xs
xsm
sm
md
lg

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 4

จุกอุ้มพาศจีเข้านอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำ กล่อมจนลูกหลับ พลางชะเง้อไปหน้าบ้าน

“ป่านนี้ยังไม่กลับอีก โขกหมากรุกกับเพื่อนในวัดเสียละมั้ง”
จุกลุกขึ้น ทั้งโกรธและเป็นห่วง

เวลาผ่านไป ตกกลางคืน จุกออกมาชะเง้อมองหน้าบ้าน ถามชาวบ้านที่ผ่านมา
“น้าเอิบ เห็นน้าศรีบ้างไหม”
“เห็นก๊งอยู่กับทิดหวาน ผัวอีหลงมันที่ร้านไอ้โก”
“อะไร้ น้าศรีแกไม่กินเหล้า”
“ก็นั่นน่ะสิ ใครๆ ก็ทักกันเกรียว ทะเลาะกันเรอะ”
“เปล่าจ้ะ”
จุกมีสีหน้าร้อนใจ รู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อได้ยินว่าตาศรีกินเหล้า

กลางดึก ศจีร้องไห้จ้า จุกที่นอนอยู่ข้างๆ รีบคว้ามาอุ้ม
“โอ๋ ลูก จีร้องไห้ทำไม อย่าร้องนะลูก อย่าร้อง”
จุกอุ้มปลอบจนศจีเงียบเสียงลง แต่กลับมีเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ จุกแหงนมองฟ้าอย่างกังวล
“ฝนจะตกแล้ว ยังไม่กลับมาอีก”
เสียงร้องเพลงโนราห์แบบคนเมาดังอ้อแอ้เข้ามาใกล้ จุกจำได้ว่าเป็นเสียงทิดหวาน
“อ่ะโน้งเนงโน้งแกละ”
นังจุกรีบวางศจีลง แล้ววิ่งไปดูทันที

จุกออกมาตรงชานเรือน ด้วยท่าทางเอาเรื่อง มองหาอะไรบางอย่าง เสียงคนเมายังดังต่อเนื่อง
“วั่นเอย...วั่นอาทิตย์...รุ่งขึ้นอีกนิดเก๊าะเป็นวั่นจันทร์”
จุกมองหาจนเจอไม้กวาด กำกระชับในมือด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ
“หน็อย...ไม่สบายดันเสือกไปกินเหล้า เดี๋ยวแม่จะแพ่นด้วยไม้กวาด”
จุกลงบันไดตรงไปที่หน้าบ้านทันที

ทิดหวานกับหมูและอ่ำเดินกอดคอกันเซไปเซมา พลางร้องเพลงเสียงอ้อแอ้มาตามทาง
“วั่นเอย วั่นจันทร์ พอเคลื่อนผ่านอีกวัน เป็นวั่นอังคารเอย”
จุกควงไม้กวาดออกมายืนดักอย่างโมโหเต็มที่
“วันเอยวันพุธ แม่ตีอุตลุดละวะ! วันเอยวันพฤหัส...มาให้กูซัดเสียดีๆ เว้ย”
หวานงง “คราย...ครายวะ”
“กูเอง! ชะ กินเหล้าคนเดียวไม่พอนะไอ้หวาน”
“มันเกี่ยวอะไรก๊ะเอ็ง นังจุ๊กกรู๊?”
หมูกับอ่ำตบมือกันเปาะแปะ จุกพยายามมองหาตาศรี แต่ความมืดทำให้เห็นไม่ถนัด
“เอ้า...จู้ฮุกกรู...จู้ฮุกกรู นังนกโพระดก”
หวานเสริม “มันร้องโฮกโป๊ก...โฮกโป๊ก...”
ยังไม่ทันจบท่อน จุกใช้ด้ามไม้กวดเคาะโป๊กลงบนหัวของทิดหวาน
“นี่แน่ะโฮกโป๊ก ตาศรีอยู่ไหน...หา”
หวานทรุดลงทันที มือกำหัวร้องลั่น
“โอ๊ย...หัวกู...”
“เออ...ก็หัวเอ็ง ข้าถึงได้ตี ว่าไง...ตาศรีอยู่ไหน”
“ใครจะไปรู้ ผัวเอ็งนี่หว่า ไม่ใช่ผัวข้า”
จุกแปลกใจ “ก็ไหนใครเขาว่ากินเหล้าอยู่ด้วยกันที่ปากตรอก”
“ข้ากินของข้า ข้าไปรู้อะไรด้วย โอย...หัวน่วมหมดแล้ว”
หมูกับอ่ำช่วยกันแหวกผมทิดหวานหาแผลกันจ้าละหวั่น
“มันขมองไหลไหมวะ” อ่ำแหวกหาแผล
หวานโอดโอย “โอย...ข้าตายแน่แล้ว ช่วยไปบอกนังหลงมันด้วยนะ”
“ไม่ต้องสั่งเสีย แค่ด้ามไม้กวาดไม่ถึงกับตายหรอก น้าศรีแกไปไหนหว่า”
“เห็นซื้อเหล้าขาวเข้าไปในวัด ถามอะไรแกไม่พูดสักคำ”
คำพูดนั้นของทิดหวาน ทำให้จุกมีสีหน้าค่อยดูสบายใจขึ้น ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณดังอีกครืนใหญ่

บริเวณหน้าวัดใหญ่ ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องดังครืนครัน
ส่วนในป่าช้าหลังวัด บรรยากาศหลอนชวนขนลุก เสียงหมาหอนดังโหยหวน ขณะเงาใครบางคนเดินเซไปเซมาอย่างคนเมาอยู่ในความมืด มีขวดเหล้าขาวในมือ พอฟ้าแลบทีจึงเห็นว่าเป็นตาศรีที่หน้าตาซีดเซียว เลื่อนลอย เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ
“นังจุก ไม่น่าเลย...เอ็งไม่น่าทำแบบนั้น”
แล้วตาศรีก็ล้มฟุบลงไปกับพื้น พร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่ ก่อนที่ฝนจะตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง ไม่ลืมหูลืมตา

ตาศรีนอนกองอยู่กับพื้นไม่ขยับเขยื้อน ร่างถูกละอองฝนเปียกปอน ไม่รู้เป็นหรือตาย

ฝ่ายนังจุกหลับสนิท โดยมีศจีอยู่ในอ้อมกอด เสียงฝนตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกับฟ้าร้องครืนๆ เป็นระยะ
มีใครบางคนเดินขึ้นบันไดบ้านมา มีรอยโคลนและน้ำเปียกพื้นกระดาน จนมาถึงที่จุกนอนอยู่
“จุกเอ๊ย...จุก” เป็นเสียงตาศรี
จุกค่อยๆ ลืมตาขึ้นในอาการงัวเงีย แต่ก่อนที่จะทันพูดอะไร เสียงตาศรีก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ข้ามาลา ดูแลลูกให้ดีๆ นะ”
มือตาศรีเอื้อมไปลูบเรือนผมศจีอย่างเบามือ
จุกยังงัวเงียอยู่อย่างนั้น พยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
“อย่า...อย่าเพิ่งไป...”
จุกเห็นแต่ด้านหลังตาศรีเดินจากไป พร้อมๆ กับที่ศจีแผดเสียงร้องไห้จ้า

จุกส่งเสียงเสียงละเมอเรียกไว้ “กลับมาเถอะ กลับมา”
จุกผวาลุกขึ้น พอได้สติ ก็หันไปมองศจีที่ร้องไห้จ้า
“อ้าว...จีหิวหรือลูก”
จุกอุ้มศจีขึ้นมา เปิดเสื้อจะให้นม แต่ศจีก็ไม่ยอมกิน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้อง
“นมก็ไม่กิน แล้วจะร้องทำไม หยุดร้องซะทีได้ไหมจี”
จุกอุ้มศจีโยกไปมาเพื่อจะกอดปลอบ
“โอ๊ย...ร้องไห้ยังกะใครตาย” แล้วนึกโมโหตาศรี “นั่นก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ไอ้เราหรือห่วงจนเก็บไปฝัน”
เสียงตะโกนเรียกของใครบางคนดังเข้ามา
“น้า น้าจุก...น้าจุกอยู่ไหม”

