คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 8
ค่ำวันนั้น ปราจิตเดินเข้ามาในห้องทำงานคุณหญิงภริยา มองไปรอบๆ เหมือนหาใครบางคน อรุณวตีซึ่งนั่งอ่านเอกสารอยู่ เงยหน้ามองสามีอย่างแปลกใจ
“วันนี้กลับแต่วันเลยนะคะ”
“คิดถึงคุณน่ะสิคะ”
อรุณวตียิ้มในสีหน้าอย่างรู้ทัน
“อย่ามาปากหวานเลยค่ะ”
“จริงๆ นะคะ ถ้าวันไหนผมไม่ติดประชุมยาวหรืองานที่ต้องสะสาง ก็อยากจะรีบกลับมาดูแลคุณ”
ปราจิตเข้าไปนั่งข้างๆ โอบภริยาไว้ อรุณวตีตบหน้าตักของสามีเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ แต่อยู่กับคนป่วยไม่สนุกนักหรอกค่ะ แล้วฉันก็มีพี่วรรณกับศจีช่วยดูแลอยู่แล้ว คุณไม่ต้องห่วง”
“อ้าว...แล้วผู้ช่วยคุณหายไปไหนเสียละคะ ทำไมไม่อยู่ดูแลคุณ”
“ช่วงนี้ให้เรียนรู้งานไปก่อนค่ะ กลัวว่าถ้าให้แกอยู่ค่ำตั้งแต่แรก เดี๋ยวจะหนีไปเสียก่อน”
“คุณดีกับทุกคนเสมอเลยนะคะ”
“บางที อาจจะดีเกินไป” อรุณวตีบอกความนัย
“โธ่ นี่คุณกำลังประชดผมอยู่หรือเปล่า ผมไม่เคยมองข้ามความดีของคุณเลยนะคะ ถึงยังไงคุณก็เป็นอันดับหนึ่งในใจของผมเสมอ”
“ฉันไม่อยากเป็นอันดับที่เท่าไรทั้งนั้นแหละค่ะ ฉันไม่ได้ประชดคุณหรอกนะคะฉันก็เข้าใจคุณเสมอ”
ปราจิตจับมืออรุณวตีกุมไว้
“ขอบคุณวตีที่เข้าใจผม”
อรุณวตีเหลือบมองผู้เป็นสามี แววตาเจ็บปวดมีแววเย้ยหยันอยู่ในนั้นลึกๆ
ฝ่ายจุกนั่งต่อหน้ารูปของตาศรี
“น้า ฉันขอโทษนะน้า ฉันขอโทษจริงๆ ถึงยังไงฉันก็ให้จีรู้ไม่ได้ให้เรื่องนี้มันตายไปพร้อมกับตัวฉันดีกว่า”
จุกน้ำตาไหลในสำนึกเต็มไปด้วยความเสียใจ
ด้านศจีนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง นึกถึงเหตุการณ์ระหว่างตนกับซิงค์ เมื่อครั้งอดีตสมัยตอนเป็นเด็ก โดยในครั้งนั้น มีใครบางคนเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของเด็กหญิงศจี
“มาหายายปริกหรือหนู”
ศจีหันไป ทีแรกตกใจในหน้าตาที่เต็มไปด้วยหนวดเครา แถมโพกหัวประหลาด แต่แล้วเด็กหญิงก็เอียงคอมองซิงค์ก่อนพยักหน้ารับ
ซิงค์หิ้วข้าวของเข้ามามองศจีอย่างสนใจ วางของแล้วนั่งลงยองๆ มองอย่างเอ็นดู ศจีทำท่าจะเดินเลี่ยงหนี
“ไปไหนหรือหนู ผ้าสวยๆ เอาไหม”
ศจีชะงัก ตาจับจ้องอยู่ที่ผ้าวูบๆ วาบๆ ตรงหน้า
“สวยนะ ตัดเอาไปทำโบไหม ซิงค์จะให้หนู”
พอเจอหน้ายายปริก ซิงค์ถามขึ้นทันที
“หนูคนนี้ลูกใคร ปริกจ๋าหรือว่าลูกปริก”
“ลูกมึงนะสิ ไอ้ซิงค์”
บรรดาลูกเล้าพากันหัวเราะ ยายปริกอ้าปากจะพูดอะไรต่อ แต่ชื่นพูดขึ้นก่อน
“ลูกนังจุกมัน”
“อ๋อ...จุก...จุรี...หนูจุรีคนสวยของซิงค์”
ซิงค์เอามือกุมหัวใจ ยายปริกมองตาไม่กะพริบ
“น่าเสียดายนะปริกจ๋า ตั้งแต่ไปอยู่กับตาศรี ซิงค์ไม่ได้เห็นหน้าเมียซิงค์ไปอินเดียทีไรคิดถึงหนูจุรีทุกที”
ยังมีอีกเหตุการณ์ ซิงค์ตัดผ้าใส่ถุงกระดาษให้พลางถาม
“หนูชื่อรายจ๊ะ”
ศจีรับถุงมากอดแน่นพลางตอบ “ศจี”
“ชื่อเพราะนะหนูนี่ หน้าตาก็ดีด้วย คล้ายใครหนอ ซิงค์ว่าซิงค์เคยๆ เห็นแต่นึกไม่ออก”
ซิงค์ทำท่าคิด เอามือเกาหัวแกรกๆ ยายปริกโพล่งออกมา
“ส่องกระจกสิวะ”
ซิงค์หยิบกระจกขึ้นมาส่องจริงๆ แต่ไพล่ไปพูดเล่น ทำท่าเหมือนกำลังเก๊กท่าถ่ายรูปไปโน่น
“หนูศจีหน้าตาดีเหมือนซิงค์นี่เอง”
ศจีหวนนึกถึงอีกเหตุการณ์
ตอนนั้นเธอกลับจากงานบ้านแกมแก้ว เจอจุกนั่งหน้าเศร้ารออยู่ ลดเสียงพูดเบาลงแต่ท่าทางยังเลื่อนลอย
“ไปให้พ้นบ้านยายปริกไงลูก อย่าได้เหยียบย่างเข้าไปเชียวนะ พ่อจีเคยให้แม่สัญญา อย่าไปอยู่ที่นั่นนะลูก อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!”
