คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 10
หญิงสูงวัยคนหนึ่ง กำลังนั่งแกะสลักผลไม้อย่างบรรจงอยู่ภายในห้องโถงของบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า เธอคือ นางอาลัย มารดาของรัชนีฉาย
“คุณแม่ขา คุณแม่...”
อาลัยชะงัก เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงแจ๋วๆ
“แม่รัชนีฉาย วันนี้ลมอะไรหอบลูกมาจ๊ะ”
รัชนีฉายยกมือไหว้อาลัย แล้วเข้ามากอดอย่างประจบ
“คิดถึงคุณแม่น่ะสิคะ”
อาลัยมองอย่างไม่เชื่อนัก “เพิ่งจะมาคิดถึงเอาป่านนี้เรอะ ไม่ได้มาหาแม่เป็นเดือนแล้วนะ”
“ลูกงานยุ่งมากเหลือเกินค่ะ ต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านทูตแทนคุณพี่วตีอยู่บ่อยๆ”
“สุขภาพของคุณหญิงเป็นยังไงบ้าง”
“จะยังไงละคะ ก็สามวันดีสี่วันไข้ โรคใจเสาะแบบเดิมๆ”
อาลัยปราม “จุ๊ๆๆ อย่าเอ็ดไปสิ ถึงที่นี่จะเป็นบ้านของแม่ แต่ปากมีหูประตูมีช่องนะจ๊ะ”
“หนูไม่สนหรอกค่ะ ถ้าในบ้านเรายังพูดไม่ได้ แล้วจะไปพูดที่ไหนในโลกได้ละคะคุณแม่ อึดอัดตายเลย”
“แล้วนี่มีอะไรคับข้องใจเรอะ ถึงได้มาหาแม่เนี่ย”
“เรื่องตาวินค่ะคุณแม่”
“ชีวิน ลูกชายคุณหญิงน่ะเหรอ”
“จะมีใครเสียอีกละคะ คุณแม่ก็ทราบใช่ไหมคะ เรื่องชีวินกับหนูสิริกันยาลูกสาวของคุณหญิงกัลยาว่าเป็นมายังไง”
อาลัยนิ่วหน้าอย่างสงสัย
อีกฟาก ไม้กอล์ฟหวดพัดลูกกอล์ฟไปสุดแรง ลูกกอล์ฟกลิ้งลงหลุมราวกับจับวาง เสียงตบมือดังลั่น ปราจิตเป็นคนพัดกอล์ฟลูกนั้น สุรศักดิ์บิดาของสิริกันยา ยกนิ้วให้ปราจิต บรรยากาศของก๊วนกอล์ฟ ในสนามกอล์ฟยามนี้ชื่นมื่นมาก
สุรศักดิ์เอ่ยชม “ฝีมือคุณดีขึ้นมากเลยนะปราจิต”
“พอได้ออกรอบบ่อยๆ ก็พัฒนาขึ้นมาบ้างครับท่าน”
“ไว้ชวนลูกชายมาบ้างสิ” สุรศักดิ์เอ่ยเป็นนัย
“นายชีวินน่ะเหรอครับ รายนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องกอล์ฟเท่าไร”
“มันก็ต้องฝึกไว้บ้าง”
“ไว้ผมจะชวนมาครับ”
“ต้องชวนมานะคุณจิต ลูกยาของผมพูดถึงเขามานานแล้ว” สุรศักดิ์ยิงหมัดตรง
ปราจิตก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “หวังว่าคงจะพูดถึงในแง่ดีนะครับ”
“ตอนที่ยังอยู่อังกฤษก็พูดถึงค่อนข้างดีนะ แต่พักหลังมานี่ รู้สึกจะเปลี่ยนไปผมก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วชีวินเป็นคนอย่างไรกันแน่”
ปราจิตกัดกรามแน่น หรี่ตาอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ทางด้านรัชนีฉายเล่าเรื่องชีวินจบลง ใส่อารมณ์เต็มที่
“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณแม่ นายวินทำกับหนูยาแบบนี้ หนูอายแทนคุณพี่เหลือเกินค่ะ”
“เฮ้อ เด็กสมัยนี้เขาคิดอะไรกันแปลกจริง” อาลัยถอนใจ
“นายวินอุตส่าห์เรียนจบเมืองนอกเมืองนามา แต่กลับไม่รู้จักมารยาทสังคมโลกเอาเสียเลย”
“แล้วจะให้แม่ช่วยยังไง”
“หนูอยากให้คุณหญิงกัลยาออกหน้าบ้าง”
“แล้วทำไมไม่พูดกับพ่อแม่ของเจ้าตัวล่ะ”
“หนูพูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วละคะ แต่คุณพี่วตีน่ะรักลูกเสียเหลือเกิน ไม่กล้าแตะต้องลูกๆ ตัวเอง หนูถึงต้องมาพึ่งคุณแม่ยังไงละคะ คุณแม่สนิทกับคุณหญิงกัลยา ถ้าคุณหญิงรู้ว่าลูกสาวตัวเองต้องเจอกับอะไรบ้างท่านต้องไม่ยอมแน่”
