xs
xsm
sm
md
lg

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 15

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 15

รัชนีฉายกำลังอาละวาด หยิบข้าวของในบ้านมาขว้างปาระบายอารมณ์ บ่นบ้าด่าว่าคนใช้อย่างหงุดหงิดเกินจะทน

“หายหัวไปไหนกันหมด นังชะลอ นังสายจิต”

สายจิตซึ่งล้างแก้วอยู่หลังครัวกระซิบกับชะลอ
“คลั่งอีกแล้ว”
“เอ็งรีบไปเถอะ เดี๋ยวได้กวาดเศษแก้วกันอีกหรอก”
เสียงรัชนีฉายแหวเข้ามา “นังชะลอ นังสายจิต ออกมาสิ”
สายจิตตะโกนตอบ “ค่า” แล้วกระซิบกับชะลอ “เรียกใครทีละจิกกบาล”
พูดจบสายจิตก็วางงานวิ่งตื้อออกไป

รัชนีฉายแหวใส่สายจิตทันทีที่เจอหน้า
“เรียกแล้วทำไมไม่ออกมา มัวทำอะไรอยู่”
“ล้างแก้วค่ะ คุณจะเอาอะไร”
“แล้วมายืนหัวโด่อยู่งั้นเหรอ”
สายจิตลอบถอนใจ แล้วคุกเข่าลง
“กิริยามารยาทคนบ้านนี้ ยังกะม้าดีดกะโหลก”
จนมีเสียงแตรรถดังขึ้นขัดจังหวะ รัชนีฉายมองไป แหวขึ้นมาอีก
“ใครไปเปิดประตูหรือยัง ไปไหนกันหมด ทำไมยังไม่เปิดประตู”
สายจิตรีบวิ่งออกไป

สายจิตวิ่งออกมาดู ชะลอซึ่งไปเปิดประตูแล้ว กลับเข้ามายืนรอ
“เดี๋ยวเถอะ หน้าบานเป็นกระด้งหรอก” สายจิตกระซิบ
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้กัน
ท่านทูตปราจิตลงจากรถ ตามด้วยศจี ทั้งสองเข้ามาในบ้าน
สองสาวใช้มองตามอย่างสนใจ
“ท่านพาใครมาน่ะ สวยยังกับดารา” ชะลอมองตามศจีไม่วางตา
“อย่างนี้คุณหญิงรัชนีฉายมิอกแตกตายรึ”
ทั้งสองมองตามไป รอดูเรื่องสนุก

รัชนีฉายเดินไปเดินมาในห้องอย่างตื่นเต้นและร้อนรน
“ในที่สุดก็ต้องมาง้อ ฮึ น่าจะเลยขึ้นมาเอง เรื่องอะไรจะให้ไปตาม”
แต่สุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองออกนอกหน้าต่าง
“เอ๊ะ มากับใครละนั่น”
สายตารัชนีฉาย มองเห็นไม่ชัดเพราะต้นไม้บังศจีอยู่
“พอพูดธุระกับคุณแม่แล้ว เดี๋ยวคงขึ้นมาละมั้ง”
รัชนีฉายนั่งรออย่างรู้สึกเป็นต่อ
“เดี๋ยวเหอะ แม่จะเอาให้เต้นเป็นเจ้าเข้าเชียว”
สายจิตกลับเข้ามา รัชนีฉายอดไม่ได้ที่จะถาม
“ท่านมาเหรอ พาใครมาด้วย”
“ท่านมากับผู้หญิงเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว หายไปตั้งนานได้เรื่องมาแค่นั้นละเรอะ”
“ใครไม่ทราบค่ะ ยังสาวอยู่เลย สวยเสียด้วย”
รัชนีฉายหายใจแรงอย่างรู้สึกขัดใจขึ้นมา
“ใคร เคยมาหรือเปล่า มาธุระอะไร”
“อาจจะเป็นเทพี หรือรองเทพีที่ไหนมังคะ เพิ่งเคยมา แต่จะธุระอะไรไม่ทราบ เห็นแต่ท่านนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
รัชนีฉายกัดริมฝีปากแน่นอย่างรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทันที ก่อนจะผุดลุกปึงปังออกจากห้องไป
สายจิตยิ้มเยาะมองตามอย่างสะใจ

รัชนีฉายปึงปังลงมา แล้วก็ชะงักอยู่ที่หน้าห้องรับแขก พึมพำกับตัวเองอย่างฉุนเฉียวเมื่อเห็นว่าเป็นศจี
“แหม...ต้องพามาเองเชียวนะ”
ศจีกับปราจิตกำลังนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้านางอาลัย ปราจิตเบือนหน้ามามองรัชนีฉายนิดๆ แต่ไม่ได้ทักทายอะไร ในขณะที่ศจียังคงคุยกับอาลัยโดยไม่ได้สะดุดหยุดลง
“ดิฉันคิดว่าขวดปักดอกไม้ เย็บตองรูปสามแฉกจะงามกว่าแบบทรงกระบอกเจ้าค่ะ เพราะจะเข้าชุดกับเชิงเทียน คุณหญิงท่านให้กราบเรียนว่าจะขอความกรุณาเฉพาะเครื่องตองท่านเท่านั้น เรื่องการไปจัดดอกไม้ ธูป เทียน มาลัยแขวนที่บูชาพระ ท่านจะจัดการเอง”
รัชนีฉายเข้ามากระแทกตัวนั่งลงเหยียดยาวด้วยกิริยาคอแข็ง
อาลัยมองตำหนิปราดเดียวอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันกลับมาทางศจี
“หนูท่าจะเคยจัดเครื่องตองมาละมัง”
“ยังไม่เคยเลยเจ้าค่ะ”
“แหม แต่ทำไมพูดจาถูกต้อง”
“ดิฉันจำจากที่ประชุมวันนั้นเจ้าค่ะ”
รัชนีฉายแทรกขึ้น “ประชุมอะไรกัน”
“งานแสดงวัฒนธรรมนานาชาติค่ะ”
รัชนีฉายเสียงเขียว “เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้”
“งานอาทิตย์หน้าค่ะ คุณหญิงท่านให้ดิฉันมาเรียนท่านที่นี่”
รัชนีฉายไล่เบี้ย “ทำไมไม่บอกฉันมา”
อาลัยตัดบทกับศจี “เอาเถอะจ้ะหนู แล้วฉันจะจัดการให้”
รัชนีฉายขัดน้ำเสียงขุ่นข้อง “รับไหวเหรอคะคุณแม่ งานอาทิตย์หน้ามาบอกเดี๋ยวนี้ เออ คุณพี่วตีเขานึกว่าเราเป็นยังไงคะ บัญชาลงมาเมื่อไรก็ได้ดังใจหรือยังไง”
“แม่จะรับงานใคร แม่ต้องรู้จะว่าทันหรือไม่ทัน งานตั้งอาทิตย์หน้า แล้วพวกเครื่องตองก็ไม่ใช่ว่าจะต้องการเวลาอะไรนักหนา มันต้องใช้กันสดๆ ไม่งั้นก็เหี่ยว”
“ก็นั่นสิคะ บ้านเรามีข้าน้ำคนหลวงแค่ไหน มีหวัง แม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งคนเดียวอีก” รัชนีฉายบ่นไม่เลิกรา
ปราจิตเอ่ยกับอาลัยว่า “ถ้าลำบาก กระผมจะส่งคนมาช่วย เอ้อ พี่วรรณของคุณวตีเขาคงจะคล่อง”
“อย่าเลยคุณ ยายวรรณแกจะได้อยู่ดูแลเจ้านาย เพราะเขารู้ใจกันมาแต่ไหนแต่ไร ของพวกนี้มากหมอก็มากความ ให้พวกเด็กๆ ฉีกตอง เช็ดตองได้ถมถืดไป ตอนจะเข้ารูปของแบบนี้ช่วยกันไม่ได้ ต้องทำเองก็ไม่นานหรอกค่ะ”
ศจีรอจังหวะ แล้วจึงถาม “ดิฉันจะมารับของได้เมื่อไหร่เจ้าคะ”
“งานวันไหน กี่โมงแน่จ๊ะ”
“ดิฉันจะจดไว้ให้เจ้าค่ะ”
“ดีจริงหนู คนแก่แล้วยิ่งขี้หลงขี้ลืมอยู่”
ขณะศจีค้นกระเป๋า แต่แล้วปราจิตก็วางปากกากับการ์ดให้ก่อน