ศจีมองหน้าแม่อย่างประหลาดใจ แต่ดวงตาของจุกทอดไปไกลเหมือนจมอยู่ในอดีต
“พ่อจีเขาให้แม่สัญญา แต่แม่” จุกจะร้องไห้ “ก่อนตาย พ่อเขาคงโกรธแม่มาก”
อีกเหตุการณ์ที่รบกวนจิตใจหญิงสาวไม่คลาย ศจีฟังแล้วนิ่งอึ้งไปหลังจากยายปริกเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง
“นี่ละความเป็นมาของเอ็งกับเจ้าซิงค์ คิดดู มะรึดกของเจ้าซิงค์มันจะควรตกก๊ะใคร”
ยายปริกมองสีหน้าศจีที่ยังนิ่งแล้วพูดต่อ
“แม่จีน่ะ ยายพูดเท่าไรก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอนิ่งทื่อมะลื่อลูกเอ๊ย” ยายปริกเอามือมาทาบตักศจี “คราวนี้จะได้สบายเสียที ไม่ต้องอะไร ดูหน้าตาจีเองก็แล้วกัน มันละม้ายคล้ายตาศรีกรงไหนบ้างหรือ”
ศจีครุ่นคิดเรื่องหนหลังแล้วน้ำตาคลออย่างคับแค้นใจในชาติกำเนิดของตัวเอง
“ฉันจะไม่มีวันเป็นแค่ลูกของแขกขายผ้าหรอก ไม่มีวัน”
ศจีพยายามข่มตาหลับ ไม่นึกถึงอดีตของตน
ค่ำนั้น ปราจิตนั่งกินข้าวกับอรุณวตี เขาตักกับข้าวให้เธออย่างเอาใจ
“วันนี้กับข้าวของโปรดคุณทั้งนั้นเลย ทานเยอะๆ นะคะ แกงเลียงข้าวโพดวันนี้ก็อร่อย”
“ขอบคุณค่ะ”
รัชนีฉายแอบหมั่นไส้นิดๆ แต่แสร้งทำเป็นยิ้มหวานเอาใจ
“พักนี้คุณพี่วตีเจริญอาหารมากขึ้นนะคะ คงสบายใจตั้งแต่ตาวินสอบเข้ากระทรวงได้แล้ว ต่อไปก็จะได้หาลูกสะใภ้ซะที”
รัชนีฉายเหลือบมองไปที่ชีวิน อีกฝ่ายทำท่าไม่สนใจใดๆ
“ผมยังไม่รีบหรอกครับคุณน้า”
“ฮื้อ ไม่รีบได้ยังไงจ๊ะวิน อายุเราก็ไม่น้อยนะ ตั้ง 26 แล้ว เราต้องหาผู้หญิงที่จะมาส่งเสริม เป็นหน้าเป็นตาให้กับตัวเอง น้ามองไม่เห็นใครที่เหมาะกับวินมากเท่ากับหนูยาแล้ว”
ชีวินมีท่าทางเบื่อๆ “ผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น”
“งั้นก็คิดได้แล้วนะจ๊ะ ทั้งคุณสมบัติรูปสมบัติ ชาติตระกูล ดีเลิศทุกอย่าง ถ้าช้าเดี๋ยวมีใครคว้าเอาไปไม่รู้นะ”
“ถ้าใครจะคว้าเอาสิริกันยาไปก่อนผม ผมก็ยินดีครับ นับว่าเป็นโชคดีของยากับหนุ่มคนนั้น เพราะผมก็ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่เพียบพร้อมสำหรับคุณหนูลูกสาวอนาคตท่านอธิบดีหรอก”
รัชนีฉายค้อนชีวินวงใหญ่
“นายวินนี่ชอบขวางโลก”
“โลกของใครบ้างละครับ โลกของน้ารัชนีฉายด้วยหรือเปล่า”
รัชนีฉายชะงักคอแข็งไปนิดหนึ่ง ปราจิตหันไปพูดกับชีวิน
“แต่พ่อเห็นว่าฝ่ายคุณพ่อของสิริกันยาก็เอ็นดูลูกอยู่มากนะวิน ถ้าได้ดองกันคงจะเอื้อกับหน้าที่การงานของลูกไม่น้อย”
ชีวินมองพ่ออย่างรู้ทัน ว่าแท้จริงหมายถึงหน้าที่การงานของตัวเอง
“ผมไม่อยากใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัว เป็นสะพานเชื่อมไปถึงตำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะผมจะไม่รู้สึกภูมิใจเลย”
ปราจิตชักฉุน เริ่มมีน้ำเสียงโมโห “มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ความจองหองมันต้องใช้ให้ถูกที่ถูกทาง ไม่ใช่สะเปะสะปะอย่างนี้”
“ขอโทษนะครับคุณพ่อ ผมไม่ได้จองหอง แต่ผมทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองผมคงไม่ใช่นักการทูตที่ดีอย่างคุณพ่อ ผมขวางโลกและประนีประนอมไม่เป็น” ชีวินวางช้อนส้อม “ผมอิ่มแล้ว ขอตัวนะครับ”
ชีวินลุกออกไป รัชนีฉายมองตาม แล้วหันไปฟ้องอรุณวตีเป็นเชิงตำหนิ
“ดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณพี่สิคะ มีแก้วอยู่ในมือยังไม่เห็นค่า”
“ตาวินยังเด็ก ให้เวลาแกสักหน่อย ต่อไปก็คงคิดได้เองละจ้ะ”
“หวังว่าคงจะไม่คิดได้เมื่อสายเกินไปนะคะคุณพี่” รัชนีฉายชักลามปาม
ปราจิตปราม “รัชนีฉาย”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ น้องเป็นห่วงอนาคตของหลานมากไปหน่อย ลืมไปว่าเด็กสมัยนี้คงไปบังคับอะไรมากไม่ได้”
