บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 25 อวสาน
เย็นมากแล้ว ขณะวิรินทร์นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาจอดลงหน้ารั้วบ้านสมุทรเทวา และกำลังจะเปิดประตูเล็กเข้าบ้าน เข้มขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาหาพอดี พลางเรียกไว้
“รินทร์”
“พี่เข้ม”
“พี่มีเรื่องแม่รินทร์มาบอก”
วิรินทร์ชะงัก
ปานรุ้งนั่งอ่านรายงานบริษัทอยู่ในห้องทำงานชั้นบน สักครู่เห็นน้อยเข้ามาหา
“คุณหญิงคะ เมื่อกี้ทางบริษัทกล้องวงจรปิดโทร.มาถามว่าที่พนักงานมาตรวจเช็คและติดกล้องเพิ่มให้เมื่อวาน มีปัญหาอะไรไหมคะ”
“เอ้อ ฉันยังไม่ได้เช็คเลย”
ปานรุ้งหยิบไอแพดมากดดูภาพกล้องวงปิดตัวต่างๆ ทั้งในบ้าน และนอกตัวตึก ทั่วบ้านสมุทรเทวา
วิรินทร์ซึ่งคุยกับเข้มอยู่หน้ารั้วบ้าน อุทานลั่นเมื่อฟังจบ
“สองหมื่น”
“ใช่ หมอบอกว่าน้าสามีเนื้องอกในมดลูก 3 ก้อน ต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำสองหมื่น...เอายังไงดีรินทร์”
“ถ้าหมอบอกให้ผ่าก็ต้องผ่า”
“แต่เงินมันเยอะนะรินทร์ พี่ไปคุยกับผู้จัดการของพี่เพื่อขอเบิกเงินมาก่อน แต่เขาบอกว่าต้องคุยกับบริษัทก่อน”
“พี่เข้มไม่ต้องใช้เงินพี่หรอก เอาเงินที่รินทร์นี่แหละ”
“รินทร์มีเหรอ”
วิรินทร์เครียดจัดเพราะไม่มีเงินพอ วิรินทร์คิดปราด ตัดสินใจปลดสร้อยคอที่ปกรณ์ให้ ยื่นให้เข้ม
“พี่เข้มเอาสร้อยเส้นนี้ไปจำนำแล้วเอาเงินไปจ่ายโรงพยาบาลส่วนหนึ่งก่อน เดี๋ยวที่เหลือ รินทร์จะทยอยหาให้”
“ได้ พี่จัดการให้”
เข้มรับสร้อยจากวิรินทร์มา วิรินทร์ดึงมือเข้มไว้
“พี่เข้ม ฝากแม่ด้วยนะ รินทร์ห่วงแม่เหลือเกิน รินทร์อยากไปหาแม่”
เข้มมองวิรินทร์อย่างสงสาร แล้วเข้าไปกอดปลอบวิรินทร์
“ไม่ต้องห่วง น้าสาเป็นคนดี เดี๋ยวน้าสาก็หายนะ”
ระหว่างนี้กล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ตรงมุมบนเหนือประตูรั้ว บันทึกภาพสองคนไว้โดยตลอด
ปานรุ้งนั่งมองภาพจากกล้องวงจรปิดผ่านมือถือ เห็นวิรินทร์กับเข้มกอดกันถึงกับอึ้งไป
เมื่อวิรินทร์เดินเข้าห้องโถงมา เจอปานรุ้งนั่งรออยู่แล้ว มีน้อยยืนอยู่ข้างๆ
“กลับมาแล้วเหรอ”
วิรินทร์ชะงัก หันไปยกมือไหว้ปานรุ้ง
ปานรุ้งเดินเข้าไปหาวิรินทร์ “ปกรณ์เขาห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอออกไปไหน เธอก็ยังออก ข้างนอกมันมีอะไรน่าสนใจเหรอ”
“คือรินทร์อยู่บ้านเฉยๆ แล้วเบื่อ เลยออกไปอ่านหนังสือกับเพื่อน เผื่อคลอดลูกเสร็จ จะได้กลับไปเรียนต่อทันเพื่อน”
ปานรุ้งมองจ้องจับผิดวิรินทร์
“แน่ใจนะว่าทำแค่นั้น”
วิรินทร์มองปานรุ้งอย่างสงสัย “นายแม่อยากทราบอะไรกันแน่คะ”
ปานรุ้งคิดลองใจวิรินทร์ “ฉันอยากรู้ว่าสร้อยทองที่เธอเคยใส่ มันหายไปไหน”
วิรินทร์อึกอัก “เอ่อ...”
“ฉันถามว่าสร้อยทองหายไปไหน”
“หนูเก็บไว้บนห้องค่ะ ของมันมีค่า รินทร์ไม่อยากใส่ กลัวหายค่ะ”
ปานรุ้งมองวิรินทร์นิ่ง
“เธอท้องได้กี่สัปดาห์แล้ว”
“8 สัปดาห์ค่ะ”
“วันไหนเธอไปหาหมออีก บอกฉันนะ ฉันจะไปด้วย”
วิรินทร์มองปานรุ้งอย่างงวยงงสงสัยนิดๆ แต่ไม่ถาม “ค่ะ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ รินทร์ขอตัว”
วิรินทร์เดินออกไปทันที ปานรุ้งมองตามตาคว่ำ พูดกับน้อยแต่สายตามองตามร่างวิรินทร์ที่เดินขึ้นบันไดไปไม่วางตา
“ฉันให้โอกาสเด็กคนนั้นพูดความจริงแล้วนะน้อย แต่เขาเลือกที่จะโกหก งั้นฉันก็ไม่ผิด ถ้าฉันจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
น้อยฟังแล้วอดที่จะขนลุกไม่ได้
ขณะที่วิรินทร์ใช้ความคิดหนัก ว่าจะบอกปกรณ์เรื่องให้สร้อยทองกับเข้มยังไง หรือควรบอกดีไหม ปกรณ์แอบย่องเข้ามากอดวิรินทร์หมับ
“จ๊ะเอ๋ นั่งเหม่อคิดถึงเค้าอยู่อ่ะดิ”
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“เมื่อกี้นี้เอง พอถึงปุ๊บ ก็ขึ้นมาหาลูกกับเมียปั๊บเลยนะ”
สายตาปกรณ์สะดุดเมื่อไม่เห็นสร้อยทองบนคอวิรินทร์แล้ว
“สร้อยที่เราให้รินทร์ หายไปไหนล่ะ”
วิรินทร์ชะงักไปชั่วครู่ แล้วแกล้งทำเป็นคิด “รินทร์ถอดเก็บไว้ตอนอาบน้ำน่ะ”
“อ๋อ...รินทร์กินอะไรรึยัง เมื่อกี้เราแวะซื้อขนมชิฟฟอนที่รินทร์ชอบมาด้วย เดี๋ยวเราลงไปเอามาให้รินทร์นะ”
ปกรณ์วิ่งออกไปเลย วิรินทร์มองตามหน้าเครียด
ปานรุ้งยังนั่งนิ่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดในไอแพด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตอนวิรินทร์ถอดสร้อยให้เข้ม และกอดกับเข้ม
จนหันไปเห็นปกรณ์เดินลงบันไดมา
“ปกรณ์จะไปไหนลูก”
“ผมจะไปเอาขนมกับนมขึ้นไปรินทร์น่ะครับ รินทร์กินเท่าไรก็ไม่อ้วน ผมกลัวลูกผมจะออกมาไม่จ้ำม่ำ เลยต้องบังคับให้กินถึงห้องน่ะครับ นายแม่”
ยิ่งปานรุ้งเห็นปกรณ์มีความสุขกับเรื่องลูกมากเท่าไร ก็ยิ่งห่วงว่าถ้าหากเด็กในท้องวิรินทร์ไม่ใช่ลูกปกรณ์แล้ว ปกรณ์จะเจ็บปวดมากขนาดไหน
“ปกรณ์รักลูกกับรินทร์มากนะ”
ปกรณ์ยิ้มร่า “ครับนายแม่ รักที่สุดเลย”
“แม่อยากเห็นลูกมีความสุขอย่างนี้ไปตลอด แต่จำที่แม่บอกได้ไหม อย่ารักอะไรมากเกินไปอย่างแม่ เพราะมันอาจทำให้เราตาบอดจนมองไม่เห็นความผิดพลาด แล้วสุดท้ายเราจะเจ็บมาก แม่ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ”
ปกรณ์ชะงัก “นายแม่พูดอะไรน่ะครับ”
ปานรุ้งมองปกรณ์อย่างลังเล สุดท้ายตัดสินใจบอกไป
“แม่มีอะไรจะให้ลูกดู”
ปกรณ์มองปานรุ้งงงๆ
“อะไรเหรอครับนายแม่”
ปานรุ้งยื่นไอแพดให้ลูก ปกรณ์มองไอแพดอย่างงวยงงสงสัย
ครู่หนึ่งนั้น ปกรณ์มองรูปในไอแพดด้วยอาการตะลึงตะไล คล้ายไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งปานรุ้งเอ่ยขึ้นว่า
“แม่ถามวิรินทร์เรื่องสร้อยแล้ว แต่เขาโกหกว่าเก็บสร้อยไว้บนห้อง”
ปกรณ์ชะงักอีกครั้ง แล้วหวนคิดถึงตอนที่เขาถามเรื่องสร้อย แล้ววิรินทร์ตอบอีกอย่าง
“สร้อยที่เราให้รินทร์ หายไปไหนล่ะ”
“รินทร์ถอดเก็บไว้ตอนอาบน้ำน่ะ”
คิดแล้วปกรณ์ยืนอึ้งตะลึงตะไล ที่วิรินทร์โกหก
“ทำไมรินทร์ต้องโกหกด้วย”
“คนโกหก คือคนไม่บริสุทธิ์ใจไงลูก”
น้อยรู้ว่าปานรุ้งคิดอะไร ทัดทานเบาๆ “คุณหญิงคะ”
“ฉันพยายามจะคิดดีกับเด็กคนนั้นในแง่ดีแล้วนะน้อย แต่ครั้งแรกที่ฉันเจอเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ก็มาพร้อมกับเหตุการณ์ไถเงิน”
น้อยพยายามจะแก้ตัวให้วิรินทร์ “แต่คุณรินทร์อาจไม่ใช่”
“ขนาดปานเทพที่เจอโลกมามาก ยังโดนวิภาวีโกหกว่าท้องเพื่อหลอกจับเลย แล้วปกรณ์ล่ะ เขาหัวอ่อนกว่าปานเทพมาก”