จุกชะเง้อมองว่าใครมาเรียก

พอจุกออกมาดู เห็นสังข์ยืนเกาะราวตีนบันไดชั้นล่างอยู่

“มีอะไรวะไอ้สังข์”
“ท่านพระครูให้มาตาม”
“ตามไปทำไมวะ”
สังข์ไม่ตอบคำถาม เอาแต่เร่ง “เร็วๆ เข้านะ”
สังข์พูดจบก็วิ่งปร๋อออกไป จุกไม่ทันได้ถามอีก ได้แต่บ่น
“มาตามทำไม แล้วลูกเต้าจะทำยังไง” จุกฉุกคิดขึ้นมา “หรือว่า...น้าแกจะเป็นอะไร”
คราวนี้จุกรีบกลับเข้าไปอุ้มศจีโลดลิ่วลงเรือนไป

จุกกระเตงศจีเข้ามาในเขตวัด สังข์โผล่หน้ามาตะโกนบอก
“น้าศรีอยู่ที่ศาลากับท่านพระครู เร็วๆ เข้า”
จุกใจหาย รีบตามสังข์ไป พลางเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง

จุกขึ้นมาบนศาลาวัด มรรคนายกอีกคนและเด็กวัดต่างแหวกทางเป็นช่องให้จุกเดินเข้าไป พอไปถึงและเห็นภาพตรงหน้าจุกก็ร้องลั่นสุดเสียง
“น้า!”
ตาศรีนอนอยู่บนเสื่อเก่าๆ มีผ้าห่มคลุมหลายชั้น ข้างตัวมีขวดยา ขวดน้ำ ยาดมวางรายรอบ ดวงหน้าตาศรีซีดจนเขียว
จุกตั้งท่าจะโถมเข้าไปหา แต่หลายมือรั้งไว้
“ค่อยๆ แกกำลังเข้าภวังค์แล้ว” เอิบบอก
จุกร้องกรี๊ด ทำให้ลูกพลอยร้องไห้จ้าขึ้นมาด้วย
“น้า...เป็นอะไรน้า”
หลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่ทางหัวนอนของตาศรีปรามเบาๆ
“เบาๆ หน่อยสีกา”
“น้า...น้า...เป็นอะไร ทำไมไม่เอาไปโรงพยาบาล”
“สายไปเสียแล้ว เมื่อคืนตาศรีไม่ได้อยู่บ้าน เอ็งไม่รู้หรอกเหรอ” เอิบถามเป็นเชิงตำหนิ
จุกตะกุกตะกัก “มีคนบอกว่า...น้ามาที่วัด”
เอิบบอกว่า “เออมา”
“เมากลิ้งโค่โล่ นอนอยู่หลังเมรุเผาผี ตากฝนทั้งคืนไม่มีใครเห็นมาพบเอาเช้านี่” กล่ำบอก
จุกบ่อน้ำตาแตก ร้องไห้โฮออกมา
“น้า...”
“แกไม่เคยกินเหล้านี่หว่า มีเรื่องอะไรเหรอ” กล่ำแปลกใจ
จุกยังเฝ้าเรียกตาศรีน้ำเสียงโหยหวน “น้า...น้าอย่าตายนะน้า...น้า...อย่าทิ้งฉันกับลูกไป”
หลวงพ่อเทศนาขึ้นว่า “ความตาย ไม่มีใครห้ามได้”
“ไม่...ไม่ตาย...”
จุกผวาเข้าไปจะกอดตาศรี แต่ถูกกันไว้อีก จุกดิ้นอาละวาดสุดฤทธิ์
“ปล่อย ปล่อยฉัน”
“อย่า...วะ อีนี่ฤทธิ์มาก” เอิบชักฉุน
จุกร้องไห้คร่ำครวญ ปนกับเสียงร้องไห้ของศจี
“น้า อย่าเพิ่งตาย แล้วฉันกะลูกจะอยู่กับใคร”
ตาศรีหายใจหอบถี่ๆ พักหนึ่งแล้วก็หยุดหายใจไป
หลวงพ่อบอกทุกคน “สิ้นลมแล้ว”
คราวนี้นังจุกหยุดร้องไห้ ตะลึงงันอยู่กับที่
จุกใจจะขาดตาม ไม่เชื่อ “ตาย...น้าศรีเรอะตาย”
กล่ำบอก “เออ...หมดเวรหมดกรรมกันไป”
ทุกมือปล่อยจุกกับลูก จุกขยับเข้าไปใกล้ร่างตาศรี พูดบอกด้วยน้ำเสียงละห้อย
“น้า น้าเป็นลมใช่ไหม เดี๋ยวก็หายนะน้า”
คนที่อยู่ที่นั้นอดถอนใจสงสารไม่ได้
“กลับบ้านเถอะ อย่ามานอนที่นี่เลย เดี๋ยวฉันจะละลายยาลมให้” จุกสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม เขย่าร่างตาศรีไปมา “ทำไมไม่ลุกล่ะ” จุกเหลียวมองไปรอบๆ บอกคนอื่นๆ “ตัวยังอุ่นน้าแกไม่ตายหรอก เรียกรถให้ที ฉันจะเอาไปโรงพยาบาล”
หลวงพ่อบอกอีก “ไม่ฟื้นแล้วสีกา”
“แล้วฉันจะอยู่กับใครละน้า ศจีมันก็ยังเล็ก ลูกพระนะน้า ไม่ใช่ลูกใครลูกพระที่น้าขอมาไง”
นังจุกกอดลูกกระชับไว้กับอก ร้องไห้น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ศจีราวกับจะรับรู้การจากไปของพ่อทูนหัว ร้องจ้าไม่ยอมหยุดเช่นกัน ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองมาอย่างเวทนา

ยายปริกจมอยู่กับอดีตเป็นนานสองนาน ก่อนจะดึงตัวเองออกมาจากเรื่องราวน่าเวทนานั้น แม่เล้าซอยวัดใหญ่หรี่ตาที่มีวี่แววครุ่นคิดคาใจอยู่ไม่หาย พลางพึมพำ

“เชื้อแม่มันแรงนัก แต่ข้าก็แปลกใจว่า ทำไมศจีไม่เรียนให้จบปินยาอย่างที่แม่มันหวังไว้”
“คนอย่างจีมันทำอะไรไม่เคยยอมแพ้นะแม่ แล้วมันก็คงคิดของมันมาแล้วมันเป็นเด็กฉลาดจะตาย” อู๊ดว่า
“แต่ถึงยังไงมันก็ยังเด็ก คิดแบบเด็กๆ ไม่มีปะสบปะการณ์ชีวิต อาจจะพลาดขึ้นมาก็ได้” ปริกพูดอย่างกังวล
โสภายิ้มเย้า “ต้องมาหาปะสบปะการณ์อย่างพวกเราใช่มะล่า”
บรรดาลูกเล้าหัวเราะกันครืน แต่ปริกยังหน้าเครียด
“ศจีมันจะทำอะไรต้องทำให้ดีทุกอย่าง ไม่พลาดง่ายๆ หรอก” อู๊ดว่า
“ถ้าพลาด แม่ก็ให้มันมาช่วยงานซี้ ยังไงก็ถือว่ามันเป็นหลานแม่ไม่ใช่เรอะ” ถวิลบอก
อู๊ดท้วงทันที “มันคงเอาหรอก นังจุกคอยห้ามจะตาย ไม่ให้ลูกมันมาที่นี่”

บรรดาลูกเล้ายังถกเถียงกันเอ็ดอึง แต่ยายปริกยังมองตามศจีไปด้วยความเป็นห่วง กังวลอยู่ลึกๆ ในใจ

อ่านต่อหน้า 2

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 4 (ต่อ)

เช้าวันนี้ ขณะที่ศจีนั่งทำงานอยู่ในห้องธุรการโรงเรียนคอนแวนต์ ง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เสียงแกมแก้วดังลั่นเข้ามา

