คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 19
อีกฟากหนึ่งในห้วงเวลาเดียวกัน ชีวินนั่งเหยียดยาว ทอดสายตาดูปลายเท้าตัวเองอย่างแน่วนิ่ง จนเมื่ออรุณวตีเดินเข้ามา เขาจึงขยับตัว สีหน้ามีเค้าเคร่งขรึมแววตาหม่นมัว จนมารดาสังเกตเห็นและร้องทัก
“เป็นอะไรจ๊ะ เหนื่อยมากเหรอลูก หรือคอยแม่นาน”
อรุณวตีเอามือแตะแก้มลูกชายอย่างรักใคร่กังวล
“เปล่าครับ”
“วันนี้แม่มีแขก เลยมาช้าหน่อย”
“ผมยังไม่หิว”
“หรือเครียดเรื่องงาน นี่ยัยลูกแก้วยังไม่กลับเหรอ”
“ผมไม่ทราบ”
“ดูๆ น้องบ้างนะวิน เออ คนรถเขามารายงานว่า หมู่นี้ยัยลูกแก้วเก่งใหญ่ถึงกับขับรถเองเชียวเหรอ”
ชีวินตอบมารดาน้ำเสียงเนือยๆ “แกโตแล้วนี่ครับ”
“แม่ไม่ได้ว่าอะไรหรอกจ้ะ แต่ห่วงว่าแกยังมืออ่อน กลัวจะถูกใครเขาชนเอาเท่านั้น วันนี้มีอะไรเหรอจ๊ะ หน้าตาไม่ค่อยสบาย”
อรุณวตีทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พลางยกมือไปแตะหัวเข่าลูก
“บอกแม่ได้ไหมจ๊ะ หรือว่ามีปัญหาเรื่องแฟน”
จู่ๆ ชีวินโพล่งขึ้น “ผมอยากกลับไปเรียนเอกที่อังกฤษ”
“อ้าว ตอนที่เราจะกลับเมืองไทย แม่ถามวินตั้งสามหนสี่หนว่าจะเรียนต่อเอกเลยไหม วินก็ไม่ยอม ยืนยันแต่ว่าจะกลับมา แล้วทำไมเกิดเปลี่ยนใจตอนนี้ละจ๊ะ วินเพิ่งเริ่มทำงานนะลูก ถ้าไปก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่เสียเวลาเปล่าๆ”
“ผมเบื่อ”
อรุณวตีนิ่วหน้าฉงน “เบื่ออะไรละลูก”
ชีวินระเบิดออกมาด้วยแรงโทสะที่ยังคุกรุ่นอยู่เต็มอก
“เบื่อที่จะต้องมีแม่เลี้ยงอายุเท่ายัยลูกแก้ว”
แต่แล้วพอเห็นสีหน้าอรุณวตี น้ำเสียงเขาก็อ่อนลง
“ขอโทษครับแม่”
“วิน” อรุณวตีทอดเสียงนุ่มนวล กุมมือลูกชายเขย่านิดๆ “วินก็เป็นผู้ชาย ควรจะเข้าใจคุณพ่อนะลูก แม่เป็นคนขี้โรค อยู่ในลักษณะอย่างไร วินก็รู้นี่จ๊ะ”
“แต่คุณพ่อก็มีคุณน้ารัชนีฉาย”
“คุณน้ารัชนีฉายเป็นคนยังไง วินก็รู้ใช่ไหมลูก”
ชีวินนิ่ง อึ้งไปเลยอย่างเข้าใจ
เวลาเดียวกัน ห้องนอนใหญ่ หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อ ห้องสีขาว ปราจิตเข้ามาในนั้นหยิบเสื้อคลุมมาเตรียมจะอาบน้ำ แต่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามาโดยถือวิสาสะ ปราจิตหันไปมองหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
รัชนีฉายย้อนยอก “เดี๋ยวนี้ต้องเคาะด้วยเหรอคะ ทีเมื่อก่อน...”
ปราจิตถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เธอไม่ควรเข้ามาในห้องนี้”
รัชนีฉายย้อนเอาอีก “อ๋อ ต้องเข้าโรงแรมสินะคะ น้องไม่ใช่นังเด็กคนนั้นนะ”
ปราจิตเสียงเข้ม “รัชนีฉาย”
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล รัชนีฉายลอยหน้าระบดระบาย
“ทำไมคะ น้องพูดความจริงไม่ได้หรือไง นังเด็กนั่นมันคราวลูกคุณพี่นะคะฐานะรึก็ต่ำต้อย ไม่มีอะไรเลยสักนิดเดียว คุณพี่กลับทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด ไม่อายบ้างหรือไง”
“ฟังฉันบ้างสิ ฉันกับเด็กนั่นไม่มีอะไร”
รัชนีฉายแค่นหัวเราะ “ฮึ จะให้เชื่อเหรอคะ ไม่มีอะไรแล้วที่บ้านมันเขียนจดหมายมาได้ยังไง”
“มันเป็นความเข้าใจผิด ฉันแค่แวะไปกินข้าว”
“อ๋อ ต้องไปกินในโรงแรมแบบนั้นด้วยเหรอ มันส่อเจตนาชัดๆ เลย”
ปราจิตชักโมโห “เธอควรให้เกียรติฉันบ้าง รัชนีฉาย”
“แล้วคุณพี่เคยให้เกียรติน้องบ้างไหม การที่คุณพี่พานังเด็กนั่นเข้าโรงแรมก็เท่ากับหมิ่นเกียรติน้องอย่างร้ายแรงที่สุด”
“ถ้าเธอคิดว่าตัวเองยังมีเกียรติอยู่ ก็ไม่ควรประพฤติตัวอย่างที่ผ่านมา”
“คุณจิต อ๊าย...”
รัชนีฉายร้องกรี๊ดแล้วตรงเข้าไปทุบตีปราจิตพัลวัน ปราจิตนิ่งปล่อยให้รัชนีฉายทุบ จนรัชนีฉายชะงักไปเอง จ้องมองปราจิตพลางเหนื่อยหอบ พูดเป็นห้วงๆ อย่างคนเหนื่อยและร้องไห้ไปด้วย
“คุณพี่...ทำร้าย...จิตใจ...น้องอย่าง...เลือดเย็นที่สุด... ใจร้าย...”
