xs
xsm
sm
md
lg

เจ้านาง ตอนที่ 11

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เจ้านาง ตอนที่ 11

มนต์ทิพย์นอนอยู่ ปีบห่มผ้าให้ แล้วมองไปรอบๆ ห้อง หวาดๆ
 
“ปีบนอนข้างเตียงคุณทิพย์นะคะ ไม่ต้องกลัวค่ะ ปีบอยู่เป็นเพื่อน”
“ขอบใจมากพี่ปีบ”
ปีบจัดแจงที่นอนของตัวเอง
“ว่าแต่คุณทิพย์เห็น เอ่อ จริงๆ เหรอคะ”
“ใช่ เขาหันมองทิพย์ด้วย น่าแปลกจังที่หน้าตาเขาคล้ายทิพย์มาก”
ปีบหน้าเสีย นอนลง หวาดๆ มนต์ทิพย์นอนมองเพดานอยู่ นึกถึงภาพละอองคำที่หันมามองก็รีบหลับตาทันที

ผีเจ้าเดินเข้าหาละอองคำ สีหน้าและน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ทำไม่สำเร็จอีกแล้วใช่มั้ย”
“ข้าแค่ทำให้มันกลัว ยังไม่ทันได้ขอให้มันรับเป็นทายาท ก็มีคนมาขัดเสียก่อน”
“แล้วอีอัปสรเล่า”
“ผีเจ้าก็รู้นี่ว่าอัปสรไปบวช”
ผีเจ้าหัวเราะในลำคอ รู้ทัน
“ก็เลยนั่งฝันว่าจะได้กินบุญจากมัน รอคอยให้มันกรวดน้ำมาให้รึ”
ผีเจ้ากระชากคอละอองคำ ดวงตาดุดัน
“อย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้ง่ายๆ ละอองคำเหย”
ละอองคำพูดอย่างลำบาก เพราะถูกบีบคอ
“อย่า ผีเจ้า อย่า ข้ากลัวแล้ว”
ผีเจ้าจับละอองคำเหวี่ยงไปปะทะผนัง แสงฟ้าแลบเข้ามาทางหน้าต่าง
“เมื่อเจ้าทำไม่สำเร็จ ข้าจะไปเอง”
ผีเจ้าวูบหายไป
“อย่านะ ผีเจ้า อย่าทำอะไรหลานข้านะ”
ละอองคำหน้าเสีย ผีเจ้าวูบมาด้านหลัง ดึงผมละอองคำจนหน้าหงาย
“ห่วงมันมากนักเหรอ อยากเจ็บตัวใช่มั้ยนังละอองคำ”
ละอองคำน้ำตาร่วงพรู ผีเจ้าจ้องหน้าละอองคำอย่างเจ็บแค้น ฟ้าแลบเป็นแสงสว่างวาบเข้ามาในเรือนของละอองคำ แล้วผ่าเปรี้ยง
แสงฟ้าแลบผ่านเข้ามาทางหน้าต่างห้องมนต์ทิพย์ ฟ้าร้องครืนๆ เหมือนฝนตกหนักอยู่ข้างนอก มนต์ทิพย์ขยับตัวแล้วลืมตาตื่นขึ้น ตกใจ แต่ร้องไม่ออก ผีเจ้านั่งอยู่ปลายเตียง จ้องมองมา มนต์ทิพย์กระถดกายหนี แต่ผีเจ้าจับข้อเท้าทั้งสองข้างไว้ มนต์ทิพย์ดิ้นรน แต่ทำอะไรไม่ได้
พลันแสงสว่างวาบขึ้น เงาร่างของรุ้งแก้วปรากฏขวางตัวมนต์ทิพย์อยู่ ผีเจ้าสะดุ้ง ผละออกแล้ววูบหายไป เงาร่างของรุ้งแก้วก็หายไปด้วย มนต์ทิพย์ผวาลุกขึ้นนั่ง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงดังมา พร้อมกับแสงฟ้าแลบเข้ามาทางหน้าต่าง ปีบลุกขึ้น เห็นมนต์ทิพย์นั่งหน้าซีดอยู่
“คุณทิพย์นอนไม่หลับเหรอคะ”
“ผี เหมือนโดนผีอำ แต่ว่าทำไมมันชัดเจนเหลือเกิน”
มนต์ทิพย์ซีดเจื่อน หวาดกลัว

รุ้งแก้วลืมตาขึ้นจากสมาธิ อยู่ในกุฏิเล็กๆ ในป่า
“เจ้าพี่จะรู้หรือเปล่าว่ากรรมที่เจ้าพี่ได้ทำไว้ ตกแก่ลูกแก่หลานอย่างใด”
รุ้งแก้วหน้าเศร้า น้ำตาคลอ ในขณะที่ผีเจ้าวูบขึ้นตรงหน้าละอองคำ ผลักละอองคำไปชิดผนัง โกรธจัด
“รู้หรือไม่ว่าอีรุ้งแก้วมันยังมีชีวิตอยู่”
“รุ้งแก้ว ผีเจ้าพบรุ้งแก้วที่ใดรึ”
“เจ้าไม่ต้องรู้ดอก ฮึ ถ้ามันไม่มาขวางไว้ ข้าก็จะบังคับให้นังมนต์ทิพย์มันรับเป็นทายาทของข้าแล้ว”
ละอองคำตกใจ แต่ดวงตาก็มีแววดีใจอยู่
“ข้าไม่มีวันยอมดอก ไม่ได้อีอัปสรก็ต้องเป็นลูกสาวของมัน คนใดคนหนึ่งต้องเป็นทายาทของข้า”
ผีเจ้าวูบหายไป ละอองคำน้ำตาไหลพราก

“รุ้งแก้ว พี่ฝากหลานด้วย ช่วยหลานด้วยนะ”

