คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 16
สุพรรณกลับถึงวัดใหญ่ฯ เดินเข้าห้องในกุฎีมา ด้วยหน้าตาอันเคร่งเครียด ดนัยซึ่งกลับมาสักพักใหญ่ หันมาเห็น
“เป็นไงวะ พาคุณหนูไปกินข้าวที่ไหน”
“ร้านตาเสริฐข้างมอนั่นแหละ” สุพรรณว่า
ดนัยตกใจ “หา ทำไมแกไม่พาน้องเขาไปร้านดีๆ กว่านั้นวะ เอาแถวเฉลิมกรงเฉลิมกรุง ที่ดาราเขาชอบไปกันก็ได้”
“ข้าไม่มีปัญหาหรอก”
“เฮ้ย แล้วน้องลูกแก้วเขาจะรับได้เหรอ”
“ได้ไม่ได้ก็แล้วแต่เขา นี่เป็นชีวิตจริงของข้า ถ้ารับไม่ได้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องไปดูแล”
“เอ็งก็ทำงานพิเศษ มีรายได้ของตัวเอง เลี้ยงน้องหรูหน่อยจะเป็นไรไป” ดนัยติติง
“เงินที่หามาได้ข้าต้องกินต้องใช้เอ็งก็รู้ ที่บ้านข้ามีปัญญาส่งเรียนเสียเมื่อไหร่เอ็งจะมาพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ”
“เออๆ ข้าเข้าใจ แต่สงสารน้องเขาจะอดทนไปได้นานเท่าไหร่”
“ถ้าเขาคิดจะคบกับคนจนๆ อย่างข้าจริงๆ ก็ต้องอดทน ข้าเป็นแค่ลูกชาวนายากจน แต่ก็ไม่อยากไปเกาะผู้หญิงกินว่ะ”
สุพรรณหยิบผ้าขาวม้าเดินไปอาบน้ำหลังกุฎี ดนัยได้แต่ยักไหล่มองเพื่อนจอมทระนงไปสีหน้าอ่อนใจ
รุ่งเช้าวันนี้ ยายปริกร้องออกมาอย่างลิงโลด หลังจากฟังอู๊ดมารายงานจบลง
“ชะ คนใหญ่คนโตซะด้วย หน้าบางๆ อย่างนี้ละสบายนัก”
ยายปริกเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด
“แต่เรื่องแบบนี้ พูดกะเจ้าพูชายมันจะลำบาก ต้องเข้าทางนังเมีย พวกคุณหญิงคุณนาย ไม่อยากเหม็นโฉ่หรอกวะ” พลางหันไปถามลูกเล้า “ใครเขียนหนังสือเป็นมั่ง ลายมือสวยๆ สักหน่อย”
อู๊ดบอก “นังออไงแม่ มันจบหก”
“หกอะไรวะ” ยายปริกงง
“หกหัวหกก้อยไงแม่” อู๊ดเล่นลิ้นใส่
ยายปริกยกเท้าถีบ “อย่ามามัวพูดเล่น ข้าจะพูดเป็นงานเป็นการโว้ย”
โสภายกมือ “ฉันเขียนได้แม่”
“เออนังโสภา ไปหยิบกระดาษกับปากกามา” ยายปริกชี้ไปตรงโต๊ะข้างๆ “ฉีกกระดาษสมุดจดหวยใต้เชี่ยนหมากข้าโน่น”
โสภาหยิบสมุดใต้เชี่ยนหมากออกมาฉีก
“แม่จะเขียนถึงใคร”
“เอ็งไม่ต้องซัก เขียนตามคำบอกข้าก็แล้วกัน”
“ว่ามาเลยแม่”
ยายปริกวางมาด สุขุมพยายามนึกคำ
“บ้านคุณแม่บุญปลีก ซอยวัดใหญ่ฯ”
โสภาบรรจงเขียนหนังสือตัวโย้เย้ ตัวเท่าหม้อแกง แถมสะกดอักษร และ วรรณยุกต์ ผิดๆ ถูกๆ
“กราบเรียน ฯพณฯ ท่าน” ปริกบอกต่อ
โสภาชะงัก หน้าแหย “ฯพณฯ ท่าน เขียนยังไงแม่”
“เอ็งเขียนลงไป”
ถวิลทวนคำสีหน้าฉงน “กาบเลียนพาหะนะท่าน...แม่จะจอมอถึงนายกเรอะ ร้องทุกข์เรื่องอะไรแม่”
“ชะ...เอ็งคิดว่าข้าเป็นคนต่ำๆ ไม่มีเส้นสายกะเขางั้นเหรอ คนหยั่งข้า...ไม่ดีจริงไม่คุมซอยนี้มาสิบๆ ปีหรอกโว้ย เส้นเอ็นอะไรมันต้องมีกันมั่งเส้นเล็กๆ ข้าไม่จับหรอก อย่างข้ามันต้องเส้นใหญ่ขนาดเส้นก๋วยจั๊บ”
ว่าพลางยายปริกตบเข่าดังฉาด
ฝ่ายศจีเดินผ่านโถงบันไดมากำลังจะถึงห้องทำงาน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นชีวินเดินเข้ามา
“พี่วินยังไม่ไปทำงานเหรอคะ”
ชีวินมองศจีด้วยสายตาเย็นชา แต่มีแววเจ็บปวดเร้นอยู่อยู่ลึกๆ
“วันนี้ไปสายหน่อย”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ ตั้งแต่คืนนั้น ที่เธอหนีกลับก่อน”
“อ๋อ ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะหนีกลับ แต่พอดีว่า คุณท่านกำลังจะออกไป ดิฉันเลยขอติดรถกลับไปด้วย”
ชีวินหัวเราะแค่นๆ น้ำเสียงประชด “งั้นเหรอ ช่างบังเอิญจริง”
ศจีชะงักไป เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของขีวิน
“เรื่องบังเอิญในโลกนี้เกิดขึ้นได้บ่อยไปค่ะ”
“แต่บางเรื่องมันเห็นได้ชัดว่า มีคนจงใจจะให้เกิด ความทะเยอทะยานอยากมันมีอยู่ในตัวทุกคนนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะควบคุมมันได้ยังไง แล้วใช้มันเป็นแรงผลักดันไปในทางไหน ด้วยวิธีการที่เหมาะสมหรือเปล่า ถ้าใจร้อนอยากข้ามขั้นนักละก็ สุดท้ายอาจจะล้มเหลวก็ได้”
พูดจบชีวินก็เดินออกประตูตึกไปเลย
ศจีหน้าชา มองตามชายหนุ่ม ความโกรธแผ่ซ่านขึ้นมาเป็นริ้วๆ เพราะรู้ว่าชีวินจงใจประชดตน
ศจีเข้ามาในห้องทำงาน วางกระเป๋าถือลง พลางครุ่นคิดเรื่องที่ชีวินพูดเมื่อครู่ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ศจีสะดุ้งตื่นจากภวังค์
