บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 16
วิภาวีนอนร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียงราวกับคนบ้าได้อย่างสมบทบาทของแม่เพิ่งเสียลูกไป มีปานเทพคอยกอดปลอบอยู่ใกล้ชิด
“ทำไมนายแม่ทำกับวิอย่างนี้ วิรู้ว่าท่านไม่ชอบวิ แต่วิไม่คิดเลยว่าท่านจะใจร้ายฆ่าลูกของเราได้ลงคอ”
ธันวาเปิดประตูให้ปานรุ้งเดินเข้ามา
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกโกหกสักทีวิภาวี เธอไม่ได้ท้อง”
ชูนามกับร้อยกรองเดินตามเข้ามาในห้อง
“วิภาวีท้อง” ชูนามหยิบเอกสารการตรวจครรภ์มายืนยัน “นี่ไง ผลตรวจของหมอบอกว่าวิภาวีมีอาการตกเลือด”
ปานเทพมองปานรุ้งด้วยความเสียใจ “นายแม่ทำอย่างนี้ได้ยังไงครับ”
ปานรุ้งใจหายหันไปอธิบาย “ไม่จริงนะปานเทพ วิภาวีไม่ได้ท้อง แม่ติดกล้องวงจรปิดไว้ในห้องลูก แม่เห็นกับตาว่าวิภาวีมีประจำเดือน”
ปานเทพหันมาถามวิภาวี “จริงเหรอวิ”
“นายแม่แค่เห็นภาพวิถือผ้าอนามัย ก็ไม่ได้แปลว่าวิจะมีประจำเดือนนะคะ”
“ใช่” ร้อยกรองช่วยเสริม พร้อมกับแดกดันปานรุ้ง “อย่างนี้ถ้าฉันถือผ้าอนามัย ก็แปลว่าวัยทองอย่างฉัน มีประจำเดือนเหมือนกันล่ะสิ”
ปานรุ้งรำคาญ “นี่เป็นเรื่องของฉันกับลูก คนอื่นไม่เกี่ยว”
“ต้องเกี่ยว เพราะปานเทพก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน เด็กที่เธอฆ่า ก็หลานฉัน”
“ฉันไม่ได้ฆ่าใคร” ปานรุ้งเข้าไปดึงแขนวิภาวีบังคับให้พูดความจริง “เธอไม่ได้ท้อง พูดสิว่าเธอไม่ได้ท้อง”
ปานเทพเข้ามาดึงตัวปานรุ้งออกห่างจากวิภาวี
“พอเถอะครับนายแม่ ไหนนายแม่พูดตลอด ว่านายแม่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต แล้วลูกของผมล่ะครับ นายแม่คิดว่าผมไม่รักเหรอ”
“ปานเทพ ฟังแม่”
“ผมไม่อยากฟังอะไรนายแม่อีกแล้ว”
ปานเทพเดินออกจากห้องไปเลย ปานรุ้งจะตาม
“ปานเทพ”
ชูนามรีบมาขวาง “ไม่ต้อง ไหนว่ารักลูกนักหนา คนรักลูกเขาทำกันอย่างนี้เหรอ จะไปไหนก็ไป ลูกของผม ผมดูแลเอง”
ชูนามออกจากห้องไป ปานรุ้งมองตามหน้าเครียดจัด
วิภาวีแอบสบตากับร้อยกรองด้วยสายตายิ้มสะใจ
ปานเทพเดินออกมาหยุดยืนที่มุมหนึ่ง ด้วยสีหน้าเครียด เสียใจที่ปานรุ้งทำกับเมียตัวเองอย่างนี้ ชูนามเดินเข้ามาหาตบไหล่ลูก
“เอาน่า อย่าเสียใจไปเลยลูก บางทีการเสียสิ่งนึง อาจก่อให้เกิดโอกาสเริ่มต้นอีกสิ่งนึงก็ได้นะลูก”
“ถ้าหมายถึงให้ผมมีลูกใหม่ตอนนี้ ผมยังไม่พร้อมหรอกครับพ่อ”
“พ่อไม่ได้หมายถึงเรื่องมีลูก แต่พ่อหมายถึงเริ่มต้นอย่างอื่น”
ปานเทพมองชูนามสีหน้าฉงน “อะไรครับ”
ค่ำมากแล้วปานรุ้งยังนั่งรอปานเทพอยู่ในโถงบ้านสมุทรเทวาด้วยท่าทางกระวนกระวาย วาสุเทพเดินลงบันไดมาตาม
“ปานเทพยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“ยังคะ รุ้งโทรตาม ก็ไม่รับสาย รุ้งควรสั่งคนให้ไปพาเขากลับมาดีไหมคะ”
“ใจเย็นๆน่ารุ้ง เกิดเรื่องขนาดนี้ รุ้งควรให้เวลาเขาบ้าง”
“รุ้งใจเย็นไม่ไหวหรอกค่ะพี่เทพ ไม่รู้ว่าป่านนี้วิภาวีจะใส่ไฟอะไรให้ปานเทพเกลียดรุ้ง ไหนจะร้อยกรองอีก โดยเฉพาะชูนาม รุ้งกลัวว่า ชูนามจะเอาเวลาที่ปานเทพเข้าใจผิดรุ้ง เสี้ยมอะไรลูก”
วาสุเทพมองในแง่ดี “รุ้ง ชูนามอาจจะไม่ใช่คนดี แต่พี่เชื่อว่าความเป็นพ่อ ไม่มีใครทำร้าย
ลูกตัวเองหรอก พี่รู้ว่ารุ้งรักลูก แต่คนทุกคน ก็ต้องมีทางเดินของเขา”
ปานรุ้งถอนใจ อย่างอึดอัดขัดใจ “พี่เทพพูดเหมือนเกื้อเลยนะคะ”
วาสุเทพชะงัก “เกื้อเหรอ”
“วันนี้เกื้อมาหารุ้ง มาคุยเรื่องปรกกับนิชา”
ปรกเดินเข้ามาพอดี ยกมือไหว้ปานรุ้งกับวาสุเทพ
“สวัสดีครับนายแม่ สวัสดีครับคุณพ่อ”
“เข้ามาคุยกับแม่ในห้องทำงานหน่อย”
ปรกชะงักว่าปานรุ้งมีอะไรกับตน
ปานรุ้งนั่งรออยู่ที่เก้าอี้แล้ว ขณะปรกเดินเข้ามายืนหน้าโต๊ะทำงาน
“รู้ใช่ไหมว่าวันนี้พ่อเกื้อมาหาแม่ ให้พ่อเกื้อมาพูดกับแม่อย่างนี้ แปลว่าจะแต่งงานกับหนูนิชาให้ได้ใช่ไหม”
“ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่ผมเลิกกับนิชา เพราะเหตุผลว่าบ้านเขาจะล้มละลาย ไม่ได้จริงๆ ครับ”
“ก็ได้ ถ้าปรกอยากแต่งงานกับนิชา แม่ก็จะให้แต่ง”
ปรกดีใจมาก “จริงเหรอครับนายแม่”
“แต่มีข้อแม้”
ปรกมองปานรุ้งว่ามีอะไร
วันถัดมา ปรกรีบมารอนิชาแต่เช้า เวลานี้สองคนยืนคุยกันอยู่ในมุมหนึ่งของกรมทาง
“แม่คุณจะให้ฉันลาออกจากงานงั้นเหรอ”
“ใช่ นายแม่อยากให้คุณไปช่วยดูแลโครงการคอนโดของพี่ปานเทพ”
“แต่ฉันเคยบอกแม่คุณแล้วไง ว่าฉันจบวิศวะโยธา ไม่รู้เรื่องการสร้างตึกหรอก”
“ผมรู้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ของพี่ปานเทพค่อนข้างวุ่นวาย นายแม่ อยากให้คุณช่วยดูแลส่วนอื่นๆ ด้วย”
นิชาอดประชดไม่ได้ “แล้วแม่คุณไม่กลัวฉันโกงเงินบริษัท ไปให้แม่ฉันเหรอแม่ฉันยิ่งเป็นหนี้อยู่ด้วยนะ”
“อย่าพูดอย่างนี้สินิชา นายแม่อาจจะใจร้ายกับแม่คุณเรื่องธุรกิจ แต่ท่านก็เอ็นดูคุณนะ ท่านให้น้าน้อยกับเด็กในบ้านจัดห้องผมเพื่อต้อนรับคุณ”
นิชาอึ้งไป เจออีกดอก “อ้าว ..นี่นิชาต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณเหรอคะ นิชาคิดว่าคุณจะมาอยู่บ้านนิชาซะอีก เพราะนิชามีแม่คนเดียว ถ้านิชาย้ายออก ใครจะดูแลคุณแม่”
“กลางวันนิชาก็ไปอยู่กับคุณแม่ ส่วนกลางคืนก็กลับมานอนที่บ้าน ตอนนี้เราทำให้คุณแม่สบายใจก่อน หลังจากนั้นเราค่อยขยับขยายออก จากบ้านสมุทรเทวา” ปรกปลอบ
“แล้วถ้าฉันไม่ยอมลาออก ไม่ยอมย้ายเข้าบ้านคุณ แม่คุณจะไม่ให้เราแต่งงานกันใช่ไหม”
ปรกจับมือนิชามากุม “ไม่หรอก ไม่ว่ายังไงผมก็จะแต่งงานกับคุณ”
นิชามองหน้าปรก แล้วถอนใจ “นี่ขนาดยังไม่แต่ง ฉันก็เริ่มโดนแม่คุณควบคุมชีวิตแล้ว ถ้าแต่งไป ฉันจะต้องตื่นมาวิ่งรอบสนามตอนเจ็ดโมงเช้า ทำอาหารตอนแปดโมง ล้างห้องน้ำตอนเก้าโมงทำผิดต้องปั่นจิ้งหรีดร้อยรอบด้วยไหมเนี่ย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมปั่นเป็นเพื่อนคุณ ผมนี่แชมป์ปั่นจิ้งหรีดเลยนะ”
ปรกปั่นจิ้งหรีดโชว์ แล้วแกล้งมึน เซไปกอดนิชารู้ทันผลักออก
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคุณปรก”
“ผมขอโทษที่นายแม่ทำคุณลำบากใจ แต่ผมอยากให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างที่ท่านทำ เพราะรักลูก”
“แต่รักลูกจนไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น ระวังนะคะ มันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี”
นิชาพูดตามความรู้สึกอันจริงใจ
อีกฟากหนึ่ง กติยานั่งถักโครเชต์อยู่ในห้องรับแขก สักครู่เห็นดรุณีเดินเข้ามาหา
“ยา เมื่อกี้แม่เข้าบ้านสวนกับโดม โดมบอกว่ายาให้ออกไปเคลียร์ปัญหา ปัญหาอะไรเหรอลูก”
กติยาพูดอย่างสบายใจ “ปัญหาหัวใจค่ะ”
“ห๊ะ อะไรนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณแม่ไปดูเด็กทำกับข้าวเถอะ ยาหิวแล้ว”
ดรุณีมองกติยาอย่างสงสัย แล้วลุกเดินออกไป พอดรุณีเดินพ้นตัวไป กติยาใช้เข็มถักโครเชต์แทงลงกับม้วนไหมพรมอย่างแรง
“นังปานรุ้ง กรรมตามแกทันแล้ว แกกำลังจะเจ็บเพราะคนที่แกรัก”
ปกรณ์ถือจานใส่แซนด์วิชเข้าห้องมา ปานวาดนั่งหน้าเศร้าอยู่ในห้อง
“พี่วาด ผมเอาแซนด์วิชมาให้ พี่ไม่ยอมลงไปกินทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายไปนะพี่”
“พี่ไม่กิน” ปานวาดคิดบางอย่างได้ ลุกพรวดไปหาน้อง “ปกรณ์ เอาโทรศัพท์มารึเปล่า ขอพี่ยืมหน่อยสิ พี่จะโทร.หาพี่โดม ป่านนี้เขาคงเป็นห่วงพี่แย่แล้ว”
“ไม่มี นายแม่สั่งห้ามทุกคนเอาเครื่องมือสื่อสารใดๆ เข้ามาในห้องพี่”
ปานวาดโกรธจัด “นายแม่ใจร้าย คอยดูนะ ถ้านายแม่ยังทำเหมือนพี่เป็นนักโทษอย่างนี้ พี่จะหนีตามพี่โดม”
ปกรณ์ตกใจ ร้องเสียงดัง “พี่วาด”
ปานวาดเอ็ดเอา “จะเสียงดังทำไม พี่ก็แค่พูดเล่น ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก”
“ผมไม่ได้ตกใจคำพูดพี่ แต่ผมตกใจนั่น” ปกรณ์ชี้ไปทางข้างหลังพี่สาว
ปานวาดหันไปมองหลัง เห็นโดมยืนอยู่ที่ระเบียงห้องก็ดีใจสุดขีด
“พี่โดม”
ปานวาดปรี่เข้าไปหา สองคนโถมเข้ากอดกันและกันด้วยความเป็นห่วง เต็มแรง
“ลางสังหรณ์ว่างานจะเข้า เอ่อ ผมไปดูหน้าห้องให้นะ” ปกรณ์เดินออกจากห้องไป
“วาดเป็นยังไงบ้าง พี่ติดต่อวาดไม่ได้ แม่ตีวาดหรือเปล่า”
ปานวาดยิ้มหวาน “ถามยังกับวาดอายุ 5 ขวบ”
“ยังจะพูดเล่นอีก” โดมมองปานวาดที่หน้าเศร้าลง “นี่โดนดุมากเลยใช่ไหม”
“ก็ไม่มากหรอก นายแม่ก็แค่สั่งให้วาด...”