ตอนเช้า บุญสลักกับมนต์ทิพย์เดินคุยมาด้วยกันภายในวัด
 
“ถ้าทิพย์ชอบทำบุญ ผมพามาทุกวันก็ได้นะ อะไรที่เป็นความสุขของทิพย์ ผมทำได้ทุกอย่าง”
มนต์ทิพย์พูดด้วยความน้อยใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ทิพย์ก็รบกวนทางบ้านคุณมากพอแล้ว”
“ทำไมทิพย์พูดอย่างนั้นล่ะ”
มนต์ทิพย์เมินหน้าไปทางหนึ่ง น้อยใจเดินหนีไป บุญสลักตามไปติดๆ จับมือหญิงสาว
“เราจะแต่งงานกันนะทิพย์”
“ทิพย์คงทำไม่ได้หรอกค่ะ ทิพย์ต้องตามหาแม่ให้พบ แล้วพาท่านกลับไปอังกฤษ”
“เราจะแต่งงานกันทันทีที่พบคุณน้า แล้วผมจะไปอังกฤษกับคุณ โอเคมั้ยครับทิพย์”
มนต์ทิพย์มองบุญสลักอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำตารื้น
“แต่ แม่คุณ แล้วยังจะอาของคุณ”
“ในเมื่อท่านไม่เห็นใจ ผมก็จำเป็นต้องทำเพื่อเราสองคน ผมสัญญาผมจะพูดกับคุณแม่ให้เข้าใจ”
มนต์ทิพย์ยิ้มอย่างมีความหวัง ทั้งสองเข้าไปไหว้พระในโบสถ์
“ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้ทิพย์ได้พบแม่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
มนต์ทิพย์กราบลง เด็กวัดเดินเข้ามา เก็บดอกไม้ที่คนบูชาพระแล้วจะเอาออกไปข้างนอก
“น้องอยู่ที่วัดนี้เหรอ”
“ใช่ครับพี่ ผมช่วยหลวงพ่อ ดูแลเปิดปิดโบสถ์นี้ครับ พี่มีอะไรเหรอเปล่าครับ”
“สองสามวันมานี่ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขออาศัยอยู่ที่วัดนี้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ ปกติท่านจะไม่รับคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ที่วัด”
มนต์ทิพย์หน้าเสียไป ทั้งสองเดินออกจากโบสถ์มาที่รถ
“บางทีเขมิกาอาจช่วยให้เราตามหาคุณน้าได้ พ่อของเธอกว้างขวางมากบางทีท่านอาจช่วยได้”
“ขอบคุณค่ะ”
บุญสลักกดโทรศัพท์ทันที
“คุณเขมครับ ผมมีเรื่องขอความช่วยเหลือหน่อย”
มนต์ทิพย์มองบุญสลักพูดโทรศัพท์อย่างมีความหวัง ในขณะที่เขมิกาหน้าบึ้ง กดปิดโทรศัพท์ โฉมยืนมองอยู่
“เป็นอะไรรึแม่เขม บอกย่าซิ”
“บุญสลักน่ะสิคะ ดันให้เขมพูดกับคุณพ่อให้ติดต่อนักสืบช่วยตามหาคุณอัปสร แม่ของนังมนต์ทิพย์”
“ใครนะ”
“อัปสรค่ะ แม่ของนังมนต์ทิพย์ คนรักของบุญสลัก”
โฉมทวนคำเสียงสั่น
“อัปสร แล้วตามหาทำไม”
“โอ๊ย คุณย่า เขมไม่อยากนินทา สองแม่ลูกนี่หอบหิ้วกันมาจากอังกฤษ มาถึงไม่นาน อีตาพ่อก็โดนแมวกัดตาย หลังจากนั้นยัยตัวแม่ก็ประสาทรับประทาน มองเห็นผีเห็นอะไรแปลกๆ ได้ข่าวว่าไปหาหมอ ก็ดันเห็นหมอเป็นผี เลยวิ่งหนีเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ ประสาท”
โฉมหน้าซีด ริมฝีปากสั่นระริก เขมิกาไม่ทันสังเกต
“ถ้าเป็นคุณย่า คุณย่าจะช่วยตามหามั้ยคะ”
โฉมฝืนยิ้มปรับอารมณ์
“แล้วเขมคิดยังไง ย่าฟังความเห็นของเขมก่อน”
“เขมไม่มีวันช่วยมันหรอก เพราะถ้าเจอนังอัปสร ก็เท่ากับว่าสองคนนั่นจะแต่งงานกันเร็วมากขึ้น เขมคงทนไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า”
“เราต้องช่วย แล้วหาทางสกัดไม่ให้เขาแต่งงานกันจะดีกว่า”
เขมิกามองโฉมอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมคุณย่าคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ถ้าไม่ช่วย เขาก็จะหาว่าหลานใจดำ ผู้ชายน่ะตายน้ำตื้นกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขม อย่ามองข้ามสิ เชื่อย่าเถอะ”
“งั้นเขมก็ขอให้คุณย่าช่วยเป็นธุระคุยกับคุณพ่อให้ทีเถอะค่ะ เขมจะออกไปช้อปปิ้ง เขมจะให้บุญสลักส่งรูปยัยอัปสรมาให้ แล้วเขมจะส่งให้คุณย่านะคะ เขมไปก่อนค่ะ รักคุณย่าจัง”
เขมิกากอดโฉมอย่างประจบ โฉมเครียด

