คุณหญิงนอกทำเนียบตอนที่ 29
อยู่มาวันหนึ่ง จุกตื่นแต่เช้ารู้สึกคิดถึงลูกมาก และไม่สบายใจ จึงมาจุดธูปไหว้พระเสร็จแล้วหันมาไหว้รูปตาศรีต่อ
“น้าศรี น้าช่วยดลใจให้จีมันกลับมาหาฉันด้วยนะจ๊ะ ฉันคิดถึงลูกจีไม่ได้กลับมาบ้านนานแล้ว นานเหลือเกิน”
จุกมองรูปตาศรีด้วยสายตาวิงวอน
ถัดมาในตอนสาย ขณะที่จุกนั่งดายหญ้าอยู่ในสวน ก็มีเสียงดังเหมือนคนเปิดประตูรั้วขึ้น จุกชะงักเหลียวไปมองอย่างดีใจ
“จี...จีกลับมาแล้วเหรอลูก”
จุกลุกพรวดออกมายังประตูเข้าบ้าน แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นผิดหวัง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“แม่”
“เออ...ข้าเอง นึกว่าใครเรอะ” ยายปริกมองค้อน
“ฉันรอจีอยู่”
จุกเดินเข้าบ้านไป ยายปริกรีบตาม
ยายปริกนั่งลงบนแคร่ในสวน มองหญ้าที่จุกดายค้างอยู่
“ทำไมไม่จ้างเขาดายหญ้าวะ”
“ทำเองไม่เปลือง”
“เอ็งจะเก็บเงินไว้ทำไมนักหนา ลูกก็ไม่ต้องเลี้ยงแล้ว”
“ไว้ให้จี มันจะได้มีเงินมากๆ”
“มันเป็นคุณหญิงคุณนายแล้ว เงินมันมากกว่าเอ็งเยอะนักนังจุก”
“ไม่เป็นไร ฉันยังมีแรงทำไหว จีจะได้มีเงินมากขึ้นอีก”
“แล้วมันมาหาเอ็งบ้างหรือเปล่า”
“จีคงยุ่งอยู่”
“แต่หลายวันก่อนมันมาหาข้า”
นังจุกเขย่าแขนยายปริกอย่างดีใจ
“จริงเหรอแม่ จีมาเหรอ จีเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”
“มันไม่ได้มาเยี่ยมเอ็งหรอกเรอะ”
จุกหน้าเศร้าลง “เปล่าจ้ะ”
“เฮ้อ...สงสัยมันจะรีบ ไม่รู้จะรีบไปทำไม พิลึกคน”
จุกสะดุดหู “พิลึกยังไงแม่”
“มันท้อง แต่มันจะเอาเด็กออก”
จุกตกใจ “อะไรนะแม่ จีท้อง ท้องกับใคร”
“ก็ท้องกับผัวมันน่ะสิ ข้านึกว่ามันจะบอกอะไรเอ็งบ้าง นี่ไม่รู้เรื่องเลยหรือไงวะ”
จุกส่ายหน้างงๆ
“ไม่รู้ จีไม่ได้มานานแล้ว แล้วจีจะเอาเด็กออกทำไมล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้ ถึงว่ามันแปลก เอ็งนี่ก็ไม่ได้เรื่อง ข้าอุตส่าห์มา นึกว่าจะได้ความอะไรบ้าง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับนังจีกันแน่”
จุกมองไปข้างหน้า มองไปที่รูปตาศรีอย่างเหม่อลอย
“จีไม่เป็นไรหรอก น้าเขายังอยู่แถวนี้ คอยคุ้มครองจีอยู่ น้าเขารักจีมากนะเขาตั้งชื่อศจีมาจากอะไรรู้ไหม พ่อชื่อศรี แม่ชื่อจุรีไงล่ะ น้าเขาบอกว่า ศจี เกิดมาต้องเป็นใหญ่เป็นโต เป็นคุณหญิงคุณนายเท่านั้น แล้วก็ได้เป็นจริงๆ คุณหญิงศจี...คุณหญิงศจี”
จุกยิ้มกับตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความสุขกับอดีต ยายปริกได้แต่มองจุกอย่างเวทนา
ชีวินออกจากบ้าน เดินมายังโรงรถกำลังไปทำงาน แปลกใจเมื่อเห็นแกมแก้วนั่งอยู่เหมือนรอใครบางคน
“ยังไม่ออกไปเรียนเหรอลูกแก้ว”
“ยังไม่สองโมงค่ะ เขาไม่ให้ไปแต่เช้า”
“ดีแล้ว อย่าไปไหนให้มากนัก คนมันพูดกันมาก...ไม่ดี...”