“แล้วทำไมไม่ให้หนูยาเลิกสนใจตาวินล่ะจ๊ะ”
“เพราะหนูยาชอบนายวินค่ะคุณแม่”
พอได้ฟังเหตุผล อาลัยก็ถอนใจออกมา
“แต่ตาวินทำแบบนี้ ก็แสดงว่า ไม่ได้มีใจให้”
“จะมีหรือไม่มี ชีวินก็ควรจะต้องเลือกหนูยาค่ะคุณแม่ เพราะมันไม่ใช่เพื่อตัวนายวินเองแต่ อนาคตของคุณพี่ปราจิตก็ขึ้นอยู่กับการเลือกในครั้งนี้ด้วย”
คราวนี้นางอาลัยพยักหน้าอย่างเข้าใจ แววตาครุ่นคิดหนัก
บ่ายวันเดียวกันนี้ บรรดาคุณหญิง คุณนาย นั่งหน้าสลอนอยู่ในห้องรับรองแขกบ้านคุณหญิงอรุณวตี ต่างคุยกันอย่างออกรสกลางวงน้ำชา
พิจิตราเอ่ยขึ้น “วันนี้คุณอาภรณ์ไม่ยักมา”
“จะมาได้ยังไง หน้ายังกับมะระ” สายสุนีย์ว่า
เสียงซักไซ้ระเบ็งเซ็งแซ่
“อ้าว ทำไม”
สายสุนีย์หัวเราะระริก “เขาไปฉีด...จ้ะ”
คุณหญิงกัลยาฉงน “ฉีดอะไร ได้ยินแต่ฉีดอกให้โต”
“เดี๋ยวนี้เขาฉีดหน้ากันแล้ว จะให้หน้าผากโหนกนูนแบบแม่หน้าผากดินระเบิด หรือแก้มเป่งเป็นลูกท้อได้ทั้งนั้น ไอ้เสริมอก ผ่าตา ใส่ตะหมูก มันของธรรมดา ดาราไปฉีดกันตั้งหลายคน” สายสุนีย์สาธยาย
“เคยเห็นแต่ที่ไปดึงหน้า” พิจิตราว่า
สายสุนีย์ท้วง “นั่นมันต้องไปถึงญี่ปุ่น นี่แค่เมืองไทย เขาไปกันออกครึด”
วัชรินทร์ถามอย่างแปลกใจ “อ้าว แล้วทำไมคุณอาภรณ์หน้าเป็นมะระ”
สายสุนีย์บอก “บางรายมันแพ้ยามีนี่คุณ”
“แล้วจะทำยังไงกัน” กัลยาถาม
“จะทำยังไง ก็ต้องผ่าเค้นออกทีละหัว” สายสุนีย์ว่า
วัชรินทร์ร้องลั่น “ต๊าย มิแผลเป็นเปรอะทั้งหน้าเรอะ”
“เก๊าะลอกผิวหนังเดิมออก หมอเขามีเครื่องไถเซลล์บนหน้า ใหม่ๆ ก็เหมือนปลาไหลถูกใบข่อยถูละ เลือดซิบๆ แต่พอเหลือผิวชั้นใน เขาว่ายังกะผิวเด็กอ่อนทั้งขาวทั้งใส”
สิ้นเสียงของสายสุนีย์ ศจีเดินเข้ามาในห้อง
“ขอโทษเจ้าค่ะทุกท่าน”
บรรดาคุณหญิงคุณนายยังคุยกันให้แซดไม่สนใจ ศจีหาทางดึงความสนใจ แกล้งทำสมุดที่ถือมาหล่น
คราวนี้ทุกคนชะงัก หันมามองศจีอย่างเหยียดหยาม
“ขอโทษด้วยค่ะทุกท่าน คุณหญิงเชิญที่ห้องน้ำเงินค่ะ”
บรรดาคุณหญิงคุณนายต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย ซุบซิบตามหลังศจีที่เดินออกไปรอหน้าห้อง
พิจิตรากระซิบถาม “แม่คนนี้ใครกันคะ”
“อ๋อ เห็นว่าเป็นเด็กที่คุณหญิงอรุณวตีจ้างมาช่วยงานน่ะค่ะ” สายสุนีย์บอก
กัลยามองอย่างดูแคลน “ท่าทางไม่ค่อยมีสกุลรุนชาติ คุณหญิงให้มาช่วยงานใหญ่อย่างนี้ได้ยังไงนะ”
“ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนกับหนูลูกแก้ว ลูกสาวคุณหญิงไงคะ”
คำตอบของสายสุนีย์ ทำเอาทุกคนต่างเบ้หน้า
วัชรินทร์ตัดบท “เอาละ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณหญิงเธอจะคอยนาน”
ทุกคนค่อยๆ ยุรยาตร นวยนาดตามกันออกไป
ห้องน้ำเงิน เป็นห้องประชุมกึ่งรับรองแขก อันกว้างขวางโอ่อ่า อยู่บนชั้น 2 ของบ้านคุณหญิงอรุณวตี ทุกคนมากันพร้อมหน้าในนั้นแล้ว
สายสุนีย์เขี่ยพลอยที่วางอยู่บนกระดาษขาวแผ่นใหญ่ออกจากกอง พลางใช้แว่นส่องอย่างพิจารณา
“อย่างนี้เขาเรียกน้ำสามสี ประเภทเขียวส่อง แต่น้ำออกเหลือง นี่ถ้ายังขุดไม่ได้ทิ้งไว้อีกหน่อยก็จะเป็นบุษย์น้ำทอง หายากนะคะคุณ น้ำแบบนี้ หนักตั้งร่วมสองกะรัต”
