คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 25
แกมแก้ววิ่งหุนหันออกมาทั้งน้ำตา จนเกือบจะชนวรรณที่เดินผ่านมาหน้าห้อง
“อะไรคะคุณลูกแก้ว”
แกมแก้วไม่ตอบ แต่วิ่งขึ้นบันไดไป ป้าวรรณมองตามอย่างรู้สึกมีสิ่งผิดปกติ แล้วมองเข้าไปในห้อง
ปราจิตหันมาพูดกับศจี
“เผอิญประตูปิดไม่สนิทถึงได้ยินเข้า เสียใจด้วยที่แกมาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด”
ศจีหมุนกระดาษออกจากแท่นพิมพ์อย่างมั่นคงเชื่องช้า ราวกับจะเตือนสติตนเอง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เธอควรมีสิทธิ์ถามในสิ่งที่เธอข้องใจ”
“การถามกับการกล่าวหา ไม่เหมือนกัน”
ปราจิตทำท่าจะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อรุณวตีเคยนั่ง
ศจีเอ่ยขึ้น “ขอโทษเจ้าค่ะ เอ้อ...เก้าอี้ตัวนี้คุณหญิงท่านเคยนั่งเป็นประธานดิฉันไม่อยากเห็นใครนั่งแทนที่”
ปราจิตผงกศีรษะเข้าใจ มือแตะที่พนักพิงด้วยท่วงท่าอ่อนโยน
“เข้าใจละ”
“คุณ คุณรัชนีฉายเธอเคยสั่งให้ยกไปเก็บ ระหว่างที่ดิฉันยังทำงานอยู่ที่นี่ขอความกรุณาตั้งไว้ก่อนได้ไหมเจ้าคะ ดิฉัน ยังอยากให้ตัวเองรู้สึกว่า ท่านยังอยู่ เพียงแต่เจ็บ ไม่สบายมาก เลยลุกมาทำงานไม่ได้จนกว่าดิฉันจะสะสางงานเรียบร้อยแล้วก็จะลา”
“จะไปไหน”
“งานของดิฉันหมดแล้ว”
“ไว้ให้หมดจริงเสียก่อนค่อยพูดกัน อาทิตย์นี้เราจะ เก็บศพไว้วัด ตอนเลี้ยงพระขอให้ช่วยพี่วรรณหน่อย เพราะรายนั้นเอะอะร้องไห้ป้ำๆ เป๋อๆ ไปเยอะคืนก่อนไม่รู้เอาผ้าที่จะทอดบังสุกุลประจำคืนไว้ไหน หากันชุลมุนทั้งบ้านจะช่วยคุมของให้บ้างได้ไหม”
“ได้เจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มพอใจ
กลางดึก จุกปักธูปลงในกระถางหน้าหิ้งพระเสร็จ ก้มลงกราบ พอได้ยินเสียงศจีเดินเข้ามา จุกหันไปทักอย่างดีใจ
“จี...กลับมาแล้วเหรอ กินข้าวหรือยังลูก”
“กินมาจากงานแล้วจ้ะ” ศจีมองธูปที่จุกปักไว้ “ดึกแล้วแม่ยังจะจุดธูปอีกเหรอ”
“วันนี้แม่ไปทำบุญเพิ่งได้พระองค์นึงมา เลยอยากจะบอกกล่าวท่านให้ช่วยคุ้มครองจี”
“ระวังเถอะแม่ ไฟจะไหม้บ้าน”
“ไหว้พระ พระต้องคุ้มครอง แล้วนี่จีกินข้าวหรือยัง”
“แม่ถามไปแล้วนี่”
“เออ จริงสินะ แล้วจะกินอีกไหม”
“ไม่ละ แล้วแม่กินข้าวหรือยัง”
จุกมองลูกสาวด้วยท่าทางเกรงใจ “หิว เลยแบ่งกินก่อน”
“ฉันเคยบอกแล้วนี่จ๊ะ ว่าไม่ต้องคอย”
“งั้นแม่จะเก็บไว้กินเองพรุ่งนี้ ประหยัดไปอีกมื้อ”
“แม่จะเก็บเงินไว้ทำไมนักหนา”
“ไว้ให้จี มีเงินมากๆ ดีนะลูก”
“ดียังไงแม่”
“ดีซิ” จุกคิดปราดเดียว “มีเงินมากๆ มันดี เพราะเราจะได้ไม่ต้อง หากิน ไงลูก”
ศจีอึ้งไป คำพูดที่ว่า “หากิน” กระทบใจเธออย่างแรง
เมื่อเข้ามาในห้อง ศจีทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง ยิ่งเมื่อนึกถึงคำพูดของแกมแก้ว
“อย่าคิดนะว่า ถึงไม่มีคุณแม่แล้ว ฉันกับพี่วินจะยอมให้เธอมาแทนที่คุณแม่เราไม่ยอม ได้ยินไหม เราไม่มีวันยอม”
แววตาของศจีวาววับขึ้น แกมแก้วพยายามระงับอารมณ์ แต่สีหน้าและกิริยาหยามหยัน
“แม่เลี้ยงของเราต้องไม่ใช่คนอย่างเธอ เราไม่มีวันยอมรับ”
ศจีกำมือแน่น หอบหายใจรุนแรง ขณะบอกตัวเองอย่างมาดมั่น
“สักวันพวกเธอจะต้องยอมรับ”
อาลัยเงยหน้าขึ้นจากการจับจีบดอกบัว ซึ่งวางไว้เรียงรายบนพาน แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาด้วยสายตากึ่งตำหนิ
รัชนีฉายอยู่ในอาภรณ์สีสดปราดเข้ามา ดวงตาแดงก่ำอย่างคนโกรธเกรี้ยว
“คุณพี่เพิ่งเสีย ทำไมใส่เสื้อสี”
รัชนีฉายยักไหล่ “อยู่บ้านเราเองจะเป็นอะไรคะ ไว้ไปบ้านโน้นค่อยแต่งชุดดำ”
“ทำอย่างนั้นไม่งามนะลูก พี่กันน้องกัน แล้วก็ไม่ใช่ญาติห่างไกล จะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่น ต้องทำให้เสมอกันหมด”