บุญสลักกับมนต์ทิพย์เข้ามาในบ้าน บุญสลักพูดโทรศัพท์กับเขมิกาอยู่
“ได้สิเขม ขอบคุณนะครับสำหรับความช่วยเหลือครั้งนี้”
บุญสลักปิดโทรศัพท์ หันมายิ้มให้มนต์ทิพย์
“คุณเขมบอกให้ทิพย์ส่งรูปแม่ให้หน่อย จะให้นักสืบออกตามหาให้”
“ถ้าแม่อัปสรกลับมา ทิพย์จะไม่ลืมบุญคุณของคุณเขมเลยค่ะ”
ปีบกับนมผ่องออกมา
“ไหว้พระแล้วสบายใจขึ้นบ้างมั้ยคะคุณหนู คุณทิพย์”
“ก็ดีครับนม”
“จะรับอะไรมั้ยคะ”
“ทิพย์อยากได้น้ำเย็นค่ะนมผ่อง ร้อนจัง”
พักตร์พริ้งเข้ามา นมผ่องยืนอึ้ง รู้ว่าคงเกิดเรื่องแน่
“มีแต่พวกผีเท่านั้นแหละที่เข้าวัดแล้วร้อน ถ้าเป็นคนก็ต้องเย็นกายเย็นใจเพราะได้ทำบุญ”
มนต์ทิพย์หันขวับมาทางพักตร์พริ้ง ยิ้มมุมปาก
“คุณพักตร์พริ้งเคยเข้าวัดแล้วเย็นกายเย็นใจด้วยเหรอคะ”
“ทำไมหล่อนถามฉันอย่างนี้ หา ฉันน่ะไปทำบุญที่วัดประจำ”
บุญสลักปรามมนต์ทิพย์ด้วยสายตา แต่ไม่เป็นผล
“ถ้าคิดจะเข้าวัดทำบุญชำระบาปแล้วล่ะก็ รู้จักชำระปากสกปรกที่คอยด่าว่าคนอื่นเขาก่อนดีมั้ยคะ”
นมผ่องหน้าเสีย พักตร์พริ้งโกรธจัด
“นังทิพย์ หลานบุญสลักเห็นแล้วใช่มั้ยว่านังนี่มันไพร่สถุลแค่ไหน”
“ทิพย์ไม่เคยด่าใครก่อนนะคะ จำไว้อย่าระรานกัน”
“ทิพย์ ผมขอร้อง”
“ถ้าคุณเข้าข้างญาติผู้ใหญ่ของคุณ เรื่องแต่งงานของเราก็เป็นอันยุติ”
พักตร์พริ้งหน้าเสีย ตกใจที่ได้ยิน พวงครามเข้ามาพอดี
“อะไรกันคุณพักตร์ เสียงดังไปถึงข้างบน”
มนต์ทิพย์เดินขึ้นข้างบน บุญสลักตามไป
“บุญสลัก อาไม่ยอมด้วยนะ อาไม่ยอม คุณพี่ นี่ขนาดมันยังไม่ได้เป็นสะใภ้ของคุณพี่ มันก็ก้าวร้าวกับเราอย่างนี้แล้ว ถ้าแต่งกันไป มันคงกระทืบเราเช้าเย็น ฮึ”

“โอย คุณพักตร์ ค่อยๆ พูดกันเถอะ โรคหัวใจของพี่มันจะกำเริบแล้ว”

บุญสลักเข้ามาในห้อง กอดมนต์ทิพย์ไว้
 
“ใจเย็นๆ หน่อยสิครับ ทิพย์ ผมไม่อยากให้คุณอามองทิพย์ว่าก้าวร้าวกับผู้ใหญ่”
มนต์ทิพย์น้อยใจ
“ทิพย์ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนอาคุณที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เรื่องแต่งงานเราไว้พูดกันอีกทีเมื่อทิพย์ได้พบแม่ แต่ตอนนี้ทิพย์อยากอยู่คนเดียวค่ะ”
บุญสลักถอนใจ จำยอมเดินออกไป แต่แล้วก็หันกลับมา
“ส่งรูปแม่คุณเข้าเครื่องโทรศัพท์ผมด้วย ผมจะได้จัดการส่งไปให้พ่อของเขมิกา”

โฉมมองโทรศัพท์ มือสั่น ที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปของอัปสรในวัยปัจจุบัน โฉมน้ำตารื้น นึกถึงอัปสรในวัยทารกที่เป็นขวัญใจของทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของเธอ
“ชีวิตฉันหนีแกไม่พ้นใช่มั้ย นังละอองคำ”
โฉมนึกถึงแหวนที่แม่ชีให้ขึ้นมาได้ จึงหยิบกล่องแหวนในลิ้นชัก แล้วนำแหวนมาใส่ หน้าเครียด
“แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก นังละอองคำ”

มนต์ทิพย์แต่งตัวออกนอกบ้าน เป็นชุดทะมัดทะแมง ปีบพยายามห้าม
“ปีบว่าคุณทิพย์รอคุณบุญสลักก่อนดีมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกปีบ ปัญหาของเรา เราก็ต้องแก้ไขเอง ทิพย์ไม่อยากยืมจมูกใครหายใจ”
“แล้วถ้าคุณบุญสลักถามปีบล่ะคะ”
“ก็บอกเขาไปตามตรงว่าทิพย์ไปตามหาแม่”
“รอคุณบุญสลักก่อนดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวเย็นๆ ทิพย์ก็กลับมา พี่ปีบไม่ต้องเป็นห่วง”
มนต์ทิพย์เดินออกไป ปีบเป็นห่วง