“ถ้ายังระงับสติอารมณ์ไม่ได้ เธอก็ควรจะออกไปจากห้องนี้เสีย ไม่อย่างนั้นเราก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง”
“ใจร้าย ใจร้ายที่สุด คอยดูนะ น้องไม่ยอมหรอก น้องไม่ยอมให้จบแค่นี้แน่ ถ้าคุณพี่ไม่เลิกกับมัน เราได้เห็นดีกัน”
รัชนีฉายวิ่งร้องไห้ออกไปจากห้อง ปราจิตส่ายหน้าระอา
ส่วนในห้องอาหาร เมื่อเห็นทีท่าลูกชายอ่อนลงอรุณวตียิ้มนิดๆ พลางพูดต่อไปอย่างอ่อนหวานนิ่มนวล
“ผู้ชายนั้นเมื่ออยู่กับผู้หญิง ใหม่ๆ อาจจะอยู่ได้เพราะความเป็น ผู้หญิง อย่างเดียวจริงๆ แต่นานวันข้าวของทุกอย่างย่อมมีวันจืดจางได้ ผู้หญิงที่จะยึดน้ำใจผู้ชายอยู่เขาว่า เสน่ห์กายหายเมื่อฤาเนืองนิตย์ เสน่ห์จิตจ่อใจไม่วายหลง น้ำจิตต้องผูกด้วยน้ำใจ เมื่อคุณน้ารัชนีฉายผูกน้ำใจคุณพ่อไม่ได้ ก็จำเป็นอยู่เอง ที่คุณพ่อจะต้องหาใหม่”
ชีวินไม่วายจะทักท้วงมารดาออกไป “แต่นั่น...แกเด็ก...อายุเท่ายัยลูกแก้ว”
“ผู้ชาย...ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวว่าตนเองจะขาดความกระฉับกระเฉงลงไป ลูกก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า นักการทูตต้องการคนเปรื่องปราชญ์คล่องแคล่วทุกสถานการณ์ ความแก่งุ่มง่าม เฉื่อยขา เป็นสิ่งที่นักการทูตกลัวกันนักหนา แม่ของลูก ไม่อาจจะเป็นเชื้อเพลิงให้คุณพ่อได้อีกแล้ว เพราะมีแต่จะมอดลง”
“แต่คุณน้ารัชนีฉายมีพลังเชื้อเพลิงเพิ่มเติมให้คุณพ่อได้นี่ครับ”
“รัชนีฉายใช้พลังที่มีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เด็กคนนั้น แกมีสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการ ก็ทำไมคุณพ่อจะไม่รู้สึกบ้างละลูก”
“ถ้าคนอื่นรู้ละครับแม่”
“โธ่ลูก ไม่ใช่แต่คุณพ่อคนเดียวที่เป็นอย่างนี้ ใครๆ เขาก็เป็นกัน แต่ว่าอย่าให้มันอื้อฉาวเท่านั้นเอง”
“หมายความว่า แม่ยินยอม”
อรุณวตีมองดวงตากึ่งช้ำกึ่งอัดอั้นของบุตรชายคนโต ทำให้อรุณวตีเอะใจขึ้นมาทันที
“มีอะไรเหรอลูก วิน หรือว่า...วินคงจะไม่ได้...วิน ชอบเด็กคนนั้นด้วยเหรอจ๊ะ”
ใบหน้านวลเนียนของชีวินแดงระเรื่อ แล้วซีดเผือดลง อรุณวตีจ้องหน้าลูกชายรอฟังความจากปาก
เหมือนว่า คำตอบเพียงคำเดียวจะเป็นเครื่องตัดสินชีวิต ชีวินพยายามตอบอย่างหนักแน่น
“เปล่าครับ ผมข้องใจแต่ว่า...เขาเป็นเด็กเกินไป”
อรุณวตีระบายลมหายใจยาว ดวงหน้าสดใสขึ้น
“แม่กลัวว่า วินจะ ฮื้อ...ช่างเถอะ ยัยศจี แกอาจจะเด็กอย่างที่วินว่า แต่ถ้าแม่...เป็นอะไรไป และคุณพ่อ...อยู่กับแกจริง ความเป็นเด็กของแกคงจะไม่ทำให้วินกับลูกแก้วยุ่งยากมากนัก คนเรานะลูก เด็กมีเหลี่ยมกับคนแก่มีเหลี่ยมต่างกัน คนแก่ที่จัดเจนชีวิตนี่แหละ ร้ายนัก”
ชีวินแค่นยิ้มประชดประชันออกไป “จริงสิครับ คนเจนชีวิตนี่ทำอะไรสนิทแนบเนียน กว่าเราจะรู้ก็มักจะ
สายไปเสมอ”
“ยัยศจีแกเด็กที่รู้คิดแบบผู้ใหญ่ แต่ก็ขาดเล่ห์เหลี่ยมอย่างผู้ใหญ่ วินคงจะอ่านแกไม่ยากนักหรอก ถ้าแม่เป็นอะไรไป ฝากน้องด้วย ยัยลูกแก้วแกเปราะบางไป และเห็นแต่โลกในแง่ดีตลอดมา”
พูดๆ อยู่อรุณวตีก็น้ำตารื้นขึ้นมา
ชีวินรวบมือคุณหญิงมารดากอบมากุมไว้ทั้งสองข้าง ดวงตาที่หม่นมัวแข้มแข็งขึ้น
“แม่ยังไม่เป็นอะไรหรอกครับ แม่จะต้องอยู่กับวินกับลูกแก้วอีกนาน”
“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน บทเรียนในชีวิตของแม่ คือบทเรียนของผู้หญิงที่ถูกสอนให้รู้จักแต่จะยอมรับทุกสิ่งในชีวิตที่ผ่านเข้ามาด้วยความอดทนนบนอบ ไม่ปริปาก อย่างผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่โลกเดี๋ยวนี้เป็นโลกของการต่อสู้ คนที่รู้จักดิ้นรน ตอบโต้เท่านั้น จึงจะยืนอยู่ได้ ความรู้สึกละเอียดอ่อนแบบผู้ดี มักถูกเยาะหยันว่าเป็นลักษณะของคนอ่อนแอ คนกระด้างแข็งขืนไม่เกรงใจใคร ถูกยกย่องว่าเป็นลักษณะของคนใหญ่คนโต คนมีอำนาจ”
