คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 14
ทางด้านยายปริกเอานิ้วจิ้มหน้าผากของอู๊ดแรงๆ อย่างขัดอกขัดใจ
“แกนี่ไม่ได้เรื่องเล้ยนังอู๊ด ให้ไปสืบแค่นี้ก็ยังไม่ได้ความ”
“อย่างน้อยฉันก็เห็นแหละแม่ ว่ามันจริงอย่างเขาพูด”
“จริงยังไงวะ”
“ผู้ชายที่มาส่งนังจี หน้าตาดี๊ดี มาดผู้ดี ดูสง่าเชียวหละ” อู๊ดรายงาน
“แล้วขับรถอะไรมาส่ง”
“รู้สึกจะเป็นรถญี่ปุ่น คันเล็กหน่อยแม่”
ยายปริกประเมินฐานะ “โธ่เว้ย งั้นก็ไม่ใช่เศรษฐีน่ะสิ”
“โอ๊ย มีรถขับก็ดีแล้ว จะเอาเบนซ์กับคฤหาสน์ด้วยหรือไงแม่” ถวิลว่า
“จะมีหลานเขยทั้งทีต้องหวังสูงหน่อยสิวะ อย่าลืมว่านังจุกกับตาศรีเลี้ยงลูกให้เป็น เจ้าคนนายคน”
ถวิลเหน็บ “สงกะสัยจะได้ เจ้าคนนึง นายคนนึง มากกว่าละมั้ง”
ปริกยกเท้าถีบถวิลจนเซไป
“หนอย ปากดีนักนะเอ็งนี่”
“แม่ จีมันฝากมาบอกแม่ด้วยนะ”
“บอกอะไร”
“ว่าแม่ไม่ต้องไปสนใจมัน สนใจกิจการกับลูกๆ ของแม่ดีกว่า”
ปริกถึงกับทุบโต๊ะ
“หนอย นังจีลูกตาศรี มันนี่หยิ่งจองหองไม่แพ้พ่อแม่มันเลยวุ้ย ทำไมกลัวว่าข้าจะไปเกาะมันกินหรือไง คนอย่างนังปริกนะโว้ย สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาตั้งกะไม่มีแม้กระทั่งฝาบ้าน เลี้ยงแม่มันมาจนโตมีผัว ข้าน่ะไม่ต้องพึ่งมันหรอก เฮอะ”
ยายปริกเดินหุนหันหนีกลับเข้าซ่องไป
“จะคอยดูนะแม่” ถวิลว่า พลางหันมายักคิ้วหัวเราะกับอู๊ดอย่างสนุกสนาน
แกมแก้วเคาะเรียกแล้วเปิดประตูโผล่หน้าเข้ามาในห้องคุณหญิงมารดา
“เพื่อนกลับกันหมดแล้วเหรอจ๊ะ หนูว่างไหม มานั่งคุยกับแม่หน่อย”
แกมแก้วเข้ามาซุกนั่งใกล้แม่ พลางบอกอย่างเอาใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ มีฝรั่งเศสเหลืออีกหน่อยเดียว ถ้าไม่ใหวจริงๆ เช้ารอให้จีเขาช่วยทำก็ได้”
“ถ้าไม่มีหนูจีเสียคน ทั้งแม่ทั้งหนูทำยังไง้”
“เห็นไหมคะ ลูกแก้วบอกแล้วว่า จีเขามีความสามารถหลายอย่าง”
“ถ้าหนูเป็นผู้ชาย แม่เห็นจะต้องไปขอหนูจีให้แล้วสินี่”
“อย่างจี คุณแม่ไม่อยากได้เป็นลูกสะใภ้เหรอคะ”
สีหน้าอรุณวตีแอบหวั่นไหวแกมระแวง
“ทำไม ตาวิน เขาก็มีท่าทาง อย่างนั้นเหรอ”
“ลูกแก้วก็ไม่แน่ใจค่ะ เหมือนจะมีแต่ก็ไม่ชัด อาจจะเป็นเพราะพี่วินมีพี่ยาอยู่แล้วก็ได้”
“ไม่น่าจะใช่นะจ๊ะ ตาวินปฏิเสธหนูยามาตลอด”
“จีเขาเฉยๆ เรื่อยๆ พี่วินก็เลยอาจจะไม่แน่ใจ ไม่กล้าบุ่มบ่ามเหมือนกัน แล้วพี่วินก็เป็นคนรักชีวิตโสด คงยังไม่ตกลงกับใครง่ายๆ”
อรุณวตีแอบถอนใจอย่างโล่งอก แกมแก้วมองหน้ามารดาอย่างจับสังเกต
รัชนีฉายในชุดนอนเดินไปเดินมาในห้องเฉลียงอย่างร้อนรุ่ม จนมีเสียงคนเคาะประตู
“เข้ามา”
บรรจงเข้ามาคุกเข่า “ท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
รัชนีฉายยิ้มเหี้ยม หยิบกระเป๋ามาเปิด ส่งแบงก์ร้อยให้บรรจง สาวใช้คู่ใจยกมือไหว้แล้วรับมา ก่อนจะออกจากห้องไป
รัชนีฉายหยิบเสื้อคลุมมาสวม แล้วเดินออกจากห้อง
แกมแก้วมองหน้าอรุณวตีอย่างห่วงใย
“วันนี้ดูคุณแม่เหมือนมีเรื่องในใจ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีหรอกจ้ะ แค่เพลียๆ อย่างเคย ไม่รู้ว่าวันไหนเข้านอนแล้วจะไม่ได้ตื่น”
“ไม่เอาค่ะ ไม่พูด” เด็กสาวซุกหน้ากับต้นแขนคุณหญิงมารดา เขย่าไปมา ”คุณแม่ยังไม่เป็นไรจะต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ”
“คนเราบางครั้งก็ต้องยอมรับความจริง ถ้าแม่เป็นอะไรไป แม่คงเป็นห่วงหนูมากกว่าพี่วิน หนูกับคุณน้ารัชนีฉายยังเข้ากันไม่ได้อีกเหรอจ๊ะ”
“ลูกแก้วไม่ยอมให้ใครมาแทนที่คุณแม่หรอกค่ะ”
“ก็แม่ไม่อยู่ คุณพ่อก็จำต้องหาแม่บ้าน”
“แล้วป้าวรรณ”
“ป้าวรรณดูแลได้แต่บ้าน ทว่าคุณพ่อต้องการคู่คิดคู่ปรึกษา คนที่จะช่วยแบ่งเบาภาระออกแขกออกเหรื่อ”
“ทำไมคะ ผู้ชายจะอยู่คนเดียวไม่ได้เหรอคะคุณแม่”
“ธรรมชาติสร้างผู้ชายมาให้แตกต่างจากผู้หญิง คุณพ่อของลูกแก้วอายุยังไม่มาก การอยู่ดีกินดีทำให้ยังหนุ่ม สดใส ธรรมชาติจึงทำให้ต้องหาใครมาแทนที่แม่อยู่ดี หนูจะโกรธคุณพ่อไม่ได้ ยกเว้นประการเดียว...คุณพ่อต้องหาคนมาแทนแม่ ชนิดที่หนูคิดว่าจะแทนแม่ได้”
“คุณน้ารัชนีฉายแทนคุณแม่ไม่ได้นี่คะ”
“ทำไมจ๊ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“งั้น หนูกับแม่มาช่วยกันดู ‘ตัวแทน’ ให้คุณพ่อดีไหม” อรุณวตีหยั่งเชิง
