คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 18
ภายหลังเสิร์ฟอาหารให้ท่านทูตปราจิตเสร็จ ศจีเห็นอาหารในจานคุณหญิงอรุณวตีพร่องไป
“ดิฉันตักของว่างให้นะคะ”
“ไม่ต้องมากนะจ๊ะ ฉันอิ่มแล้ว ขอบใจจ้ะ”
ศจีลุกออกไป
บรรดาคุณหญิงคุณนายแอบสังเกตพฤติกรรมของศจี ที่คอยดูแลปราจิตอย่างดี ตลอดเวลา
วัชรินทร์ทำทีออกปากชม
“ต๊าย หนูจีนี่น่ารักจริงจริ๊ง ถ้าเป็นลูกหรือเป็นน้องเป็นนุ่งฉันรักตาย ได้ดังใจทุกอย่าง ลูกฉันเองยังไม่เอาไหนเหมือนหนูจีแกเลย”
“ยายหนูแกได้ดังใจทุกอย่าง มิเสียแรงฝึกมากับมือ ดิฉันรักแกยังกับน้อง”
“วันนี้คุณรัชนีฉาย ไม่ออกมาช่วยรับแขกเหรอคะ” สายสุนีย์ถาม
“เขามีงานมากค่ะ เห็นใจเขา ใช้เขามากนักเขาก็เบื่อ เขาคงอยากเป็นตัวของตัวเองบ้าง”
คุณหญิงคุณนายต่างสบตากันยิ้มๆ อย่างรู้กัน
ชีวินเฝ้ามองศจีอยู่เงียบๆ จากตรงเฉลียงหน้าตึก จนกระทั่งมีเสียงรัชนีฉายดังขึ้น
“ไง เฝ้าสังเกตการณ์อยู่นี่เอง”
ชีวินหันขวับไป รัชนีฉายซึ่งเพิ่งกลับจากข้างนอก เดินกรายเข้ามาใกล้ พลางพยักพเยิดไปทางศจี
“เป็นไง คุณแม่ ยังสาว ของเธอ”
ชีวินขมวดคิ้วนิ่วหน้า พลางหันไปยืนท่าเดิม
รัชนีฉายหัวเราะหยัน “คุณพี่วตีไม่ได้บอกเหรอว่า เธอกับยัยลูกแก้วได้ ‘คุณแม่’ คนใหม่อีกคน เธอไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้”
ชีวินกัดกรามแน่น แต่ฝืนยิ้มออกมา
“ผมไม่เคยสนใจมานานแล้วครับว่า คุณพ่อจะไปทำอะไรที่ไหน คุณแม่ก็ดูเหมือนจะยกหน้าที่นี้ให้คุณน้าแล้วไม่ใช่เหรอ”
รัชนีฉายลากเสียงอย่างใจเย็น “ใช่ แต่ตอนนี้คุณพี่วตี คงจะยกหน้าที่นี้ให้ แล้วมั้ง”
ชีวินชะงัก “หมายความว่า...”
“ผู้หญิงเขายินยอมด้วยสิ”
สีหน้าชีวินเริ่มเข้มขึ้นอย่างชัดเจน รัชนีฉายลอบมองแล้วพูดต่อ
“เพื่อนยัยลูกแก้ว อายุ ดูเหมือนจะอ่อนกว่าลูกแก้วสักปีละมั้งเธอเห็นเป็นยังไง”
ชีวินฟังแล้วฉุนเฉียว “ทำไมจะต้องมาถามผม ความเห็นของผมจะช่วยอะไรได้”
รัชนีฉายพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพียงแต่ว่า ดูเหมือนคุณแม่คนใหม่กำลังเรียนรู้หน้าที่ ‘คุณหญิง’ จากคุณพี่วตีทุกฝีก้าวต่อไป ถ้าคุณพี่วตีเป็นอะไรไป เราอาจจะได้คุณหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทยก็ได้นะ”
มือของชีวินกำเข้าหากันนิดๆ พยายามข่มอารมณ์
“นั่นมันอยู่ที่ว่าคุณพ่อจะเลือกใครนะครับ คุณน้า ตำแหน่งหลายตำแหน่งตกทอด นับเป็นมรดกให้แก่กันได้ คุณน้าก็นับว่าเคยเป็นทายาทของคุณแม่ ฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของคุณน้าละครับ ที่ต้องรักษาตำแหน่ง ‘ทายาท’ ไว้ให้ได้”
ชีวินเดินลอยชายจากไป
ทิ้งให้รัชนีฉายหน้าแดงก่ำ กำมือเข้าหากันบ้าง ริมฝีปากแดงสดถูกกัดจนแทบจะห้อเลือด
ศจีกลับมาที่โต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบกระเป๋ากลับบ้าน จนมีเสียงชีวินดังมาจากมุมหนึ่งในห้องทางข้างหลัง
“ฉันมาขอแสดงความยินดี”
ศจีสะดุ้งตกใจ หันกลับไป จึงพบว่าชีวินนั่งเหยียดยาวอยู่ที่เก้าอี้มุมห้องเงียบๆ
“ยินดีเรื่องอะไรคะ”
ชีวินหันกลับมาและลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเธอ สีหน้ามีรอยยิ้มหยัน
“เรื่องที่เรา ดูเหมือนจะได้มาร่วมสกุลกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
ศจีถอยไปยืนพิงโต๊ะทำงาน
“งั้นเหรอคะ”
ชีวินเดินเข้ามาใกล้อีก
“เธอคิดว่า เธอจะมาแทนที่คุณแม่ฉันได้ยังงั้นเหรอ”
“ดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็น ‘ตัวแทน’ ของใคร หรือ ‘แทนที่’ ใครอย่างที่คุณว่า ดิฉันเคยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าตัวเองจะเป็นอะไร ต้องเป็นด้วยตัวของตัวเอง”
“อ้อ ยังงี้สินะ เพราะเธอคิดจะเป็นด้วย ‘ตัวของตัวเอง’ เธอก็เลยต้องใช้ ‘ตัว’ เป็นบันไดให้บรรลุถึงจุดหมาย”
ศจีถอนใจลึกๆ ราวกับจะอัดความรู้สึกไว้ภายใน
“ดิฉันเหนื่อยมาก และหน้าที่ของดิฉันก็สิ้นสุดลงแล้ว ดิฉันจะกลับบ้านคุณยังมีอะไรจะพูดอีกไหมคะ”
ชีวินขึ้นเสียงใส่อย่างกราดเกรี้ยว “มี ฉันอยากจะบอกเธอว่า” พร้อมกับกระชากร่างศจีเข้ามาปะทะอก “ถ้าเธอจะตกเบ็ดยอมเป็นเมียน้อยผู้ชายแก่ๆ สักคนละก็ ต้องไปหาที่อื่น ไม่ใช่จากที่นี่ และคนที่เป็นพ่อฉัน”
“ดิฉันไม่เคยคิดจะเป็นเมียน้อยใคร ถ้าจะเป็น ‘ต้องหนึ่ง’ เสมอ”
ชีวินเชยคางศจีให้เงยหน้าขึ้น
“ก็ทำไมไม่เป็นคนอื่นล่ะ คนอื่น”
ทั้งสองเพ่งมองตากัน ดวงตาของชีวินลุกโชนกราดเกรี้ยว ดวงตาของศจีเยือกเย็นมีรอยเยาะ
ย้อนกลับด้วยเสียงอ่อนหวาน อ้อยอิ่ง แกมเยาะเย้ย “ใครละคะ คุณงั้นเหรอ คุณซึ่งพยายามบอกตัวเองว่า ดิฉันเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ไม่มีค่า คุณซึ่งพยายามตีห่างเพราะหวาดระแวงว่า จะต้องเก็บก้อนกรวดมาประดับหัวแหวนแทนเพชร และ บัดนี้ คุณโกรธนัก เพราะคุณคิดว่า คุณพ่อคุณฉกฉวยกรวดเม็ดนั้นไปจากคุณ”
ชีวินมืออ่อนลง แต่ยังรั้งร่างศจีไว้แนบอกอยู่ มองเธอด้วยความงงงวย
“คุณน่ะไม่ดีวิเศษไปกว่าผู้ชายรุ่นเดียวกับคุณหรอกค่ะ คุณอยากลิ้มรสขนมข้างถนนดูเหมือนกัน แต่ก็วางท่ากลัวว่าจะเสาะท้อง”
ชีวินปล่อยมือ ถอยผละไปก้าวหนึ่ง
“ดิฉันรับรองว่าจะไม่ แทนที่ คุณหญิงท่าน เพราะดิฉันคิดจะเป็นด้วย ตัวของดิฉันเอง เข้าใจไหมคะ ก้อนกรวด ที่คุณคิดว่าไม่มีค่าพอสำหรับคุณนี่แหละ จะมีคนชื่นชูขึ้นจนได้”
ชีวินถอยห่างไปอีกก้าวหนึ่ง ท่าทางราวกับคนตื่นจากความฝัน
“ของอะไรก็ตาม ถ้าหลุดมือไปมักจะมีค่าเสมอ ต่อไปนี้ บางทีคุณจะรู้ค่าของดิฉันบ้างกระมัง”
ชีวินส่ายหน้าช้าๆ น้ำเสียงขมขื่นสุดจะประมาณ
“เปล่า เธอไม่ได้มีค่าหรอก แต่จะกลายเป็นคนมีราคา ต่างหาก ขอให้เธอได้ “ราคา” อย่างที่เธอหวังเถอะเราจะได้เห็นกันอีกนานนัก บางครั้ง จริง ก้อนกรวดอาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาเชิดชูได้ แต่ ไม่เคยมีก้อนกรวดก้อนใดราคาเท่าเพชรและก็จริง ฉันอาจจะเคยอยากเสพขนมข้างถนน แต่ก็กลัวเสาะท้อง ถึงอย่างนั้นฉันก็ดีใจว่า ฉันได้แต่คิด” ชายหนุ่มค้อมหัวลงนิดๆ “กระผมขอแสดงความยินดีขอรับ คุณหญิงศุภศจี”
ชีวินเดินออกไป ทิ้งวาจาเสียดแทงไว้ในหัวใจของศจี ซึ่งได้แต่มองตามเขาพลางพึมพำ