กัลยามองจ้องอีกเม็ด “นี่ นี่ซิบุษย์น้ำทอง น้ำออกสีแสดๆ เขาเรียกน้ำแม่โขง แพงกว่าน้ำสีเหลืองอ่อนล้อมเพชรเสียหน่อยงามนัก”
วัชรินทร์ถามทันที “เท่าไหร่คะคุณ”
สายสุนีย์งง “เม็ดไหนคะ ถ้าเขียวส่องอย่างเรากันเองขอสักยี่สิบห้า ถ้าบุษย์น้ำแม่โขงเม็ดนั้นขอสักเจ็ดสิบห้า”
“อุ๊ย อะไรกันเม็ดละเกือบหมื่น” วัชรินทร์ค่อน
“โธ่ คุณ นี่มันของแท้นะคะ คนอื่นเขาเอามาขาย ระวังจะเป็นพลอยปะหน้าเดี๋ยวนี้เขาเอาพลอยหุงไว้ข้างล่าง ปะหน้าใช้พลอยแท้ ถ้าดูไม่ถึงละคุณขา น้ำหาตำหนิไม่ได้เลย เขียวส่องเหมือนกัน โดนเขียวขวดสไปรท์เสียหนักแล้วนี่ลูกหลานเขาเอามา ก็เลยติดไม้ติดมือมาให้ดูเป็นขวัญตา” สายสุนีย์คุยเขื่อง
ศจีนั่งห่างออกมา มองคุณหญิงคุณนายเหล่านั้นสีหน้าเรียบเฉย มือถือสมุดจดไว้ในมือเตรียมบันทึกการประชุม อรุณวตีชี้ไปที่ทับทิมเม็ดหนึ่ง
“ดิฉันชอบทับทิมเม็ดนั้น”
สายสุนีย์ยิ้มแย้ม “แหม...คุณหญิงตาคม เม็ดนั้นน่ะคิงส์รูบี้เชียวนะคะ แม่ลูกสาวเขารักนัก ตะแง้วๆ จะเอาไว้ให้ได้ เจ้าของเขาตีราคาไม่ลดเลย หมื่นสองเท่านั้นล้อมเพชรเสียหน่อย นิ้วเรียวๆ ขาวๆ อย่างคุณหญิงใส่แล้วรับกับผิว” พลางมองแหวนที่นิ้วอรุณวตี “แหม มรกตเม็ดนี้บ่อเก่าแท้ บ่อใหม่น้ำมันยังกะหยกเขียวๆ ขุ่นๆ ไม่งามอย่างนี้เลย”
“มรกตรัสเซียค่ะ คุณเขาซื้อให้ เคยใส่นิ้วนางแต่ผอมลง มันหลวมเลยต้องใส่นิ้วชี้” อรุณวตีบอก
พิจิตราเสริมว่า “เขาว่าใส่แหวนนิ้วชี้มีอำนาจนะเจ้าคะ”
อรุณวตีหันมาทางศจี
“ศจี อยากได้บ้างไหม”
กัลยาเย้า “แหม ใจดีจริง”
“เอาเลยหนู ขอคิงส์รูบี้เม็ดนั้นเสียเป็นไง” พิจิตราสัพยอก
“ถ้าเขาอยากได้ ฉันก็ให้นะคะ” อรุณวตีหันมาเยื้อนยิ้มเยือกเย็นกับศจี “ฉันได้อาศัยแกต่างมือต่างเท้า ต่างใจ ไปเสียทุกอย่าง ของแค่นี้ทำไมจะให้ไม่ได้ ว่าไงจ๊ะหนู”
“ไม่อยากได้เจ้าค่ะ”
คนอื่นๆ ต่างถอนใจยาว มองหน้าศจีอย่างคิดว่าโง่
“ไม่ต้องเกรงใจนะหนู หนูเหนื่อยมามาก ฉันอยากให้หนูรู้ว่าฉันขอบใจหนูจริงๆ”
ครั้นเห็นศจียังเฉยอยู่ อรุณวตีจึงหันไปพูดกับสายสุนีย์
“ขอดูเขียวส่องน้ำสามสีเม็ดนั้นหน่อยสิคะ”
คนอื่นต่างมองหน้ากันอย่างผิดหวังที่สุดท้ายเจ้าบ้านเลือกเม็ดที่ถูกที่สุด สายสุนีย์ส่งพลอยเม็ดนั้นให้ อรุณวตีวางลงกลางฝ่ามือ พลิกดูให้ต้องแสงในห้อง
“น้ำงามพอใช้นะคะ” สายสุนีย์พยักพเยิด
“ค้า เหมาะกับเด็กสาวๆ แพงนักใส่เล่นก็ไม่เหมาะ” พิจิตราบอก
อรุณวตีหันมาทางศจีอีก “หนูไม่ชอบเหรอจ๊ะ”
ศจีนั่งนิ่งเพียงยิ้มบางๆ อรุณวตีจึงหันไปทางสายสุนีย์
“ไม่ลดเลยเหรอคะ”
“โถ ตั้งร่วมสองกะรัต หย่อนนิดหน่อยสองพันห้าเท่านั้นเอง แต่เอาเถอะ ขนาดคุณหญิงยังใจปล้ำให้เด็กได้ ลดให้เหลือยี่สิบสี่แล้วกัน ไม่ได้กำรี้กำไรเลยนะคะ เขาบอกมาเท่าไรก็คิดจะให้พวกเราได้มีของสวยๆ งามๆ ดูเล่น”
คนอื่นพากันมองค้อนสายสุนีย์อย่างรู้แกว ว่าที่จริงโก่งราคาสูงลิบ อรุณวตีหันมาทางศจี
“ขอสมุดเช็คจ้ะหนู”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ศจีประนมมือไหว้ชดช้อย แล้วหันไปหยิบสมุดเช็คที่โต๊ะ อรุณวตีชมให้คนอื่นๆ ฟัง
“เห็นไหมคะ เขารอบคอบไปเสียทุกอย่าง”
คนอื่นมองศจีอย่างหมั่นไส้ มีเพียงคุณหญิงกัลยา มารดาของสิริกันยาที่มองศจีอย่างจับสังเกต และเห็นอะไรบางอย่าง!