“คุณแม่ยังอยู่กับลูกแก้วอีกนานนี่คะ”
“งั้นเรามาลองคิดเล่นๆ แหม ถ้าหนูศจีอายุมากกว่านี้อีกนิดแม่ว่าเหมาะเชียว”
แกมแก้วหัวเราะคิก “นั่นสิคะ ลูกแก้วก็ชอบจี ถึงเขาจะไม่เหมือนคุณแม่แต่แก้วคงสบายใจมากกว่าให้ผู้หญิงอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวในบ้านของเรา”
อรุณวตีถอนใจ “เสียดายจังนะ อายุหนูจีแกน้อยไป”
“แต่จีเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากนะคะ”
“ฮื้อ แต่จะสู้คุณน้ารัชนีฉายได้เหรอ เวลาออกแขกออกเหรื่อ”
“ก็เดี๋ยวนี้จีเขาทำแทนคุณแม่ได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าคุณน้ารัชนีฉายไม่มาแย่งทำ ทำไมจีเขาจะทำไม่ได้”
อรุณวตีหยั่งเชิงอีก “แต่ หนูจีเขาจะชอบคุณพ่อเร้อ”
“คุณพ่อยังสมาร์ทนะคะ แต่ เราพูดเล่นใช่ไหมคะ คุณแม่ยังอยู่ ใครๆ ก็ไม่เหมือน ลูกแก้วรักคุณแม่”
อรุณวตีโอบแกมแก้วมากอดซบแนบอก น้ำตาคลอ แต่พยายามสะกดกลั้นสะอื้นข่มให้น้ำเสียงเป็นปกติ
“ใช่จ้ะ ก็เราคุยกันเล่นๆ และแม่ก็พูดเผื่อๆ ไว้ ลูกแก้วไปทำการบ้านเถอะลูก”
อรุณวตีเอนตัวลงอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง แกมแก้วมองด้วยความเป็นห่วง
“คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ”
“ยังจ้ะ...ยัง...”
อรุณวตียิ้มอ่อนโยน พลางลูบผมลูกสาวด้วยความรักใคร่ห่วงใยสุดซึ้ง
ขณะที่ปราจิตกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเบิกบานอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รัชนีฉายเข้ามาขวางหน้าไว้
"หายไปไหนมาคะคุณพี่”
“ไม่ได้หายไปไหน พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง”
“แต่คุณพี่ปล่อยให้น้องรับแขกอยู่คนเดียวจนงานเลิก”
“พี่เห็นว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยให้ทำเต็มที่”
“อย่ามาเฉไฉนะคะ คุณพี่หายไปทั้งที่งานยังไม่เลิก ไปไหนมาคะ”
“พี่เบื่อที่จะปั้นหน้า ใส่หน้ากากในบ้านตัวเอง ก็เลยออกไปหาที่สบายๆ นั่งทานอาหาร”
“โดยที่ไม่ได้บอกน้องเลยเหรอคะ”
“พี่ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น”
รัชนีฉายเหน็บ “ท่าทางมีลับลมคมใน”
“อย่ามาจับผิดกันได้ไหม วันนี้พี่ง่วงแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกัน”
ปราจิตหนีเข้าห้องปิดประตูลงกลอนทันที รัชนีฉายได้แต่ตกใจและทุบประตูเรียก
“คุณพี่เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน คุณพี่”
ปราจิตยังไม่ยอมเปิด รัชนีฉายสะบัดมืออย่างเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
รัชนีฉายกลับเข้ามาในห้องนอนตรงเฉลียง อาละวาดดึงทึ้งผ้าปูที่นอน กรีดร้องลั่นห้อง แล้วทุ่มตัวลงบนเตียง เอามือทุบเตียงแรงๆ อย่างเจ็บใจ
“คุณพี่นะคุณพี่ ทำแบบนี้ เราจะได้เห็นดีกัน”
รัชนีฉายทำตามที่พูดในตอนสายวันรุ่งขึ้น เมื่อศจีเข้ามาที่โต๊ะ ขณะกำลังจะเปิดลิ้นชัก ก็ต้องชะงักเมื่อมองไปข้างหน้า เห็นรัชนีฉายในชุดเดรสสั้นนำสมัยสำหรับงานกลางวัน กำลังจ้องมองมายังเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เมื่อคืนหล่อนไปไหนมา”
“ดิฉันอยู่ที่ศาลากับลูกแก้วค่ะ”
“อย่ามาทำไขสือ แกออกไปกับคุณพี่ปราจิตใช่ไหม”
ศจียิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบออกไปอย่างมีแววเยาะหยัน
“อ้าว คุณรัชนีฉายทราบด้วยเหรอคะ”
รัชนีฉายเม้มปากแน่นอย่างเอาเรื่อง “แกไปจริง”
“ใช่ค่ะ”
“คุณพี่พาแกไปไหน”
“ท่านหิว เลยพาดิฉันไปนั่งเป็นเพื่อน”
รัชนีฉายด่า “หน้าด้าน”
“อะไรนะคะ”
“ฉันว่าแกหน้าด้าน”
“แล้วสิ่งที่คุณรัชนีฉายทำอยู่ โดยการไปออกงานแทนคุณหญิง จะเรียกว่าอย่างไรคะ”
รัชนีฉายบันดาลโทสะที่ถูกย้อน ตบหน้าศจีฉาดใหญ่
“แกกล้าย้อนฉันเหรอ”
รัชนีฉายจะตบอีก แต่ศจีคว้าข้อมือไว้ทัน ทั้งสองยื้อกัน
“ดิฉันมาจากสังคมที่ปากกัดตีนถีบ ถึงแม้จะได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แต่ยามจำเป็น ดิฉันก็จะไม่ยอมให้ใคร”
รัชนีฉายแทบจะกรีดร้อง
เสียงแกมแก้วดังนำเข้ามา “จี”
ทั้งสองชะงัก แกมแก้วในชุดนักศึกษาโผล่หน้าเข้ามา พอเห็นรัชนีฉายก็หุบยิ้ม
“อ้าว จีอยู่กับคุณน้าเหรอ งั้นเดี๋ยวลูกแก้วมาใหม่”