“แต่คุณรินทร์มีผลตรวจว่าท้องจริงๆ นี่คะ” น้อยยังคงทักท้วง
“พิสูจน์ได้ว่าท้องจริง แต่ยังไม่พิสูจน์ว่าท้องกับใครนี่”
คำพูดคุณหญิงมารดา ทำเอาปกรณ์อึ้ง ตะลึงตะไล
“นายแม่”
“กล้าแอบเอาสร้อยที่ปกรณ์ให้ ไปให้ผู้ชายคนอื่น จะให้แม่คิดว่ารินทร์กับไอ้กุ้ยนั่นเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ เหรอปกรณ์”
ปกรณ์พยายามค้าน “แต่นายแม่”
ปานรุ้งบอกต่อ “และแม่เชื่อว่าไม่ใช่แม่คนเดียวที่คิด ..ปกรณ์เองก็คงคิดไม่ต่างจากแม่ แม่เห็นรินทร์กับผู้ชายคนนั้นไม่กี่ครั้ง แม่ยังรู้สึกได้ว่าไอ้กุ้ยนั่น มันไม่คิดกับรินทร์แค่เพื่อน แล้วปกรณ์ล่ะ เคยเจอรินทร์กับไอ้นั่นกี่ครั้ง ถ้าปกรณ์ไม่หลอกตัวเอง แม่เชื่อว่าปกรณ์ก็คิดเหมือนแม่”
ปกรณ์นิ่งคิดด้วยสีหน้าสับสน ใจหนึ่งแอบระแวง แต่อีกใจพยายามปฏิเสธ “ไม่จริง”
น้อยมองปานรุ้งด้วยสีหน้ากังวลและกลัวความคิดของนายสาว
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 25 อวสาน (ต่อ)
ทางด้านวิรินทร์ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะคุยมือถือกับเข้ม
“แม่เป็นยังไงบ้างพี่เข้ม ปลอดภัยแล้วใช่ไหม” วิรินทร์โล่งอก “บอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ไว้รินทร์จะไปเยี่ยมแม่ ขอบคุณพี่เข้มมากที่ดูแลทุกอย่างแทนรินทร์”
ปกรณ์เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ โดยวิรินทร์ไม่ทันเห็น และปกรณ์ได้ยินตอนวิรินทร์คุยประโยคสุดท้ายกับเข้มพอดี
“พี่เข้มก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ไม่ต้องห่วงรินทร์”
ปกรณ์ชะงัก
“แค่นี้นะ แล้วรินทร์จะโทร.ไปใหม่”
วิรินทร์กดวางสาย แล้วหันมาเห็นปกรณ์ ถึงกับชะงัก ตกใจนิดๆ
“ปกรณ์ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปกรณ์ถามนิ่งๆ “รินทร์คุยกับใคร”
“เพื่อนน่ะ”
ปกรณ์ไม่รอช้า เดินเข้าไปแย่งมือถือจากมือวิรินทร์แล้วเดินออกจากห้องไปทันที
วิรินทร์รีบตาม
“ปกรณ์”
ปกรณ์ถือมือถือวิรินทร์เดินหนีลงบันไดมา วิรินทร์วิ่งตามมาติดๆ
“ปกรณ์”
จังหวะหนึ่งปกรณ์กดดูเบอร์ที่โทร.ออก เห็นเป็นเบอร์เข้ม
“เข้มเนี่ยเหรอเพื่อน”
“ใช่”
“คงเป็นเพื่อนที่รักกันมากสินะ จนเอาสร้อยทองของเราไปให้มันน่ะ”
วิรินทร์ชะงัก “อะไรนะ นายรู้ได้ยังไง”
ปานรุ้งเข็นรถเข็นคนป่วยของวาสุเทพเข้ามา มีน้อยตามหลังมา ปกรณ์เดินไปหยิบไอแพดจากน้อย แล้วมาเปิดรูปวิรินทร์กอดกับเข้มให้ดู
วิรินทร์มองรูปจากกล้องวงจรปิด แล้วอึ้ง นิ่งงันไป แต่พยายามจะอธิบาย
“ปกรณ์ฟังเราก่อน”
ปกรณ์มองหน้าคนรักด้วยความเจ็บปวด “ทำไมรินทร์ถึงทำกับเราอย่างนี้ รินทร์โกหกทุกคนว่าออกไปหาเพื่อน ที่แท้รินทร์ออกไปหาไอ้เข้มใช่ไหม”
วิรินทร์บอกว่า “ใช่”
ปกรณ์คาดไม่ถึง “รินทร์”
วิรินทร์จะอธิบาย “แต่ว่า”
ปกรณ์ไม่ฟัง โกรธสุดขีดจนปาไอแพดทิ้ง แล้วตะโกนใส่วิรินทร์อย่างปวดร้าว
“รินทร์ทำอย่างนี้ได้ไง”
ปานรุ้งอึ้งปนงง “ปกรณ์”
ระหว่างนี้ วาสุเทพนอนอยู่ชั้นบน ต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงปกรณ์กับวิรินทร์ทะเลาะกัน
วาสุเทพมีสีหน้าเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นอีกหนอ
ปกรณ์ยังคงระเบิดอารมณ์ใส่วิรินทร์ต่อ
“ตกลงที่นายแม่เคยเตือนเรามันเป็นความจริงใช่ไหม รินทร์ไม่เคยรักเรา รินทร์ยอมนอนกับเราเพราะเงิน”
วิรินทร์ทั้งน้อยใจ และเสียใจ มองปกรณ์อย่างเจ็บปวด “นายคิดอย่างนั้นเหรอ”
“เมื่อก่อนก็ไม่คิด แต่ตอนนี้ เราคิด”
“แล้วแม่นายบอกอะไรอีกล่ะ” น้ำเสียงวิรินทร์มีแววประชดชัด “นอกจากเรายอมนอนกับนายเพื่อหวังเงินแล้ว ยังบอกว่าเรายอมปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจับนายด้วยไหม”
“อย่ามาก้าวร้าวแม่เรา เมื่อก่อนเราคิดว่านายแม่มองรินทร์ผิดแต่ตอนนี้ เราควรเชื่อแม่ เราควรเลิกโง่ให้รินทร์หลอกสักที”
ปานรุ้งเห็นท่าทางลูกชายเสียใจมาก จนทนดูไม่ไหว
“ปกรณ์ พอแล้ว ค่อยๆพูดกัน”
วิรินทร์ของขึ้น “เอาเลย พูดมาเลยว่าเราหลอกอะไรนาย”
“ลูกในท้องของรินทร์ ใช่ลูกของเรารึเปล่า”
วิรินทร์อึ้ง ตะลึง ตะไล ไม่คิดว่าปกรณ์จะพูดคำนี้ออกมา
“กรณ์คิดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของกรณ์เหรอ”
“เราก็อยากรู้ ถึงได้ถามนี่ไง”
วิรินทร์ประชดอีก “แม่นายพูดอะไร ก็ตามนั้นแหละ”
คว้ามือถือคืนมาได้ วิรินทร์ก็เดินออกจากบ้านไปทันที
วิรินทร์เดินออกจากหน้าตึกใหญ่ ปกรณ์ออกมาดึงแขนวิรินทร์ไว้อย่างโมโห ปานรุ้งกับน้อยเข็นรถวาสุเทพตามออกมาดูด้วย
“จะไปไหน”
“ก็ไปหาพ่อตัวจริงของลูกไง”
“ตกลงรินทร์ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าลูกในท้องรินทร์ไม่ใช่ลูกเรา แต่เป็นลูกไอ้เข้ม”
“ใช่ นี่ใช่ไหมคำตอบที่นายอยากได้ยิน ตอนนี้นายได้ยินแล้วก็ปล่อยเราสักที”
วิรินทร์สะบัดแขนสุดแรง ปกรณ์ยืนอึ้ง เจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ ได้แต่มองวิรินทร์ที่กำลังเดินจากไปพร้อมกับตะโกนไล่หลัง
“ไปเลย อยากไปหาใครก็ไปเลย ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่าเรามันโง่ รักคนที่เขาไม่รักเราอยู่ได้ ไอ้ควายปกรณ์เอ๊ย”
วิรินทร์เดินออกมาใบหน้านองน้ำตา
ปกรณ์มองวิรินทร์ที่เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังอย่างเจ็บปวด
ปานรุ้งเดินเข้าไปกอดลูก
“ปกรณ์”
“ผมไม่เหลือใครแล้วครับนายแม่”
“ปกรณ์ยังมีแม่ไงลูก ไม่เป็นไรนะลูก ถึงคนอื่นไม่รักปกรณ์แต่ปกรณ์ยังมีแม่ แม่คนนี้ยังรักและอยู่ข้างลูกเสมอนะลูก”
ปกรณ์ร้องไห้โฮๆ กอดปานรุ้งแน่น วาสุเทพมองลูกด้วยสายตาหม่นเป็นห่วงจับใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านตอนค่ำวันนั้น ปรกกับนิชากำลังฟังเรื่องร้ายแรงของปกรณ์จากปากน้อย ด้วยสีหน้าตกใจกันทั้งคู่
“จริงเหรอครับน้าน้อย”
นิชาฟังแล้วไม่เชื่อ “นิชาไม่อยากเชื่อว่ารินทร์จะเป็นเด็กอย่างนั้น”
“น้าก็ไม่รู้อ่ะค่ะ ใจน้าอยากจะให้คุณปกรณ์ค่อยๆ คุยกับคุณรินทร์ แต่พอคุณปกรณ์เห็นรูปคุณรินทร์กอดกับผู้ชาย คุณปกรณ์คงโกรธมากจนไม่ยอมฟังอะไรเลย”
“ผมจะไปคุยกับปกรณ์”
ปานรุ้งลงบันไดมา และได้ยินพอดี
“จะไปพูดให้น้องเจ็บกว่านี้ทำไม”
“นายแม่”
“แค่ภาพที่เห็นกับคำพูดของวิรินทร์ มันก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินพอว่าเด็กนั่นหลอกปกรณ์”
ปรกพยายามทัดทาน “แต่ว่านายแม่...”