โดมรู้ทัน พูดต่อออกมา “เลิกยุ่งกับพี่” ปานวาดถอนใจ “แล้ววาดอยากเลิกไหม”
“ทำไม ถ้าวาดบอกว่าอยาก พี่โดมก็จะเลิกงั้นเหรอ”
“ตอบพี่มาก่อนว่าอยากเลิกไหม” ปานวาดส่ายหน้า โดมดึงปานวาดมากอดอีกที “พี่ก็จะไม่วันเลิกกับวาด...พี่สัญญา”
สองหนุ่มสาวกอดกันอย่างรักใคร่
ฝ่ายปกรณ์เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องนอนปานวาด คอยชะเง้อมองไปทางบันไดดูคุณหญิงมารดาให้พี่สาว
“พี่โดมดูโรมิโอกับจูเลียตมากไปรึเปล่า เอะอะปีนหน้าต่างบ้านสาว ถ้านายแม่เห็น อาจโดนเป่าได้ง่ายๆ นะนั่น”
ปกรณ์มองไปเห็น ปานรุ้งเดินออกจากห้องทำงานพร้อมด้วยธันวา เด็กหนุ่มรีบฉากหลบ ไม่ให้ปานรุ้งเห็น
“ตกลงอาหารที่จะเลี้ยงแขกในงานแต่งปรก เอาตามนั้นแหละ ส่วนการ์ด ก็เชิญเท่าที่เชิญได้ ถ้าแขกคนไหนไม่ได้รับการ์ด เดี๋ยวฉันจะบอกเองว่าเหลือเวลาแค่ 3 วัน เลยแจกการ์ดไม่ทั่วถึง”
“ได้ครับคุณหญิง”
“วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว เธอกลับไปได้ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูปานวาดสักหน่อย”
ปกรณ์แอบฟังอยู่ ได้ยินว่าปานรุ้งจะมาหาปานวาด ก็เครียด
“ซวยแล้วพี่วาด”
ปกรณ์ค่อยๆ ชะโงกหน้าไปดูที่บันไดเวียน เห็นปานรุ้งกำลังเดินขึ้นบันไดมาก็ยิ่งเครียด จนกระทั่งได้ยินเสียงปรกเรียกปานรุ้งไว้
“นายแม่ครับ”
ปานรุ้งหยุดตรงระเบียงบันไดเวียน หันมาคุยกับปรก “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ วันนี้ไปลองชุดแต่งงานเป็นยังไงบ้าง จะพร้อมทันวันงานไหม”
“เรียบร้อยครับ พ่อเกื้อให้มาเรียนถามคุณแม่เรื่องแขกของคุณแม่ ส่วนแขกของพ่อเกื้อ พ่อเกื้อให้รายชื่อผมมาแล้ว”
“ดีเลย แม่กำลังจะถาม งั้นเข้าไปคุยกันในห้องทำงานแม่”
ปานรุ้งลงบันได เดินนำปรกเข้าห้องทำงานไป
ปกรณ์ชะเง้อดูแม่กับพี่ แล้วถอนใจอย่างโล่งอก
“เกือบซวยแล้วพี่วาด”
ในขณะที่ธันวาขับรถออกมาจากประตูรั้วบ้านสมุทรเทวา สายตาเหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์ของโดมจอดซุ่มแอบอยู่มุมลับตา ธันวามองรถอย่างคุ้นตา
ธันวาชะลอรถจอด หยิบหนังสือพิมพ์ในรถ เดินลงมาด้วยเปิดดูรูปโดมกับปานวาดกอดกันในสนามแข่งรถ
ธันวาเพ่งมองรถโดมในรูปสลับกับรถที่จอดแอบอยู่ ก่อนจะมองไปทางห้องนอนของปานวาด
ปกรณ์ยังยืนอยู่หน้าห้องปานวาด พลางคอยมองไปที่ระเบียงทางเดินหน้าห้อง ดูว่าปานรุ้งออกจากห้องทำงานรึยัง
ปานวาดแอบเปิดประตูออกมาเรียกปกรณ์
“ปกรณ์”
ปกรณ์หันไป ปานวาดกวักมือเรียก ปกรณ์รีบเข้าห้องไปทันที
ปกรณ์เข้ามาในห้องปานวาด แล้วมองหาโดม
“พี่โดมไปแล้ว”
ปกรณ์โล่งอก “เมื่อกี้นายแม่เกือบจะเข้ามาหาพี่แล้ว ดีที่พี่ปรกมาก่อน กรณ์ว่าอย่าให้พี่โดมปีนมาหาพี่วาดอย่างนี้เลยนะ ถ้านายแม่เห็น พี่วาดกับพี่โดมจะซวยยิ่งกว่านี้”
“พี่ก็บอกพี่โดมไปอย่างนั้นแหละ” ปานวาดหยิบมือถือที่โดมให้ไว้ติดต่อกัน ออกมาจากใต้หมอน “พี่โดมก็เลยให้มือถือไว้ มีอะไรไว้โทร.คุยดีกว่า”
ปกรณ์มองปานวาดอย่างเห็นใจ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ กอดปลอบพี่สาว
“อย่าคิดมากนะพี่วาด”
“พี่ไม่เข้าใจเลย นายแม่ยังไม่รู้จักพี่โดมด้วยซ้ำ ทำไมนายแม่ถึงตัดสินแล้วว่าพี่โดมไม่ดี มันไม่ยุติธรรมเลย”
“เอาน่า เดี๋ยวคุณพ่อคงคุยกับนายแม่ นายแม่คงเข้าใจ”
“มันจะมีวันนั้นใช่ไหมปกรณ์”
สาววัยใส ผู้มีความรักนำชีวิตถามตัวเองในที
ปานรุ้งเดินออกจากห้องทำงานพร้อมปรก
“ไม่มีทาง พ่อเกื้อเป็นถึงรัฐมนตรีช่วย จะให้แม่จัดที่นั่งแขกธรรมดาได้ยังไง เข้าใจนะว่าพ่อของปรก สะมะถะ แต่งานนี้แม่ไม่ยอม ไปบอกพ่อว่าแม่จะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องห่วง”
“ครับนายแม่”
เห็นธันวาเดินเข้ามาหา ปานรุ้งมองเลขาอย่างประหลาดใจ
“อ้าว ธันวา ยังไม่กลับอีกเหรอ”
“ผมมีเรื่องจะเรียนคุณหญิงครับ”
ปานรุ้งมองธันวา ด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ปานรุ้ง และ ธันวา พร้อม กับรปภ. พากันมาเช็คภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งอยู่ริมรั้ว และตึกใหญ่ พบว่าทุกจุดถูกโดมจับกล้องแหงนขึ้น ไม่ก็กดลงต่ำ เพื่อไม่ให้เห็นตัวโดมตอนปีนมาหาปานวาด
“แอบกดกล้องอย่างนี้ ยามถึงไม่เห็นใครปีนเข้ามาในบ้าน” ธันวาว่า
คุณหญิงปานรุ้ง นทีพิทักษ์ นัยน์ตาลุกวาว โกรธจัด เหมือนโดนเด็กเมื่อวานซืนลูบคม
“คิดผิดแล้วที่เล่นกับฉัน”
ไม่นานหลังจากนั้น โดมถูกบอดี้การ์ดของวาสุเทพที่มาคอยดูแลปานรุ้ง ลากลงจากรถตู้ซึ่งจอดอยู่ริมถนนสายเปลี่ยว
“ปล่อยนะเว้ย”
ปานรุ้งลงจากรถอีกคันพร้อมธันวา เดินเข้ามาสมทบ โดมเห็นปานรุ้งก็ชะงัก ปานรุ้งไม่พูดอะไร เดินเข้ามาตบหน้าสุดแรง จนโดมหน้าหัน
“แกกล้ามากนะที่หยามฉันถึงบ้าน แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“ผมไม่ได้หยามคุณ ที่ผมทำเพราะห่วงวาด”
“ไม่ต้องสาระแนมาห่วงลูกฉัน ห่วงชีวิตแกตอนนี้ดีกว่า ใช้ขาข้างไหนปีนเข้าบ้านฉัน”
โดมไม่ตอบ
ปานรุ้งโกรธสุดขีด ตวาดเสียงดังขึ้น “ใช้มือข้างไหนเคาะห้องลูกฉัน”
โดมไม่ตอบอีก
“ถ้ามันไม่ตอบก็ตีมันทุกข้าง”
ขาดคำประกาศิต บอดี้การ์ดเดินไปหยิบไม้หน้าสามจากในรถออกมาแล้วรุมตี พร้อมกับกระทืบโดมทันที
“เลิกยุ่งกับลูกฉันซะ ถ้าไม่หยุด ฉันก็ไม่หยุดยุ่งกับเธอเหมือนกัน”
ปานรุ้งเดินหนีขึ้นรถ ธันวาเดินตาม
โดมยังคงถูกกลุ่มบอดี้การ์ดของรุมกระทืบและตีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ธันวาเดินเข้ามาส่งปานรุ้งที่ห้องโถง
“เธอกลับบ้านได้แล้วธันวา แล้วอย่าลืม ถ้านายนั่นยังไม่หยุดยุ่งกับปานวาดอีก ก็ส่งคนไปจัดการได้เลย”
“ครับ คุณนาย”
ธันวาเดินออกจากบ้านไป ปานรุ้งเดินขึ้นห้องนอนของตัวเอง
จำปีก้าวออกมาจากเงามืด มองไปทางปานรุ้งอย่างงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
กติยานั่งรอโดมอยู่จนดึกดื่น กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูดู
“โดมกลับมาแล้วเหรอลูก”
กติยาเปิดประตูออก มองไปเห็นร่างโดมที่ยืนโงนเงน เลือดโทรมกาย ออกทั้งทางปาก ทางจมูก สภาพร่างกายสะบักสะบอม ร่างของโดมล้มลงตรงหน้ากติยาสลบคาที่
กติยามองสภาพปางตายของลูกชายแล้วแทบช็อค กรีดร้องลั่น
“โดม.....”