“ใช่! เราจะเห็นกันอีก”
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ชีวินผลุนผลันออกมาอย่างฉุนเฉียว สวนกับปราจิตที่หน้าห้อง
“วิน”
ชีวินไม่ได้สนใจหยุดสนทนาใดๆ ปราจิตมองตามอย่างแปลกใจ
ปราจิตเข้ามาในห้องศจี ถามอย่างร้อนรนนิดๆ
“นายวินมันเข้ามาทำไม”
“มาถามอะไรนิดหน่อยค่ะ”
“ถามอะไรตอนนี้”
ศจีไม่ตอบ แต่คว้ากระเป๋าถือ ปราจิตจึงรีบพูดต่อ
“คุณวตีสั่งให้ไปส่งค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ให้รถคันอื่นไปส่งก็ได้”
ปราจิตครวญ “โธ่ เราจะได้คุยกันไงคะ รู้ไหม คุณวตีเธอพูดถึงเรื่องของเราว่ายังไง”
ในรถที่แล่นไปตามถนนอย่างรวดเร็ว ปราจิตหันมาถามศจีที่นั่งนิ่ง สีหน้ามีแววหมกมุ่นนิดๆ
“คิดอะไรคะ”
ปราจิตวางมือซ้ายแตะทับลงบนหลังมือของศจีเพียงนิดเดียวอย่างละมุนละไม
“เรื่อง...จดหมาย เจ้าค่ะ”
ปราจิตนิ่งไปนิดหนึ่ง
“ทำไมคะ”
“ตะกี้ท่านบอกว่า คุณหญิงท่านพูดเรื่อง ของเรา”
“ค่ะ ฉันเสียใจจริงๆ แต่ก็อธิบายให้คุณวตีเข้าใจแล้ว คุณวตีก็เข้าใจนี่คะฉันเสียใจจริงๆ นะคะ”
ปราจิตถือโอกาสตบหลังมือศจีเบาๆ อีกครั้ง
ศจีถอนใจนิดๆ ไม่แน่ใจว่าอรุณวตีจะซ่อนสิ่งใดไว้หรือไม่ แล้วก็เกิดความร้อนรุ่มเมื่อคิดถึงสุพรรณ ว่าเขาจะคิดอย่างไร
“เห็นคุณวตีเขาว่า รัชนีฉาย...ออกจะวุ่นวาย”
ศจีกะพริบตาสองสามครั้ง รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดคืนมา
“คะ”
“รัชนีฉาย เขาไป...พูดอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ก็...ธรรมดาไม่ใช่หรือเจ้าคะ คุณรัชนีฉายเธอมีสิทธิ์ที่จะวุ่นวาย”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าปราจิตจังๆ ท่านทูตถึงกับอึ้งไปชั่วครู่
“เขามาพูดอะไรบ้างคะ”
ศจีหัวเราะเบาๆ
“พูด อย่างที่ผู้หญิงทุกคนเขาพูดเจ้าค่ะ”
“ไม่น่ายุ่ง เราเคยตกลงกันแล้วว่า...” เมื่อพูดคำนี้ท่านทูตขัดเขินเล็กน้อย “เราต่างคนต่างจะมีอิสระ เมื่อตอนที่อยู่เมืองนอก รัชนีฉายเขาก็เคยคิดจะแต่งงานกับนักเรียนไทย ฉันยังบอกเขาว่า โอเคแล้วแต่เขา ผลสุดท้ายก็ไม่ยักจริงจังกัน”
“ของอย่างนี้ ข้อตกลงกับความจริงในชีวิตมักจะแตกต่างกัน ผู้หญิง เมื่อเป็นของใครก็ย่อมจะถือสิทธิ์แห่งความเป็นเจ้าของเสมอ”
ปราจิตทำท่าจะเลี้ยวรถออกนอกเส้นทาง
“เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่านะคะ”
“กลับบ้านเถอะค่ะ วันนี้ดิฉันเหนื่อย”
ปราจิตใจหาย ถามย้ำ “เหนื่อยจริงๆ เหรอคะ ไม่ได้โกรธนะคะ”
“ทำไมจะต้องโกรธเจ้าคะ” ศจีหัวเราะออกมา “ในเมื่อคุณรัชนีฉายเธอทำอย่างที่ผู้หญิงทั้งโลกเขาก็ทำอย่างเดียวกันทั้งนั้น”
“ถ้า” น้ำเสียงปราจิตมีแววหยั่งเชิง “ฉันพิสูจน์ได้ว่า เรา เอ้อ...หมายถึงฉันกับรัชนีฉายไม่มีสิทธิ์ต่อกันอีก และ ‘เจ้าของสิทธิ์’ ที่แท้จริง ไม่มีเรื่องวุ่นวายละคะ”
“ข้อพิสูจน์ต้องมาก่อนคำตอบเจ้าค่ะ”
ปราจิตนิ่งอึ้งไปกับคำพูดเด็ดขาดของศจี
รถของปราจิตจอดเทียบฟุตบาท เลยป้ายรถเมล์หน้าปากซอยมาหน่อย ศจีทำท่าจะก้าวลง แต่ปราจิตแตะลงที่ต้นแขนเสียก่อน ถึงแม้จะมีลักษณะของการถือวิสาสะ แต่ก็มิได้ทิ้งความรู้สึกละมุนละไมในกิริยาดังกล่าว