ปีบยืนอึ้งอยู่ในบ้าน พวงครามพูดด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าหายไปอีกคน ลูกชายฉันคงบ้าตายแน่ โทรบอกตาบุญสลักสิ นมผ่อง”
“ค่ะๆ”
นมผ่องจะวิ่งไป พักตร์พริ้งเดินเข้ามา แหวใส่นมผ่องทันที
“ไม่ต้อง บอกตาบุญสลักก็คงตามกันไปตามกันมาแบบนี้แหละ”
“แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะคุณพักตร์”
“มันอยากไปเองก็ช่างมันสิคะคุณพี่”
“แต่คุณทิพย์เพิ่งมาจากอังกฤษ ไม่รู้จักถนนหนทางในกรุงเทพฯนะคะ คุณพักตร์พริ้ง”
“ก็อยากออกไปเองทำไมล่ะ ไม่มีใครบังคับซะหน่อย ดีสิ ถ้ากลับไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับ”
นมผ่องหน้าเสียไป ปีบถอนใจ หงุดหงิด เดินออกไป
“คุณพี่ดูสิ มันจองหองทั้งนายทั้งขี้ข้าเลย”
เสียงโทรศัพท์ของพักตร์พริ้งดังขึ้น พักตร์พริ้งมองหน้าจอตื่นเต้น
“คุณแม่โฉม”
พวงครามกับนมผ่องมองพักตร์พริ้ง พักตร์พริ้งปิดโทรศัพท์หันมา
“คุณแม่โฉมบอกว่าเจอตัวแม่มันแล้วค่ะ ท่านให้เราไปพบท่านที่บ้านตอนนี้เลย”
“งั้นก็รีบไปเลยสิคุณพักตร์”
“ท่าทางคุณพี่ดีใจ หรือว่าที่แท้ก็อยากได้แม่นั่นเป็นสะใภ้”
“คุณพักตร์ พูดอะไรอย่างนั้น รีบไปเถอะ อย่าปล่อยให้ผู้ใหญ่ต้องรอนาน”
ทั้งสองคนเดินออกไป นมผ่องยืนยิ้มพอใจ

โฉมนั่งอยู่ตรงหน้าพวงครามและพักตร์พริ้ง
“เกรงใจคุณแม่เหลือเกิน แต่อิฉันเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้เขาคิดมาก”
โฉมมองพวงครามยิ้มๆ
“รักลูกก็เลยตามใจลูก ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงที่ลูกจะแต่งงานด้วยไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี”
พวงครามหน้าเสียไป
“ดิฉันยอมรับค่ะ คุณแม่ แต่ชีวิตดิฉัน เขาคือคนสำคัญที่สุด”
“แต่มันอาจจะทำให้หล่อนรับเอาความทุกข์มาทั้งชีวิตเลยนะ”
“ดิฉันไม่ได้อยากได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นสะใภ้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง”
พักตร์พริ้งหัวเราะเบาๆ เห็นด้วยกับโฉม
“คุณแม่ท่านผ่านโลกมามาก ท่านต้องทราบดีว่ารับคนชั่วเข้ามาอยู่ในบ้าน อะไรจะเกิดขึ้น ยิ่งนังมนต์ทิพย์มีข่าวเรื่องแม่ว่าเป็นปอบด้วยแล้ว พักตร์ยิ่งรังเกียจค่ะ”
“แม่เข้าใจดี”
“คุณแม่จะช่วยเราสองคนยังไงคะ”

โฉมยิ้มบางๆ เจ้าเล่ห์

โฉม พักตร์พริ้ง และพวงคราม มาที่วัด มองไปรอบๆ วัดชานเมือ
 
“นักสืบยืนยันว่าอัปสรอยู่ที่นี่”
“ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่ให้ดิฉันสองคนมารับมันกลับเข้าบ้านนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นดิฉันกับคุณพี่พวงครามจะได้กลับ”
“นั่นสิคะ คุณแม่จะให้ทำอะไร บอกแผนการของคุณแม่มาเถอะค่ะ”
“ผู้ดีอย่างพวกเราทำอะไรรุนแรงไม่เป็นหรอก”
“จริงค่ะคุณแม่ ยังไงก็ความเป็นผู้ดีมีการศึกษามันค้ำหัวพวกเราอยู่”
“ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะ”
“พูดกับเขาดีๆ ให้เขาไปจากวงจรชีวิตของเราซะ พรุ่งนี้พวกลูกๆ คงมาหาเขา”
พักตร์พริ้งหัวเราะ
“ดิฉันพอนึกออกแล้วค่ะ มาหาแต่ก็ไม่เจอ”
“ถูกต้องแล้วพักตร์พริ้ง เธอสองคนเข้าไปเจรจากับมันก่อน ถ้าไม่ได้ผล แม่จะพูดกับมันเอง”
พักตร์พริ้งกับพวงครามมองหน้ากัน แล้วเดินไป โฉมยิ้ม
“กรรมตกกับลูกสาวแกแล้วนังละอองคำ”
อัปสรกวาดลานวัดอยู่ ทิ้งไม้กวาดลง ทั้งสองฝ่ายยืนจ้องหน้ากัน อัปสรยกมือไหว้
พวงครามกับพักตร์พริ้งสะบัดหน้าไม่รับไหว้
“มีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”
“ฉันเป็นแม่ของบุญสลัก ผู้ชายที่เธออยากได้เขาเป็นเขย”
“ฉันเป็นอาของเขา รักหลานบุญสลักจนไม่อาจทนเห็นหลานชาย มีเมียเป็นลูกหลานของคนที่เขาลือกันว่าเป็นปอบ”
อัปสรผงะ น้ำตาไหลพราก ตัวสั่น
“เรื่องแต่งงานสำหรับคนอื่นฉันไม่รู้ แต่สำหรับตระกูลฉัน การเลือกสะใภ้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก”
“สรุปเลยนะ เราไม่ต้องการให้ลูกสาวคุณมายุ่งกับบุญสลัก”
“บุญสลักเคยเล่าว่าตอนอยู่เมืองนอก เขาไปรบกวนทานอาหารที่บ้านคุณอยู่บ่อยๆ ฉันก็เลยอยากตอบแทนน้ำใจ”
พวงครามหยิบเงินปึกหนึ่งส่งให้ อัปสรน้ำตาไหลพราก ส่ายหน้า
“นึกว่าเป็นค่าจ้างให้ลูกสาวคุณออกไปจากชีวิตของหลานชายฉัน”
“ที่นี่ไม่ใช่ตลาด ไม่มีอะไรจะขายทั้งนั้น เอาเงินของคุณกลับไปซะ ฉันไม่เคยคิดขายลูกสาวกิน ฉันยอมให้พวกคุณย่ำยีมามากพอแล้ว กลับไปซะ”
อัปสรยัดเงินใส่มือพวงคราม
“รับไปเถอะ”
“คุณพี่ มันจองหองอย่างนี้ก็ไม่ต้องสนใจมันหรอกค่ะ มันไม่รับก็ไม่ต้องให้ แต่หล่อนจำใส่หัวไว้ด้วยว่าอย่าคิดให้ลูกสาวมาจับหลานชายฉัน วิธีการนี้น่ะมันใช้ไม่ได้ผล กลับกันเถอะค่ะคุณพี่”
พวงครามกับพักตร์พริ้งมองหน้าอัปสร อัปสรเสียงเข้มขึ้น
“บอกให้กลับไปได้แล้วไงล่ะ”
เสียงโฉมดังขึ้น
“อาเพิ่งจะมาถึง เธอก็จะไล่ให้กลับซะแล้วรึ แม่อัปสร”
อัปสรเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นโฉม ก็จำได้ ตกใจมาก
“คุณอาโฉม”
โฉมหันมาบอกพักตร์พริ้งกับพวงคราม
“รอแม่ที่รถนะ”
พักตร์พริ้งกับพวงครามเดินคุยกันไปตามทางในวัด
“เชื่อสิคะคุณพี่ว่าคุณแม่โฉมท่านมีวิธี คราวนี้แหละนังอัปสรกระเด็นไปจากชีวิตตาบุญสลักแน่ค่ะ”
“พี่ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”