รัชนีฉายตวัดสายตามองอย่างหมั่นไส้ถึงขีดสุด

ระหว่างนี้สายจิตกับชะลอแอบมองเข้าไปในห้อง

“หึงสะบัดเลยแฮะ ทีเรื่องของตัว คุณหญิงท่านไม่ยักหึง”
“เป็นเมียหลวงจะต้องหึงอะไร เมียน้อยต่อเมียน้อยด้วยกันซิ มันต้องชิงดีชิงเด่นกันหน่อย”
ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสะใจ

ศจีบอกลากับอาลัยหลังจากเสร็จธุระ
“งั้นดิฉันกราบลาละเจ้าค่ะ”
ศจีน้อมตัวลงกราบอย่างละเมียดละไม อาลัยไม่วายมองอย่างรู้สึกถูกใจ
“กระผมก็เห็นจะต้องกราบลา”
คราวนี้นางอาลัยออกอาการแปลกใจ “อ้าว”
“กระผมอาสาพามาหาท่านขอรับ แล้วจะต้องกลับไปทำงานอีกยังทิ้งงานไว้หลายอย่าง”
“อ้อ จริงสินะ”
รัชนีฉายประชดด้วยเนื้อเสียงอันกระด้าง “งานมาก แต่ทำไมคุณพี่ทนนั่งอยู่ได้ตั้งนานคะ”
ปราจิตไม่ตอบ แต่ยิ้มเยือกเย็น พลางขยับเตรียมลุกขึ้น รัชนีฉายก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน
“น้องไม่ยอมนะคะคุณพี่”
รัชนีฉายปราดเข้าไปรั้งแขนจนปราจิตเซไป
“ต้องอยู่พูดกันก่อน กลับไม่ได้เด็ดขาด”
อาลัยตำหนิเสียงเข้ม “รัชนีฉาย ทำอะไรยังงั้น ไม่งามนะลูก คุณพี่จะไปทำงาน มีอะไรอยากพบอยากถาม ค่อยพูดค่อยจาทีหลังก็ได้”
รัชนีฉายไม่สน ยังยื้อยุดท่านทูตไว้ “ไม่ค่ะ ต้องพูดกันเดี๋ยวนี้ วันนี้เวลานี้ด้วย”
ศจีเดินค้อมตัวออกไปที่ประตูโดยเร็ว ปราจิตมองตามแล้วหันมาตวาดรัชนีฉายนิดๆ
“เอาไว้พูดเย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ได้ไหม วันนี้พี่มีงานจริงๆ”
“งาน งานที่ต้องไปกับเด็กคนนี้เหรอคะ อย่านึกว่าน้องไม่รู้นะคะคุณพี่ วันก่อนก็ออกไปด้วยกัน”
ศจียืดตัวตรง หันขวับมาทันที
อาลัยเสียงดัง จริงจังกว่าเดิม “รัชนีฉาย พูดจาเหลวไหล ปล่อยคุณพี่เดี๋ยวนี้นะ มีอะไรพูดกันทีหลังทำแบบนี้แม่ไม่ชอบ”
รัชนีฉายจำต้องคลายมือออกจาปราจิตแต่โดยดี
อาลัยบอกกับปราจิตว่า “เชิญเถอะคุณ แล้วว่างๆ จะไปเยี่ยมคุณวตีเขา”
“ขอรับ”
ปราจิตกับศจียกมือไหว้อาลัยอีกครั้ง ก่อนจะพากันออกไป รัชนีฉายได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ

อีกฟาก สุพรรณลุกขึ้น หยิบหนังสือ
“อ้าว ตกลงจะกลับเหรอ”
“กลับดีกว่า ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว”
“เอ็งจะยอมให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวมามีอิทธิพลเหนือชีวิตงั้นเหรอ”
“ใครบอกว่าข้ายอม”
“ก็เอ็งทำเหมือนอย่างนั้น เมื่อไรจะทำใจได้เสียทีวะ หลวงตาสอนให้ปลงน่ะ เอ็งจำไม่ได้เหรอ”
“ทำไมจะจำไม่ได้”
“งั้นเอ็งก็เข้าประชุมสโมสรซะ เพราะเอ็งเป็นประธาน ขาดเอ็งไปงานก็เดินต่อไม่ได้”
“แต่บางคนขาดข้าไปเขาก็อยู่ได้” สุพรรณว่า
“นั่นสิวะ แล้วทำไมเอ็งจะอยู่ไม่ได้เมื่อขาดเขาไปล่ะ”
สุพรรณตัดสินใจลุกขึ้น ดนัยลุกตาม
“ตกลงจะกลับให้ได้ใช่ไหม ตามใจเอ็ง กลับไปก็ไหว้พระสวดมนต์ทำใจซะ จะได้...”
“ใครบอกว่าข้าจะกลับวัด ข้าจะไปประชุมต่างหาก”
สุพรรณเดินออกไป ดนัยเดินตามยิ้มดีใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะเพื่อน”

ศจีกับปราจิตนั่งรถออกมายังถนนใหญ่ ศจีมองไปข้างหน้า
“ให้ดิฉันลงที่สี่แยกข้างหน้าก็ได้เจ้าค่ะ ดิฉันต่อรถกลับได้สะดวก”
ปราจิตไม่ตอบศจี แต่บอกกับคนขับรถ
“ไปกระทรวงก่อน”
ศจีจำต้องเงียบไป คิดว่าปราจิตคงอยากรีบไปกระทรวงก่อนเพราะมีงานค้างอยู่