แล้วชีวินก็เดินออกไป บรรจงมองอย่างแปลกใจ
วันต่อมา บรรจงทำความสะอาดครัวไป วิเคราะห์ไปด้วย
“เป็นพี่ชายยังไงนะ ไม่รู้จักคุ้มครองน้องสาว”
“ก็คุณศจีแกคุมอยู่” นวลผ่องบอก
บุญส่งเอ่ยขึ้นว่า “ข้าว่านะ คุณศจีน่ะ...”
“ฮึ...ไม่รู้จะคุมคุณลูกแก้วไปถึงไหน” บรรจงไม่ชอบศจีอย่างเก่า
ละม่อมแปลกใจ “แปลก คุณลูกแก้วก็กลัวแกเสียด้วย”
“พี่น้องสองคนโตๆ ด้วยกันแล้ว รวมหัวกันต่อต้าน แม่เลี้ยงก็เด็กจะทำอะไรได้ นี่ปล่อยให้ข่มอยู่ได้ ยัยคุณแม่บ้านเหมือนกัน ไหนว่าเคยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงคุณหญิงที่สิ้น ไม่ยักช่วยคุณลูกแก้ว”
นวลผ่องบอกว่า “คุณหญิงท่านคงฝากฝังไว้ละมั้ง”
“จะมาฝากอะไรกับเด็ก ถ้าฝากไว้กับคุณรัชนีฉายถึงจะถูก” บรรจงบอก
“คุณรัชนีฉายของเอ็งน่ะตกกระป๋องไปนานแล้วโว้ย” ละม่อมว่า
“ใช่ๆๆ ตกกระป๋องไปแล้ว ฮ่าๆๆ” บุญส่งหัวเราะเยาะ
บรรจงเบ้หน้า ค้อนควักอย่างหงุดหงิด
ศจีหยิบแหวนเพชรในร้านขายเครื่องประดับมาลองสวม พิศดูยามอยู่บนนิ้วเรียวแล้วถอดแหวนออกออกวางลง แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะร่วนที่คุ้นหู ศจีหันไปมอง
เห็นเป็นรัชนีฉายตระกองกอดหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งเข้ามาในร้าน รัชนีฉายสวมรองเท้าบูธ ใส่แว่นตาดำโต บุคลิกผิดแผกไปจากเมื่อก่อนที่มาดราวนางพญาหงส์ พอรู้ตัวว่ามีคนมองก็เหลียวขวับมาหา พลางถอดแว่นดำออก ทักทายด้วยน้ำเสียงแหลมแกมหัวเราะกึ่งประชดแดกดัน
“ไงคะ คุณหญิงศุภศจี”
ศจีถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“คุณรัชนีฉายเหรอคะ”
“ถึงกับจำไม่ได้เชียวเหรอ ฉันน่ะ เลิกทำตัวเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปนานแล้วตั้งแต่พัฒนาตัวใหม่ไม่มีใครจำได้สักคน เธอรู้จักคู่หมั้นฉันไหม เราจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้”
รัชนีฉายลากแขนโทนี่เข้ามา โทนี่ผมยาวระต้นคอแต่งตัวแบบฮิปปี้
“โทนี่ นี่แหละคุณหญิงศุภศจี คุณหญิงนอกทำเนียบของคุณพี่เขยฉันละ”
“Hello. Nice to meet you.”
ศจีทักตอบพลางจับมือโทนี่ “Hello Tony. Glad to meet you too."