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่ร้านเสริมสวยคุณแดงในซอยวัดใหญ่ เจ๊แดงกำลังยีผมให้ยายปริกอย่างเมามัน ขณะที่ยายปริกบ่นอุบถึงกิจการของตัวเองที่ยามนี้ซบเซาน่าใจหาย
“เดี๋ยวนี้พวกลูกค้ามันเลือกนัก นั่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่เอา แถมเบื่อง่าย ไม่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าติดคนไหนก็จองคนนั้นทั้งปีทั้งชาติ”
“แม่ปริกต้องไปเห็นพวกอาบอบนวดเสียก่อน มันมีสาวๆ ให้เลือกเยอะ บริการถึงใจมีห้องหรูๆ พร้อมอ่างอาบน้ำสมัยใหม่ไว้คอยต้อนรับแขกทั้งนั้น”
“ของข้าก็มีอ่างนะโว้ย”
อู๊ดที่นั่งอบผมอยู่ ยื่นหน้ามาแขวะ “อึ่งอ่างน่ะเหรอแม่”
ยายปริกคว้าโรลม้วนผมขว้างไปที่อู๊ด แต่อู๊ดหลบวูบ
“แม่ปริกต้องยอมรับนะว่าซ่องสมัยใหม่มันพัฒนาไปแล้ว ถ้าจะแข่งก็ต้องหาสาวรุ่นสิบแปดสิบเก้าเข้ามามั่งไอ้พวกเหลาเหย่นี่โละทิ้งไปซะทีเถอะ”
อู๊ดโวยขึ้นมา “นี่ๆ เจ๊แดง แล้วพวกฉันจะอยู่ยังไงล่ะ”
“เอ็งก็ช่วยแม่หาเด็กใหม่ๆ มาสิวะ แล้วกินเปอร์เซ็นต์เอา” เจ๊แดงแนะนำ
ถวิลกำลังให้ช่างทำเล็บอยู่ถามอย่างสนใจ
“เหมือนนายหน้าน่ะเหรอเจ๊”
“นั่นแหละๆ”
“แล้วจะไปหาที่ไหน”
“เอาใกล้ๆ ตัวก่อนก็ได้ ศจีไง ไม่สนใจบ้างเรอะ”
ยายปริกถึงกับตบเท้าแขนดังพลั่ก
“อย่าไปยุ่งกับนังจีมัน”
เจ๊แดงถึงกับหน้าเสีย
“ศจีมันต้องเป็นเจ้าคนนายคนอย่างที่นังจุกกับตาศรีหวังไว้ ข้าจะไม่ให้มันมายุ่งเกี่ยวกับกิจการของข้าเป็นอันขาด เดี๋ยวมันจะมาถอนหงอกข้าจนหมดหนังหัว”
คนอื่นได้แต่มองหน้ากันทำตาปริบๆ
อรุณวตีออกมาส่งบรรดาคุณหญิงคุณนายที่เตรียมแยกย้ายกลับ สนทนากันอยู่หน้าตึก
“รักษาสุขภาพด้วยนะคะคุณหญิง” สายสุนีย์เอื้อนเอ่ย
อรุณวตีเยื้อนยิ้ม “ขอบคุณค่ะ แล้วพบกันประชุมคราวหน้านะคะ”
พิจิตรากำชับกับสายสุนีย์ว่า “อย่าลืมไปสืบเรื่องคุณอาภรณ์มาเล่าให้ฟังอีกนะคะ”
“โอ๊ย คุณพิจิตราไม่ต้องบอกเดี๊ยนก็ขอเล่าค่า” สายสุนีย์บอก
ทุกคนหัวเราะสนุก แล้วแยกย้ายกันไปที่รถใครมัน ยกเว้นกัลยา อรุณวตีหันมามองอย่างสงสัย
“เดี๊ยนมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหญิงสักหน่อย พอจะมีเวลาสักครู่ไหมคะ”
“สำหรับคุณหญิงกัลยา ดิฉันมีเวลาให้เสมอค่ะ”
ภายในห้องรับแขกบ้านคุณหญิงอรุณวตียามนี้ กัลยาตบพัดกับมือตัวเอง
“ยัยหนูยาน่ะ ไม่กล้ามาเล่าให้เดี๊ยนฟังเอง เดี๊ยนได้ยินมาจากคนอื่นก็เลยไปคาดคั้นยัยหนูจนรู้เรื่อง โธ่ สงสารลูกก็สงสาร ทำมั้ย ต้องไปตกระกำลำบากขนาดนั้น”
อรุณวตีนิ่งฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะที่ตาวินทำแบบนั้นกับหนูยา ตาวินน่ะความคิดยังไม่เป็นผู้ใหญ่เท่าไรนัก คงเพราะแกเพิ่งเรียนจบมา รอให้แกทำงานอีกสักพักคงจะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหัดให้แกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง”
“ดิฉันก็พยายามสอนแกอยู่เสมอค่ะ แต่คงจะไปเปลี่ยนทันทีได้ยาก”
“ถ้า ชีวินมีคู่หมั้นแล้ว อาจจะเปลี่ยนให้เป็นคนมีความรับผิดชอบมากขึ้น”
อรุณวตีเลิกคิ้วอย่างนึกไม่ถึง
“หมั้นเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ หรือคุณหญิงคิดว่ายังไม่พร้อม”
อรุณวตีสีหน้าลำบากใจชัดแจ้ง ด้วยเข้าใจความรู้สึกของบุตรชายดี
“ตาวินแกอยากจะทำงานไปก่อนน่ะค่ะ”
“อย่าลืมนะคะ สุขภาพของคุณหญิง เอ่อ...ยังไม่สู้ดีนัก ถ้าลูกชายคนเดียวจะเป็นฝั่งเป็นฝา คุณหญิงคงจะต้องให้เขามีหลักที่มั่นคงไว้รองรับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะรออีกแล้วนะคะ”
คุณหญิงอรุณวตีอึ้ง แล้วนิ่งงันไปอย่างจำต้องยอมรับ
เย็นนั้น ในขณะที่ชีวินเดินเข้ามาในบ้านจะขึ้นห้อง เสียงปราจิตดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อนวิน”
ชีวินชะงัก หันกลับไป ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ครับคุณพ่อ”
“พ่อพอจะได้ข่าวเรื่องลูกกับสิริกันยา”