“เรื่องของจิตใจ เราไปบังคับฝืนใจใครไม่ได้จริงๆ สุดแท้แต่ความสมัครใจของใครก็ของใคร”
ปราจิตหลบสายตาอย่างรู้สึกผิด
“สำหรับน้องคิดว่าบางที คนเราก็อาจต้องบังคับใจบ้าง ถ้ารู้จักมองวันข้างหน้ามากกว่าความพึงพอใจส่วนตัว แต่ถ้าความพอใจส่วนตัวประสานกับประโยชน์ในอนาคตได้ด้วย มันก็ย่อมดีกว่าเป็นสองเท่า นะคะคุณพี่”
รัชนีฉายกับอรุณวตีประสานสายตากัน ในกิริยาเชือดเฉือนในที ด้วยต่างคนต่างคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ชีวินออกมานั่งเซ็งอยู่ในสวนคนเดียว จนกระทั่งคุณหญิงผู้เป็นมารดา เดินเข้ามาจับบ่าเขา
“ชีวิน ลูกไม่น่าไปพูดอย่างนั้นกับคุณน้าเขาเลยนะ”
“ผมไม่ใช่หุ่นยนต์นะครับ ถึงต้องทำตามที่เขาตั้งโปรแกรมไว้ทุกอย่าง”
“เป็นนักการทูตต้องมีความอดกลั้น ประนีประนอม”
“ผมทำไม่ได้ดีเท่าคุณพ่อ หรือคุณแม่หรอกครับ”
“ชีวิตคนเรา บางทีก็ต้องฝืนใจตัวเอง เพื่อคนอื่น และเพื่อสังคม”
“ไม่ครับคุณแม่ ผมจะทำเท่าที่ผมทำได้” ชีวินยืนกรานความคิด
“บางที ถ้าลูกโตและรู้จักโลกมากกว่านี้ ลูกจะเข้าใจ”
“ผมก็อยากจะเข้าใจเหมือนกันครับ ถ้าผมเข้าใจสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ และคุณน้ารัชนีฉายทำอยู่ทุกวันนี้ ผมจะได้ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องทุกข์ร้อนทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นได้ อย่างที่คนอื่นๆ ทำ”
ชีวินลุกหนีไป อรุณวตีได้แต่มองตามอย่างไม่สบายใจ
ศจีออกจากห้อง เดินผ่านจุกซึ่งกำลังจัดสำรับอาหารเช้าไว้ให้ ไปหยิบรองเท้ามาสวม
“จี กินข้าวก่อนสิลูก”
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวก็ทานรองท้องหน่อยนะ”
“ไม่จ้ะแม่”
ศจีเดินลงเรือนไป จุกมองตามด้วยความเสียใจ แต่ไม่วายตะโกนไล่หลัง
“เย็นนี้กลับมากินข้าวนะลูก แม่จะทำพะแนงหมูไว้ให้”
วันเดียวกันนี้ นักศึกษารุ่นพี่คณะรัฐศาสตร์จัดกิจกรรมรับน้องที่หน้าตึกคณะ แกมแก้วถูกผ้าปิดตาอยู่ สีหน้าตื่นเต้นร้อนรน
“ไม่ไหวแล้วรัตน์ ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
รัตนาพรเองที่ถูกผ้าปิดตาเช่นกัน
“ใจเย็นๆ ลูกแก้ว เดี๋ยวก็เห็นแล้ว”
“นานจังเลย ร้อนก็ร้อน”
น้องนักศึกษา ปี 1 คนอื่นๆก็ถูกผ้าปิดตาอยู่เช่นกัน
เสียงสุพรรณดังขึ้น “น้องๆ ทุกคนยืนอยู่กับที่นะครับ แล้วพี่รหัสของแต่ละคนจะเดินไปตรงหน้าของน้อง และมอบมาลัยต้อนรับให้กับน้องรหัสของตัวเอง อดใจรออีกนิดเดียวนะครับ”
แกมแก้วจับมือรัตนาพรไว้แน่น ลุ้นสุดขีด
“มือตัวเย็นเฉียบเลย” รัตนาพรว่า
“จะได้เห็นหน้าพี่รหัสแล้วนี่”
สุพรรณเป็นพิธีกรของงาน ประกาศต่อ
“สิบ...เก้า...แปด...เจ็ด...หก...ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...พี่รหัสเดินไปถึงหน้าน้องๆ ทุกคนแล้วครับ”
แกมแก้วจับมือรัตนาพรแน่นขึ้น
ดนัยเดินเข้ามาใกล้ๆ สองสาว
“เปิดตาได้แล้วครับ”
แกมแก้วรีบเปิดผ้าผูกตาออก ด้วยสีหน้าดีใจ แต่พอลืมตามองไปตรงหน้าก็ออกอาการผิดหวัง
เพราะไม่เห็นมีใครมายืนตรงหน้าเธอ
ดนัยแนะนำตัวกับรัตนพรว่า “พี่ชื่อนัยนะครับ น้องรัต”
พอแกมแก้วหันไปทางเสียง ก็เห็นดนัยกำลังคล้องมาลัยให้กับรัตนาพร รัตนาพรยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะพี่นัย”
ดนัยรับไหว้ รัตนาพรมองเขินๆ ท่าทางตื่นเต้น
แกมแก้วมีสีหน้าผิดหวังมาก หันมาถามดนัย
“อ้าว แล้วพี่รหัสลูกแก้วละคะ”
“เอ พี่ก็ไม่ทราบสิครับ”
เสียงสุพรรณดังเข้ามา “ขอโทษนะครับที่มาช้า”