“ขอบอกอีกครั้งด้วยความจริงใจนะคะว่า ฉันเสียใจ”
ศจีหันไปยิ้มนิดๆ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ปราจิตยิ้มอย่างคนที่รู้ว่าตนมีแต้มต่ออยู่ในมือแล้ว
“จะต้องให้ฉันเข้าไปอธิบาย ให้ผู้ใหญ่ทางบ้านฟังไหมคะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ”
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ แล้วพบกันใหม่”
ศจีลงจากรถ ปราจิตมองตามจนศจีเดินเลยไป จึงออกรถไป
ศจีเดินมาถึงหน้าปากซอย เสียงคุ้นหูของใครบางคนเรียกดังขึ้น
“จี”
ศจีหันไปมอง แลเห็นแกมแก้วขับรถเข้ามาจอดเทียบ โดยมีสุพรรณนั่งมาด้วย
ศจียิ้มทั้งปากและดวงตา รอยยิ้มนั้นส่งเลยไปยังสุพรรณที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถ
“เพิ่งกลับเหรอจ๊ะ” แกมแก้วถาม
ศจีถามแกมหัวเราะ “ขับรถเก่งแล้วเหรอ มิน่า หมู่นี้กลับเย็น”
ระหว่างคำศจีเหลือบไปมองสุพรรณ ซึ่งเขาเองก็รู้ตัวว่าถูกพูดกระทบ
“วันหลังจีลองนั่งบ้างไหม”
“อย่าเลย ไม่ได้โหนรถเมล์นานๆ จะเคยตัว”
สุพรรณเหน็บ “ดูเหมือนคุณก็จะมีรถมาส่งเป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ศจีหันไปมองสุพรรณตรงๆ ดวงหน้ายังยิ้มพรายอยู่เช่นเดิม
“งั้นสิคะ มีใครบ้างไม่พยายาม พัฒนา ตนเอง” ศจีหันไปลาแกมแก้ว “ไปละนะ”
“บาย” แกมแก้วหันมาหาสุพรรณ “อย่าลืมพรุ่งนี้นะคะพี่พรรณ”
พูดจบ แกมแก้วก็ออกรถไปด้วยอาการกระตุกเล็กน้อย แสดงว่ายังขับไม่คล่องนัก
ศจีมองตามด้วยอาการยิ้มในหน้า เพราะรู้ดีว่ามีคนเฝ้าสังเกตตาไม่กะพริบ
ก่อนจะเดินเข้าซอยโดยไม่ชายตาแลอะไรอีก
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ศจีเดินเข้าซอยวัดใหญ่มาเรื่อยๆ โดยมีสุพรรณก้าวตามมาติดๆ เด็กวัดรูปงามถามกึ่งเยาะกึ่งเสียดสีขึ้นในจังหวะที่อยู่กันเพียงลำพัง
“ไม่เจอกันไม่เท่าไร คุณนี่พัฒนาขึ้นมากเลยนะ”
“คุณก็ไม่ต่างกันนักหรอก อาจจะพัฒนามากกว่าฉันเสียอีก”
“ของผมแค่ขั้นต้น แต่ของคุณมันขั้นสูงก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว เกินกว่าผมจะตามทัน”
“คุณไม่จำเป็นต้องตามฉันหรอก เราอยู่กันคนละเส้นทางแล้ว”
“แต่ผมว่า เรากำลังอยู่บนทางเส้นเดียวกันเลยนะ ต่อไปเราอาจจะได้ดองเป็นญาติกันในทางใดทางนึง แค่คิดก็รู้สึกน่ายินดีอย่างแปลกประหลาดแล้ว คุณว่าไหม”
“งั้นฉันขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยก็แล้วกัน” ศจียิ้มในสีหน้า
“ผมก็ขอแสดงความยินดีกับ คุณหญิงในอนาคตด้วย”
สุพรรณทำท่าโค้งเคารพ เป็นเชิงล้อเลียน ศจีเดินหนี สุพรรณทำท่าจะเดินตาม แต่แล้วก็ยั้งตัวเองไว้
ศจีเหลือบหางตามองว่าสุพรรณจะตามมาหรือไม่ สีหน้าเธอค่อนข้างผิดหวังและรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้ตามมา แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง
ค่ำคืนนี้ ลูกค้าเงียบหงอย ยายปริกกำลังชี้ไปที่ป้ายซึ่งโสภากำลังตั้งท่าจะเขียนตัวหนังสือ
“เขียนลงไปนังโสภา สงกรานต์ปีนี้ ชมประเพณีแท้ที่บ้านคุณแม่บุญปลีก”
“แม่จะทำอะไร” โสภางง