“เสร็จธุระแล้วจ้ะ ลูกแก้วเข้ามาเถอะ”
รัชนีฉายสะบัดหน้าออกไป แกมแก้วมองตามงงๆ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก ลูกแก้วมีอะไรกับฉันเหรอ”
รัชนีฉายออกมาจากห้อง สีหน้าหน้าถมึงทึงเข่นเขี้ยวเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธแค้น
“อีนังกิ้งก่า สักวันเถอะ”
แต่แล้วรัชนีฉายก็ชะงัก เมื่อเห็นวรรณยืนอยู่มุมหนึ่ง สีหน้าเหมือนมีรอยยิ้มหยันนิดๆ รัชนีฉายถลึงตาใส่
“แถวนี้มีกิ้งก่าด้วยเหรอคะ”
“มีสิ หลายตัวเสียด้วย”
“เอ แต่ดิฉันเห็นแต่ คางคกน่ะค่ะ คางคกขึ้นวอ”
วรรณเดินลอยหน้าลอยตาออกไปเลย
ปล่อยให้รัชนีฉายกรีดร้องอยู่ในใจคนเดียวที่ถูกหลอกด่า
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 14 (ต่อ)
แกมแก้วยังอยู่ที่โต๊ะทำงานศจี และกำลังถามถึงเรื่องเมื่อคืนนี้
“เมื่อคืนจีทำไมจู่ๆ จะกลับบ้านล่ะ ลูกแก้วว่าจะให้คนขับรถไปส่ง”
“พอดีเห็นคุณท่านกำลังจะออกไป เลยติดรถท่านไปด้วย”
“งั้นเหรอ มิน่าไม่เห็นคุณพ่อเลย ว่าแต่ จีมีอะไรไม่พอใจหรือเปล่า”
“ไม่พอใจใครเหรอ”
“ก็เพื่อนลูกแก้วน่ะสิ”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ค่อยชอบปาร์ตี้เท่าไร เธอก็รู้”
“จีว่าพี่รหัสฉันเป็นยังไง”
“คงต้องดูอีกสักพัก เห็นครั้งแรกบอกไม่ได้หรอก”
“ท่าทางจีคงไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร”
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
“เห็นจีกับเขาคุยกัน เหมือนไม่ค่อยลงรอย แต่ว่า ก็เหมือนคนรู้จักกันมานานด้วย”
ศจีถึงกับสะดุ้ง เฉไฉไปเรื่องอื่น
“ท่าทางเขาหัวก้าวหน้าอยู่นะ แต่อย่างอื่น ยังดูไม่ออก”
“งั้นลูกแก้วจะพาเขามาที่บ้านบ่อยๆ จีจะได้ดูออก ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ลูกแก้วไปเรียนก่อนนะ เดี๋ยวจะสาย”
แกมแก้วเดินออกไปอย่างร่าเริง ศจีมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ภายในห้องทำงานเวลานั้น อรุณวตีเซ็นเอกสารเสร็จ จึงยื่นคืนให้ศจี
“วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้ว หนูออกไปข้างนอกด้วยกันไหมจ๊ะ”
ศจีเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ท่านจะออกไปเหรอเจ้าคะ”
“ฉันไม่ได้ออกไปไหนนานแล้ว อยากจะดูว่าโลกภายนอกเขาเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน”
“เอ้อ แต่ท่านยังไม่แข็งแรง” ศจีทัดทาน
“ช่างมันเถอะหนู” คุณหญิงถอนใจยาว “ทั้งหมอ ทั้งใคร ๆ คอยแต่จะบอกฉันว่าฉันไม่แข็งแรง ทำอะไรไม่ได้ ฉันก็เลยทำตัวเป็นคนเจ็บเรื่อยมา แต่ นั่นแหละนะหนู ยังไงๆ มันก็ต้องตายเข้าสักวัน แล้วจะมากลัวอะไรนักหนา มันจะมาถึงเร็วหรือช้ากว่ากันสักเดือนสองเดือน ก็ไม่น่าตกใจ จริงไหม”
“เจ้าค่ะ”
“ฉันจะลองทำอะไรๆ ตามใจดูสักที อย่างที่ใครๆ เขาว่า เผื่อตายไปยมบาลถามจะได้ตอบถูก”
“ชวนป้าวรรณไปด้วยไหมเจ้าคะ”
“อย่าชวนเข้าเชียว ขี้เกียจได้ยินคำว่า ‘อย่า’ ไปตลอดทาง”
อรุณวตีพูดกลั้วหัวเราะ
ศจีพลอยยิ้มอย่างดีใจไปด้วย ที่เห็นคุณหญิงดูสดชื่นขึ้น
สิทธิ์ขับรถเข้ามาจอดเทียบหน้าตึกใหญ่ ศจีเดินออกมากับอรุณวตี แล้วขึ้นรถไป
วรรณชะโงกหน้าออกมาดูสีหน้าตกใจ ราวกับทั้งสองจะออกไปผจญภัยกระนั้น
นวลผ่องหัวเราะคิกคักขณะเดินเข้ามาในครัว
“ขำอะไรวะนังผ่อง”
“ขำป้าวรรณสิป้าม่อม”
“แม่วรรณน่ะเหรอมีอะไรให้เอ็งขำ ร้อยวันพันปีข้าเห็นแต่แกตีหน้าดุเหมือนอาจารย์ใหญ่”
“ฉันขำหน้าป้าวรรณน่ะ เมื่อกี้คุณหญิงท่านออกไปกับคุณศจี ป้าวรรณแกออกไปมอง สีหน้าตกใจยังกับสองคนนั้นจะออกไปผจญภัย” นวลผ่องว่า
“หา คุณหญิงน่ะเหรอออกไปข้างนอก”
“ใช่ป้า”
“มันแปลกนะ ท่านไม่ออกไปไหนนานหลายเดือนแล้ว ทุกทีช่างทำผมยังต้องมาที่บ้าน”
“ฉันว่า...พักนี้คุณหญิงท่านดูสดชื่นขึ้นนะป้า คงได้คนคุยกันถูกคอ” นวลผ่องพูดเป็นเชิงถาม
“คุณหญิงท่านอาจจะหาตัวแทนที่เหมือนท่านสมัยสาวๆ ฮึ คราวนี้คุณน้องลำบากแน่” ละม่อมว่า
ทั้งสองสบตากันอย่างเห็นด้วย
ในรถหรู ที่นายสิทธิ์ขับมาตามถนน อรุณวตีนั่งรถคู่มากับศจีในที่นั่งตอนหลัง
“ถ้าให้ทาย พี่วรรณคงมีบัญญัติอย่างน้อยสิบประการให้เธอปฏิบัติเช่น ห้ามพาไปดูของตื่นเต้น ห้ามขึ้นที่สูง...”