ชีวินชะงัก หันมาตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ข่าวดีหรือข่าวร้ายครับ”
ปราจิตมองชีวิน ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ค่อยดีนัก”
ชีวินยักไหล่อย่างไม่แคร์
“งั้นก็คงเป็นความจริงครับ”
“ทำไมลูกไม่ห่วงอนาคตตัวเอง”
“ผมอยู่กับปัจจุบันครับ การห่วงอนาคตคือความกังวลเกินเหตุ”
“วิน! พ่อเตือนลูกด้วยความหวังดี”
ชายหนุ่มกลับย้อนบิดาเอาว่า “แล้วผมเตือนคุณพ่อบ้างได้ไหมครับ”
ปราจิตเสียงดังขึ้น “ชีวิน”
“ขอโทษนะครับคุณพ่อ ผมทราบดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าจะให้ผมเอาใจใครเพื่อยศถาบรรดาศักดิ์หรือผลประโยชน์ส่วนตัว ผมทำไม่เป็นครับ”
“สักวัน แกจะต้องเลือก”
“รอให้ถึงวันนั้นก่อนก็แล้วกันครับ ผมขออยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุดก็พอแล้ว”
ชีวินเดินออกไป ปล่อยให้ปราจิตมองตามด้วยอารมณ์ขุ่นมัวกรุ่นๆ
ศจีนั่งจัดเรียงเอกสารอยู่ในห้องทำงานคุณหญิง ปราจิตเดินเข้ามา ถามเรื่องหมายงาน
“งานเลี้ยงบ้านเอกอัครราชทูต วันอะไรนะศจี”
ศจีตอบทันทีโดยไม่ต้องเปิดสมุด
“วันอาทิตย์ที่ 7 นี้เจ้าค่ะ”
“เธอจำแม่นจริง ไม่ต้องดูสมุดเลยเหรอคะ”
“ถ้าเป็นนัดหมายสำคัญ ดิฉันจะจำได้หมดเจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มขี้เล่น อยากทดสอบศจี
“แล้ว เดือนนี้ฉันมีนัดหมายอะไรสำคัญบ้าง”
“วันพุธที่ 10 ท่านมีนัดรับประทานอาหารกับท่านอธิบดี เย็นวันศุกร์ที่ 12 ท่าน มีงานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบ ส่วนนัดออกรอบกับท่านสุรศักดิ์สี่โมงเช้าวันเสาร์ที่ 13 เจ้าค่ะ”
ปราจิตทึ่ง “เธอจำได้หมดเลยหรือนี่ ไหนว่าจำเฉพาะนัดหมายสำคัญยังไงล่ะ”
“นัดหมายของท่าน สำคัญทุกนัดเจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มปลื้ม
ระหว่างนี้รัชนีฉายเดินเข้ามาทางด้านหลัง มองทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามา
“คุณพี่มาอยู่นี่เอง”
“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะรัชนีฉาย”
รัชนีฉายประชดประชัน “กลับมาทันเห็นคุณพี่เข้ามาในห้องนี้พอดีน่ะสิคะ”
รัชนีฉายเหลือบมองศจีด้วยแววตาหมั่นไส้ แต่ศจีแกล้งเมินมองทำไม่รู้ไม่เห็น
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 10 (ต่อ)
รัชนีฉายเดินตามปราจิตเข้ามาในห้องหนังสือ
“คุณพี่บอกน้องมานะคะว่าชอบนังเด็กนั่นใช่ไหม”
ปราจิตทำเป็นหาหนังสือ
“พี่เคยบอกแล้ว แกยังเด็กนักนะ”
รัชนีฉายค้อนควัก “ฮึ...เด็ก...ก็น้องล่ะ ไม่ได้จงรักภักดีต่อคุณพี่มาตั้งแต่เด็กเหรอ”
“พี่รู้...”
“น้องก็รู้นะคะว่า พี่อรุณวตีคิดยังไง”
ปราจิตฉงน “ทำไม”
“เขาจะเอาเด็กคนนั้นมาแทนที่น้อง”
“ใครเขาจะเห็นคนอื่นดีกว่าน้องแท้ๆ นะ”
“แต่ก่อนน้องเป็นเด็กอยู่ในโอวาท คุณพี่อรุณวตีอาจจะไม่คิด แต่ เดี๋ยวนี้น้องโตแล้ว”
“ไม่เอาน่า คิดอะไรก็ไม่รู้”
“หรือไม่จริงคะ ดูแต่คุณพี่เคยสัญญาว่าจะไม่ยุ่ง เกี่ยวกับคุณพี่วตี แล้วทำไม...”
“เธอก็รู้อยู่ว่าหมอเขาว่ายังไง ทำไมคิดไม่เป็นเรื่อง”
ปราจิตหยิบหนังสือมาได้เล่มหนึ่งก็เดินหนี รัชนีฉายเดินตาม
“คุณพี่คะ คุณพี่”
ฝ่ายศจีจะเดินเข้าซอยบ้าน เสียงใครบางคนดังตามหลังมา
“อีนี้ศจีใช่ไหมหนูจ๋า”
ศจีเกือบสะดุ้ง ก่อนจะหันขวับไปโดยเร็ว เห็นซิงค์เข็นรถขายของเข้ามา
“ซิงค์อยากคุยกับหนูม้ากมาก ตอนซิงค์เจ็บ ซิงค์คิด พอหายเจ็บมันก็ยังคิด”
ศจีทำท่าจะเดินต่อ ซิงค์รีบตาม
“อย่าเพิ่งรีบไปไหนสิจ๊ะหนูจ๋า คุยกับซิงค์ก่อน”
ศจีมองซ้ายมองขวาอย่างกลัวสายตาคน แล้วรีบเดินหนี
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
ศจีเดินหนี ซิงค์เดินตามมาดักหน้าไว้
“ซิงค์ขอคุยด้วยเดี๋ยวเดียวนะจ๊ะหนู ไม่อย่างนั้นซิงค์ไม่สบายใจจริงๆ”
ศจีมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้น จึงยอมหยุดคุยด้วย
“หนูจุก...จุรี สบายดีหรือ”
“สบายดี”