“เขาสบายดีเหรอ ฮื้อ...ไม่น่าถาม มันต้องสบายดีแหละ” รัชนีฉายหัวเราะร่วน พยายามแสดงว่ามีความสุขเหลือแสน “แต่เธอดูแก่ไปเยอะ มีแฟนแก่มันก็เลยพลอยแก่ตามอย่างนี้แหละ อย่าทำตัวเชยนักเธอ ไปเถอะโทนี่”
รัชนีฉายโบกมือให้ ก่อนจะควงคู่โทนี่ออกไป ศจีมองตามอย่างรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างรุนแรง
เช้านี้ รถแกมแก้วที่สุพรรณเป็นคนขับแล่นมาตามถนน สุพรรณโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้าง ขณะที่แกมแก้วนั่งซุกตัวร้องไห้ ผมยาวสยายปิดใบหน้า
“แล้วลูกแก้วก็ยอมทำอย่างนั้นเหรอ”
“จะให้ลูกแก้วทำยังไงละคะ
“ทำไมไม่ไปหาหมอ”
“เขาไป ตั้งแต่ตอนที่ลูกแก้วตกบันไดแล้ว”
แกมแก้วพูดไปสะอึกสะอื้นไป ทำให้สุพรรณเริ่มรำคาญ
“เลิกร้องไห้ทีน่า พูดไปร้องไห้ไป ใครจะรู้เรื่อง”
แกมแก้วยิ่งร้องไห้หนัก สุพรรณจึงเสียงอ่อนลง
“แล้วทำไมจะต้องให้เขาเข้ามายุ่งด้วย”
แกมแก้วฉุน “จะให้แก้วทำยังไงละคะ ทำยังไง”
“พี่มีทางของพี่”
“ทางไหนดีกว่านี้เหรอคะ”
“ลูกเมียพี่ พี่รับผิดชอบเอง”
สุพรรณทิ้งท้ายอย่างเจ็บใจ อยากพูดประโยคนี้ต่อหน้าศจีเสียเอง
สุพรรณขับรถมาถึงหน้าบ้าน
“วันนี้พี่เข้าไปส่งในบ้านนะครับ”
“เราแยกกันตรงนี้ดีกว่าค่ะ”
สุพรรณอึ้งไป “ทำไม”
“ลูกแก้วไม่อยากให้เขาสงสัย”
สุพรรณเสียงเขียว “เขาน่ะใคร”
แกมแก้วอึกอัก ทำให้สุพรรณยิ่งเจ็บใจ
“แม่เลี้ยงคนใหม่น่ะเหรอ”
“เรื่องยุ่งๆ เพิ่งจบไป ลูกแก้วไม่อยากให้เขาสงสัย”
สุพรรณกำพวงมาลัยแน่น
“ทำไมต้องเชื่อฟังเขาขนาดนี้ ไม่เชื่อพี่แล้วเหรอ”
“ให้เรื่องมันผ่านไปอีกสักพักเถอะค่ะ”
สุพรรณนิ่วหน้า แกมแก้วเอามือวางบนแขนของเขา
“ลูกแก้ว ไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
สุพรรณกระแทกเสียงใส่ “ตามใจ ถ้าพี่ไปหาคนอื่น ลูกแก้วอย่ามาโกรธล่ะ”
สีหน้าของแกมแก้วเผือดซีดลง ดวงตามีแววช้ำ แต่น้ำเสียงก็ยังเด็ดเดี่ยว
“ไปเถอะค่ะ ถ้าพี่พรรณเห็นคนอื่นดีกว่าแก้ว”
สุพรรณยิ่งโกรธเมื่อคิดว่าศจีทำให้แกมแก้วเปลี่ยนไปเช่นนี้ เขาผลุนผลันเปิดประตูลงจากรถไปดื้อๆ
แกมแก้วเกาะขอบประตูร้องเรียก
“พี่พรรณคะ พี่พรรณ”
เสียงรถคันหลังบีบแตรไล่ แกมแก้วจำต้องรีบเปลี่ยนไปนั่งด้านคนขับ แล้วขับรถต่อไป
แกมแก้วกลับเข้ามา ชะงักเมื่อเจอศจีนั่งอ่านเอกสารรออยู่ ขณะที่วรรณเอาชาเข้ามาเสิร์ฟ แกมแก้วทำท่าจะเดินผ่านเลยไป แต่ศจีเปรยขึ้นมาเสียงเข้ม