รุ่งเช้า ปานวาดตื่นมาก็รีบโทร.หาโดมทันที แต่โดมไม่รับสาย พยายามกดโทร.อีกหลายครั้ง สายติดแต่ก็ไม่รับสักที จนสาวใจแตกเครียดจัด สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และกดโทร.หาอย่างไม่ลดละ
“ทำไมไม่ยอมรับสายนะ”
จู่ๆ มีคนรับสาย และมีเสียงกติยาดังลอดมาจากมือถือ
“โทร.มาทำไม โดมไม่มีแรงจะรับสายเธอหรอก”
ปานวาดตกใจ “หมายความว่ายังไงคะ พี่โดมเป็นอะไรคะ”
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปรก และ ปกรณ์ กำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่ เก้าอี้ของปานวาดว่างเหมือนเคย น้อยกับจำปีช่วยกันเสิร์ฟอาหาร
“ปานวาดล่ะน้อย”
น้อยอึกอัก “เอ่อ...คุณหนูวาดบอกว่าไม่หิวค่ะ”
ปานรุ้งวางช้อนทันที “เดี๋ยวฉันขึ้นไปเรียกเอง”
ปานวาดเดินหน้าตึงเข้ามาหาปานรุ้งพอดี
“นายแม่ส่งคนไปซ้อมพี่โดมเหรอคะ”
ปานรุ้งชะงักที่ปานวาดรู้ แต่แล้วทำหน้านิ่ง วาสุเทพมองปานรุ้งสีหน้าเครียด
“แล้วนายแม่ทำจริงหรือเปล่าคะ” ปานวาดถามซ้ำ
“ลูกไม่สิทธิ์ถาม เพราะคำสั่งของแม่คือห้ามลูกยุ่งกับไอ้กุ๊ยนั่นอีก นั่งลง กินข้าว”
ปานวาดนิ่งไม่ยอมทำตามที่ปานรุ้งสั่ง
“แม่สั่งไม่ได้ยินเหรอ”
“นายแม่ไม่เคยฟังวาดพูดเลย แล้วทำไมวาดต้องฟังนายแม่ด้วยล่ะคะ”
วาสุเทพไม่พอใจท่าทีและคำพูดลูกสาว
“หยุดนะปานวาด พูดอย่างนี้กับคุณแม่ได้ยังไง ขอโทษคุณแม่ซะ”
ปานวานยังคงนิ่ง ไม่ยอมขอโทษ
ปานรุ้งเห็นท่าทางถือดีอวดเก่งของปานวาดแล้วทั้งปวดใจ ทั้งโกรธ ตะโกนเรียกน้อย
“น้อย”
“คะ คุณหญิง”
“พาปานวาดขึ้นไปห้องนอน ถ้าฉันไม่ได้สั่ง ก็ห้ามปานวาดออกไปไหน ทั้งนั้น”
ปกรณ์ และ ปรก ต่างมองปานวาดกับปานรุ้งอึ้งๆ ไม่รู้จะช่วยยังไง
วาสุเทพปราม “รุ้ง”
ปานวาดทำท่าถอนสายบัวน้อมรับคำสั่งประชดปานรุ้ง
“น้อมรับคำบัญชา ค่ะนายแม่”
ปานรุ้งมองปานวาด แล้วชะงักงัน หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอทะเลาะกับคมขวัญ และเรียกคมขวัญว่า “นายแม่” ประชด ขึ้นมา
ปานวาดเดินหุนหันออกไป น้อยรีบตามประกบ
“เดี๋ยวพี่ไปดูลูกเอง”
วาสุเทพเดินตามปานวาดไป ปานรุ้งมองตามลูก แล้วนั่งลงอย่างหมดแรง ปรกกับปกรณ์รีบเข้าไปประคองปานรุ้ง
“นายแม่เป็นอะไรไหมครับ”
“แม่ไม่เป็นไร”
ปานวาดนั่งร้องไห้ ทั้งโกรธ เสียใจ และน้อยใจ อยู่ในห้องนอน สักครู่วาสุเทพเดินเข้ามาพร้อมถือจานครัวซองต์มาด้วย
“พ่อเอาครัวซองของโปรดวาดมาให้”
ปานวาดรับจานครัวซองจากวาสุเทพ มาฉีกครัวซองขึ้นมากินทั้งน้ำตา วาสุเทพนั่งลงข้างๆปานวาด แล้วกอดปลอบลูก
วาสุเทพมองลูกสาวด้วยความสงสาร “วาดรู้ไหมว่าครัวซองต์ที่วาดกินทุกวันนี้มา จากร้านไหน?” ปานวาดส่ายหน้า “ร้านครัวซองต์ร้านนี้เป็นร้านขนมปังที่เก่าแก่มากอยู่แถวสาทร พ่อจำได้ว่าแม่แวะซื้อกลับมาที่บ้าน แล้วเอามาให้วาดกินตอนวาดเด็กๆ พอวาดได้กิน วาดก็บอกแม่ว่ามันเป็นครัวซองต์ที่อร่อยที่สุดในโลก แล้ววาดก็อยากกินครัวซองอันนี้ทุกวัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่วาดไม่ได้กินครัวซองต์นี้เลยนะลูก“ ปานวาดชะงัก นิ่งงันไป “พ่อรู้ว่าวาดโกรธแม่ รู้ว่าวาดไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทำแบบนั้นกับลูก แต่พ่ออยากให้วาดรู้ว่าทุกอย่างที่แม่เค้าทำ เพราะแม่เค้ารักลูก”
“แต่แม่ก็ไม่ควรส่งคนไปซ้อมพี่โดมแบบนั้นนะคะ”
“แม่เขายอมเป็นคนไม่ดี ตีคนอื่น ดีกว่าเห็นคนอื่นตีลูก”
ปานวาดเถียงแทนผู้ชาย “พี่โดมไม่มีทางทำร้ายวาด”
“แล้ววันนึง ลูกจะเข้าใจความรู้สึกของแม่”
ปานวาดไม่เปิดใจฟังคำของบิดา ในใจของมีแต่ความโกรธปานรุ้ง
ปานรุ้งเข้าออฟฟิศ เวลานี้นั่งพิงพนักเก้าอี้ ดูออกว่าทั้งเครียดและเหน็ดเหนื่อยเหลือแสน
สักครู่ปานเทพเดินเข้ามาในห้อง ปานรุ้งดีใจมาก
“ปานเทพ ลูกมาหาแม่แล้ว ลูกหายโกรธแม่แล้วใช่ไหมลูก”
“ผมจะมาลานายแม่น่ะครับ”
ปานรุ้งชะงัก โกรธกรุ่นๆ “ลา ลูกจะไปไหน ถ้าจะไปอยู่กับพ่อชูนาม แม่ไม่ยอมนะ เท่าที่ลูกหายไป 2 วัน มันก็เกินพอแล้ว”
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ในเมื่อนายแม่ไม่ชอบวิ ผมเองก็ไม่อยากฝืนพาวิเข้ามาอยู่ในนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากทำให้นายแม่เกลียดผมไป มากกว่านี้”
ปานรุ้งเข้ามากอดปานเทพ “ไม่เลยลูก แม่ไม่เคยเกลียดปานเทพ”
“ไม่จริงหรอกครับ นายแม่เกลียดผม นายแม่ไม่ไว้ใจผม ให้ผมไปอยู่กับพ่อชูนามเถอะครับ”
“ไม่ แม่ไม่ยอม เอาอย่างนี้ ถ้าวิภาวีรักลูกจริง ก็พาเข้ามาอยู่ในบ้าน”
ปานเทพลอบยิ้มสมใจ แล้วรีบปั้นหน้าเครียดต่อ
“อย่าเลยครับ ยังไงผมก็อยู่บ้านต่อไปอีกไม่ได้ ถึงนายแม่ไม่เกลียดผม แต่ผมก็ไม่มีค่าในสายตานายแม่แล้ว”
“ไม่จริง ต้องให้แม่ทำยังไง ปานเทพถึงจะเชื่อว่าลูกมีค่าสำหรับแม่ที่สุด”
ปานเทพมองปานรุ้งนิ่งนาน
ไม่นานต่อมา ภายในร้านอาหารหรูแห่งนั้น ชูนามกับนวรัตน์กำลังยกแก้วแชมเปญชนกัน ฉลองความสำเร็จแผนทำลายปานรุ้งคืบหน้าไปอีกขั้น
“ขอแสดงความยินดีให้กับลูกชายของคุณ ที่ได้เป็นเจ้าบริษัท P-JET แทนที่คุณวาสุเทพได้”
“และผมขอฉลองให้กับการเริ่มต้นธุรกิจของเราครับ ไหนใบเสนอราคาเครื่องบินที่คุณจะขายให้ปานเทพล่ะครับ”
นวรัตน์หยิบเอกสารมาวางตรงหน้า ชูนามหยิบเอกสารนั้นมาดู “โอ้โห ราคาไม่น้อยเลยนะครับ ถึงผมจะเพิ่งออกจากคุก แต่ผมก็หาข้อมูลนะ ราคานี้ แพงกว่าราคาปกติเกือบ 2 เท่า”
“ใจเย็นๆ สิคะ นี่คือราคาขายต่อบริษัทคุณปานเทพ แต่ราคาที่ฉันจะขายคือราคานี้ค่ะ” นวรัตน์ชี้บนกระดาษให้ชูนามดู
ชูนามมองแล้วยิ้ม “คุณขายเครื่องบินให้ผมราคาปกติ ส่วนกำไรที่ตั้งราคาเกินมา 2 เท่า”
“ก็เป็นค่าตอบแทนให้กับมิตรใหม่ไงคะ”
ชูนามยิ้มพอใจ
“ผมรู้อยู่แล้วว่าผมคิดไม่ผิดที่ร่วมมือกับคุณ” ชูนามหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมาชูอีก “เชียร์ส”
นวรัตน์จับมือชูนามไว้ “อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ เราอาจจะเซ็นสัญญาซื้อ ขายไม่ได้ง่ายๆ ยังไงคุณหญิงปานรุ้งคงไม่ปล่อยลูกชายง่ายๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมมีฤกษ์เซ็นสัญญาซื้อ ขาย เป็นวันที่ปานรุ้งไม่มีทางมายุ่งกับเรา”
นวรัตน์มองฉงน “วันไหนคะ”
วันที่ชูนามหมายถึง คือวันแต่งงานระหว่างปรก กับ ริชา นั่นเอง
ซึ่งเช้าวันนี้ ทุกคนรอรถอยู่หน้าตึกใหญ่บ้านสมุทรเทวา ปกรณ์อารมณ์ดี หน้าตาเบิกบานกว่าใครๆ ตะโกนโห่ ขันหมาก อย่างสนุกสนาน
“โห่ ฮี้ โห่ โห”
ปานรุ้ง วาสุเทพ และปรกแต่งตัวสวย หล่อเตรียมไปงานแต่ง ยืนอยู่ข้างๆ ปกรณ์