“ถ้าใจเป็นทุกข์ จะแต่งสีไหนมันก็ทุกข์อยู่นั่นเอง ถ้าใจไม่ทุกข์ อย่าว่าแต่แต่งชุดดำเลย ทาตัวให้ดำ มันก็ไม่ทุกข์ นั่งทำอะไรคะ”
“ดอกบัว จะเอาไปถวายพระ” อาลัยก้มหน้าพับดอกบัวต่อ
“เห็นคุณพระดุลย์ ว่าคุณพี่วตีฝากพินัยกรรมไว้”
“คงงั้นมั้ง เพราะนับถือคุ้นเคยกันมานาน”
“พอเก็บศพแล้ว คงจะเปิดพินัยกรรมหรอกค่ะ”
“จะมีอะไร้ มีลูกอยู่สองคนก็แบ่งกันไป”
รัชนีฉายเอ่ยขึ้นว่า “วันก่อนเห็นยัยลูกแก้วลุกขึ้นอาละวาด”
“เรื่องอะไร”
“เรื่อง แม่ศจีนั่นแหละค่ะ”
อาลัยนิ่วหน้าอย่างแปลกใจแกมกังวล
“ลูกแก้วรู้เรื่องนั้นแล้วเหรอ”
“รู้แล้วสิคะ แกไม่ยอมท่าเดียว เห็นท่า ความเป็นเพื่อนจะขาดกันก็คราวนี้”
รัชนีฉายยิ้มอย่างสะใจสมใจ อาลัยนึกสงสารหลานสาวโลกสวยที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
หญิงสูงวัยตระหนักชัดว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกแน่
บ่ายวันนี้ ไฟในเมรุลุกโชน สีแดงฉาย ดอกไม้จันทน์ดอกแล้วดอกเล่าถูกโยนลงไปในเปลวเพลิง
ปราจิต ชีวิน แกมแก้ว รัชนีฉาย วรรณ และศจี ต่างยืนจ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาร่างไร้วิญญาณของอรุณวตีในโลงทองให้มอดไหม้ลง ด้วยความรู้สึกต่างกัน
ผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ ศจีเก็บของเสร็จ เดินออกมาเพื่อกลับบ้าน แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นปราจิตทำทีเดินเฉียดกรายเข้ามาใกล้
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหมศจี”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
“จะกลับบ้านแล้วเหรอ”
“เจ้าค่ะ”
ปราจิตพยักหน้ารับรู้ แต่พอสวนกันก็เข้ามากระซิบ
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เดี๋ยวตามไปที่รถนะ”
ปราจิตเดินนำออกไปก่อน ไม่ปล่อยโอกาสให้ศจีค้านได้
แกมแก้วบังเอิญเข้ามาเห็น มองตามอย่างสงสัย
สุพรรณนั่งรออยู่ จนเห็นแกมแก้วกระหืดกระหอบตามมาด้วยท่าทางร้อนรน
“มีอะไรเหรอลูกแก้ว”
“พี่พรรณช่วยไปเป็นเพื่อนแก้วหน่อยค่ะ”
สุพรรณแปลกใจ แกมแก้วรีบอธิบายต่อ
“ลูกแก้วจะได้กระจ่างสักที ว่าที่สงสัยน่ะมันจริงหรือเปล่า”
ใม่นานต่อมา ปราจิตเปิดประตูรถให้ ศจีขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย
“เหนื่อยไหม”
“นิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“ขอบใจ ที่ช่วยให้งานเรียบร้อย”
“ดิฉันเพียงแต่จะทดแทนบุญคุณ คุณหญิงท่าน”
“วันนี้เราคุยกันหน่อยได้ไหม คุยกันในรถนี่แหละ เพราะหากมีใครเห็นเราที่อื่น เรื่องจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่”
ปราจิตขับรถออกไป ไม่เปิดโอกาสให้ศจีปฏิเสธได้เลย
แกมแก้วกับสุพรรณซุ่มแอบดูอยู่มุมหนึ่ง แกมแก้วถึงกับยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้อุทานออกมา
สุพรรณเองก็ตะลึงงันอย่างนึกไม่ถึง แม้จะระแคะระคาย แต่นี่ภาพมันเห็นคาตา ชายหนุ่มมองตามรถไปด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
รถแล่นออกมาด้านนอกวัด มุ่งหน้าออกไปยังถนนถนนใหญ่ ปราจิตขับรถมาตามทางเงียบๆ สุดท้ายหันมาถามศจีที่นั่งเงียบมาตลอด
“ตอนนี้ ดูเหมือนใครๆ จะพูดถึงเรา ไม่ค่อยดีนัก”
“ช่างเถอะเจ้าค่ะ ไม่เคยมีใครพูดถึงดิฉันในทางดีมานานแล้ว”
“ฉันเสียใจ ที่เกิดเรื่อง”
“มันผ่านมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
ปราจิตหักพวงมาลัย เลี้ยวรถจอดลงข้างทางอย่างแรง สบถอย่างหงุดหงิดเต็มทน
“ปากเสีย ขอโทษ มันทนไม่ไหวจริงๆ”
ศจีไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เพราะในใจของเธอคุกรุ่นและรุนแรงกว่านี้มาก