เธอเห็นแกมแก้วโผล่หน้าเข้ามาในชุดนักศึกษา เมื่อเห็นศจีก็ดีใจ
“จี ดีใจจัง วันนี้ได้เจอจีซักที วันก่อนออกไปแล้วกลับบ้านเลยเหรอ”
“ใช่”
แกมแก้วเข้ามาในห้อง นั่งตรงโซฟา
“ลูกแก้วอยากถามความเห็นจี จีเห็นพี่พรรณแล้ว จีว่า เขาเป็นยังไงบ้าง”
ศจีสบตาแกมแก้ว เห็นสีหน้านั้นยิ้มสดใส โลกเป็นสีชมพูไปหมด
“ยังดูไม่ออกหรอก”
“เอาเท่าที่จีเห็นก็ได้”
“ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ลูกแก้วน่าจะมีคนที่เหมาะสมกว่านี้”
แกมแก้วมีสีหน้าผิดหวัง “ถ้าพี่พรรณไม่มีอะไรเด่น คนอื่นก็คงเหมือนเม็ดกรวดเม็ดทรายเท่านั้นเอง”
“เธอให้ค่าเขาขนาดนั้นเชียวเหรอ” ศจีท้วง น้ำเสียงขุ่น
“ลูกแก้วไม่ได้มองจากสายตาของตัวเอง แต่ใครๆ ในคณะก็พูดถึงเขา”
“แค่ในสังคมคณะหรือมหาวิทยาลัย มันเล็กกว่าสังคมภายนอกมากจนเทียบกันไม่ได้ เมื่อลูกแก้วเรียนจบ ได้รู้จักโลกกว้างขึ้น เขาอาจจะเป็นแค่กรวดทรายดาษดื่นก็ได้”
แกมแก้วหน้าเจื่อนไป “แหม จีพูดเหมือนรู้จักโลกมากกว่าลูกแก้วเยอะเลยนะ งั้น ลูกแก้วจะดูไปก่อน เวลาคงช่วยให้ลูกแก้วรู้จักเขามากขึ้น ยังอีกตั้ง 3 ปี นี่นะ กว่าลูกแก้วจะเรียนจบ ขอบใจนะจีที่ให้คำแนะนำ เดี๋ยวลูกแก้วต้องไปเรียนแล้ว ไว้จะมาคุยใหม่”
แกมแก้วออกไป ศจีมองตามสีหน้าเคร่งเครียด
จุกอุทานออกมาเสียงหลง พอฟังปริกที่ถ่อสังขารมาหาถึงบ้านสวน
“จีน่ะเหรอแม่ เข้าโรงแรมกับผู้ชาย”
“วันก่อนข้าถามมันแล้ว มันยอมรับว่าไปจริง”
จุกอึ้งไป เสียงเริ่มเครือ ทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“มันบอกว่าเป็นเจ้านาย คงจะทำงานใกล้ชิดสนิทสนมกัน เข้าทำนองสมภารกินไก่วัดนั่นแหละ”
“เขามีลูกมีเมียแล้วหรือยัง”
“เอ็งคิดว่ารวยขนาดนั้น อายุขนาดนั้น จะยังไม่มีลูกมีเมียเรอะ ฮี่ธ่อ...ใคร้...ใครจะเหมือนน้าศรีของเอ็งเล่า ธรรมะธัมโม ครองตัวเป็นโสดมาจนเจอเอ็งน่ะ แล้วยังไง ลูกเอ็งเก๊าะกลายเป็นลูกพระนารายณ์ ไม่ใช่ลูกตาศรีมัน...”
จุกสวนออกมา “แม่เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีเถอะ”
“ข้าต้องพูด เอ็งจะได้รู้ว่าลูกสาวที่เอ็งทะนุถนอมปุกปั้นมันมาตะอ้อนตะออก ตั้งใจจะให้มันเป็นคุณหญิงคุณนายน่ะ มันจะได้เป็นแค่คุณน้อยเท่านั้นเอง”
จุกผุดลุกขึ้น ตัวสั่นสะท้านไปด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งเสียใจ
“ไม่ ฉันจะไม่ยอมให้ลูกฉันเป็นอย่างนั้นหรอกแม่ จีไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“เอ็งก็พร่ำพูดแบบนี้มาตลอด นังจีไปทำอะไรที่ไหนเอ็งรู้บ้างไหม หน็อย...อีตอนให้ไปทวงสมบัติไอ้ซิงค์ก็ไม่เอา ทำหยิ่งจองหองไป แล้วนี่ยังไงล่ะให้เขาหลอกกินฟีๆ น่ะเอ็งยอมงั้นเหรอ”
จุกกลั้นน้ำตาที่พาลจะไหลออกมาแทบไม่อยู่
“อ้าว ๆ นี่ข้าไม่ได้มาพูดให้เอ็งเศร้าเสียใจนา ข้าหวังดี อยากให้เอ็งเรียกร้องอะไรมั่งในฐานะที่เป็นแม่”
“ฉันไม่ได้ขายลูกสาวกิน”
“งั้นเอ็งจะคิดอย่างนังจีมันเรอะ ยอมให้เขาหลอกฟีๆ เปล่าๆ ปลี้ๆ ไอ้นั่นมันคนใหญ่คนโตเชียวนะ”
จุกเดินหนีพลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไปตลอดทาง ปริกได้แต่ตะโกนตามหลังอย่างขุ่นเคือง
“อีกละ เดินหนีอีกตามเคย เอ็งยอมก็ตามใจ แต่ข้าน่ะไม่ยอมแน่เสียชื่อนังปริกวัดใหญ่หมด คอยดูนะนังจุก เอ็งคอยดูเถอะ”
ทางด้านศจีนั่งทำงานอยู่ จนนวลผ่องนำจดหมายปึกหนึ่งเข้ามา
“จดหมายที่ส่งมาถึงคุณหญิงวันนี้ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
นวลผ่องวางจดหมายปึกนั้นลง ศจีไล่ดูจ่าหน้าแต่ละฉบับเพื่อตรวจทานก่อน แต่แล้วก็ไปสะดุดตากับจดหมายฉบับหนึ่งในกอง
จดหมายฉบับนั้นเป็นซองขาวมอมแมม มีรอยดำเป็นปื้นๆ และลายมือที่จ่าหน้าก็สะกดคำแบบผิดๆ ถูกๆ ศจีหยิบจากกองมาพลิกอ่าน จ่าหน้าซองอย่างแปลกใจ
“กาบเลียนคูนยิงอารุนวาตี”
ศจีกันจดหมาย ที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือโย้เย้อ่านยาก สะกดคำผิดแถมวรรณยุกต์อยู่ผิดที่ผิดทางนั้นแยกไปต่างหาก
ความค้างคาใจ ทำให้ศจีตัดสินใจหยิบมีดมากรีดเปิดซองจดหมายออกโดยถือวิสาสะ และเมื่อกวาดตาอ่าน สีหน้าศจีก็เปลี่ยนไป
“บ้านคูนแมะบูนปีก ซอยวัดใย่...