น้อยร้องตอบตามน้ำไปกับปกรณ์ “ฮิ้ว”
“โห่ ฮี้ โห่ โห”
น้อยรับ “ฮิ้ว”
ปกรณ์ทำท่าร้องไม่หยุด จนปรกต้องห้าม
“พอได้แล้ว เก็บเสียงไว้ไปโห่ในงานแต่งพี่บ้างเถอะ”
ปกรณ์ตื่นเต้นดีใจมากกอดปรกเป็นการใหญ่
“ผมดีใจกับพี่ด้วยจริงๆ ในที่สุดลุงแก่ของผมก็ขายออกสักที”
“ว่าใครเป็นลุงแก่ เรียกดูถูกกันอย่างนี้ เดี๋ยวคืนนี้ส่งตัว พี่จะทำให้ พี่นิชาร้องไม่หยุดเลย”
ปานรุ้งเอ็ดเอา “ปรก พูดอะไรทะลึ่ง น้องยังเด็กนะ”
ปรกยิ้มแหยๆ “ผมหมายถึงนวดให้นิชาน่ะครับนายแม่”
วาสุเทพตัดบท “เอาละๆ พี่ว่าเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปต้อนรับแขกพิธีเช้าอีก”
ปานเทพพาวิภาวีลงรถ แล้วเดินเข้ามาสมทบพอดี
“รอวิด้วยสิคะคุณพ่อ”
ทุกคนรวมทั้งน้อยหันไปมองปานเทพกับวิภาวีเป็นตาเดียวกัน
น้อยพึมพำ “กลับมาได้ยังไงเนี่ย”
วิภาวีได้ยินถลึงตาใส่ “ก็นายแม่เชิญฉันกลับมาไง จริงไหมคะปานเทพ”
“ถ้าจะไปงานแต่งปรก ก็รีบขึ้นไปแต่งตัวเถอะวิ” ปานเทพหันไปพูดกับปานรุ้ง “นายแม่ไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมกับวิตามไป”
“ไม่ได้ค่ะ วิจำได้ว่านายแม่ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ครอบครัว’ มาก แล้วยิ่งงานสำคัญของครอบครัวอย่างนี้ เราต้องไปด้วยกัน เพราะตอนนี้เราเป็นครอบครัว ‘เดียวกัน’ แล้ว ใช่ไหมคะนายแม่”
ปานรุ้งพยายามเก็บอารมณ์นิ่ง แล้วพูดกับน้อย
“น้อย ขึ้นไปตามปานวาด ไปบอกถ้าช้ากว่านี้ ฉันไม่รอ ฉันมีหน้าที่ต้องไปต้อนรับคนมีเกียรติ ไม่มีเวลารอคนเรี่ยราด”
ปานรุ้งเดินออกไปหน้าบ้านทันที วิภาวีมองตามปานรุ้งอย่างไม่พอใจ
วิภาวีจงใจแต่งตัวอ้อยสร้อยถ่วงเวลา ส่องกระจกดูหน้าตัวเองไปมา แล้วหยิบทิชชูมาลบลิปสติกออกเพื่อทาใหม่ ปานเทพยืนมองด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“คุณจะลบลิปสติกออกอีกทำไมวิ นี่คุณแต่งหน้า แล้วลบแต่งใหม่มา 2-3 ครั้งแล้วนะ คุณจงใจแกล้งนายแม่ให้รอใช่ไหม”
“ถ้าใช่ แล้ววิผิดเหรอคะ ถ้าวิจะทำอะไรสักอย่าง แก้แค้นกับความอำมหิตของนายแม่ ที่ฆ่าลูกวิ”
ปานเทพถอนใจ ไม่อยากเถียง
“โอเคๆๆ ผมไม่อยากเถียงกับคุณ”
“ไหนให้วิดูเนคไทด์คุณหน่อยสิคะ” วิภาวีเข้าไปจับเนคไทด์ให้สามี “วิว่าคุณน่าจะผูกเนคไทสีส้มนะคะ สีส้มเป็นสีนำโชคของคุณ คุณจะได้โชคดีกับการเซ็นสัญญาซื้อขาย เครื่องบินวันนี้ไงคะ”
ปานเทพรีบปิดปากวิภาวี “ผมบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องนี้ที่นี่ เดี๋ยวนายแม่ก็ได้ยินหรอก”
จำปีเปิดประตูห้องเข้ามา ปานเทพตกใจนึกว่าเป็นปานรุ้ง แต่พอเห็นเป็นจำปีก็ตวาด
“เข้ามาทำไม”
“วิเรียกมาเองค่ะ วิว่าจะเปลี่ยนอีกชุดนึง เลยให้จำปีมาช่วย”
“เปลี่ยนอีกชุด” ปานเทพถอนใจ “งั้นผมไปรอข้างล่างแล้วกัน”
ปานเทพเดินอารมณ์เสียออกไป
“จำปี มานี่สิ” จำปีรีบมาหา วิภาวีหยิบตุ้มหูสวยๆ มาโชว์ “สวยไหม”
จำปีมองอย่างชื่นชม “สวยค่ะ”
“อยากได้ไหม”
จำปีมองหน้าวิภาวีอย่างตื่นเต้น “คุณวิจะให้หนูเหรอคะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะทำให้ฉันพอใจได้แค่ไหน”
“แล้วคุณจะให้จำปีทำอะไรล่ะคะ”
“ไม่มีอะไรมาก แค่เล่าให้ฉันฟังสิ ว่าหลังจากฉันไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้บ้าง”
จำปีรีบบอก “อ๋อ หลายเรื่องค่ะ แต่ถ้าเด็ดสุด ก็เรื่องคุณปานวาดกับคุณหญิง”
วิภาวีมองจำปีอย่างสนใจ
ปานวาดนั่งหันหลังให้ประตูห้อง มองเหม่อออกไปทางหน้าต่างด้วยความหม่นหมอง สักครู่วิภาวีเปิดประตูห้องเข้ามา ปานวาดโวยวาย โดยไม่ทันหันมามองว่าเป็นใคร
“วาดบอกน้าน้อยแล้วไงว่าไม่ต้องมาตาม นายแม่อยากขังวาด วาดก็จะอยู่ในห้องอย่างนี้ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“แต่ถ้าเป็นพี่ พี่จะไปนะคะ”
ปานวาดหันหน้ามามองวิภาวีแววตาเป็นคำถาม
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปรก ปกรณ์ และปานเทพยืนรอปานวาดกันอยู่หน้าตึกนานแล้ว ปานรุ้งมองนาฬิกาอย่างหงุดหงิดเต็มแก่
“เดี๋ยวแม่ขึ้นไปตามปานวาดเอง”
ปานวาดเดินออกมากับวิภาวีพอดี
“ขอโทษค่ะที่ให้รอ วาดพร้อมแล้วค่ะ”
ปานรุ้งมองปานวาดที่เดินออกมาพร้อมวิภาวี วิภาวียิ้มให้ปานรุ้งด้วยสีหน้าใสซื่อ
“งั้นก็รีบไปได้แล้ว”
ปานรุ้งเดินขึ้นรถ
ปานวาดแอบสบตากับวิภาวี เหมือนสองคนนี้มีอะไรบางอย่าง
ภายในห้องบอลรูมโรงแรมของนิรมล ซึ่งเป็นสถานที่จัดเป็นงานหมั้นในตอนเช้า และเลี้ยงฉลองในตอนค่ำ บรรยากาศตกแต่งสวยงามหรูหราสมฐานะบ่าวสาวไฮโซ ในงานหมั้นมีแค่แขกคนสนิทกันเท่านั้น
ปานรุ้ง วาสุเทพ เกื้อ นิรมล และแขกผู้ใหญ่นั่งอยู่บนโซฟา มองปรกและนิชานั่งอยู่ที่ด้านล่าง กำลังสวมแหวนหมั้นให้กัน
ปกรณ์ ปานวาด ปานเทพ วิภาวีนั่งถัดออกมา ปกรณ์นั้นยิ้มแย้มดีใจกับพี่ชายออกนอกหน้า ปานวาดยิ้มให้ปรกแต่ยิ้มไม่เต็มยิ้ม เพราะยังมีปัญหาของโดมอยู่ในใจ ปานเทพกับวิภาวีเมินหน้าไปมองทางอื่น ข่มอาการทั้งเบื่อ รำคาญ และอิจฉา
ปรกกับนิชาก้มกราบนิรมลเป็นคนแรก นิรมลสวมกอดลูกสาวพลางพูดฝากนิชากับปรก
“ขอบคุณที่รักษาเกียรติของลูกสาวแม่ ต่อไปแม่ขอฝากหัวใจของน้าไว้ให้ปรก ดูแลเขาให้ดีๆ น้ารักเขามาก”
“ครับคุณน้า”
นิรมลอวยพรลูก “ต่อไปนิชาไม่ให้เด็กอีกแล้ว ตอนนี้หนูมีครอบครัวแล้ว อย่าดื้อ อย่ารั้น อย่าเอาแต่ใจ ถ้าปรกเบื่อ แม่ไม่รู้ด้วยนะ”
“คุณแม่อ่า”
นิรมลกอดนิชากับปรก จากนั้นนิชากับปรกขยับไปกราบเกื้อ
เกื้อลูบหัวลูก “พ่อดีใจที่เห็นปรกมีความสุข ต่อไปนี้ชีวิตของปรกไม่ได้มีแค่ตัวเองอีกแล้ว แต่ยังมีคนอีกคนที่ต้องรักและดูแล เขาไว้ใจและวางใจให้ชีวิตเขาอยู่ในมือของลูกแล้ว ก็จงรักและดูแลเขาให้สมกับที่เขาเลือกเรา วันนี้รักเขายังไง ก็รักษาความรักนั้นให้อยู่ทุกวัน ชีวิตคู่อาจมีกระทบกันนิด ก็ให้อภัยกันหน่อย และมีหลานให้พ่อเร็วๆ นะ”
วาสุเทพเป็นคนที่ปรกกับนิชาขยับไปกราบต่อ
วาสุเทพแตะไหล่ปรก “ขอให้ลูกมีความสุข ดูแลกันและกัน คิดถึงใจเขาใจเรา โดยเฉพาะเราเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะผิดหรือถูก เราต้องรู้จักถอยมากกว่าสู้”
“แปลว่าผมต้องกลัวเมียใช่ไหมครับคุณพ่อ” ปรกเย้า
นิชายิ้มชอบใจ “ถูก”
วาสุเทพยิ้มชื่น “ที่พ่อบอกให้ถอย เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างใจเย็นลง อย่าคุยกันตอนมีอารมณ์ ให้คุยกันตอนมีเหตุผลนะลูก”
ปรกกับนิชาขยับไปทางปานรุ้ง นิชามองปานรุ้งแว่บหนึ่ง แล้วก้มหน้า ไม่อยากสบตา ในใจยัง ตะขิดตะขวงกับที่ปานรุ้งทำกับตัวเองไว้ สองบ่างสาวกราบปานรุ้ง