โฉมกับอัปสรนั่งเผชิญหน้ากัน บรรยากาศอึดอัด โฉมนั่งจ้องหน้าอัปสรตลอด
“คุณอาโฉมสบายดีหรือคะ”
“นับแต่นังละอองคำควักไส้พี่ฉัตรกับคุณแม่ซ่อนกลิ่นจนตาย ข่าวก็ดังไปทั่วทั้งพระนคร ฉันกับคุณพ่อก็พลอยถูกหางเลขไปด้วย อับอายจนไม่กล้าออกจากบ้าน”
อัปสรนิ่งอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร
“ได้ข่าวว่าพี่พรเทพพาหล่อนไปอยู่เมืองนอกเมืองนา คิดว่าจะไม่กลับมาอีก”
“ค่ะ ตอนแรกหนูก็ตั้งใจว่าจะตายเสียที่โน่น แต่พอดีสามีของหนูน่ะค่ะ อยากจะกลับมาอยู่เมืองไทย ก็เลย”
“ก็เลยเอาชีวิตมาสังเวยแม่ของหล่อน”
“คุณอา”
“หรือว่าฉันพูดอะไรผิด ฉันก็นึกว่านังละอองคำมันตกนรกหมกไหม้ไปเสียแล้ว ที่ไหนได้ มันยังวนเวียนรอหล่อนกับลูกให้สืบทอดทายาทปอบอยู่ล่ะสินะ”
อัปสรก้มหน้า น้ำตาหยด ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
“แบบนี้แล้วหล่อนยังจะใจร้ายให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายดีๆ อย่างบุญสลักอีกรึ ฮึ หล่อนอยากให้ตาบุญสลักต้องตายโหงเหมือนกันกับพี่ฉัตร มีจุดจบเหมือนย่าซ่อนกลิ่นของหล่อนหรือยังไง”
อัปสรส่ายหน้าทั้งน้ำตา โฉมกลับไป อัปสรปิดประตู ร้องไห้ สะอื้นแทบขาดใจ ภาพละอองคำควักไส้ฉัตรกับซ่อนกลิ่นเข้ามาในห้วงคิด อัปสรเซ แทบจะทรงตัวไม่อยู่

ตอนค่ำ มนต์ทิพย์เข้ามาในห้อง อิดโรยเหนื่อยอ่อน โยนกระเป๋าลงบนเตียง
ปีบตามเข้ามา ถามอย่างดีใจ
“คุณนายสบายดีหรือเปล่าคะ แล้วทำไมไม่รับมาที่นี่ด้วยเลยล่ะคะคุณทิพย์”
มนต์ทิพย์ชะงัก
“ทิพย์ไม่ได้เจอคุณแม่ ปีบพูดอะไรเนี่ย”
ปีบหน้าเสีย
“อ้าว ก็นมผ่องบอกว่าพบคุณนายแล้ว คุณแม่คุณบุญสลักกับยัยคุณอาออกไปทันทีที่มีโทรศัพท์มาถึง ปีบเข้าใจว่าคุณบุญสลักโทรบอกคุณทิพย์ แล้วไปรับคุณนายด้วยกัน”
มนต์ทิพย์อึ้งไป มองหน้าปีบแล้วออกไปทันที
“คุณทิพย์”
ปีบตามไปติดๆ มนต์ทิพย์รีบไปหาพักตร์พริ้งกับพวงคราม พักตร์พริ้งพูดอย่างไม่ใยดี
“หล่อนพูดอะไร ธุระเรื่องแม่หล่อน หล่อนก็ต้องจัดการเองสิ แม่หล่อนไม่ใช่แม่ฉัน”
“ทิพย์เชื่อว่าคนดีๆ อย่างนมผ่องไม่โกหกหรอกค่ะ บอกทิพย์มาดีกว่าว่าแม่ของทิพย์อยู่ที่ไหน”
นมผ่องหน้าเสียไป ปีบก้มหน้า
“ฉันไปรับแม่เธอกลับมาที่นี่ แต่เห็นว่ายังซาบซึ้งในรสพระธรรมอยู่ เลยไม่ขอกลับมาด้วย”
มนต์ทิพย์กับปีบดีใจ ยกมือไหว้
“ขอบคุณคุณน้ามาก ถ้าจะกรุณาก็บอกทิพย์มาเถอะค่ะว่าท่านอยู่ที่วัดไหน”
บุญสลักเข้ามาพอดี
“ผมรู้ทิพย์ พรุ่งนี้เราจะไปรับท่านด้วยกัน”
มนต์ทิพย์ยิ้มดีใจ ปีบก็ดีใจด้วย พักตร์พริ้งกับพวงครามมองหน้ากันทันที ทั้งสองหน้าเสียไป
“บุญสลัก”
“พรุ่งนี้เราไปรับท่านกันนะทิพย์”
“ขอบคุณคุณมากค่ะบุญสลัก”
บุญสลักหันมาทางพวงคราม
“พบคุณแม่ของทิพย์แล้ว คุณแม่ช่วยจัดการเจรจาสู่ขอทิพย์ให้ผมทีนะครับ”
พักตร์พริ้งตกตะลึง มองหน้าพวงคราม บุญสลักประคองมนต์ทิพย์ออกไป ปีบยิ้มสะใจ พักตร์พริ้งกำมือแน่น
“คุณพี่ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ พักตร์ยอมไม่ได้”
“แต่คุณหนูรักคุณทิพย์”