“ทำไมกลับมาค่ำนักละคะ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
“วันนี้มีกิจกรรมพิเศษ ลืมบอกไว้ แต่ลูกแก้วก็โทร.มาบอก ทำไมต้องเอ็ดลูกแก้วยังกับเด็กๆ ด้วย”
“ก็ดีแล้ว ใครจะรู้ว่ากิจกรรมของคุณจะพิเศษสักแค่ไหน”
ศจีบอกกับแกมแก้วอย่างจริงจัง “ถ้าเกิดเรื่องอีกครั้ง คงไม่มีใครช่วยคุณได้แล้วนะคะ”
แกมแก้วก้มหน้างุด เถียงไม่ออก
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบตอนที่ 29 (ต่อ)
วันนี้ บรรดาคุณหญิงคุณนายนั่งจิบน้ำชาอยู่ในศาลากลางสวน ในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีศจีนั่งอยู่หัวโต๊ะ บรรจงถือถาดเข้ามาเสิร์ฟน้ำ ขณะที่สายสุนีย์เอ่ยขึ้น
“เขาว่าสิ้นปีนี้ ท่านจะถูกย้ายไปสับเปลี่ยนกับท่านทูตที่เยอรมันไม่ใช่เหรอ”
“ยังไม่ทราบแน่เลยค่ะ”
พิจิตราชี้ให้ดูในหนังสือพิมพ์หน้าสังคม
“นี่ดูสิคะคุณน้อง หน้าสังคมยังลงข่าว “ฝันใกล้รุ่งเมื่อคืนนี้ ผู้ที่มีชื่อลงท้ายว่า “จิต” จะกินตำแหน่งใหญ่ใกล้ขั้นเอกอัครราชทูตแน่ทีเดียว”
วัชรินทร์บอกเสริมว่า “ลงข่าวล่วงรู้ถึงหนังสือพิมพ์ เชียร์กันขนาดนี้ ก็ต้องใกล้ความจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วละ”
“คนในกระทรวงก็แทบจะตั้งแท่นพิมพ์รอชื่อไว้แล้ว” พิจิตราบอก
“คุณหญิงศุภศจีกับคุณปราจิตเนี่ย สมกันยังกับกุหลาบแรกแย้มปักในแจกันทอง มองแล้วชื่นตาชื่นใจนะคะ” สายสุนีย์ว่า
“ขอบคุณค่ะ”
ศจีได้แต่ยิ้มรับ แต่ลึกๆ ตระหนักในใจว่าคนพวกนี้ไม่ได้นบนอบอย่างจริงใจ
บรรจงถือถาดเข้ามาในครัว บ่นบ้าด้วยความหมั่นไส้ศจี
“คุณศจีนี่มาดดีแฮะ เสื่อผืน หมอนใบ หิ้วขึ้นรถมาไม่กี่วันนี่เองแม่วางท่าเสียยายคุณหญิงตราตั้งซูฮก”
นวลผ่องระอา “เอ็งนี่อะไรกับคุณศจีนักหนา”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่พูดตามที่เห็น”
“ข้ารู้นะว่าเอ็งน่ะยังภักดีกับคุณรัชนีฉายของเอ็ง เพราะเขาให้เงินพิเศษเอ็งทุกเดือน”
บรรจงทำลอยหน้าลอยตา นวลผ่องเบะปากหรี่ตามองบรรจงอย่างหมั่นไส้
ด้านปราจิตอยู่ที่ห้องทำงานในกระทรวง เพิ่งหยุดเขียนหนังสือ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยความรู้สึกตาลายวิงเวียน จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปราจิตจึงรีบผงกหัวขึ้นมา ซ่อนความอ่อนเพลียไว้
“เข้ามา”
จรรยา เลขาหน้าห้องเปิดประตูเข้ามา
“ขอเรียนเตือนเรื่องนัดหมายค่ะ”
ปราจิตบอกเสียงเบาหวิว “ว่ามา...”