“แม่ขอให้ปรกกับนิชามีความสุข” ปานรุ้งแล้วหันมาทางนิชา “ขอบใจที่ยอมลาออกและมาอยู่บ้านสมุทรเทวา”
นิชาพูดนิ่มนิ่ง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่นิชาทำก็เพื่อคุณปรก ไม่ได้ทำเพราะนายแม่สั่ง”
ปานรุ้งมองนิชา อีกฝ่ายทำหน้านิ่ง
วิภาวีกับปานเทพมองนิชาอย่างทึ่งๆ วิภาวียิ้มสะใจ ขอแจมนิชา
“อุ๊ยต๊าย จะเสียมารยาทไหมคะถ้าวิเชียร์ทีมลูกสะใภ้”
ปานรุ้งมองนิชาอย่างไม่พอใจ แต่นิชาไม่ยี่หระ ปรกอดหนักใจไม่ได้
บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองสมรสตอนค่ำ จัดขึ้นที่โรงแรมของนิรมล บรรยากาศสวยงามและอบอุ่น ปรกและนิชา หล่อสวยเหมาะสมกันมาก แขกมาร่วมงานอย่างคึกคักคับคั่ง
ปรกกับนิชายืนต้อนรับแขกอยู่หน้างาน มีปานรุ้ง วาสุเทพ เกื้อ นิรมล ปานเทพ ปกรณ์ ปานวาด และ วิภาวียืนอยู่ด้วย
วาสุเทพชวนเกื้อคุย “เป็นยังไงบ้างเกื้อ ตั้งแต่เจอหน้ากัน ยังไม่มีเวลาได้คุยกันเลย งานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมหนักไหมช่วงนี้”
“งานไม่หนักหรอกครับ หนักเรื่องคนซะมากกว่า” เกื้อว่า
“เพราะเธอเป็นคนไม่เด็ดขาดไง ยิ่งตอนนี้เธอมีตำแหน่งสูง เธอต้องเลิกใจอ่อน ไม่งั้นเธอก็จะเจอแต่ปัญหา ดูอย่างวันนี้สิ เพราะความใจอ่อน ของฉันที่เชื่อเธอ ทำให้ฉันกำลังจะมีปัญหา” ปานรุ้งปรายตามองไปทางนิชา
“ยังไงผมขอขอบคุณคุณหนูอีกครั้งนะครับ ที่จัดงานแต่งนี้ให้ปรก”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ที่ฉันทำ ก็เพื่อความสุขของลูก”
เกื้อกับวาสุเทพมองปานรุ้งยิ้มๆ รู้ว่าปานรุ้งจะเด็ดขาดแค่ไหน แต่สุดท้ายก็อ่อนเรื่องลูกเสมอ
วิภาวีมองเกื้อ แล้วกระซิบปานเทพ
“วิเพิ่งรู้นะคะว่าพ่อคุณปรก เป็นถึงรัฐมนตรีช่วย ไฮโซมากๆ อ่ะ”
ปานเทพฟังวิภาวีชื่นชมเกื้อ แล้วหงุดหงิดไม่พอใจ
“ยังไงก็เคยเป็นแค่คนขับรถของแม่ผมมาก่อน ไม่ได้ไฮโซอย่างที่คุณคิดหรอก พ่อชูนามของผมต่างหาก ที่ไฮโซ มีชาติมีตระกูลของจริง”
“งั้นคุณก็รีบบอกพ่อชูนามจัดงานแต่งให้เราบ้างสิคะ เอาให้ยิ่งใหญ่กว่าน้องคุณไปเลย นะคะ นะคะ”
ปานเทพรำคาญ “เอาไว้ให้เรื่องบริษัทเรียบร้อยก่อน ค่อยว่ากัน”
มือถือดัง ปานเทพดูหน้าจอ พบว่าชูนามโทร.มา กระซิบบอกวิภาวี
“ผมต้องไปแล้ว คุณดูสถานการณ์อยู่ที่นี่นะ ถ้านายแม่ถามถึงผม บอกว่าผมไปคุยกับเพื่อนอยู่ในงานนี่แหละ”
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยววิจะทำให้นายแม่ลืมคุณเอง”
ปานเทพไม่ติดใจคำพูดนั้น ค่อยๆ เร้นตัวออกไป โดยไม่ให้ปานรุ้งเห็น
ปานวาดหันมามองวิภาวี อีกฝ่ายขยิบตาให้
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ปานรุ้ง และ วาสุเทพเดินทักทายแขกในงาน ปานวาด ปกรณ์ วิภาวี และธันวาเดินตาม ปานวาดคอยเหลือบมองถามวิภาวีเป็นระยะ จนกระทั่งวิภาวีพยักหน้าส่งสัญญาณเริ่มแผน
พนักงานเสิร์ฟถือถาดใส่แก้วไวน์แดง ไวน์ขาว เสิร์ฟแขกในงาน เดินผ่านมาทางปานวาด
วิภาวีแกล้งชนพนักงานเสิร์ฟ จนพนักงานเซไปชนปานวาด เป็นผลให้เครื่องดื่มที่เป็นไวน์แดงหกใส่ชุดปานวาด
วิภาวีแกล้งร้องอย่างตกใจ “ว้าย น้องวาด”
พนักงานตกใจ รีบหันมาช่วยเช็ดเสื้อผ้าให้ปานวาด
“ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวหนูเอาผ้ามาเช็ดให้นะคะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปล้างในห้องน้ำดีกว่า” ปานวาดบอก
“พี่ไปเป็นเพื่อนนะ” วิภาวีแสดงน้ำใจ
“ไม่ต้อง” ปานรุ้งหันไปสั่งปกรณ์ “ไปเป็นเพื่อนพี่วาดหน่อยสิลูก”
“ครับนายแม่”
ปานวาดลอบมองวิภาวีอีก วิภาวีพยักหน้าให้ ปานวาดเดินไปกับปกรณ์
ปานวาดเดินมาที่หน้าห้องน้ำหญิง มีปกรณ์เดินตาม
“เธอไม่ต้องเดินตามพี่ทุกฝีก้าวอย่างนี้ก็ได้ พี่ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ก็นายแม่สั่ง”
“คำก็นายแม่สั่ง สองคำก็นายแม่สั่ง เธอเคยคิดอยากทำอะไรนอกเหนือกว่าที่นายแม่สั่งบ้างไหมปกรณ์”
ปกรณ์หน้าจ๋อยสนิท “พี่วาดเข้าไปล้างตัวเถอะ เดี๋ยวผมรอพี่อยู่ตรงนี้”
“จำไว้นะปกรณ์ พี่ก็รักนายแม่ แต่นี่ชีวิตเรา นายแม่จะชี้แนะนำทางก็ได้ แต่คนที่กำหนดชีวิต คือตัวเรา”
คุณหนูไฮโซใจแตก เดินเข้าห้องน้ำไป ปกรณ์มองตามพี่สาว แล้วหันหลังมองหาที่ยืนรอ
บังเอิญมีผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับปกรณ์ เดินมาเข้าห้องน้ำ ชนกับปกรณ์เข้า ปกรณ์รีบกอดประคองผู้หญิงไว้
“ขอบคุณค่ะ”
ที่ด้านหลังปกรณ์ วิรินทร์ในชุดเด็กเสิร์ฟถือถาดใส่เครื่องดื่ม ยืนมองปกรณ์กอดผู้หญิงอยู่ แล้วหึงโดยไม่รู้ตัว พูดเสียงเข้มและดัง
“ขอทางหน่อยค่ะ”
ปกรณ์คุ้นเสียง หันไปมองเห็นวิรินทร์ก็ดีใจ
“รินทร์”
วิรินทร์มองสองคนที่กอดอยู่อย่างตำหนิ ปกรณ์รู้ตัว รีบปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้น วิรินทร์เดินผ่านไป ปกรณ์รีบตาม
ปานวาดแง้มประตูออกมาดู เห็นปกรณ์ตามวิรินทร์ไป
วิภาวียืนอยู่ข้างรถแท็กซี่ที่เรียกมารอหน้าโรงแรม เพื่อช่วยปานวาดหนี รอสักครู่จึงเห็นปานวาดวิ่งมาหา
“รีบไปเลยค่ะน้องวาด”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยวาด”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่บอกแล้วไงว่าพี่เข้าใจความรู้สึกของน้องวาดกับน้องโดม เพราะพี่ก็ถูกนายแม่กีดกัน เพียงเพราะพี่จนเหมือนกัน รีบไปเถอะค่ะ”
ปานวาดรีบขึ้นรถ แท็กซี่ขับออกไป
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมายิ่งดี แม่แกทำกับฉันไว้แสบ ถึงคราวที่ฉันจะได้หัวเราะเยาะแม่แกบ้าง”
วิภาวีมองตาม ยิ้มร้ายอย่างสาแก่ใจ
ฝ่ายปานเทพพาตัวเองมานั่งร่วมโต๊ะกับชูนาม และ นวรัตน์ ในร้านหรูที่นัดกันไว้ โดยปานเทพกำลังจ่อปากกาจะเซ็นสัญญาซื้อขาย ชูนามกับนวรัตน์นั่งรอ แต่ปานเทพยังลังเล ไม่เซ็นสักที
“อ้าว ทำไมไม่เซ็นล่ะลูก”
“คือผมว่าค่าเครื่องบินที่คุณนวรัตน์เสนอขาย มันสูงไปนะครับพ่อ ผมเห็นราคาเครื่องบินที่บริษัทคุณแม่ ราคาน้อยกว่านี้เยอะมาก”
“คุณปานเทพเพิ่งจะเข้ามาจับธุรกิจเครื่องบิน คงยังไม่ทราบว่าเครื่องบิน มันมีหลายรุ่นบางรุ่นที่ราคาถูก อาจเป็นเครื่องเก่าทำใหม่ มาขายใหม่ ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมีสูง แต่บางบริษัทก็ยอมเสี่ยง เพราะต้นทุนต่ำกว่า แต่เครื่องบินของฉัน เป็นเครื่องใหม่ล้วน ราคาจึงสูง” นวรัตน์บอก
“และถ้าให้พ่อแนะนำ ปานเทพเป็นนักบริหารหน้าใหม่ ควรใช้เครื่องใหม่เพื่อสร้างเครดิตและฐานลูกค้า ถ้าซื้อเครื่องบินเก่าแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา บริษัทของลูกจะเสียกับเสีย”
ปานเทพลังเลอยู่ดี “แต่ว่า...”