“จี...”
ศจีเงยหน้าขึ้น เห็นแกมแก้วยิ้มดีใจแก้มปริมองมา
“เอ็นติดคณะอะไรเหรอ”
“ให้ทาย”
“รัฐศาสตร์” ศจีบอกอย่างมั่นใจ
แกมแก้วเซ็ง “ว้า...ทีเดียวก็ทายถูกซะละ”
“ก็เธอเลือกอันดับหนึ่งไม่ใช่เหรอ เห็นยิ้มแบบนี้ก็รู้แล้ว”
แกมแก้วเข้าไปจับมือศจี
“ฉันดีใจจัง เลยรีบมาบอกเธอเป็นคนแรกๆ”
ศจีเขย่ามือเพื่อนรักเบาๆ “ดีใจด้วยนะลูกแก้ว”
“เสียดายแทนจีนะ ถ้าสอบต้องติดอักษรแน่ๆ หรือไม่ก็เข้ารัฐศาสตร์เป็นเพื่อนกัน”
“ฉันทำงานอย่างนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่”
“ได้จ้ะ แต่ลูกแก้วอยากให้จีไปอยู่ใกล้ๆ กันเหมือนสมัยเรียนที่นี่”
เสียงมาแมร์ดังขัดขึ้น “นี่คิดจะตัวติดกันไปถึงไหนกันจ๊ะลูกแก้ว”
ทั้งสองสาวชะงัก หันไป เห็นมาแมร์เดินเข้ามา แกมแก้วยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะมาแมร์ แหม ลูกแก้วอยากให้จีช่วยติวเหมือนเมื่อก่อนน่ะค่ะ”
“เธอสอบเข้าได้ก็แสดงว่าเรียนได้ด้วยตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนอื่นไปตลอดชีวิตหรอกนะจ๊ะ”
“ลูกแก้วทราบค่ะ ต่อไปนี้ลูกแก้วก็ต้องพึ่งตัวเองแล้ว แต่ยังไงลูกแก้วก็ขอมาหาศจีที่นี่บ่อยๆ นะคะ”
“ได้สิจ๊ะ มาแมร์ไม่ห้ามหรอก ฉันยินดีด้วยนะจ๊ะ ที่เธอสอบเข้าได้คณะที่ตั้งใจ”
“ขอบพระคุณค่ะมาแมร์ขา เป็นเพราะมาแมร์กับมาเธอร์ ซิสเตอร์ช่วยกันอบรมให้ความรู้ ลูกแก้วถึงสอบเข้าได้”
“เป็นความสามารถของพวกเธอด้วยน่ะจ้ะ พระเจ้าทรงอำนวยพรพวกเธอทุกคน อยู่ที่ว่าจะเลือกเดินทางไหนเท่านั้นเอง”
มาแมร์มองแกมแก้วกับศจีอย่างเมตตา

ศจีออกมาส่งแกมแก้ว แต่พอมองไป เห็นชีวินเดินเข้ามาหาก็แปลกใจ แกมแก้วรีบบอก
“พี่วินเป็นคนขับรถพาไปดูผลเอ็นน่ะ ถ้าไม่ติดจะได้มีคนปลอบใจ”
ชีวินเดินเข้ามาถึงตัวทั้งสอง ศจียกมือไหว้ ชีวินรับไหว้
“ทำไมไม่เข้าไปข้างในละคะ”
“ไม่ล่ะครับ ลูกแก้วกับศจีจะได้คุยกันประสาผู้หญิง”
“ลูกแก้วก็ไม่ได้มีความลับอะไรคุยกับศจีหรอกค่ะ แต่พี่วินคงไม่คุ้นกับโรงเรียนคอนแวนต์ที่มีแต่ผู้หญิงล้วนละมัง”
ชีวินพูดขำๆ “ไม่จริงหรอก พี่ขี้เกียจฟังเธอคุยต่างหาก อยู่บ้านก็ฟังเธอบ่นมามากพอแล้ว”
แกมแก้วค้อนควักงอนใส่พี่ชาย “แหม...พี่วินละก็ เผาน้องเสียแล้ว ไม่เอาละ ขืนอยู่นานลูกแก้วเกรียมแน่ กลับก่อนนะจี จะรีบไปบอกข่าวดีกับคุณแม่ด้วย”
“คุณแม่เธอต้องดีใจมากแน่ๆ”
ศจียกมือไหว้ชีวินซึ่งยิ้มเยื้อนมองมาขณะรับไหว้ แกมแก้วโบกมือให้เพื่อนรัก ก่อนจะเดินออกไปด้วยกัน
ศจีมองตามชีวินอย่างมีจุดมุ่งหมายบางอย่างในใจ

เวลานั้นคุณหญิงอรุณวตี อยู่ในห้องทำงาน กำลังโอบ หอมแก้มพลางลูบหลังกอดแกมแก้ว อย่างดีใจ
“เก่งจริงลูกแม่ ลูกแม่เก่งที่สุด แล้วนี่คุณพ่อรู้หรือยัง”
“ลูกแก้วโทรบอกตั้งแต่ตอนรู้ผลแล้วล่ะค่ะ”
“แต่ไม่เห็นโทรมาบอกแม่เลย”
“ลูกแก้วอยากมาบอกคุณแม่ด้วยตัวเองนี่คะ แต่คุณพ่องานยุ่ง ไม่รู้จะกลับเมื่อไร ลูกแก้วเลยต้องรีบบอกก่อน”
อรุณวตีพยักหน้ารับรู้
แกมแก้วกอดแม่ไว้ในกิริยาออดอ้อน อรุณวตีลูบผมธิดาคนเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู
ชีวินมองอยู่นานเอ่ยขึ้น “เห็นเป็นเด็กเหลาะแหละอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสอบเข้าจนได้”
“แหม ที่จริงแก้วตั้งใจนะคะพี่วิน เพียงแต่บางช่วงก็มีเรื่องมากวนใจบ้างเท่านั้น”
“อะไรมากวนใจเหรอลูก”
แกมแก้วกับชีวินมองหน้าอย่างรู้กัน
ระหว่างนี้รัชนีฉายเดินนวยนาดเข้ามาพอดี
“ดีใจอะไรกันอยู่เหรอคะคุณพี่กับหลานๆ”
แกมแก้วเมินหน้าใส่ เป็นคำตอบว่านี่แหละเรื่องกวนใจ
“ลูกแก้วเพิ่งมาบอกข่าวดีจ้ะ ว่าสอบติดคณะรัฐศาสตร์”
รัชนีฉายเสแสร้งหัวเราะระร่วนคล้ายยินดีออกมา
“จริงเหรอคะ เก่งจังเลย สมกับเป็นลูกสาวคุณพี่ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ”
แกมแก้วกับชีวินนิ่งฟัง รัชนีฉายรีบพูดต่ออย่างเอาใจ
“งั้นวันนี้เราไปฉลองกันดีไหม น้าจะพาไปทานอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ” รัชนีฉายหันมาทางชีวิน “วินชวนหนูยาไปด้วยสิจ๊ะ”
“ขอบคุณครับคุณน้า แต่บังเอิญเย็นนี้ผมไม่ว่างครับ มีนัดแล้ว”
รัชนีฉายหันมาทางแกมแก้วเป็นเชิงถาม แกมแก้วรีบตัดบท
“ลูกแก้วก็ไม่ว่างเหมือนกันค่ะ จะไปฉลองกับเพื่อน”
รัชนีฉายหน้าเสียไปนิดหนึ่ง แต่ก็แสร้งยิ้มออกมาขณะขยับมาจับมือแกมแก้ว
“เหรอจ๊ะ เสียดายจัง งั้นไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน น้าขอแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะ แต่ลูกแก้วอย่าเคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไปนะจ๊ะ เดี๋ยวจะป่วย...”
รัชนีฉายปรายตามองอรุณวตีเป็นเชิงกระทบกระเทียบ แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“คุณพี่...เอิ่ม...น้องขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปช่วยคุณพี่ปราจิตเตรียมจัดพาร์ตี้คืนพรุ่งนี้ต่อ เทคแคร์นะคะคุณพี่ขา”
รัชนีฉายเดินกรีดกรายออกไป อรุณวตีมองตามด้วยแววตาเจ็บแค้นอยู่ลึกๆ
ชีวินมีสีหน้าไม่สบายใจนัก ในขณะที่แกมแก้วซ่อนความชิงชังไว้ไม่มิด

เลิกงานเย็นนั้น ศจีเดินออกมาหน้าคอนแวนต์ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสุพรรณยืนยิ้มเผล่รออยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาหาเธอ
“มีธุระอะไรเหรอคะ”
“วันนี้ผมไปต้อนรับน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัยมา เลยแวะมารับคุณ”
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องมารับมาส่งฉัน”
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอก ถ้าผมอยากมา” สุพรรณบอกอย่างจริงจัง
“ทำไมคุณดื้อนัก”
“มันเป็นธรรมชาติของผม และของคุณก็เหมือนกัน”
“หาว่าฉันดื้อเหรอ”
“ดูตาก็รู้ คุณนี่ดื้อเงียบชัดๆ”
ศจีค้อนขวับแล้วเดินหนีไป สุพรรณยิ้มขัน รีบตามไป