“ที่แล้วๆ มาแม่ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แม่เป็นแม่ที่วินกับลูกแก้วภูมิใจเสมอมาว่าไม่มีแม่ของใครจะเสมอเหมือน ถ้าแม่ไม่ใช่คนเข้มแข็ง แม่คงจะทำอะไรร้ายๆ หรือน่าเกลียดอย่างที่ผู้หญิงทั้งโลกเขาทำกัน และวินกับลูกแก้ว ก็คงไม่มีที่ซ่อนหน้าไปนานแล้ว แต่แม่เป็นแม่ที่ประเสริฐ เป็น...ขอโทษเถอะครับ เป็นเมียที่ดีเลิศ ทั้งคุณพ่อ ทั้งลูกๆ ถึงยังได้ดำรงความมีหน้ามีตา เอาไว้ได้”
“วินลูกแม่ สมัยนี้คนเราไม่สนใจศักดิ์ศรีหรือหน้าตากันแล้วลูก ถ้าวินจะปกครองคนต่อไป วินต้องไม่ทำอย่างแม่ และก็อย่าให้น้องต้องตกอยู่ในภาวะอย่างแม่ด้วย”
ชายหนุ่มให้คำมั่น ปลุกปลอบขวัญมารดาอย่างคนฉลาดคิด
“วินสัญญา วินจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง ส่วนลูกแก้ว แกอาจจะมองดูเปราะบาง แต่แกก็ลูกแม่ ลูกไม้จะหล่นไกลต้นได้อย่างไร ตอนนี้แกรู้ว่าแกยังมีร่มโพธิ์ ร่มไทรปกหัวแก แกก็เลยทำตัวเป็นนกอาศัยร่มโพธิ์ร่มไทร
ไปเรื่อยๆ จนกว่า แกรู้ตัวว่าแกไม่มีที่พึ่งนั่นแหละ แกก็คงรู้จักโตเข้าจนได้แต่วินก็ไม่คิดจะทิ้งน้องหรอกครับแม่”
“วิน สุดชีวิตของแม่” อรุณวตีน้ำตารื้นขึ้นมาอีก “ขอบใจจ้ะ ขอบใจ เพียงแค่นี้แม่ก็ชื่นใจแล้ว”
อรุณวตียิ้มชื่นกอดลูกชายไว้ แต่สีหน้าชีวินกลับเคร่งเครียดอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นแน่นในทรวง
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 19 (ต่อ)
หลังมื้อค่ำ ชีวินเข้ามาส่งอรุณวติในห้อง
“เรื่องไปเรียนต่อของวิน แล้วแม่จะปรึกษาคุณพ่อ”
“อย่าเลยครับ เอาไว้วินทำงานสักพักแล้วขอทุนกระทรวงไปดีกว่า ครู่นี้วิน คิดมากไปเอง... วินเป็นลูกคุณหญิงอรุณวตีทั้งที ไม่เหมือนแม่เป็นแย่ละ”
“ตำราจิตวิทยาที่เรียนมา เขาบอกว่าลูกชายที่รักแม่มากๆ มักจะหาแฟนที่มีลักษณะเหมือนแม่ ผู้หญิงเหมือนแม่เดี๋ยวนี้หายากจะตายไป วินจะไปหาได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้” คุณหญิงชี้หน้าลูกชาย “ระวังเถอะ โบราณเขาว่าเลือกนักมักได้แร่”
สีหน้าของชีวินเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง แต่อรุณวตีสังเกตไม่ทัน
“มือชั้นลูกชายคุณหญิงอรุณวตีแล้วไม่มีวันหยิบก้อนกรวดขึ้นมาเชิดชูหรอกครับคุณแม่ เกิดเป็นชายชาติอาชาอย่าวิตก คงได้ชกรบสู้กับผู้หญิงถ้ามีทรัพย์มีวิชาอย่าประวิง ถ้าดีจริงแล้วผู้หญิงวิ่งมาเอง”
“เอาละจ้ะ แม่ไม่ตายเสีย จะคอยรับไหว้ลูกสะใภ้”
“วินว่าแม่คงได้อยู่หาลูกสะใภ้ให้วินด้วยซ้ำไป”
“จริงเหรอจะให้แม่หาให้? แล้วหนูยาล่ะ”
“ขอยกเว้นคนนั้นสักคนได้ไหมครับ”
“จะให้แม่หาคนใหม่ให้เหรอจ๊ะ”
สีหน้าชีวินดูเลื่อนลอยขณะพูดคำนี้ “ครับคุณแม่ ถ้าคุณแม่หาให้ ผมมั่นใจว่าเธอคนนั้นจะต้องเป็นคนดีจริงๆ วินจะไม่หาเองอีกแล้ว ไม่หาใครอีก”
ความคิดของชีวินลอยไปไกล ด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรงจากเธอคนนั้น
แกมแก้วเข้าบ้านมาอย่างอารมณ์ดี แต่ชะงักเมื่อเห็นชีวินออกมาจากห้องอรุณวตี สีหน้าพี่ชายเคร่งเครียดชัดแจ้ง
“พี่วินคะ เข้าไปคุยกับคุณแม่มาเหรอ”
“พี่กลับมาทานข้าวกับท่าน”
“วันนี้คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ เห็นว่ามีงานเลี้ยง”
“ใช่จ้ะ ท่าทางท่านเหนื่อยๆ ตอนนี้เข้านอนแล้ว”
“แล้วคุณน้ารัชนีฉาย ไม่มาช่วยเหรอคะ”
ชีวินกัดกรามแน่นอย่างเจ็บปวด
“เหมือนจะมีเรื่องมีราวกันอยู่ คุณน้าเลยออกไปข้างนอก”
แกมแก้วฉงน “เรื่องอะไรกันคะ กับคุณพ่อเหรอ เพราะกับคุณแม่ท่านไม่เคยมีอะไรกับใครอยู่แล้ว”
“พี่ก็ไม่แน่ใจ แต่ คุณแม่ก็มี ศจี...ช่วยอยู่แล้วทั้งคน”
“อ๋อ จริงสินะคะ ศจีน่ะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้คุณแม่ได้ดีเลย แม้แต่คุณพ่อยังชมไม่ขาดปาก”
สีหน้าชีวินเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
