xs
xsm
sm
md
lg

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 31

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 31

สุพรรณขับรถมาส่งแกมแก้วเช่นเคย พอถึงหน้าบ้านเขาก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า

“คืนนี้พี่จะไปงานกินเลี้ยงไอ้โต้ง ขอยืมรถอีกทีนะ”
แกมแก้วถามกลับอย่างเกรงใจ “โต้งไหนคะ”
“ไอ้โต้งที่คณะ สายๆ พี่จะมารับ”
สุพรรณขับรถออกไป แกมแก้วลงจากรถมาเหลียวมองตามคนรักด้วยแววตาสงสัย

ขณะแกมแก้วเดินเข้าห้องโถงบ้านมา ต้องชะงักเมื่อเห็นวรรณยืนมองอยู่แล้ว
“รถไปไหนคะ ไม่เห็นสองสามวันแล้ว”
“เพื่อนเขาขอยืมไปค่ะ”
“เพื่อน หรือใคร”
แกมแก้วนิ่งไม่ตอบ วรรณได้แต่ถอนใจ
“คุณหนอคุณ เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ”

รุ่งเช้า เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วย สุพรรณวางแหวนทับไว้บนซองสีขาวเหนือโต๊ะเล็ก แทบว่าจะให้เป็นรอยเก่าที่เขารับจากเธอมาเมื่อวานนี้
“สามพัน พอไหม”
ศจีเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะมองเขาอย่างพิศวง จนสุพรรณต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง
“ผมหาให้ได้เท่านี้”
ศจีแย้มริมฝีปากออกอย่างเศร้าๆ ทำให้หัวใจของสุพรรณแปลบปลาบ เพราะซาบซึ้งดีถึงความขมขื่นที่เธอได้รับอยู่ ใจจึงอ่อนลง
“ถ้าไม่พอ ผมจะเอามาให้อีก”
ศจีทอดสายตาดูซองธนบัตรก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะต้องด้วยกิริยาค่อนข้างสะท้านนิดๆ แต่ดวงตาที่มองมายังสุพรรณนั้นแน่วแน่
“เก็บแหวนไว้เถอะค่ะ ขอให้ดิฉันรำลึกถึงคุณ ที่คุณทำกับดิฉันในครั้งนี้อย่างเดียวกันดีกว่า อย่าให้ดิฉันต้องคิดว่า คุณกำลังทำบุญ กับดิฉันเลยดิฉันเอาเงินคุณมา คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเก็บแหวนของดิฉันไว้ ยุติธรรมดีแล้วนี่คะ”
สุพรรณเริ่มมีโทสะ คิดในใจว่าขนาดนี้ศจียังยโส เขาขมวดคิ้วเพ่งมองเธอ หากสายตาเธอกลับไม่ยอมหลบและมีแววทิฐิมานะแฝงอยู่เต็มเหนี่ยว
“ราคาของแหวน มันมากกว่าสามพัน คุณจะต้องการเพิ่มเท่าไร”
ศจีพลิกซองธนบัตรในมือเล่น
“คุณตีราคามาเถอะ ดิฉันพอใจรับทั้งนั้น”
“จะขายเลย ไม่คิดไถ่คืนเหรอ”
“ถ้าหาเงินได้ ดิฉันคงไม่คิดขายมัน อะไรๆ ที่เราตัดใจแล้ว เราไม่ควรคิดอาลัยมันไม่ใช่เหรอ”
อีกครั้งที่สุพรรณหน้าชา ดวงตาวาววับ อย่างเข้าใจความหมายภายใต้คำพูดนั้นของศจี เธอจงใจบอกให้เขาลืมความหลังระหว่างกันทั้งหมด
สุพรรณเน้นคำ “คนอย่างผม ไม่ใช่ไก่ จะได้ไม่รู้ค่าของพลอย นี่ผมมีเพชรอยู่ในอุ้งมือแล้วด้วยซ้ำ เรื่องอะไรจะไปเห็นกรวดดีกว่า”
สุพรรณยัดแหวนวงนั้นใส่กระเป๋า แล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
เดินพ้นตัวมาได้สักหน่อย สุพรรณเอามือทุบผนังทางเดินโรงพยาบาลอย่างหงุดหงิด

“ถ้ายโสอย่างนี้ ทำไมกับชีวิตไม่ยโสให้ตลอด”