“ท่านคะ”
ปราจิตเสียงดังเกือบปรกติ “ว่ามาเถอะ”
“บ่ายนี้ท่านนัดจะไปซ้อมกอล์ฟกับท่านสุรศักดิ์ เย็นนี้ค็อกเทลปาร์ตี้สถานทูตอังกฤษ พรุ่งนี้เช้าจะมีประชุมกับฝ่ายการเงิน”
ปราจิตหลับตาฟังอย่างอ่อนล้า
จรรยาทักขึ้นอีก “ท่านคะ”
“ว่าอะไร”
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ปราจิตฝืนบอก “เปล่า...หมดแล้วใช่ไหม ขอบใจนะที่เตือน”
จรรยาออกไป
ผ่านไปอีกหน่อย ขณะที่ปราจิตนั่งทำงานอยู่ในห้อง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ท่านทูตเงยหน้าเหลียวไปมอง เห็นจรรยาเปิดประตูเข้ามา
“คุณศุภศจีมาค่ะท่าน
สีหน้าปราจิตค่อยสดชื่นขึ้นอย่างชัดแจ้ง
“เชิญเข้ามาได้”
จรรยาออกมาเชิญศจี
“เชิญได้แล้วค่ะ”
พอศจีเข้าห้องไป พิสมัยกับลัดดาก็เข้ามาถามอย่างสนใจ
“เนี่ยเหรอ เมียใหม่ของท่าน” ลัดดาถาม
จรรยารีบตอบว่า “ก็ยัยเด็กที่เคยติดหน้าตามหลังคุณหญิงท่านไงล่ะ”
พิสมัยไม่อยากเชื่อ “อาไร้ คั่วเด็ก”
ลัดดาดูหมิ่น “จะเป็นคุณหญิงทูตได้เร้อ”
“แต่ท่าก็ไม่เลวหรอกนะ” จรรยาว่า
“อายุน้อยไปหน่อย ไม่สมกัน” พิสมัยบอก
“แต่ได้ยินว่า ท่านน่ะเกรงใจเมียคนนี้มาก” จรรยาว่า
ลัดดาบุ้ยใบ้ “กลัวเมียล่ะสิ”
พิสมัยสยอง “ก็น่ากลัวอยู่หรอกนะ คนอะไรไม่รู้ ด่าคนทางลูกกะตาได้”
ทุกคนพยักหน้าให้กันอย่างเห็นด้วย
ปราจิตเงยหน้าขึ้นทันทีศจีเดินเข้ามา พยายามทำตัวให้สดขื่น
“อ้อ...จี”
“ดิฉันมารับ”
“ไปสิคะ”
ศจีมองปราจิตอย่างเหม่อลอย เพราะใจหวนคิดถึงสุพรรณขึ้นมา
“เป็นอะไรคะ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ปราจิตเก็บงานบนโต๊ะ แล้วกดปุ่มเรียกจรรยาเข้ามา
“ผมจะออกไปข้างนอก”
จรรยาซึ่งอยู่ที่โต๊ะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ปราจิตรีบพูดต่อ
“บ่ายจะอยู่ตามสถานที่ที่นัดไว้ คุณรู้เบอร์โทรศัพท์แล้วใช่ไหมมีอะไรติดต่อไปได้”
“เอ้อ...ค่ะ”
จรรยารับคำด้วยสีหน้างุนงง
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบตอนที่ 29 (ต่อ)
ปราจิตเดินออกมาหน้าตึกทำการกระทรวงต่างประเทศ พร้อมกับศจี
“วันนี้ประชุมอะไรกันบ้าง”
“อย่างเคยเจ้าค่ะ ทางที่ประชุมจะให้ดิฉันเป็นประธา” ศจีถอนใจเฮือกใหญ่
“มีอะไรเหรอ ได้ยินเสียงถอนใจหลายครั้งแล้ว”
ปราจิตวางมือบนหลังมือของศจี แต่ก็ไม่ทำให้ศจีรู้สึกอบอุ่นขึ้น
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ดิฉันจัดการเองได้”
“อยากไปเมืองนอกไหม”
“คะ”
“เธออาจจะได้เป็นคุณหญิงทูตเร็วๆ นี้ละมั้ง คุณหญิงทูตที่อายุน้อยที่สุด” ท่านทูตสัพยอกตอนท้ายอย่างอารมณ์ดี
ศจีรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วความรู้สึกดังกล่าวก็ค่อยๆ จางลง