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“สรุปแล้ว เราเสียคนทั้งคู่”
“อีกหน่อยก็สงบไปเอง คนเรา ถ้านินทาใครซ้ำซากอยู่นานๆ มันก็ไม่สนุกเขาต้องหาเรื่องใหม่มาพูดกันจนได้ โดยเฉพาะถ้าไม่เห็นคนที่เขาจะนินทา”
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ดิฉันเคยกราบเรียนแล้วว่า ถ้าสางงานเสร็จเรียบร้อย ดิฉันจะไปทันที”
“เธอคิดว่ามันจะหมดเรื่องหรือ”
“มันอาจจะไม่หมดเรื่อง แต่ถ้าท่านจัดการให้เรียบร้อย ก็อาจจะเบาบางลง”
“จัดการอะไร”
“คุณ...รัชนีฉาย”
ปราจิตสวนขึ้นมาทันควัน “เลิกพูดถึงผู้หญิงคนนี้ที ฉันอาจจะตัดใจไม่ได้มาหลายครั้งแต่ครั้งนี้ จบสิ้นกัน”
“นั่นแล้วแต่ท่าน”
“จะให้ฉันเล่าไหมว่า ฉันผิดพลาดมาอย่างไร”
“อย่าเล่าดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะ ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ”
“ใช่ ผู้ชายเราน่ะ กินในที่ลับแล้วเขาไม่เอามาไขในที่แจ้งหรอกแต่ ฉันคิดว่า ฉันควรเล่าให้เธอฟัง”
“ทำไมเจ้าคะ”
ปราจิตเริ่มเล่าความเป็นมาของตนกับรัชนีฉายให้ฟัง
ศจีรับฟังอย่างไม่สะทกสะท้าน
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 25 (ต่อ)
ด้านแกมแก้วนั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่งในวัด มีสุพรรณนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
“ในที่สุด มันก็เป็นเรื่องจริง อย่างที่คุณน้ารัชนีฉายเล่าคุณพ่อ กับ เพื่อนของลูกแก้วเอง ลูกแก้วไม่เคยนึกเลย”
สุพรรณกัดกรามแน่น นึกถึงศจีอย่างทั้งรักทั้งแค้นในเวลาเดียวกัน เสียงสั่นด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน
“ใครล่ะ จะนึกถึง”
“ถ้าเป็นพี่วิน ลูกแก้วยังดีใจพร้อมจะสนับสนุน แต่นี่ ทำไม ทำไมต้องเป็น”
“บางที คนเราก็อาจต้องฉวยโอกาสที่มาถึงก่อน”
“แต่ลูกแก้วนึกไม่ถึงเลย ว่าจีจะเป็นคนฉวยโอกาสแบบนี้”
“ลูกแก้วคิดว่ารู้จักเขาดีแล้วเหรอ สิ่งที่เราเห็นบางทีก็อาจเป็นแค่ภาพที่เขาสร้างขึ้นเฉพาะให้เราเห็นเท่านั้น”
“พี่พรรณพูดเหมือนรู้จักจีดี”
สุพรรณรีบกลบเกลื่อน “ไม่รู้จักหรอก ถึงจะอยู่ซอยเดียวกัน แต่พี่ก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นใครก็ไม่รู้ที่ห่างไกลกันมาก”
“ลูกแก้วก็ไม่อยากเชื่อว่าเคยมีเพื่อนสนิทอย่างเขา เขาเหยียบย่ำทำลายความเป็นเพื่อนอย่างร้ายกาจ แล้วยังทรยศคุณแม่ คุณแม่ที่รักเขาเหมือนกับลูกสาวอีกคนนึงด้วย”
แกมแก้วร้องไห้ด้วยความเสียใจ สุพรรณโอบปลอบใจ แกมแก้วซบลงกับไหล่ของเขา
สุพรรณกอดแกมแก้วไว้ แววตาลุกวามอย่างแค้นใจ
ปราจิตเดินมาหยุดอยู่ริมน้ำ เหม่อมองคล้ายบรรลุการตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันกลับมาถามศจี
“เธอคิดว่าฉันแก่คราวพ่อบ้างไหม”
“สำหรับอะไรเจ้าคะ”
“เธอว่ามีอะไรบ้างเล่า”
“วัย ความคิด ฐานะ สังคม มากมายหลายประการ”
แววตาของศจีวาววับเป็นประกาย
ปราจิตมองศจีอย่างหลงใหล ปัดผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ ถามเสียงอ่อนหวาน
“อะไรที่เธอว่ามานั้น ทำให้ฉันแก่เกินกว่าที่เธอจะรักได้ไหม”
ปราจิตพูดพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ศจี เอามือทาบบนหลังมือเธอ ศจียิ้มนิดๆ
“ฉันไม่ได้ถามแต่ว่า จะรักฉันได้ไหม แต่จะถามต่อไปว่าเธอจะแต่งงานกับฉันได้ไหม”
“ค่ะ”
“โอ...ศจี”
ปราจิตยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วรวบตัวศจีเข้ามากอดไว้แน่น
ศจีตกตะลึงนิ่งงันไป แต่ใบหน้ากลับยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ คราวนี้ลูกแก้วและชีวินจะต้องยอมรับเธอ
จุกแบกกล้วยทั้งเครือเข้ามาวางที่แคร่หน้าเรือน พอเห็นศจีก็ดีใจ