ทางด้านแกมแก้วอยู่ในห้องนอน เพิ่งจะปิดหนังสือตรงหน้าลงอย่างอ่อนแรง ในอาการสมองมึนงง ภาพสุพรรณล้วงแหวนชูให้ดู โดยสวมไว้กับปลายนิ้วชี้ด้านซ้ายผุดซ้อนขึ้นมา

แกมแก้วนิ่งนึก นิ่วหน้าอย่างสงสัย ว่าเคยเห็นที่ไหนกันแน่
“เคยเห็นที่ไหนนะ”
จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกแกมแก้วตื่นจากภวังค์
“คะ”
เป็นวรรณเปิดประตูเข้ามา
“คุณพ่อให้หาค่ะ”
แกมแก้วสะดุ้งเฮือก เพราะนานแล้วที่เธอกับพ่อเหินห่างกัน ตั้งแต่แม่จากไป
“มีเรื่องอะไรเหรอคะป้าวรรณ”
“ไม่ทราบสิคะ”
แกมแก้วมีสีหน้าพะวักพะวนหนักใจมาก วรรณจึงอดเวทนาไม่ได้
“คงจะถามอะไรมังคะ เห็นอ่านจดหมายอยู่นี่”
แกมแก้วยังหน้าเครียดหวาดผวา กลัวว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตน

ปราจิตเงยหน้าขึ้นจากจดหมายตรงหน้า เมื่อแกมแก้วก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ไม่สบายเหรอลูกแก้ว”
“เปล่าค่ะ”
“ทำอะไรอยู่”
แกมแก้วตอบ “เปล่าค่ะ” อีก
ปราจิตถอนใจ “วันนี้แบงก์เขาแจ้งสถานะการเงินมา เผอิญมีของลูกแก้วด้วย ทำไมหมู่นี้ใช้เงินมากนัก”
แกมแก้วโล่งอกไปกึ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่แม่จากไป เธอก็มีสิทธิ์ในเงินของตัวเองอย่างเต็มที่
“เอาเงินไปทำอะไรหือลูกแก้ว”
แกมแก้วตอบอย่างละอายใจนิดๆ
“ก็...ซื้อของ จ่ายค่ากิจกรรมพิเศษ...ค่าอะไรอื่นๆ”
ปราจิตมองหน้าลูกสาวที่ก่อนหน้านี้ห่างเหินเย็นชากันไปนาน เสียงอ่อนลง
“ทำไมไม่เบิกกับพ่อ”
“จะให้บอกตอนไหนคะ”
แกมแก้วถามเรื่อยๆไม่ได้ตั้งใจประชด แต่กลับสะดุดใจปราจิตเข้าอย่างจัง
“บอกกับ จีเขาก็ได้”
“อะไรที่ลูกแก้วจัดการเองได้ ลูกแก้วขอจัดการเองค่ะ”
“ทำไมมันมากนัก”
แกมแก้วไม่ตอบ ปราจิตถอนใจอีกครั้ง
“เคยบอกกับ...จี...เขาไหม”

“อะไรคะ”

เสียงศจีดังนำขึ้นมาว่า

“ใครจะบอกอะไรดิฉันคะ”
ก่อนที่ศจีเดินเข้ามา มองทั้งสองอย่างกังขา
“มีอะไรเหรอคะ”
สีหน้าอึกอักของทั้งสอง ทำให้ศจีเหลียวมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสนเท่ห์
“ขอโทษค่ะที่เข้ามายุ่ง”
ปราจิตมองศจีอย่างรู้สึกละอาย ศจีทำท่าจะกลับออกไป แต่แกมแก้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน
“คุณพ่อเรียก...ฉัน มาถามเรื่องค่าใช้จ่าย”
ศจีชะงักหันมาเลิกคิ้วนิดๆ ปราจิตบอกศจีด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฉันไม่ได้สงสัยอะไรหรอกค่ะ ลูกแก้วแกใช้เงินเปลือง ก็เลยเรียกมาถาม”
“ดิฉันมีบัญชีรายรับ รายจ่าย ทุกบาททุกสตางค์ แม้แต่ตัวของดิฉันเอง ก็ตัดบัญชีเท่าที่เคยรับเงินเดือนมา จะดูบัญชีไหมเจ้าคะ”
“เรากำลังพูดถึงเงินส่วนตัวของลูกแก้ว”
ความเหน็ดเหนื่อย ความอ่อนล้า ทำให้ศจีหมดความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป
“ถ้าฉันเห็นแก่เงินละก็ พวกคุณจะไม่มีเหลือแม้แต่กระดูกให้แทะกิน”
ปราจิตถึงกับอ้าปากค้าง เพราะไม่เคยเห็นศจีในมุมดุดันนี้มาก่อน
“เมื่อคุณไปหานางบำเรอ คุณยังต้องจ่าย แต่ฉัน ฉันได้อะไรบ้าง ต่อนี้ไป ฉันจะหาเงินตามทางที่ควรได้รับบ้างละ”
พูดจบศจีก็ผลุนผลันออกจากห้องไปเลย ปราจิตรีบตาม