“อุวะ ก็ปีนี้ทั้งปี เศษซะกิดไม่ดี ทำมาค้าไม่ขึ้นก็ต้องใส่บาตรเสียบ้าง แล้วก็ปล่อยนกปล่อยปลาสะเดาะเคราะห์”
“คลองในตรอกเรามีแต่น้ำครำ ขืนปล่อยปลาลงไปมันจะรอดเหรอแม่” โสภาท้วง
“ก็ปล่อยใส่โอ่งไว้” ยอดแม่เล้าซอยวัดใหญ่บอก
“เย็นจะได้แกงใช่ไหมแม่” อู๊ดเหน็บ
“วะ...ก็ของมันจะไปไหนเสีย เย็นลงจะได้เลี้ยงดูปูเสื่อกัน”
ถวิลชักสนุก “งั้นก็ต้องแต่งชุดไทยสิแม่ นุ่งผ้าลาย ห่มผ้าแถบ”
“ประกวดนางสงกรานต์ด้วยดีไหมพี่”
ทุกคนเออออ เห็นดีด้วยกับข้อเสนอของริน
“นางสงกรานต์สวรรค์ชั้นเจ็ด”
สิ้นเสียงของอู๊ด ทุกคนหัวเราะร่ากันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วต่างก็ชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนโผล่เข้ามา สีหน้ายายปริกผิดปรกติไปนิดหนึ่ง
“อ้อ...จี... วันนี้มาถึงนี่”
ศจีปรี่เข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงเอาเรื่อง
ยายปริกพูดกับพวกลูกเล้า โดยไม่ได้หันไปมอง
“นี่พวกเอ็งไปเอาน้ำเอาท่ามา”
แต่พอหันไป ปรากฏว่าคนอื่นๆ หายหมด ยายปริกหน้าเจื่อน แต่ยังส่งเสียงล้งเล้งกลบเกลื่อน
“เอ้อ บทจะลุกก็ลุกไปกันหมด”
ยายปริกมองเก้อๆ ศจีเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างใกล้กับยาย
อู๊ดกับบรรดาลูกเล้าพากันหนีกระเจิงออกมาท่าน้ำหลังซ่อง ท่าทางหวาดผวา ขนลุกขนพองกับสีหน้าเอาจริงเอาจังมากกว่าทุกครั้งของศจีเมื่อครู่นี้
“เอ็งเห็นหน้านังจีไหม หงิกยังกับมะเหงกงั้นแหละ” อู๊ดเปิดประเด็น
ถวิลบอกว่า “แม่โดนหนักแน่ เห็นไหมมันเดินเข้ามาตาขวางเลย”
โสภานึกได้ “แย่แล้ว ถ้ามันรู้ว่าฉันเป็นคนเขียน ต้องโดนมันด่าแน่ๆ นังจีมันปากจัดยังกับอะไรดี”
ถวิลเกาหัวแกรกๆ
“แต่เวลามันด่า ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
“งั้นพี่หวินไปฟังมันด่าแทนฉันหน่อยสิ” โสภาบอก
“ไม่เอา ข้าขี้เกียจฟัง ขี้เกียจคิด ปวดหัว” ถวิลว่า
“พี่หวินก็อย่าไปคิดซี่” รินบอก
“แต่เห็นสีหน้ามันข้าก็กลัวแล้ว ตามันดุ มองทีข้างี้หนาวๆ ร้อนๆ”
“ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้างละเนี่ย”
จบคำของโสภา ทุกคนมองหน้ากันอย่างหวาดๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย
สองคนอยู่ในห้อง ยายปริกพยายามชวนศจีคุยแก้เก้อ
“นังจุกเป็นยังไงบ้าง หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย”
“ยายเขียนจดหมายฉบับนั้นใช่ไหม”
ยายปริกหลบตาขยับเนื้อขยับตัว ตอบไม่เต็มปาก
“ไม่ได้เขียน”
“งั้นยายให้ใครเขียน”
ยายปริกหยีตามองหน้าศจี
“แล้วมันจะเป็นยังไง นังพวกนั้นมันเห็น มันเก๊าะมาเล่าให้ฟัง เอ็งอาจจะสมยอม แต่ยอมฟีๆ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ของมันควรได้ เราเก๊าะต้องทำให้งอกเงยเป็นมรรคเป็นผล ยายเลี้ยงเอ็งมาไม่ได้คิดจะให้ไปแบหลาฟีๆ นะเว้ย เรามีศักดิ์ศรี มันต้องคิดให้คุ้ม”
ศจีเยาะหยัน “ศักดิ์ศรีเหรอยาย”
“ใช่ซี้” ยายปริกอยากรู้มากกว่าโมโห “เอ็งคิดยังไง ถึงได้ยอมเขาง่ายๆ หา”
“ยายรู้ได้ยังไง ว่าฉันไป ทำยังงั้น”
“ก็นังพวกนั้น...”