ศจียิ้มรับ
“เราไปดูของสวยๆ กันก่อน พวกผ้าตัดเสื้อ ของประดับกระจุกกระจิกแล้วเดี๋ยวเราค่อยโทรศํพท์ถึงคุณจิต ให้แปลกใจเล่น เออ เมื่อวานหนูออกไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆ ยายลูกแก้วเขาหรือเปล่าจ๊ะ”
“ออกไปครู่หนึ่งเจ้าค่ะ แล้วก็เลยรีบกลับ เผอิญพบท่าน ท่านเลยกรุณาไปส่ง”
อรุณวตีอึ้งไปนิดหน่อยแม้จะรู้อยู่แล้ว ก่อนจะระบายลมหายใจยาวออกมา
“อ้อ เอ๊ะ! แล้วทำไมท่านไม่อยู่รับแขกกับรัชนีฉายเขา”
“ท่านบอกว่า รู้สึกเบื่อเจ้าค่ะ”
“ความจริงท่านเป็นคนชอบเงียบๆ ไม่ชอบออกสังคมนัก นอกจากหน้าที่มันบีบบังคับ แต่ เรื่องเอิกเกริก ต้องยกให้รัชนีฉายเขา รายนั้นเขาชอบงานหรูหรา คนเราก็มักจะเป็นยังงั้นแหละหนู อะไรที่ชินเสียแล้วมันก็เบื่อไปเออ หนูเอาหัวแหวนมาหรือเปล่า จะได้แวะทำเสียเลย”
ศจีอึกอักนิดๆ “เปล่าเจ้าค่ะ ดิฉันให้เขาไปแล้ว”
“อ้าว หนูไม่ชอบเหรอจ๊ะ”
“ดิฉันเสียใจเจ้าค่ะ ที่ให้เขาต่อ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เข็มกลัดเนคไทของสุพรรณวาบเข้ามาในความคิดคุณหญิง
“ฉันให้หนูแล้ว หนูจะเอาไปทำอะไรก็ได้ อยากรู้แต่ว่าหนูไม่ชอบงั้นเหรอ”
“มิได้เจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ แล้วก็แล้วไป”
สีหน้าอรุณวตีมีริ้วรอยกังวลเล็กน้อย ครุ่นคิดในใจว่า หรือศจีอาจจะเป็นแฟนกับสุพรรณ
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 14 (ต่อ)
เมื่อฟังคำพูดของยายปริกซึ่งวิ่งโร่มารายงานถึงบ้านสวนจบลง จุกได้ร้องอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“จีน่ะเหรอแม่ มีเศรษฐีมารับมาส่ง”
“ก็ใช่น่ะซี้ เอ็งน่ะวันๆ อยู่แต่ในสวน จะไปรู้อะไร้ หัดดูแลลูกเต้าบ้างว่ามันไปทำอะไร”
“จีมันไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง มีอะไรมันก็เอาตัวรอดได้ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“ถึงมันจะเก่งกล้ายังไง แต่อย่าลืมนะว่ามันยังเด็ก ยังไงก็ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมไอ้พวกเศรษฐีร้อก”
“ถ้าจีได้ผัวเศรษฐี มันไม่ดีหรือไงแม่”
“ดีน่ะดี ถ้าเขาจริงจังกับมัน ไม่ได้เห็นมันเป็นแค่ดอกไม้ริมถนน ข้ากลัวว่าเขาจะเอามันเป็นแค่น้อยน่ะซิ ไอ้พวกผู้ดีพวกเศรษฐีน่ะ มันก็แต่งกับพวกเดียวกันเองต่างคนต่างรวย เรื่องอะไรจะเอาสมบัติมาแบ่งคนชั้นพวกเราล่ะ”
สีหน้าจุกเริ่มไม่สบายใจ
“จีไม่ยอมหรอกแม่”
“ของแบบนี้มันก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าทางนั้นเงินถุงเงินถัง ใครๆ ก็อยากสบายไม่ใช่เรอะ อย่าลืมว่าเงินน่ะซื้อได้ทุกอย่าง”
“ฉันจะไม่ให้มันเหมือนฉัน ฉันไม่ยอมหรอก”
เห็นสีหน้าจุกมุ่งมั่น ยายปริกลอบมองแล้วยิ้มนิดๆ ที่ทำให้จุกเชื่อตนได้
ในรถที่แล่นมาบนท้องถนน อรุณวตีมองไปข้างหน้า พลางปรารภขึ้น
“ขนาดกลางวันรถยังแน่น ตอนหนูกลับบ้านลำบากไหมจ๊ะ”
“ก็ เบียดกันบ้างเจ้าค่ะ”
“งั้นเอายังงี้ นัดเวลากันให้ดี เช้าเย็น ฉันจะส่งรถไปรับ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” ศจีปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“จะเป็นอะไรนะหนู รถเรามี คนขับก็มี ฉันเองก็รักหนู เพราะตั้งแต่หนูมาก็เบาแรงไปแยะ แต่เรื่องรัชนีฉาย ถ้ามีอะไร หนูอย่าไปถือสาเขาเลยนะ เขาคนเจ้าโทสะยังงั้นเอง ท่านเองเคยออกปากไว้นานแล้วว่า รัชนีฉายเขาปากอยู่ที่หัวใจ คือมีอะไรพูดทันที ท่านน่ะชอบคนปากอยู่ที่สมอง คือคิดแล้วค่อยพูด ลักษณะอย่างหนูนี่แหละ”
“คนเงียบไม่ได้แปลว่าฉลาดเสมอไปเจ้าค่ะ บางคนคิดเงียบๆ ก็จริง แต่บางคนเงียบเพราะไม่ได้คิดเลย”
“แต่แบบหนูแสดงว่าคิด เพราะใครก็ตามที่รู้ตัวเองว่าโง่ คือคนที่ฉลาดขึ้น แต่คนที่แน่ใจตัวเองว่าฉลาดแล้วจะโง่ลงทุกวัน”
รถจอดเทียบหน้าห้าง สิทธิ์ลงมาเปิดประตูให้อรุณวตีลงจากรถ ศจีลงตามมา