“ครั้งนี้แม่มั่นใจว่าแม่ทำไม่ผิด แม่เห็นวิรินทร์กับผู้ชายคนนั้นมา
หลายครั้งแล้ว แม่อยากเตือนปกรณ์ แต่เพราะเห็นว่าปกรณ์รักแม่ถึงยอม แต่วันนี้ วิรินทร์ทำกับปกรณ์มากเกินไป คนที่ทำร้ายลูกแม่ มันก็เหมือนทำร้ายหัวใจแม่”
“แต่ผม...”
“แม่ขอร้อง อย่ารื้อฟื้นเรื่องนี้ให้น้องเจ็บอีก”
ปานรุ้งเดินเข้าห้องทำงานไป
ปรกกับนิชามองตามปานรุ้ง แล้วมองหน้ากันอย่างเครียด
ปกรณ์พาตัวเองมานั่งคุยกับพ่อ โดยในมือปกรณ์ถือรองเท้าผ้าเด็กอ่อน
“วันนี้ผมแวะไปร้านขายของเด็กมา ผมจำได้ว่ารินทร์ชอบสีฟ้า ผมเลยซื้อรองเท้าคู่แรกของลูกเป็นสีฟ้า กะเอามาโชว์รินทร์ คิดว่ารินทร์ต้องปลื้มใจที่ผมรักทั้งเขาและลูกมาก”
ปกรณ์กำรองเท้าผ้าของเด็กแน่น แสดงอาการเจ็บปวด
“แต่ผมต้องกลับมาเจอว่าที่ผ่านมา เขาหลอกผม”
ปกรณ์ร้องไห้บนตักวาสุเทพ
วาสุเทพมองลูกอย่างสงสาร อยากจะช่วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อย่า...ร้อง...”
ปกรณ์กอดพ่อร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน วาสุเทพมองลูกอย่างเจ็บปวดเช่นกัน
เข้มรู้เรื่องตอนสาย และเวลานี้เขากำลังโมโหถึงขีดสุด ลงจากแฟลต ตรงไปยังมอเตอร์ไซค์ เพื่อไปเอาเรื่องปกรณ์ โดยมีวิรินทร์ตามมาดึงแขนห้ามไว้
“รินทร์ ปล่อยพี่ พี่จะไปกระทืบไอ้หน้าจืดนั่นที่มันคิดว่าลูกในท้องไม่ใช่ลูกของมัน”
“อย่าพี่เข้ม ไม่ต้องไป”
“รินทร์จะปกป้องมันทำไม มันทำให้รินทร์เสียใจนะ”
“มันก็แค่วันนี้เท่านั้นแหละพี่เข้ม” เข้มชะงัก “พี่เข้มไม่ต้องไปยุ่งกับคนๆ นั้นอีกแล้ว เพราะต่อไปนี้รินทร์กับเค้า ไม่มีอะไรต่อกันอีก”
“รินทร์หมายความว่ายังไง”
“ต่อไปนี้ชีวิตรินทร์จะไม่มีคนชื่อปกรณ์อีกแล้ว”
เข้มอึ้ง เพราะรู้ดีว่าวิรินทร์เป็นคนใจแข็งมาก และทำอย่างที่พูดจริง ทั้งๆ ที่วิรินทร์ยังรักปกรณ์อยู่อย่างนี้ก็ตาม
ปกรณ์พยายามทำตัวให้เข้มแข็งขณะเข้ามาดูแลวาสุเทพ แต่สีหน้าเศร้าเก็บไม่มิด ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามา มองลูกชายด้วยความเป็นห่วง
ทางด้านวิรินทร์แวะเวียนมาดูแลแม่ที่โรงพยาบาลอาการเริ่มดีขึ้น แต่ก็หน้าเศร้าด้วยความทุกข์ใจเรื่องปกรณ์ สามองอาการลูกอย่างจับสังเกต เข้มมองวิรินทร์อย่างเห็นใจ
ตกกลางคืนวิรินทร์กลับแฟลต แต่แอบมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ เข้มเดินมาเห็น ทั้งสงสารวิรินทร์ และโกรธปกรณ์สุดขีด
เช้าวันนี้ ปรกกับปกรณ์และน้อยออกมาจากห้องตรวจโรงพยาบาลรัฐแห่งนี้ หลังจากส่งวาสุเทพให้อาจารย์หมอ ซึ่งเพื่อนปรกเป็นคนแนะนำให้มาตรวจร่างกายและรักษาที่นี่ โดยมีพยาบาลตามมา
“รอสักครู่นะคะ คุณวาสุเทพน่าจะใช้เวลาพบหมอไม่น่าเกิน 30 นาที”
“ขอบคุณมากครับ”
ปกรณ์เดินผ่านคลินิกที่มีคนท้องมานั่งรอตรวจ มองเข้าไปในคลินิกอย่างปวดร้าว
สักครู่หนึ่ง มีสามี กับ ภรรยาอุ้มลูกที่เพิ่งคลอด เดินผ่านหน้าปกรณ์ไป ปกรณ์ได้แต่มองตามหน้าเศร้า
ปรกมองอาการของน้องชายเงียบๆ
ระหว่างรอ น้อยเหลียวมองบรรยากาศในห้องโถงโรงพยาบาลรัฐซึ่งไม่ชวนมองนัก อย่างไม่สบายใจ
“เราไม่พาคุณวาสุเทพไปหาหมอที่โรงพยาบาลเดิมเหรอคะ คุณปรก”
“ผมอยากให้คุณพ่อมาหาอาจารย์หมอท่านนี้น่ะครับ ท่านเชี่ยวชาญโรคนี้เพื่อนผมแนะนำมา”
จังหวะนี้ สาซึ่งนั่งรถเข็นมารอรับยาอยู่ที่หน้าห้องจ่ายยา หันมาเห็นปกรณ์เข้า
“ปกรณ์”
สามคนหันไปตามเสียง ปกรณ์เห็นสาแล้วชะงัก ก่อนจะลุกเดินไปหา โดยมีปรกและน้อยตามไปด้วย
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 25 อวสาน (ต่อ)
ปกรณ์มองสภาพสาที่ดูซูบซีด ผ่ายผอม เหมือนคนป่วยเพิ่งฟื้นจากไข้ อย่างประหลาดใจ
“สวัสดีครับคุณน้า คุณน้าไม่สบายเหรอครับ”
“อ้าว รินทร์ไม่ได้บอกเหรอว่าน้าเป็นเนื้องอก” สาบอก
“เนื้องอก” ปกรณ์อึ้งไป
“ใช่ น้าผ่าตัดมาสักพักแล้ว กำลังจะกลับบ้าน น้าขอโทษกรณ์ด้วยนะ ที่ทำให้รินทร์ต้องมาดูแลน้า น้าก็บอกเข้มแล้วว่าไม่ต้องบอกเรื่องน้ากับรินทร์ เข้มมันก็ยังแอบไปบอก”
ปกรณ์ยิ่งอึ้งหนัก เพราะไม่รู้เรื่องเลย
ปรกฟังที่สาพูดแล้วตัดสินใจถามขึ้น
“ขอโทษนะครับ คุณน้าผ่าตัดตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เกือบจะสามอาทิตย์แล้วค่ะ”
ปรกหันมามองปกรณ์ “กรณ์ เป็นช่วงเดียวกับที่รินทร์ออกจากบ้านบ่อยๆ จนเกิดเรื่องรึเปล่า”
สาสะดุดหู “เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอะไรกัน กรณ์บอกน้าสิ พักนี้น้าเห็นรินทร์เหมือนมีอะไรในใจ ทะเลาะกันเหรอ”
ปกรณ์จะพูดบอก แต่เข้มเดินเข้ามาหาสาเสียก่อน และมองปกรณ์ด้วยสายตาเคืองแค้น
“มึงมายุ่งอะไร”
“เข้ม” สาปราม
“กลับบ้านกันเถอะครับน้าสา รินทร์รออยู่ที่แท็กซี่แล้ว”
เข้มเข็นรถพาสาที่อยู่ในอาการงวยงงออกไป ปกรณ์มองตามหน้าเครียด ปรกเข้าใจความคิดปกรณ์
“อยากไปคุยกับรินทร์ ให้รู้เรื่องไหม”
ปกรณ์อึ้ง นึกลำดับเหตุการณ์และคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วนิ่งงันไป
ปกรณ์โลดลิ่วรีบร้อนขึ้นบันไดแฟลตที่วิรินทร์อยู่ แต่จู่ๆ เข้มก็โผล่ออกมากระชากไว้ไม่ให้ขึ้น ร่างปกรณ์กระเด็นล้มลงกับพื้นที่พักบันได
“มึงมาทำไม”
“มาตามรินทร์กลับบ้าน” ปกรณ์ลุกขึ้นจะเดินขึ้นบันไดไป
“กูไม่ให้ไป” เข้มจับปกรณ์รั้งไว้
ปกรณ์โมโหปล่อยหมัดออกไปทันที เข้มหลบทัน แล้วต่อยสวนกลับ จนร่างปกรณ์ทรุดลง แต่ก็ลุกขึ้นโดยเร็วต่อยเข้มอีก
ปกรณ์ กับเข้มต่อยกัน แต่สุดท้ายปกรณ์สู้ไม่ได้ เข้มจัดหนักทั้งต่อยตี เตะ กระทืบ จนทรุดลงไปนอนกองกับพื้น
เข้มมองปกรณ์ที่นอนเป็นขยะอยู่ที่พื้น ทั้งสงสาร ทั้งโมโห ด่าเป็นชุด
“มึงนี่มันโง่จริงๆ มึงดูรินทร์ไม่ออกเหรอว่ามันเป็นคนยังไง มันทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้มึง ยอมเข้าไปอยู่บ้านกับมึงทั้งๆ ที่รู้ว่าแม่มึงเกลียดมัน แต่มันก็ยอมเพื่อมึง แล้วดูที่มึงทำกับรินทร์สิ มึงกลับตอบแทนรินทร์ด้วยความไม่ไว้ใจ มึงคิดได้ยังไงว่าเด็กในท้องของรินทร์ไม่ใช่ลูกของมึง ถ้ารินทร์มันไม่รักมึงจริงๆ มันไม่ยอมมีอะไรกับมึงหรอก”
ปกรณ์อึ้ง พยายามทรงตัวลุกขึ้น เซซังเข้าไปหาเข้ม
“รินทร์อยู่ที่ไหน”
เข้มมองไปบนห้องวิรินทร์แทนคำตอบ ปกรณ์รีบวิ่งขึ้นไปทันที
วิรินทร์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู เห็นปกรณ์ในสภาพหน้าตามีรอยเขียวช้ำก็ชะงักตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะได้สติรีบปิดประตูหนี แต่ปกรณ์ดันประตูไว้
“รินทร์ ฟังเราก่อน”
วิรินทร์เดินหนีไปนั่งที่เตียง ปกรณ์ตามเข้าไปทรุดตัวกอดเอววิรินทร์ไว้
“เรามารับรินทร์กลับบ้าน กลับบ้านกับเรานะรินทร์ เราขอโทษ”
วิรินทร์พูดในท่าทีแน่วนิ่ง “กลับไปซะ”
“ไม่กลับ ถ้ารินทร์ไม่กลับไปกับเรา เราก็จะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
วิรินทร์พยายามแกะมือปกรณ์ออก “บอกให้กลับไปไง”
ปกรณ์ยิ่งกอดวิรินทร์แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย “รินทร์ หายโกรธเราเถอะนะ เราขอโทษ เราผิดไปแล้ว กลับบ้านกับเรากันนะ กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ เราสัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อีก เรารักรินทร์นะ”
“รักเหรอ กรณ์ยังต้องการความรักจากเราอีกเหรอ ในเมื่อกรณ์มีทุกอย่างที่พร้อมหมดแล้ว แถมกรณ์ยังมีแม่ที่รักกรณ์มาก”