ทางด้านแกมแก้วกอดหนังสือเดินมาตามทาง สีหน้าเหม่อลอยอมทุกข์ แต่แล้วเธอก็ชะงักเมื่อเห็นใครบางคน แกมแก้วเงยหน้ามอง แปลกใจกึ่งดีใจนิดๆ แต่แล้วก็สะบัดหน้าทำท่าจะหันหลังหนี
“ลูกแก้ว”
แกมแก้วตัดสินใจเดินหนี พยายามกลั้นน้ำตา สุพรรณตามมาดึงมือแกมแก้วไว้
“อย่าเพิ่งไปสิ คุยกันก่อน”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วล่ะค่ะ”
“พี่ขอโทษ สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา”
แกมแก้วชะงัก น้ำตาไหลรินออกมา สุพรรณประคองไหล่อย่างอ่อนโยน
“ลูกแก้วยกโทษให้พี่นะครับ พี่ผิดเอง”
แกมแก้วใจอ่อนยวบ มองหน้าสุพรรณอย่างแสนรักและอาลัยอาวรณ์
“พี่พรรณ”
“พี่สัญญา พี่จะไม่ทำให้ลูกแก้วมีความทุกข์อย่างที่เคยมีอีก จะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้เราต้องตกนรกทั้งเป็น เราจะเริ่มต้นกันใหม่ อย่างที่แก้วว่า จนกว่าจะเรียนจบ ทางข้างหน้า อาจจะลำบากยากเย็นสำหรับเราบ้าง แต่พี่สัญญาให้อีกประการว่า จะไม่มีใครอีกเลย พอใจไหม”
แกมแก้ววางมือทับลงบนมือของสุพรรณ เขาพลิกมือเกาะกุมมือเล็กๆ นั้นไว้ แล้วดึงเธอเข้ามากอด แม้กึ่งหนึ่งในใจยังอดวูบไหวไพล่ไปคิดถึงใครอีกคนไม่ได้ แต่ก็ตัดใจผนึกใครคนนั้นให้ตายอยู่ในซอกที่ลึกที่สุดของหัวใจ
อีกฟาก บนรถที่แล่นมาตามท้องถนน ปราจิตพิงศีรษะลงกับเบาะ เพราะเกิดอาการใจรอนๆ หวิวขึ้นมาอีก ศจีหันไปถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรเจ้าคะ”
ปราจิตพยายามฝืนยิ้ม เพราะไม่อยากให้ศจีเห็นความอ่อนแอร่วงโรย
“เปล่า...งานมันมาก เลยเพลียไปหน่อย”
ศจีมองหน้าปราจิตที่ค่อนข้างซีด แล้วก้มลงเปิดกระเป๋าค้นหาอะไรบางอย่าง
“โอเดอโคโลญจน์แท่ง ลองดมดูไหมเจ้าคะหอมดี”
ปราจิตเกือบจะยื่นมือออกไปรับอยู่แล้วเชียว แต่คิดได้เสียก่อน
“ยังไม่ได้เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก เพลียจริงๆ”
ปราจิตวางมือทับมือศจีไว้ รู้สึกอยากให้เวลาถอยหลังไปอีกสิบปีเพื่อเรียกวัยหนุ่มกลับคืนมา
“ศจี...ไปธุระที่อำเภอกันไหม”
ศจีอึ้งไปชั่วครู่ เข้าใจความหมายของประโยคนั้น แต่ความคิดลอยไปไกลถึงสังคมที่จากมา แต่แล้วมีเสียงรถเบรกดังสนั่น พร้อมกับรถแฉลบไปสีฟุตบาทโครมใหญ่ ตามมาด้วยร่างผู้หญิงคนหนึ่งปลิวมากระแทกกับกระจกหน้ารถ แล้วหล่นลงไปบนพื้น
ศจีกระแทกกับเบาะหน้า แล้วกระดอนกลับมาเอียงทับปราจิตที่ไถลลงไปอยู่บนพื้น สิทธิ์ร้องตกใจขณะที่ตัวเองกระแทกกับพวงมาลัยจนเจ็บ
“อะไรกัน ท่านเป็นยังไงบ้าง”
ศจีรีบก้มลงลากปราจิตขึ้นมา
“อะไรกันหือ”
“รถคันหน้าเฉี่ยวผู้หญิงกระเด็นมาทางเราขอรับ ถ้าเบรกไม่ทัน..มีหวัง...”