ทางด้านรัชนีฉายร้องคร่ำครวญโวยวายเอากับผู้เป็นมารดา
“คุณแม่ไม่รักลูกจริง คุณแม่ไม่รักลูกไม่ช่วยลูก”
อาลัยผลักถาดผลไม้ที่ตั้งใจแกะสลักออกจากตัวอย่างหมดอารมณ์จะทำต่อ ได้แต่ถอนใจ
“ดู๊ เห็นไหมคะ เดี๋ยวนี้คุณพี่เขาเห็นหนูเป็นตัวอะไรกัน วันก่อนก็แอบออกไปด้วยกัน”
“หนูเองต่างหากนะที่ทำไม่งาม ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอก ที่เขาจะเห็นผู้หญิงแปร๋นๆ ใส่เขาได้ ยิ่งยื้อยุดฉุดกระชากต่อหน้าคน ยิ่ง...”
รัชนีฉายสวนคำออกมา “หนูไม่ได้ทำต่อหน้าใคร มีแต่คุณแม่กับเด็กนั่น มันก็เท่ากับเด็กในบ้าน ไม่สลักสำคัญอะไรสักนิด”
“จะเรียกว่าเด็กในบ้านเสียเลยก็ไม่ถูกนัก คุณจิตเขาว่าแกเป็นเลขาคุณพี่วตีของหนู”
“เรียกให้เพราะน่ะสิคะ มันก็เด็กติดหน้าตามหลังเท่านั้นเอง”
อาลัยคร้านจะต่อคำ จึงตัดความเสีย “เอาเถอะ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ไม่ควรแสดงกิริยาไม่งามออกไปผู้ดีนั้นเขาจำกัดกิริยาสองสถาน ที่พึงแสดงต่อกันเฉพาะตัวคือความรักกับความโกรธ”
“แต่คุณพี่เขาทำกับหนูก่อน นี่ถ้าหนูไม่ลงมา ก็คงไม่ขึ้นไปหาหนูบนตึก”
“เขามาธุระ แล้วก็ต้องไปทำงาน หนูก็ต้องรู้จักผ่อนปรน ถ้าจะถามอะไรก็ควรรอจังหวะ ผู้ชายน่ะถ้าโอ้โลมปฏิโลมถาม จะดีกว่าทำโมโหโทโสเข้าใส่”
“ไม่รู้ละ จะให้หนูทนเป็นน้ำนิ่ง ใสนอกขุ่นใน หนูทำไม่เป็น หนูจะไม่ทนเก็บอารมณ์แล้วไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวหรอก”
รัชนีฉายกระทืบเท้าปึงปังออกไป นางอาลัยมองตามธิดาคนเดียวอย่างระอาใจ

รถแล่นมาจอดหน้ากระทรวง ปราจิตลงจากรถแล้วหันมาบอกศจี
“ลงมาก่อนซิ”
ศจีเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าคะ”
ปราจิตย้ำ
“ลงมาก่อน จะแนะนำให้รู้จักกับเลขาของฉัน เผื่อมีอะไรทางบ้านจะได้ติดต่อมาโดยตรงเวลาฉันเข้าประชุม คุณวตียิ่งออดแอดอยู่”
ศจียอมก้าวตามปราจิตลงไป ปราจิตบอกกับสิทธิ์
“กลับได้แล้ว เผื่อคุณหญิงจะใช้รถ”
“ขอรับกระผม”
ปราจิตพยักหน้าให้สิทธิ์ รถแล่นออกไป ปราจิตเดินนำศจีไป
ชีวินเดินเข้ามาจากทางหนึ่ง พอเขาเห็นปราจิตกับศจีก็ชะงัก มองตามด้วยความสงสัย

ปราจิตเดินนำศจีมา แต่แทนที่จะเข้าไปในตึก เขากลับวกไปที่ลานจอดรถ
“ไม่ทำงานแล้ว ไม่มีอารมณ์”
ชีวินตามมา หลบอยู่มุมหนึ่งแอบดูทั้งสอง
จนเห็นปราจิตเดินมาถึงรถ ไขกุญแจเปิดประตูออกกว้าง
“ฉันจะส่งเธอเอง เอ้อ...แล้ว...”
ศจีถอนใจนิดๆ อย่างเข้าใจสถานการณ์
“ฉันชอบคุยกับเธอ ผู้หญิงบางคนเราต้องระวังตัวเวลาเราจะพูดอะไรออกไป และผู้หญิงอีกบางคนเราก็ต้องระวังตัวเวลาเขาจะพูดอะไรออกมาแต่กับเธอ ฉันพูดได้ทุกอย่างที่อยากพูด”
จู่ๆ ศจีก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ดิฉันต้องระวังถึงสองอย่าง”
“อะไร”
“คือระวังทั้งที่ดิฉันจะพูดอะไรออกไป และระวังที่ท่านจะพูดอะไรออกมา”
ปราจิตทิ้งตัวลงที่นั่งคนขับ พลางหัวเราะ ศจีตามเข้ามานั่งข้างคนขับ
“เธอนี่เป็นนักการทูตได้”
“แต่ดิฉันไม่อยากเป็นเจ้าค่ะ”
“ทำไม เธอนี่เป็นผู้หญิงที่ฉันต้องถามด้วยคำถามว่าอะไร ทำไม อย่างไร เสมอ”
“แต่ผู้หญิงเรายังมีคำถามอีกคำถาม ที่ต้องระวังไม่ให้ผู้ชายถามได้เจ้าค่ะ”
ปราจิตสตาร์ตรถ
“ฉันต้องถามคำว่า อะไร อีกแล้ว”
“คำว่า ‘ที่ไหน’ ไงเจ้าคะ”
ปราจิตขับรถออกไป
ชีวินมองตาม พร้อมกับกำมือแน่น ด้วยความเจ็บปวดและเสียใจสุดซึ้ง

“ศจี ที่แท้เธอก็ไม่ต่างจากคุณน้ารัชนีฉายเลย ฉันมองเธอผิดไปจริงๆ”

อ่านต่อหน้า 2

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ปราจิตขับรถแล่นเรื่อยมาบนถนนละแวกหน้ากระทรวงฯ พลางหัวเราะเสียงดัง อารมณ์แจ่มใส