ศจีเดินออกมาอย่างฉุนเฉียว ปราจิตตามมารั้งแขนเธอไว้
“เดี๋ยว จี...เราไม่ได้พูดถึงเรื่องเธอกันเลย”
แกมแก้วตามออกมา ศจีมองกราดทั้งสอง
“งั้นฉันจะบอกอะไรให้ เผื่อคุณจะมีเรื่องพูดกันมากขึ้น”
สีหน้าทั้งของปราจิตและแกมแก้วมองศจีอย่างงุนงง น้ำเสียงศจีเจ็บปวดแต่สะใจ
“คุณรู้ไหม ผู้หญิงที่นอนแบ็บอยู่กลางถนน ผู้หญิงที่คุณไม่กล้ายอมรับต่อใครๆ ว่าเป็นแม่ของนังเด็กที่คุณเอาเป็นเมียนั้น เคยเป็นอะไรมาก่อน”
ปราจิตคราง “จี”
“ถ้าคุณเป็นผู้ดีเดินตรอกละก็ ลงไปที่ตรงนั้น ถามใครๆ เขาดูก็ได้ว่า บ้านคุณแม่บุญปลีก อยู่ตรงไหน เขารู้จักกันทุกคนแหละ ฮะๆๆ”
ศจีหัวเราะเสียงดัง แต่แววตาขมขื่น
“ที่เขารู้จักไม่ใช่เพราะเป็นผู้มีชื่อเสียงทางอื่นหรอก แต่ที่บ้านนั้นมีชื่อด้วยทางที่ผู้ชายทุกคนรู้จัก แม่ มามาจากที่นั่น และฉัน ก็มาจากที่นั่น”
แกมแก้วถึงกับผงะไป สีหน้าซีดเผือด ศจีมองอย่างพอใจ
“ตอนนี้ พวกคุณได้รู้กันแล้วสิว่า ผู้มีเกียรติยศอย่างคุณได้ลงมาเสวนากับคนอย่างไร ฉะนั้นต่อไปนี้ฉันจะคิดค่าบริการบ้างละ และ...หรือ” เธอหันไปมองปราจิตเต็มตา “ถ้าใครให้เงินฉันมากกว่า ฉันก็ย่อมมีสิทธิ์จะบริการเขาด้วย”
ปราจิตอึ้ง นิ่งงันไป ศจีหันกลับไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้เจ้าตัวเซไปนิดๆ แต่คว้าขอบประตูไว้ทัน
แกมแก้วรีบเข้าไปประคองศจีไว้ แต่พลันสายตาก็มองมือของศจีอย่างรู้สึกผิดปรกติ
แกมแก้วนึกเรื่องแหวนที่สุพรรณชูให้เธอดูแค่แว้บเดียว แล้วใส่คืนลงกระเป๋า
นิ้วศจีไม่มีแหวนสวมอยู่ แกมแก้วกระจ่างแจ้ง รู้สึกเจ็บแปลบเข้าที่หัวใจ

ศจีผละออกแล้วลงบันไดไป แกมแก้วตามไปทันควัน

แกมแก้วตามมาทันศจีในห้องโถงชั้นล่าง

“แหวน แหวนวงนั้น...ไปไหน”
ศจีหันกลับมาตอบด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ได้นึกถึงอย่างอื่น
“ให้คนที่คุมบ้านไปน่ะสิ ไม่เคยรู้บ้างหรือว่า บ้าน อย่างที่เราอยู่มันต้องมีคนคุมทั้งนั้น”
ศจีก้าวเลยผ่านไป ทิ้งให้แกมแก้วเงียบงันด้วยความคิดที่เตลิดไปไกล
ปราจิตก้าวเข้ามาด้านหลังแกมแก้ว
“พ่อเสียใจ พ่อไม่คิดว่า...”
“ลูกแก้วก็เสียใจค่ะ”
แกมแก้วผละออกไป ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบสั่นสะท้านไปทั้งตัว