“แต่เราต้องการความรักจากรินทร์มากกว่า”
“เราไม่มีความรักให้กรณ์อีกแล้ว”
ปกรณ์ชะงัก “ทำไมล่ะรินทร์ ทำไมรินทร์พูดแบบนี้”
วิรินทร์มองปกรณ์ด้วยสายตาผิดหวัง
“เพราะกรณ์ทำลายมันไง กรณ์ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิตของเราที่กรณ์บอกว่ารักนักรักหนา จะบอกให้นะว่า คนที่ปกรณ์รักที่สุดไม่ใช่เรา แต่เป็นแม่ของปกรณ์”
ปกรณ์ใจหาย “ไม่จริง เรารักรินทร์”
“ไม่ใช่ ปกรณ์รักแม่ของปกรณ์ แม่ปกรณ์บอกอะไร ปกรณ์ก็เชื่อ ปกรณ์เชื่อทุกอย่าง แม้แต่ยอมทำลายหัวใจเราและชีวิตของลูก”
“รินทร์” ปกรณ์คราง
“กลับไปอยู่กับแม่ของปกรณ์เถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ปกรณ์อีกแล้ว”
วิรินทร์พูดจบ ก็เดินหนีออกนอกห้องไป ปกรณ์เดินตามไม่ลดละ
วิรินทร์เดินหนี ปกรณ์เข้ามาดึงมือไว้
“มีสิ ยังมีลูกของเราไงรินทร์”
“ไม่มีลูกของเราแล้ว” วิรินทร์โพล่งขึ้น
ปกรณ์อึ้ง “อะไรนะ”
“เราเอาลูกออกแล้ว”
ปกรณ์อึ้ง ตะลึง ช็อค แทบล้มทั้งยืน น้ำตาที่กลั้นไว้ ตอนนี้กลั้นไม่อยู่ ทำนบน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย
”มะ...มะ...ไม่จริงใช่ไหมรินทร์” ปกรณ์ใจจะขาดรอนๆ จับมือวิรินทร์วิงวอน “บอกเราสิว่า รินทร์โกหก รินทร์ไม่ได้ทำร้ายลูกเรา รินทร์โกหกเราใช่ไหม รินทร์”
วิรินทร์มองปกรณ์ หัวใจแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่พยายามเข้มแข็งไว้
“ไม่เชื่อใช่ไหม”
วิรินทร์พูดไปทุบท้องไปอย่างแรงให้ปกรณ์ดู และทุบอยู่อย่างนั้นหลายที
“นี่ไง เราทุบท้องให้ดู นายเชื่อรึยัง นี่ไง เชื่อไหม...เชื่อไหม”
ปกรณ์ทนไม่ไหว เข้าไปกอดห้ามวิรินทร์ทุบตัวเอง
“พอได้แล้วรินทร์ พอ อย่าทำร้ายกันไปมากกว่านี้เลย...พอ...”
วิรินทร์น้ำตาไหล แต่รีบปาดเช็ดน้ำตาไม่ให้ปกรณ์เห็น ผลักตัวปกรณ์อย่างแรง จนเขาล้มจ้ำเบ้า
“ทีนี้ก็รู้แล้วนะว่าเราไม่มีลูก เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
ปกรณ์มองวิรินทร์อย่างปวดร้าวเหลือคณานับ “รินทร์”
“กลับไปหาแม่นายเถอะ ในโลกนี้ไม่มีใครรักนายเท่าแม่ของนาย”
“ก็รินทร์นี่ไงที่รักเรา”
วิรินทร์ส่ายหน้า “เคยรัก แต่ตอนนี้มันหมดแล้ว แต่นายไม่ต้องกลัวหรอกนะ ต่อให้ไม่มีเรา นายก็ยังมีแม่ ชีวิตของนายมีแต่ความรักของแม่นายมากมาย จนไม่มีพื้นที่ให้ใครเข้าไปแทรกอีก ลาก่อน”
วิรินทร์เข้าบ้านไปแล้วปิดประตูใส่ปกรณ์เหมือนไม่มีเยื่อใยทันที
ปกรณ์มองประตูแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“รินทร์”
วิรินทร์เจ็บปวดไม่แพ้กัน ทิ้งตัวลู่ลงตามประตูห้อง ปิดปากร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วงรุนแรง เนื้อตัวสั่นสะท้าน
แต่ไม่ยอมให้ปกรณ์ได้ยินเสียง
ฝ่ายปกรณ์เดินร้องไห้ออกมาริมถนน อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก
ฉากชีวิตของคุณหนูปกรณ์ นทีพิทักษ์ ผู้หรูหราไฮโซ ที่ถูกปานรุ้งควบคุมมาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโต ผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิดราวกับสายน้ำไหล
ปานรุ้งสั่งห้ามเล่นกีฬา คอยควบคุม และ บังคับแทบทุกสิ่งอย่าง ทั้งสไตล์การแต่งเนื้อแต่งตัว โดยครั้งหนึ่งถึงกับสั่งให้ปกรณ์เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อนไปรับปานเทพ และพอจำปีสาวใช้จะเสิร์ฟกาแฟ แต่ปานรุ้งห้ามปกรณ์ดื่ม
ภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ปานรุ้งสั่งห้ามปกรณ์คบหากับวิรินทร์
ปานรุ้งโทร.เข้ามาหาพอดี ปกรณ์ดึงความคิดกลับมามองมือถือ แล้วโยนทิ้งอย่างโกรธขึ้ง
ปานรุ้งยืนรอสายปกรณ์อย่างกระวนกระวายใจอยู่ในห้องโถง กดโทร.หาติดๆ กัน สุดท้ายติดต่อไม่ได้ ปานรุ้งตัดสินใจ
“น้อยให้คนเอารถออกเดี๋ยวนี้”
ทันทีที่เห็นหน้าปานรุ้งซึ่งก้าวลงมาจากรถตู้ เข้มก็ถลันเข้ามาผลักปานรุ้งอย่างเดือดดาล บอดี้การ์ดเข้ามารับตัวไว้ทัน และโกรธจะเข้าไปเอาเรื่องเข้ม แต่ปานรุ้งยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้อง” คุณหญิงหันมาบอกกับเข้มว่า “ฉันต้องการมาหาลูกฉัน”
“ก็บอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่มีลูกของคุณ กลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก คนที่นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกวางตัวสูงส่งแต่จิตใจต่ำ อย่างคุณอีกแล้ว ไป๊”
บอดี้การ์ดจะเข้าไปเล่นงานเข้ม แต่เข้มหยิบไม้เตรียมสู้อย่างไม่กลัว
ปานรุ้งตวาด “หยุด ฉันบอกให้หยุดไง”
มือถือดังขึ้นพอดี ปานรุ้งรีบกดรับสายนิ่งฟัง สีหน้าดีใจ
“ปกรณ์กลับบ้านแล้วเหรอน้อย”
บรรยากาศทั่วทั้งห้องนอนถูกห่อคลุมด้วยแสงไฟสลัวๆ จากโคมไฟหัวเตียงอันเดียวที่เปิดอยู่ ปกรณ์นั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่บนเตียงในห้องนอนคุณหญิงมารดา
ปานรุ้งเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นลูกชายนั่งอยู่ก็ชะงักตกใจ สังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในนี้
“ปกรณ์ มานั่งมืดๆทำไมอยู่ตรงนี้ลูก”
ปานรุ้งจะเดินไปเปิดสวิชต์ไฟ ปกรณ์ร้องขึ้น
“อย่าเปิดครับนายแม่”
ปานรุ้งอึ้งไป รู้ว่าปกรณ์ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ทอดน้ำเสียงห่วงใยถามไป
“ปกรณ์เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“ผมไปตามรินทร์มาครับ แต่รินทร์เค้าไม่ยอมกลับมากับผม”
“ใจเย็นๆ นะปกรณ์ แม่ว่าเดี๋ยวปกรณ์ค่อยๆคุยกับเค้าอีกที เดี๋ยวเค้าก็กลับมา”
“เด็กในท้องรินทร์เป็นลูกผม ที่รินทร์หายไปเพราะเขาไปดูแลแม่ ไม่ได้ไปหาไอ้เข้มอย่างที่ผมระแวง”
“ถ้าอย่างนั้นปกรณ์ก็ยิ่งไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยววิรินทร์ก็ต้องกลับมา”
ปกรณ์ตะโกนใส่หน้าปานรุ้ง
“เค้าไม่กลับมาแล้วครับนายแม่ ทั้งลูก ทั้งเมียของผม เขาจะไม่กลับมาแล้ว รินทร์โกรธผม รินทร์ฆ่าลูกผม รินทร์ไม่ต้องการกลับมาเพราะนายแม่”
“ปกรณ์ ฟังแม่ก่อน”
“ผมจะไม่ฟังอะไรนายแม่อีกแล้ว เพราะผมฟังนายแม่ ยอมให้นายแม่ควบคุมชีวิตผม ผมถึงต้องเป็นอย่างนี้”
ปานรุ้งพยายามอธิบาย “ที่แม่ทำ เพราะแม่ไม่ต้องการสูญเสียคนที่แม่รักไปเหมือนกัน”
เด็กหนุ่มผู้หัวใจภินทร์พังหันมาตะโกนใส่มารดาอีก “รักเหรอครับนายแม่ ความรักของนายแม่มันเป็นแค่ข้ออ้าง นายแม่ไม่เคยรักใคร นอกจากตัวนายแม่เอง”
“ไม่จริงนะปกรณ์”
“นายแม่บอกว่านายแม่รักผม แต่นายแม่กลับทำให้ผมต้องสูญเสียคนที่ผมรักมากที่สุดไป นายแม่รู้ไหมครับว่าผมเสียใจแค่ไหน นายแม่เข้าใจบ้างไหมว่าการที่เราต้องสูญเสียคนที่เรารักที่สุดไป มันเป็นยังไง” ปานรุ้งชะงัก กระอึกกระอักไม่รู้จะพูดยังไง “ผมจะทำให้นายแม่ได้รู้ ว่าการที่เราต้องสูญเสียคนที่เรารักที่สุดไป มันเป็นยังไง”
ปกรณ์ล้วงมือเข้าไปใต้ผ้าห่มบนเตียง ค่อยๆ หยิบปืนขึ้นมาจ่อหัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางความตื่นตกใจของปานรุ้งที่มองจ้องในอาการตกตะลึงพรึงเพริด
โดยที่ปานรุ้งไม่ทันคาดคิด ปกรณ์ลั่นไกปืนทันที เสียงปืนแผดดังกึกก้องไปทั้งห้อง ร่างปกรณ์ล้มตึงลงกับเตียง ขาดใจตายคาที่
ปานรุ้งช็อคสุดขีด รีบวิ่งเข้าไปหาลูกชายสุดที่รักซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนเตียง
“ปกรณ์...”