“เมื่อแรกเชื่อว่าเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้”
แกมแก้วงงใหญ่ “พี่วิน...หมายถึงใครคะ”
“ยังจะมีใครอีก” ชีวินว่า
แกมแก้วลดเสียงลง “คุณน้ารัชนีฉายเหรอคะ”
“แล้วแต่เธอจะคิด พี่จะขึ้นไปอาบน้ำนอนละ ลูกแก้วก็อย่านอนดึกนักล่ะ”
ชีวินเขย่าหัวน้องสาวโยกอย่างเอ็นดู
“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่วิน”
แกมแก้วมองตามพี่ชายอย่างงุนงง แต่แล้วก็ส่ายหน้าอย่างพยายามไม่คิดอะไรมาก
ตอนสายวันรุ่งขึ้น ศจีแต่งตัวเรียบร้อยออกจากห้อง เตรียมจะไปทำงาน จนมีเสียงจุกเรียกไว้
“จี”
ศจีชะงัก เห็นจุกเข้ามาหา ท่าทางเกรงๆ
“ยังจะไปทำงานอีกเหรอ”
ศจีถอนใจยาว คล้ายอึดอัดกับสิ่งที่จะพบเจอ
“ไปสิจ๊ะแม่”
“กินขนมครกก่อนสิลูก”
ศจีมองไป เห็นขนมครกใส่ใบตองวางอยู่บนโต๊ะที่จุกจัดอย่างเรียบร้อย
“วันหลังไม่ต้องซื้อหรอกแม่ ที่โน่นเขามีขนมให้กินทุกวัน”
“ขนมครกเจ้านี้อร่อย สายๆ ก็ขายหมดแล้ว แม่ออกไปซื้อแต่เช้า”
ศจีเห็นความตั้งใจของแม่ จำต้องนั่งลง หยิบขนมครกมากิน
“หวานมันดีนะแม่”
“ฮื่อ ของเขาอร่อย”
จุกมองศจีอย่างเกรงๆ นิดหน่อย ก่อนจะออกปากพูดขึ้นมา
“จีลาออกเถอะลูก แม่ไม่สบายใจเลย”
“ไม่สบายใจเรื่องอะไร”
“ก็...เรื่องที่เขาพูดกัน จีไปสอบเรียนต่อดีกว่า แม่ส่งจีได้”
ศจีคอแข็งขึ้นมาทันที “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร คนเขาพูดกันไปเอง มันไม่ใช่เรื่องจริง”
“แม่กลัวจีถูกเขาหลอก ถึงยังไงจีก็ยังเด็กลูก”
“ฉันไม่เด็กแล้วจ้ะแม่”
“เขาให้เท่าไร”
ศจีชะงัก วางขนมครกที่กำลังจะเข้าปากอีกชิ้นลงอย่างค่อนข้างแรง
“ฉันบอกแล้วนะแม่ ว่ามันไม่มีอะไร ฉันไม่ได้ทำอย่างที่คนอื่นพูด พอทีเถอะนะฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
ศจีหยิบกระเป๋าเดินฉุนเฉียวลงเรือนไป จุกมองตามด้วยความน้อยใจ และเสียใจ
ในขณะที่วรรณช่วยอรุณวตีแต่งตัวจนจะเสร็จแล้ว ปราจิตเดินเข้ามา ถามอรุณวตี
“นี่มากวนคุณหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ กำลังแต่งตัวเสร็จพอดี”
วรรณมองค้อนปราจิตด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป ปราจิตเข้ามานั่งข้างอรุณวตี
“ยังไม่ไปทำงานเหรอคะ”
“อยากมาคุยกับคุณก่อน ไม่อย่างนั้นไม่สบายใจ”
“เรื่องเมื่อวานเหรอคะ”
“รัชนีฉายเชายื่นคำขาดเรื่อง เด็กคนนั้น”
อรุณวตียิ้มบางเฉียบ “แล้วคุณจะว่ายังไงคะ”
“ผมรำคาญขึ้นมา เลยบอกเขาว่าแล้วแต่เขาเถอะ ทางผมยังไม่มีอะไร จะให้ไปทำยังไงได้”
“พูดอย่างนี้แปลว่า รอให้มีอะไร เสียก่อน”
อรุณวตีสัพยอก ปราจิตหัวเราะเพียงเบาๆ
“ก็คุณอนุญาตแล้วไม่ใช่เหรอคะ ผมเคยให้สัญญากับคุณแล้วว่า สิ่งใดที่คุณไม่อนุญาตจะไม่ทำ”
อรุณวตียิ้มบางๆ “งั้นถ้าบอกว่าไม่ ละคะ”
ปราจิตนิ่งไปนิดเดียว ก่อนจะยิ้มแจ่มใส
“ไม่...เก๊าะ...ไม่สิคะ”
อรุณวตีถอนใจยาว นิ่งคิด
“ข้อนี้สุดแต่คุณนะคะ ถ้าคุณไม่อนุญาต ก็แปลว่า ไม่ หากผู้ชายเราจะเละเทะไปบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้เมียไม่สบายใจ”
“ฉันจะยอมให้คุณเละเทะได้ยังไงคะ”
ปราจิตหัวเราะขบขัน “งั้นคุณอย่าหาว่าผม ไม่มีฝีมือ ไม่ได้นะคะ”
“เอ แบบนั้นก็ต้องลองละสิคะ”
“อย่าเลย ถ้าคุณว่า ไม่ ถึงจะมีฝีมือหรือไม่มี ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นอันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันนะคะ”
อรุณวตีหัวเราะเบาๆ
“เด็กคนนี้ แกใช้ได้ดังใจจริงๆ คล่องไปเสียทุกอย่าง ถ้าฉันเป็นอะไรลงไปแกจะทำงานให้คุณได้”
“เขาไม่ค่อยเอาเรื่อง ถ้ารับแขกรับเหรื่อละพอไหว แต่อย่างอื่น ไม่เอาเรื่อง”
“ก็คุณพยายามให้เอาเรื่องไม่ได้เหรอคะ”
“โถๆๆๆ” ท่านทูตจูบต้นแขนของคุณหญิงภริยา “คุณรู้ไหม ผู้หญิงที่มมีลักษณะอย่างคุณหาได้ยากสักแค่ไหน ผมเอง ยอมรับละเอ้า ถ้าจะอยู่กับใครสักคนก็อยากให้คนคนนั้น ถ่ายทอดคุณลักษณะแบบคุณไว้บ้าง”