แกมแก้วหันไปมองตามเสียง เห็นสุพรรณเดินเข้ามาพร้อมกับมาลัย ตรงมาหาเธอด้วยรอยยิ้มแสนเท่ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ยินดีต้อนรับน้องลูกแก้วเข้าสู่คณะรัฐศาสตร์ของเรานะครับ พี่ชื่อสุพรรณครับ เรียกพี่พรรณก็ได้”
แกมแก้วอึ้ง ตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูก สุพรรณคล้องมาลัยให้ แกมแก้วยกมือไหว้ สุพรรณรับไหว้
“ขอบคุณค่ะ พี่พรรณ ที่มาช้าเพราะเป็นพิธีกรใช่ไหมคะ ลูกแก้วจำเสียงได้”
“ใช่ครับ”
แกมแก้วมองสุพรรณอย่างปลาบปลื้ม รัตนาพรพลอยปลื้มไปด้วย
“อิจฉาตัวจังเลย”
ดนัยกระแอมไอ รัตนาพรรีบแก้เก้อ
“เอ่อ รัตดีใจนะคะ ได้พี่นัยเป็นพี่รหัส พี่นัยดูแลดี๊ดีค่ะ”
สุพรรณพูดกับแกมแก้วว่า
“ต่อไปนี้พี่ก็ยังดูแลลูกแก้วเหมือนเดิมนะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกพี่ได้ทุกเวลา”
“ลูกแก้วก็ต้องขอบคุณที่พี่พรรณดูแลลูกแก้วอย่างดีมาตลอดค่ะ”
แกมแก้วมองสุพรรณด้วยหัวใจพองโต
ขณะที่ปริกนั่งนับเงินจากกระป๋องอยู่ในห้อง อู๊ดพรวดพราดเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“แม่ๆ”
ยายปริกรีบเก็บเงินแทบไม่ทัน
“เอาอีกแล้วนะนังอู๊ด เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าตกใจหมด มีอะไรวะ ไอ้ซิงค์ตายแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่แม่ จุกมันมา”
“หา นังจุกมาถึงนี่เรอะ งั้นรีบเรียกมันเข้ามา”
อู๊ดออกไป ยายปริกรีบโกยเงินใส่กระป๋อง สีหน้ายิ้มย่องดีใจ นึกว่าจุกจะมาคุยยอมรับให้ซิงค์เป็นพ่อ
“คงจะคิดได้ซะที”
จุกเปิดประตูเข้ามา
“เฮ้ยเอ็งเปลี่ยนใจเรื่องไอ้ซิงค์แล้วใช่ไหมนังจุก นั่งๆๆก่อน”
จุกไม่ยอมนั่ง “ไม่ต้องหรอกแม่ ฉันมาแค่เดี๋ยวเดียว”
“อะไรกัน มาเดี๋ยวเดียว เอ็งไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้วนา มานั่งคุยกันนี่”
“ฉันเคยบอกกับตัวเองว่า อย่ามาเหยียบที่นี่อีกถ้าไม่จำเป็น แล้วก็กำชับศจีมันด้วย”
ยายปริกชะงัก โกรธ คอแข็งไปเลย
“ทำไม ที่นี่มันมีอะไรเสียหาย มันเป็นที่ที่เอ็งอาศัยตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนโตไปมีผัว แต่งงานเอ็งก็ยังแต่งที่นี่”
“ใช่ ฉันโตที่นี่ แล้วฉันก็มีชีวิตอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันอยากจะขอแม่ว่าอย่าให้ศจีมันมายุ่งกับที่นี่อีกเลย”
“ข้าให้ศจีมายุ่งอะไรกับที่นี่”
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แต่นี้ต่อไปฉันขอร้อง แม่อย่าพูดเรื่องชาติกำเนิดของจีมันอีก ให้มันตายไปพร้อมกับน้าศรีเถอะ”
“ข้าหวังดีกับเอ็งกับลูกนะนังจุก”
“ฉันไม่ต้องการ ฉันอยากให้จีมันมีพ่อคนเดียวคือน้าศรี ถ้าแม่จะพยายามยัดเยียดมันให้เป็นลูกคนอื่นอีกละก็ เราก็อย่ามาข้องเกี่ยวกันเลยดีกว่า”
พูดจบจุกก็ออกไปเลย ยายปริกถึงกับโกรธจนตัวสั่น
“หน็อย นังจุก ข้ารึอุตส่าห์หวังดี ทำคุญบูชาโทษแท้ๆ”
เย็นแล้ว แกมแก้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะ จิตใจเหม่อลอย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“วันนี้อาจารย์พูดถึงหลักปรัชญาของวอลแตร์ว่าไงบ้าง ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย” รัตนาพรถาม
แกมแก้วยังก้มหน้าอ่านหนังสือ เหมือนไม่ได้ยิน
“ลูกแก้ว ลูกแก้ว” รัตนาพรยื่นมือไปเปลี่ยนหน้าหนังสือ “ยัยลูกแก้ว”
“ว่าไงนะ”
“ถามตั้งยาว ไม่ได้ยินเลยเหรอ รู้สึกตั้งแต่เฉลยพี่รหัสยังไม่หุบยิ้มเลยนะ”
“เปล่าซะหน่อย”
“เปล่าเปลิ่วอะไร ถ้าฉันเป็นตัว ฉันก็คงหน้าบานไปทั้งอาทิตย์เหมือนกัน”
“บ้าน่า ยัยรัต”
“อย่ามาปด พี่พรรณทั้งเรียนเก่ง ทั้งสมาร์ท เป็นผู้นำขนาดนั้น แถมยังดูแลน้องรหัสอย่างดีเสียด้วย ไม่เหมือนอีตาพี่นัยของฉัน ทั้งที่ฉันออกจะสวยรวยเก่ง เขาก็ยังไม่มาสนใจอะไร”