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูมากขึ้น พร้อมกับส่งเสียงเซ็งแซ่
หญิง 1 บอก “รถชนผู้หญิง”
ชาย 1 ถาม “ใครวะใคร”
ปราจิตสั่ง พลางขยับตัวไปมา
“ไปดูคนเจ็บซิ เป็นยังไงบ้าง”
ศจีรีบเปิดประตูรถออกไปดู
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบตอนที่ 29 (ต่อ)
ศจีลงจากรถ เห็นผู้คนมุงดูคนเจ็บ เธอพยายามแหวกผู้คนเข้าไป โดยมีสิทธิ์นำหน้า
“ขอดูคนเจ็บหน่อย”
ชาย 2 ชี้ไปทางหนึ่ง “นี่ไง เจ้าของรถคันที่ชน”
คนขับรถอีกคันที่เป็นคนชนทำท่าจะขับออกไป ศจีเห็นรีบร้องสั่ง
“อย่าเพิ่งให้ไปไหน ให้จอดรอตำรวจก่อน”
คนขับโวย “อ้าว ผมไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย จะให้จอดรอสวรรค์วิมานอะไรโว้ย เสียเวลา”
“คุณหญิงท่านให้รอ” สิทธิ์บอก
“ตำแหน่งคุณหญิงก็ได้แล้ว จะต้องสงเคราะห์อะไรอีก หรือถ้าจะสงเคราะห์ คนเจ็บก็สงเคราะห์ไปสิ” คนขับบอก
นิสัยไม่ยอมคนของศจีผุดขึ้นมา ศจีก้าวฉับๆ ไปมองหน้าคนขับ บอกขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“นายจะไม่รอตำรวจก็ได้ แต่ฉันจะบอกตำรวจว่านายชนคนแล้วหนี”
“อ้าว...ไหงเป็นงั้น”
“ก็นายเฉี่ยวกระเด็นเข้ามาในทางรถฉัน”
“เอ๊ะ เอ๊ะ พูดให้ดีนะคุณนาย อย่าหาตะรางใส่กันง่ายๆ” คนขับไม่ยอม
“งั้นนายก็ต้องอยู่ให้ตำรวจพิสูจน์ก่อน” ศจีหันไปสั่งสิทธิ์ “คอยดูนายนี่ไว้อย่าให้หนี ถ้าจะหนี ขอให้ประชาชนรุมประชาทัณฑ์ก็แล้วกัน”
คนขับแค้น “อ้าว ถือว่ามีเงินกุมเหงคนจนหรือไง”
ศจีไม่สนใจ หันกลับไปยังคนเจ็บที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ซึ่งปราจิตเข้าไปดูแลอยู่แล้ว ท่านทูตหันไปบอกไทยมุง
“เรียกรถให้ผมคันเถอะครับ ผมจะพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล”
พอปราจิตพลิกตัวคนเจ็บขึ้นมา ศจีร้องถามอาการ
“เป็นไงบ้าง” แต่แล้วศจีถึงกับตะลึงงัน “อ้าว เอ๊ะ” แล้วร้องเรียกขึ้นมาสุดเสียง “แม่”
จุกแหงนคอพาดอยู่บนตักของปราจิต รอบตัวมีทั้งเศษเหรียญบาท และผักตำลึง และผักจากสวนอีกหลายกำ หล่นกระจายอยู่ กระจาดหล่นอยู่อีกทางหนึ่ง
ศจีโถมเข้าไปหาจุกเต็มแรง พยายามจับต้องส่วนนั้นส่วนนี้สำรวจบาดแผล พลางเขย่าไปมา
“แม่ แม่เป็นยังไงบ้าง แม่ตายหรือเปล่า ตายหรือยังแม่ อย่าตายนะอย่าตาย จีอยู่นี่แน่ะแม่”