กาบเลียนพาหะนะท่านคูนยิงอารุนวาตี...”
ศจีตัวแข็งเป็นหินไปชั่วขณะหนึ่ง ใจหายวาบ รู้ทันทีว่าเป็นจดหมายจากใคร ศจีกวาดตาอ่านต่อ
“เนื่องด้วย นอสอศะจีซึ่งทำงานเป็นเลียขานะกาลท่าน ได้ถูกฝาละมีคูนยิง ปุกป้ำในโลงแลม จึงขอให้คูนยิงจัดการด่วน โดยติดต่อมาตามตำบลบ้านเลขที่นี้ หาไม่ถ้าเรื่องถึงนังสือพิม ท่านจะเสียชื่อเสียงไปด้วย
จึงขอเลียนมา ด้วยฟามเคาลบอย่างสูงสุด (ยอดไม้)
ลงชื่อ... คุณนายบูนปีก”
ศจีขยำจดหมายในมือจนเป็นก้อนกลม ใจหนึ่งโมโห แต่อีกใจก็นึกดีใจที่เอะใจ ฉีกจดหมายออกอ่านก่อน
ประตูถูกเปิดเข้ามาพอดี เป็นรัชนีฉายโผล่หน้าเข้ามาถามหา
“วันนี้คุณพี่วตีไม่ออกมาเหรอ”
“ค่ะ”
รัชนีฉายชักสีหน้า มองมือศจีไม่วางตา นวลผ่องโผล่หน้าเข้ามาบอกศจี
“คุณแม่บ้านให้เชิญไปช่วยดูรายการอาหารบ่ายวันนี้ค่ะ”
ศจีซุกกระดาษที่ขยำไว้ตรงมุมกระเป๋าถือ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามนวลผ่องออกไป แต่ไม่รอดพ้นจากสายตาของรัชนีฉาย
พอศจีออกไปพ้นห้อง รัชนีฉายก็เหลียวมองกระดาษก้อนนั้นอย่างสงสัย
อ่านต่อหน้า 2
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ศจีเดินเข้ามาหาป้าวรรณที่รออยู่แล้วในครัว
“มาดูนี่หน่อย แม่ศจี”
วรรณยื่นรายการอาหารให้
“บ่ายนี้พวกคุณหญิงคุณนายจากสมาคมจะมาทานน้ำชากัน แต่ละคนก็โปรดไปคนละอย่าง เธอดูซิว่ามีขาดอะไรอีกไหม”
ศจีรับรายการอาหารมาดูอย่างพิจารณา
“ของคุณหญิงวิภาดาต้องสั่งพิเศษหน่อยค่ะ เพราะท่านเป็นมังสวิรัติ งั้นเดี๋ยวดิฉันจะนำกลับไปแก้ไขก่อนนะคะ”
วรรณพยักหน้า ศจีเดินออกไป
ด้านรัชนีฉายเดินเข้ามายังโต๊ะทำงานศจี ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนใจเขี่ยกระดาษก้อนนั้นออกมา แล้วเปิดออกอ่าน
รัชนีฉายนิ่วหน้า พยายามอ่าน และทำความเข้าใจกับตัวอักษรโย้เย้สะกดคำผิดๆ นั้น และแล้วสีหน้าก็เปลี่ยน เหมือนหัวใจถูกกระตุกอย่างแรง จนนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่
จากนั้นก็ผลุนผลัน เดินแกมวิ่งออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน
รัชนีฉายผลักประตูเข้ามาในห้องนอนอรุณวตีโดยร้อนใจเป็นที่สุด พร้อมส่งเสียงแหลมโวยวายสุดเสียง
“คุณพี่คะ...คุณพี่...ดู๊...ดู...ดูอะไรนี่”
อรุณวตีเงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า
“อะไรกันรัชนีฉาย”
“นี่ค่ะ นี่ค่ะ...งามหน้าแล้ว” รัชนีฉายวางกระดาษยับๆ ลงบนโต๊ะกิริยากระแทกกระทั้น “อ่านดูสิคะ เขาเขียนถึงคุณพี่ แต่แม่ตัวดีรีบแอบซุกไว้เสียก่อน นี่ถ้าน้องไม่เผอิญไปพบเข้าจะทำยังไงกั๊น มิงามพักตร์กันไปหมดเหรอ”
อรุณวตีถอนใจนิดๆ ค่อยๆ ก้มลงอ่าน
“เป็นไงคะ เป็นไง คุณพี่จะคิดยังไงบ้าง โธ่ ไม่น่าเลย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นมิต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินถนนกันเหรอคะ คุณพี่วตีจะว่ายังไงคะ”
อรุณวตีอ่านจดหมายจบ เงยหน้าขึ้น สีหน้าเรียบเฉย