ปานรุ้งหวีดร้องระงม อย่างคนขวัญกระเจิง พยายามเอามือกดตรงหัวปกรณ์ที่เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด
“ปกรณ์ ไม่ ทำไมเลือดมันไม่หยุดไหล ปกรณ์...ใครก็ได้ช่วยที ปกรณ์ ทำไมลูกทำแบบนี้ ปกรณ์”
ปานรุ้งกอดร่างปกรณ์ที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงนอนไว้ทั้งตัว
หัวใจที่แสนบอบช้ำอยู่แล้วของปานรุ้ง แตกสลายไม่เป็นชิ้นดี
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 25 จบบริบูรณ์
ตอนสายวันถัดมา ปานวาดที่บัดนี้เนื้อตัวมอมแมม แต่งตัวในชุดชุดสกปรกโสโครก ผมเผ้ายุ่งเหยิง กระเซอะกระเซิง ท่าทีเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
สาวสติเสื่อมเดินโซซัดโซเซร่อนเร่ไปตามทางเส้นหนึ่งในกรุงเทพฯ จนเมื่อมองไปเบื้องหน้า แล้วเห็นว่ามีกองขยะอยู่ ในนั้นมีทั้งขยะ เศษกระดาษ และหนังสือพิมพ์ที่ถูกขยำปาทิ้ง ดูสกปรกมาก
สักครู่ ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตรงนั้น แล้วทิ้งถุงขยะและโยนข้าวกล่องทิ้งลงตรงกองขยะ แล้วเดินออกไป ปานวาดมองจ้องอยู่
“ข้าว...กินข้าว”
ปานวาดรีบวิ่งไปที่กองขยะ คุ้ยหากล่องข้าวที่ผู้หญิงคนดังกล่าวเพิ่งทิ้ง หยิบกล่องมาเปิดออก พบว่ามีเศษข้าวเหลืออยู่ในนั้น เด็กสาวใช้มือหยิบข้าวกินทันที
ปานวาดลงนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าแอร่มยิ้มแย้ม ไม่ได้รู้สึกว่าตรงนั้นสกปรกเลยสักนิด
พอท้องเริ่มอิ่ม ปานวาดมองไปรอบๆ เห็นเศษกระดาษก็หยิบขึ้นมาดู พอเห็นว่าไม่มีอระไรน่าสนใจก็โยนทิ้ง หยิบเศษกระดาษอันอื่นขึ้นมาดูอีก จนกระทั่งเศษกระดาษอันสุดท้ายที่ปานวาดหยิบขึ้นมาดูเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน
ปานวาดกราดสายตามองดู จนกระทั่งเห็นว่ากระดาษนั้นมีข่าวการยิงตัวตายของปกรณ์ปรากฏอยู่ ปานวาดมองข่าวนั้นนิ่งคิดสักครู่ด้วยสติสตังที่ยังพอมี
“ปกรณ์...ปกรณ์มาทำอะไรตรงนี้ ปกรณ์ ต้องไปหาปกรณ์”
สาวสติบกพร่องทิ้งกล่องข้าว กอดเศษหนังสือพิมพ์อันนั้นแล้วลุกเดินออกไปทันทีปากบ่นพึมพำไปตลอดเวลา
“หาปกรณ์”
ค่ำนั้น ศพปกรณ์นอนนิ่งอยู่ในโลงบนศาลาของวัดแห่งหนึ่ง พระกำลังสวดศพปกรณ์ ปานรุ้งนั่งฟังพระด้วยท่าทางเหมือนคนไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก
ใครพาปานรุ้งลุกเดินไปไหนก็ไป ใครยื่นอะไรให้ก็รับไว้ แต่ไม่รับรู้อะไรในโลกหล้านี้แล้ว
เกื้อ ปรก นิชาคอยดูแลปานรุ้งไม่ห่าง
คืนเดียวกันนั้นวาสุเทพนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ขยับเขยื้อนตัวอย่างยากเย็น เพื่อหันหน้าไปมองรูปครอบครัวบนผนังห้อง น้ำตานายพลเรือโทนอกราชการไหลริน ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ เจ็บปวดสุดจะประมาณที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไข ลูกชายคนเล็กไป หลังการหายตัวไปโดยไม่มีข่าวคราวของปานวาด
เช่นเดียวกันกับปานรุ้งที่กลับจากสวดศพก็ขังตัวเองนั่งร้องไห้ เนื้อตัวสั่นสะท้านอยู่ในห้องนอนปกรณ์
ค่ำวันนี้ พระสงฆ์กำลังสวดศพอยู่ ปานรุ้งนั่งพนมมือฟังด้วยท่าทางเหมือนคนไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก จนกระทั่งวิรินทร์เดินเข้าศาลามา
ปรกหันไปเห็นก่อนจึงลุกไปหา
“รินทร์”
วิรินทร์มองโลงศพของปกรณ์ แล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด ปานรุ้งค่อยๆหันไปมองวิรินทร์
วิรินทร์เดินไปหาปานรุ้ง ลงนั่งตรงหน้า แล้วก้มลงกราบขอโทษปานรุ้ง
“หนูโกหกปกรณ์ หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกเขาขนาดนี้ หนูขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษ เธอไม่ผิดหรอก ฉันเองต่างหากที่ผิด ปกรณ์ตายเพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน ปากฉันพร่ำบอกว่าทำเพราะรักลูก แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะฉันเห็นแก่ตัว ฉันรักลูกมากเกินไป รักจนไม่อยากเสียเขาทั้งเป็น แต่สุดท้าย ฉันก็เสียเขาทั้ง...ตาย”
ปานรุ้งร้องไห้ วิรินทร์ขยับเข้าไปกอดปลอบ
“ไม่เป็นไรนะคะ อย่างน้อยปกรณ์ก็ไม่ได้จากเราไปไหน เขายังทิ้งปกรณ์อีกคนไว้กับเรา”
ปานรุ้งมองฉงน วิรินทร์จับมือปานรุ้งมาแตะที่ท้องของตัวเอง
ปานรุ้งมองวิรินทร์ แล้วมองที่ท้องของวิรินทร์ แล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“เธอไม่ได้ทำแท้งงั้นเหรอ”
วิรินทร์ส่ายหน้า “รินทร์ทำไม่ลง ถึงรินทร์จะโกรธปกรณ์ ขนาดไหน แต่รินทร์ก็ฆ่าลูกไม่ลง”
ปานรุ้งฟังวิรินทร์พูดแล้วยิ่งเจ็บปวด เพราะวิรินทร์ยังมีความเป็นแม่มากกว่าตน ตัวปานรุ้งเสียอีกที่ฆ่าลูกตัวเอง
ปานรุ้งหมกตัวนั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอนปกรณ์ ตั้งแต่กลับจากวัดแล้ว
“แม่เป็นคนทำลายทุกอย่างของลูกเอง ปกรณ์ แม่ขอโทษ”
ตอนสายวันนี้ ซึ่งครบกำหนดเผาศพปกรณ์ในตอนบ่าย
ปรกแต่งตัวในชุดสูทดำเรียบร้อย เดินลงบันไดมากับนิชา เจอน้อยซึ่งยืนรออยู่แล้ว ข้างๆ โต๊ะที่วางกรอบรูปครอบครัวในห้องโถงบันได