“เป็นอันว่า ฉันต้องฝึกเด็กคนนั้นให้คุณ”
“เลิกพูดดีกว่า เรามาพูดเรื่องคนอื่นอยู่ทำไมเป็นคุ้งเป็นแคว วันเกิดคุณปีนี้เลี้ยงพระที่วัดหรือที่บ้านดีคะ แต่ อยากให้เลี้ยงที่บ้านบ้าง เราไปทำตามวัดมาหลายปีแล้ว ปีนี้คุณก็แข็งแรงขึ้น เย็นมีเลี้ยงนิดหน่อย ตกลงไหมคะ”
“ทำที่วัดมันสะดวก” อรุณวตีแย้ง
“โฮ้ย ทำที่บ้านก็ไม่ยากค่ะ ผมจะจัดการให้เสร็จนะคะ”
“ตกลงค่ะ”
ปราจิตจับไหล่อรุณวตีไว้อย่างพอใจ
อรุณวตีลอบมองเขาด้วยสีหน้าที่กะการอะไรบางอย่างไว้ในใจ
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 19 (ต่อ)
ฟากสุพรรณยืนรอ พลางชะเง้อมองหาศจีอยู่ตรงป้านรถเมล์ปากซอย จนกระทั่งมีเสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นข้างเขา ตามด้วยเสียงเรียกคุ้นหู
“พี่พรรณคะ”
สุพรรณหันไปมอง เห็นแกมแก้วขับรถมาขนาบข้าง
“ไปด้วยกันไหม” สุพรรณลังเล จนลูกแก้วคะยั้นคะยอ “ไปกับแก้วเถอะค่ะ”
สุพรรณก้าวขึ้นรถ ทิ้งตัวลงนั่งคู่กับแกมแก้ว สาวเจ้าถามอย่างห่วงใยอาทร
“เป็นอะไรคะ โกรธใครมา หรือคอยอะไรอยู่คะ”
“เห็นจะเป็นอย่างหลัง”
พูดไปแล้วสุพรรณรู้สึกเจ็บแปลบ สะทกสะท้อนใจ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาคุยกับศจีเมื่อคืน
“ไม่เจอกันไม่เท่าไร คุณนี่ พัฒนา ขึ้นมากเลยนะ”
“คุณก็ไม่ต่างกันนักหรอก อาจจะพัฒนามากกว่าฉันเสียอีก”
แกมแก้วถามอย่างแปลกใจ
“คอยใครเหรอคะ”
สุพรรณถอนใจก่อนจะพยายามหัวเราะ
“คอยรถเมล์ไงครับ เดี๋ยวนี้เวลาคอยรถเมล์ต้องพยายามทำใจให้เหมือนกับคอยผู้หญิงสวยๆ แต่งตัว”
“ดีหน่อย ที่ลูกแก้วแต่งตัวไม่ช้า ไม่งั้นพี่พรรณอาจจะเรียกลูกแก้วว่าแม่รถเมล์”
แกมแก้วพูดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะออกรถไป ส่วนสีหน้าสุพรรณยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องศจีอยู่
แกมแก้วขับรถมาตามทางสายนั้น แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหันเกือบหน้าทิ่มทั้งคู่
“ระวังๆ หน่อยครับลูกแก้ว เดี๋ยวได้เสยรถเมล์ข้างหน้าหรอก”
“ขอโทษค่ะ ลูกแก้วยังกะจังหวะไม่ค่อยถูก”
“พี่ขับให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลูกแก้วอยากหัดขับเอง จะได้เก่งเร็วๆ ไปรับพี่พรรณได้ทุกวัน”
“อย่าเลยครับ ให้พี่อาศัยนั่งแค่นี้ก็พอแล้ว”
“พูดอย่างนี้คิดถึงจี สมัยเป็นนักเรียนกลับบ้านด้วยกันทุกวัน ลูกแก้วเคยยุให้เขาหัดขับ แต่เขาไม่ยอม เขาพูดอะไรคล้ายๆ อย่างนี้แหละค่ะ”
“เหรอครับ”
“เชื่อไหมคะ ลูกแก้วคบกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยรู้จักบ้านเขาเลย เขาอยู่แถวๆ บ้านพี่พรรณเหรอคะ”
แววตาของสุพรรณวาววับ อยากจะพูดอย่างอื่นออกมาแต่ก็ตอบเพียงสั้นๆ
“ถึงจะอยู่แถวเดียวกัน แต่ก็ เหมือนไม่รู้จักกัน”
แกมแก้วฉงน “ทำไมคะ”
“ผมมันแค่ลูกศิษย์วัด” เขายิ้มประชด “คุณศจีเธอ คงคิดว่าเธอเป็นดอกฟ้าในมือโจรละมั้ง”
แกมแก้วหันมามอง พลางทำตาโต จนสุพรรณต้องร้องเสียงหลง
“ระวัง”
แกมแก้วหักพวงมาลัยหลบรถสามล้ออย่างหวุดหวิด
“ว้าย”
“พี่ว่า เราไปประกันชีวิตกันเสียก่อนดีไหม”
แกมแก้วหัวเราะเสียงดัง “ไม่หรอกค่ะ ลูกแก้วไม่มีวันพาพี่พรรณไปตายเด็ดขาดตะกี้ พี่พรรณทำไมว่าจีเป็นดอกฟ้าในมือโจรคะ”
“พี่พูดเล่นน่ะ เพราะถ้าเปรียบกับพี่ ก็จะกลายเป็นดอกฟ้ากับหมาวัด”
“แล้วอย่างลูกแก้วละคะ”
“ลูกแก้ว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นลูกแก้ว ไอ้พี่มันไก่วัด เข้าตำราอีกเหมือนกันว่าไก่ได้พลอย มันไม่ดีกับไก่ หรือเป็นเกียรติกับพลอยสักอย่าง”
แกมแก้วมองหน้าสุพรรณอย่างไม่เห็นด้วยนัก
ส่วนในห้องอาหารบ้านคุณหญิงสายวันนี้ ปราจิตนั่งกินข้าวกับอรุณวตี ท่านทูตตักกับข้าวให้อย่างเอาใจภริยา
ใครบางคนเดินเข้ามา ทั้งสองหันไปมอง อรุณวตีทักทายอย่างอ่อนโยน
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอจ๊ะรัชนีฉาย มาทานข้าวด้วยกันจ้ะ”