รถของท่านทูตปราจิตแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่ตอนค่ำ ปราจิตลงจากรถ สีหน้ายิ้มยินดีเมื่อเห็นแกมแก้วออกมาต้อนรับ
“คุณพ่อขา”
ปราจิตโอบลูกไว้ “ดีใจด้วยนะลูกพ่อ”
“อย่าลืมรางวัลของลูกแก้วด้วยนะคะ”
“เอ...ลูกอยากได้อะไรละคะ”
แกมแก้วทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แล้วเอาไว้ลูกแก้วจะบอกนะคะ”
“พ่อชักกลัวเสียแล้วสิ ต้องเป็นของใหญ่มากแน่ๆ อย่าถล่มทับพ่อก็ก็แล้วกัน”
“ใครจะกล้าละคะ ที่จริง รางวัลของลูกแก้วง่ายนิดเดียว อยากให้คุณพ่อ...”
เสียงรัชนีฉายแหลมเข้ามาขัดจังหวะพอดิบพอดี “คุณพี่ขา”
ปราจิตชะงัก แกมแก้วผละออกจากวงกอดของบิดา ชักสีหน้าเมื่อเห็นรัชนีฉายปรี่เข้ามาหาปราจิต
“คุณพี่ขา กลับมาแล้วเหรอคะ”
“ค่ะ เตรียมงานไปถึงไหนแล้วคะ”
“ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ เดี๋ยวน้องพาคุณพี่ไปดูนะคะ แล้วก็จะให้คุณพี่ช่วยดูรายชื่อแขกกับรายชื่ออาหารด้วย”
รัชนีฉายทำท่าจะดึงปราจิตไป แต่ท่านทูตจับแขนเธอรั้งตัวเองไว้
“อีกสักพักได้ไหมคะ พี่ขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน รู้สึกร้อนเหลือเกิน”
“ได้ค่ะคุณพี่”
ปราจิตเดินนำเข้าบ้านไป รัชนีฉายมองตามยิ้มกริ่ม แล้วหันมองแกมแก้วที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ พลางพูดเหน็บ
“เอ๊ะ ไหนลูกแก้วบอกว่าจะไปฉลองกับเพื่อนไงจ๊ะ”
“ลูกแก้วเลื่อนนัดไปก่อนค่ะ พอดีเพื่อนติดงาน”
“แหม...เสียดายจัง พอดีงานมีปัญหา คืนนี้น้าคงต้องอยู่ปรึกษากับคุณพ่อของเธอจนดึกเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนใจพาเธอไป”
รัชนีฉายหัวเราะเยาะทิ้งท้าย ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าบ้านไป

แกมแก้วมองตามตาขุ่น ได้แต่คุมแค้นเจ็บใจไปมา

วรรณยกชาเข้ามาให้คุณหญิงอรุณวตีที่ห้องทำงานภายในบ้าน ตอนค่ำวันเดียวกัน

“ชาค่ะ ระวังร้อนนะคะ”
อรุณวตียกชาขึ้นค่อยๆ จิบ แล้วปรายตามองไปหน้าบ้าน
“ท่านของพี่วรรณกลับมาแล้วเหรอ”
“มาแล้วค่ะ เห็นคุณลูกแก้วกับคุณรัชนีฉายออกไปรับเมื่อตะกี้” วรรณบอก
“งั้นเหรอ”
อรุณวตีรีบวางถ้วยชา ก่อนจะไอออกมา วรรณรีบเข้ามาลูบหลังให้
“เป็นยังไงบ้างคะ”
อรุณวตีหยุดไอ แต่เหนื่อยหอบ
อรุณวตีฉันไม่เป็นไรจ้ะ งานพรุ่งนี้เป็นยังไงบ้าง
“ขอโทษนะคะที่พี่ต้องพูดตรงๆ อลหม่านเหลือเกินค่ะ คุณรัชนีฉายเข้าไปค้นเอกสารในห้องสมุดวุ่นวาย สั่งทุกคนจนสับสนไปหมด”
“เป็นงานแรกๆ ของเขา ก็คงขลุกขลักบ้าง”
“พี่ว่าคุณหญิงน่าจะหาเลขามาช่วยงาน ดีกว่าจะให้ เอ่อ...เธอมายุ่มย่ามทุกอย่างในบ้านแบบนี้นะคะ”
คุณหญิงท่านทูตตาลุกวาว คิดถึงใครบางคน

ใครที่คุณหญิงอรุณวตีคำนึงถึง กำลังเหลียวหลังไปมอง เธอพบว่าสุพรรณตามเธอมาต้อยๆ ผ่านหน้าซ่องที่ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน
ยายปริกออกมาตรวจดูความเรียบร้อย พอเห็นสุพรรณก็หรี่ตามอง
“นั่นใครวะนังอู๊ด”
อู๊ดเหลียวมองตาม “จีไงแม่”
ปริกตบหัวอู๊ด “เออ ข้าจำนังจีไม่ได้” อารมณ์เสียจนยกเท้าทำท่าจะยัน “เอ็งนี่มันโง่หรือกวนประสาท
กันแน่วะ”
อู๊ดหัวเราะแหะๆ
ยายปริกมองจ้อง “ไอ้เด็กคนนี้เห็นมาส่งนังจีบ่อยๆ หน้าตาคุ้นๆ”
“ฉันเคยเห็นเดินตามหลวงพ่อ เป็นเด็กวัดใหญ่น่ะแม่ เรียนหนังสืออยู่มหาทลัยแล้ว”
“หน่วยก้านดีนะ แต่เป็นแค่เด็กวัด จีมันจะสนเรอะ”
ยายปริกมองตามสุพรรณอย่างสนใจ

พ้นซ่องยายปริกมาหน่อย ศจีหยุดเดิน แล้วหันมาประจันหน้ากับสุพรรณ
“คุณกลับไปได้แล้ว”
“ผมยังไม่อยากกลับ”
“ฉันเห็นคนอื่นเขามองเรา”
“เราสองคนเป็นคนน่ามองมั้งครับ” สุพรรณตีฝีปาก
“นี่คุณ หยุดกวนฉันเสียทีได้ไหม ฉันรู้ว่าพวกเขาคิดอะไร”
สุพรรณยิ้มกรุ้มกริ่ม “เขาคิดอะไรเหรอ”
ศจีถอนใจ มองหน้าสุพรรณอย่างพิจารณา
“คนฉลาดอย่างคุณน่าจะดูออก”
“ผมดีใจที่คุณเห็นผมเป็นคนฉลาด แต่ผมอาจจะโง่กว่าที่คุณคิดก็ได้”
“ฉันไม่อยากให้คนอื่นมองเราด้วยสายตาแบบนั้น”
“ทำไมคุณต้องสนใจสายตาคนอื่นด้วย มันทำให้คุณเดือดร้อนเหรอ”
“ใช่ค่ะ ฉันเดือดร้อน เพราะฉันอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด และจะต้องอยู่อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่เหมือนคุณที่พอเรียนจบแล้วก็ไปที่อื่น”
สุพรรณจ้องมองลงไปในดวงตาของศจีอย่างลึกซึ้ง
“ผมอาจจะอยู่แถวนี้อีกนาน หรือไม่ ก็อาจจะพาคุณออกไปไกลจากที่นี่ก็ได้”
ศจีอึ้งไป เข้าใจความหมาย เธอสะบัดหน้าเดินหนีเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้สุพรรณเห็นใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมา สุพรรณยิ้มรีบตามติดศจีไป