“เงียบเลยนะ เป็นเพราะแกคนเดียวที่สาระแนบอกเรื่องนี้กับนังปีบ”

เจ้านาง ตอนที่ 11 (ต่อ)

มนต์ทิพย์กับบุญสลักมาที่ห้องมนต์ทิพย์ ทั้งสองโผเข้ากอดกัน
 
“คุณแน่ใจเหรอคะเรื่องแต่งงาน”
“ทำไมทิพย์ถามผมยังงั้นล่ะครับ”
“แม่คุณกับอาคุณคงไม่ยินดีด้วยหรอกค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เว้นแต่ว่า ทิพย์จะหมดรักผมแล้วเท่านั้น”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบแต่ซบหน้ากับอกของบุญสลัก

โฉมพูดโทรศัพท์กับพักตร์พริ้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้แม่จัดการเอง”
“แต่จะทันการเหรอคะ นี่ก็ค่ำแล้ว ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เขาออกกันไปแต่เช้าตรู่ พักตร์ยังงงอยู่เลยนะคะว่าตาบุญสลักรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“ยัยเขมคงบอกกัน หลานสาวฉันรักบุญสลักมาก ฉันไม่ยอมให้ยัยเขมผิดหวังหรอก แม่พักตร์ไม่ต้องกังวล”
“ได้หนูเขมมาเป็นหลานสะใภ้ พักตร์จะยิ่งดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ฝากคุณแม่ด้วยนะคะ จัดการยังไงก็ตามแต่คุณแม่จะเห็นสมควร”
“จ้ะแม่พักตร์”
โฉมตัดสาย หน้าเครียด แตะที่แหวน แล้วเปิดลิ้นชักด้วยความไม่ประมาท หยิบสร้อยคอมาสวม แตะที่องค์พระเพื่อความแน่ใจ โฉมถือกระเป๋าเดินผ่านออกมา เกษมเงยหน้าจากหนังสือที่อ่าน
“คุณแม่จะออกไปไหนครับ ค่ำแล้ว”
“แม่ก็จะไปเล่นไพ่กับพรรคพวกสักชั่วโมง คุณหญิงสร้อยศรีโทรมาชวน ไม่ไปก็น่าเกลียด”
“ชวนยัยเขมไปเป็นเพื่อนสิครับ”
“ไม่ต้องหรอก แม่ให้คนขับรถไปส่ง บางทีแค่เห็นหน้ากันก็กลับแล้ว”
โฉมรีบออกไป เกษมมองสงสัย แต่ก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ เขมิกาออกมาจากข้างในพอดี
“คุณย่าไปไหนเหรอคะ”
“บ้านคุณหญิงสร้อยศรี ไม่ไปกับคุณย่าเหรอ”
“ไม่เอาล่ะค่ะ น่าเบื่อ คุยกันแต่เรื่องเก่าๆ เขมไม่รู้เรื่องเลย”
เขมิกาออกไป

โฉมลงจากรถซึ่งจอดอยู่ที่ลานวัด คนขับรถเปิดประตูให้
“รอฉันตรงนี้แหละ ฉันไปไม่นานหรอก”
“ครับผม”
โฉมเดินไป แตะที่องค์พระที่ห้อยคอตลอด มองซ้ายขวา อัปสรโผล่ลัดมาจากมุมหนึ่ง โฉมสะดุ้ง
“อุ๊ย”
“คุณอาโฉม มาทำไมคะ มืดๆ ค่ำๆ”
“ก็จะมาดูสิว่าหล่อนไปจากที่นี่หรือยัง”
“ทำไมคุณอาโฉมถึงอยากให้หนูไปจากทีนี่ หนูอยากปฏิบัติธรรมค่ะ หนูรับปากว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของใครอีกแล้ว”
“แม้กระทั่งเรื่องผีปอบละอองคำเหรอ”
อัปสรอึ้งไป น้ำตาคลอ
“หนูมาบวชก็เพื่ออุทิศบุญให้แม่ หนูไม่อยากเห็นแม่ละอองคำทุกข์ทรมาน”
“ก็ดีที่รู้จักมีความกตัญญู แล้วไม่คิดจะเป็นแม่ที่ดีบ้างเหรอ”
“คุณอาโฉมหมายความว่ายังไงคะ”
“หนูมนต์ทิพย์น่ะรักกับนายบุญสลัก เรื่องนี้หล่อนคงรู้”
“หนูทราบค่ะ”
“แต่แม่ของบุญสลักรับไม่ได้ที่หล่อนเป็นลูกสาวปอบ ก็เท่ากับว่าลูกสาวหล่อนเป็นหลานปอบด้วย”
“คุณอาโฉม อย่าเอามนต์ทิพย์มาเกี่ยวข้องด้วย แกไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“แต่มันปิดไม่ได้แล้ว อาถึงมาหาเธอไงล่ะอัปสร ถ้ารักลูกก็จงไปจากที่นี่ ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ มนต์ทิพย์ติดต่อหล่อนไม่ได้ บ้านผู้ชายเขาจะได้แน่ใจว่าลูกชายเขาไม่ได้เป็นเหยื่อปอบ อาพูดอย่างนี้ หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ”
โฉมเดินกลับไป อัปสรร้องไห้ น้ำตาไหลพราก โฉมหันกลับมา พูดสำทับเสียงเครียดชัดถ้อยชัดคำ
“ไปซะตั้งแต่คืนนี้เลยนะ ถ้าเธอยังอยู่ เธอก็คือแม่ที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก”
โฉมเดินไป อัปสรร้องไห้