“เดี๋ยวผมแวะไปดูแลความเรียบร้อยที่วัดก่อนนะ ว่าทางวัดเตรียมเก้าอี้พอรับแขกที่จะมาร่วมเผาปกรณ์วันนี้พอไหม” ปรกหันมาหานิชา “ส่วนคุณช่วยแวะไปดูที่ร้านอาหารว่าเขาเตรียมอาหารมาเลี้ยงแขกตามที่เราสั่งรึเปล่า”
“ได้ค่ะ”
ปรกหันมาทางน้อยอีก “ฝากน้าน้อยดูแลคุณพ่อกับนายแม่ด้วยนะครับ เดี๋ยวบ่ายๆ ผมจะแวะมารับท่านไปวัดพร้อมกัน”
“ได้ค่ะ”
น้อยหันตัวจะเดินไป แต่รีบร้อนไปชนโต๊ะ กรอบรูปครอบครัวที่ปานรุ้ง กับ วาสุเทพ ถ่ายกับลูกๆ ทั้ง 4 คน ตกลงมาแตก เสียงดังเปรื่องปร่าง
ปรกกับนิชา และน้อยมองที่รูปที่ตกแตกอย่างอึ้งๆ ตะลึงงัน คล้ายกับรับรู้ว่าเรื่องร้ายในอาณาจักร สมุทรเทวา - นทีพิทักษ์ ยังไม่หมดสิ้น
“น้าน้อยขอโทษค่ะ น้าน้อยซุ่มซ่ามเอง ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
น้อยบอก แล้วรีบเดินออกไปหาที่ตักทางหลังตึก
ขณะเดียวกัน ปานรุ้งกำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้วาสุเทพอย่างตั้งอกตั้งใจ พูดคุยกับสามีไปด้วย คล้ายจะได้ดูแลเป็นครั้งสุดท้าย
“วันนี้เป็นวันเผาปกรณ์แล้วนะคะ”
ปานรุ้งเช็ดหน้าวาสุเทพ
“ในที่สุด รุ้งก็ต้องยืนมองลูกจากรุ้งไปอีกคน”
ปานรุ้งสุดกลั้น ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ยังคงเอาผ้าชุบน้ำแล้วเช็ดที่แขนต่อ
“ถ้าไม่มีรุ้ง ลูกก็คงไม่จากเราไปอย่างนี้ ความจริง คนที่ควรจะตายไม่ควรเป็นลูก แต่ควรเป็นรุ้ง”
วาสุเทพพยายามจะพูดปลอบ “รุ้ง”
ปานรุ้งเอาผ้าชุบน้ำ บีบพอหมาดแล้วเช็ดขาให้วาสุเทพ
“ขอบคุณนะคะพี่เทพ”
วาสุเทพสะดุดหู มองปานรุ้งด้วยแววตาสงสัย
“ทำ...ไม”
“พี่เทพทำทุกอย่างเพื่อรุ้ง ไม่ว่ารุ้งจะทำผิด แต่พี่เทพก็ให้อภัย พี่เทพยอมเสียสละ ยอมเป็นคนผิดทิ้งยาเพื่อมาดูแลรุ้ง พาชีวิตรุ้ง จากคนที่ไม่เหลืออะไร จนตอนนี้เรามีทุกอย่าง”
ปานรุ้งวางผ้า แล้วค่อยๆก้มลงกราบเท้าวาสุเทพ
วาสุเทพมองปานรุ้งอย่างสังหรณ์ใจไม่ดี
ปานรุ้งพูดต่อขณะที่ยังก้มกราบอยู่ “และรุ้งขอโทษ ที่พี่เทพทำเพื่อรุ้งมาตลอด แต่รุ้งกลับดูแลได้เท่านี้”
วาสุเทพรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพมาแนบแก้มตัวเอง เหมือนสัมผัสสุดท้าย
“รุ้งรักพี่เทพนะคะ”
“รุ้ง”
ปานรุ้งลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ ปล่อยมือวาสุเทพ แล้วหันหลังเดินไปที่ประตู ปานรุ้งหยุดหันมามองวาสุเทพเป็นครั้งสุดท้าย
วาสุเทพมองด้วยแววตาสงสัยมากขึ้น สังหรณ์ใจโดยประหลาด ปานรุ้งตัดใจเดินออกไป ปิดประตูลง
วาสุเทพพยายามสุดแรงเกิด ขยับเนื้อขยับกาย กระเสือกกระสนเพื่อจะห้ามปานรุ้งให้ได้
ปานรุ้งเดินออกมาจากห้องวาสุเทพ น้อยเข้ามาหา ปานรุ้งถลาเข้าไปกอดน้อยไว้เต็มแรง น้อยถึงกับชะงักอึ้งไปเลย
“คุณหญิง”
“ฉันขอบใจสำหรับทุกอย่างที่เธอทำให้ฉันตั้งแต่เล็กจนโตนะน้อย”
น้อยมองปานรุ้งอึ้งๆ งงๆ “คุณหญิง”
ปานรุ้งตัดใจ คลายกอดจากน้อย
“ฉันไม่อยู่ ฝากเธอดูแลพี่เทพด้วยนะ”
น้อยนึกสังหรณ์ ใจคอไม่ดี “คุณหญิงหมายความว่ายังไงคะ”
“ฉันไปวัดล่ะ”
“แต่คุณปรกบอกว่าเดี๋ยวบ่ายจะมารับคุณหญิงกับคุณวาสุเทพนะคะ”
ปานรุ้งไม่ตอบอะไร เดินลงบันไดไปเลย
น้อยมองตามรู้สึกเป็นห่วงคุณหญิงของเธอมากกว่าทุกครั้ง
บ่ายวันนี้ บรรยากาศงานเผาศพปกรณ์เต็มไปด้วยความโศกเศร้า หม่นหมอง
ปานรุ้งนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาหน้าเมรุ มองตรงไปที่รูปของปกรณ์ไม่วางตา
แขกในงานเดินเข้ามายกมือไหว้ ปานรุ้งรับไหว้เหมือนหุ่นยนต์ ปรก นิชา เกื้อ ช่วยกันรับแขก
พระทำบังสุกุล เกื้อเป็นคนทอดผ้าถวาย
เสียงกริ่งดังขึ้น แขกในงานทยอยกันขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์
ปานรุ้งลุกขึ้น นิชากับปรกเข้ามาประคองปานรุ้ง เกื้อเดินตามหลังคอยมองอย่างเป็นห่วง
ปานรุ้งเดินขึ้นไปยืนดูแขกวางดอกไม้จันทน์ในเตาเผาศพที่มีไฟลุกท่วมโลงศพ
ปานรุ้งสะอื้นร้องไห้แทบจะขาดใจ ปรกต้องกอดพยุงไว้
ควันสีขาวขุ่นลอยขึ้นจากปล่องไฟเหนือเมรุเผาศพ ลอยหายขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ แขกในงานทยอยกันกลับไปเกือบหมดแล้ว แต่ปานรุ้งยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“นายแม่กลับบ้านกับนิชาก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวผมกับพ่ออยู่เคลียร์ทางนี้เอง”
ปานรุ้งหันมองรูปปกรณ์ แล้วเดินไปหยิบรูปมากอดไว้
“ให้นิชาอยู่ช่วยปรกทางนี้เถอะ” ปานรุ้งหันมาลูบหัวปรกอย่างจะบอกลา “แม่ฝากด้วยนะลูก”
ปรกสะดุดหู รู้สึกแปลกๆ แต่คิดว่าเป็นเพราะปานรุ้งเศร้าโศกเสียใจ
“ครับนายแม่”
ปานรุ้งเดินกอดรูปปกรณ์ลงจากเมรุไป เกื้อ ปรก นิชามองตามด้วยความเป็นห่วง
น้อยเปิดประตูเข้ามาให้อาหารวาสุเทพ ต้องตกใจเมื่อพบว่าวาสุเทพตกจากเตียง และพยายามจะกระเสือกกระสนมาที่ประตู
“คุณวาสุเทพ”
น้อยรีบวางถาดอาหาร แล้วเข้าไปประคอง
วาสุเทพพยายามบอกน้อยอย่างยากเย็น “รุ้ง...”