“ร้านไหนนะ ที่รัชนีฉายเขามาบ่อยๆ เคยได้ยินเขาพูดแต่จำไม่ได้”
“ร้านหัวมุมเจ้าค่ะ เพิ่งเปิดใหม่ ส่วนใหญ่เป็นของสั่งจากนอก ดิฉันเคยผ่านแต่ไม่เคยเข้าไป”
“งั้นเข้าไปดูเสียพร้อมๆ กันเลย”
อรุณวตีเดินนำศจีเข้าไป
อรุณวตีเดินนำเข้ามาดูเครื่องประดับในร้าน ศจีตามหลัง พนักงานยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ
“ต้องการอะไรคะ”
“ยังไม่ต้องการจ้ะ แต่ถ้าดูๆ ไปอาจจะต้องการ”
พนักงานค้อมรับทีท่านอบน้อม อรุณวตีเดินมาถึงตู้โชว์ตู้หนึ่ง ชี้ไปที่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งในตู้นั้น
“ขอดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“ของโชว์ค่ะ ไม่ขาย”
“แล้วกัน ทำไมละจ๊ะ
พนักงานสาวเจื้อแจ้ว “คุณหญิงรัชนีฉาย ท่านให้เราสั่งพิเศษมาจากสเปน ท่านว่าให้เข้าชุดกับเข็มขัดที่มีอยู่”
“งั้นเหรอ...”
ศจีอึ้ง นิ่งงันไป นึกถึงวันที่รัชนีฉายเรียกหาเข็มขัดเส้นนั้นตอนแต่งตัวในห้องนอนใหญ่
“เข็มขัดลายทองโปร่งๆ ของคุณพี่ มีอยู่เส้นนึงเอาไว้ที่ไหน”
นวลผ่องทักท้วง “เอ้อ...ท่านรักมาก แล้วก็...”
รัชนีฉายแหวใส่ว่า “เอามา”
นวลผ่องจำใจหยิบเข็มขัดเส้นนั้นขึ้นมาส่งให้ รัชนีฉายหันไปทางศจี สีหน้าเหมือนได้ชัยชนะ
นึกแล้วศจีมองหน้าอรุณวตี สีหน้าคุณหญิงกลับมีแววเลื่อนลอย
พนักงานพูดอวดโอ้ต่ออย่างภูมิใจ
“ท่านมาสั่งของที่นี่ประจำค่ะ”
“สวยดีนะหนู”
“คุณหญิงคะ” ศจีเอ่ยขึ้น
อรุณวตีหันมายิ้มกับศจี
“ไปกันเถอะหนู”
แต่แล้วอรุณวตีก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้อ ที่นี่มีโทรศัพท์ไหมจ๊ะ ขอใช้สักนิดเถอะ”
“เชิญค่ะ”
พนักงานผายมือเชิญอรุณวตีเข้าไป
ศจีถอยห่างออกมา แล้วมองไปรอบๆ ร้านอย่างหมายมาดไว้ในใจ
ว่าสักวันเธอจักได้สิ่งสวยงามหรูหราที่อยู่ในนี้บ้าง
เดินดูข้าวข้องในร้านจวบจนเวลาผ่านไปอีกสักเล็กน้อย ศจีจึงเดินออกมาจากร้านพร้อมๆ กับอรุณวตี
“เดี๋ยวเราไปรับท่านที่กระทรวง วันนี้สนุกกันใหญ่สักหน่อย เราไปรับคุณจิตออกมาทานอะไรกันดีกว่า”
แม้อรุณวตีจะวางหน้าเรียบเฉย แต่มุมปากยิ้มกริ่มเหมือนมีแผนอะไรบางอย่าง
ที่ห้องโถงบ้านมาลัย ตอนบ่ายวันเดียวกัน รัชนีฉายกำลังให้ สาวใช้ชื่อ สายจิต ใช้ปลายไม้พันสำลีชุบยาล้างเล็บ เช็ดซอกเล็บ โดยมีเสียงแหวกำกับไม่ขาด
“อย่าให้โดนเล็บฉันนะ ค่อยๆ หน่อย เอ้า...ได้ยินไหม ค่อยๆ เห็นเนื้อฉันเป็นเนื้อวัวเนื้อควายหรือยังไง ถูเอาๆ”
สายจิตแอบถอนใจ สักพักมีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา สายจิตลุกไปรับสาย รัชนีฉายบ่น
“ใครนะโทร.มาตอนนี้ น่ารำคาญจริง”
สายจิตกลับมารายงาน
“คุณคะ โทรศัพท์ค่ะ”
“ใครโทร.มา”
“ไม่ทราบค่ะ”
“โอ๊ย คนบ้านนี้สอนไม่รู้จักจำ บอกแล้วว่าถ้ามีโทรศัพท์ต้องถาม ว่าใครโทร.มา มีธุระอะไร”
สายจิตหน้าม่อย กลับไปที่โทรศัพท์ต่อ รัชนีฉายบ่นอีก
“คนที่นี่ ไม่เหมือนบ้านโน้นสักคน ของเขาได้งานได้การทั้งนั้น”
สายจิตกลับมารายงานว่า
“ท่านโทร.มาค่ะ”
“ต๊ายตาย แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก ให้เดินสองเที่ยวสามเที่ยว”
รัชนีฉายรีบเดินออกไป สายจิตมองตามระอาใจ
ทันทีที่ฟังปลายสายจบ รัชนีฉายโวยวายใส่โทรศัพท์
“อะไรนะคะ มาไม่ได้เพราะไปกับคุณพี่วตีเหรอคะ ไม่ยอม ก็นัดกับน้องแล้วไม่รู้ น้องไม่เข้าใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยออก ทำไมจะต้องออกมา ต้องมารับน้องไปด้วย ได้ยินไหมคะ น้องจะไปด้วย”
รัชนีฉายกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างรู้สึกขัดใจ
ท่านทูตปราจิตอยู่ในห้องทำงานที่กระทรวงฯ พูดสายอย่างหงุดหงิด
“มันไม่สะดวก เธอหัดเข้าใจอะไรบ้างสิ อย่าใช้แต่อารมณ์” นิ่งฟัง แล้วถอนใจ “มาไม่ทันหรอก วตีเขามาถึงแล้ว ฉันต้องรีบไปละ แค่นี้ก่อนนะ”