ตอนเช้า หน้ากุฏิอัปสรปิดประตูอยู่ แต่ไม่ได้คล้องกุญแจ มนต์ทิพย์เคาะประตู“แม่คะ แม่ นี่ทิพย์เองค่ะ แม่คะ”
เขมิกากอดอกยืนห่างๆ บุญสลักเคาะประตู
“คุณน้าอัปสรครับ คุณน้า”
มนต์ทิพย์หน้าเสีย หันมองหน้าบุญสลัก
“ไม่อยู่แล้วมั้ง”
เขมิกายิ้มๆ แฟรงค์หันมองหน้า ไม่พอใจ
“แม่คะ แม่”
บุญสลักเปิดประตูเข้าไป แต่เห็นห้องว่างเปล่า มนต์ทิพย์หน้าเสียไป
“ไปสวดมนต์ที่โบสถ์หรือเปล่า เราว่าไปดูให้ทั่ววัดก่อนดีกว่ามั้ย”
“ถ้าอยู่ก็ต้องมีข้าวของอะไรบ้างสิแฟรงค์ แต่นี่โล่งไปหมด”
เขมิกาพูดขึ้น มนต์ทิพย์น้ำตาคลอ
“อย่าเพิ่งร้องไห้ไอ้ทิพย์ ลองตามหาก่อน”
บุญสลักเห็นด้วย
“ไปดูทางโน้นกันดีกว่า”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักเดินไป แฟรงค์เดินตาม แล้วหันมาทางเขมิกา
“เขม ท่าทางเหมือนไม่อยากให้ไอ้ทิพย์มันเจอแม่ คิดอะไรอยู่หรือเปล่า”
“คิดอะไร เขมจะคิดอะไรล่ะแฟรงค์”
“ไม่รู้ แต่อย่าคิดในทางชั่วก็แล้วกัน”

แฟรงค์เดินไป เขมิกาไม่พอใจ

เด็กวัดเดินสวนมา บุญสลักถามทันที
 
“หนูรู้จักคุณน้าอัปสรที่มาปฏิบัติที่นี่หรือเปล่า”
“อ๋อ เพิ่งมาใหม่นี่ครับ แต่เห็นออกไปแต่เช้ามืดแล้วล่ะครับ”
“ไปไหน”
เด็กวัดส่ายหน้า เขมิกายิ้มสะใจ
“เฮ้ย ถ้าบอกนะ เดี๋ยวให้เงินกินหนม บอกมาๆๆ”
พระรูปหนึ่งเดินมาพอดี ทุกคนยกมือไหว้
“เรามาตามหาน้าอัปสรที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้น่ะครับ”
“ที่นี่มีโยมแวะเวียนมาปฏิบัติธรรมไม่ขาด ครบกำหนดสามวันเจ็ดวันหรือครบตามที่ให้สัจจะไว้ก็จะไป อาตมาไม่ได้จดจำหรอกว่าใครเป็นใคร”
“แล้ววัดแถวนี้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมแบบวัดนี้หรือเปล่าคะ”
“มี โยมลองไปดูเอาเองเถอะนะ”
“บุญสลัก ทิพย์จะเจอแม่มั้ยคะ”
“ก็ลองหาก่อนสิ ผมเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของนักสืบหรอก”
“ใช่ค่ะ สืบไม่ยากหรอก ว่าแต่ถ้าพบท่านแล้ว คุณทิพย์จะรับท่านกลับไปอยู่บ้านเหรอคะ”
“เปล่า ทันทีที่พบคุณน้าอัปสร ผมจะแต่งงานกับทิพย์”
เขมิกาอึ้งไป แฟรงค์หันมองหน้าเขมิกาทันที
“ไปตระเวนหาคุณน้าอัปสรตามวัดต่างๆ กันเถอะ”

บุญสลักพาทุกคนมาที่วัดอีกแห่งหนึ่ง
“เรากับทิพย์จะไปดูทางโน้น แฟรงค์กับคุณเขมไปทางนี้ละกัน”
“ได้เพื่อน ไปกันเถอะเขม”
แฟรงค์จับมือเขมิกา แต่เธอดึงมือออก บุญสลักกับมนต์ทิพย์เดินไปด้วยกันทางหนึ่ง
“เพิ่งรู้ว่าเขมไม่ยอมให้ผมจับมือ”
“น่าเกลียด ในวัดนะคะแฟรงค์”
“ถ้าเหตุผลนี้ก็พอรับได้ กลัวจะเป็นเหตุผลอื่น”
เขมิกามองหน้าแฟรงค์ ไม่พอใจ
“วันนี้ดูแฟรงค์อารมณ์ไม่ดีเลย”
“ถ้าอยากให้ดี ก็แต่งงานกับผมสิ จัดคู่กันกับบุญสลักกับทิพย์เลย”
เขมิกาหน้าบึ้ง
“บุญสลักนี่ก็แปลก จะแต่งงานกันยังไง พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่อายแขกที่มาในงานบ้างเหรอ”
แฟรงค์มองเขมิกา ด้วยสายตาเปลี่ยนไป เขมิกาเดินหนี
“ไปตามหาคุณน้าอัปสรทางโน้นเถอะค่ะ แฟรงค์”