รัชนีฉายพกพาสภาพขอบตาบวมช้ำ เหมือนคนอดนอนมาทั้งคืน และร้องไห้หนักมาก เดินเข้ามา
“เมื่อคืนไปไหนมาจ๊ะ คิดว่าจะมาช่วยกัน”
“อ้าว ก็เห็น ‘คุณหญิงคนใหม่’ ท่านลงไปแล้วนี่คะ จะต้องไปช่วยอีกทำไมกันแต่ถ้าน้องรู้ว่าพี่วตีชอบให้มี ‘นังเล็กๆ’ ติดหน้าตามหลังมากๆ ก็จะลงไปช่วยประดับบารมีให้” รัชนีฉายประชด
อรุณวตีย้อนเจ็บ “พี่ไม่เคยคิดว่าพี่มีบุญญาบารมีอะไรนักหนา เพราะคนมีบุญญาบารมีน่ะ ไม่มีใครเขากล้าหือด้วยอย่างพี่หรอก”
ปราจิตจงใจถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ พร้อมๆ กับเสียงรัชนีฉายแหวขึ้น
“น้องมีเรื่องจะพูดกับคุณพี่ ไหนๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าจะได้พูดจาให้แตกหักกันเสียเลย”
“ถ้าจะพูดด้วยอารมณ์อย่างนี้อย่าพูดกันดีกว่า เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร”
“เอาเถอะค่ะ เอาเถอะ ถ้ารัชนีฉายเขามีอะไรข้องใจก็ให้เขาพูดออกมาเสียดีกว่า ส่วนคุณ เคยเป็นคนใจเย็นนี่นา นะคะ ใจเย็นนิด”
“ก็ได้”
ปราจิตจงใจจับมืออรุณวตีอย่างแสนรักและให้กำลังใจ
อรุณวตียิ้มแย้มสะใจทั้งที่รู้ว่าปราจิตจงใจยั่วยุอีกฝ่าย รัชนีฉายกัดริมฝีปากแทบห้อเลือด
“น้องอยากจะพูดเรื่องเด็กคนนั้น”
“คุณจิตบอกกับพี่เองว่า ไม่ได้มีอะไรกัน ใช่ไหมคะ”
แต่ปราจิตกลับเฉยเสีย นั่นทำให้รัชนีฉายยิ่งสะท้าน
“ไม่มีอะไรกัน แล้วทำไมคุณพี่ไม่ปฏิเสธ แล้วยังจดหมายนั่น...กับ...”
“เดี๋ยว รัชนีฉาย นอกจากจดหมายฉบับนั้นแล้ว เธอยังมีหลักฐานอย่างอื่นอีกไหม”
รัชนีฉายเสียงแหลม “พอทีค่ะพี่วตี เลิกทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเสียที น้องรู้ รู้ตลอดมากว่าพี่วตีคิดยังไง พี่วตีนำนังเด็กคนนั้นเข้ามา ก็เพราะหวังผลอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เอาละค่ะ ไหนๆ วันนี้ก็พูดกันแล้ว เรามาพูดให้หมดเปลือกกันเสียที”
ปราจิตชักทนไม่ไหว “รัชนีฉาย ผมเคยบอกแล้วว่า ผมทนอะไรได้ แต่ทนให้ใครล่วงเกินคุณวตีไม่ได้”
อรุณวตีบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร เอาเถอะ ถ้าไม่ให้พี่เกี่ยวข้องพี่ก็จะไม่พูดละ ไปปรับความเข้าใจกันเสียดีไหม”
“ผมไม่เคยปิดอะไรคุณวตี พูดกันที่นี่ก็ได้”
“ใช่ค่ะ น้องก็อยากถามคุณพี่ว่า ทุกวันนี้คุณพี่วางน้องไว้ในฐานอะไร”
อรุณวตีบอกกับปราจิต “คุณตอบดีกว่า”
ปราจิตถอนใจนิดๆ “ผมเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าคนอื่นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
รัชนีฉายแหวกลับ “น้องเหรอคะเปลี่ยนแปลง”
“ใช่ เปลี่ยนแปลงจากข้อตกลงของเราคือ เราจะอยู่กันอย่างสงบ”
“คุณพี่จะไม่ให้น้องพูด แม้แต่เรื่องเด็กนั่น”
“พี่บอกแล้วไงจ๊ะ ว่าไม่มีอะไร รัชนีฉายคิดมากไปเอง” อรุณวตีว่า
รัชนีฉายหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงขมขื่น
“เอาเถอะค่ะ แล้วพี่วตีจะรู้ว่า สิ่งที่พี่วตีทำในวันนี้ไม่ใช่จะเป็นหอกกลับมาปักอกน้องคนเดียว อย่างที่คุณพี่ต้องการ หาก วันหน้า พี่วตีจะต้องรับผลอันนี้ด้วย”
รัชนีฉายพูดคล้ายขู่ทิ้งไว้ แล้วลุกขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทางราวกับคนมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหลายปี
“น้องไปละค่ะ บางที วันหน้า ที่น้องคาดการณ์ไว้อาจจะถึงเร็วกว่าที่น้องคาดก็ได้”
รัชนีฉายเดินกึ่งกระทืบเท้าออกไป
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 19 (ต่อ)
แม้นจะโกรธ ทว่าอรุณวตีรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด
“ไม่ตามไปพูดกับแกหน่อยเหรอคะ”
ปราจิตไม่ใส่ใจ “ก็พูดกันเรียบร้อยแล้ว”
อรุณวตีแย้มริมฝีปากออกน้อยๆ รู้สึกเหมือนคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง
รถแกมแก้วแล่นเข้ามาจอด โดยมีสุพรรณช่วยจอดให้ สองคนลงจากรถ แกมแก้วหัวเราะร่วน
“จอดเก่งอย่างนี้พี่พรรณต้องมาจอดให้ลูกแก้วทุกวันแล้วละค่ะ จ้างด้วยขนมวันละชิ้น พอไหมคะ”
สุพรรณยิ้มเอ็นดู “ลูกแก้ว อายุเท่าไหร่แล้วนี่”
“ลูกแก้วโตแล้วนะคะ พี่พรรณถามเหมือนคุณแม่ คุณพ่อ ไง...เราอายุเท่าไรแล้ว อวดทำเป็นผู้ใหญ่ สรุปแล้วไม่มีใครยอมรับว่าลูกแก้วโตสักที ทีจีคุณแม่ไว้ใจเขาตั้งหลายอย่าง คุณพ่อก็ชมว่าเขาออกแขกเก่ง...ทั้งๆ ที่จีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกแก้ว”
“คนอายุรุ่นเดียวกันไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรได้เหมือนกัน สิ่งแวดล้อมของคุณศจีเธอ ทำให้ต้องก่งกว่าลูกแก้วอยู่ดี”
แกมแก้วสะดุดหู “ทำไมคะ จีเขาเป็นยังไงคะ”
“ไม่ได้เป็นยังไงหรอกครับ แต่ อย่างผม อย่างคุณศจี เราต้องต่อสู้เพื่อการยังชีวิตอยู่ และมนุษย์เรานั้นไม่มีบทเรียนใดดีเท่ากับบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาเอง”
“ลูกแก้วก็ต้องเรียนหนังสือ มีปัญหาหลายอย่าง อย่าง เรื่องคุณน้ารัชนีฉาย” แกมแก้วหน้าเจื่อนไปเพราะรู้สึกว่าไม่ควรพูด “ลูกแก้วก็มีปัญหาเหมือนกัน ทำไมลูกแก้วจะไม่ต้องต่อสู้”
“แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่ผิดกัน การต่อสู้ที่ยากที่สุดของมนุษย์ คือการต่อสู้เพื่อยังชีวิตอยู่ ผิดกับการต่อสู้เพื่อให้ชีวิตสมบูรณ์ยิ่งขึ้น” สายตาสุพรรณทอดไปไกลขณะพูดคำต่อมา “ที่พี่เลือกเรียนการปกครองก็เพราะหวังไว้นักหนาว่า จะได้ไปปกครอง คนที่เขาเคยบอกว่า คนอย่างพี่เหมาะแต่เป็นคนที่ให้คนอื่นเขาปกครองเท่านั้น”
“โถ พี่พรรณ”
“สันดานของพี่แปลกที่ว่า ที่ใดทำให้พี่เจ็บ พี่จะกลับไปดูหน้าคนนั้นให้ได้ ขอโทษที ทำไมพูดไปพูดมากลายเป็นเรื่องนี้ไปได้”
“ลูกแก้วชอบฟัง”
แกมแก้วเดินเคียงคู่ไปกับสุพรรณ ด้วยสีหน้ามีความสุข
รัตนาพรมองแกมแก้วอยู่จากมุมหนึ่งอย่างเป็นห่วง
สุดท้ายรัตนาพรอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“ตัวไปรับเขาถึงวัดเลยเหรอ”
“ไม่ใช่วัดจ้ะ แค่หน้าปากซอย”
“โธ่ พี่พรรณของตัวมีอะไรว้า แค่รูปหล่อแต่พ่อไม่รวย”
แกมแก้วฉุนนิดๆ “อ้าว ไหนเมื่อก่อนตัวเชียร์นักเชียร์หนานี่”
“เชียร์เพราะรู้จักแค่ผิวเผิน เห็นเขาเทคแคร์ตัวดี แต่พอรู้ว่าเขาเป็นแค่เด็กวัดลูกชาวนา ก้มหน้าก้มตาเรียนงกๆ หาเงินมาเรียนหนังสือตัวเป็นเกลียวยังกะเชือกมะนิลา ก็รู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับตัวหรอก”
“ฉันไม่ได้มองเขาแค่ภายนอก”
“ลูกผู้หญิง จะติดใจใครทั้งที ต้องให้ราชรถมาเกยหน้าคณะ ไม่ใช่ขับรถไปคอยดักไอ้หนุ่ม”
“เราสงสารเขาน่ะ”
“ไอ้ความสงสารเป็นรากฐานของความรัก เลิกคิดได้แล้ว สงสารก็สงสารไปแต่อย่างอื่น โนเค”
แกมแก้วส่ายหน้าอย่างดื้อดึง ไม่คล้อยตามคำพูดเพื่อน
“แล้วแต่ตัวนะ ฉันเตือนด้วยความหวังดี อนา คด อนา งอ เขาจะเป็นยังไงเราไม่รู้เราก็พูดจากสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง”
แกมแก้วเปิดหนังสือไม่สนใจฟังอีก รัตนาพรได้แต่ส่ายหน้า
อีกฟาก ภายในร้านเสริมสวยแดงซาลอน ซอยวัดใหญ่ฯ เจ๊แดงกำลังยีผมยายปริกอย่างเมามัน ขณะที่อีกฝ่ายบ่นอุบ
“สองสามปีหลังมานี่ เศษสะกิดมันตกสะเก็ด ลูกค้าหดหายลงทุกทีบรรดาเมียๆ ให้ผัวใช้จ่ายจำกัดจำเขี่ย พวกของฟุ่มเฟือยอย่างเราเลยพลอยแย่ไปด้วย”
“ไอ้พวกเลาจน์พวกบาร์พวกอาบอบนวดมันมาตีตลาดแล้วนี่แม่ปริกทำยังไงจะสู้พวกมันได้” แดงว่า
“นังพวกใหม่ๆ ไปอยู่อาบอบนวด หรือไม่ก็เป็นนางเสิร์ฟกันหมด เหลือแต่พวกโทรมๆ สังขารดูไม่ได้ทั้งนั้น”
“หลานแม่ปริกล่ะ ไม่สนใจทางนี้บ้างเรอะ หน้าตาสะสวย เรียกลูกค้าได้มากเลยหละ”
ยายปริกเผลอบ่นอย่างหัวเสีย
“โฮ้ย...อย่าไปพูดถึงมันเล้ย ยอมเสียฟีๆ น่ะง่าย แต่ไอ้ที่หาเงินเข้ากระเป๋าได้น่ะทำหยิ่งยโส”
“งั้นที่เขาลือกันก็จริงน่ะสิ”