ทุกคนเหลียวมามองอย่างประหลาดใจ ด้วยสภาพของผู้เป็นแม่กับคนที่เรียกตัวเองว่าลูก ต่างกันลิบลับ
ปราจิตหน้าซีดเผือด นึกไม่ถึงว่าตนจะมีแม่ยายแบบนี้ จึงพูดกับศจีด้วยเสียงค่อยๆ พลางก้มหน้างุด
“สงสัยจะสลบ”
ศจีพลิกดูแขนดูขา พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากบางแห่งของร่างกายจุก ศจีน้ำตากลบตา
“แม่มีเลือดไหลด้วย”
ตำรวจจราจรมาถึง เข้ามาดูเหตุการณ์ พลางออกคำสั่ง
“เอาคนเจ็บไปได้แล้วครับ ผมจะเรียกแท็กซี่ให้”
ปราจิตบอกกับศจีว่า “จี พา...คนเจ็บไปเถอะ ฉันจะจัดการทางนี้เอง”
ศจีกับสิทธิ์ช่วยกันพยุงจุกลุกขึ้นไป
ละม่อมอุทานออกมาอย่างนึกไม่ถึง หลังจากสิทธิ์เล่าเรื่องรถชนแม่ศจีให้ทุกคนในครัวฟังจบลง
“หา...แกแน่ใจเหรอไอ้สิทธิ์ ว่านั่นเป็นแม่ของคุณเขาจริงๆ”
“ก็เขาเรียกแม่เต็มปากเต็มคำเลยนี่ป้า”
นวลผ่องไม่อยากเชื่อ “ไม่น่าเชื่อเลยนะ คุณศจีแกมาดดีจะตาย”
บรรจงหมั่นไส้ขึ้นมา “มาดดีเพราะคุณหญิงท่านฝึกให้น่ะสิ”
บุญส่งท้วง “แต่ว่า...คุณศจี...ก็...”
ละม่อมนึกได้ “แกเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณลูกแก้วนี่ คุณลูกแก้วไม่เคยรู้เลยเหรอ”
“คุณศจีแกไม่เคยให้เข้าไปถึงบ้านเลย ใครไปรับไปส่งก็จอดหน้าปากซอยทุกที” สิทธิ์บอก
“มิน่า...ถึงไม่มีใครรู้ แต่ในที่สุดความก็แตกจนได้”
บรรจงว่าพลางกลอกตาไปมา ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
บรรจงทำทีเข้ามาปัดกวาดห้อง สักพักก็มองซ้ายมองขวา ว่าไม่มีใครเห็นแล้ว จึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาหมุน
รอจนปลายสายมีคนรับจึงพูดสาย “สวัสดีค่ะ ขอสายคุณรัชนีฉายค่ะ”
บรรจงมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีระแวดระวัง กลัวมีใครมาเห็นเข้า
รัชนีฉายรับฟังข่าวอยู่ที่บ้านด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ดีมากบรรจง แกรอรับรางวัลได้เลย ถ้ามีอะไรคืบหน้าคอยรายงานฉันเป็นระยะก็แล้วกัน”
รัชนีฉายวางสาย แววตาลุกวาวเหี้ยมเกรียม หยิบสมุดโทรศัพท์ที่วางไว้ขึ้นมาเปิดหาเบอร์
“สวัสดีค่ะ หนังสือพิมพ์เหรอคะ ดิฉันมีข่าวสำคัญจะรายงานค่ะ”
ใบหน้ารัชนีฉายขณะฟัง คลี่ยิ้มร้ายสะใจออกมากับข่าวชิ้นสำคัญ
อ่านต่อตอนที่ 30