“เธอเอาจดหมายนี่มาจากไหน”
“อ้าว จะเอามาจากไหน? ตะกี้น้องเข้าไปในห้องทำงาน เห็นแม่ตัวดีเขางุบงิบฉีกจดหมายอ่าน พอเห็นน้องก็ขยำซุกซ่อนไว้แล้วรีบเดินหนี น้องสงสัยก็เลยยอมเสียมารยาทดูหน่อยละ ถ้าเป็นจดหมายของเขาน้องก็คงไม่สนใจแต่เห็นขึ้นต้นถึงคุณพี่วตีนี่คะ พออ่านดู โอ๊ย ลมแทบจับ ลายมือก็บอกแล้วว่าเป็นคนสกุลยังไง แบบนี้มันต้องเล่นเรายับแน่”
อรุณวตีท้วง “เดี๋ยว รัชนีฉาย ถ้าเรื่องมันจริง ทำไมยายจีแกไม่เอะอะ แกจะเงียบอยู่ทำไม”
“อ้าว ก็แม่นี่มันสมยอมสิคะ มันถึงเงียบ โธ่...คุณพี่มัวแต่เจ็บ...เจ็บ...เจ็บไม่เคยเห็นมันให้ท่าคุณจิตยังไง จะพูดจะจาหูตาแพรวพราวจริตจะก้านพริ้งไปทั้งตัว แต่อายุมันยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทางบ้านคงรู้เข้าถึงจะเอาเรื่อง ไม่งั้นมันจะเขียนจดหมายมาหรือคะ แหม ถ้าเรื่องถึงหนังสือพิมพ์ ถึงตำรวจ” รัชนีฉายทำท่าเหมือนจะเป็นลม “โอ๊ย หมดๆ ย่อยยับหมด”
อรุณวตียังคงนิ่งเฉย น้ำเสียงสงบ
“เอาเถอะ แล้วพี่จะไต่ถามเขาดูก่อน”
รัชนีฉายเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ “นี่คุณพี่จะไม่ทำอะไรเลยเหรอคะ”
“เธอจะให้พี่ทำอะไร ถ้าไม่ถามเขาดูก่อน”
รัชนีฉายอุทานเสียงแหลมสูง “คุณพี่”
“สำหรับพี่ เรื่องแบบนี้มัน ธรรมดาเสียแล้ว การหาเศษหาเลยของผู้ชายเป็นของที่เขาทำเป็นประจำแหละ ถ้าผู้หญิงเขายินยอม มันก็แค่นั้น”
รัชนีฉายท้วงติง “แต่...”
คุณหญิงสวนออกมา “พี่บอกแล้วไง พี่จะถามเขาดู”
“ถ้ามันจริงละคะ”
อรุณวตียิ้มบางเฉียบ “ความจริงคือความจริง แล้วจะให้พี่ทำยังไง”
รัชนีฉายกรีดร้อง “แต่ต้องไม่ยอม ได้ยินไหมคะ น้องไม่ยอม น้องยอมให้ได้แต่คุณพี่คนเดียว”
อรุณวตีมองรัชนีฉายพลางยิ้มเยาะ
ศจีกลับเข้ามาในห้อง หยิบกระดาษมาใส่เครื่องพิมพ์ดีด ลงมือพิมพ์แก้ไขรายการอาหาร
โดยไม่ทันมองว่า ที่ซอกกระเป๋าด้านข้างของเธอนั้นว่างเปล่า จดหมายก้อนนั้นหายไปแล้ว
รัชนีฉายมองคุณหญิงผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาอย่างงุนงง กระทั่งอรุณวตีพูดกลั้วสำเนียงหัวเราะต่ำๆ ขึ้นว่า
“เธอพูดผิด เธอควรพูดว่า พี่ยอมให้เธอ เป็น...รายแรก”
รัชนีฉายย้อนออกไป “หมายความว่ายังมีรายต่อไป”
“เมื่อพี่ยินยอมรายแรกแล้ว รายต่อไปพี่จะห้ามปรามได้ยังไง เมื่อเริ่มต้นได้ ก็ต้องดำเนินต่อไป การที่จะสิ้นสุดที่ไหนเธอจะมากะเกณฑ์จากพี่ไม่ได้ นั่นสุดแต่ ‘คนกลาง’ เขา”
“คุณพี่จิตบอกน้องว่า...”
“เขาบอกพี่แต่ว่า เมื่อพี่บกพร่องในหน้าที่ของ ‘เมีย’ เขาก็ต้องหาคนแทน แต่การที่เขาจะคิดว่าเมื่อไรมันจะเต็มของเขานั้น มันเป็นเรื่องของเขา เราแยกหน้าที่กันแล้วไม่ใช่เหรอ” อรุณวตีมองหน้ารัชนีฉายอย่างเต็มตา “พี่เป็น คุณหญิงอรุณวตี แต่หน้าที่ ‘เมีย’ คุณจิตเขามีสิทธิ์ที่จะหาของเขาเอง”
รัชนีฉายหน้าแดงอย่างโกรธจัด เสียงแหลมสูงสั่นสะท้ายและดังลั่นห้อง
“งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณพี่วตีตั้งใจจะให้น้องเป็นแค่...”