อีกฟาก ปราจิตออกมาจากห้องน้ำในสภาพสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เขาชะงักแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในห้องนอนเขากับคุณหญิง
“หาอะไรเหรอคะ”
รัชนีฉายเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ขอโทษด้วยค่ะที่ถือวิสาสะเข้ามา น้องกำลังหาเอกสารรายชื่อแขกของคุณพี่วตีน่ะค่ะ”
“ไม่น่าจะอยู่ในนี้นะคะ ปกติคุณหญิงไม่ได้เก็บเอกสารเกี่ยวกับงานไว้ที่นี่”
“งั้นหรือคะ น้องหาในห้องสมุดแล้วไม่เจอน่ะค่ะ”
รัชนีฉายทำทีเป็นเดินเข้าไปหาของใกล้ๆ กับที่ปราจิตยืนอยู่ พอผ่านหน้าเขาก็ส่งสายตายั่วยวน
“กลิ่นหอมจังค่ะ น้องชอบสบู่กลิ่นนี้ จากฝรั่งเศสใช่ไหมคะ”
“ถูกเผงเลยค่ะ”
“ห๊อม...หอม...”
รัชนีฉายเข้าไปหอมแก้มปราจิต แล้วยกมือลูบไล้แผงอกของเขาเบาๆ ปราจิตยิ้มกริ่ม ก้มลงจูบรัชนีฉาย แล้วรุกเธอจนล้มลงไปบนเตียง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดกึก
รัชนีฉายงุนงงเพราะเครื่องกำลังติด “เป็นอะไรไปคะคุณพี่”
ปราจิตรีบลุกขึ้น “เธอออกไปก่อนเถอะค่ะ พี่จะได้แต่งตัว”
รัชนีฉายอ้อล้อ “แต่ว่า”
“ห้องนี้เคยเป็นห้องหอของพี่กับคุณหญิง เธอขอพี่เอาไว้ ไปรอพี่ที่ห้องเดิมนะคะ”
“โธ่ คุณพี่ขา” รัชนีฉายกอดรัดแน่นขึ้น พยายามนัวเนีย “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะน้องก็ไม่ได้ค้างที่ห้องนี้สักหน่อย”
ปราจิตแกะมือรัชนีฉายออกเบาๆ “ออกไปก่อนะนะคะ พี่จะรีบแต่งตัว เสร็จแล้วจะไปหา”
รัชนีฉายทำท่าจะตะบึงตะบอนใส่ แต่ก็รีบเก็บอาการไว้ เปลี่ยนท่าทีเป็นยั่วยวน
“ก็ได้ค่ะ น้องจะรอคุณพี่ไปปลอบใจ...ทั้งคืน...”
รัชนีฉายหอมแก้มปราจิตอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยอมออกไป

ปราจิตมองตามพลางถอนใจกับตัวเอง

อ่านต่อหน้า 3

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ส่วนศจีเดินมาถึงหน้าบ้าน สีหน้าครุ่นคิดถึงคำพูดสุพรรณ เธอจึงถามขึ้นมาโดยไม่ได้หันกลับไปดู เพราะคิดว่าเขายังเดินตามอยู่

“ที่คุณบอกว่าจะพาฉันออกไปจากที่นี่ คุณจะทำยังไง...”
ไม่มีคำตอบ ศจีจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ เพราะสุพรรณไม่อยู่แล้ว เธอมองไปรอบๆ อย่างงุนงง พึมพำกับตัวเอง
“อะไรกัน เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่เลย”
มีเสียงสุพรรณร้องดังขึ้น
“โอ๊ยๆๆ ช่วยด้วย”
“คุณ เป็นอะไรน่ะ”
ศจีตกใจ มองหาสุพรรณตามเสียงร้องของเขา

ศจีวิ่งเข้ามาดูตรงพงหญ้า ตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“คุณโดนอะไร”
สุพรรณนั่งกุมแผลที่ขาด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวด
“สงสัยจะโดนงูกัด”
“งูพิษหรือเปล่า ไหนขอดูแผลหน่อย”
สุพรรณเปิดมือออก ศจีเห็นก็ตีมือสุพรรณ
“อีตาบ้า”
สุพรรณหัวเราะขำ เพราะเปิดมาแล้วไม่ได้มีแผลอะไร
“หลอกฉันทำไม”
“อยากรู้ว่าคุณจะเป็นห่วงผมบ้างหรือเปล่า ผมดีใจนะที่คุณเป็นห่วง”
“ฉันจะเข้าบ้านแล้ว”
ศจีผละจากสุพรรณลุกขึ้น แต่สุพรรณรีบตามไปคว้ามือเธอไว้
“เดี๋ยวสิคุณ อย่าเพิ่งไป”
“คุณไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะรีบเข้าบ้าน”
“ที่ผมบอกว่าจะพาคุณออกไปจากที่นี่ ผมทำจริงนะ”
สุพรรณกุมมือศจี อีกฝ่ายพยายามดึงมือออก
“นี่คุณ...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอก”
“แถวนี้เป็นสวนทั้งนั้น ใครจะมาเห็น”
“มันไม่ดี”
“เราไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่ครับ ผมอยากให้คุณฟังความตั้งใจของผม” ศจีนิ่งไป “ผมตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะสอบเข้ารับราชการเป็นปลัดอำเภอ คุณรอผมได้ไหม”
“รออะไรคะ”
สุพรรณจ้องหน้าศจีอย่างอ่อนโยน พูดด้วยเสียงจริงจัง
“รอผมมาสู่ขอคุณไงครับ”
ศจีอึ้งไป รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาด
“เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“แต่ผมอยากให้คุณเป็นคุณนายปลัดอำเภอ แล้วผมจะตั้งใจทำงาน คุณจะได้เป็นคุณนายนายอำเภอ คุณนายผู้ว่าในอนาคตด้วย”
ศจียิ้มออกมาขำๆ
“คุณไม่เชื่อผมเหรอ ผมสัญญาว่าจะทำให้ได้”
“ฉันจะคอยดูก็แล้วกัน”
สุพรรณยิ้มออกมาได้ด้วยความดีใจ เพราะรู้ว่านั่นคือคำตอบที่เขาหวังไว้ ชายหนุ่มรวบตัวศจีเข้ามากอด ศจีอิงซบกับสุพรรณอย่างรู้สึกอบอุ่น คิดในวินาทีนี้ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่เธอฝากความหวังไว้
จุกเปิดประตูออกมาเห็นภาพนี้พอดี และทำท่าจะออกไปห้าม แต่ศจีผละออกจากสุพรรณเสียก่อน
“ฉันเข้าบ้านก่อนดีกว่า เดี๋ยวแม่จะคอย”
จุกรีบกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่ให้ลูกสาวเห็น ก่อนที่ศจีจะเข้าบ้านไป
สุพรรณมองตาม รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก

ขณะอรุณวตีเดินมาที่เตียง เตรียมดับไฟเข้านอน มีเสียงหัวเราะระริกระรี้ของรัชนีฉายดังแว่วเข้ามา คุณหญิงหายใจแรงจนเหมือนหอบ ก่อนที่จะพยายามระงับจิตระงับใจไว้
อรุณวตีครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ตาที่เคยสงบนิ่งวาวโรจน์ขึ้น
“ถึงเวลาแล้วสินะ คงถึงเวลาเสียที”
อรุณวตีหลับตาลงพร้อมกับแผนการลึกล้ำที่ผุดขึ้นมาในใจ

ศจีเข้ามาในบ้าน แปลกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เป็นจุกนั่งอยู่หน้าหิ้งที่มีรูปของตาศรี จุดธูปหนึ่งดอกในมือ
“วันนี้ไม่ใช่วันครบรอบหรือวันพระนี่แม่”
“แม่อยากให้พ่อเขาช่วย”
ศจีฉงน “ช่วยเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”
“เรื่องของลูกนั่นแหละจี”
ศจีนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ จุกปักธูปแล้วก้มลงกราบหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันมาบอกศจี
“พ่อเขาหวังว่าลูกจะได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้ดิบได้ดี เป็นคุณหญิงคุณนาย”
ศจีเอือมนิดๆ “เรื่องเดิมอีกแล้วแม่”
“แม่อยากให้จีจำขึ้นใจไงล่ะ แม่ผ่านชีวิตมามาก รู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมผู้ชายเป็นยังไง อยากให้ลูกระวังไว้ เวลารักเวลาหลงน่ะ เขาจะพูดยังไงก็ได้ เพื่อให้เราตายใจ”
สิ่งที่จุกพูดเหมือนทำลายความหวังความชุ่มชื่นในหัวใจที่เพิ่งได้รับมา ศจีจึงรู้สึกหงุดหงิด
“ไม่มีใครหวังดีกับลูกเท่าพ่อกับแม่หรอก ลูกต้องดูผู้ชายให้ดีๆ อย่าเลือกเพราะเขาพูดคำหวานกับเรา แต่ให้เลือกคนที่เขาดูแลเราได้จริงๆ เหมือนที่แม่เลือกพ่อของลูก”
“ฉันรู้แล้ว ขอไปอาบน้ำนอนก่อนนะจ๊ะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”
ศจีตัดบทเดินหนีเข้าห้อง จุกมองตามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะหันมามองรูปของตาศรีด้วยแววตาอ้อนวอน
“น้า ช่วยฉันด้วยนะน้า น้าหวังให้ลูกของเราเป็นเจ้าคนนายคน ขออย่าให้จีใจเร็วด่วนได้เลย”

อดีตโสเภณีซ่องยายปริกผู้กลับใจ จ้องรูปตาศรีบนหิ้ง ด้วยแววตารำลึกจดจำ

จุกพาตัวเองกลับไปยังเหตุการณ์หลังตาศรีเสียชีวิต ชาวบ้านช่วยกันนำศพบรรจุลงโลง นำมาตั้งมุมศาลา สังข์กับเด็กวัดอีก 2-3 คนกำลังช่วยกันโยงสายสิญจน์ออกมานอกโลง