แกมแก้วเข้าห้องนอนมา พหความคิดสับสนวุ่นวายตามมาด้วย
นึกทวนหวนย้อนไปถึงคำพูดรัตนาพรที่เคยบอกว่า
“ได้ข่าวว่าพี่พรรณกำลังอกหัก”
“อะไรนะ”
“พี่นัยกระซิบมา”
“อกหักจากใครเหรอ”
“เห็นว่าเป็นคนแถววัดที่เขาอยู่นั่นแหละ แต่ชื่ออะไรฉันก็ไม่กล้าซัก”
แกมแก้วดึงความคิดตัวเองกลับมา
“มิน่า...มิน่า...ที่แท้พี่พรรณก็...”
แกมแก้วชะงัก เธอนึกไปถึงอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
โดยวันนั้นแกมแก้วเอาผ้าเช็ดหน้าปักลายสวยมาอวดสุพรรณ
“สวยไหมคะพี่พรรณ จีเขาสอนลูกแก้วปักค่ะ จีเขาว่า...”
สุพรรณกลับเกรี้ยวกราดใส่ “ช่างเขาเถอะ เขาจะว่ายังไงก็ช่าง ทำไมต้องนับถือเขานัก”
แกมแก้วหน้าเจื่อน แปลกใจว่าทำไมสุพรรณต้องเกรี้ยวกราดมากเพียงนี้

ทุกอย่างกระจ่างชัด สาวไฮโซโลกสวยกำผ้าปูที่นอนแน่น น้ำตาไหลออกมา
“พวกเขา รวมหัวกันหลอกเรา”
จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แกมแก้วรีบปาดน้ำตา
“ใครน่ะ”
“ผ่องเองค่ะคุณลูกแก้ว”
“มีอะไร”
นวลผ่องเปิดประตูเข้ามาคุกเข่า บอกว่า “โทรศัพท์ค่ะ”
“ไปบอกว่าฉันไม่อยู่”
“แต่...ดิฉันตอบแล้วว่า กำลังจะมาเรียนคุณ”
แกมแก้วฉุน “บอกให้ไปบอกว่าฉันไม่อยู่”
“เอ้อ...คุณผู้ชายที่เคยโทร. ...”
แกมแก้วยิ่งโมโห ระเบิดออกมาเต็มเสียง
“ไป๊! บอกให้ไป”

นวลผ่องรีบลุก ลนลานออกไป

อ่านต่อหน้า 2

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 31 (ต่อ)

สุพรรณเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะในมหาวิทยาลัย ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว ดนัยมองอยู่

“เป็นอะไรวะไอ้พรรณ”
“ลูกแก้วไม่ยอมรับสายข้า”
“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ ข้าเห็นลูกแก้วยอมเอ็งทุกทีนี่”
“แต่คราวนี้แปลกว่ะ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลย อยู่ดีๆ ก็งอนไม่มีสาเหตุ”
“มันต้องมีสิวะ”
“หรือ...โดนเป่าหูอะไรอีก” สุพรรณนึกถึงศจีขึ้นมา
“อาจจะไม่สบายมั้ง”
“คงไม่สบายมากกว่า แต่ไม่อยากบอก”
ดนัยพูดยิ้มๆ ทำท่าล้อเลียน
“จงเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม
สูงสุดมือจุ่งประคอง ต่อไม้
อย่าเด็ดดอกพะยอม สกลต่ำ
สูเจ้าจงจำไว้ สุดท้ายสบายบรื๋อ”
สุพรรณหมั่นไส้ “อะไรของเอ็งวะ”
“หัดดูแลดอกฟ้าบ้างสิวะไอ้พรรณ ของบอบบางต้องทะนุถนอม แต่ถ้าเอ็งคาย เมื่อไรข้าจะคาบเมื่อนั้น ถึงจะเหม็นขี้ฟันเอ็งมั่ง ล้างน้ำเสียก็หายวะ หรือไม่ก็เอาใบละร้อยเช็ดออก ฮ่าๆๆๆ”
สุพรรณผลุนผลันออกไป ดนัยมองตามอย่างงุนงง