“พี่นัยคงไม่ใช่คนช่างเอาใจละมั้ง”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันถึงว่าพี่รหัสตัวน่ะดูดีไปหมดทุกอย่าง ไม่รู้มีแฟนหรือยัง”
“เซี้ยว! เป็นผู้หญิงยิงเรือ”
“เราพูดกันสองคนนี่”
“ไม่เอาละ คุยกับตัวแล้วนอกเรื่องไปเรื่อย ฉันกลับไปอ่านหนังสือที่บ้านดีกว่า รถมารับแล้ว ไปก่อนนะจ๊ะ”
“จ้ะ กลับบ้านดีๆล่ะ”
แกมแก้วเก็บหนังสือแล้วลุกเดินออกไป
แกมแก้วนั่งรถออกมาตามทางในมหา’ลัย แล้วเห็นสุพรรณเดินอยู่ เธอรีบบอกคนรถ
“จอดก่อนค่ะน้าสิทธิ์”
สิทธิ์จอดรถ แกมแก้วเปิดกระจกโผล่หน้าออกไป
“พี่พรรณจะกลับบ้านเหรอคะ เดี๋ยวลูกแก้วไปส่งนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับลูกแก้ว พี่ยังไม่กลับ ต้องสะสางงานคณะอีกหน่อย”
แกมแก้วเสียดาย “เหรอคะ งั้น ลูกแก้วกลับก่อนนะคะ”
แกมแก้วยกมือไหว้ลา สุพรรณรับไหว้
หน้าต่างปิดลง รถเลื่อนออกไป แกมแก้วอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองสุพรรณอีก แต่เห็นเขาเดินหันหลังให้แล้ว
สุพรรณเจอดนัยที่อยู่แถวนั้น เข้ามากอดคอเขา ขณะมองตามรถของแกมแก้ว
“น้องรหัสคนนี้ไม่ธรรมดานะ เป็นถึงคุณหนูลูกท่านทูต อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ยังกับวัง”
“ข้าไม่สนหรอกว่าลูกหลานใคร มีทรัพย์สมบัติมากเท่าไร”
“สนแต่ลูกสาวแขกน่ะเหรอ” ดนัยเย้า
สุพรรณไม่ชอบ “ไอ้นัย”
“อย่าบอกนะว่าเอ็งไม่รู้เรื่อง”
“ข้าบอกแล้วไง พ่อแม่เขาจะเป็นใครไม่สำคัญ ข้าสนแต่ตัวเขาเท่านั้น”
“หัดมองอนาคตไกลๆ เข้าไว้เพื่อนยาก”
ดนัยตบบ่าสุพรรณเบาๆ แต่สุพรรณส่ายหน้า ยืนยันความคิดตัวเอง
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ศจีนั่งพิมพ์ดีดอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าจริงจัง จนกระทั่งมีเสียงแกมแก้วดังขึ้น
“จี”
ศจีเงยหน้าขึ้น เห็นแกมแก้วในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาอย่างร่าเริง เข้ามากอดศจีไว้
“วันนี้อารมณ์ดีจัง มีอะไรพิเศษเหรอ”
“ก็...นิดหน่อยจ้ะ”
ศจีมองหน้าแกมแก้วแว่บหนึ่ง แกมแก้วได้แต่ยิ้มเขิน ศจีจึงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ดีดต่อ
“วันนี้มีเฉลยพี่รหัสแล้ว” แกมแก้วบอกท่าทีขวยเขิน
“พี่รหัสลึกลับที่เคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ แล้วเป็นยังไง”
“ก็ เป็นอย่างที่คิด หรือ อาจจะดีกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ”
“ผู้ชายเหรอ”
แกมแก้วอายใหญ่ “ใช่จ้ะ มีคนบอกว่าเขาจน ต้องทำงานพิเศษนอกเวลาจะได้หาเงินมาเรียนหนังสือ น่าสงสารนะจีนะ”
“คนจนมีอยู่ถมไป แล้วทุกคนก็ต้องต่อสู้ทั้งนั้น บางคน ให้สู้เท่าไหรก็ยังไม่ได้เรียนถึงขั้นนี้”
“ลูกแก้วไม่ได้ว่าจีนะ จีน่ะ ความจริงก็เรียนได้ แต่จีไม่ยอมเรียนเองต่างหาก”
“ก็ทำไมจะต้องพูดถึงตัวเอง คนจนทุกคนเหมือนกันหมดทั้งนั้น”
“นั่นสิ ลูกแก้วไม่ชอบพูดถึงเรื่องจนเรื่องมี พี่เขาเป็นคนเก่งก็พอแล้ว เขาเป็นถึงประธานรุ่นเชียวนะ เรียนการปกครอง ดูมีความเป็นผู้นำ สมาร์ท ฉลาด พูดจาฉาดฉานเชียวจ้ะ”
“แล้วเธอจะเลือกเรียนตามเขาหรือเปล่า”
“ก็ไม่แน่นะ ลูกแก้วชักอยากเรียนเป็นนักปกครอง มากกว่านักการทูตอย่างคุณพ่อเสียแล้ว”
อรุณวตีดังเข้ามาขัดจังหวะ
“ทำไมไม่อยากเป็นอย่างคุณพ่อละจ๊ะ”
ทั้งสองชะงัก แกมแก้วรีบเข้าไปกึ่งกอดกึ่งประคองประจบคุณหญิงมารดา
“ลูกแก้วพูดเล่นๆ น่ะค่ะคุณแม่ แค่เห็นรุ่นพี่เรียนก็เลยสนใจ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“วันนี้กลับบ้านแต่วันได้นะจ๊ะ” อรุณวตีถามลูกสาว
“พอดีวันนี้ไม่ต้องอยู่ซ้อมเชียร์น่ะค่ะ เพราะมีเฉลยพี่รหัส”