“กลับมาแล้วเหรอจี กินข้าวหรือยังลูก”
“กินแล้วจ้ะ แม่ คุยกันหน่อยได้ไหม”
“ได้สิจี”
จุกมองศจีอย่างแปลกใจกึ่งดีใจ เอามือเช็ดกับเสื้อผ้าอย่างงกๆ เงิ่นๆ ทำตัวไม่ถูก
จุกทรุดลงนั่งตรงนอกชาน ลากกระจาดใบใหญ่ที่มีใบตองวางเรียงรายอยู่มาหาตัว แล้วเอาเข็มกลัดกลัดไปด้วยอย่างคนไม่ยอมอยู่นิ่ง
“เวลาฉันไม่อยู่ แม่ทำอะไรบ้าง”
“ทำงาน ถมเถไป”
“แม่เหงาไหม”
“ทำไมจะต้องเหงา” จุกย้อนถามงงๆ
ศจีใช้มือลูบกลีบกระโปรงอย่างไม่รู้จะขึ้นต้นอย่างไรดี
“ถ้า ฉันไม่อยู่บ้าน แม่จะอยู่คนเดียวได้ไหม”
“จีไปเช้า มืดก็กลับ คอยได้”
“ถ้า...” ศจีกลืนคำพูดที่ติดคอลงไป “ถ้าฉันต้องไปอยู่ที่อื่นล่ะแม่”
“ก็ไปด้วยกัน”
“ถ้า...ถ้า..แม่ไปไม่ได้”
คราวนี้จุกหยุดทำงาน พยายามคิด
“ทำไมจะไปไม่ได้ แม่ไปได้ทั้งนั้น ไปกับจี พ่อเขาสั่งแม่ไว้ไม่ให้ทิ้งจี ถ้าพ่อเขารู้ เขาจะโกรธ”
ศจีมองแม่ อยากจะเข้าไปนั่งอิงใกล้ๆ อย่างสมัยเด็ก แต่ก็อึกอักเก้อเขิน
“แม่ ที่ฉันจะไปอยู่ แม่ไปด้วยไม่ได้”
“ทำไม แม่กับลูกถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้”
“เมื่อแม่ไปกับฉัน ใครจะดูบ้าน ดูสวน พ่อจะโกรธเอาอีก แม่ต้องเฝ้าบ้านนี่จ๊ะ”
“แล้วจีจะไปไหน”
ศจีอึกอัก นิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป
“ฉันจะ แต่งงาน”
จุกสนใจ ท่าทีกระฉับกระเฉงขึ้นทันควัน รามือจากการทำงานทันที
“แต่งงาน กินเลี้ยง...แต่งกับใคร”
“คนที่ฉันทำงานอยู่กับเขา”
“จัดงานไหม”
“ไม่มีหรอกแม่”
จุกอึ้งไปก่อนจะถามพาซื่อว่า “ไปนอนกับเขาเฉยๆ เรอะ”
ศจีนิ่งงัน รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว ตัดสินใจเล่าสิ่งที่ตกลงกับท่านทูตปราจิตให้แม่ฟัง
เวลานั้น สองคนยืนนิ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำกลางบรรยากาศอันสวยงาม ปราจิตหันมาบอกศจีด้วยเสียงอ่อนหวานแกมตื่นเต้น
“เราเห็นจะมีงานอะไรไม่ได้ อาจจะบอกกล่าวคนใกล้ชิดสองสามคน กินข้าวกัน จดทะเบียน”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ดิฉันจะขอท่านเพียงสองอย่างเท่านั้น”
“บอกมาสิ”
“ข้อหนึ่ง เมื่อ...อยู่ด้วยกัน ท่านจะมีใครอีกไม่ได้เลย ไม่ว่า...ใหม่...หรือเก่า”
ปราจิตนิ่งอึ้ง ศจีย้ำอย่างเด็ดขาด
“ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็เลิกล้มข้อตกลงทั้งหมด”
“ฉันรับรองได้ในข้อที่ว่า จะไม่มีใครอีก แต่ ที่แล้วๆ มา...”
“นี่แหละเจ้าค่ะ ท่านต้องจัดการให้เสร็จสิ้น ก่อนที่เราจะ อยู่ด้วยกัน”
“แล้วฉันจะเจรจา กับเขา”
“ข้อสอง ดิฉันจะต้องมีสิทธิ์เท่า คุณผู้หญิงของบ้านทุกประการ”
ปราจิตถามด้วยความกังขา “โดยไม่จดทะเบียน”
“ค่ะ”
“ทำไม”
“เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ดิฉันรู้สึกว่าไม่ได้ตีตนเท่าคุณหญิงท่าน”
“เธอรู้ไหมว่า ถ้าเธอไม่ได้จดทะเบียน เธอจะมีสิทธิ์แค่ไหนเพียงไร”
“ดิฉันทำไม่ได้เจ้าค่ะ ดิฉันไม่ต้องการสิทธิ์พึงมีพึงได้อย่างอื่น เพียงแต่เราพูดกันถึงเรื่องนี้ ขณะที่ คุณหญิงท่าน เพิ่งจากไป ก็ไม่งามเสียแล้ว”
“เธอเป็นคนแปลก แปลกเหลือเกิน”
ศจีทำหน้าเฉย หากยิ้มอยู่ในใจอย่างเยือกเย็น
จุกฟังจบแล้วถามย้ำ
“เขาให้เท่าไหร่”
“แล้วฉันจะให้แม่”
ศจีถอนใจพลางลุกขึ้น จุกแหงนหน้ามองลูกอย่างสงสัย
“ไม่แต่งงาน แล้วทำไมไปอยู่กับเขาเลย”
ศจีก้มลงมองแม่
“ฉันต้องได้แน่ๆ จ้ะแม่ แต่ ไม่ใช่หมายถึงเงินอย่างเดียว ฉันอยากได้อะไรหลายๆ อย่างที่แม่ไม่เข้าใจ”
ศจีเข้าห้องไป จุกมองตามอย่างค้างคาใจและสงสัยไม่หาย พึมพำกับรูปตาศรีว่า
“ต้องไปเล่าให้แม่ฟัง บางที แม่แกจะรู้”
ส่วนศจีนั่งนิ่งอยู่ในห้อง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้แหละ ทีของเราบ้างละ”