“หมู่นี้ซิงค์ไม่ค่อยได้ไปหาปริก ปริกเขาเคยบอกอะไรหนูบ้างไหม”
“บอกอะไร”
“บอก ปริกจ๋าเขาไม่เคยบอกหนูหรือว่าหนูเป็นลูกซิงค์”
“แล้วเชื่อหรือเปล่าล่ะ” ศจีถามย้อน
“แหม หนูจ๋า อีนี้พูดยากนะหนู ถ้าซิงค์เป็นคนท้องซิงค์เก๊าะบอกได้ แต่คนที่ทำให้คนอื่นท้องพูดยากม้าก” ซิงค์มองหน้าศจีว่ามีแววละม้ายตนหรือไม่ “หนูจุรีไม่เคยบอกหนูหรือ”
“ฉันรู้ว่าฉันเป็นลูกแม่ ฉันก็พอใจแล้ว ฉันไม่เคยสนใจว่าใครเป็นคนทำให้แม่ท้อง”
ซิงค์สะอึกไปเหมือนกัน
“อย่าเพิ่งโกรธซิงค์หนูศจีจ๋า ปริกบอกซิงค์ซิงค์ก็ต้องคิด”
สีหน้าศจีมีแววเยาะ ฝีปากแย้มหยัน
“ฉันก็ขอเป็นลูกพ่อศรีอยู่ดี เพราะผู้ชายอย่างพ่อเป็นผู้ชายที่เมียทุกคนควรภูมิใจและลูกทุกคนควรศรัทธา”
ซิงค์ไม่เข้าใจสำนวนของศจี ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“ตาศรีเป็นคนดีนะหนู ไม่เคยกู้เงินซิงค์เลย คนดีพระรัก ตาศรีเลยตายเร็ว”
สีหน้าซิงค์ดูโล่งใจที่ศจียืนยันว่าจะไม่เกี่ยวดองด้วย
พอดีมีคนเดินผ่านมา ศจีจึงเดินต่อโดยไม่ได้สนใจซิงค์อีก
“หนูไม่ดูผ้าสวยๆ ของซิงค์บ้างเรอะ ซิงค์ยกให้ผืนนึง เอาผืนนี้ไปไหมเพิ่งมาใหม่จากอินเดียเชียวนะ”
ศจีสั่นหน้า แล้วรีบเดินจากไป ชาวบ้าน หญิง 1 เข้ามาดูของซิงค์
“อ้าว...ซิงค์ มีอะไรใหม่ๆ มาบ้าง ขอดูหน่อยซิ”
ซิงค์ละความสนใจจากศจี แล้วหันไปขายของต่อทันที
“อีนี่มีผ้าสวยๆ มานะจ๊ะ ลิปสติกสีสดๆ ก็มี หรือจะเอาสีทาแก้มแดงๆ เลือกดูได้เลยนะคุณๆ จ๋า”
ศจีมองซิงค์อย่างมุ่งมั่นและตั้งใจว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เกี่ยวข้องกันอีก
สาวสวยผู้เย่อหยิ่งประจำซอยวัดใหญ่ฯ หันหลังให้แขกขายผ้าหัวโต แล้วเดินยืดกายตรงห่างออกมาเรื่อยๆ
ค่ำคืนเดียวกันนี้ สุพรรณนั่งใจลอยพลิกขนมสโคนในมือที่แกมแก้วให้มาอยู่สักระยะแล้ว ด้วยสีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด
“จะคิดมากไปทำไมว้าไอ้พรรณ” ดนัยเดินเข้ามาตบบ่าสุพรรณ “ขนมหวานราคาแพงมาป้อนถึงปากแล้ว ยังจะเล่นตัวอยู่อีก”
“ข้าไม่ได้เล่นตัว”
“ไม่ได้เล่นแล้วอะไร ยังรอสาวลูกแขกอยู่อีกเรอะ”
“รอไปก็ไม่มีประโยชน์” น้ำเสียงของเด็กวัดรูปงามมีวี่แววประชดประชันนิดๆ ตอนท้าย “ข้ามันจน”
“เออ รู้ตัวก็ดีแล้ว เราจนก็ต้องหาคนรวยกว่ามาหนุนนำ แถมเอ็งไม่ต้องไปหาที่ไหน เขาพร้อมจะใส่พานมาถวายเอ็งอยู่แล้ว”
สุพรรณย้อนแย้ง “แล้วเอ็งคิดเหรอว่ามันจะไม่มีอุปสรรค พ่อแม่เขาไม่ยอมรับเขยจนๆ หรอก”
“อ๋อ ที่แท้เอ็งคิดมากเรื่องนั้น”
“คิดหลายเรื่อง เด็กวัดอย่างข้าไม่มีปัญหาแม้แต่จะซื้อขนมแพงๆ แบบนี้ให้ผู้หญิงหรอก”
“ก็เขาซื้อให้เอ็งแล้วนี่”
“ข้าไม่อยากได้ชื่อว่าเกาะผู้หญิง”
“เฮ้ย มันคือโอกาสต่างหาก โอกาสเข้ามาหาเอ็งก็ต้องเกาะยึดไว้ ไม่อย่างนั้น มันหลุดลอยไปแล้วจะเสียใจทีหลัง”
สุพรรณเอาขนมใส่ปากเคี้ยวกินช้าๆ
“ถึงขนมจะแพงแค่ไหน แต่ถ้าไม่ถูกปากเรามันก็เลี่ยนเหมือนกัน”
“เอ็งเลี่ยนงั้นข้ากินเอง”
ดนัยหยิบขนมใส่ปากเคี้ยวอย่างตะกละตะกลาม
“อร่อยขนาดนี้ไม่กินก็โง่แล้ว”
สีหน้าสุพรรณสียังหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจอยู่อย่างเก่า
“ไม่ครับคุณแม่ ผมยังไม่อยากหมั้น”
ชีวินโวยวายค่อนข้างดัง แต่น้ำเสียงยังมีความเกรงใจคุณหญิงมารดาอยู่มาก
“ทำไมละลูก”
“ผมไม่ได้ชอบเขา”
คุณหญิงอรุณวตีมองจ้อง “แล้วลูกรักใครชอบใครล่ะจ๊ะ”
ชีวินนิ่งอึ้งไป คล้ายไม่แน่ใจตัวเอง
“ผมต้องรักใครชอบใครด้วยเหรอครับ ถึงจะมีเหตุผลในการปฏิเสธได้”
“ก็ถ้าคนที่ลูกรักใคร่ชอบพอ และเขามีใจตรงกัน มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับอนาคตท่านทูตอย่างลูก มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอ แม่เองก็ยินดีจะไปปฏิเสธทางนั้นได้อย่างไม่ลำบากใจนัก”
ชีวินได้แต่ถอนใจ ลึกๆ แล้วเขาสนใจศจี แต่ยังไม่รู้จักเธอดีพอ และคุณสมบัติก็สู้สิริกันยาไม่ได้แน่นอน
“แล้วถ้า คุณสมบัติของผู้หญิงที่ผมเลือกเอง สู้ทางนั้นไม่ได้ละครับ”