“ดีแล้วจ้ะ จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่บ้าง แล้วนี่ สองคนคุยอะไรกันอยู่จุ๋งจิ๋งจ๊ะ”
“ลูกแก้วเล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้จีฟังน่ะค่ะ”
“ไม่เห็นมาเล่าให้แม่ฟังบ้างเลย หรือว่า มีอะไรเป็นความลับ” คุณหญิงมองจับสังเกตแกมแก้ว
“แหม ไม่มีหรอกค่ะ แต่เป็นเรื่องของเด็กๆ กลัวคุณแม่จะไม่สนุก”
“ลูกเล่าอะไรให้แม่ฟัง แม่ก็สนุกทั้งนั้นละจ้ะ”
“งั้นเดี๋ยวลูกแก้วจะเล่าให้ฟังจนคุณแม่หูชาเลยนะคะ ห้ามบ่น”
อรุณวตีหยิกแก้มลูกสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ใครจะไปบ่นได้ลงคอจ๊ะ เดี๋ยวเข้าไปนั่งคุยกับแม่หน่อยสิ” อรุณวตีหันมาทางศจี “อ้อ...ศจีช่วยเอาหนังสือบนโต๊ะฉันไปเก็บที่ห้องสมุด แล้วหยิบเล่มใหม่ที่ฉันจดใส่กระดาษให้ด้วยนะจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ”
ศจีลุกออกไป แกมแก้วประคองอรุณวตีเข้าไปด้านใน
ศจีเปิดประตูเข้ามาพร้อมหนังสือมองจนเจอที่เก็บ ขณะจะเก็บหนังสือไว้บนชั้นเดิม แต่แล้วพอหันกลับเธอก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นใครบางคนนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะ
“อุ๊ย ขอโทษเจ้าค่ะ ดิฉันคิดว่าไม่มีใครอยู่ในนี้”
ปราจิตหันกลับมายิ้มให้ศจีอย่างอ่อนโยน ในมือท่านทูตมีหนังสือที่อ่านค้างอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย เลยไม่ได้ไปทำงาน ตามสบายเลยนะหนู”
ศจียกมือไหว้ปราจิตอย่างอ่อนน้อม
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ศจีเข้ามายืนหาหนังสือใกล้กับที่ปราจิตนั่งอยู่
“ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
“คุณหญิงดีกับดิฉันมากเจ้าค่ะ”
“คุณหญิงเธอดีกับทุกคน เอาใจใส่คนรอบข้าง ใครอยู่ใกล้เธอก็มักจะรู้สึกอบอุ่น”
ศจีเอื้อมมือหยิบหนังสือ แต่หยิบไม่ถึง ปราจิตเข้ามาด้านหลัง เอื้อมหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมา
“เธออ่านหนังสือปรัชญาพวกนี้ด้วยรึ”
“คุณหญิงให้ดิฉันอ่านให้ฟังเจ้าค่ะ”
ปราจิตเปิดหนังสืออ่าน “ความรักเหมือนดั่งกระจกเงา เมื่อจ้องมองเข้าไปจะเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง”
ท่านทูตเผลอมองศจี ทั้งสองจ้องมองตากัน แววตาของปราจิตเป็นประกาย แววตาของศจีไร้เดียงสาแต่ท้าทายอยู่นิดๆ
เสียงรัชนีฉายดังขัดจังหวะขึ้น “คุณพี่คะ”
ทั้งสองคนชะงัก รีบผละออกจากกัน รัชนีฉายเข้ามาในห้อง มองทั้งคู่อย่างหวาดระแวง ปราจิตรีบยิ้มหวาน อย่างเป็นปรกติที่สุด
“กลับมาแล้วเหรอคะรัชนีฉาย”
“คุณพี่ไม่สบาย ทำไมไม่ไปนอนพักที่ห้องละคะ”
“พี่นอนมาทั้งวัน เบื่อแล้วค่ะ เลยมาหาหนังสืออ่าน”
รัชนีฉายเหลือบตามองศจีอย่างไม่พอใจนัก
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ศจีเขาเข้ามาหาหนังสือให้คุณหญิง”
รัชนีฉายหันมาตำหนิศจี “ท่านอยู่ในนี้ เธอไม่สมควรเข้ามารบกวนท่าน”
ศจีอ้าปากจะตอบ แต่ปราจิตรีบแก้ให้ก่อน
“ศจีไม่ทราบว่าพี่อยู่ค่ะ เพราะพี่นั่งหันหลังให้”
รัชนีฉายจ้องหน้าศจี “แล้วได้หนังสือหรือยัง”
ศจีหันไปมองปราจิตแวบหนึ่ง ปราจิตส่งหนังสือให้
“ได้แล้วค่ะ” ศจีไหว้ปราจิต “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ยินดีค่ะ”
ศจีเดินออกไป รัชนีฉายมองตามอย่างไม่ไว้ใจ
ศจีกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับหนังสือ เห็นแกมแก้วกำลังเอาคางเกยตักของอรุณวตี คุณหญิงลูบผมแกมแก้วอย่างอ่อนโยน
“ท่าทางลูกจะสนุกกับชีวิตในมหาวิทยาลัยเอามากๆ นะจ๊ะ มิน่าถึงกลับบ้านค่ำทุกวัน”
“ลูกแก้วเรียนหนักด้วยค่ะ ต้องปรับตัวเยอะเลย”