“อ้าว...บทจะไปก็ไปซะงั้น”

แกมแก้วหมกตัวอยู่ในห้อง เอาแต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างขมขื่น คิดกลับไปกลับมาถึงเหตุการณ์ในอดีต

“เขาไม่อยากให้เรามีลูกกับพี่พรรณ มิน่า มิน่า เพราะอย่างนี้นี่เอง พี่พรรณถึงเอาแต่เงิน...เงินของเรา”
แกมแก้วทุบกับที่นอนอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก แกมแก้วรีบปาดน้ำตา แล้วไปเปิดประตู
นวลผ่องยืนรายงาน
“คุณผู้ชายมาหาค่ะ”
แกมแก้วถามกลับอย่างมึนงง
“ใครมา”
“คุณที่เคยมาน่ะค่ะ”
“บอกแล้วไง ว่าฉันไม่อยู่ เพราะฉะนั้นฉันไม่รับแขก”
“ดิฉันก็เรียกแล้ว แต่คุณคนนั้นบอกว่า จะนั่งคอยจนกว่าคุณจะให้ลงไปบอกว่าอยู่”
หัวใจของแกมแก้วอดที่จะชุ่มชื่นขึ้นมาไม่ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงว่าเป็นห่วงเธอ แต่แล้วความคิดอีกด้านหนึ่งก็แว่บเข้ามา
“ห่วงเรา หรือห่วงว่าจะโกยจากเราไม่ได้อีก”
นวลผ่องฟังไม่ถนัด “อะไรนะคะ”
“ให้เขาคอยไปสิ”
แกมแก้วปิดประตูใส่หน้านวลผ่อง

สุพรรณลุกขึ้น พร้อมกับถามกลับอย่างงุนงง เมื่อนวลผ่องกลับลงมาในห้องรับแขก
“เขาไม่ยอมลงมาเหรอครับ”
“ค่ะ เธอบอกว่าไม่รับแขกค่ะ”
“แต่ผมจะรอจนกว่าเขาจะลงมา”
สุพรรณนั่งลงที่เดิม อยากรู้คำตอบให้ได้ว่าแกมแก้วเป็นอะไรกันแน่

แกมแก้วเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างร้อนใจเสียเอง ในที่สุดก็ตัดสินใจกดกริ่งเรียก นวลผ่องเปิดประตูเข้ามา
“เขากลับไปหรือยัง”
“ยังค่ะ แต่ไปคอยที่ศาลาไทย ตะกี้เห็นคุณแม่บ้านกำลังถามอยู่ว่าใครมา”
แกมแก้วรู้สึกร้อนใจ กลัวว่าถ้าวรรณไปพบจะเกิดเรื่องแน่ จึงผุดลุกขึ้นโดยเร็ว
“คุณจะให้ยกของว่างลงไปไหมคะ”
“ไม่ต้อง”