“คม...คมจริงๆ นี่เหรอที่ว่าไม่อยากเป็นนักการทูต”
“เจ้าค่ะ เพราะเหตุผลอย่างที่ท่านเคยบอก ดิฉันรู้ดีว่าไม่มีความสามารถที่จะไป To lie ในประเทศอื่น ไม่ว่าจะแปลว่า ‘นอน’ หรือ ‘พูดปด’ เพื่อใครได้ ดิฉันเพียงแต่ชอบทำให้ตัวเองอย่างเดียว”
“ยังไม่มีใครเคยกล้ารับว่า เจ้าตัวรักตัวเองมากกว่าประเทศชาติหรืออุดมคติ”
“ภาษาพูด มักจะไพเราะกว่าภาษาคิดเสมอเจ้าค่ะ”
“ถ้ากลับบ้านตอนนี้เธอจะทำอะไรคะ”
“อ่านหนังสือเจ้าค่ะ”
“หนูชอบอ่านหนังสือเหรอคะ”
“สมัยเป็นเด็ก ดิฉันเคยท่องว่า รู้อะไรไม่รู้รู้วิชา เมื่อได้เรียนน้อยก็ต้องอ่านให้มาก แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้ว่า รู้วิชาเห็นจะสู้ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีไม่ได้”
นัยน์ตาของปราจิตมีแววหวาดไหวขึ้นมาแว่บหนึ่ง เหมือนถูกจี้จุด เขาหัวเราะเบาๆ กลบ
“ฉันเคยท่องแต่ว่า หาญนักมักจะม้วย สวยนักมักจะเศร้า เหงานักมักจะเป็นบ้า วันนี้เพิ่งจะเห็นจริง”
“ข้อไหนเจ้าคะ”
“สองข้อ คือ สวยนักมักจะเศร้า”
“คุณรัชนีฉาย...”
ปราจิตท้วงทักทันที “ไม่ใช่ค่ะ เธอต่างหาก”
ศจีชะงัก หันมามองท่านทูตด้วยสีหน้าฉงน “คะ...ดิฉันหรือเจ้าคะ”
“ไม่รู้สิคะ ฉันว่าเธอเหมือน ดอกอะไรดีนะ...ดอกซ่อนกลิ่นกระมัง สวย บริสุทธิ์ แต่มีลักษณะแสดงความเศร้าๆ ในตัว และข้อต่อมา...ฉันเองค่ะ เหงาจนจะบ้าอยู่แล้ว ถึงต้องชวนออกไปเรื่อยๆ”
ศจีเยื้อนยิ้ม แกมเยาะ “หรือเจ้าคะ ดิฉันว่าท่านไม่น่าจะเหงา”
“หมายถึง...ความคิดต่างหากคะ รัชนีฉายเป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นตามความคิดของเขาให้ทันเท่านั้น แต่เขาไม่ยอมตามความคิดใครหรือยอมเข้าใจความคิดใครสักทีนี่ล่ะค่ะ ที่ฉันว่าฉันเหงา คุณวตีเคยเป็นผู้หญิงที่เข้าใจฉันมากที่สุด แต่...เธอก็เจ็บเสีย อะไรที่จะทำให้คุณวตีเธอหนักใจหรือไม่สนใจ ฉันจึงยกเว้นเสีย”
ปราจิตมองตรงไปข้างหน้า สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“หิวน้ำ แวะหาอะไรชื่นๆ ใจกันหน่อยดีไหมคะ”
ปราจิตไม่รอคำตอบ แต่เลี้ยวรถไปอีกทางหนึ่งทันที

โสภากับรินลูกเล้ายายปริกที่ออกมาหาลูกค้าเอง เวลานี้ทั้งคู่ต่างเดินออกมาหน้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง โดยมีฝรั่งคู่ขาโอบเอวเคียงคู่กันออกมา
“ยูโกโฮมเลยใช่ไหมดาร์ลิ้ง” โสภาถาม
ฝรั่ง 1 บอก “Yes. You call me a taxi.”
“แท็กซี่เหรอ โอเค ชัวร์”
ทั้งสี่คนเดินออกมาที่ถนน แต่แล้วรินก็ต้องชะงักอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ...จีนี่” รินเขม้นมอง
โสภาปลดแขนของฝรั่งที่โอบอยู่ เพื่อชะโงกหน้าดูให้ชัดขึ้น เห็นรถปราจิตเลี้ยวเข้ามาจอดในโรงแรมที่ทั้งคู่เพิ่งออกมา
“ใคร”
“จีใช่ไหม ช่วยดูซิ ไอ้ฉิบ นี่กกไว้ยังกะปลิง” รินสะบัดตัวออกจากฝรั่งได้สำเร็จ “หมดเวลาหยอดมิเตอร์แล้วนะเว้ย”
โสภามองไป แล้วพยักหน้า “เออ ท่าจะใช่...”
ปราจิตลงจากรถ มาเปิดประตูให้ ศจีลงรถด้วยท่าทางประหม่านิดๆ กับสถานที่
“เข้าไปกะใครหว่า คนไทย ไม่ใช่ไอ้ลิงขนทองพวกนี้หรอก” รินมองปราจิตอย่างพิจารณา
“มันเป็นทองแต่ขน อย่างอื่นไม่ยักเป็นทอง”
รินมองหมั่นไส้ “ไหมล่ะ ไหนยายปริกคุยโขงโฉงเฉงว่าไปเป็นเลขา ผู้ใหญ่ผู้โต ไหงมาเป็นคู่ขาเสียแล้ว”
“เชื้อจะทิ้งแถว ลูกยางจะหล่นไกลต้นเหรอวะ” โสภาบอก
“ใครวะที่เข้าไปกะจี” รินมองจ้อง
“เออ...นั่นสิหว่า พวกไฮกะไซตี้นี่แหละ”
“มันบินเหนือเมฆนิ” รินว่า
“เดี๋ยวต้องฟังเสียงแม่”
“ถ้ายายปริกรู้ จะว่ายังไงหว่า” รินยิ้มเยาะ
“จะว่ายังไง้ แกก็คงเสียดายว่า แกไม่ได้ส่วนแบ่งค่าเปิดซิงเท่านั้นแหละ”
“งั้นเดี๋ยวไปหาแม่ เอาข่าวดีไปบอกซะหน่อย” โสภาหันมาทางฝรั่งคู่ขา “บ๋ายบาย มายสวีท บองวัวแยกนะ เคยๆ เห็นหน้า”
ฝรั่ง 2 ถาม “You don’t come with me?”
“โน...โนคัมแล้ว ไอวิวโก”

รินกับโสภาช่วยกันผลักฝรั่งทั้งสองออกไป

ปราจิตพาศจีเข้ามานั่งในร้านอาหารของโรงแรมม่านรูด พลางมองไปรอบๆ แล้วแสร้งทำเป็นแปลกใจ