ยายปริกทำหน้าบอกไม่ถูก
“ลืออะไร...ลืออะไร”
แดงกระซิบ “เรื่องเข้าโรงแรมกับเศรษฐีไงล่ะ”
ยายปริกหน้าเสีย แต่ก็กลัวเสียหน้า จึงโวยวายขึ้นมา
“โรงรงโรงแรมอะไรกัน ไม่มีร้อก นังจีมันหยิ่งจะตาย”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ ถ้าขึ้นโรงแรมจริง แม่ปริกกับนังจุกไม่ยอมแน่”
“ใครจะมาเจ๊าะหลานข้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อนโว้ย เอ็งอย่าไปทักมันเชียวเดี๋ยวมันจะด่าเข้าให้”
“ไม่หรอก ฉันไม่อยากยุ่ง ปากนังจีมันร้ายจะตาย แค่มองฉันก็กลัวแล้วว่าแต่ กิจการของแม่ปริกซบลงอย่างนี้ น่าจะหาทางอื่นบ้างนะ” แดงบอก
ยายปริกฟังอย่างสนใจ “ทางไหน”
“เอางี้ไหมแม่ปริก ลูกค้ากับเด็กของฉัน สถานที่เป็นของแม่”
ยายปริกเงยหน้ามองแดงอย่างครุ่นคิด
“แล้วฉันจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ให้ แต่ถ้าเด็กของฉันไม่พอ ฉันแนะนำเด็กของแม่ให้ แม่ต้องให้เปอร์เซ็นต์ฉัน ยุติธรรมดีไหม”
“เอาวะ ไทยต้องอุดหนุนไทย เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนไทยไปอุดหนุนอุดหนุนไทยด้วยกัน ดุลการค้ามันจะเสีย”
ยายปริกกับเจ๊แดงพยักหน้า ร่วมมือร่วมใจกัน
ยายปริกเดินนวยนาดออกมาอย่างสบายใจ จนกลับมาถึงซ่อง บรรดาลูกเล้าทักทายกันเกรียวกราว
“แหม...แม่ ไปทำสวยมาเหรอ หน้าตาสดชื่นเหมือนลดอายุไปสักสิบปี” โสภาชม
“ทำสวยรับทรัพย์โว้ย นี่พวกเอ็งเตรียมตัวไว้นะ อีกหน่อยเราจะมีลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาอีกเย้อแย้”
มีเสียง “ถุ๊ย” ดังเข้ามา
ยายปริกชะงัก หันไปมอง เห็นย้อย แม่เล้าซ่องคู่แข่ง เบะปาก พูดกับลูกเล้าตัวเอง
“ได้กลิ่นอะไรตุๆ แถวนี้ไหมวะนังหวาด”
“กลิ่นปลาร้าเน่าค้างปีขายไม่ออกใช่ไหมแม่” สวาทรับลูกทันที
พวกนั้นหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
ยายปริกระงับโทสะ ทักทายอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ไง แม่ย้อย กิจการยังดีอยู่เหรอ”
ย้อยลอยหน้าลอยตาตอบ
“ก็นับว่าดีแหละ ได้ข่าวว่าหลานหล่อนขึ้นโรงแรมกับผู้ชายงั้นเรอะ”
ยายปริกหน้าเสียไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ยิ้มลอยหน้าลอยตาบ้าง
“ผู้ชายระดับเศรษฐีเชียวนะโว้ย ที่บ้านฉันน่ะ ส่งเสริมพัฒนาเด็กให้ได้ดีทุกคน”
“โธ่เอ๋ย ไหนว่าจะได้เป็นคุณหญิงคุณนาย” ย้อยแสยะยิ้ม “คุณนายน้อยนี่เองอย่างนี้เด็กๆ บ้านฉันทำได้ดีกว่าอีก พวกเสี่ยๆ เอาไปเชิดหน้าชูตาเป็นเมียอันดับหนึ่ง นั่งกินนอนกินทั้งวัน”
ยายปริกแค่นเสียงหัวเราะหยันใส่หน้า
“อะฮะ! อย่าเซ่ดให้เสียเส้นหน่อยเลย หลานของฉันมันกำลังไต่เต้าโว้ยพอเมียหลวงตายก็ได้เป็นคุณนายคนต่อไป”
ยายปริกหัวเราะคิกคักพอใจคำพูดตัวเอง
“ขายลูกไม่พอ เดี๋ยวนี้อับจนขนาดขายหลานรอเมียตายด้วย”
ฟังคำพูดแวว อู๊ดถึงกับทนไม่ได้ ตะโกนขึ้นมาลอยๆ
“มันก็ประเภทขายของเก่ากันทั้งนั้นแหละวะ”
“แต่ได้ข่าวว่าไอ้บางก๊กนี่ขายของเก่าก็ยังขายไม่ออก ต้องเอาของใหม่มาใส่ตะกร้าล้างน้ำขายอีก” ย้อยเหน็บ
ถวิลลุกขึ้นอย่างเหลืออด
“ไปเถียงกับพวกมันทำไมให้เมื่อยปากวะ อย่าปล่อยให้มันบุกมาหยามถึงถิ่นโว้ย”
ขาดคำ ถวิลก็ถีบสวาทจนล้มลง แววเข้าไปช่วยดึงถวิลมาตบ อู๊ดตามไปช่วยถวิล แต่ถูกสวาทตบเสียเอง
“นังโสภา นังริน รีบไปช่วยลูกพี่เอ็งเร็ว” ยายปริกสั่งการ
โสภากับรินถลกผ้าถุงปรี่เข้าไปตบกับแววและสวาทด้วย
ย้อยผลักโสภาออก แล้วดึงทึ้งผมรินจนหงายหลัง ยายปริกหยิบไม้กวาดแถวนั้นไปร่วมวงด้วย
“อย่ามาหยามกันถึงถิ่นข้า ข้าไม่ยอม”
ยายปริกช่วยตีทั้งสามคนซึ่งคนน้อยกว่าจนกระเจิง
“ไปโว้ยพวกเรา เจออีพวกหมาหมู่เราอย่าไปสู้ให้เสียศักดิ์ศรี”
พวกของย้อยพากันหนีกระเซอะกระเซิงออกไป
“ฮ่าๆ ๆ ไม่เก่งจริงนี่หว่า กลับมาก่อนเซ่”
ยายปริกถกผ้าถุง ท้าพวกแม่เล้าลูกเล้าคู่ปรับเหยงๆ
อ่านต่อตอนที่ 20