คำพูดที่แกมแก้วพูดใส่หน้าศจีดังก้องขึ้น
“แม่เลี้ยงของเราต้องไม่ใช่คนอย่างเธอ เราไม่มีวันยอมรับ”
“คราวนี้ เธอจะต้องยอมรับแล้วสินะ”
ศจีพรายยิ้มอย่างสมใจ
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 25 (ต่อ)
ตอนสายวันรุ่งขึ้น เมื่อยายปริกได้ฟังจุกซึ่งมาหารือพูดจบลงแล้ว ถึงกับตบอกดังปุๆ ดวงตาเบิกกว้าง
“มันต้องเรียกสิวะ อีจุกเอ๊ย ชะ เราเบ่งออกมาแท้ๆ ปั๊กกะตูแรกเรายังได้กันเป็นพันแล้วนี่ จะแต่งจะต้อยกันทั้งที มันต้องมีค่าน้ำนม ของเราน่ะมดไม่ได้ไต่ ไรไม่ได้ตอม มันจะแต่งกะใครหา”
“เขาว่า ทำงานด้วยกัน”
“หรือว่า” ยายปริกตะโกนเรียกหาอู๊ดดังลั่น “นังอู๊ด...นังอู๊ด นังนี่กระแดะไปไหนอีกละเนี่ย”
อู๊ดเดินมาจากริมคลองหลังซ่อง “อะไรแม่ อยู่หลังบ้านนี่เอง ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”
“ไหน เอ็งเคยว่าใครนะ เมียตาย”
“ข่าวไฮกะตี้แม่” อู๊ดว่า
“เออ...ข่าวอะไรว่ามา”
“ยายคุณหญิงชื่อยาวตั้งฟุตนั่นไงแม่ เจอคราวซวยก็เลยม้วยมรณัง”
“ไอ้ที่เราเขียนจอมอถึงใช่ไหม แล้วเรายังไปงานวันเกิดด้วย เออ..เห็นกันอยู่หลัดๆ นะ”
จุกแปลกใจ “แม่ไปงานวันเกิดเขามาด้วยเหรอ”
“เออๆ บังเอิญน่ะ มีลูกค้ารู้จักกัน” ยายปริกรีบเบี่ยงความสนใจ หันไปหาโสภา “ใช่ไหมนังโส”
“อ๋อ ใช่ๆ แกหัวใจวายตายละมั้ง” โสภารับลูก
คราวนี้ยายปริกตบผางเข้าที่หน้าตักตัวเอง
“เห็นไหม ถ้าแม่ไม่ช่วย เขาจะแต่งกะมันเรอะ ไอ้พูชายมันรวยมะรึดกเมียหลายล้านละสิ แล้วทำไมไม่มาสู่ขอ...หา”
“ไม่รู้”
“เอ็งไม่รู้ไม่ได้ ข้าเป็นยาย ข้าจะจัดการเอง ถ้าไม่ได้ ต้องฟ้องให้เป็นข่าว”
จุกงง “ฟ้องใครแม่”
“ก็ฟ้อง โปลิศ สิวะ เด็กของเราไม่บรรลุ...”
อู๊ดสะกิด “แม่ ทำไมจะไม่บรรลุ ก็ไปกะเขาแล้ว”
“ชะ ข้าหมายฟามว่า ไม่บรรลุนิติภาวะ เราไม่รับรอง มันก็แต่งไม่ได้เขาเรียกพรากผู้เยาว์”
“ถ้าจีมันสมัครใจ” อู๊ดทักท้วง
“แต่ข้าไม่สมัครใจ”
“เขาอยู่กับจีนะแม่ ไม่ใช่อยู่กับแม่ ถึงแม่สมัครใจกะเขา เขาอาจไม่สมัครใจกะแม่”
“ข้าจะไปค้าความ ไม่ได้ไปค้ากามโว้ย”
เห็นยายปริกออกท่าทางขึงขังเอาจริง จนจุกและอู๊ดจำต้องนิ่งเงียบกันไป
ศจีวางมือจากการทำงาน เมื่อบานประตูถูกเปิดเข้ามา เผยให้เห็นรัชนีฉายในชุดดำ ที่ดูเหมือนชุดค็อกเทลมากกว่าชุดไว้ทุกข์ เดินเข้ามาหา
“สะสางงานเรียบร้อยหรือยัง”
“ยัง...ค่ะ”
“เสร็จงานแล้ว จะออกเหรอ”
ศจีไม่ตอบ แต่วางมือแตะอยู่บนสมุดบัญชี รัชนีฉายไปนั่งที่เก้าอี้ประจำที่อรุณวตีเคยนั่ง วางท่าเหมือนอรุณวตีเป๊ะ
“ถ้ายังไม่มีงานอื่น จะอยู่ทำงานที่นี่ก็ได้ คนเคยรู้งานอยู่แล้ว จะได้ช่วยผ่อนแรงฉันเหมือนที่เคยทำให้คุณพี่ คิดจะอยู่ที่นี่ไหม”
ใบหน้าสวยของศจีมีรอยยิ้มขึ้นมาแว่บหนึ่งก่อนจะจางหายไป ตอบหนักแน่น
“ค่ะ ดิฉันต้องอยู่ที่นี่แน่”
รัชนีฉายขยับตัวอย่างหงุดหงิด นึกไม่ถึงว่าศจีจะตอบรับเช่นนี้ คิดในใจว่าจะอยู่คอยตำแหน่งต่อจากฉันละสิ ไม่มีวันเสียหรอก แต่ก็พยายามระงับโทสะเต็มที่
“เธอได้เงินเดือนเท่าไร”
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านจะจ่ายให้ดิฉันเอง”
“เอ๊ะ เธอตกลงอะไรกับคุณปราจิตไว้”
“ท่านขอร้องให้ดิฉันอยู่ที่นี่ค่ะ”
รัชนีฉายลุกพรวดขึ้นอย่างร้อนรุ่ม นั่งไม่ติด
“ทำไมคุณพี่ไม่บอกฉัน”
“ดิฉันไม่ทราบ คุณไปถามกันเอาเอง”
“ฉันจะไปพูดกับคุณพี่”
ศจีเหลือบตาลงต่ำมองเฉพาะงานตรงหน้า เหมือนกับเป็นการตัดบทว่าเธอจะทำงาน
“ฉันจะไปตกลงกับคุณจิตก่อน ถ้างานที่เธอสะสางไว้เสร็จเรียบร้อย เราอาจจะไม่รับเธอไว้ทำงานต่อก็ได้”
ศจียิ้มใจเย็น มือเริ่มหยิบโน่นหยิบนี่ทำต่อไป
“ดิฉันก็คิดจะหาใครมาฝึกงานแทนเหมือนกัน”