ศจีสวนคำ “ถ้าฉันจะค้าทางนี้ละก็ ฉันไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวหรอก”
“เหอะ! ไอ้ที่มากันโครมๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะมันหากันตัวเป็นเกลียวเรอะ”
“เอาเถอะยาย ฉันจะทำยังไงก็ช่าง ขออย่างเดียว...ยายอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
ยายปริกโกรธจัด “ศจี”
ศจีผุดลุกขึ้น ยายปริกทำฮึดฮัดกระฟืดกระฟาดขึ้นมาทันที
“ยายทำเพื่อเอ็ง ยายอยากให้จีได้ดี”
“เอาเถอะยาย ฉันจะได้ดีได้เลวอยู่ที่ตัวฉัน ยายอย่าเข้ามายุ่งด้วยแล้วกัน”
พูดจบศจีก็เดินออกไป ทิ้งให้ยายปริกคร่ำครวญหวนไห้บ่นกระปอดกระแปดอย่างคับแค้นใจอยู่เพียงลำพัง
“ไอ้เราหรือพยายามทำทุกอย่างเพื่อมัน มันไม่เห็นใจยาย มันเห็นยายเป็นหมาหัวเน่า”
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ในเวลาเดียวกัน อรุณวตีทรงกายโดยการเกาะขอบโต๊ะเครื่องแป้ง พลางทรุดตัวลงนั่งช้าๆ นวลผ่องเห็นทำท่าจะเข้าไปประคอง แต่ถูกคุณหญิงโบกมือห้าม
“ไม่ต้อง ช่วยไปดูหน่อยว่าคุณวินลงมาคอยที่ห้องกินข้าวหรือยัง ถ้ามาแล้วให้เขารอเดี๋ยวนะจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ”
นวลผ่องออกไป อรุณวตียกมือแตะหน้าผากตัวเองอย่างอ่อนเพลีย แต่ก็พยายามฝืนใจ
พอศจีขึ้นเรือนมา ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของจุก ดังมาจากบริเวณนอกชาน หญิงสาวรีบรุดเข้าไปหา
“แม่ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า”
จุกเงยหน้ามองศจี น้ำตาเต็มตา
“กลับมาแล้วเหรอจี แม่รอตั้งนาน”
ศจีเข้าไปนั่งข้างจุก
“แม่ ร้องไห้ทำไม”
จุกจับไหล่ทั้งสองข้างของศจีเขย่าเบาๆ
“จริงหรือเปล่าจี ช่วยบอกแม่ทีว่าที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่า”
ศจีงวยงง “เรื่องอะไรกันจ๊ะแม่”
จุกละล่ำละลัก มีท่าทีเกรงใจลูกอยู่มาก “ก็ เรื่องที่ลูก ลูก ไปเข้าโรงแรมกับผู้ชาย”
“ยายมาเล่าให้แม่ฟังใช่ไหม”
“ยายก็ ฟังเขามาอีกที”
“นั่นแหละ ยายฟังเขามา ไม่ได้เห็นกับตา เมื่อกี้ฉันคุยกับยายแล้ว ขอร้องยายอย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าลูก หือ”
ศจีส่ายหน้า “อย่าไปเชื่อคนอื่นเลยแม่ ไม่มีอะไรหรอก”
จุกยังร่ำไห้อยู่อย่างนั้น “ไม่มีอะไรแล้วทำไมยายถึงเป็นเดือดเป็นแค้น ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ แม่ไม่อยากให้จีถูกหลอก พ่อศรีเป็นมรรคทายกใจบุญ สุนทานเขาผูกดวงเอ็งไว้ บอกว่าจีจะได้ดิบได้ดีเป็นคุณหญิงคุณนาย”
ศจีเริ่มเบื่อหน่ายที่จุกพูดซ้ำเรื่องเดิมอีก จึงเดินหนีเข้าห้อง
“จี”
จุกได้แต่หยุดอยู่หน้าห้องศจี ทรุดตัวลงเช็ดน้ำตาป้อยๆ พึมพำลอยๆ