“ลูกเป็นคนรุ่นใหม่ ต้องกล้าคิดกล้าทำ อย่างน้อยก็โชว์ให้ไอ้วาสุเทพมันเห็น ว่าลูกไม่ใช่หมูที่มันจะเชือดได้”
ปานเทพมองชูนาม แล้วตัดสินใจเซ็นสัญญาซื้อขาย ตรงหน้า
ชูนามมองสบตานวรัตน์ ยิ้มให้กันอย่างพึงพอใจ
วิรินทร์ยกถาดเครื่องดื่มเดินเสิร์ฟแขกในงาน พยายามหนีปกรณ์ที่คอยตามไปด้วย
“เดี๋ยวรินทร์ มาทำอะไรที่นี่”
วิรินทร์จงใจกวนเพราะหงุดหงิดที่เห็นปกรณ์กอดผู้หญิงคนอื่น “ใส่ชุดเด็กเสิร์ฟ ถือถาดเครื่องดื่มอย่างนี้ คงมาเล่นไอซ์สเก็ตมั้ง” แล้วจะเดินหนีไป
ปกรณ์ขวางไว้พูดย้อนเอา “นึกว่าแอบตามเรามา”
“จะตามนายมาทำไม เวลาฉันเป็นเงินเป็นทอง ที่ไหนมีงาน ฉันก็มาทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้อง ไม่มีเวลาตามคั่วใครอย่างลูกคนรวย” วิรินทร์ดันตัวปกรณ์ออก “ถอยไป ฉันจะทำงานต่อ”
ปกรณ์ไม่ยอม “โกรธอะไรเรารึเปล่า”
“ไม่ได้โกรธ” วิรินทร์ดึงดันจะเดินหนี
ปกรณ์เลยแกล้งแซว “หรือว่าหึง”
“ไม่ได้หึง แต่เขาไม่ให้พนักงานคุยกับแขก”
“เราไม่ใช่แขก เราเป็นคนไทย”
วิรินทร์เห็นปกรณ์ทำหน้าทะเล้นใส่ ยิ่งหมั่นไส้ จึงเหยียบเท้าเขาเต็มแรง ปกรณ์ร้องลั่น
“โอ๊ย”
วิรินทร์จะหนี ปกรณ์จับมือไว้ “เดี๋ยวรินทร์”
ไม่เท่านั้นปกรณ์ยังดึงมือให้วิรินทร์เดินตาม ทำให้ถาดเครื่องดื่มในมือวิรินทร์โยกไปมา สุดท้ายแก้วน้ำในถาดหกจนน้ำในแก้วราดใส่วิรินทร์ เปื้อนทั้งตัว เปื้อนทั้งรองเท้า แก้วแตกกระจาย
“เฮ้ย”
วิรินทร์ก้มลงเก็บเศษแก้ว ปกรณ์รีบนั่งยองๆ ช่วยเก็บเศษแก้ว
“เอ่อ เราขอโทษ”
วิรินทร์ดันตัวปกรณ์ออก จนเขาเซจะล้ม แต่เอามือยันตัวไว้ ทำให้มือปกรณ์ไปโดนเศษแก้วที่แตกเข้า
“สำหรับนาย มันอาจเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องปากท้อง”
วิรินทร์เดินหนีไปเลย ปกรณ์มองตามด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ฝ่ายปานรุ้งเที่ยวเดินตามหาปานวาดไปทั่วงาน โดยมีธันวาเดินตาม
“ปานวาดไม่ได้อยู่ในห้องน้ำแล้ว เธอเห็นปานวาดในงานรึเปล่าธันวา”
“ไม่เห็นครับคุณหญิง”
วิรินทร์เดินก้มหน้า ผ่านปานรุ้งไปเลย ปานรุ้งชะงักเหลียวหลังมองตาม ธันวามองตามด้วย
“เด็กเสิร์ฟนั่นหน้าคุ้นๆ เธอรู้ไหมว่าเป็นใคร”
ธันวาเพ่งมองรินทร์อีกครั้ง “เป็นเด็กผู้หญิงที่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ชนท้ายรถคุณหญิง แล้วเรียกร้องค่าข้าวกับค่าซ่อมรถน่ะครับ”
“อ๋อ ยายเด็กกรรโชกทรัพย์คนนั้น”
ปานวาดลงรถแท็กซี่ริมรั้วหน้าบ้านกติยา ตรงไปกดกริ่งอย่างร้อนใจ คอยชะเง้อมองแต่ไม่มีใครออกมาสักที ปานวาดกดกริ่งเรียกอีกสักครู่ จึงเห็นกติยาเดินกอดอกออกมา ถามน้ำเสียงนิ่งๆ
“หนูมาทำไมอีก”
“คุณแม่คะ พี่โดมเป็นยังไงบ้าง วาดโทรหาก็ไม่รับเลย วาดอยากเจอพี่โดม ขอวาดเจอพี่โดมหน่อยได้ไหมคะ”
“กลับไปเถอะหนูวาด ถ้าแม่ยอมให้หนูเจอโดมอีก คนของแม่หนูต้องกระทืบโดมของแม่จนตายแน่ๆ”
ปานวาดตกใจไม่คิดว่าโดมจะเจ็บหนัก “นี่พี่โดมเจ็บหนักมากเหรอคะคุณแม่”
“กลับไปซะ”
กติยาหมุนตัว ทำท่าจะกลับเข้าบ้าน
“หนูไม่กลับค่ะ ยังไงหนูก็ไม่กลับ ถ้าคุณแม่ไม่ให้หนูเข้าไปเจอพี่โดม หนูก็จะยืนอยู่ตรงนี้”
กติยาหันกลับมาหาปานวาด “แล้วถ้าแม่หนูตามมาอีกล่ะ หนูไม่กลัวเหรอ”
“หนูไม่กลัวแล้วค่ะ ตอนนี้หนูยอมทุกอย่าง แค่ขอให้หนูได้เจอพี่โดม”
กติยามองจ้องหน้าปานวาด “หนูทำให้แม่คิดถึงเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนที่เค้ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เค้ารักมา”
กติยายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเปิดประตูบ้านให้ปานวาดทันที
วิรินทร์หลบออกมาด้านหลังห้อง ถอดรองเท้าคู่ที่ปกรณ์ซื้อให้ ซึ่งเปียกน้ำออก ก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้มาเปิดหากระดาษทิชชู่มาซับ แต่ไม่มี จนมีมือปกรณ์ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้
“เราขอโทษจริงๆ”
วิรินทร์เงยหน้ามอง ปกรณ์มองมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เราไม่เคยเห็นเรื่องงานรินทร์เป็นเรื่องสนุกนะ เรารู้ว่ารินทร์ทำงานหนักมาก เรารู้ว่ารินทร์เหนื่อยเราเลยอยากหาอะไรให้รินทร์หายเหนื่อยบ้าง”
“ขอบใจ” มองที่มือของปกรณ์ “มือเป็นยังไงบ้าง”
ปกรณ์มองมือตัวเองที่มีเลือด
“เจ็บนิดหน่อย”
“มานี่”
ปกรณ์เดินไปนั่งข้างๆ วิรินทร์อย่างว่าง่าย วิรินทร์หยิบพลาสเตอร์จากกระเป๋า ดึงมือปกรณ์มาใกล้ๆ ตัว เพื่อจะแปะพาสเตอร์ยาให้ถนัด
ปกรณ์มองมือวิรินทร์ที่จับมือตัวเอง แอบยิ้ม ฟินเวอร์
วิรินทร์ก้มหน้าแปะพาสเตอร์ไป พอเงยหน้ามาเห็นปกรณ์มองจ้องอยู่ก็เขิน รีบบ่นกลบเกลื่อน
“เศษแก้วนิดเดียว เลือดออกขนาดนี้ นายนี่บอบบางจริงๆ”
ปกรณ์แกล้ง “แล้วรักไหมล่ะ”
วิรินทร์เงยหน้ามองอึ้งๆ “ห๊ะ”
“หมายถึงรักรองเท้าที่เราให้ไหม แต่คงรักสิเนอะ ไม่อย่างนั้น คงไม่ดูแลแบบนี้”
ปกรณ์มองจ้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
วิรินทร์เขินหลบตาวูบ หันไปมองรองเท้า
“ไม่ได้รัก ที่ดูแลเพราะเสียดายต่างหาก” พลางหยิบรองเท้ามาเช็ด
“ดูแลรองเท้าเพราะเสียดาย แล้วดูแลเราล่ะ เพราะอะไร”
วิรินทร์ชะงัก “ก็เพราะนายเป็นเพื่อนไง”
ปกรณ์เรียกเสียงหวาน “รินทร์”
วิรินทร์เหวี่ยงกลบเกลื่อน “เรียกทำไม”
“รินเช็ดรองเท้าผิดข้าง ข้างที่เปื้อนอยู่นี่”
วิรินทร์ชะงัก แต่แถไปอีก “ข้างนี้ก็โดนไวน์กระเซ็นใส่เหมือนกัน นายขอโทษเสร็จแล้วก็ไปได้แล้ว”
ปกรณ์แกล้ง “งั้นเราไปหาผู้หญิงคนเมื่อกี้นะ”
วิรินทร์เหลียวขวับมามองปกรณ์ด้วยสายตาดุ ปกรณ์ยิ้มทะเล้นให้ วิรินทร์จึงรู้ว่าโดนอำ เด็กสาวรีบหันหน้ากลับมามองรองเท้า เซ็งที่เสียรู้ ปกรณ์ยิ้มมีความสุข
ปานรุ้งยืนมองภาพสองหนุ่มสาวกุ๊กกิ๊กกันอยู่ที่มุมหนึ่ง สักครู่จึงหันมาสั่งธันวาที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เธอไปบอกพี่เทพให้ตามหาปานวาดด้วย ส่วนฉันมีเรื่องใหม่ต้องจัดการ”
ร่างโดมมีผ้าพันแผล ทั้งที่แขน ขา นอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง ปานวาดเดินเข้ามาเห็นสภาพโดมก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะสาหัสขนาดนี้ เดินไปนั่งลงริมเตียงข้างๆ โดม
กติยาตามเข้ามายืนมองปานวาดกับโดมอย่างสมใจ
ปานวาดลูบผมโดมด้วยความเป็นห่วงเหลือแสน “พี่โดม”
“โดมเค้าเพิ่งกินยานอนไป อีกสักพักกว่าจะตื่น”
ปานวาดมองสภาพโดมที่เจ็บหนักมากก็เสียใจจนน้ำตาร่วงจับมือโดมขึ้นมา
“วาดขอโทษนะพี่โดม”
“วันที่แม่เห็นสภาพโดมหลังจากโดนซ้อม แม่แทบจำลูกแม่ไม่ได้เลยเนื้อตัว โดมมีแต่เลือด มีแต่รอยช้ำ แต่หมอก็บอกว่าโดมยังโชคดี ที่ข้างในไม่กระทบกระเทือนอะไรมาก ไม่อย่างนั้นโดมอาจจะเป็นหนักกว่านี้”
ปานวาดมองสภาพโดมแล้วร้องไห้ออกมา
“นายแม่ใจร้าย วาดไม่คิดเลยว่านายแม่จะ ใจร้ายขนาดนี้”