ศจีนึกถึงหน้าของจุกลอยมา อรุณวตีกับแกมแก้วหันมาเห็นศจี
“จีมาแล้ว”
“ได้หนังสือมาไหมจ๊ะศจี”
“ได้เจ้าค่ะ”
ศจียื่นหนังสือให้อรุณวตี
“ขอบใจจ้ะ ศจี เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ”
ศจีลอบมองแกมแก้วกับอรุณวตีอีก แล้วนึกสะท้อนใจ เมื่อนึกถึงคำพูดของจุกเมื่อเช้า
“เย็นนี้กลับมากินข้าวนะลูก แม่จะทำพะแนงหมูไว้ให้”
ศจีหันมาตอบอรุณวตี
“ต้องขอประทานโทษด้วยเจ้าค่ะ วันนี้คุณแม่ดิฉันกำชับให้กลับไปทานข้าวด้วย”
“งั้นไม่เป็นไรจ้ะ ไว้โอกาสหน้า คุณแม่ของเธอคงทำอาหารเก่งสินะ”
“พอใช้ได้เจ้าค่ะ เมื่อก่อนท่านทำอาหารไม่เป็นเลย จนกระทั่งคุณพ่อเสีย ท่านจึงเพิ่งหัดทำ”
“อ้อ...คุณแม่ของเธอทำงานอะไร”
“คุณแม่เป็นชาวสวนเจ้าค่ะ”
“คุณแม่ของจีต้องเป็นคนเก่งมากแน่ๆ ทำสวนเองแล้วยังทำกับข้าวด้วย เมื่อไรจะได้เจอคุณแม่ของศจีเสียทีนะ” แกมแก้วตื่นเต้น
“คงจะยากจ้ะ เพราะท่านไม่ค่อยชอบออกสังคม”
“งั้นวันนี้ฉันจะปล่อยศจีกลับบ้านไวหน่อย จะได้ไปทานข้าวกับแม่”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ศจียกมือไหว้ลาอรุณวตี
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ฝ่ายรัชนีฉายยังคงมองปราจิตอย่างหวาดระแวง
“เมื่อกี้คุณพี่คุยอะไรกับเด็กนั่นเหรอคะ”
“ถามทำไมคะ”
“ก็น้องเห็นสายตาของคุณพี่ที่มองมัน”
“ระแวงอะไรไม่เข้าเรื่อง เขายังเด็กมากนะคะ”
“เด็กนั่นไม่ธรรมดาน้องรู้ น้องหวงของน้องนี่คะ ไม่อยากให้คุณพี่อยู่ใกล้มันมาก”
ปราจิตติงน้ำเสียงมีวี่แววไม่พอใจ “น้องไม่ควรพูดอย่างนี้”
“แล้วควรพูดยังไงดีละคะ หรือแค่กระทำแต่ไม่ต้องพูด ว่าน้องรักและหวงคุณพี่มากแค่ไหน”
รัชนีฉายเข้าไปกอดออดอ้อน ปราจิตขืนตัวออกนิดหน่อย
“ไม่เอาน่ารัชนีฉาย วันนี้พี่ไม่ค่อยสบาย”
รัชนีฉายกอดหอมนัวเนียปราจิตไม่ยอมปล่อย
“เราไปที่ห้องกันดีไหมคะ น้องจะเปิดน้ำอุ่นๆ ให้อาบ จะได้สบายตัวขึ้น”
“อีกสักพักดีกว่า พี่ขอนั่งอ่านหนังสืออีกหน่อย”
ปราจิตเอื้อมมือไปหยิบหนังสือมาเปิด ไม่สนใจรัชนีฉาย รัชนีฉายมองอย่างหงุดหงิด
ศจีเดินออกมาหน้าตึกจะกลับบ้าน ต้องหยุดกึกเมื่อเห็นรัชนีฉายมองมาอย่างเอาเรื่อง
“อย่าสะเออะไปวุ่นวายกับท่านอีก เพราะเธอมันคนละชั้นกัน”
“ดิฉันไม่ได้ยุ่งกับท่าน มันเป็นแค่เหตุบังเอิญ”
“จะบังเอิญหรือจงใจก็ตาม เลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง ฉันขอเตือนไว้ด้วยความหวังดี”
“ขอบพระคุณค่ะ แต่ในชีวิตดิฉันมีคนหวังดีมากแล้ว ดิฉันอยากได้ความหวังดีที่จริงใจ มากกว่าความหวังดีพร่ำเพรื่อแต่เสแสร้ง”
ศจีจะเดินออกไป รัชนีฉายจับแขนศจีไว้
“อย่านึกว่าเป็นคนโปรดของคุณหญิง แล้วจะชูคอเป็นกิ้งก่าได้ทอง อีกหน่อยถ้าสิ้นบุญท่าน แกจะถูกเฉดหัวออกไปเป็นคนที่สองรองจากอีแก่ปากมาก”
ศจียิ้มเยาะมองรัชนีฉาย
“ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ ในเมื่อดิฉันมาจากไม่มีอะไรเลย แต่คุณรัชนีฉายน่ะสิคะ คงร้อนใจ กลัวจะไม่ได้ตำแหน่งที่หนึ่งอย่างที่หวังไว้ เผลอๆ ตำแหน่งที่สองยังอาจจะหลุดลอยไปด้วยก็ได้”
พูดจบศจีก็สะบัดหลุดแล้วเดินออกไป ปล่อยให้รัชนีฉายเต้นเร่าๆ อยู่คนเดียว
“อีนังกิ้งก่าจองหองพองขน แกอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานหรอก”
รัชนีฉายอารมณ์เสียกระแทกเท้าเข้ามา เจอบรรจงซึ่งกำลังจัดเตียงอยู่ รัชนีฉายมองอย่างหงุดหงิด
“ทำไมเพิ่งมาจัดเตียงเอาป่านนี้”
“เมื่อกลางวันฝนตกผ้าเปียกต้องซักใหม่หมด เลยเพิ่งมีเวลาจัดเตียงเจ้าค่ะ คืนนี้คุณรัชนีฉายจะค้างที่ไหนเจ้าคะ”
รัชนีฉายแหวใส่อย่างหัวเสีย
“ก็ค้างที่ห้องฉันนี่สิ จะถามทำไม”
“เอ่อ ก็นึกว่าคุณจะค้างที่...”