ปราจิตรีบวางสาย ส่ายหน้าอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกไป
ปราจิตเดินมาที่รถ สิทธิ์เปิดประตูที่นั่งตอนหลังให้ พอขึ้นรถไปนั่งข้างอรุณวตี ท่านทูตก็มองศจีด้วยสีหน้าแปลกใจ ศจีหันมายกมือไหว้ ปราจิตรับไหว้
“หนูก็มาด้วย”
อรุณวตีดูเหมือนจะรู้ จึงบอกกับปราจิต
“ขอโทษนะคะ ฉันลืมบอกไปว่าศจีมาเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ผมเพียงแต่แปลกใจเท่านั้นเอง”
“วันนี้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เลยอยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างค่ะ”
“ดีค่ะ ผมอยากให้คุณมาบ่อยๆ”
“ฉันจะพยายามค่ะ เสียดายวันนี้ตาวินออกไปราชการข้างนอก ไม่อย่างนั้นคงได้ไปด้วยกัน”
“ตาวินรู้คงดีใจ ที่เห็นคุณออกมาที่นี่”
ปราจิตจับมือคุณหญิงภริยากุมไว้ อรุณวตีเยื้อนยิ้มมองสามี แต่สีหน้าครุ่นคิดอย่างมีแผนการ
อาลัยนั่งอยู่ชานเรือน ค่อยๆ บรรจงใช้มีดจัดชมพู่เป็นดอกไม้อย่างเบามือ กระทั่งมีเสียงรัชนีฉายดังลั่นเข้ามา
“แม่คะแม่ แม่คะ”
อาลัยชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง เห็นรัชนีฉายเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนสุดขีด
“แม่รู้ไหมคะ ว่าเดี๋ยวนี้หนูน่ะเป็นไก่รองบ่อนเขาไปเสียแล้ว”
อาลัยปราม “ค่อยๆ หน่อยลูก มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จาก็ได้นี่จ๊ะ ทำไมต้องตะโกนบ่าวไพร่ได้ยินเข้าจะไม่งาม”
รัชนีฉายกระแทกตัวลงบนเก้าอี้อย่างคั่งแค้น
“ไม่งามก็ไม่งามสิคะ หนูไม่สนอะไรทั้งนั้น”
“ไหนว่าจะออกไปข้างนอก”
“ก็หนูบอกแล้วไงคะ หนูมันแค่ไก่รองบ่อน นี่คุณหญิงท่านลุกจากแท่นบรรจถรณ์ได้แล้ว เขาก็เลยไปด้วยกัน เมื่อวานว่าเจ็บจะแย่ แต่วันนี้ลุกปร๋อ”
“เพิ่งค่อยยังชั่วมั้ง หรือจะออกไปหาหมอ”
“เรื่องมดเรื่องหมอ ท่านไม่ต้องออกไหรอกค่ะ คุณพี่ท่านหามาให้เทียบข้างที่ จะหายใจเร็วไปนิดช้าไปหน่อย วิ่งพล่านกันทั้งบ้าน ประคับประคองกันยังกับไข่ในหิน”
“โรคนี้ก็ยังงี้แหละ จะทรงจะทรุดอยู่ที่ใจกับถึงยา”
“แล้วไงคะ ถ้าพี่วตีอายุยืนไปอีกสักสิบปี หนูมิต้องทนเป็นตัวสำรองเรื่อยไปเหรอ”
“ใจเย็นๆ สิลูก”
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 14 (ต่อ)
รัชนีฉายสวนคำมารดารออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“หนูไม่แคร์แล้วค่ะแม่ แม่คะ ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าใครเขาไม่รู้ เรียกว่าเขาปิดกันให้แซดแล้วก็ได้”
“นี่ก็เพราะหนู แรกๆ ที่กลับมา หนูพยายาม แสดงตัวมากไป”
“กลายเป็นความผิดหนูเหรอคะ ทีแรกทำไมใครๆ ก็ เห็นดีเห็นงาม เรือล่มในหนองบ้างละ หนูจะได้ปกครองหลานดีกว่าคนอื่นบ้างละ”
ผู้เป็นมารดาวางมีดแกะสลักกับชมพู่ลงอย่างหมดอารมณ์จะทำต่อ
“ก็จะให้ใครพูดมากไปกว่านั้นล่ะลูก? เมื่อหนูเลยไปแล้วก็ต้องตามเลย แม่ก็ช่วยลูกเท่าที่ช่วยได้แล้ว”
“แม่คะ”
“เราจะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรกันอีกเล่า หนูเอง คุณพี่ เขาก็ไม่เคยทำให้ช้ำใจ กับอีสมบัตินิดๆหน่อยๆ ก็ต้องอดทนบ้าง ของทุกอย่างมันต้องใช้เวลา” อาลัยอบรมลูกสาวเอาแต่ใจ
“เหมือนแม่เหรอคะ แม่ก็ต้องรอ รอแล้วได้อะไรบ้าง ส่วนใหญ่ ลงท้ายก็ของคุณพี่วตีหมด”
“แต่แม่ก็มีความสุข และที่เป็นสุขทุกวันนี้ก็เพราะแม่รู้จักตัวเอง”
“หนูไม่ยอมหรอกค่ะ คนอย่างหนูถ้าได้จะต้องได้ทั้งหมด ไม่ใช่ของเศษของเลย”
“แต่ถ้าหนูไม่รู้จักคอย หนูจะไม่ได้อะไรเลย ผู้ชายทุกคนแหละลูก สิ่งที่เขาทนไม่ได้ คือการไม่รู้จักจังหวะของผู้หญิง ถ้าหนูพยายามรุกไล่เขามากๆ เขาจะยิ่งหนี อีกอย่าง ทั้งฐานะตำแหน่งของคุณจิต เขาก็หอมหวนทวนลมอยู่เกิดเขารำคาญหนูไปหาใครเสีย”
รัชนีฉายไม่สนใจคำเตือน บอกอย่างถือดี “ก็ลองดูสิคะ เขาเคยสัญญากับหนู”