“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่...เธอกับคุณจิตตกลงปลงใจกันเองไม่ใช่เหรอ”
“คุณพี่! คุณพี่ดูถูกน้องนะคะ”
“การดูถูกดีกว่าดูผิด เรื่องนี้ สำหรับพี่ พี่จะจัดการตามวิธีของพี่แต่เธอจะมาให้พี่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจเธอไม่ได้ ส่วนเธอ...อีกเรื่องนึง” คุณหญิงเลื่อนกระดาษจดหมายคืนให้รัชนีฉาย โดยไม่ได้แม้แต่ชำเลืองมองซ้ำ “เธอเอาคืนไปเถอะ เพราะถ้าศจีเขาไม่นำขึ้นเสนอพี่ก็แสดงว่าเขายังไม่อยากให้พี่ทราบ”
“อ้อ...รอให้พวกมันเอาไปประจานทางหนังสือพิมพ์ หรือนังนั่น...ป่อง...ออกมาเสียก่อนสินะคะ”
อรุณวตีหัวเราะเยือกเย็น แต่แววตาเชือดเฉือน
“คุณจิตเขาสัญญากับพี่ไว้นานแล้วว่า เขาจะไม่มี ‘ลูก’ กับใครอื่นอีกเพราะเขาไม่อยากให้มีเรื่องลูกมาก่อนให้เกิดปัญหาระหว่างครอบครัวขึ้น”
สีหน้าของรัชนีฉายที่แดงเขียวมาก่อนหน้านี้เผือดลงถนัดตา รู้ตัวว่าแพ้ทุกประตู ตัวสั่นเทา ครางออกมาน้ำเสียงแหบแห้ง
“คุณพี่”
“ปัญหานี้เป็นปัญหาแรกของเธอ แต่ไม่ใช่ปัญหาแรกของพี่ พี่คงจะจัดการได้ดีกว่าเธอละมั้ง”
รัชนีฉายหันหลังกลับ แล้วผลุนผลันออกไปจากห้องทันที พร้อมกับกระแทกประตูปิดดังปัง
อรุณวตีมองตามสีหน้าเยือกเย็นมีรอยยิ้มหยันสาแก่ใจสุดจะประมาณ
ศจีกลับมาหาวรรณ ยื่นกระดาษแผ่นใหม่ให้
“ดิฉันแก้ไขใหม่แล้ว รายการอาหารทั้งหมดตามนี้ค่ะ”
วรรณรับรายการอาหารไป พอศจีหันกลับ ก็เจอนวลผ่องเข้ามาย่อตัว
“คุณหญิงให้หาค่ะ”
“เดี๋ยวนะจ๊ะ ฉันไปหยิบสมุดจดที่ห้องก่อน”
ศจีเดินแยกไปอีกทาง ป้าวรรณมองตามอย่างสงสัย
คุณหญิงอรุณวตีขยับตัวเล็กน้อย เมื่อศจีเข้ามา เอ่ยพูดด้วยเสียงเรียบๆ โดยไม่มองหน้า
“ฉันแยกจดหมายไว้ให้หนูแล้วนะจ๊ะ วันนี้ไม่มีจดหมายอื่นอีกเหรอจ๊ะ”
ศจีเกือบสะดุ้ง แต่ก็พยายามบังคับท่าทีให้ปรกติ
“จดหมายที่ควรนำขึ้นมาเรียนมีอยู่เท่านี้เจ้าค่ะ”
อรุณวตีมองหน้าศจีอย่างเรียบเฉย แต่กลับทำให้ศจีหลบตาด้วยความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เริ่มไม่แน่ใจว่ากระดาษที่ซุกไว้จะยังอยู่ที่เดิมหรือไม่
“หนูมาทำงานกับฉันนานเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”
ศจีกลอกตาครุ่นคิด อรุณวตีหัวเราะเบาๆ
“ไม่มีอะไรหรอกหนู วันนี้ฉันเหงาเลยอยากจะหาเพื่อนคุยเท่านั้นเอง”
“หกเดือนกับอีกสองสัปดาห์เจ้าค่ะ”
“แปลกนะ ฉันกลับรู้สึกเหมือนหนูอยู่กับฉันมานานแสนนาน จนคุ้นเคยเหมือน...เมื่อฉันพูดกับหนูอย่างจริงใจก็ต้องบอกว่า ให้คุ้นเคยรักใคร่กันยังไง ฉันก็ไม่คิดว่าหนูเหมือนลูกหรอกจ้ะ เพราะความรักลูกนั้น เป็นความรักที่หาใครเทียบไม่ได้ และจะรักใครให้เหมือนรักลูกก็ไม่ได้ แต่ฉันก็รักหนูมากกว่าที่เคยรักคนอื่นๆ ที่ใกล้ชิดกันมา คงจะเท่าๆ พี่วรรณละมั้ง”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะที่เมตตากับดิฉันถึงเพียงนั้น”
“พูดเรื่องรักกับเด็กรุ่นๆ มักจะลำบาก วัยหนู วัยยัยลูกแก้ว มักจะรักแรงเกลียดแรง รักก็หัวชนฝา บทเกลียดก็แทบจะฆ่าได้ แต่หนูยังดีกว่ายัยลูกแก้วตรงที่รู้คิดเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ยัยลูกแก้วแกยังเด็กนัก ขอโทษ...หนูเคย...รักใครบ้างไหมจ๊ะ อย่าบอกว่าเคยรักพ่อ รักแม่ รักเพื่อน รักครู อะไรพวกนั้นนะ”
ศจีบอกด้วยเนื้อเสียงหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ยังไม่เคยรักใคร”
สีหน้าอรุณวตีคิดถึงอะไรบางอย่าง มันเป็นเข็มกลัดเนคไทของสุพรรณที่วาบเข้ามา คุณหญิงแย้มริมฝีปากออกน้อยๆ
“ในฐานะที่ฉันก็เคยผ่านวัยรุ่นอย่างหนูมา ขอเตือนนิดเดียวว่า ถ้าจะรักใครในวัยนี้ อย่าคิดว่ารักอย่างเดียวมันจะอยู่ได้ อย่าคิดว่า ‘ถึงจนทนสู้กัดกินเกลือ’ เพราะให้รักกันแค่ไหน เกลือมันก็ไม่หวานขึ้นมาเป็นอันขาดชีวิตการครองเรือนจะอยู่กันยืดยาว มันมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างความเหมาะสมทางภูมิปัญญา ฐานะ ความเข้าใจกัน ผู้หญิงผู้ชายพอแต่งงานกันแล้ว หนูเชื่อไหม ไอ้ตัวความรักมันไม่รู้วิ่งหายไปไหนหมดมันเหลือแต่ความเข้าใจกัน หน้าที่ บางทีเลยเถิดไปถึงหน้าตาในสังคมด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“ฉันเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์มา มีคนเขียนไปถามปัญหาชีวิตว่า ถ้ามีคนอายุมากมารัก ฐานะดี ตำแหน่งดี แต่อีกคนนั่นรุ่นราวคราวเดียวกัน ยังไม่มีอะไรเลยนอกจากสัญญาว่าจะรักกัน ถ้าเป็นปัญหาของหนู หนูจะตอบว่ายังไงจ๊ะ” อรุณวตีเลียบเคียงถาม