“ไม่ต้องสะเออะเรื่องเจ้านาย แกออกไปได้แล้ว”
“แต่ว่า...” บรรจงยังจัดไม่เสร็จ
“บอกให้ออกไปสิ ออกไป ไปให้พ้น”
รัชนีฉายหยิบหมอนและของใกล้มือขว้างปาใส่บรรจงอย่างหงุดหงิด บรรจงรีบหลบวูบแล้วออกจากห้องไป
บรรจงกระแทกเท้าเข้ามาในเรือนคนใช้อย่างหัวเสีย ไม่ผิดกับรัชนีฉายเมื่อครู่
“ฮึ่ย”
นวลผ่องมองออก “โดนดุอีกแล้วละสิ”
“สงสัยวันนี้ท่านไม่โปรดของหวาน เลยมาพาลใส่ขี้ข้า”
“ท่านป่วยอยู่นี่ กินอะไรก็คงไม่หวานร้อก”
“หรือท่านจะอยากคายชานเพราะกินจนหมดหวานแล้ว” บรรจงนึกหมั่นไส้
“แกนี่กล้านะนังบรรจง ระวังคุณรัชนีฉายมาได้ยินเข้า”
“ข้าไม่กลัวหรอก เอะอะอะไรๆ ก็มาลงที่ข้า”
“เดี๋ยวแบงค์ใบละยี่สิบใบละร้อยลอยมา เอ็งก็ยอมเหมือนทุกครั้งละว้า”
“ครั้งนี้ไม่มีทาง”
บรรจงสะบัดหน้าออกไป นวลผ่องมองตามส่ายหน้าอย่างระอา
ศจีลงจากรถเมล์ กำลังจะเดินเข้าซอย สุพรรณกระหืดกระหอบตามมาเรียกไว้
“ศจี”
ศจีจำเสียงเขาได้ แต่ไม่ได้หันกลับไปหา สุพรรณเร่งฝีเท้าตาม
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว ผมเกือบมาไม่ทัน”
“วันหลังไม่ต้องมารอฉันแล้วก็ได้”
“ศจี คุณเป็นอะไรไป”
“งานฉันยุ่งมาก คุณก็ยังเรียนอยู่ ถ้ามัวแต่รอฉันจะเสียเวลาเปล่าๆ”
“หมายความว่า คุณจะไม่รอผมใช่ไหม”
“มันคนละความหมายเลยนะคะ”
สุพรรณเดินเร็วมาดักหน้าศจีไว้
“แต่ที่จริงคุณหมายความว่าอย่างนั้น คุณมีคนอื่นหรืเปล่า”
“ฉันไม่มีใคร”
“งั้นบอกผมสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เราเหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ฉันคิดว่าพูดเพียงเท่านี้คุณก็น่าจะเข้าใจแล้ว”
“ผมไม่เข้าใจ เราเตี้ยอุ้มค่อมตรงไหน ผมคิดว่าเราจะสร้างเนื้อสร้างตัวไปด้วยกัน”
“ความฝันกับความจริงมันห่างไกลกันเกินไป”
สุพรรณมองหน้าศจีแววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“คุณเปลี่ยนไปจริงๆ”
“ทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่คุณ...”
ศจีจะเดินหนีอีก สุพรรณคว้าแขนเธอไว้
“ไม่ใช่ผมแน่ๆ”
ศจีสะบัดออก
“ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย”
“คุณช่วยอธิบายให้ผมกระจ่างทีสิ ว่าคุณเป็นอะไรไป”
ศจีชักฉุน “ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉัน”
ศจีสะบัดออกจากสุพรรณจนได้ เดินลิ่วไป สุพรรณมองตามศจีอย่างเสียใจ
ศจีเดินเข้าซอยมาคนเดียว มีเสียงร้องเพลงแซวลอยมา ต้นเสียงเป็นไอ้สน
“ลูกแขกมลายู มันกินหมูไม่เป็น กินแต่หมาต้มเค็ม...”
แล้วเสียงหัวเราะประสานเสียงก็ดังตามมา ศจีทำเป็นไม่สนใจ
“เฮ้ย อย่าสอใส่เกือกไปล้อเขา ใครจะลูกเจ๊กลูกแขกก็ช่างปะไร” ชาติว่าลอยๆ
คราวนี้ศจีชะงัก เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก ศจีหันไปมอง เห็นพวกชาติ สน ปลั่ง หัวเราะกันอย่างสนุกสนานในวงเหล้า
“ไอ้พวกหน้าตัวเมียปากหมาปากโสโครก”
“โธ่เอ๊ย คนเราร้องเพลงเล่น ดันร้อนตัวไปเอง” สนยียวน
“ฉันก็พูดเล่นปาวๆ เหมือนกัน ใครร้อนตัวก็รับไป” ศจีย้อนกลับ
ชาติหันมาทางเพื่อนๆ “ช่างมันโว้ยพวกเรา พ่อแม่เรามีลูกชาติเดียวภาษาเดียว ไม่ได้ออกสิบสองภาษาเหมือนกับพ่อแม่คนอื่นเขา เชื้อแขกเจ๊กจีนไทย มันรวมเข้าไป จะสู้อะไรไหว”
ศจีสวนกลับอย่างแรง “พ่อเอ๊ย...แม่เอ๊ย เชื้อของพ่อแม่ไอ้ขี้เมาเหลือขอมันเชื้อชั้นดี มันถึงมีลูกชั่วปีละคน”
ปลั่งพูดลอยๆ “เออสิวะ เชื้อเข้าข้อออกดอกซากุระ พ่อแม่เรามันไม่มี”
“อ๋อ คงมีแต่เชื้อหมาบ้า ถึงได้เที่ยวนั่งเห่าหอนไปทั่ว” ศจีด่ากลับ
“ปากจัดอย่างนี้น่าเอามาปล้ำทำเมียซะให้หาย”
ศจีหันขวับไปจะด่าต่อ แต่เห็นใครบางคนเดินเข้ามาจึงชะงัก พวกของชาติก็หันกลับไปกินเหล้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สุพรรณมองศจีด้วยแววตากึ่งเย้ยหยัน ริมฝีปากแย้มนิดๆ อย่างเหยียดหยัน
ศจีรีบเดินหนีสายตานั้นไปโดยไว
ศจีรีบเดินหนีมา เสียงสุพรรณลอยตามมา
“คนเรา” สุพรรณเดินตามมา “ถ้าเขาว่าเราผิด เราก็ปลงเสียว่าพูดผิด มันก็หมดเรื่องไปแต่ถ้าเขาพูดถูกเราจะโกรธทำไม”
ศจีหันขวับมา สุพรรณมองตาศจีตรงๆ แววตาเชือดเฉือน
“โบราณเขาว่าอย่าเอาทองมารู่กระเบื้อง ยกเว้นแต่สัญชาติรักจะเป็นกระเบื้องด้วยกัน”
ศจีรู้สึกอับอายเหมือนถูกกระชากสิ่งห่อหุ้มร่างกายออก กำมือแน่นอย่างเจ็บใจ
“คนเลว”
สุพรรณยิ้มเยาะนิดๆ ศจีหันหลังกลับแล้วรีบจ้ำเดินไปพาตัวเองไปให้พ้นสายตาดูถูกนั้นโดยไว
อ่านต่อตอนที่ 9