อาลัยถอนใจเฮือกใหญ่
“หนูจะเอาอะไรกับสัญญาของผู้ชาย แรกๆ เขาก็ยอมสัญญาทั้งนั้นแหละ”
“แต่ เขาก็ไม่เคยมีใครนี่คะ”
“ของอย่างนี้มันแน่เมื่อไร”
นัยน์ตารัชนีฉายแปลบขึ้นมาแว่บหนึ่งเมื่อนึกถึงศจี
สามคนทานอาหารด้วยกันในร้านหรู ปราจิตตักอาหารให้อรุณวตีอย่างเอาใจ
“ทานเยอะๆ นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ คุณก็ทานบ้างสิคะ”
“ผมเห็นคุณทานได้ก็อิ่มใจแล้วละ”
“อย่ามาใช้ภาษาท่านทูตกับฉันเลยค่ะ” คุณหญิงเย้า
ปราจิตหัวเราะนิดๆ อย่างอารมณ์ดี “ไม่ใช่นะคะ ผมพูดจากใจจริง โธ่ คุณเห็นผมเป็นคนปากหวานไปได้ ผมดีใจที่คุณออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“พอมีเพื่อนออกมาด้วยกัน ฉันก็พลอยสนุกไปด้วย ยังพูดกับหนูศจีเลยว่าพี่วรรณคงมองพวกเราเหมือนเด็กหนีเที่ยว”
ปราจิตหันไปยิ้มกับศจี
“ตั้งแต่หนูมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิง คุณหญิงดูแข็งแรงขึ้นมาก ขอบใจนะหนูที่ช่วยดูแลคุณหญิงแทนฉัน”
“มิได้เจ้าค่ะ ดิฉันไม่ได้ดูแลคุณหญิง มากเท่ากับที่คุณหญิงดูแลดิฉันเลย”
“อย่าถ่อมตัวเลยศจี ใครๆ ก็รู้ว่าเธอทำงานดี แบ่งเบาภาระทุกคนไปได้มากแม้กระทั่งตัวฉัน ยังเคยชมกับคุณหญิงว่าเธอทำงานได้ดั่งใจจริงๆ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ศจีช้อนตาขึ้นมองปราจิต ท่านทูตเยื้อนยิ้มมองศจีอย่างมีแววปรารถนาอยู่ลึกๆ
อรุณวตีลอบมองปฏิกิริยาของทั้งสองอย่างพึงพอใจ
เป็นเวลาเดียวกับที่รัชนีฉายนิ่งนึกอยู่นาน อุทานลอดไรฟันออกมาอย่างเจ็บใจ
“นังเด็กนั่น หนูรู้แล้วว่าทำไมคุณพี่วตีเขาถึงเอาเด็กคนนั้นมาเป็นเลขา”
“อะไรนะจ๊ะ”
“คุณพี่วตีค่ะ เขาเอาเด็กเพื่อนยัยลูกแก้วมาเป็นเลขาช่วยโน่นช่วยนี่ทั้งๆ ที่หนูก็เคยทำอยู่”
“เพื่อนยัยลูกแก้ว ก็ยังเด็นัก” นางอาลัยว่า
“แต่เด็กคนนี้มันเป็นผู้ใหญ่เกินตัวนะคะ หูตามันไม่หยอกเสียด้วย คุณพี่วตีเขาคงจะเอามาล่อผัวเขาละมั้ง เด็กมันเด็กของเขาอยู่แล้ว จะได้คุมกันง่าย”
“พูดไม่เพราะนะลูก คุณจิตเขาไม่ใช่คนอยู่ในฐานะทำอะไรง่ายๆ หน้าที่การงานรัดตัวเขาอยู่ เราทำตัวเราให้ดี ถึงเด็กจะมายุ่งเกี่ยวบ้าง ต่อไปเราออกหน้าออกตา ปัญหานี้ก็หมดไปเอง”
“หนูไม่ยอมหรอกค่ะ ไอ้ที่เป็นปัญหาสองฝักสองฝ่ายนี่ หนูก็ทนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว จะมาก่อปัญหาสามเส้า หนูยอมไม่ได้”
อาลัยปราม “รัชนีฉาย”
รัชนีฉายผุดลุกขึ้นโดยเร็วอย่างน้อยใจ
“เอาเถอะค่ะ เมื่อใครๆ คิดว่าหนูเรียนผูกด้วยตัวเอง หนูก็จะแก้ต้วยตัวเองเหมือนกัน”
รัชนีฉายผลุนผลันออกไป อาลัยมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
อีกฟากหนึ่ง สุพรรณนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะสนามหน้าคณะ ดนัยเดินเข้ามา
“มานั่งหลบอยู่ตรงนี้เองพรรณ เย็นนี้มีประชุมกิจกรรม เอ็งไม่เข้าเหรอ”
สุพรรณถอนใจ “ไม่มีแก่ใจ”
ดนัยตบบ่าเบาๆ “เฮ้ย ทฤษฎีเรื่องโลกกลมมันมีมานานแล้วนะพรรณเอ็งทำใจเสียเถอะ”
“เอ็งไม่ได้เป็นข้า เอ็งไม่เข้าใจหรอก”
“ข้าเข้าใจ ว่าเอ็งเสียใจ แต่เอ็งก็จะได้รู้เสียทีไงล่ะ ว่าสาวเจ้าเมินเฉยกับเอ็งเพราะอะไร”
สุพรรณกัดฟันกรอด “ข้าไม่มีอะไรสู้พวกเขาได้เลยจริงๆ”
“นั่นสิ แล้วทำไมเอ็งต้องไปสู้ เอ็งมีดีของเอ็งอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพยายามแค่คว้าเอาไว้เท่านั้นเอง”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
“แล้วยังไง เอ็งจะไปแข่งบุญแข่งวาสนากับพวกผู้ดีอย่างพี่วินงั้นเรอะ”
“ข้าไม่คิดจะแข่ง แต่ข้าเจ็บใจเสียใจ”
“งั้นเอ็งก็ต้องทำใจละวะพรรณ เสียใจซะให้พอ แล้วพิสูจน์ให้แม่ศจียาหยีนั่นเห็นว่า เอ็งทำได้ดีกว่าที่เขาคิด ผู้หญิงดีๆ น่ะหาได้ถมเถไป ในโลกนี้มีแม่ศจีคนเดียวเสียเมื่อไร”