“เอ ทำไมคนน้อยจัง”
ศจีมองตาม เห็นคนนั่งเบียดกันเป็นคู่ๆ ส่วนมากในจำนวนน้อยนั้นเป็นฝรั่งกับสาวไทย เท่านี้เด็กสาวผู้ฉลาดเฉลียวก็รู้ว่าเป็นสถานที่อะไร แต่ยังคงตีหน้าซื่อ บริกรเอาเมนูมาวางให้เกือบจะโยนอย่างไม่มีมารยาทนัก ปราจิตเปิดออกดู
“ท่าจะมีแต่กับข้างฝรั่ง เราหาอะไรเย็นๆ กินสักหน่ย แล้วค่อยเปลี่ยนที่ใหม่ดีไหมคะ”
“แล้วแต่ท่านเจ้าค่ะ”
“ลองพันช์ดีไหมคะ เป็นจำพวกน้ำผลไม้ผสมยินนิดหน่อย ชื่นใจดี”
“ขอน้ำส้มดีกว่าเจ้าค่ะ”
ปราจิตบอกกับบริกร “งั้นของฉันขอเบียร์เย็นๆ สักแก้ว บีบมะนาวพอเปรี้ยวๆ ขมๆ แก้หิวน้ำดีนัก”
“เสิร์ฟที่นี่ หรือส่งไปที่ห้อง” บริกรถาม
ปราจิตแสร้งถามกลับ “ห้องไหน”
พนักงานทำท่ารำคาญ
“ก็คุณสั่งเปิดห้องหรือเปล่า”
“ขอเร็วๆ เถอะจ้ะ เราจะรีบไป”
บริกรหยิบเมนูออกไป ปราจิตส่ายหัว
“วุ่นวายจริง” ท่านทูตบอกกับศจีว่า “ขออนุญาตไปล้างมือเดี๋ยว”
จากนั้นจึงเดินออกไป ศจีมองไปรอบๆ อย่างรู้สึกไม่สบายใจ

ฝ่ายโสภากับรินแอบดูอยู่มุมหนึ่ง โสภาถึงกับดีดนิ้ว
“โอ้โห...มาครบสูตรเลย”
“ผู้ชายคนนั้นดูดีเชียวนะ มิน่านังจีถึงได้สมยอม” รินว่า
“ยายปริกคงจะอกแตกตาย เปอร์เซ็นต์หายไปตั้งเท่าไร”
ทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก

ปราจิตกลับออกมา ด้วยสีหน้าที่แสร้งไม่สบายใจ พลางฉวยแขนศจีลุกขึ้นโดยเร็ว
“ออกไปข้างนอกดีกว่า”
ศจีแหงนมองตาค้าง “เบียร์ของท่านเจ้าค่ะ”
ปราจิตยกขึ้นจิบอย่างเสียไม่ได้ แต่ปากก็เร่ง
“เร็วๆ ค่ะ”
ศจีฉวยกระเป๋าลุกขึ้นยืน ปราจิตหยิบเงินวางไว้บนโต๊ะ แล้วกึ่งลากกึ่งจูงศจีออกไป

ไม่นานนั้นเองปราจิตขับรถออกมายังถนนหน้าโรงแรมม่านรูดโดยไว พลางถอนใจยาว
“เกือบไป ถ้าใครมาเห็นเข้าละแย่เชียว ลำพังฉันน่ะไม่เท่าไหร่แต่เธอสิ”
“คะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันเป็นสถานที่ที่ ไม่เหมาะที่จะพาเข้าไปเท่านั้นเองทีแรกยังไม่แน่ใจ จนกระทั่งออกไปดู ขอโทษนะคะ หวังว่า คงไม่มีใครเห็น ไม่งั้น จะเสียหาย ฉันน่ะไม่เท่าไหร่เพราะเรื่องแบบนี้ เมืองไทย
เราไม่ค่อยถือเป็นสาระสำคัญ แต่ผู้หญิง คนไทยเราถือมากกว่า”
ศจีมองหน้าปราจิตด้วยความรู้สึกกึ่งตื้นตันกึ่งวางใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ขอบคุณค่ะ”
“ไว้พรุ่งนี้ค่อยเที่ยวกันใหม่นะคะ”
“เจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มนิดๆ ขณะขับรถออกไป อย่างรู้สึกสมหวัง

ที่ริมคลองหลังซ่อง ยายปริกฟังรายงานข่าวชิ้นสำคัญจากโสภาและรินจบลงถึงกับตบเข่าฉาด
“บ๊ะ นังจีน่ะเหรอเข้าม่านรูด เอ็งเอาอะไรมาพูด”
“จริงนะแม่ ฉันกับนังรินเห็นมากับสี่ตา” โสภายืนยัน
“ไปกะใคร”
“ไม่รู้จักน่ะแม่ ดูผู้ใหญ่อายุประมาณสี่สิบกว่า แต่ท่าทางผู้ดี๊ผู้ดี” รินบอก
“สงกะสัยจะเป็นคนเดียวกับที่นังอู๊ดมันเห็น ไม่ได้การละ”
“แม่จะทำยังไง” โสภาถาม
“หลานข้าทั้งคน ข้าอุตส่าห์ถนอมมาแต่เล็กจนโต ไอ้พวกนั้นจะมาชุบมือเปิบไม่ได้ ข้าต้องเรียกค่าเสียหาย”
ยายปริกตบโต๊ะดังป้าบอีกครั้งอย่างเฉียบขาด โสภากับรินแอบพยักพเยิดกันว่า เป็นอย่างที่คิด

จุกขนฝรั่งมาวางลงบนแคร่ พลางชะเง้อมองไปหน้าบ้านอย่างเป็นห่วง
“ทำไมยังไม่กลับมาอีกนะจี”
จุกเดินไปเดินมาร้อนใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงยกมือไหว้ นึกถึงตาศรี
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่แม่พูดเลยนะน้า น้าช่วยดลใจให้ลูกเราคิดได้ด้วยเถอะอย่าให้มันหลงคารมพวกเศรษฐี อย่าไปเป็นน้อยเขาเลย มันต้องเป็นคุณหญิงคุณนาย อย่างที่เราหวังไว้นะน้า น้าช่วยมันด้วยเถอะ”

สีหน้าจุกยังเป็นกังวลไม่คลาย

อ่านต่อหน้า 3

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ที่คณะรัฐศาสตร์ ค่ำนั้น สุพรรณเพิ่งประชุมกิจกรรมสโมสรนักศึกษาเสร็จ เขาเดินกลับมาพร้อมดนัย เจอแกมแก้วนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าตึก อีกฝ่ายเธอเห็นเขาก็ทักทายด้วยความดีใจ

“พี่พรรณกับพี่นัยประชุมเสร็จแล้วหรือคะ”
“ครับ ค่ำแล้ว ลูกแก้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”
“เอ่อ...ลูกแก้วรอรถอยู่น่ะค่ะ วันนี้คุณแม่ต้องใช้รถไปธุระ เลยมารับช้าหน่อย”
สุพรรณพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“รอนานจนรู้สึกหิว โชคดีพบพี่พรรณกับพี่นัยพอดีเลย เดี๋ยวไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”
สุพรรณมองหน้ากับดนัย ท่าทางลังเลครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของแกมแก้ว จึงตอบกลับไป
“ได้ครับ”
ดนัยหาทางเลี่ยงกับแกมแก้ว “เอ่อ...แต่พี่ต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปทำรายงานต่อ ของพี่ยังไม่เสร็จ แต่ของเจ้าพรรณน่ะเสร็จแล้ว”
สุพรรณเหลือบไปเหล่เพื่อน ดนัยพยักพเยิดพลางตบแขนสุพรรณ
“เอ็งไปเป็นเพื่อนน้องลูกแก้วเถอะ ข้าไปก่อนนะ”
แกมแก้วยกมือไหว้ดนัย
“งั้นลูกแก้วไม่รบกวนพี่นัยค่ะ สวัสดีค่ะ”
ดนัยรับไหว้ “ครับๆ สวัสดีครับ”
ดนัยรีบเดินออกไป ปล่อยให้แกมแก้วอยู่กับสุพรรณแค่สองคน สุพรรณมองหน้าแกมแก้ววางท่าขรึมๆ
“ลูกแก้วอยากทานอะไรครับ”