“ไม่...ไม่ทราบสิเจ้าคะ”
“ไม่รู้จะรักใครดีหรือยังไง หนูเชื่อไหม คนที่รักเรากับคนที่เรารักมักจะแตกต่างกัน คนที่เรารักจะทำให้เรามีแต่ความทุกข์ แต่คนที่รักเรา จะทำให้เรามีความสุข ถ้าฉันเป็นคนตอบ ฉันจะตอบว่า จะแต่งงานกับคนแก่ดีกว่าเผื่อหนูเป็นเจ้าของปัญหานี้หนูจะยอมทำตามไหมจ๊ะ”
“ก็ยังไม่ทราบเจ้าค่ะ”
อรุณวตีมองศจีอย่างจับสังเกตสีหน้า แล้วก็ถอนใจยาว
“ฉันชวนหนูคุยเสียเพลิน ไปเถอะ เดี๋ยวบ่ายนี้เราจะมีแขกใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“งั้นหลังอาหารแล้ว ฉันจะออกไป”
ศจีหยิบสมุดจดที่ไม่ได้จดอะไรออกไป อรุณวตีมองตาม ยิ้มกริ่มในหน้าอย่างพึงใจ
อ่านต่อหน้า 3
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ครั้นพอศจีกลับเข้ามาในห้องทำงาน เธอต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในนั้น และร่างนั้นเหลียวขวับมาทันทีเมื่อเห็นศจี
“ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
ศจีเลี่ยงไปที่โต๊ะทำงาน ตามองตรงกระเป๋าถือ แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะกระดาษที่ถูกขยำไว้ ถูกโยนกลิ้งมาตกตรงหน้า พร้อมกับเสียงแหวดังลั่น
“เธอฉีกจดหมายฉบับนี้ของคุณพี่วตีเรอะ”
ศจีไม่ตอบ เพราะรัชนีฉายรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“เป็นมารยาทของเลขาที่ดีงั้นสินะ”
“ก็เหมือนกับที่คุณเอาไปอ่านนั่นแหละค่ะ” ศจีย้อน
รัชนีฉายโกรธจนตัวสั่น “แก...แกให้ท่าคุณจิต ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว”
ศจีหน้าแดงขึ้น ขยับปากจะปฏิเสธ แต่แล้วก็ยักไหลเฉยเสีย
“แล้วนี่ญาติแกสินะ ที่เขียนจดหมายมาแบล็คเมล์”
ศจีไม่ตอบอะไร แต่ค่อยๆ ลงนั่ง คุมสติตัวเอง เลื่อนนั่นจัดนี่อย่างใจเย็น
“แกยอมขึ้นโรงแรมกับเขาใช่ไหม”
ศจียังไม่ตอบ ทำให้รัชนีฉายพล่านหนักขึ้น
“แกต้องตอบคำถามฉัน ได้ยินไหม”
“ได้ยินค่ะ แต่ทำไมดิฉันต้องตอบคำถามนี้ อันที่จริงคุณหญิงท่านควรถามดิฉันเองมากกว่า” ศจีย้อน
“อ๋อ...คุณพี่วตีเขาไม่ถามแกแน่ เพราะเขาเป็นคนส่งแกมาให้คุณจิตเองนี่จริงหรือเปล่าล่ะ เขาอิจฉาฉัน เพราะตัวเขาเองเป็นได้แค่เมียนั่งแป้นแต่ฉัน...ฉันนี่แหละเป็นเมียคุณจิต ฉันถึงมีสิทธิ์ที่จะถามแก”
“แต่สิทธิ์ที่จะตอบเป็นของดิฉัน ดิฉันไม่เคยสนใจหรอกค่ะ ว่าใครเป็นภรรยา...ชนิดไหน ดิฉันรู้แต่ว่าดิฉันเป็นอะไรเท่านั้น และนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของดิฉันที่จะตอบใคร หรือไม่ตอบใครก็ได้”
รัชนีฉายเงื้อมือจะตบหน้าศจี
เสียงทรงอำนาจของปราจิตดังขึ้น “รัชนีฉาย”
รัชนีฉายชะงักค้าง แล้วค่อยๆ ลดมือลง กรีดร้องเสียงแหลม
“คุณพี่ มาพอดีทีเดียว อ้อ...เดี๋ยวนี้กลางวันก็กลับมาหากันนะค้า”
ปราจิตเลิกคิ้ว สีหน้าฉงนนิดๆ “อะไรกัน”
รัชนีฉายแหวใส่ปราจิต
“คุณพี่รับมาตรงๆ นะคะว่า คุณพี่พาเด็กนี่ไป โรงแรมมาหรือเปล่าอย่าปฏิเสธนะ นี่...นี่หลักฐาน”
รัชนีฉายคว้ากระดาษก้อนนั้นกระแทกใส่มือปราจิต
“ไม่นึกเลย ไม่นึกเลยว่าคุณพี่จะทำอะไรต่ำๆ ได้ถึงแค่นี้”
ปราจิตมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างงงๆ ก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่าน
“ไงค้า คราวนี้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ถ้าข่าวมันกระจายออกไป”
วรรณเปิดประตูเข้ามาในห้องคุณหญิงด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจ อรุณวตีเงยหน้าขึ้นถาม
“มีอะไรจ๊ะพี่วรรณ”
“พี่เห็นคุณจิตเข้าไปในห้องแม่ศจี คุณน้องเธอก็อยู่ในนั้น ไม่ทราบมีเรื่องอะไรกัน เสียงดังโวยวายออกมาถึงนอกห้อง”
อรุณวตียิ้มอย่างเยือกเย็น แต่แฝงความอำมหิต
“ช่างเขาเถอะพี่วรรณ เดี๋ยวพี่ช่วยไปเตรียมจัดโต๊ะต้อนรับแขกบ่ายนี้ก่อนอีกสักชั่วโมงคงทยอยมากันแล้ว”
วรรณรับคำ แล้วถอยออกไปจากห้อง อรุณวตีมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างรอคอยเวลาอะไรบางอย่าง