จุกอุ้มศจีนั่งซึมอยู่ น้ำตายังไหลพราก ไม่พูดไม่จากับใคร
ปริกเข้ามาปลอบ
“อย่าเสียอกเสียใจมากเลยจุกเอ๊ย เอ็งยังมีลูกที่ต้องดูแลนะ”
จุกยังนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“ข้าคุยกับท่านพระครูแล้ว ตกลงว่าจะสวดสามวันแล้วเผาเลย”
จุกได้แต่พยักหน้าเหม่อๆ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
เหล่าลูกเล้าที่นั่งจับกลุ่มกันต่างกระซิบกระซาบ
“ไม่นึกเลยนะอู๊ด ว่าน้าศรีแกจะได้นอนในโลงที่แกต่อด้วยฝีมือตัวเอง” ถวิลว่า
“ไอ้เถ้าแก่นี่ก็งกเป็นบ้า ลูกน้องตายทั้งคน แทนที่จะยกโลงให้ฟรี กลับลดแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ไอ้ฉิ่งใส่หีบเอ๊ย” อู๊ดด่า
แจ่มงง “เป็นไงวะ ฉิ่งใส่หีบ”
“เก๊าะไอ้ฉอหอ...ไงล่ะ”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

สังข์โยงสายสิญจน์เสร็จแล้วเตรียมจะปิดโลง จุกเข้าไปคุกเข่ากราบศพด้วยกิริยาอ่อนช้อยละเมียดละไมอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ทุกคนมองอย่างแปลกใจ
จุกพึมพำเบาๆ เหมือนพูดกับตาศรี
“น้า ศจีมันไม่ใช่ลูกพระลูกเจ้า หรือลูกใครที่ไหนหรอก มันลูกน้าแน่ๆ เพราะพ่อ ไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดเฉยๆ แต่ต้องเป็นผู้รักใคร่เลี้ยงดูมาด้วยถึงน้าจะไม่ไปลา ไม่ไปสั่งให้เลี้ยงลูกให้ดี ฉันก็จำต้องทำลูกของเรานะน้า ฉันจะให้มันได้ดีกว่าพ่อดีกว่าแม่ให้จงได้”
จุกหันไปประคองศจีเข้ามา
“ศจี มากราบลาพ่อ” จุกจับมือลูกพนม แต่ศจียังเด็กนัก จึงไม่ยอมทำตามง่ายๆ จุกโมโหจึงตวาดลั่น “กราบพ่อศจี พ่อมีบุญคุณนัก”
ปริกต้องเข้ามาลูบหลังปลอบประโลม
“จุกเอ๊ย ลูกมันยังเล็ก ยังไม่รู้อะไรหรอก ไว้โตขึ้นค่อยบอกมันว่าพ่อมันเป็นยังไง”
จุกได้แต่ปาดน้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งแล้ว
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป มีเสื้อดำไหมวะ ถ้าไม่มีก็ใช้เสื้อขาว แล้วนี่จะกลับไปอยู่บ้านยังไงคนเดียว”
“ฉันไม่กลัวอะไรแล้วแม่ ฉันอยู่ได้”
สีหน้าจุกมุ่งมั่น อุ้มศจีเข้าเอวแล้วลุกเดินออกไป

ครบสามวันแล้ว บ่ายวันนี้ โลงศพตาศรีวางบนเตาในเมรุที่กำลังลุกโชนโหมไหม้
จุกในชุดดำอุ้มศจียืนดูศพของตาศรีที่กำลังมอดไหม้อยู่ตรงหน้า น้ำตาไหลริน
“ศจี เอ็งไม่มีพ่อแล้วลูก”
ศจีร้องอ้อแอ้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“พ่อเคยบอกเอ็งเป็นลูกพระ ก็ไม่ใช่พระที่ไหนหรอก ตาศรีนั่นแหละเป็นพระของเอ็ง”
สีหน้าจุกมองกองเพลิงนั้นอย่างปลงใจแน่วแน่ ว่าลูกจะไม่มีวันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เลย ถ้าตาศรีไม่ประคับประคองทะนุถนอม
“น้า อะไรที่น้าขอ และฉันก็ให้น้าไปแล้ว ฉันจะไม่ประพฤติอีก ตั้งแต่ฉันสัญญากับน้าแล้ว ฉันผิดสัญญาหนเดียวจริงๆ นะน้า”

จุกบอกตัวเองในใจ

อ่านต่อหน้า 4

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 4 (ต่อ)

หลังเสร็จงานเผาศพตาศรี จุกอุ้มลูกเดินออกมาพร้อมกับปริกและเหล่าเพื่อนๆ นางคณิกา เสียงความคิดของจุกดังต่อเนื่องมา

“น้าว่าศจีมันจะเป็นใหญ่เป็นโตใช่ไหม ถ้าฉันเลี้ยงให้ดีมันก็คงสมใจน้าหรอก”
จุกหันมาบอกศจีที่อยู่ในอ้อมแขน
“พ่อเอ็งว่า โตขึ้นเอ็งจะได้เป็นเจ้าคนนายคน พยายามเข้านะลูก พ่อเขาจะได้ภูมิใจ พ่อเอ็งชื่อศรีแม่ชื่อจุก”
ปริกกับคนอื่นต่างมองจุกอย่างสะท้อนใจ จุกยังย้ำต่อไป
“พ่อเอ็งชื่อศรี เป็นมรรคนายก ใจบุญสุนทาน ใครๆ เขาก็รู้จักทั้งนั้น”
ปริกมองศจีอย่างไม่แน่ใจว่าปลากัดคนละขวด มันจะเหมือนกันเป๊ะได้อย่างไร แต่ปากก็พูดปลอบจุกไป
“เวลา ของยังงี้มันต้องใช้เวลา”
“โตขึ้นมันต้องใจคอเหมือนพ่อ เป็นพวกพระอภัยใจดีเป็นที่สุด”
ปริกพยักหน้าเออออไป ก่อนจะออกปาก
“แล้วนี่เอ็งจะเลี้ยงลูกคนเดียวได้ยังไง กลับไปอยู่เสียด้วยกันก็ได้นี่วะ บ้านช่องข้าวของขายเสียให้หมด เอาเงินให้เขากู้กินดอก”
จุกหยุดเดิน หันมาค้านเรียบๆ
“ฉันทำไม่ได้หรอกแม่ ใครเขารู้เข้าเขาจะว่า ผัวตายยังไม่ทันไรผลาญสมบัติหมด อีกอย่าง น้าศรีเป็นคนธรรมะธัมโม ฉันเอาเงินของแกมาตกดอกไม่ได้หรอก”
บรรดาคณานางลูกเล้าของปริกฮือฮากันเป็นแถว
“เป็นเมียมรรคทายกพักเดียว มันชักจะเทศนาโปรดสัตว์ได้แล้วโว้ยอีจุก” ฉลวยว่า
“ถ้าสำเร็จมรรคผลเหาะได้เมื่อไรละก็ ให้เกาะชายกระโปรงไปด้วยคนนะโว้ย” ถวิลบอก
อู๊ดเสริม “เหาะไปเป็นมักกะลีผลน่ะสิ”
พวกลูกเล้าหัวเราะกันครืน แต่จุกยังสีหน้าจริงจัง ปริกถามอย่างเป็นห่วง
“แล้วเอ็งจะทำอะไรกิน”
“สวนยังมี ก็ทำสวนสิแม่ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ขายได้ทั้งนั้น”
“เอ็งจะทำไหวรื้อ ไม่เคยกรากกรำ”
“ของยังงี้มันก็ต้องลอง”
“เอานังจีไปทิ้งที่บ้านก็ได้วะ จะเลี้ยงให้ เอ็งจะได้ทำงานสะดวก”
“ไม่ละแม่ ฉันเลี้ยงเองได้ แม่ก็อยู่แค่นี้ ไปมาสะดวก ถ้าฉันคิดถึงแม่จะเข้าไปหา”
ปริกมองจุกอย่างไม่คิดว่าจะทำได้อย่างที่พูด เพราะจุกไม่เคยลำบากมาก่อน แต่สีหน้าจุกมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
“มาลงสนามใหม่เถอะว้า หยุดยกเครื่องบดวาล์วไปพักนึง แล้วสตาร์ตใหม่คราวนี้ละวิ่งฉิว” อู๊ดชวน
“ไม่ละ สัญญากับน้าแกแล้ว”
ชื่นท้วง “คนตายไปแล้ว จะรู้อะไรวะ”
“แต่ฉันรู้ ฉันทำทั้งๆ ที่รู้ไม่ได้”
“ตาศรีนี่คงจะมีทีเด็ด แม่คุณจุรีถึงได้อาวรณ์อาลัยนัก สงวนเนื้อสงวนตัวเป็นแม่ม่าย” ชื่นว่า
จุกเงียบ ทำเป็นหูทวนลมเสีย ปริกทิ้งท้ายอย่างเป็นห่วง
“ตามใจเอ็ง ถ้ามันเหลืออดเหลือทนยังไงก็เข้าไปบอก”