สุพรรณพาแกมแก้วมาทานร้านอาหารข้างทาง คุณหนูไฮโซลงนั่งตรงข้ามสุพรรณ พลางมองไปรอบๆ ร้านอย่างแปลกแยก สุพรรณสังเกตสีหน้าแกมแก้ว จึงถามเรียบๆ
“ลูกแก้วจะเปลี่ยนร้านไหมครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ทำไมถึงจะเปลี่ยนละคะ”
“ก็พี่คิดว่า ลูกแก้วอาจจะไม่คุ้นกับร้านโกโรโกโสแบบนี้”
แกมแก้วหัวเราะเขินๆ “ลูกแก้วไม่ค่อยได้ทานข้าวนอกบ้านน่ะค่ะ เมื่อก่อนอยู่โรงเรียนประจำก็ทานที่โรงเรียน พอเข้ามหาลัยก็ทานที่โรงอาหารบ้างแต่มาทานร้านแบบนี้ก็ดีนะคะ จะได้ลองอะไรใหม่ๆ”
คนขายเข้ามาถามห้วนๆ หน้าตาบูดบึ้ง
“จะเอาอะไร”
สุพรรณถามแกมแก้ว “ลูกแก้วสั่งอะไรครับ”
แกมแก้วงงๆ สั่งไม่เป็น “พี่พรรณสั่งให้ลูกแก้วก็ได้ค่ะ ลูกแก้วทานอะไรก็ได้”
“ก๋วยเตี๋ยวดีไหมครับ หรือจะเอาข้าวผัด”
“ก๋วยเตี๋ยวก็ได้ค่ะ”
“ก๋วยเตี๋ยวอะไรดีครับ”
แกมแก้วนิ่งคิด มองไปรอบร้านหาข้อมูล
สุพรรณเอ่ยชื่อขึ้น “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น? ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า? ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว?”
คนขายชักรำคาญ “ไปตกลงกันให้จบก่อนนะ แล้วค่อยสั่ง”
คนขายเดินออกไปโต๊ะอื่น แกมแก้วหน้าเจื่อน

ทางฝ่ายปราจิตขับรถมาถึงหน้าปากซอยวัดใหญ่
“ส่งตรงนี้ก็พอเจ้าค่ะ”
ปราจิตมองเข้าไปในซอย “ให้ฉันขับเข้าไปส่งถึงหน้าบ้านดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ซอยมันแคบ”
ศจีเปิดประตูลงจากรถโดยไม่รอให้ปราจิตท้วงอีก

ศจีเดินเข้าปากซอยมาไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงบางคนเรียกซะดังลั่น
“จี”
ศจีหันไป เห็นอู๊ดเดินเข้ามาบอก
“แม่เรียก”
ศจีลังเลนิดหนึ่ง
“แม่สั่งให้เข้าไปให้ได้ มีธุระจะพูดด้วย”

ศจีหยุดคิดนิดเดียว ก่อนจะเดินเข้าซอยไป

ฟากแกมแก้วกลับเดินเข้ามาในโถงบ้านด้วยท่าทางตื่นเต้น สอดตามองหาศจี พอเห็นป้าวรรณออกมาจากห้องอรุณวตีก็ถาม

“วันนี้จีไม่มาทำงานเหรอคะป้าวรรณ”
“มาค่ะ แต่ออกไปข้างนอกกับคุณหญิงท่านตั้งแต่สายๆ”
“แต่คุณแม่กลับมาแล้วนี่คะ”
“แม่ศจีไม่ได้กลับมาด้วยค่ะ เห็นว่าไปธุระที่บ้านคุณยายกับคุณท่านต่อ”
แกมแก้วสีหน้าเสียดาย
“ถ้างั้นจีคงเลยกลับบ้านไปแล้ว เฮ้อ...”
วรรณพูดด้วยน้ำเสียงหยัน “ป้าไม่ทราบได้ค่ะ ว่าเลยกลับบ้านหรือเลยไปที่อื่นอีก”
แกมแก้วมองวรรณอย่างแปลกใจ แต่ไม่ทันสังเกตรอยยิ้มมีเลศนัยของอีกฝ่าย พอหันไปก็เห็นชีวินยืนอยู่
“อ้าว พี่วินกลับมาแล้วเหรอคะ วันนี้กลับเร็วจังค่ะ”
“กลับมารอดูอะไรบางอย่าง” ชีวินพูดเป็นนัย
แกมแก้วมองฉงน “รอดูอะไรคะ”
“ลูกแก้วอย่าเพิ่งรู้เลย ไว้ถึงเวลาแล้วพี่จะบอก”
ชีวินเดินออกไป แกมแก้วมองตามงงๆ ไม่เข้าใจ
“แหม ทำไมวันนี้มีแต่คนยิ้มแปลกๆ ไม่เข้าใจเลย”
วรรณมองตามชีวินและมองแกมแก้วอย่างเห็นใจ