“เชื่อแม่นะลูก จี เชื่อแม่เถอะนะ พ่อเอ็งว่าโตขึ้นเอ็งจะได้เป็นเจ้าคนนายคนพยายามเข้านะลูก พ่อเขาจะได้ภูมิใจ พ่อเขาหวังไว้มากนะจี”
ศจีนั่งนิ่งอยู่ริมขอบเตียงนอนในห้อง นึกถึงอดีตเมื่อ 5 ปีก่อน
“นั่นไงจี คุณแม่ของลูกแก้ว”
แกมแกมพาศจีมาหาแม่ที่ห้องจัดเลี้ยงภายในโรงแรมหรู
ตอนนั้นศจีอยู่ในวัย 14 ย่าง 15 ปี แต่งตัวซอมซ่อ เหมือนลูกชาวบ้านจนๆ ต่างจากแกมแก้วที่แต่งตัวสวยงามสมกับเป็นคุณหนู เด็กหญิงจากซอยวัดใหญ่ศรีสุพรรณเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยสีหน้าทึ่งปนชื่นชม
เธอเห็น คุณหญิงอรุณวตีในวัย 40 ต้นๆ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม ผู้คนโดยรอบยกมือไหว้อย่างนบนอบ
เด็กหญิงจดสายตามองอรุณวตีที่รับไหว้ตอบทุกคนในท่าทีอันงามสง่า พลางพูดคุยทักทายอย่างสนิทสนม
แกมแก้วจับมือศจี
“เข้าไปสวัสดีคุณแม่กัน”
แต่ศจีกลับแข็งขืน ก้มลงมองตัวเองที่ช่างมอซอแตกต่างมาก รู้สึกอาย
“คุณแม่เธอสวยมาก”
“ใช่ คุณแม่ทั้งสวยทั้งเก่ง เหมือนจีไง ลูกแก้วเคยคุยเรื่องจีให้คุณแม่ฟังด้วย ท่านอยากจะเจอจี”
ศจีดึงมือออกเบาๆ แกมแก้วมองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเหรอจี”
“ฉันปวดท้อง ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“ไม่สบายหรือเปล่าจี”
“นิดหน่อยน่ะ ลูกแก้วไปหาคุณแม่เถอะ ฉันจะเข้าห้องน้ำแล้วกลับละ”
แกมแก้วหน้าเสีย “อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะจี ลูกแก้วชวนจีมาเป็นเพื่อน จะได้เจอคุณแม่ด้วยนะท่านอยากเจอจีนานแล้ว”
“ไว้วันหลังเถอะ วันนี้ฉันแต่งตัวไม่เรียบร้อย”
แกมแก้วรั้งไว้ “ไม่เป็นไรหรอก จี”
“ฉันไปละ ฉันกลับเองได้”
ศจีตัดบท แล้วรีบเดินแกมวิ่งออกไป แกมแก้วมองตามงงๆ กระทั่งอรุณวตีเดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอจ๊ะลูกแก้ว ทำไมไม่เข้าไปหาแม่” คุณหญิงมองตามสายตาลูกสาวอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“จี เพื่อนสนิทที่ลูกแก้วเคยเล่าให้คุณแม่ฟังน่ะค่ะ พอดีเขาไม่ค่อยสบายเลยรีบกลับไปก่อน”
“อ้าว เหรอจ๊ะ เสียดายจัง เลยไม่ได้เจอกัน แต่ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้จ้ะไปลูกแก้ว แม่คุยงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปทานข้าวกัน”
อรุณวตีจูงมือแกมแก้วออกไป แต่แล้วก็เจ็บแปลบในอกต้องหยุดเหนื่อยหอบ พลางจับหน้าอกตัวเอง
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่หน้ามืดนิดหน่อย ไปจ้ะ”
อรุณวตีฝืนยิ้มจูงลูกสาวเดินออกไป แต่แกมแก้วมองอย่างเป็นห่วง
ศจีหลบมุมมองตาม แล้วก้มลงมองสภาพตัวเอง พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกอับอาย
อีกวันถัดมา แกมแก้วบ่นกับศจี ขณะนั่งกินไอศกรีมด้วยกัน