รัชนีฉายอุทานอย่างแปลกใจและยินดีระคนกัน
“อ้าว ไหนตะกี้ว่าจะอยู่”
“ค่ะ จะอยู่ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่นี้”
รัชนีฉายงงใหญ่ “จะทำอะไร หรือ ช่วยพี่วรรณ พี่วรรณ เธออายุมากแล้ว”
“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันจะอยู่ทำหน้าที่ ท่าน ขอแต่งงานกับดิฉัน”
คำพูดนั้นกระแทกใส่หน้าจังๆ รัชนีฉายถึงกับตาค้าง ถอยหลังเซไป
“เธอว่าอะไรนะ”
ศจีไม่ตอบ แต่ยิ้มอย่างผู้มีชัย ดวงตาแพรวพราว ชัดเจนเสียยิ่งกว่าคำพูด รัชนีฉายส่ายหน้า
“ไม่...ไม่...ไม่จริง...ไม่จริง”
ศจีเพียงเลิกคิ้วนิดๆ ยิ้มบางๆ แล้วก้มหน้าดูงานที่วางอยู่ กิริยาเช่นเดียวกับอรุณวตี
สายตารัชนีฉายเวลานี้ เห็นภาพของศจีพร่าเลือน แล้วกลายเป็นภาพอรุณวตีกำลังยิ้มเยาะ
“ถึงเธอไม่บอก พี่ก็รู้แล้วว่าเดี๋ยวนี้ เธออยู่ในฐานะอะไร”
รัชนีฉายเหมือนจะเป็นลม ตาพร่า เซไปเกาะเก้าอี้ไว้ เหงื่อแตกพลั่กๆ กรีดร้องเสียงโหยหวน
“ไม่จริง”
“เธออยู่ในฐานะอะไร”
“ไม่จริง โกหก โกหกทั้งเพ”
เสียงศจีดังขึ้น “ถ้าคุณคิดอย่างนั้นได้ก็ดีค่ะ”
รัชนีฉายหมุนตัวกลับ แล้วเซซังออกไปนอกห้อง
รัชนีฉายวิ่งออกมา ปะทะกับวรรณที่กำลังจะเข้าไปในห้อง
“อะไรกันคะ”
รัชนีฉายชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกหัวเราะๆ
“ฟัง พี่วรรณ ฟังมันว่า มันจะแต่งงานกับคุณพี่แล้วอยู่ที่นี่แทนคุณพี่วตี มันจะมาเป็นนายเราไงล่ะได้ยินไหม พี่วรรณ? ฮ่าๆๆๆ”
รัชนีฉายระเบิดหัวเราะออกมาเต็มเสียง คล้ายคนสติแตก ก่อนจะเซซังออกไป ทิ้งให้วรรณยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ไปชั่วขณะหนึ่ง
วรรณเปิดประตูเข้ามา ประจันหน้ากับศจี ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ยินดี
“จริงเหรอ”
ศจีถอนใจยาว ก่อนจะตอบเนือยๆ
“ท่านขอ อย่างนั้น”
วรรณอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับ
“ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะป้าวรรณ” ประโยคนั้นทำให้วรรณชะงัก “แต่...ไม่แต่งงาน”
วรรณหันกลับมาช้าๆ ดวงตาที่สบตากัน มีแววรู้เท่าทันกัน
“ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะของฉัน แต่ไม่ใช่ในฐานะแทนที่...คุณหญิงท่าน”
วรรณถอนใจยาว ตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
“สุดแท้แต่”
แล้ววรรณก็เดินจากไปอย่างไม่ยินดียินร้ายใดๆ
ทิ้งให้ศจีมองไปรอบๆ ตัวคล้ายสงสัยว่า สิ่งที่เธอมุ่งหวังทะเยอทะยานมาทั้งหมด ถูกต้องแล้วหรือไร
เสียงรัชนีฉายดังแหวขึ้นปนเสียงสะอื้น ในห้องโถงบ้านนางอาลัย
“คุณแม่ขา... คุณแม่”
อาลัยมองลูกสาวที่ทุ่มตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเวทนา
“มันจะแต่งงานกับคุณพี่ ได้ยินไหมคะ มันว่ามันจะแต่งงาน”
“แล้วคนกลางเขาว่ายังไง”
“ถ้าไม่ขอมันแต่งงานจริง มันจะพูดได้เหรอคะ”
อาลัยถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“อ้าว ก็แสดงว่าคุณจิตยังไม่ได้พูด เฮ้อ ทำไมไม่ถามไถ่กันก่อน คนเราโตๆ กันแล้ว ฟังไมได้ศัพท์จับเอามากระเดียด มันไม่งามนะลูก”
“ถ้าไม่จริงมันจะพูดเต็มปากเต็มคำเหรอคะ”
“ใครจะพูดยังไงก็พูดไป เรื่องแบบนี้ต้องถามคนกลางเขาดู ไป๊ ไปถามกันดูก่อน ค่อยมาตีโพยตีพาย”
รัชนีฉายคร่ำครวญ “ไม่ค่ะ หนูไม่อยากถามให้ปวดใจอีก คุณจิตทำอย่างนี้เหมือนกรีดหัวใจของหนูจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี”
“มา แม่จะโทร.ไปเอง”
อาลัยเดินไปที่โทรศัพท์ หยิบสมุดที่วางอยู่ขึ้นมาเปิดเบอร์โต๊ทำงานปราจิตที่กระทรวงต่างประเทศ
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 25 (ต่อ)