ศจีเดินเข้ามาหลังซ่อง ยายปริกหยีตามอง
“เพิ่งกลับเหรอจี”
ศจีไม่ตอบ แต่ลากเก้าอี้มานั่งหน้าเฉยเมย
“วันนี้นังโสภากับนังรินมันมา มันเพิ่งกลับไปตะกี้”
“มีอะไรจ๊ะยาย”
“มันว่ามันพบจี เอ็งไปขึ้นโรงแรมกะใครมา”
ศจีถามต่ออย่างไม่สะดุ้งสะเทือน
“ที่ไหนล่ะ ยาย”
“ชื่อมันเป็นฝาหรั่ง ยายจำไม่ได้ เอ็งไปกะใครหา”
“ไม่มีอะไรหรอก ไปหาอะไรกินแล้วก็ออกมา”
“ไปกะใคร” ยายปริกซักไซ้
“เจ้านาย ที่ทำงานกับเขา”
ยายปริกตบเข่าฉาดดังสนั่น
“นึกแล้วเอ็งต้องหลงกลนายห้าง โธ่เอ๊ย ไปเชื่อคารมมัน มีมีลูกมีเมียแล้วใช่ไหมล่ะ ยังงี้ต้องเรียกค่าเสียหาย มันจ่ายหรือเปล่า จี”
“ทำไมจะต้องจ่าย”
“ก็ค่าเสียหาย หรือไม่ก็ต้องค่าเลี้ยงดู ได้เท่าไหรหา จี ถ้าเรียกน้อยไป ยายจะจัดการให้”
ศจีหัวเราะอย่างขบขัน “เขาไม่ได้ทำอะไรเรา จะไปเรียกค่าเลี้ยงดูยังไง”
ยายปริกอุทานอย่างกึ่งดูถูก กึ่งเดือดดาล
“ชะ! หรือเอ็งยินยอม”
ศจีได้แต่ส่ายหน้าไม่ตอบ
“แม่เอ็งก็ไม่มีรายได้ ยายก็แก่แล้ว ถ้าพบคนตั๋งๆ เกาะไว้ให้ดี จะได้เป็นที่พึ่งแต่เอ็งจะปล่อยฟีๆ ยังงี้ไม่ได้ มันต้องให้เงินเราก้อนนึง บ้าน รถ กะเงินเลี้ยงดูรายเดือนตะหาก ยายกะแม่เอ็งไม่มีรายได้อะไร ที่เลี้ยงมาก็หมายจะได้เป็นที่พึ่ง ถ้ามันบิดเบี้ยวยังไงบอกยาย เราหาว่ามันปุกป้ำเสียเลยเรียกให้จั๋งหนับแล้วหาเอาใหม่ ไอ้เสี่ยมีถมถืดไป อย่างจีนี่ โฮ้ย แค่นี้ราคายังไม่ตกหรอก”
ศจีผุดลุกขึ้นยืน บอกเสียงเรียบๆ
“ฉันไปละนะ ยาย”
“เออ ไปคิดเสียก่อนก็ได้”
ศจีเดินออกไป ยายปริกมองตาม ชักร้อนใจ

ทางด้านปราจิตกลับเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี ชะงักเมื่อเห็นใครบางคน แต่แล้วก็ยิ้มออกมา
“กลับมานานแล้วเหรอวิน”
ชีวินนั่งหน้าตาบึ้งตึงเหมือนจ้องจับผิด
“ก็นานพอครับ”
“เสียดายวันนี้ลูกออกไปข้างนอก แม่เขาแวะไปที่กระทรวง เลยไปทานข้าวด้วยกัน”
“งั้นเหรอครับ น่าเสียดายจริงๆ ผมเลยไม่ได้ไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่แต่จะว่าไป...มันก็ดีอย่างนะครับ” น้ำเสียงตอนท้ายของเขาประชดประชันบิดาชัดแจ้ง “ผมไม่อยากไปขัดจังหวะความสุขของคุณพ่อ”
ปราจิตอึ้งๆ ไม่แน่ใจความหมายของชีวิน
“ลูก หมายความว่ายังไง”
“ผมพูดภาษาชาวบ้านครับ ไม่ใช่ภาษาทูต ผมหมายความอย่างที่พูด”
ปราจิตชักไม่พอใจ รู้สึกชีวินกำลังจับผิด
“พูดภาษาชาวบ้านยังเข้าใจยาก ถ้าแกพูดภาษาทูตคงไม่มีใครรู้เรื่อง”
“ผมเป็นคนพูดไม่เก่งหรอกครับคุณพ่อ ไม่ว่าภาษาอะไรผมก็สู้คุณพ่อไม่ได้เขาถึงว่าคารมเป็นต่อไงครับ”
ปราจิตชะงัก มองประเมินลูกชาย “เอ๊ะ นี่ชักจะยังไง แกพูดเหมือนมีอะไรในใจนะวิน”
“ไม่มีหรอกครับ ผมแค่ อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง”

ชีวินลุกเดินออกไป ปราจิตมองตามอย่างรู้สึกขุ่นใจกับท่าทีของบุตรชาย

อ่านต่อหน้า 4

คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ส่วนยายปริกเดินเข้ามาในซ่องพลางบ่นบ้าไม่เลิก

“มันจะยอมเขาฟีๆ หรือไม่ยอมแบ่งกันแน่วะ”
“อะไรเหรอแม่” อู๊ดมองฉงน
“ก็นังจีน่ะสิ ถึงยังไงข้าก็เลี้ยงมันมา เมื่อมันได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ข้าก็ควรจะได้ค่าน้ำนมบ้างถึงจะถูก”
อู๊ดหันไปสบตากับถวิล โสภา และริน
ไคนที่ควรจะได้คือนังจุกไม่ใช่เหรอแม่” ถวิลว่า
“แต่ข้าเป็นยายมันนะโว้ย มันจะยอมเขาฟีๆ หรือเปล่าช่างหัวมัน แต่ข้าเป็นผู้ปกครอง ต้องเรียกค่าเลี้ยงดูได้ มันยังเด็ก ไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าไม่ยอมฟามเก๊าะติดตะราง”
ยายปริกเดินไปเดินมาร้อนรน
“ต้องสืบก่อนว่า เจ้านายที่มันว่าอยู่ที่ไหน” สุดท้ายสั่งการกับอู๊ด “เอ็งไปสืบๆ ดูทีซิว่านังจีมันทำงานที่ไหน ก๊ะใคร ข้าอยากรู้”
อู๊ดได้แต่เกาหัวแกรกอย่างเบื่อหน่าย ยายปริกสำทับ
“เร็วๆ นะโว้ย ยิ่งนานยิ่งเสียของ”

พอเห็นศจีขึ้นเรือนมา จุกก็แทบจะโผเข้ามาหา
“จี ไปไหนมาลูก ทำไมกลับเอาป่านนี้”
แม่ลูกลงนั่งตรงชานเรือนนั่นเอง
“ฉันก็ไปทำงานไงจ๊ะแม่” ศจีมองหน้าจุก “มีใครมาพูดอะไรกับแม่อีกหรือเปล่า”
จุกหลบตาวูบ “ก็ แม่นั่นแหละ เขากลัวเอ็งถูกหลอก”
“เมื่อกี้ฉันคุยกับยายมาแล้ว”
“อย่านะจี ถึงเราจะจนยังไง แม่ก็ไม่อยากให้จีทำเพื่อเงิน เราอยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้ดีกว่าไปเป็นน้อยเขา มันไม่มีศักดิ์ศรี ถูกกดขี่ข่มเหง สักวันเมื่อเขาเบื่อเขาก็จะเฉดหัวเราออกมา”
“ฉันรู้น่าแม่”
“จะลำบากยังไง แม่ก็เลี้ยงจีได้ สวนเราก็มีเก็บกินใช้ไม่มีวันหมด”
“ไหนแม่เคยบ่นว่า ตั้งแต่ถนนตัดเข้ามา น้ำก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน”
“มันก็มีดีมีแย่บ้าง ผักกะเฉดเดี๋ยวนี้ห้ายอดสลึง มะนาวหน้าแล้งใบละห้าสิบ แต่เห็ดตับเต่าในสวนทำไมไม่ยักขึ้นชุกอย่างตะก่อนก็ไม่รู้ คงเพราะน้ำไม่ดีอย่างว่านั่นแหละ”
“เงินที่ให้แม่ พอใช้หรือเปล่า”
“พอ แม่จะเก็บไว้ให้จี”
“ไม่ต้องหรอกแม่ แม่ใช้ให้สบายเถอะ แม่ไม่ต้องวิตกหรอกว่า ในสวนจะไม่มีอะไรขาย ถึงมันจะตายหมดฉันก็มีปัญญาหาเลี้ยงแม่ได้”
“มรดกตกทอดของพ่อ จะทิ้งจะขว้างเสียยังไง พ่อจีน่ะทำมาตั้งกะหนุ่มๆ เขามีกินมีใช้ได้ มีเงินไปขอแม่ได้ก็เพราะไอ้สวนนี่แหละ ยังไงแม่ก็จะเก็บไว้พ่อเขาน่ะเป็นคนดี ไม่เคยเบียดเบียนใคร ทำได้เท่าไรก็ใช้เท่านั้น”
ศจีลอบถอนใจยาว รู้ว่าจุกจะพูดต่อไปอีกยาว จึงตัดบท
“ฉันเข้าห้องไปอาบน้ำก่อนนะแม่”
ศจีทำท่าจะลุก จุกรีบถาม
“จีกินอะไรมาหรือยังลูก แม่เก็บกับข้าวไว้ให้”
“กินแล้วจ้ะ”