เวลานั้นปราจิตสีหน้านิ่งสงบ แต่พอเงยหน้าพูดกับศจีก็มีร่องรอยแห่งความเสียใจแฝงอยู่
“ฉันเสียใจ ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นจนเกิดเรื่อง”
“ต๊าย...พูดยังงี้แปลว่าจริงใช่ไหม”
รัชนีฉายทำท่าลมจะใส่ แต่ไม่มีใครสนใจ ปราจิตหันไปถามศจี
“คนที่เขียนจดหมายมา เป็นอะไรกับเธอ”
“คนที่เคย...เลี้ยงแม่มาค่ะ เป็นยาย...ไม่ทราบว่าทำไมเขียนจดหมายมาอย่างนี้”
รัชนีฉายกรีดเสียงร้องขึ้น ขณะถลาเข้าใส่ปราจิต “คุณพี่”
ปราจิตต้องใช้ท่อนแขนกันเอาไว้
“ขอทีรัชนีฉาย อย่าใช้กิริยาอย่างนี้ พี่ไม่ชอบ”
รัชนีฉายชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกรีดร้องโหยหวน ด้วยปราจิตไม่เคยดุด่าว่ากล่าวอย่างนี้เลย
“คุณพี่เห็นนังนี่ดีกว่าน้องแล้วเหรอคะ ไหนว่าไม่มีอะไรกับมัน คุณพี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง น้องไม่ยอมนะคะ ไม่ยอม คุณพี่เคยสัญญากับน้องแล้วว่าจะไม่มีใคร ทำไมคุณพี่เสียสัตย์ ลดตัวต่ำลงไปอย่างนี้”
ปราจิตสุดที่จะควบคุมอารมณ์ไว้ได้ พูดทบเป็นตวาด “หยุดทีได้ไหม”
“น้องไม่ยอม ต้องให้คุณพี่วตีจัดการ ไม่ยอมจริงๆ”
รัชนีฉายร้องไห้ฟูมฟาย พลางวิ่งออกจากห้อง แต่ปราจิตไวกว่า รีบคว้าแขนไว้ก่อน รัชนีฉายถึงกับสะบัดเร่า
“อย่ามาแตะน้องอีกนะ อย่านะ”
“พี่จะปล่อยเธอ แต่ขอให้จำไว้อย่างนึงว่า อย่าไปกวนใจคุณวตีเขาเป็นอันขาด”
“อ๋อ” รัชนีฉายแค่นหัวเราะทั้งน้ำตา “คุณพี่เกรงใจแค่คุณพี่วตีคนเดียวงั้นเหรอคะ อย่ากลัวเลยค่ะ คุณพี่วตีเธอไม่ใช่ไข่ในหิน ใครกระทบไม่ได้หรอกน้องเอาจดหมายนี้ไปให้ดูแล้ว”
ปราจิตชะงักไปเล็กน้อย รัชนีฉายจึงสะบัดแขนออกโดยแรง
“คุณพี่กับน้องพอกันที น้องเคยบอกแล้วว่า จะยอมให้คุณพี่วตีคนเดียว”
รัชนีฉายผลุนผลันออกไปจากห้องโดยเร็ว ทิ้งให้ศจีกับปราจิตประจันหน้ากันอยู่เงียบๆ
รัชนีฉายวิ่งออกมา ร้องไห้ไปด้วย ตรงไปยังห้องนอนอรุณวตี
ปราจิตนิ่งอึ้งไปนานสองนาน จนศจีเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ดิฉันเสียใจเจ้าค่ะ ที่ท่านต้องเดือดร้อน”
“ฉันควรพูดคำนี้มากกว่า เดี๋ยวฉันจะไปอธบายให้คุณวตีเขาเข้าใจ ไม่งั้นเธอจะยุ่ง”
ศจีลูบคลำปกสมุดนัดหมายอยู่เงียบๆ ปราจิตจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วนี่ทางบ้านเธอจะเข้าใจยังไง”
“ดิฉันอยู่ในความปกครองของแม่ คนอื่นไม่เกี่ยว จดหมายฉบับนี้ถ้าไม่มีใครสนใจเสีย ก็คงไม่มีเรื่องอื่นอีก”
“ถึงอย่างไรฉันก็เสียใจ ฉันควรไปอธิบายให้ทางบ้าน...”
ศจีสวนออกมา “ไม่ต้องไปอธิบายกับใครทั้งนั้นแล้วค่ะ”
“คุณวตีเขาซักไซ้อะไรบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าเจ้าค่ะ... เพียงแต่...”
ปราจิตซักทันที “อะไรเหรอ”
“ท่านคุยกับดิฉัน แล้วก็ถามว่า เด็กวัยรุ่นควรจะ...เอ้อ...แต่งงานกับคนแก่ฐานะดี หรือคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน”
“แล้วเธอตอบว่ายังไง”
“ดิฉันไม่ได้ตอบท่าน เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของดิฉัน”
ปราจิตเพ่งมองศจีอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง บอกเสียงเบาแต่หนักแน่นจริงจัง
“สักวัน ถ้าเป็นปัญหาของเธอ เธอต้องตอบใช่ไหม”
ศจีเงยหน้าขึ้นสบตาผู้พูด ทั้งสองสบตากันอย่างพยายามค้นหาคำตอบของกันและกัน
อ่านต่อหน้า 4
คุณหญิงนอกทำเนียบ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ภายในห้องอรุณวตียามนี้ ผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งตัวตรง ก้มศีรษะนิดๆ ลงมองรัชนีฉายที่คุกเข่าซบอยู่แทบตัก คร่ำครวญหวนไห้รำพัน แววตาอรุณวตีมีประกายแวววับ ราวกับเยาะหยันอะไรบางอย่าง
“คุณพี่เห็นไหมคะ ว่ามันทำกับเรายังไง... ฮือๆ... น้องไม่เชื่อ...ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อว่าคุณจิตจะลดตัวลงไปหามัน ถ้ามันไม่พยายามดึงคุณจิตลงไปคุณจิตเขามันคนรักหน้ารักเกียรติ เขาต้องไม่ทำอย่างนั้นแน่ แต่นังเด็ก
นั่นมันจงใจ มันเห็นคุณพี่เจ็บ เห็นบ้านช่องสมบัติพัสถาน ตอนแรกมันคงหวังตาวินไว้ แต่ตาวินไม่สนใจเพราะมีหนูยาอยู่แล้ว มันเลยหันไปหาคุณจิตแทน...”
“เธอคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ น้องแน่ใจ เห็นหูตาจริตจก้านมันแพราวพราวขนาดนั้น คุณพี่ต้องจัดการกับมันนะคะ ไม่งั้นมันจะกำเริบตีตัวเสมอน้องเสมอคุณพี่ ทุกวันนี้ให้น้องเป็นยังไงน้องทนได้ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน น้องรักคุณพี่ แต่จะให้ทนนังเด็กนั่น น้องทนไม่ได้”
“ผู้ชาย ให้รักหน้ารักเกียรติยังไง ก็ไม่มีใครสะอาดเอี่ยมไปได้ทุกคน เขามีเวลาที่อยากจะกินของสกปรกอยู่เสมอแหละ แม้จะมีอาหารทิพย์ตั้งโต๊ะอยู่ตรงหน้า และเมื่อเขาลองกินจานแรกได้ เขาก็ต้องหาจานที่สองที่สามต่อๆ ไป ผู้หญิงเรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ ดู เธอจะมาคร่ำครวญทำไม ในเมื่อคุณจิตก็เหมือนๆ กับผู้ชายคนอื่น ไม่ได้ดีวิเศษอะไรนักหนา เธอควรทำอย่างเดียวกับพี่คือ ดูเขาต่อไป”
“ดูคุณจิตกับเด็กนั่นอยู่เฉยๆ เหรอคะ”
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“คุณพี่ไล่มันออกไปสิคะ”
“ถ้า เรื่องที่ว่าเป็นไปแล้ว เธฮคิดว่าที่ทำนั่นจะเป็นการตัดปัญหาทั้งหมดเหรอเธอก็เคยรู้มาแล้ว” คำต่อมาอรุณวตีพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ว่าคุณจิตเขาเป็นคนรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาแค่ไหน”
“แปลว่าเราต้องยกย่องมันขึ้นมาอีกคนเหรอคะ”
อรุณวตีพูดแกมหัวเราะอีก “เรื่องนี้เห็นจะใช้คำว่าเราไม่ได้หรอก พี่เคยทำอะไรได้บ้างนั่นต้องสุดแต่ใจคุณจิตเขา พี่เอง อยู่ในฐานะ อะไรนะ ที่เธอเคยตั้งให้”
รัชนีฉายนิ่วหน้าทบทวนความจำ แต่อรุณวตีพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เอ้อ เมียหุ่น ประเภทคุณหญิงออกหน้าอะไรพวกวนั้น แต่ ขอโทษเถอะนะไหนๆจะพูดแล้ว เราต้องพูดความจริงกัน และยอมรับสิ่งที่เป็นความจริงเสียด้วย เธอต่างหากที่เป็น คนรักใคร่ใกล้ชิดคุณจิต เธอควรจะถามเขาให้เขาอธิบายให้เธอฟังมิดีกว่าพี่หรือจ๊ะ เมียหุ่นอย่างพี่ พูดไปก็สองไพเบี้ย”
“แต่มันเป็นแค่เด็กของคุณพี่ คุณพี่จะไล่มันออกเมื่อไหร่ก็ได้”
“ไล่ออกเพราะอะไรล่ะ เกิดเด็กไปทำเรื่องอื้อฉาวเป็นข่าวอย่างที่ว่า เธอคิดว่าจะดีกว่าที่เราเฉยๆ เสียยั้งงั้นหรือ”
“ช่าง น้องไม่กลัวแล้ว จะอื้อฉาวยังไงก็”
“ฮื้อ ทำไมเธอเปลี่ยนความคิดเสียล่ะ รัชนีฉาย ก็เธอเคยพูดกับพี่เองว่าที่เธอยอมเป็นอย่างนี้ เพราะเธอรักหน้าพี่ รักหน้าคุณจิต ไม่อยากให้คุณจิตไปพัวพันกับแหม่มที่โน่น เธอเลยยอมทอดตัวลงมาเสียเองไงล่ะ พี่ก็เห็นใจเธอมากนะ ยังสรรเสริญน้ำใจเธอมาจนทุกวันนี้ แล้วนี่ทำไมเธอจะเปลี่ยนใจเสีย เธอเคยทนมาได้ ทำไมจะไม่ยอมทนต่อไปจ๊ะ”
“งั้นคุณพี่หมายความว่า จะให้น้องจัดการเรื่องนี้เอง”
“แล้วแต่เธอก็แล้วกัน”
คุณหญิงตอบนิ่มนิ่ง
รัชนีฉายพอใจคำตอบ ผุดลุกขึ้นโดยเร็ว
“งั้นถ้าน้องจัดการอะไรลงไป คุณพี่จะมาว่าน้องไม่ได้นะคะ”
“พี่ไม่ได้พูดมานานแล้วนะ รัชนีฉาย แล้วก็คิดว่าจะไม่พูดอีกด้วย”
รัชนีฉายเดินผละออกไป กระแทกเท้าแรงอย่างหัวเสีย อรุณวตีมองตาม ยิ้มกริ่มสาแก่ใจ
รัชนีฉายชะงัก เมื่อเดินออกมา เจอกับวรรณที่กำลังจะมาถึงหน้าห้อง แม้จะยังมีคราบน้ำตา แต่รัชนีฉายก็ยังจ้องมองวรรณอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะสะบัดใส่
วรรณเหลียวมองตามสีหน้ายิ้มเยาะ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง
วรรณเปิดประตูเข้ามา เห็นอรุณวตีนั่งเปิดหนังสืออ่านเล่นอย่างใจเย็น
“คลั่งอะไรขึ้นมาอีกคะ ตะกี้เห็นเด็กๆ ออกไปบอกว่าเข้ามาฟูมฟาย”
“อย่างเคยเขาแหละ พี่วรรณ เขาจะให้ไล่หนูจีออก”
“เรื่องอะไรกันคะ”
“เขาว่า...คุณจิตเธอไปยุ่งกับเด็ก”
“แล้วจริงหรือเปล่า”
“ใครจะไปรู้ พี่วรรณล่ะ รู้ไหม”
“ก็...มีเค้าๆ อยู่ ดูท่านจะเอาใจใส่ผิดปรกติ”
“ก็แล้วแต่ ฉันไม่เกี่ยว”
วรรณขยับมาใกล้ๆ พลางถามเบาๆ
“ถามจริงๆ เถอะ คุณอยากให้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า”
“ใครล่ะ พี่วรรณ อยากให้ผัวมีเมียน้อย”
“แล้วทำไมคุณปล่อยท่าน...กับ...เด็กนั่น”
“ถึงฉันไม่ปล่อย ฉันจะไปทำอะไรได้” แววตาคุณหญิงวาบขึ้นมาอย่างสะใจ “ช่างเขาเถอะ พี่วรรณ
ให้รัชนีฉายเขาแก้ปัญหาของเขาเสียบ้าง”
วรรณอ่อนอกอ่อนใจ “มันก็จะยุ่ง”
“มันก็ยุ่งมานานแล้วไม่ใช่เรอะพี่วรรณ คราวนี้เราตีตั๋วเป็นคนดูเสียงบ้าง เฮ้อ...ขอเวลาอีกสักหน่อย พอจัดการอะไรๆ ให้เรียบร้อย คราวนี้จะตายก็คงนอนตาหลับเสียทีละ”
อรุณวตียิ้มนิดๆ สีหน้ามีแววอิ่มเอมราวกับสมใจอย่างประหลาด วรรณได้แต่มองคุณหญิงของเธออย่างฉงนฉงาย
อ่านต่อตอนที่ 17