ปราจิตอยู่ในห้องทำงานที่กระทรวงฯ แล้ว กำลังรับโทรศัพท์ และคุยสายกับอาลัยซึ่งโทร.จากบ้าน
“ครับ คุณแม่”
“ถ้าว่างมาที่นี่สักหน่อยเถอะ มีเรื่องด่วนอยากจะคุยด้วย”
“ระยะนี้ผมไม่ว่างเลย”
“มีธุระจริงๆ ขอพบหน่อยเถอะ”
ปราจิตนิ่งไปครู่หนึ่ง ด้วยความเกรงใจ
“ครับ แล้วจะไป”
“นัดมาเลยดีกว่า เดี๋ยวสวนกันไปสวนกันมา จะเสียเวลาทั้งสองฝ่าย”
สีหน้าปราจิตใคร่ครวญครุ่นคิด
พออาลัยวางสาย รัชนีฉายลุกขึ้นถาม
“เขาว่ายังไงคะ”
อาลัยถอนใจ “เอาเถอะ...แม่จะจัดการเอง ขืนให้พูดกันเองก็จะทะเลาะกันเสียก่อน ทำอะไรเอาแต่อารมณ์”
“เรียกมาพูดกันต่อหน้าญาติๆ ดีไหมคะ”
อาลัยโบกมือโดยเร็ว “ขอเสียที อย่าให้อื้อฉาวไปกว่านี้เลย จะเอายังไงก็เอากัน พูดเสียให้รู้เรื่อง จะขาดกันหรือเลี้ยงไว้กับเอวอู่คู่เคียงหมอนก็ให้มันรู้กันไป มาคาราคาซังอยู่อย่างนี้ลำบากใจนัก”
“ดีสิคะ พูดกันให้หมดเปลือกต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เขาจะได้เกรงใจ”
“ให้เขาเกรงใจผู้ใหญ่ แล้วโอนเอียงมาทางเรา มันจะดีหรือ สู้ให้เขารักเราชอบเราเองดีกว่า พูดกันเงียบๆ จะได้ไม่อายเขา”
“หนูอยากให้ผู้ใหญ่รู้ด้วย”
อาลัยฉุน “เอ๊ะ แล้วแม่ไม่ใช่ผู้ใหญ่หรือยังไง แม่จะค่อยๆ ถามไถ่เอง น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย ขืนเอะอะอย่างหนูใครเขาก็เปิด”
รัชนีฉายลังเล “แต่ถ้า...เด็กนั่นมันพูดจริงล่ะคะ”
สีหน้าของอาลัยก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบอย่างไร
วันรุ่งขึ้น ห้องรับแขกบ้านนางอาลัย ได้ต้อนรับปราจิตมาสักระยะหนึ่งแล้ว ท่านทูตขยับตัวลุกขึ้นอย่างสุภาพ พลางยกมือไหว้ เมื่อเห็นเจ้าของเรือนเดินเข้ามารับไหว้ พลางเอ่ยทักทาย
“ขอโทษ กำลังควั่นเทียนอบอยู่เลยช้าไป เด็กๆ ยกน้ำชามาให้หรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับผม”
อาลัยเข้ามานั่ง ปราจิตจึงนั่งลงด้วย
“งานคราวนี้ทำให้ผอมไปนะ”
“ครับผม ไม่ค่อยอยากกินข้าวกินปลา นอนก็ไม่ค่อยหลับ”
“เล่นทางพระเสียมั่งซิ ความจริงพระท่านว่าคนที่ไป เขามีความสุขต่างหาก คนอยู่แหละมีความทุกข์ โศกเศร้า เสียใจสารพัด คนไปเขาไม่ต้องรับรู้อะไรอีก”
“ทราบก็ทราบขอรับ แต่ อดคิดไม่ได้”
อาลัยถอนใจยาว “ใช่ มนุษย์เรามันยุ่งก็เพราะคิดมาก หวังมาก ห่วงมาก นี่ยัยรัชนีฉายก็เป็นโรคคิดมากอีกคน”
ปราจิตขยับตัวเล็กน้อย ท่าทางดูออกว่าอึดอัดเมื่อรู้ว่าอาลัยจะเริ่มพูดอะไร
“ฉันก็ไม่อยากพูดหรอก แต่มันก็รำคาญ ทำไมไม่ปรับความเข้าใจกันเสียที ไอ้ชนิดที่มาตีโพยตีพาย ทางบ้าน มัน รำคาญ”
“เรื่องอะไรขอรับ รัชนีฉายมักจะไม่พอใจอะไรๆ เสียทั้งนั้น ถ้าไม่โมโหก็ร้องไห้ บางทีคนถูกโกรธไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็มี”
อาลัยรู้สึกร้อนวาบด้วยความอายนิดๆ
“จะเรื่องอะไร้ ภาษาผู้หญิง เขามันคนโมโหร้าย หายเร็ว ขี้หวง...หึง...ยัยเด็กที่คุณเคยพามาก็ยังเด็กๆ แท้ๆ รุ่นยัยลูกแก้วใช่ไหม พ่อกับลูก”
คราวนี้ปราจิตเป็นฝ่ายตัวชาวาบขึ้นมาแทน
“คุณอธิบายให้เขาฟังทีได้ไหม ฉันน่ะรำคาญมาหลายวันแล้ว นึกว่าสงเคราะห์คนแก่เถอะพ่อคุณ”
“เขาไม่ใช่คนยอมรับฟังอะไรง่ายๆ ครับผม”
“มาพูดกันเสียที่นี่อีกครั้ง ถ้าเขาไม่รับฟังฉันจะได้ขนาบทีหลัง ว่าเวลาคุณพูดทำไมไม่ฟัง การที่จะมาตีโพยตีพายกับคนอื่นจะใช้ได้ที่ไหน”
พูดจบอาลัยก็หันไปตีฆ้องเล็กๆ ข้างหลังเบาๆ
รัชนีฉายยืนรออยู่ในห้อง ค่อยๆ หันมา ขณะที่สายจิตมารายงาน
“ฮึ อยากรู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไง”
รัชนีฉายยิ้มร้ายอย่างหมายมาด