“เสียดายนะจี คุณแม่อยากเจอจีมากเลย”
“วันนั้นฉันแต่งตัวไม่เหมาะกับสถานที่ ถ้าเข้าไปพบคุณแม่ของเธอท่านคงอับอายขายหน้าที่ลูกสาวท่านคบเพื่อนมอซออย่างฉัน”
“ลูกแก้วไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ”
“แต่คนอื่นอาจจะคิด เธออยู่ในสังคมมีหน้ามีตา ฉันไม่อยากทำให้เธอเสียหน้า”
“โธ่...จีคิดไปเสียไกลเชียว”
“ผู้ใหญ่เขาคิดไกลกว่าเรามากลูกแก้ว ในสังคมแบบนั้น รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ”
“ก็จริงนะ ขอโทษที่ลูกแก้วไม่ได้บอกจีล่วงหน้า จีจะได้เตรียมพร้อม”
“ไม่เป็นไร แค่ได้เห็นคุณแม่ของเธอฉันก็รู้สึกทึ่งแล้ว ท่านสวยสง่าสมเป็นภรรยาท่านทูตจริงๆ แต่ว่า...วันนั้นฉันเห็น...คุณแม่ของเธอไม่ค่อยสบายเหรอ”
แกมแก้วพยักหน้า ปรับทุกข์กับศจีหน้าเศร้า
“คุณแม่ไปไหนไม่ค่อยได้ เหนื่อยเรื่อยเลย ตอนอยู่ที่โน่น เข้าโรงพยาบาลไม่รู้กี่ครั้ง หมอฝรั่งบอกว่าช่วยไมได้มากกว่าที่ทำไปแล้ว คุณแม่เลยว่าถ้ายังไงขอกลับมาตายเมืองไทยพร้อมหน้าญาติพี่น้องดีกว่า คุณพ่อถึงขอย้ายกลับไงล่ะ ตอนนี้ใครๆ เขาก็พูดกันว่า ถ้าคุณแม่เป็นอะไรไป คุณน้ารัชนีฉายเขาจะมาแทนที่คุณแม่ละ”
เด็กหญิงศจีมองเพื่อนรักสีหน้าฉงน “ใคร ทำไมชื่อยาวยังงั้นล่ะ”
“พี่น้องทางคุณแม่ชื่อยาวๆ ทุกคนแหละ ดูแต่คุณแม่ ใครๆ ว่าชื่อเพราะออก คุณหญิงอรุณวตี คุณน้ารัชนีฉาย เขาเลยอยากเป็น คุณหญิงรัชนีฉาย”
ศจีสีหน้าสนใจมาก
“อย่าตอนที่พี่วินเกิด ญาติพี่น้องทางคุณแม่อยากให้ชื่อสุดชีวิน แต่คุณพ่อว่ามากเกินไป ขอแต่ชีวิน แปลว่า ชีวิตของพ่อแม่ก็พอ และตอนฉันเกิดเหมือนกันทีแรกชื่อ แกมเก็จแก้ว คุณพ่อตัดเหลือแกมแก้ว
“คุณแม่เธอเป็นคุณหญิงเหรอ”
“ฮือ คุณหญิงทูต มีตรา มีอะไรเยอะแยะ เวลาคุณพ่อแต่งเต็มยศต้องมีสายสะพายด้วย”
“ถ้าคุณแม่เธอตาย คุณน้าเธอจะได้แทนเหรอ แล้วเผื่อคุณน้าเธอตายอีกเธอจะได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ ทีคุณน้าเธอยังได้เลย”
“ก็คุณน้ารัชนีฉาย เขาจะมาเป็นแม่เลี้ยงลูกแก้วนี่”
ศจีอึ้งไปอย่างเข้าใจ
"คุณแม่ยังเคยหัวเราะกับคุณพ่อว่า ทำไมคนเป็นคุณหญิงต้องชื่อยาวๆ ก็ไม่รู้ ถึงใครจะชื่อสั้น ก็ต้องมาเติมให้ยาว อย่างคุณแม่ก็มีคนถามว่าเดิมชื่อ อรุณ แล้วมาเติมวตีทีหลังหรือเปล่า แหม...ถ้าลูกแก้วชื่อแกมเก็จแก้วยังพอจะมีหวังมั่ง ศจีก็ไม่มีหวังเหมือนกัน
“ทำไม คนอย่างฉันเป็นคุณหญิงไม่ได้เหรอ”
“ได้ซี่ ถ้าจีต่อชื่อให้ยาวๆ เป็นคุณหญิงศุภศจีดีไหม”
“คุณหญิงศุภศจี”
คำนี้ดังกึกก้องขึ้นในความรู้สึกของศจีอย่างประหลาด ตั้งแต่อดีตครั้งนั้น มาถึงปัจจุบัน
ศจีพึมพำกับตัวเอง
“คุณหญิงศุภศจี”
ศจีหลับตาลง นึกถึงภาพความฝันในวัยเยาว์ และสิ่งที่ผู้เป็นมารดาคอยปลูกฝังมาตลอด
อ่านต่อตอนที่ 19