วันถัดมาจุกมุ่งมั่นตั้งใจกับการทำสวน เวลานี้นั่งดายหญ้าไปปาดเหงื่อไป สักพักนั่งลงหอบเหนือย เสียงศจีในเปลผ้าที่แขวนกับต้นไม้ร้องไห้จ้า จุกทิ้งเสียมในมือ รีบเข้าไปอุ้มศจีขึ้นมาให้นม
ถัดมา จุกนั่งเด็ดพริก ใบโหระพาใส่ตะกร้า แล้วจับหลังตัวเองอย่างรู้สึกเจ็บ จึงเอามือทุบๆ แล้วก้มลงเด็ดพริกต่อ
อีกวัน จุกลงสวนแต่เช้า เก็บกล้วยลงเข่ง ยกเข่งออกมาอย่างทุลักทุเล และด้วยความหนักทำให้จุกล้ม กล้วยและผลไม้ตกระเนระนาด แต่จุกกลับลุกขึ้น เก็บผลไม้กลับเข้าเข่งใหม่

หลายวันต่อมา จุกใช้จอบขุดดินอย่างคล่องแคล่วแข็งขัน แต่ต้องสะบัดมืออย่างเจ็บปวด มองเห็นมือตัวเองที่แตกกร้าน มีเลือดซึมซิบๆ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เอาผ้าคาดเอวมาพันมือ แล้วจับจอบขุดดินต่อ

จุกดำรงตนและหาเลี้ยงชีพตัวเองกับลูกน้อยด้วยอาชีพชาวสวน จนผ่านไป 6 ปีเต็ม ศจีนั่งเจียนใบตองอยู่บนแคร่หน้าบ้าน เสียงศจีดังเข้ามา
“แม่จ๋าแม่”
จุกเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กหญิงศจีในวัย 6 ขวบวิ่งตื้อเข้ามาหา
“หนูไปบ้านยายนะแม่”
“ไปทำไมบ่ายแล้ว”
“หนูไปเดี๋ยวเดียว ไม่ทันเย็นหรอกแม่”
จุกอ้าปากจะตอบ แต่ศจีวิ่งปรู๊ดออกไปเสียก่อน

ถวิลกำลังใช้ถ่านเขียนบนกำแพงหน้าซ่องเป็นตัวหนังสือโย้เย้ว่า “บริการถึงใจ ต้องให้ปริกรับใช้” พอเขียนเสร็จ หันไปก็เห็นศจีกำลังสะกดคำอ่านอยู่
“บริการถึงใจ ต้องให้ปริกรับใช้ ยายไปเป็นคนใช้ด้วยเหรอจ๊ะน้าหวิน”
ถวิลตกใจรีบเอาตัวบังตัวหนังสือ แล้วดันตัวศจีเลี่ยงไปทางหนึ่ง
“รับใช้มันไม่จำเป็นต้องเป็นคนใช้ก็ได้ ว่าแต่ มาทำไมอีหนู”
“มาหายาย”
“รอเดี๋ยวนะ ยายหลับอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ น้าเข้าไปดูให้”
ถวิลเข้าบ้านไป ปล่อยให้ศจียืนรออยู่แถวนั้น เด็กหญิงศจียังมองตัวเขียนบนกำแพงอย่างสงสัยไม่หาย จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของศจี
“มาหายายปริกหรือหนู”
ศจีหันไป ทีแรกตกใจในหน้าตา แต่แล้วก็เอียงคอมองซิงค์ ก่อนพยักหน้ารับ
ซิงค์ซึ่งหอบหิ้วข้าวของเข้ามามองศจีอย่างสนใจ วางของแล้วนั่งลงยองๆ มองอย่างเอ็นดู ศจีทำท่าจะเดินเลี่ยงหนี
“ไปไหนหรือหนู ผ้าสวยๆ เอาไหม”
ศจีชะงัก ตาจับอยู่ที่ผ้าวูบๆ วาบๆ
“สวยนะ ตัดเอาไปทำโบไหม ซิงค์จะให้หนู”
ซิงค์ตัดผ้าชิ้นยาวให้ ปากก็พูดพร่ำ
“เอาไปเย็บริมไว้ทำโบผูกผมนะหนูจ๋า ตอนนี้สาวๆ เขานิยมผูกโบแปะไว้เต็มกระบาล หน้าสวยๆ ผูกโบสวยจะเป็นสง่าราศี”
ซิงค์ถือผ้าชูล่ออยู่ตรงหน้า ศจีมองอย่างไม่แน่ใจ แต่แล้วก็รีบกระตุกไปไขว้หลังไว้โดยเร็ว
“ซิงค์ให้ แขกพูดจริงทำจริงนะหนู”
ศจีมองหาทางหนีทีไล่ แล้วก็วิ่งปรู๊ดหายเข้าไปข้างในซ่อง ซิงค์พึมพำตามหลัง

“ลูกใคร หน้าตาน่ารัก”

ยายปริกกางแขนออกพลางร้องเรียกศจี

“มาหายาย มา”
ศจีถือผ้าโถมเข้ามากอดยายทั้งตัว จนยายปริกเกือบหงายหลัง
“ยาย”
“โอ๊ย...นังเด็กคนนี้ ตัวใหญ่ขึ้นเยอะเลยวุ้ย”
ศจีหัวเราะคิกคัก พลางปลุกปล้ำยายปริกเป็นพัลวัน
“อย่า โอ๊ย อย่า นังนี่”
ยายปริกหอบไปถามไป
“อ้าว นั่นไปเอาผ้าที่ไหนมาเล่น”
“แขกหัวโตเขาให้หนูมาทำโบ”
ยายปริกนิ่วหน้า “แขกที่ไหน”
“แขกข้างนอก เขามีผ้าใส่รถมาเยอะแยะเลย”
ยายปริกกะพริบตาถี่ๆ สีหน้าครุ่นคิด
“ไอ้ซิงค์ละมั้ง” แม่เล้าวัดใหญ่ มองศจีที่ม้วนผ้าแล้วคลี่เล่น “แค่นี้ไปเอาของมันมาทำมั้ย”
“เอามาทำโบไงจ๊ะยาย”
“ไอ้นี่เค็ม ให้มาได้ ตัดไปปิดอะไรก็ไม่มิด มา ออกไปกับยาย”
ยายปริกจูงมือศจีออกไป ดวงตาเป็นประกายคล้ายคิดอะไรบางอย่างออก

