย่างคล่องแคล่ว ครูน้อยโผล่หน้าเข้ามา
“ศจี บ่ายวันนี้ว่างหรือเปล่า ไปประชุมที่กระทรวงแทนหน่อยนะ”
ศจีเงยหน้าขึ้นตอบ “ได้ค่ะครู”
“ขอบใจจ้ะ”
ครูน้อยออกไป ครูเจนเข้ามาหาอีก
“ศจี...อย่าลืมโทร.บอกให้ธนาคารมารับเงินสะสมของครูด้วยนะจ๊ะ”
“ได้ค่ะครูเจน”
ศจียังพิมพ์ดีดต่อไป มาแมร์เข้ามายืนมองศจีด้วยความพอใจ
“เที่ยงกว่าแล้ว เธอไปทานข้าวก่อนเถอะ”
“ดิฉันอยากพิมพ์งานชิ้นนี้ให้เสร็จก่อนค่ะ อีกนิดเดียวเท่านั้น”
มาแมร์ส่ายหน้ายิ้มๆ
“เธอทำงานอย่างนี้ ต่อไปคนอื่นจะชินกับความสบายเสียหมด”
“หมายความว่ายังไงคะมาแมร์”
“ก็เธอทำงานจนคนอื่นแทบไม่ต้องทำอะไรน่ะสิ อะไรๆ ก็มาหาศจีอยู่คนเดียว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันถือว่าจะได้เรียนรู้งานไปด้วย”
มาแมร์มองศจีอย่างพอใจ ก่อนจะเดินออกไป แต่ศจีกลับยิ้มในหน้าอย่างมีความนัยซ่อนอยู่ รู้ว่าต่อไปคนที่นี่จะขาดเธอไม่ได้
ศจีเดินเข้ามาในซอย พอจะถึงหน้าซ่องยายปริกก็เดินเลี่ยงไปอีกฝั่งเสีย แต่เสียงเรียกดังลั่น
“จี...จีเอ๊ย”
ศจีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบเดินจ้ำเพื่อจะผ่านไป แต่อู๊ดเข้ามาคว้าแขนไว้
“จี”
ศจีมองอู๊ดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“มีอะไรจ๊ะน้าอู๊ด”
“ยายปริกแกอยากคุยด้วยแน่ะ”
ศจีหันไปมอง เห็นยายปริกกวักมือเรียกหย็อยๆ ศจีถอนใจเบื่อๆ
ยายปริกถามศจีอย่างสงสัย เมื่อศจีเดินเข้ามา
“เห็นแม่เอ็งบอกว่าเอ็งออกจากโรงเรียนแล้วเรอะ ทำไมไม่เรียนต่อ”
“ฉันเรียนจบแล้วจ้ะ” ศจีตอบสั้นๆ
“แต่เอ็งยังไม่ได้ปินยาเลยไม่ใช่เรอะ”
“ฉันไม่ต้องได้ปริญญาก็ทำงานได้จ้ะ”
“ไอ้งานแบบนี้มันจะก้าวหน้าไปได้ยังไงจีเอ๊ย”
“ฉันชอบงานนี้จ้ะ ได้เรียนภาษาไปด้วย”
ยายปริกชักฉุน “โอ๊ย...ไอ้ภาษงภาษาอะไรนี่น่ะ พวกเมียเช่าฝรั่งมันยังพูดกันได้เล้ย ไม่เห็นต้องไปเรียนให้เมื่อยขมอง”
บรรดาลูกเล้าหัวเราะกันเอ็ดอึง ศจีเริ่มชักสีหน้า เสียงแข็ง
“ภาษาแบบที่ฉันเรียนกับภาษาเมียเช่าฝรั่งมันไม่เหมือนกันหรอกจ้ะยาย ที่ฉันเรียนนี่เอาไปทำงานกับฝรั่งได้จริง”
“แต่ข้าว่ามันเสียเวลา เงินเดือนก็น้อย เอางี้...อยากประกวดนางงามไหม ยายจะออกเงินส่งให้เอง รับรองเอ็งต้องติดอันดับใดอันดับหนึ่งแน่”
“ไม่จ้ะยาย ฉันไม่ชอบเดินอวดรูปร่างให้ใครดู”
ยายปริกโน้มน้าว “มีรูปร่างสวยๆ ก็ต้องอวดสิวะ ไม่งั้นจะมีไปทำไม”
“งั้นยายก็ไปหาคนอื่นเถอะจ้ะ ฉันไม่ชอบ” ยายปริกอ้าปากจะพูดอีก แต่ศจีตัดบท “ฉันกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ ถ้าแม่รู้ว่าฉันแวะมานี่อีกต้องบ่นแน่”
พูดจบศจีก็เดินออกไป ยายปริกมองตามอย่างรู้สึกขัดใจ
“แม้...มันหยิ่งจองหอง เหมือนใครว้า”
“ก็มันลูกใครล่ะแม่” อู๊ดซัก
ยายปริกชะงัก อึ้ง แล้วนิ่งงันไป กลอกตาไปมา เมื่อนึกถึงที่มาของศจีแล้วยิ่งสงสารและอดสูใจ
อ่านต่อตอนที่ 3