แกมแก้วรีบออกจากห้องไปทันที นวลผ่องมองตามอย่างงุนงง

สุพรรณหดปลายเท้าที่เหยียดยาวเข้ามา เมื่อเห็นแกมแก้วเดินเข้ามาใกล้

“พี่เอารถมาคืน”
แกมแก้วกัดริมฝีปาก ทั้งที่ใจหายวาบ
“แล้วก็...” สุพรรณล้วงกระเป๋าหยิบแหวน “มันไม่ยุติธรรมที่พี่เอาเงินลูกแก้วไปโดย ไม่ให้อะไรไว้”
แกมแก้วมองแหวนด้วยอาการนิ่งขึง ดวงตาสุพรรณมีแววเศร้า
“พี่ไม่มีความสุข เพราะรู้สึกว่าเอาเปรียบลูกแก้วเกินไป รถของแก้ว น้ำมันของแก้ว เงินของแก้ว พอกันที”
แกมแก้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “หมายความว่า...”
“หมายความว่า ถ้าลูกแก้วจะรักพี่ ก็จงอย่าปรนนิบัติให้พี่จมอยู่ในเครื่องอำนวยความสุขที่ลูกแก้วหามาประเคนให้ ถ้าลูกแก้วรักพี่ ก็ต้องทนต่อความยากเข็ญที่พี่มีอยู่ เป็นอยู่ ลูกแก้วต้องรู้จักว่าพี่ เป็นยังไง ถ้าลูกแก้วทนไม่ได้ก็จง ไปเสีย”
แกมแก้วรู้สึกใจหายวาบ ตัวสั่นสะท้าน
“นี่พี่พรรณหมายความว่า จะเลิกกับลูกแก้วเหรอคะ”
“ลูกแก้วต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจต่างหาก ต่อนี้ไป พี่จะเป็นอย่างที่พี่เป็นอยู่ลูกแก้วจะทนได้หรือไม่ได้ ลูกแก้วต้องตัดสินใจเอาเอง”
แกมแก้วย้อนถาม “ทำไม ลูกแก้วผิดเหรอ ผิดเหรอคะ”
“ธาตุแท้ของพี่มันเป็นเพียงผงดิน ไม่ใช่ผงทองให้แก้วพยายามปั้นเอาทองทาวางไว้บนแท่นยังไง มันก็เป็นดินอยู่นั่นเอง อย่าพยายามให้พี่เป็นอย่างอื่นดีกว่า ถ้าเราหลอกตัวเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เราจะต้องหลอกกันไปชั่วชีวิต”
แกมแก้วจ้องมองสุพรรณด้วยดวงตาฉงนฉงาย สุพรรณวางแหวนวงนั้นไว้ห่างตัว
“มันเป็นของลูกแก้วแล้ว ถ้าเจ้าของเขามาไถ่ถอนคืน พี่จะบอก”
แกมแก้วก้มลงมอง เห็นแหวนวงนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ต้องเพชรเม็ดงาม เป็นประกายพราว แกมแก้วตาพร่าด้วยความรู้สึกภายในที่พลุ่งขึ้นมาปะทะกัน
“เป็นความผิดด้วยเหรอ ที่จะเป็นฝ่ายให้ ให้ ตลอดมา ในความรัก ใครล่ะจะไม่อยากให้คนที่เรารักมีความสุข มีหน้ามีตาเท่าเทียมคนอื่น หรือว่า เป็นวิธีการตีจากอย่างเลือดเย็น”
สีหน้าแกมแก้วเพิ่งปรากฏริ้วรอยแห่งการตัดสินใจเด็ดขาด
“ถ้าพี่พรรณไม่สะดวกใจที่จะเก็บมันไว้ แก้วจะเก็บไว้เองค่ะ”
แกมแก้วเอื้อมมือมากำแหวนไว้มั่น บอกถึงความมั่นใจในตัวเอง
“และถ้าพี่พรรณคิดว่า ทั้งหมด ที่ผ่านมาเป็นความผิดของลูกแก้ว พี่พรรณก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินใหม่ได้”
“พี่พรรณไม่ได้พูดว่า พี่พรรณจะเปลี่ยนความรู้สึกในหัวใจที่มีต่อลูกแก้ว แต่พี่พรรณหมายความว่า ถ้าพี่พรรณจะเป็นผู้นำครอบครัวต่อไป พี่พรรณก็ควรรู้จักนับถือตนเองเสียแต่เดี๋ยวนี้ ลูกแก้วไม่อายเหรอที่ใครๆ เขาพูดกัน ว่าพี่พรรณเป็น ไอ้แมงดาปีกทองฝังเพชร อะไรพวกนั้นน่ะ”
แกมแก้วนิ่งงันไป ยอมรับว่าเคยได้ยินมาเช่นนั้น

โดยในวันนั้น แกมแก้ว และรัตนาพร ยืนรอรถอยู่ แกมแก้วคอยชะเง้อมองไปที่ถนนตลอดเวลา
รัตนาพรแซว “ไงลูกแก้ว คอยคนรถกิตติมศักดิ์เรอะ”
แกมแก้วฉุน “ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะยัยรัต”
วนิดาเข้ามาทัก
“ยังไม่กลับอีกเหรอลูกแก้ว วันนี้องครักษ์ของตัวไปไหนเสียล่ะ”
แกมแก้วบอกกับเพื่อนเสียงอ่อยๆ
“อย่าไปเรียกให้พี่พรรณเขาได้ยินนะ ลูกแก้วไหว้ละ ขี้เกียจมีเรื่อง”
“เรื่องอะไร หรือไม่จริง”