คุณหญิงถือโอกาสนี้สั่งสอนลูกชาย
“ลูกก็รู้ดีว่าคนที่จะเป็นทูต จะต้องเป็นคน ‘มือสะอาด’ ทุกวิถีทาง แต่ลูกเคยเห็นบ้างไหมว่า ‘มือ’ ใครสะอาดอย่างแท้จริงบ้าง ข้อนี้อย่าถามคนอื่นนอกจากตัวเอง” ว่าพลางพลิกดูมือตัวเอง “เราเท่านั้นที่จะบอกว่า มือเราเองเป็นอย่างไร แต่ เมื่อเป็นทูต เราต้องพยายามสวมถุงมือไว้ปกปิดของจริงข้อนี้เมียนักการทูตนั่นแหละต้องพยายามทำตนเป็นถุงมือให้สามี”
ชีวินเมินหนีไปอย่างรู้สึกเจ็บปวด
“เหมือนที่คุณแม่กำลังทำให้คุณพ่อใช่ไหมครับ”
“ชีวิน”
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ตั้งใจจะประชดคุณแม่ แต่ผมไม่ต้องการถุงมือที่ไม่พอดีกับตัวเอง และเป็นแบบที่ผมจำใจต้องสวม เพราะคนอื่นเห็นว่าพอดีกับผม ในขณะที่ผมกลับรู้สึกอึดอัด”
อรุณวตีทักท้วง “แม่อยากให้ลูกใช้เวลาคิดสักนิด”
ชีวินส่ายหน้า “ผมคิดแล้วครับ”
“แม่อยากเห็นอนาคตที่มั่นคงของลูก ก่อนที่แม่จะ ไม่ทันได้เห็น”
ชีวินขยับตัวเข้าไปจับมือคุณหญิงมารดาไว้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับคุณแม่ ผมจะมั่นคงด้วยตัวผมเอง ไม่ต้องพึ่งคนอื่น”
“ลูกปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่าเรายังอยู่ในสังคมที่ต้องพึ่งพาคนมากมาย”
“ทั้งที่เราก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนอื่นมากมายงั้นเหรอครับ”
“บางที เกียรติยศนั้นเป็นของร้อน ที่เราต้องปั้นหน้าแบกมันไว้ จะวางลงก็ไม่ได้ทั้งที่มือของเราปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว เพราะไม่มีใครที่จะถือแทนเราได้”
ชีวินมองแม่อย่างเห็นใจ
“คุณแม่ครับ ผมคงไม่ใช่ลูกชายที่ดีของคุณแม่นัก แต่ผมจะพยายามทำให้คุณแม่สบายใจมากที่สุด ผมขอเวลาอีกสักนิดนะครับ จนกว่าจะแน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่”
อรุณวตีมองจ้องชีวิน รู้สึกเครียดอยู่ลึกๆ จนต้องนิ่วหน้า จากอาการเจ็บหน้าอกแปลบปลาบขึ้นมา แต่ชีวินไม่ทันสังเกตเห็น
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 10 (ต่อ)
รอจนชีวินออกไปสักครู่แล้ว คุณหญิงอรุณวตีจึงลงนั่งเหมือนหมดแรง พลางกุมหน้าอกอย่างรู้สึกเจ็บหัวใจ วรรณเข้ามาเห็น รีบรุดเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปคะคุณหญิง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงคะ เมื่อกี้พี่เห็น”
“ฉันคงคิดมากเกินไป”
วรรณรีบเทน้ำใส่แก้ว เอายาให้กิน อรุณวตีรับไป พี่เลี้ยงสูงวัยมองคุณหญิงของเธออย่างเห็นใจ
“โธ่ คุณหญิง เขาทำอะไรคุณหญิงอีก”
“ไม่ใช่เรื่องเดิมหรอกจ้ะ เรื่องของตาวินน่ะ”
วรรณนิ่วหน้า “ทางโน้นเขามาเร่งรัดอะไรอีกหรือคะ”
“เขาอยากให้หมั้นกันเร็วๆ แต่ฉันรู้จักตาวินดี ถ้าบังคับมากเกินไป ตาวินจะยิ่งดื้อยิ่งฝืน”
“ปฏิเสธทางนั้นไปไม่ได้หรือคะ”
“มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาก็ใหญ่โตเหลือเกิน ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ”
“ถ้าอย่างนั้นต้องหาทางเปลี่ยนใจคุณวิน”
“นั่นแหละที่ยากกว่า”
“โธ่ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก แต่พี่อยากให้คุณหญิงปล่อยวางเสียบ้าง บางที...”
“ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากนัก ฉันยังปล่อยอะไรไม่ได้หรอก ตราบใดที่ ยังมีชีวิตอยู่”
วรรณได้แต่จับมือไว้และมองอรุณวตีอย่างเป็นห่วง
เช้าวันนี้ แกมแก้วนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะหินหน้าคณะรัฐศาสตร์ รัตนาพรเข้ามาพร้อมกับถุงกล้วยแขก
“นี่ฉันซื้อกล้วยแขกเจ้าอร่อยมา กว่าจะต่อคิวซื้อได้ ร้อนแทบแย่”
แกมแก้วนิ่ง หน้าเศร้า
“เป็นอะไรไป”
“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นพี่พรรณเลย”
“เขาคงงานยุ่งมั้ง”
“ไม่น่านะ กีฬาก็จบไปแล้ว แล้วเมื่อก่อนต่อให้ยุ่งยังไงเขาก็ยังมาหาลูกแก้ว”
รัตนาพรอ้าปากจะบอกอะไรบางอย่าง
“นี่ลูกแก้วฟังนะ ฉันได้ยินมาว่า...”