ศจีเดินออกไป จุกได้เพียงมองตาม แววตาห่วงใยเหลือเกิน

คืนเดียวกัน แกมแก้วนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เตียงคุณหญิงอรุณวตีพลางบีบนวดอย่างเอาใจ

“ได้ยินว่าวันนี้คุณแม่ไปทานข้าวกับคุณพ่อที่กระทรวงเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ มีหนูศจีไปเป็นเพื่อน”
“มิน่าคุณแม่ดูสดชื่นเชียว ได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ดีนะคะ อยู่บ้านมากๆก็อุดอู้”
“แต่กลับมาก็แทบจะหมดแรงน่ะจ้ะ”
“งั้นคุณแม่พักผ่อนมากๆ นะคะ ปวดเมื่อยตรงไหนบอกลูกแก้วได้”
“แค่นี้แม่ก็ชื่นใจหายเหนื่อยแล้วละจ้ะ ทำไมวันนี้ถึงกลับค่ำนักละลูก”
แกมแก้วอึกอักเล็กน้อย เขินจนหน้าแดง
“ลูกแก้วไปทานข้าวกับเพื่อนมาค่ะ”
“เพื่อนกลุ่มที่มาบ้านเราวันก่อนน่ะเหรอ”
“เอ่อ...ใช่ค่ะ” แกมแก้มเลียบๆ เคียงๆ จะเข้าเรื่องสุพรรณ “คุณแม่ว่าเพื่อนลูกแก้วเป็นยังไงบ้างคะ”
“พวกเขาก็ดูพูดจามีหลักการดีจ้ะ สมกับเป็นนักศึกษารัฐศาสตร์ โดยเฉพาะ...คนที่ชื่อสุพรรณ”
แกมแก้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“ค่ะ พี่พรรณเขาเป็นถึงประธานคณะ เป็นคนฉลาดช่างคิด มีอุดมการณ์มีความเป็นผู้นำ เวลาคุยกับผู้ใหญ่เป็นงานเป็นการก็เข้าได้อย่างคล่องแคล่ว”
อรุณวตีจับสังเกต “ดูถูกจะชื่นชมเขาเป็นพิเศษนะจ๊ะ”
แกมแก้วรีบเฉไฉ กลบเกลื่อน “ก็ เขาเป็นพี่รหัสลูกแก้วนี่คะ แต่เขาก็มีบางอย่างที่ลูกแก้วไม่เข้าใจเหมือนกันน่ะค่ะ คือเขาออกจะขรึมๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เลยดูไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไงกับใคร”
อรุณวตีเอ่ยขึ้น “ลักษณะของสุพรรณคนนี้ คล้ายกับ หนูศจีเหมือนกันนะ”
แกมแก้วคิดตาม “จริงด้วยค่ะ ลูกแก้วก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน มิน่าลูกแก้วถึงชอบคุยกับเขา เพราะเขาคล้ายกับจีนี่เอง”
แกมแก้วเอาแก้มแนบกับตักของมารดา อรุณวตีก้มมองลูกอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามออกมา
“หนูศจี เขามีแฟนหรือยัง”
“คุณแม่จะหาคู่ให้จีหรือคะ”
“ตอบมาก่อนสิจ๊ะ”
“บางครั้งจีก็ดูลึกลับ ลูกแก้วไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่เท่าที่เห็น เท่าที่ลูกแก้วรู้ จียังไม่มีใครค่ะ”
อรุณวตีแอบถอนใจยาว แกมแก้วสังเกตสีหน้าแม่
“คุณแม่จะบอกลูกแก้วได้หรือยังคะ ว่าจะจับคู่ให้จีหรือเปล่า”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกจ้ะ เพียงแต่คิดว่า ถ้ามีคนที่เหมาะสมกับศจี แม่ก็อาจจะช่วยเป็นแม่สื่อให้”
“เดี๋ยวจีแต่งงานไปแล้ว ลูกแก้วก็ไม่มีเพื่อนสิคะ และถ้าแฟนเขาไม่อยากให้จีทำงาน คุณแม่ก็จะเสียผู้ช่วยคนเก่งไปอีกด้วย”
“เราจะคิดเอาแต่ได้จากเขาฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะจ๊ะ ถ้าเขามีทางไปที่ดีกว่าเราก็ต้องส่งเสริม”
“แต่ลูกแก้วหวงจีนี่คะ”
อรุณวตีเอามือวางทาบบนเรือนผมของลูกสาว พลางลูบเบาๆ
“สักวันลูกแม่ก็ต้องมีคู่ออกเรือนไปเหมือนกัน”
แกมแก้มหน้าแดงซ่าน “คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกค่ะ กว่าลูกแก้วจะเรียนจบอีกนาน”
“ดีแล้วจ้ะลูก ไม่ต้องรีบร้อน ดูไปก่อนจนแน่ใจ ขนาดคนที่เรารู้จักมานานเรายังอาจจะไม่รู้จักเขาดีพอ ต้องมองให้ลึกซึ้งทุกด้าน มีอะไรก็มาปรึกษาแม่ได้นะ”
“ค่ะ ถ้าแน่ใจแล้วลูกแก้วจะปรึกษาคุณแม่ค่ะ”

แกมแก้วยิ้มพราย นัยน์ตาฝันหวาน อรุณวตีมองธิดาผู้มองโลกสวยด้วยแววตาหม่น ห่วงจับใจ

อ่านต่อตอนที่ 16
กำลังโหลดความคิดเห็น