แกมแก้วมีสีหน้าเจื่อนลงไปถนัดตา

สองหนุ่มสาวยังนั่งอยู่ในศาลากลางสวนสวย สุพรรณรำพันอย่างรู้จักแกมแก้วดี

“อีกไม่เท่าไหร่พี่พรรณก็จบ มีงาน มีเงินเดือน พี่พรรณต้องหัดอดออมไว้เผื่อ ครอบครัวในวันข้างหน้า ลูกแก้วก็เถอะ ถ้ารักจะอยู่กับคนอย่างพี่พรรณต้องหัดอดมื้อกินมื้อ ลูกแก้วจะทำได้ไหม พี่พรรณเสียอีกต้องเป็นฝ่ายกลัวว่า ลูกแก้วจะทนอยู่กับพี่พรรณไม่ได้”
รำพันจบแล้ว สุพรรณก็เกิดความรู้สึกชิงชังตนเองขึ้นมาอย่างรุนแรง เพราะรู้ว่าแกมแก้วจะตอบว่าอะไร
“ลูกแก้วทนได้ค่ะ ลูกแก้วให้สัญญา”
สุพรรณถอนใจเฮือก คิดในใจว่านึกแล้ว แต่ถ้าเป็นศจีคงไม่ตอบแบบนี้ เขากะพริบตาถี่ๆ ราวกับจะไล่อารมณ์ตนเอง พยายามรักษาน้ำเสียงให้หวานสนิทหู
สุพรรณมองแกมแก้วอย่างหวานซึ้ง ทำให้หน้าเธอแดงก่ำขึ้น
“พี่พรรณ ไปละนะ”
“ค่ะพี่พรรณ”
แกมแก้วมองตามสุพรรณที่เดินจากไปอย่างรู้สึกเต็มตื้นในอก แต่แล้วหัวใจก็เหมือนถูกกระตุกอย่างแรง เมื่อเห็นใครบางคน
เป็นศจีที่ก้าวพ้นพุ่มไม้ออกมา หยุดนิดหนึ่ง ขณะสุพรรณก้มหัวให้นิดๆ พลางก้าวหลีกไปอย่างไม่ลังเล
ความลิงโลดเต้นพล่านเป็นริ้วขึ้นมา แกมแก้วรู้สึกว่าตนคือฝ่ายชนะ

แกมแก้วเดินเข้าบ้านมาด้วยความรู้สึกเป็นสุขเต็มเปี่ยม รู้ว่าไม่นานศจีต้องตามมา และเป็นจริงดังนั้น ศจีก้าวตามมาด้วยแววกังวล
“ยังติดต่อกันอีกเหรอ”
แกมแก้วกำมือแน่น แน่นจนรู้สึกถึงแหวนที่กดอยู่กลางฝ่ามือ
“จะเป็นอะไรไปเหรอ”
ศจีสีหน้าประหลาดใจนิดๆ แต่นึกอยู่ในใจอย่างฉุนเฉียว
“ไม่มีอะไรหรอก แต่กว่าจะเรียนจบ จะมีลูกเป็นโหล”
แกมแก้วหน้าซีดแล้วก็แดงขึ้นตามดีกรีความโกรธปนความหึงหวง
“พี่พรรณ เอา...มาให้”
แกมแก้วยื่นมือตรงไปตรงหน้าพร้อมกับแบออกช้าๆ
“จำแหวนวงนี้ได้ไหม”
ศจีนิ่งงัน ทำให้แกมแก้วเหมือนได้ชัยชนะติดๆ กันโดยไม่รู้ตัว
“เขา...เอามาให้ฉัน”
ศจีย้อนถามด้วยเสียงค่อนข้างแหลมสูง
“เขาบอกว่ายังไง”
แกมแก้วค่อยๆ กำแหวนไว้ในอุ้งมือ
“ก็คิดว่าเขาจะบอกยังไง”
แกมแก้วหันกลับเดินจากไปเงียบๆ แต่ศจีรู้สึกตัวชาวาบ เงินสามพันก้อนนั้น ที่แท้มาจากแกมแก้วนี่เอง
“เดี๋ยวก่อน”
แกมแก้วไม่หยุด หากแต่หันมายิ้มให้อย่างเลือดเย็น ยิ้มด้วยปากถากด้วยตา เช่นอรุณวตียังไงยังงั้น
“เราสัญญากันแล้วว่าพอเรียนจบ เรา จะแต่งงานกันแน่”

เสียงคำพูดที่ว่า “แต่งงาน” ดังก้องในหัว จนศจีรู้สึกสมองหมุนคว้าง

อ่านต่อตอนที่ 32
กำลังโหลดความคิดเห็น