กติยาเหยียดยิ้มสะใจที่ปานวาดเริ่มเกลียดปานรุ้ง แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ
“วาดขอโทษนะคะคุณแม่ ที่วาดทำให้พี่โดมเจ็บ...วาดผิดเอง”
“วาดไม่ผิดหรอกลูก” กติยาดึงปานวาดเข้ามากอดปลอบ “แม่เข้าใจดี ความรักที่มันโดนพรากออกจากกันมันเป็นยังไง ครั้งนึงแม่เคยรักผู้ชายคนนึงมาก แต่ก็มีคนใจร้ายมาพรากผู้ชายคนนั้นไปจากแม่เหมือนกัน”
“แล้วคุณแม่ทำยังไงเหรอคะ”
“แม่บอกหนูไม่ได้หรอก หนูเป็นเด็กฉลาด หนูลองคิดดูสิลูกว่าทำยังไง หนูกับโดมถึงจะอยู่ด้วยกันได้”
กติยามองปานวาดยิ้มๆ
งานจ็อบเลิก วิรินทร์เปลี่ยนชุดแล้ว เวลานี้กำลังสตาร์ตมอเตอร์ไซค์ด้วยความรีบร้อน แต่รถไม่ติดสักทีปกรณ์เดินเข้ามา
“รินทร์ จะกลับแล้วเหรอ”
“ใช่ แม่เราไม่สบายน่ะ เราต้องรีบกลับไปดู” วิรินทร์สตาร์ตรถอีกหลายทีแต่ก็ไม่ติด “รถเป็นอะไรเนี่ย”
“ให้เราไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรานั่งรถเมล์ไปก็ได้” วิรินทร์ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ล็อคกุญแจแล้วจะเดินไป
“กว่ารถเมล์จะมา แล้วนี่ก็ดึกแล้วด้วย เดี๋ยวเราให้คนขับรถไปส่ง”
“ไม่เป็นไร เราไปเองได้”
ปานรุ้งทำทีเดินเข้ามาหา
“ปกรณ์...บอกเพื่อนว่าไม่ต้องไปรถเมล์ เดี๋ยวแม่ไปส่ง”
ปกรณ์ชะงัก วิรินทร์หันไปเห็นปานรุ้งก็จำได้
ปานรุ้งยิ้มทัก “ไม่ต้องเกรงใจนะ เราเคยรู้จักกันอยู่แล้ว”
ปกรณ์แปลกใจที่ปานรุ้งรู้จักวิรินทร์มาก่อน
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 16 (ต่อ)
สานอนซมเพราะพิษไข้อยู่ที่โซฟาห้องพักบนแฟลต มีเข้มคอยดูแลป้อนยาให้กิน
วิรินทร์เปิดประตูเข้ามา แล้วรีบเดินไปหาแม่
“แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
ปานรุ้งกับปกรณ์เดินตามเข้ามา ธันวาหยุดรอที่หน้าห้อง ปานรุ้งมองสภาพห้องของวิรินทร์ ปกรณ์จะเดินเข้าไปดูสา ปานรุ้งดึงแขนห้ามไว้จงใจพูดให้วิรินทร์และสาได้ยิน
“อย่าเข้าไป เดี๋ยวก็ติดไข้หรอกปกรณ์”
สา และเข้มมองปานรุ้งกับปกรณ์งงๆ วิรินทร์แนะนำ
“นั่นปกรณ์ เพื่อนที่มหา’ลัยรินทร์ ส่วน... แม่ของปกรณ์ พอดีรถรินทร์เสีย แม่ของปกรณ์เลยมาส่งรินทร์น่ะจ้ะ”
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งรินทร์” สาเกรงใจ
“ไม่เป็นไร” ปานรุ้งหันมาทางปกรณ์ “ปกรณ์ไปรอแม่ที่รถก่อนไป เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการให้”
ปกรณ์มองปานรุ้งอย่างลังเล มองวิรินทร์ด้วยท่าทีกระอึกกระอัก ไม่อยากไป
ปานรุ้งเสียงเข้มขึ้น “ไปสิปกรณ์”
“ครับ นายแม่” ปกรณ์ยกมือไหว้ลาสา “ผมไปนะครับ...เราไปนะ” ตอนท้ายเขาหันไปทางวิรินทร์แล้วออกไป
ปานรุ้งมองเป็นเชิงสั่งธันวาให้ตามปกรณ์ไป ธันวาโค้งเข้าใจ แล้วเดินตามปกรณ์ไป / ปานรุ้งหันมาพูดกับน้าสาต่อ
“ฉันเห็นลูกสาวเป็นเด็กขยัน รับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟในงานแต่งลูกชายฉัน ทำทุกอย่างเพื่อหาเงิน ฉันเลยมาส่งเพื่อมาดู คุณเป็นยังไง มีอะไรให้ฉันช่วยเหลือไหม”
เข้มรีบพูดบอก “ไม่มี คุณกลับไปเถอะ”
“แต่วิรินทร์ อาจต้องการก็ได้นะ”
“หนูไม่ต้องการอะไรจากคุณหรอกค่ะ”
“แต่ตอนเราเจอครั้งแรก เธอไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”
วิรินทร์มองปานรุ้งนิ่ง
ปานรุ้งยิ้มให้ทุกคน “ถ้าไม่ให้ฉันช่วยอะไร ก็ไม่เป็นไร หายเร็วๆ นะ ขอโทษที่เมื่อกี้ฉันพูดกับปกรณ์เสียงดังไปหน่อย คือร่างกายปกรณ์อ่อนแอ แต่เขามักคิดว่าเขาโตแล้ว เขาแข็งแรงไม่ติดโรคง่ายๆ แต่หลายครั้งเขาคิดผิด เชื้อโรคมีอยู่รอบตัวเขา ฉันต้องคอยปกป้อง คงเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
“ค่ะ ฉันเข้าใจ” สาบอก
“งั้นฉันไปละ”
ปานรุ้งหยิบทิชชูจากกระเป๋า มาเช็ดมือตัวเอง จงใจให้เห็นว่ารังเกียจที่นี่
วิรินทร์มองตามนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
ปกรณ์ยืนรออย่างกระสับกระส่าย มีธันวายืนคุยมือถืออยู่ข้างๆ จนปานรุ้งเดินมา
“กลับบ้านกันได้แล้ว”
“แล้วแม่ของรินทร์ล่ะครับ เราพาไปส่งโรงพยาบาลดีไหมครับ”
“ไปส่งทำไม เราเป็นอะไรกับเขาเหรอถึงต้องเป็นห่วง ดูแลขนาดนั้น”
ปกรณ์ชะงัก ธันวาเดินเข้ามาปานรุ้งด้วยท่าทางร้อนใจ
“คุณหญิงครับ ท่านวาสุเทพโทร.มาบอกว่าคุณวาดหายไปครับ”
“อะไรนะ”
ความวัวเพิ่งจะหายไม่ทันสนิทดี ความควายเข้ามาแทรก ปานรุ้งเดินนำธันวา และ ปกรณ์มาที่รถริมถนนหน้าแฟลต ด้วยอารมณ์ร้อนรุ่ม พลางหันมาซักลูกชาย
“ปกรณ์คลาดกับพี่วาดตอนไหน ปกรณ์จำไม่ได้รึไง”
ปกรณ์จ๋อย “ผมจำได้ว่าเห็นพี่วาดครั้งสุดท้าย ตอนพี่วาดเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำครับ”
ปานรุ้งโกรธจัด “วาดนะวาด ถ้ารู้ว่าไปหาไอ้กุ๊ยนั่น คราวนี้จะไม่ใช่แค่ขังจะส่งไปเมืองนอกเลย”
มือถือดังขึ้น ปานรุ้งรีบกดรับ
“ฮัลโหล”
เสียงกติยาดังลอดมาจากมือถือ “นั่นคุณปานรุ้งเหรอคะ”
ปานรุ้งคุยมือถือ อย่างหงุดหงิด “นั่นใคร”
กติยายืนคุยมือถือกับปานรุ้งอยู่ในสนามหญ้า ด้วยสีหน้ามีความสุข สะใจสุดๆ
“ฉันจะโทร.มาบอกว่าลูกสาวของคุณ อยู่กับลูกชายฉัน สนใจมารับกลับไหมคะ”
ปานรุ้งฟังน้ำเสียงคุ้นหูของกติยาแล้วชะงัก ความโกรธที่เคยมี กลายเป็นความกลัวจับขั้วหัวใจ
“นะ นั่น ยาเหรอ”
กติยากดวางสายแล้วยิ้มออกมาอย่างสะใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียงทำเป็นตกใจสุดขีด
“หนูวาด โดม แย่แล้วลูก แม่ของหนูวาดกำลังพาตำรวจมา”
จากนั้นกติยาก็รีบวิ่งเข้าบ้านไป
ส่วนปานรุ้งรีบต้อนปกรณ์ให้ขึ้นรถด้วยท่าทีร้อนใจเป็นที่สุด
“ขึ้นรถเร็วปกรณ์” แล้วจึงหันไปคุยสายกับวาสุเทพ “รุ้งเจอปานวาดแล้วค่ะ พี่เทพไม่ต้องมาค่ะ มันเป็นเรื่องของรุ้งกับแม่ของนายโดม”
กติยากับปานวาดพยุงโดมมาขึ้นรถคันของกติยาอย่างรีบร้อน
โดมไม่ยอมขึ้นรถ “ทำไมเราต้องหนีด้วยล่ะครับแม่ ในเมื่อการที่ผมรักวาด มันไม่ใช่เรื่องผิด
“แล้วที่โดมต้องเจ็บตัวแบบนี้ มันสนใจเรื่องถูก ผิด ไหม” กติยาหลุดปาก เผลอพูดอย่างโกรธแค้น “ผู้หญิงคนนั้นไม่หยุดเท่านี้แน่ ต่อให้เลวยิ่งกว่านี้มันก็ทำได้ ขอแค่ได้สิ่งที่มันต้องการ มันไม่สนใจเรื่องถูกหรือผิด”
ปานวาดชะงักมองจ้องกติยาอึ้งๆ อีกฝ่ายรู้ตัวรีบพูดดีด้วย
“ที่น้าพูด เพราะน้ารู้ว่าหัวอกแม่หนูดี คงไม่ยอมให้ลูกสาวคบกับผู้ชายที่ไม่มีชื่อเสียง ฐานะไม่เริดหรู หน้าที่การงานก็ไม่มั่นคงอย่างลูกชายน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โทร.มาขู่ว่ากำลังพาตำรวจมา จับลูกชายของน้าเข้าคุก” กติยาจับมือโดมมาประกบมือปานวาด “แต่แม่รู้ดี ว่าความรัก มันยิ่งใหญ่กว่าเงินทอง ชื่อเสียง แม่รู้ว่าเวลารักใครสักคนมาก แล้วต้องถูกพรากไป มันเจ็บปวดทรมานขนาดไหน ถ้าสองคนรักกันก็รีบไปซะ ทางนี้แม่จัดการเอง”
โดมทักท้วง “แต่ว่า...”