“คุณหญิงไปวัดค่ะ” น้อยงงๆ
วาสุเทพพยายามจะพูดบอก “บอก...ปรก...ตาม...แม่”
น้อยยังคงงงอยู่อย่างนั้น “อะไรนะคะ”
“ตาม...แม่”
ขณะเดียวกันปรกยืนส่งเกื้อที่ข้างรถ ยกมือไหว้ลา
“ขอบคุณครับพ่อ”
“ถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยโทร.หาพ่อได้ตลอดนะปรก”
“ครับพ่อ”
เกื้ออยากจะบอกว่าเป็นห่วงปานรุ้งมาก แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก เลยขึ้นรถไป
ปรกมองตามรถของเกื้อเคลื่อนตัวออกไปยังไม่พ้นวัด เสียงมือถือก็ดังขึ้น เขารีบกดรับสาย
“สวัสดีครับ”
“คุณปรกคะ คุณหญิงอยู่กับคุณปรกหรือเปล่าคะ”
“นายแม่กลับไปแล้วนี่ครับ มีอะไรเหรอครับ”
“คุณวาสุเทพตกเตียง แล้วเป็นอะไรไม่ทราบค่ะ เอาแต่พูดว่า บอกปรก ตามแม่ บอกปรกตามแม่”
“งั้นผมจะรีบกลับไปครับ”
ปรกวางสายแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถทันควัน ระหว่างนี้มือถือก็ดังขึ้นอีก “ครับคุณธันวา”
ธันวาอยู่ตรงล็อบบี้บริษัท พีแอนด์ เอสที แอร์ไลน์ กำลังคุยสายกับปรก น้ำเสียงร้อนรนใจมาก
“คุณปรกครับ เมื่อกี้พนักงานบอกผมว่าเห็นคุณหญิงมาบริษัท ตอนนี้กำลังขึ้นไปชั้นดาดฟ้าครับ”
ปรกใจหล่นวูบ หน้าเครียดหนัก
“นายแม่”
ไม่นานถัดมา รปภ.ประจำตึก เปิดประตูดาดฟ้าให้ปรก
“ท่านบอกให้ผมเปิดประตูให้ ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ครับคุณปรก”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันคุยกับนายแม่เอง”
ปรกเดินออกไปบนดาดฟ้า เห็นว่าปานรุ้งกำลังยืนอยู่ที่ริมดาดฟ้าด้านหนึ่ง มองออกไปด้านนอก ในมือกอดรูปถ่ายปกรณ์เอาไว้แน่น
“นายแม่ครับ ทำไมมายืนตรงนี้ล่ะครับ กลับเข้าไปข้างในดีกว่านะครับ”
“ไม่ต้องเข้ามาปรก”
“นายแม่ นายแม่จะทำอะไรครับ”
“ตามพ่อเกื้อให้แม่หน่อย แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับเขา เดี๋ยวนี้”
ริ้วรอยบางอย่างในน้ำเสียงของปานรุ้ง ทำให้ปรกรู้สึกใจไม่ดี
“ได้ครับนายแม่ ผมจะรีบตามพ่อให้ แต่นายแม่เข้ามาข้างในก่อนดีกว่านะครับ”
“ไม่ต้องห่วง แม่จะรอคุยกับพ่อ”
“ครับ”
ปรกรีบวิ่งกลับไปที่ประตูชั้นดาดฟ้าทันที
รถหวอตำรวจขับฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาด้วยความเร็ว พร้อมเปิดเสียงไซเรนดังลั่น โดยมีรถแวนสีดำแบรนด์หรูราคาแพงขับตามมาติดๆ
รถตำรวจและรถแวนสีดำขับผ่านป้ายชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตึกสูงตะหง่าน เห็นป้ายเขียนชื่อบริษัท “P&ST AIR LINE CO,LTD”
รถตำรวจขับเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าอาคารตึกเบรกดังเอี๊ยด รถแวนสีดำจอดท้ายรถตำรวจ บอดี้การ์ดใส่ชุดสูทสีดำ รีบลงมาจากที่นั่งตอนหน้า เพื่อมาเลื่อนเปิดประตูด้านข้างรอเจ้านายที่นั่งอยู่ในรถ
เกื้อ ในชุดสูทเดียวกับที่ใส่ไปงานเผาศพปกรณ์ ก้าวลงจากรถแวนด้วยอาการร้อนใจ
ปรกวิ่งออกจากประตูอาคาร ลงบันไดมาหาเกื้อด้วยอาการรีบร้อน
“ปรก คุณหนูล่ะ”
ปรกมองเกื้อนิ่ง
เกื้อวิ่งนำปรกเข้ามาในลานจอดเครื่องบินบนดาดฟ้าอาคารพีแอนด์เอสทีแอร์ไลน์ โดยมีบอดี้การ์ดวิ่งตามมาอีก 4 คน
เกื้อมองไปทางริมขอบกำแพงดาดฟ้าด้วยสายตาพะวักพะวง เป็นห่วงจับใจ เมื่อเห็นปานรุ้งยืนหันหลังให้ และหันหน้ามองวิวข้างหน้าอย่างหมิ่นเหม่ กอดกรอบรูปปกรณ์ที่ตั้งอยู่หน้างานศพ ไว้แน่น ราวกับกลัวจะหลุดหายไป
ปรกบอกเกื้อ “นายแม่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงแล้วครับ ผมไม่รู้จะทำยังไง คุณพ่อช่วยพูดให้นายแม่เข้ามาข้างในเถอะครับ ตรงนั้นอันตราย”
เกื้อค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าไปใกล้ๆ ปานรุ้ง
“คุณหนู เข้ามาข้างในเถอะครับ”
ปานรุ้งยังยืนหันหลังนิ่ง ไม่ยอมหันมามองเกื้อ สายตายังคงมองบรรยากาศรอบๆ แลเห็นตึกสูงรายล้อม แต่ตึก P&ST AIR LINE สูงกว่าตึกอื่นใด บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ที่สร้างจากน้ำมือของของปานรุ้ง
“ขอบใจนะเกื้อที่เธอสละเวลาให้ฉัน”
“สำหรับคุณหนู ผมยินดีเสมอครับ ลูกบอกว่าคุณหนูมีเรื่องจะคุยกับผม”
ปานรุ้งพูดโดยไม่หันหน้ามามองเกื้อ “เธอเห็นไหมเกื้อ ตึกของบริษัทฉันสูงเหนือกว่าตึกอื่นๆ มันบ่งบอกว่าชีวิตของฉัน จากคนที่ล้มละลายไม่เหลือเงินสักบาท แต่ฉันก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จนทะยานขึ้นมาสูงเหนือกว่าใคร แล้วเธอดูตึกนั่นสิ มันกำลังถูกสร้างให้สูงกว่าตึกของฉัน สิ่งที่ฉันเคยภาคภูมิใจว่าฉันทำดีที่สุด มันไม่จริง เหมือนความรักของฉัน ที่คิดว่าฉันเคยขาดมากเท่าไร ฉันก็จะให้ลูกมากเท่านั้น แล้วลูกก็จะมีความสุข” ยิ่งพูดก็เหมือนจะยิ่งตอกย้ำเจ็บปวดในใจ “แต่ความจริงมันกลับทำให้ลูกของฉันต้อง...”
ปานรุ้งพูดต่อไม่ออก คิดถึงภาพการกระทำของลูกแต่ละคน เป็นฉากๆ รวดเร็วปานสายน้ำไหล
ปานเทพกำลังจ่อปืนมาทางปานรุ้ง !
ปานรุ้งดึงปานวาดไว้ไม่ยอมให้หนีไปกับโดม แต่ปานวาดสะบัดมือปานรุ้งออกอย่างแรง จนปานรุ้งล้มลง แล้วปานวาดก็กระโดดลงน้ำไปกับโดมโดยไม่แคร์ปานรุ้ง
ปกรณ์นั่งอยู่บนเตียงนอนห้องปานรุ้ง ร้องไห้อย่างหนัก มองปานรุ้งด้วยแววตาเจ็บปวด ค่อยๆ ล้วงปืนจากใต้ผ้าห่ม โดยที่ปานรุ้งไม่ทันคิด ปกรณ์ยกปืนจ่อหัวตัวเอง ยิ้งเปรี้ยงทันที
ปานรุ้งกอดรูปปกรณ์แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน
เกื้อสงสารเหลือเกิน “คุณหนู”
ปานรุ้งพูดต่อ โดยยังไม่หันหน้ามาหาเกื้อ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นเพราะกรรมที่ฉันทำไว้กับคนที่รักฉันใช่ไหมเกื้อ”
ปานรุ้งค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเครื่องบินที่กำลังบินผ่าน หวนคิดถึงเรื่องราวในชีวิตตัวเองนิ่งนาน
ภาพในอดีตยิ่งทำให้ปานรุ้งเจ็บปวด
“ไม่ใช่หรอก ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นเพราะตัวฉันเอง ฉันทำลายทุกคน”
เกื้อกับปรกอึ้ง สงสารปานรุ้ง
ขณะที่นิชารีบร้อนลงจากรถ กำลังจะเข้าตึก จู่ๆ ได้ยิน รปภ. หน้าตึกส่งเสียงโวยวายไล่ใครบางคนอยู่
“ออกไป อย่าเข้ามา”
ได้ยินเสียงปานวาด ดังขึ้น
“ปล่อยฉัน”
นิชาเหลียวมองไปทางปานวาดแล้วชะงัก เบิกตากว้าง
“นั่น”
บนดาดฟ้า ปรก และเกื้อยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมปานรุ้ง
“ไม่จริงครับนายแม่ ความรักของนายแม่ทำให้ผมมีวันนี้ นายแม่เข้ามาก่อนเถอะนะครับ”
ปรกจะเดินเข้าไปหาแม่
ปานรุ้งถอยหนีออกไป ติดริมดาดฟ้ามากขึ้นอีก
“อย่าปรก” ปรกชะงัก “ชีวิตของลูกจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแม่” ปานรุ้งหันมาหาเกื้อ “ปรกได้ดีก็เพราะเธอนะเกื้อ ฉันฝากลูกด้วย”
สองพ่อลูกร้องลั่น “คุณหนู” / “นายแม่”
เกื้อใจจะขาดรอนๆ เสียงเริ่มสั่น
“คุณหนูอย่านะครับ อย่าทำอย่างนั้น ผมขอร้อง คุณหนูอยากให้ผมช่วยอะไร ทำอะไร บอกผมนะครับ ผมยินดีทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว คุณหนูอย่าคิดสั้นเลยนะครับ นะครับคุณหนู”
ปรกมองพ่อที่พยายามเกลี้ยกล่อมแม่ในท่าทีลุ้นระทึก อยู่ๆ เลขาของปรกก็วิ่งเข้ามาหากระซิบบางอย่างบอกปรก
ปรกอึ้งไป แล้วรีบวิ่งลงจากดาดฟ้าไปพร้อมกับเลขา
ปานรุ้งหันมาหายิ้มเศร้าๆ กับเกื้อ “อย่าร้องไห้เกื้อ อย่าเสียใจเพราะฉันอีก”
“ผมจะเสียใจอีกกี่ครั้งก็ได้ครับ ที่ผมมาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะผมอยากพิสูจน์ให้คุณหนูเห็นว่าผมทำได้ ความรักของคุณหนูไม่เคยทำร้ายผม”
ปรกออกจากลิฟต์วิ่งเข้ามาในล็อบบี้ ในขณะที่นิชาประคองปานวาดเข้าตึกมาพอดี