แต่แล้วแกมแก้วรีบลุกขึ้นเมื่อสายตาแลไปเห็นใครคนนั้นที่ถวิลหา
“พี่พรรณ”
แกมแก้วผลุนผลันออกไป รัตนาพรมองตามอย่างไม่สบายใจ
แกมแก้ววิ่งตามสุพรรณมาจนทัน ร้องทักอย่างดีใจ
“พี่พรรณคะ พี่พรรณ”
สุพรรณหันมาหา “อ้าว ลูกแก้ว มีอะไรเหรอครับ”
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พรรณเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ พอดีช่วงนี้พี่ต้องเตรียมสอบ”
“ไม่ทันไรก็สอบแล้วเหรอคะ งั้นสอบเสร็จเมื่อไรลูกแก้วขอพาพี่พรรณไปเลี้ยงตอบแทนสักมื้อนะคะ” หญิงสาวทอดไมตรี
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตอบแทนอะไรพี่หรอก”
“โธ่พี่พรรณคะ ให้ลูกแก้วตอบแทนที่พี่พรรณดูแลอย่างดีเถอะค่ะ”
“แต่ตอนนี้พี่ก็ไม่ได้ดูแลอะไรลูกแก้วเลย”
“ก็พี่พรรณบอกเองนี่คะว่าเรียนหนักใกล้สอบแล้ว ให้ลูกแก้วได้ดูแลพี่พรรณตอบแทนบ้างนะคะ”
“อย่ามายุ่งกับพี่ดีกว่าครับ พี่เป็นคนจน”
พูดจบสุพรรณก็เดินออกไป แกมแก้วมองตามอย่างงุนงงและเสียใจ รัตนาพรลากแกมแก้วมาอีกทาง
“อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพี่เขาเลย”
“ฉันไม่ได้ยุ่ง แต่เห็นพี่เขาหายไปเลยเป็นห่วง”
“ได้ข่าวว่าพี่พรรณกำลังอกหัก”
แกมแก้วตกใจ “อะไรนะ”
“พี่นัยกระซิบมา”
“อกหักจากใครเหรอ”
“เห็นว่าเป็นคนแถววัดที่เขาอยู่นั่นแหละ แต่ชื่ออะไรฉันก็ไม่กล้าซัก”
แกมแก้วเหลียวมองตามพี่รหัสรูปหล่ออย่างเป็นห่วง
ศจีหาเอกสารอยู่ตรงโต๊ะทำงาน จนพอเปิดลิ้นชัก เจออะไรบางอย่างในนั้น เธอหยิบขึ้นมา พบว่าเป็นกล่องเครื่องประดับ ศจีนึกขึ้นได้ จึงเปิดออกดู แล้วหยิบพลอยสีเขียวนั้นขึ้นมาดู
“จี”
ศจีหันไปมองทางเสียง เห็นแกมแก้วโผล่หน้ามา
“แหม นึกว่ากลับแล้วเสียอีก” แกมแก้วมองที่กล่องในมือ “นั่นดูอะไรอยู่น่ะ”
ศจีเลื่อนกล่องออกห่างตัว แกมแก้วเข้ามาหยิบไปดู
“ต๊าย สวยจัง จะมาทำแหวนเหรอจี”
“เปล่า กำลังดูเล่น”
“เอามาจากไหนน่ะ”
“มี คนเขาให้”
“แน่ เดี๋ยวนี้มีคนให้ของกำนัลแล้วเหรอ”
ศจีไม่ตอบ แกมแก้วกรีดนิ้วหยิบพลอยเม็ดเล็ก ทาบลงกับเสื้อนิสิตสีขาวที่สวมอยู่
“ทำ เข็มกลัดเนคไทด์ก็สวยนะ เดือนหน้า วันเกิด รุ่นพี่ แก้วกำลังหาของให้เขาอยู่ จีจะกลับบ้านหรือยัง”
“เดี๋ยวก็ได้”
“งั้นรอให้ลูกแก้วอาบน้ำก่อนได้ไหม ทานของว่างด้วยกัน แล้วจีค่อยกลับ นะ นะ ลูกแก้วมีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง”
“เรื่องอะไรเหรอ”
แกมแก้วยิ้มเขินอาย
“ลูกแก้วอยากให้จีช่วยตัดสินอะไรให้หน่อย จีฉลาดออก คงคิดแทนลูกแก้วได้แน่ นะจีนะ”
ศจีมองอย่างรู้ทัน “พี่รหัส”
แกมแก้วหน้าแดงจัดขึ้น
“ฮื่อ แต่มันมีปัญหา ลูกแก้วอยากเล่าให้จีฟัง จะได้ช่วยกันคิด คอยแก้วเดี๋ยวเดียวแหละจี”
แกมแก้วลุกออกไป ศจีมองพลอยเม็ดนั้นพลางยิ้มนิดๆ คล้ายคิดอะไรบางอย่างในใจ
แกมแก้วเดินออกจากห้อง ขึ้นบันไดไปชั้นบน ปราจิตเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้าน ผ่านห้องที่ศจีทำงานอยู่ อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในห้อง และเห็นศจีนั่งจัดเอกสารอยู่คนเดียว
ท่านทูตปากหวานมองอย่างชั่งใจนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป
ศจีเห็นปราจิตเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก็รีบยกมือไหว้กิริยาชดช้อย ปราจิตรับไหว้
“ฉันเข้ามารบกวนหนูหรือเปล่าคะ”
“มิได้เจ้าค่ะ ดิฉันทำงานเสร็จพอดี รอลูกแก้วอาบน้ำเสร็จจะมาคุยด้วย”
“งั้นฉันรบกวนเวลาหนูแค่นิดเดียว อยากให้หนูช่วยลิสต์รายชื่อแขกที่จะมางานเลี้ยงอาทิตย์หน้า”
“เอ...ปกติคุณรัชนีฉายเธอทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ถ้าดิฉันจะไปก้าวก่าย”
“ไม่ก้าวก่ายหรอกค่ะ รัชนีฉายเขาทำหลายอย่างอยู่แล้ว ทั้งเรื่องทำบัตรเชิญ และเตรียมงานทั้งหมด ฉันเลยอยากให้หนูแบ่งเบาภาระเขาบ้าง หนูจะสะดวกไหมคะ”
“สะดวกเจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มพึงพอใจ “ฉันจะบอกรัชนีฉายเองค่ะ ว่าเรื่องนี้หนูทำแทนเขาแล้ว และต่อไปหนูอาจจะต้องทำแทนเขาอีกหลายเรื่อง”
“ดิฉันยินดีเจ้าค่ะ”
ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้งมีความหมาย
คุณหญิงอรุณวตีเดินมาหยุดที่หน้าห้อง มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มลึกล้ำ ประหลาด
อ่านต่อตอนที่ 11