“แม่พี่พูดถูก ถ้านายแม่มาเจอวาดหนีมาหาพี่แบบนี้ นายแม่ไม่ปล่อยไว้แน่ เรารีบไปเถอะพี่โดม”
โดมมองปานวาดอย่างลังเล
ด้านปานรุ้งเร่งคนขับอย่างร้อนใจ
“ขับให้มันเร็วกว่านี้ได้ไหม นั่น รีบเลี้ยวเข้าซอยนั่น”
โดมขับรถคันของกติยาแล่นมา โดยมีปานวาดคอยมองทางอย่างระแวดระวัง กลัวจะเจอรถปานรุ้ง ในที่สุดปานวาดก็เห็นรถคุณหญิงมารดากำลังขับสวนมา
“นั่นรถนายแม่” สาวใจแตกรีบก้มหลบ
รถของปานรุ้งขับเข้ามาในซอยมองหาบ้านกติยา ส่วนรถกติยาที่โดมขับ แล่นออกไปทางปากซอย รถสองคันสวนกัน ปานรุ้งนั่งหน้ากับคนขับมองตรงไปข้างหน้า โดยที่นอกหน้าต่าง ด้านที่ปานรุ้งนั่ง รถกติยาที่โดมขับแล่นผ่านไปช้าๆ
ปานวาดก้มหลบอยู่ แอบเงยหน้ามองรถมารดาที่แล่นผ่านไปอย่างลุ้นระทึก
รถยังไม่ทันจะจอดสนิทดีนัก ปานรุ้งร้อนใจเปิดประตู รีบลงจากรถ ตรงไปที่หน้าประตูรั้วบ้าน ปกรณ์กับธันวารีบลงจากรถตามไป
ปานรุ้งนึกได้หันไปทางลูกชาย กลัวจะได้ยินเรื่องไม่ดีตอนทะเลาะกับกติยา
“ปกรณ์ไม่ต้องตามแม่มา” แล้วกำชับธันวา “ดูแลปกรณ์ไว้ อย่าให้ปกรณ์เข้ามาเด็ดขาด”
ปานรุ้งเดินเข้าบ้านกติยาไป ปกรณ์มองตามด้วยสีหน้าเครียด
กติยานั่งไขว่ห้างกินผลไม้รออยู่ในห้องรับแขก อย่างมีความสุข
ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง กติยาหันไปมองด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ
“ไม่เจอกันซะนานนะปานรุ้ง”
ปานรุ้งถลันเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง
“ลูกฉันอยู่ไหน”
กติยานั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน “ไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนเก่าเลยเหรอ”
ปานรุ้งแทบระเบิดแล้ว เสียงดังมากขึ้น “ฉันถามว่าลูกฉันอยู่ไหน”
กติยาเปลี่ยนขาที่นั่งไขว้ห้าง มาเหยียบพื้นเต็มแรง
“ถ้าอยากรู้ ก็กราบเท้าอ้อนวอนฉันสิ”
“ไม่บอกใช่ไหม”
ปานรุ้งทนไม่ไหว หยิบแจกันปาใส่กำแพง เฉียดใบหน้ากติยาไปนิดเดียว แจกันแตกดังเพล้ง
ปกรณ์กับธันวาได้ยินเสียงแจกันแตก ต่างก็ตกใจ
แถมเสียงปานรุ้งดังมาจากในบ้าน “ลูกแกเอาลูกสาวฉันไปไว้ไหน”
“นายแม่” ปกรณ์จะตามเข้าไปช่วย
ธันวาดึงแขนไว้ “อย่าเข้าไปครับคุณปกรณ์”
“แต่ผมห่วงนายแม่” ปกรณ์จะเข้าไปให้ได้ แต่ธันวายังดึงแขนไว้
ดรุณีเดินมาจากปากซอย เห็นปกรณ์และธันวายืนอยู่หน้าบ้านก็แปลกใจ
“พวกคุณมาหาใคร”
กติยายังคงนั่งนิ่ง ไม่ตกใจกลัวที่ปานรุ้งอาละวาดใส่ ปานรุ้งเดินเข้าไปกระชากแขนกติยาให้ลุกขึ้น
“เธอจงใจให้ลูกชายเธอมายุ่งกับลูกฉันใช่ไหม เรื่องของเธอกับฉันก็เคลียร์ที่ฉันกับเธอ ลูกฉันไม่เกี่ยว”
กติยาผลักปานรุ้งออก “เรื่องของเธอกับฉันมันจบไปแล้ว ตอนนี้มันเป็นเรื่องของลูกกับลูก ในเมื่อเด็กรักกัน เธอจะขวางเขาทำไมล่ะรุ้ง หรือว่ากลัวเวรกรรมที่เธอทำไว้ มันจะตกถึงลูก”
“ไม่มีเวรกรรมบ้าบออะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่บอก ฉันค้นบ้านเธอเองก็ได้”
ปานรุ้งขาดสติผลักโต๊ะ ผลักตู้ ปัดข้าวของที่ขวางหน้าตกแตกกระจาย อย่างเดือดดาล
กติยาสะใจเหลือเกิน
“หาเลย หาให้ตาย ก็ไม่เจอ จำคำที่ฉันบอกเธอได้ไหม ผลกรรมที่เธอเคยทำร้ายคนที่รักเธอ จะทำให้ชีวิตเธอต้องเจ็บปวดร้อยเท่าพันเท่า เธอต้องโดนคนที่เธอรักทำให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น ลูกเธอมันใจแตกเหมือนเธอ เธอเคยหนีตามผู้ชายยังไง ลูกเธอก็หนีตามลูกชายฉันไปอย่างนั้น”
“อะไรนะ”
“อย่าเพิ่งตกใจไป กรรมนั้นยังไม่ตามสนองเธอ ตอนนี้มันแค่เริ่มต้น รอให้ลูกฉันทำลูกเธอท้องก่อน ฉันจะทำให้ลูกฉันทิ้งลูกเธอ ถ้าลูกสาวเธอถามว่าทำไม ฉันก็จะบอกว่าเป็นเพราะเธอ เธอเคยแย่งผัวคนอื่นไป ลูกเธอถึงต้องรับกรรม แล้วลูกเธอก็จะเกลียดเธอ จากนั้นฉันจะมองเธอทรมานแทบแดดิ้นกับการมองลูกถูกผู้ชายทิ้ง...”
กติยาพูดไม่ทันจบ ปานรุ้งพุ่งพรวดเข้าบีบคอหมับด้วยความโมโห
“บอกมา ลูกชายแกพาลูกฉันไปไหน”
กติยาไม่ดิ้นรนใดๆ แต่จ้องตาปานรุ้งเต็มๆ ตา โดยไม่มีทีท่าหวาดกลัว “ไม่บอก”
ปานรุ้งบีบเค้นแรงขึ้น พร้อมกับเดินดันตัวกติยาไปที่กำแพง “บอกมา”
“ฉันไม่บอก”
ปานรุ้งบีบคอแรงมากขึ้นพร้อมกับขย่มตัวกติยากระแทกกำแพง
“ฉันบอกให้บอกมา”
ดรุณี ปกรณ์ และธันวาวิ่งเข้ามาในบ้าน แล้วรีบเข้าไปจับตัวปานรุ้งแยกออกจากกติยา
“ปานรุ้ง หยุด”
ปกรณ์พาปานรุ้งออกห่างจากกติยา “ใจเย็นๆ ครับนายแม่”
กติยามองปานรุ้งด้วยความสะใจ “20 กว่าปีที่ฉันรอเห็นแกเป็นอย่างนี้ ต่อให้แกฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ไม่บอกว่าลูกฉันพาลูกแกไปไหน”
ดรุณีใจหล่นวูบ รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไรมองกติยาด้วยสายตาตื่นตะลึง ตกใจสุดขีด
“ได้ งั้นเธอก็เตรียมไปเยี่ยมลูกชายในคุกได้เลย ฉันจะทำทุกทางเพื่อลากมันเข้าคุก”
ปานรุ้งเดินหุนหันออกไปพร้อมปกรณ์และธันวา
ดรุณีมองตามจนปานรุ้งพ้นบ้านไปแล้ว จึงหันขวับมาถามคาดคั้นเอากับกติยา
“ปานวาดเป็นลูกปานรุ้งงั้นเหรอ แล้วพ่อปานวาดเป็นใคร”
วาสุเทพ เกื้อ ปานเทพ และ วิภาวีเดินออกจากบ้านมารอปานรุ้ง ผ่านไปสักครู่ใหญ่รถตู้แล่นมาจอด ปานรุ้ง ปกรณ์ และธันวา ทยอยลงจากรถ
วาสุเทพมองหาปานวาด “รุ้ง วาดล่ะ”
วิภาวีไม่เห็นปานวาด ก็ลอบยิ้มอย่างสะใจ พูดแดกดันสีหน้าซื่อ
“นี่น้องวาดหนีตามผู้ชายไปจริงๆ เหรอคะ”
ปานรุ้งเดินพุ่งเข้าไปจะเอาเรื่อง ตวาดวิภาวี
“เธอพูดอะไร”
วิภาวีทำเป็นผวาถอยไปยืนหลบหลังปานเทพ แต่ยังปากดีอยู่
“ก็วิได้ยินคนเขาพูดกันอย่างนั้นนี่คะ”
วาสุเทพดุวิภาวี “แต่เธอก็ควรฟังความจริงก่อนที่จะพูดไม่ดีถึงคนในครอบครัวอย่างนี้”
ปานเทพโกรธที่เห็นวาสุเทพดุเมีย จึงออกตัวปกป้อง “วิก็แค่พูดตามที่ได้ยินมา ถ้าคุณลุงไม่พอใจ ก็ไปด่าคนอื่น ไม่ใช่มาด่าคนในครอบครัวเหมือนกัน”
ปานรุ้งขึ้นเสียงดุปานเทพ “พอได้แล้ว” พลางข่มอารมณ์หันมาทางวาสุเทพและเกื้อ “ส่งตัวปรกกับนิชาเข้าห้องหอเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเกื้อ”
“เรียบร้อยแล้วครับคุณหนู คุณนิรมลเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”
“งั้นเธอกับพี่เทพเข้าไปคุยกับฉันในห้องทำงานหน่อย ฉันมีเรื่องต้องการให้เธอช่วย”
ฟากดรุณีเดินออกจากบ้าน โดยมีกติยาวิ่งตามมาดึงมือรั้งไว้
ดรุณีปัดมือกติยาออก “ปล่อยแม่ แม่จะไปตามโดม”
“แม่จะไปตามทำไม เด็กมันรักกัน”
“มันจะรักกันได้ยังไง มันพ่อเดียวกัน” ดรุณีโกรธจัด
“แต่ทั้งปานรุ้ง ทั้งเด็กสองคนนั้นยังไม่มีใครรู้นี่คะว่ามีพ่อคนเดียวกัน” กติยาบอกหน้าตาเฉย
ดรุณีโกรธถึงขีดสุด “ยาทำอย่างนี้ได้ยังไง รู้ไหมว่ายากำลังใช้ชีวิตของลูกเป็นเครื่องมือแก้แค้น”
“ยาบอกแล้วไงว่าโดมเป็นผู้ชาย โดมไม่เสียหาย แต่ลูกนังรุ้งต่างหากที่ต้องท้องไม่มีพ่อ ต้องโดนชาวบ้านนินทา เยาะเย้ยว่าเป็นผู้หญิงโดนผัวทิ้ง เหมือนที่ยาเคยโดนไง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเรื่องมันจะจบไหม ถ้าปานวาดท้องเด็กในท้องก็ลูกของโดม เวรกรรมก็ผูกเกี่ยวกันไม่รู้จักจบสิ้น แม่ไม่ยอม แม่จะไปตามโดม”
“โดมไปแล้ว แม่ไม่มีวันหาโดมเจอหรอก ไม่มีใครหยุดเรื่องนี้ได้”
“มีสิ ถ้าแม่ตามโดมไม่ได้ แม่ก็จะไปหาอีกคน เรื่องทุกอย่างเกิดเพราะคนๆ นี้ คนๆ นี้ต้องร่วมรับผิดชอบ แม่จะไปบอกคุณวาสุเทพ ว่าโดมเป็นใคร ให้เขาจัดการทุกอย่าง”
ดรุณีเดินไป กติยามองตาม แล้วจู่ๆ ก็กรี๊ดออกมาเหมือนคนบ้าคลั่ง
“แอร๊ย...”
ดรุณีตกใจ เหลียวขวับมามองลูกสาว เห็นกติยาเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้น
“ยา”
ดรุณีรีบวิ่งเข้าไปประคองกอดกติยาแนบอกร้องเรียกสาวใช้
โดยไม่ทันเห็นว่ากติยาลืมตามามองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์สมใจ
อ่านต่อตอนที่ 17