ปรกอึ้งไปกับสภาพของปานวาด “วาด” พร้อมกับจะเข้าไปกอด
ปานวาดผวากลัว “อย่าเข้ามานะ อย่า” และพยายามจะหนี นิชาต้องจับไว้
ปรกอึ้งไปที่น้องอาการหนักถึงขนาดนี้
ส่วนที่บนดาดฟ้า เกื้อพยายามเกลี้ยกล่อมปานรุ้ง
“แต่ความรักทำร้ายลูก ความรักของฉันทำร้ายปานเทพ ทำร้ายปกรณ์ ทำร้ายปานวาด ฉันฝากเธอด้วยนะเกื้อ ถ้าเธอตามหาวาดพบ บอกเขาด้วยว่า ฉันขอโทษ ขอให้เขาอภัยและเลิกเกลียดฉัน”
“ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูก และไม่มีลูกคนไหนเกลียดแม่ ความรักเป็น สิ่งดีงาม เพียงแต่ทุกอย่างมันมีสองด้าน เมฆบนฟ้าที่ว่าสวย วันหนึ่งมันก็ทำให้เกิดฟ้าฝนได้ สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะคุณหนูรักลูกมากไป แต่มันก็แก้ไขได้” เกื้อพยายามปลอบ
“สายเกินไปแล้วเกื้อ ไม่มีอะไรแก้ไขได้อีกแล้ว สิ่งที่ฉันคิดว่ามันคือ ความสำเร็จ สุดท้ายมันว่างเปล่า สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นความสุข สุดท้ายไม่มีอะไรจับต้องได้ สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นของฉัน สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตของลูก ฉันทำลายทุกอย่างด้วยมือของฉันเอง ฉันฆ่าลูกด้วยมือของฉันเอง ฉันไม่ควรอยู่อีกต่อไป”
ปานรุ้งค่อยๆ เดินเข้าไปที่ขอบดาดฟ้าอย่างคนหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง
“คุณหนู” เกื้อใจหายใจคว่ำ
ปานรุ้งสืบเท้าเข้าใกล้ริมขอบดาดฟ้านอกอาคารไปเรื่อยๆ
ที่ประตูทางเข้าดาดฟ้าถูกเปิดออก เท้าของปรกเดินเข้ามาพร้อมกับเท้าของใครคนหนึ่ง
ปรกประคองปานวาดที่สภาพกระเซอะกระเซิง สกปรก มอมแมมจนแทบจำไม่ได้เข้ามา
ปานวาดมองระวังกลัวปรกที่เดินประกบข้างๆ พอขึ้นมาถึงดาดฟ้า ปานวาดหันมองวิวอย่างตื่นตาตื่นใจ
ปานวาดมองไปเห็นด้านหลังของปานรุ้งก็จำได้ทันที
“นายแม่”
เท้าปานรุ้งที่กำลังจะพ้นขอบดาดฟ้า ชะงักกึกทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นหู
“นายแม่”
ปานรุ้งจำเสียงนั้นได้แม่น หันมามองอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเสียงปานวาด แต่พอเห็นสภาพลูกสาวแล้วถึงกับอึ้ง ตะลึงงันไป
“ปานวาด”
ปานรุ้งค่อยๆ สืบเท้าเดินห่างออกมาจากขอบดาดฟ้า เพื่อจะมองลูกสาวให้ชัดๆ
ปานวาดเห็นหน้าปกรณ์ในรูปที่ปานรุ้งกอดประคองแนบอกอยู่ก็ดีใจ รีบเดินเข้าไปหา
“กรณ์” ทุกคนชะงักมอง
ปานวาดเข้ามาพูดกับรูปน้องชาย “กรณ์ พี่กลับมาแล้ว นายแม่ นายแม่อย่าดุกรณ์เลยนะคะ” ปานวาดชี้รูปอีก “พี่ขอโทษนะกรณ์ พี่ทำให้กรณ์โดนนายแม่ดุอีกแล้ว”
ปานรุ้งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
จู่ๆ ประตูที่เปิดค้างไว้ถูกลมตีจนปิดลงสุดแรงเสียงดังกึกก้อง
ปานวาดสะดุ้ง ตกใจสุดตัวร้องกรี๊ด “อ๊าย...” พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งยกมือปิดหน้าปิดหู ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“อย่า อย่าทำอะไรฉัน ฉันกลัวแล้ว นายแม่ช่วยวาดด้วย นายแม่”
ปรกตกใจและสงสาร จะเข้ามาปลอบน้อง “วาด”
ปานวาดลุกพรวด แล้วถอยหนีจากปรกทันที ตกใจมากกว่าเดิม
“อย่า อย่าเข้ามา” ปานวาดลงไปนั่งกับพื้น ยกมือไหว้ปลก ร้องไห้ด้วยท่าทีหวาดผวา
“ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันเจ็บ นายแม่ ช่วยวาดด้วย วาดเจ็บ นายแม่”
ปานรุ้งแทบขาดใจ มองสภาพลูกสาวผู้แสนสวยงดงามอย่างเจ็บปวด ครางออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“วาด”
ปานวาดเห็นปานรุ้ง ค่อยๆ คลานเข้าไปกอดขาปานรุ้งอย่างดีใจ
“นายแม่ขา วาดผิดไปแล้ว วาดหนีแม่ไปเจอคนชั่ว อย่าโกรธวาดนะ” สาวสติวิปลาส ก้มลงเอาหน้าแนบกับรองเท้าของปานรุ้ง “วาดคิดถึงนายแม่”
“โธ่ วาด”
ปานวาดเงยหน้าขึ้นมามองปานรุ้งแล้วอ้าแขน เหมือนเด็กๆ ที่ร้องให้แม่อุ้ม
“กอดวาดหน่อย”
ปานรุ้งน้ำตาร่วง ทรุดลงนั่งกอดปานวาดไว้แนบกับรูปปกรณ์ในอก
“แม่กอดแล้วลูก แม่กอดแล้ว”
เกื้อกับปรกค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ปานรุ้ง
“อย่าทิ้งพวกเราไปนะครับนายแม่ เรายังมีคนต้องการความรักของนายแม่อยู่” ปรกบอก
ปานรุ้งเอื้อมมือโอบร่างปรกมากอดไปพร้อมๆ กับกอดปานวาด และกรอบรูปปกรณ์
เกื้อมองภาพตรงหน้า ทั้งโล่งใจที่ปานรุ้งเลิกคิดฆ่าตัวตาย และสลดหดหู่ใจกับสภาพของปานวาดที่ได้เห็น
วันเวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง เช้าวันนี้ เกื้อยืนรอปานรุ้งอยู่ที่รถ น้อยถือกระเป๋าเสื้อผ้าปานรุ้ง และข้าวของของปานวานมาที่รถ ร้องไห้สะอึกสะอื้นมาตลอดทาง
ปรกเข็นรถเข็นพาวาสุเทพออกมาสมทบ
จนปานรุ้งพาปานวาดเดินออกมา นิชาตามหลัง
ปานรุ้งเอ็ดน้อย “จะร้องไห้อะไรนักหนาน้อย ทำอย่างกับ เราไม่เคยลากัน”
“ขอน้อยไปดูแลคุณหญิงกับคุณปานวาดที่อเมริกาด้วยไม่ได้เหรอคะ”
“ถ้าเธอไป แล้วใครจะดูแลคุณวาสุเทพ บ้านหลังนี้ แล้วก็ปรกกับนิชา แทนฉันล่ะ”
น้อยร้องไห้ไม่หยุดหย่อน
ปานรุ้งหันไปหาลงนั่งตรงหน้ารถเข็นวาสุเทพ
“รุ้งไปไม่นาน แล้วรุ้งจะพาปานวาดคนเก่ากลับมาหาพี่เทพนะคะ
วาสุเทพพยายามยื่นมือไปจับมือคุณหญิงภริยา ปานรุ้งสวมกอดสามี
ปานวาดเห็นปานรุ้งกอดวาสุเทพ ก็นึกสนุกขอกอดวาสุเทพด้วย
“กอดกัน กอดกัน”
“พี่...จะ...รอ”
ปานรุ้งยิ้มอ่อนโยนให้วาสุเทพ แล้วค่อยๆ ดึงตัวปานวาดออกมา
ปรกเข้ามาหาปานรุ้ง
“นายแม่ครับ“
“แม่ฝากคุณพ่อกับบริษัทไว้กับปรกด้วยนะ”
“ผมจะดูแลคุณพ่อและรักษาสิ่งที่นายแม่สร้างไว้ให้ดีที่สุดครับ”
ปานรุ้งจ้องหน้าสะใภ้รอง เอ่ยปากขอโทษกับนิชาเป็นครั้งแรก
“ฉันขอโทษกับสิ่งที่เคยทำกับเธอไว้”
“นิชาไม่ถือโทษโกรธนายแม่หรอกค่ะ”
ปานรุ้งจับมือนิชามากุมมือปรก
“ต่อไปนี้ ดูแลกันและกันให้ดี เมื่อมีลูก ใช้บทเรียนชีวิตของแม่เป็นตัวอย่าง” ปานรุ้งเหลียวมองตึกใหญ่และอาณาบริเวณบ้านสมุทรเทวา “ไม่ว่าจะรักใคร รักลูก รักเมีย หรือรักตัวเอง อย่ารักให้มากเกินไป หรือน้อยเกินไป แต่จงรักให้พอดี”
ปรกกับนิชากอดปานรุ้ง ปานรุ้งกอดปรกกับนิชา
“แม่ไปล่ะ”
เกื้อเอื้อมมือไปเปิดประตูรถรอท่า ปานรุ้งมองเกื้ออย่างซาบซึ้ง
“ผมจะขับรถไปส่งคุณหนูเองครับ
ปานรุ้งยิ้มให้เกื้อ แล้วพาปานวาดขึ้นรถ
ปานรุ้งนั่งมาในรถที่เกื้อเป็นคนขับให้ กอดปานวาดไว้แนบอก ปานวาดเหลียวมองเมฆบนท้องฟ้า
“นายแม่ ดูเมฆสิคะ สวยจัง วาดเอามาได้ไหมคะ”
“ไม่ได้หรอกลูก มันอยู่สูง”
“เดี๋ยวเราก็นั่งเครื่องบินไปเอาได้ไหมคะ”
“ต่อให้ขึ้นเครื่องบิน ก็เอาเมฆนั้นมาไม่ได้หรอกลูก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะความสวยงามที่ลูกเห็น มันอาจไม่มีจริง”
ปานรุ้งมองไปยังเกื้อ
“ขอบใจนะเกื้อ ที่ขับรถให้ฉัน เหมือนวันแรกที่ฉันมา เธอก็เป็นคนรับฉัน วันนั้นฉันมาอย่างคนที่ไม่มีอะไรเลย และฉันตั้งใจว่าจะกลับมากอบโกย ไขว้คว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันจะคว้าได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ชื่อเสียงหรือความรัก เพื่อชดเชยในสิ่งที่ฉันขาดไป และวันนี้ ฉันผ่านการกอบโกย ไขว้คว้าทุกอย่าง สุดท้าย เธอก็กำลังพาฉันกลับสู่จุดที่ฉันเริ่มต้น คือไม่มีอะไรเลย”
เกื้อมองปานรุ้งผ่านกระจกส่องหลัง เห็นปานรุ้งแหงนหน้ามองท้องฟ้า แล้วเหลียวหลังลงมามองตึกสมุทรเทวา ที่รถค่อยๆ วิ่งห่างออกมาเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นบ้านสมุทรเทวา
แผ่นเมฆสีขาวสวยเมื่อครู่ กระจายตัวลอยเลือนหายไปจนหมดสิ้น สุดท้ายเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
จบบริบูรณ์ โปรดติดตามอ่าน ตะวันตัดบูรพา เร็วๆ นี้