แน่ใจแล้วว่าวันนี้คงจะถูกมัดมือชกแน่ ปราจิตขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เมื่อเห็นรัชนีฉายก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“มา ยัยรัชนี มาพูดกับคุณพี่เสียให้รู้เรื่อง”
รัชนีฉายเข้ามานั่ง ปราจิตมองชุดของรัชนีฉายอย่างไม่พอใจนัก ที่ไม่ได้แต่งสีดำ
“คุณพี่เขาว่าเรามันขี้งอน พูดกันดีๆ นะจ๊ะ แม่จะฟังอยู่ด้วย จะได้เป็นพยานให้คุณพี่ทีหลัง”
“หนูไม่มีอะไรจะพูด”
อาลัยอุทานอย่างขุ่นเคือง คิดในใจว่าลูกคนนี้โง่แถมหยิ่ง
“อ้าว ไหนว่าทะเลาะกับคุณพี่ แล้วมาตีโพยตีพายกับแม่”
“เขาสิคะ เขาสิคะต้องพูดมาว่าจะเอายังไงกับหนู”
อาลัยหันไปทางปราจิต
“พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน เธอก็ยังเป็นเธอ พี่ก็ยังเป็นพี่”
ประโยคนั้นกรีดเฉือนความรู้สึกของรัชนีฉายอย่างแรง
“งั้นก็แสดงว่าเราไม่มีอะไรกันใช่ไหมคะ”
“เธอพูดอย่างนี้ทุกที เวลาโมโหพี่ จน ครั้งก่อน พี่ต้องยอมรับว่า เอาละ...ไม่มีอะไรกันก็ไม่มี พี่จะไปตามทางของพี่ เธอ มีอิสระในตัวเอง แต่พออารมณ์ดีเธอก็ลืมที่พูดไว้”
รัชนีฉายหน้าแดงก่ำ
“เอา เธอจะเอายังไงกับพี่ก็เอา”
รัชนีแผดเสียงครวญคร่ำออกมาด้วยความเจ็บปวด “คุณพี่ คุณพี่คิดว่าน้องคอย จับคุณพี่เหรอคะ”
อาลัยเตือนเบาๆ “รัชนีฉาย ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา เวลาโมโหก็ยังงี้แหละ คุณพี่ถึงว่าเอา...”
รัชนีฉายปากสั่น จะพูดอะไรก็ไม่ถนัดนัก
“งั้นคุณพี่พูดมาว่ามีอะไรกับนังเด็กนั่นไหม”
“พี่เคยบอกแล้วว่า ตอนนี้ยัง”
“ถ้าไม่มีอะไรกัน ทำไมมันคุยว่าคุณพี่ขอแต่งงานกับมัน”
ปราจิตสะดุ้งนิดๆ เพราะยากที่จะตอบได้
รัชนีฉายประชด “มันมาคุยเองงั้นสิคะ ว่าไงคะ”
เห็นอีกฝ่ายเงียบไปนานสองนาน รัชนีฉายมองจ้อง และยังคงคาดคั้นเอาคำตอบจากปราจิต
“ว่ายังไงคะคุณพี่ ขอแต่งงานกับมันจริงหรือเปล่า”
“เรื่องการแต่งงานของพี่ พูดยาก ข้อแรก คุณวตีเธอเพิ่งเสีย ข้อสอง ใครๆ ก็จับตาดูอยู่ ขืนทำอะไรลงไป ชาวบ้านเขาจะนินทาเอา” ท่านทูตหันมาทางอาลัยเป็นเชิงขอร้อง “กระผมเอง...ไม่อยากให้เขาว่ามาถึงผู้ใหญ่”
อาลัยยิ้มหยัน บอกด้วยเสียงขื่นขม “เขาพูดกันมานานแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”
“แต่กระผมไม่อยากให้พูดมากกว่านี้ รัชนีฉายเป็นน้องคุณวตีมันไม่งาม ตอนนี้ เขาจะพูดยังไงให้เขาพูดไป ถ้าทางเราสงบเสียไอ้เรื่องจะต่อความยาวสาวความยืดกันมันก็ไม่มี จริงไหมขอรับ”
“ก็จริง”
“ระหว่างนี้ผมยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น คุณวตี จากไปแท้ๆ ให้ผมตั้งตัวติดเสียก่อน ถึงจะคิดถึงข้างหน้า”
คำพูดนี้ทำเอาอาลัยนึกละอายวาบขึ้นมา เพราะหากรวบรัดไปก็เท่ากับยัดเยียดลูกสาวให้
“นั่นสิ ยัยรัชนีฉายฟังเสียนะลูก มีอะไรค่อยๆ ปรึกษากัน คุณพี่ยิ่งใจคอไม่ค่อยดี แทนที่จะออมชอมน้ำใจ กลับมีแต่แสนแง่แสนงอน ตีโพยตีพายเอาแต่ใจตัว”
รัชนีฉายยังเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง รู้สึกอัดแน่นอยู่ในอก เพราะปราจิตยังไม่ได้ปฏิเสธ
อาลัยขยับลุก
“พูดจากันเสียไป๊ แม่จะไปทำงานต่อ จะถามอะไรถามกันเอง อย่ามาใช้ปากแม่”
รัชนีฉายพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ ตั้งใจจะคุยกับปราจิตเอง แต่แล้วปราจิตกลับยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“วันนี้ผมมีนัดกับท่านปลัดกระทรวงขอรับ เห็นจะต้องรีบไป”
อาลัยชะงัก รัชนีฉายแทบจะกรีดร้องออกมา
“อ้าว”
“งานสำคัญจริงๆ มีอะไรเอาไว้พูดกันทีหลังนะจ๊ะ”
รัชนีฉายคอแข็งขึ้นมาทันควัน อาลัยรีบพูดแทน
“เอาเถอะไม่เป็นไร งานสำคัญกว่า นัดผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ผิดเวลามันไม่ดี”
ปราจิตผ่อนลมหายใจบางเบา ที่ผ่านวิกฤตไปด้วยดี
อ่านต่อตอนที่ 26