สุพรรณกัดกรามแน่น สีหน้ามุ่งมั่นอย่างคนต้องการเอาชนะ
อรุณวตีวางตะเกียบในมือลง พลางยกผ้าเช็ดปากขึ้นแตะริมฝีปาก ยิ้มละไม
“เห็นไหมคะ วันนี้ไม่ยอมแพ้ใครสักคน อาหารที่นี่รสดีจริง กำลังเบื่อกับข้าวฝรั่งกับของคนเจ็บเต็มทน”
“ถ้าคุณออกมายังงี้บ่อยๆ จะดีขึ้น อยู่แต่ในบ้านนั่งๆ นอนๆ ยิ่งทำให้คิดแต่ว่าเราเจ็บ...เราเจ็บ...จะเอากำลังใจมาต่อสู้โรคได้ที่ไหน ถ้าออกมาข้างนอกดูโน่นดูนี่ จะได้ลืมว่าตัวเองเป็นคนเจ็บเสีย”
“งั้นต้องให้หนูจีช่วย”
“ได้เจ้าค่ะ ถ้าคุณหญิงอยากออกมาเมื่อไร ดิฉันยินดีมาเป็นเพื่อน”
“แต่อย่าใจแตก หนีเที่ยวกันทุกวันแล้วกันนะคะ” หางเสียงท่านทูตทอดหวาน “แทนที่จะหาย ถ้าไม่ได้พักจะหนักขึ้น”
อรุณวตีเย้าหยอก “ไม่แน่นะคะ อาจจะหายเลยก็ได้”
“อยากให้เป็นยังงั้นนัก”
ทั้งสามหัวเราะหัวใคร่ให้กันในบรรยาการสดชื่นสดใส ไม่มีเรื่องร้าวฉานใดๆ
ทั้งสามออกมาที่รถ อรุณวตีเซนิดๆ ปราจิตรีบเข้าไปคว้าแขนไว้
“เป็นอะไร”
“เหนื่อยน่ะค่ะ สนุกมากไปหน่อย คุณเลยไปส่งที่บ้านก่อนได้ไหมคะเดี๋ยวค่อยไปส่งที่กระทรวง”
“ได้”
ศจีขึ้นนั่งตอนหน้า ปราจิตช่วยประคองอรุณวตีขึ้นรถพลางจับแขนคุณหญิงลูบไล้อย่างเบามือ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เหนื่อยมากไหม ทำไมไม่เอายาติดกระเป๋ามาด้วยจะให้รถเลยไปหาหมอดีไหม”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ นอกจากเหนื่อย”
อรุณวตีเอนนั่งลงยังที่นั่งตอนหลัง ผินหน้าออกไปทางกระจก นิ่วหน้าหลับตาลง รู้สึกเหมือนสังขารอันทรุดโทรมนี้จวนเจียนจะขาดใจ แต่ไม่ยอมให้ใครเห็น
รถแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดตึก อรุณวตีหันมากำชับสามี
“อย่าพูดไปนะคะ เดี๋ยวพี่วรรณรู้จะเอ็ดเอา แถมทีหน้าทีหลังจะอดเสียอีก”
“ขนาดนี้แล้ว คุณยังคิดถึงทีหน้าทีหลังอีกเหรอ” ท่านทูตสัพยอก
“ก็คุณแนะนำนี่คะ ตอนนี้ก็กำลังท่องอยู่ในใจ ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย”
ศจีเข้ามาช่วยปราจิตประคองอรุณวตี แต่อรุณวตีโบกมือ
“ไม่ต้องจ้ะ เดี๋ยวพี่วรรณจะสงสัย”
พอลงจากรถได้ อรุณวตีก็อุทานออกมา
“ตายจริง ว่าจะไปหาคุณแม่ พูดเรื่องขอแรงจัดเครื่องตอนงานแสดงวัฒนธรรมนานาชาติ”
“ไว้วันหลังไม่ได้เหรอคะ”
“โธ่ อาทิตย์หน้านี้แล้ว”
“บอกเลิกเขาไป บอกว่าคุณเจ็บ โธ่ ใครนะ ช่างหางานให้คนเจ็บเสียจริง”
“ไม่ได้ค่ะ รับปากเขาไว้แล้ว”
“งั้นโทรไป เอ้า...”
“ไม่ได้ค่ะ ต้องพูดอธิบายกันนาน เอางี้” คุณหญิงหันมาทางศจี “หนูจีไปทีนะจ๊ะ เพราะตอน
ประชุมตกลงงานกัน หนูอยู่ด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ”
“เอ แต่หนูก็ไม่คุ้นกับคุณแม่” คุณหญิงหันมาถามปราจิตว่า “บ่ายนี้คุณว่างไหมคะ”
ปราจิตประชดเสียงหวาน “เอ้า ใช้มาเถอะค่ะ”
“โธ่ ขอแรงเดี๋ยวเดียว นะคะ ช่วยไปบ้านคุณแม่นิดนึง พอแนะนำหนูจีแกแล้วคุณค่อยเลยไปกระทรวง”
ปราจิตรับปากโดยเร็ว “ได้ค่ะ”
อรุณวตีหันมาทางศจี
“วันนี้คงไม่มีงานอะไรอีกแล้ว หนูกลับบ้านได้เลยนะจ๊ะ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา”
“งั้นเดี๋ยวให้รถเลยไปส่งดีไหม”
“เอ้อ...”
“ดีแล้ว รีบไปเถอะหนู”
“เจ้าค่ะ”
ศจีกลับขึ้นรถ นั่งตอนหลัง ปราจิตขึ้นตาม
อรุณวตีมองตามจนรถแล่นออกไป สีหน้ายิ้มบางๆ ราวกับพึงพอใจอะไรบางอย่าง
อรุณวตีเข้าบ้านมา เจอวรรณ รอรับตีหน้าตายแต่มีแววรู้ทัน
“นั่นให้ไปไหนกันคะ”
“ไปบ้านคุณแม่”
วรรณมีสีหน้าพิศวงงงงวย จนอรุณวตีหัวเราะเบาๆ พลางว่า
“ส่งไปให้คุณแม่ดูตัวเสียหน่อย”
“วันนี้คุณรัชนีฉายก็ไปบ้านโน้น”
“ก็ดีซิ พี่วรรณ เวลาฉันมีน้อย จะทำอะไรมันต้องเร่งรัดไปเสียทุกอย่างเพื่อจะให้ทันตาเห็น”
สีหน้าวรรณไม่แน่ใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนอรุณวตีแววตาลึกล้ำ ยิ้มมีเลศนัยออกมาชัดแจ้ง
อ่านต่อตอนที่ 15