ซิงค์ซึ่งกำลังขายของอยู่หน้าซ่องถึงกับชะงัก เมื่อเห็นยายปริกกุลีกุจอเข้ามา
“โอ อีนี้ปริกจ๋า ออกมาถึงนี่ ต้องการอารายบอกซิงค์ก็ได้ ซิงค์จะเอาไปให้ปริกจ๋าดูถึงในห้อง”
“ไม่ต้องเข้าไปถึงในห้องหับข้า ไอ้ซิงค์”
ซิงค์โบกไม้โบกมือพัลวัน
“ปริกจ๋า เข้าใจผิดม้ากมากนะ ซิงค์ไม่ได้คิดจะเข้าไปจู๋จี๋ดู๋ดี๋ให้ปริกจ๋าอู้ฟู่ขึ้นมา ซิงค์เข้าไปด้วยความเคารพนะปริกจ๋า”
อู๊ดแอบกระซิบกับถวิล
“เออ ถ้าเข้าไปดู๋ดี๋ให้แม่แกอู้ฟู่ขึ้นมาละก็ เอ็งเปลี่ยนชื่อเป็นไอ้ซุดได้แล้ว”
ทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก ปริกทำท่ายกเท้าถีบทั้งสอง
“อีสองตัวนี่อย่านึกว่าข้าหูตึงนะ”
แต่อู๊ดกับถวิลเบี่ยงตัวหลบ ทำให้ปริกเซไป ศจีรีบเข้าไปรับ
“ยายจ๋ายาย”
ยายปริกพยุงตัวไว้ได้ หอบไปด่าไป
“มีศจีนี่แหละที่น่ารัก ไม่เหมือนอีพวกปากหอยเน่า”
ซิงค์มองจ้อง “หนูคนนี้ลูกใคร ปริกจ๋าหรือว่าลูกปริก”
ยายปริกหลุดปาก “ลูกมึงนะสิ ไอ้ซิงค์”
บรรดาลูกเล้าพากันหัวเราะ ยายปริกอ้าปากจะพูดอะไรต่อ แต่ชื่นพูดขึ้นก่อน
“ลูกนังจุกมัน”
“อ๋อ...จุก...จุรี...หนูจุรีคนสวยของซิงค์”
ซิงค์เอามือกุมหัวใจ ยายปริกมองตาไม่กะพริบ
“น่าเสียดายนะปริกจ๋า ตั้งแต่ไปอยู่กับตาศรี ซิงค์ไม่ได้เห็นหน้า เมียซิงค์ไปอินเดียทีไรคิดถึงหนูจุรีทุกที”
“เอ็งพบมันครั้งสุดท้ายเมื่อไรล่ะ”
ยายปริกพยายามทบทวนความจำของซิงค์ แต่ซิงค์ไม่มีทีท่าว่าจะพยายามคิดตาม
“แหม...มันนานมาแล้วนะปริกจ๋า”
“หนี้สินของเอ็งมันชำระแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ซิงค์ยกให้หนูจุรีหมดแล้วนะปริกจ๋า ซิงค์คนใจบุญเห็นใจลูกหนี้เสมอ”
“ทีพวกเราละก็ทวงเอาๆ นังจุกทำไมยกหนี้ให้วะ” อู๊ดบ่น
“หนูจุรีเขาจะแต่งงานมีความสุข ซิงค์ก็ต้องแสดงความยินดีนะหนูจ๋า”
ยายปริกแถเข้าไปใกล้อีกนิด
“เอ็งปลดหนี้กับนังจุกมันวันแต่งงานละสิท่า”
ซิงค์ยิ้มยิงฟันขาวออกมา

ค่ำมากแล้วจุกชะเง้อคอมองหาศจี
“ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก”
จุกมองไปเห็นท้องฟ้าที่กำลังโพล้เพล้ เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ สุดท้ายจุกตัดสินใจเดินออกไปตามด้วยความเป็นห่วง

ส่วนยายปริกถามย้ำกับซิงค์
“ว่าไงซิงค์ ยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”
ซิงค์อ้อมแอ้ม “เราจากกันด้วยความเข้าใจอันดีนาปริกจ๋า”
ยายปริกลูบผมของศจี ที่ใช้คางเกยตักมองหน้าซิงค์อยู่เงียบๆ
“นังจุกมันท้องตั้งแต่วันแต่ง ตาศรีแกว่าลูกพระ”
ซิงค์หัวเราะออกมา
“พระอารายนะปริกจ๋า พระท่านอยู่เฉยๆ ให้ลูกใครก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้”
“ตาศรีแกเก่งกว่าซิงค์แยะ” อู๊ดบอก
ลูกเล้าเฮฮาชอบอกชอบใจ
แจ่มบอกอีกว่า “ตาศรีแกตายแล้ว”
“แหม น่าเสียดาย ไม่งั้นซิงค์จะไปสัมภาษณ์”
“เอ็งไม่ต้องไปสัมภาษณ์ตาศรีหรอก สัมภาษณ์ตัวเองเถอะว่าทำยังไง...”
ซิงค์งง อ้าปากจะถามต่อ แต่ศจีพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ยายจ๋า สวยจัง”
ยายปริกหันไป เห็นศจีกำลังเอามือลูบผ้าที่วูบๆ วาบๆ อยู่ในกองผ้าของซิงค์
ยายปริกถามหลชาน “จีอยากได้เหรอ”
“เอาไปให้แม่น่ะยาย”
“เขาเรียกผ้าบุหรี่ มันวูบๆ วาบๆ ดีแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น” ยายปริกบอก
ซิงค์หันมาทางศจี “เอาไปเลยหนูจ๋า ให้หนูจุรีคนสวยเอาไปทั้งเมตรเลย ซิงค์ยกให้ฟรี”
“เอาไปทำไมแค่เมตรเดียว” ปริกงง
“เอาไปตัดกุงเกงสั้นๆ นะปริกจ๋า เขากำลังนิยม”
ซิงค์ตัดผ้าใส่ถุงกระดาษให้พลางถาม
“หนูชื่อรายจ๊ะ”
ศจีรับถุงมากอดแน่น “ศจี”
“ชื่อเพราะนะหนูนี่ หน้าตาก็ดีด้วย คล้ายใครหนอ ซิงค์ว่าซิงค์เคยๆ เห็นแต่นึกไม่ออก”
ซิงค์ทำท่าคิด เอามือเกาหัวแกรกๆ ยายปริกโพล่งออกมา
“ส่องกระจกสิวะ”
ซิงค์หยิบกระจกขึ้นมาส่องจริงๆ แต่ไพล่ไปพูดเล่น ทำท่าเหมือนกำลังเก๊กท่าถ่ายรูป
“หนูศจีหน้าตาดีเหมือนซิงค์นี่เอง รู้ไหมว่าเคยมีคนติดต่อซิงค์ไปเล่นหนังอินเดียด้วยนะจ๊ะ”
อู๊ดเหน็บ “หนังแปดมิลล์ล่ะสิ”
พวกลูกเล้าหัวเราะกันครื้นเครง ยายปริกถามซิงค์ทีเล่นทีจริง
“เอาจีมันไปเลี้ยงไหมล่ะ”
ศจีรีบสั่นศีรษะ “ไม่เอา จีจาอยู่กับแม่”
“โอ๊ย เอาไปไม่ได้นะปริกจ๋า เมียซิงค์ไม่ชอบให้ซิงค์ไปอยู่กับใคร”
“แล้วมาที่นี่ล่ะ” ยายปริกถาม
ซิงค์นิ่งไป แต่ศจีผุดลุกขึ้นเสียก่อน เมื่อเห็นใครบางคน
“แม่”
จุกเดินมาแต่ไกล พอเห็นซิงค์ก็ชะงักกึก ทั้งสองสบตากันห่างๆ
“โอ๊ะ อีนี่หนูจุรีมาถึงนี่เลย ซิงค์คิดถึ๊งคิดถึง”
จุกไม่ยอมเดินเข้ามา แต่ทำท่าผายมือเหมือนจะรออุ้ม ศจีจึงวิ่งเข้าไปหาจุก
“แม่จ๋า”
จุกอุ้มศจีเดินออกไป โดยไม่เข้ามาทักทายใครเลย ยายปริกมองตามอย่างเสียดาย

จุกอุ้มศจีออกมาจนพ้นหน้าซ่องยายปริกแล้วจึงวางลูกลง ศจียังสะบัดผ้าที่อยู่ในมือไปมาพร้อมกับหิ้วถุงกระดาษ
“จีเอาอะไรมาน่ะ”
“ผ้าจ้ะแม่ แขกหัวโตคนนั้นให้มา”
ศจียื่นถุงกระดาษให้แม่ จุกรับมาเปิดดู
“วันหลังไม่ต้องเอาของเขามานะ”
“ทำไมล่ะแม่ สวยดี จีเอามาฝากแม่ด้วย”
“ไม่เอา แม่ไม่ต้องใช้ผ้าพวกนี้แล้ว” จุกชี้ให้ศจีดูในวัดใหญ่ศรีสุพรรณ “พ่อของจีเป็นมรรคนายกในวัดนี้ เขาเคยสอนว่าอย่าไปโลภ อยากได้ของของคนอื่น”
“มรรคนายกแปลว่าไรจ๊ะแม่”
“ก็แปลว่า” จุกคิดปราดเดียว “คนที่ชี้ทางบุญทางกุศลให้เราไงลูก ต่อไปนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาเล่นที่บ้านยายปริกอีกเลย”
“แต่จีชอบนี่แม่ ยายปริกชอบซื้อขนม แล้วมีของสวยๆ ให้จีทุกครั้งเลย”
จุกโมโห เอ็ดเสียงดัง “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าโลภอยากได้ของของคนอื่น พ่อเขาเคยสอน จำไว้นะจี”

พูดจบจุกจับหัวไหล่ศจีแน่น เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองแม่อย่างไม่เข้าใจ

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น