มนต์ทิพย์กับบุญสลักนั่งอยู่ที่ท่าน้ำในวัด
“เมื่อไหร่ทิพย์จะได้พบแม่”
“ทิพย์ ถึงไม่เจอท่าน เราก็แต่งงานกันได้ ผมถือว่าคุณน้าอัปสรยอมรับผมแล้ว”
“เพราะอะไรคะ”
“ผมรักทิพย์ อีกอย่างหนึ่ง ท่านก็ไว้วางใจผม ถึงกับมาฝากทิพย์ไว้กับผม ผมอยากดูแลทิพย์ แต่งงานกับผมนะ”
มนต์ทิพย์อึ้ง สบตาคนรัก
“ขอทิพย์คิดดูก่อนนะคะบุญสลัก”
“ผมเคารพการตัดสินใจของทิพย์เสมอ”

รถยนต์ของบุญสลักแล่นเข้ามาในบ้าน มนต์ทิพย์เปิดประตูลงมาก่อน จะปิดประตู หันมองไปที่เบาะหลังก็หน้าซีด เห็นละอองคำแต่งชุดเจ้านางนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
“คุณยาย”
บุญสลักปิดประตู เห็นทิพย์ยืนหน้าซีด
“ทิพย์”
ละอองคำหายไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“เข้าบ้านเถอะ”

พักตร์พริ้งนั่งอยู่หน้ากระจก กำลังทาครีมก่อนนอนอยู่ เงาละอองคำวูบผ่านเงากระจก พักตร์พริ้งชะงักมือที่กำลังไล้ครีมที่ใบหน้าอยู่ มองดู แต่ไม่เห็นอะไร
“เฮ้อ ด่าว่านังมนต์ทิพย์มากมั้งเลยตาฝาด”
ละอองคำปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ในชุดเจ้านาง พักตร์พริ้งมองทางกระจกเห็นชัดเจน กรีดร้องออกมาแล้วหันมา แต่ไม่เห็นละอองคำ
“ว้าย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
พักตร์พริ้งทิ้งกระปุกครีมลนลานวิ่งออกมาจากในบ้าน ละอองคำยิ้มสะใจ ผีเจ้าปรากฏตัวขึ้น
“ละอองคำ หน้าที่ของเจ้าคือเอาอีมนต์ทิพย์มาเป็นทายาทของข้า ไม่ใช่มาหลอกหลอนมันผู้นี้”
“แต่มันคอยทำร้ายหลานข้า”
ละอองคำตกใจที่เผลอหลุดปากไป ผีเจ้าแสยะยิ้ม
“เจ้าห่วงหลานเจ้ามากกว่าห่วงข้า ให้ข้าทนทุกข์หิวโหยอยู่ ไม่มีทายาทสืบต่อเลี้ยงดูข้าใช่มั้ย ละอองคำ อีทรยศ มานี่”
 
ผีเจ้าจับผมละอองคำดึงกระชากไป

พักตร์พริ้งวิ่งหน้าตาตื่นมาที่บ้านพวงคราม
 
“ช่วยด้วยค่ะ คุณพี่ช่วยด้วย”
แหวน แช่มวิ่งออกมา
“อะไรคะคุณพักตร์”
พวงครามลงบันไดมา บุญสลักตามมาติดๆ นมผ่องโผล่มาจากทางด้านหนึ่ง
“อะไรคะคุณพักตร์เสียงดังเอะอะเลย”
“ผีค่ะ ผี ผีแต่งชุดไทยโบราณ น่ากลัวมากเลยค่ะ”
พวงครามหน้าเสียไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณอา”
“นี่เป็นเพราะตาบุญสลักชักเอาปอบเข้ามาในบ้านแท้ๆ เลย ตอนนี้ ผีมันก็เลยมาชุมนุมในบ้านของเรา”
มนต์ทิพย์กับปีบลงบันไดมา ทุกคนหันมอง
“หล่อนเลี้ยงผีใช่มั้ย หรือไม่หล่อนก็ต้องเป็นผี ฉันถูกผีหลอก หล่อนต้องรับผิดชอบ”
“มีหลักฐานมั้ยล่ะคะว่าเป็นผีของฉัน ถ้ามี ฉันจะรับผิดชอบเอง”“ไม่ต้องท้าทายฉัน ฉันหาหลักฐานได้แน่ คุณพี่ พักตร์ขอนอนกับคุณพี่นะคะคืนนี้”
“จ้ะคุณพักตร์ แช่ม แหวน ปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนาด้วยนะ”
“ค่ะคุณผู้หญิง”
พวงครามเดินนำพักตร์พริ้งขึ้นบันไดไป บุญสลักยืนอยู่กับมนต์ทิพย์
“อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นอุปสรรคการแต่งงานของเรานะทิพย์”
“ถ้ายังไม่พบแม่ ทิพย์จะยังไม่พูดเรื่องนี้ค่ะ”
มนต์ทิพย์ขึ้นบันไดไป บุญสลักถอนใจ

ละอองคำถูกผีเจ้าเหวี่ยงไปที่มุมห้องภายในบ้านของตัวเอง ละอองคำร้องไห้
“เป็นห่วงลูกห่วงหลานมากนักรึ จำไว้ละอองคำ ยังไงลูกสาวเจ้าหรือไม่ก็หลานเจ้า ต้องเป็นทายาทของข้า”
ผีเจ้าวูบหายไป ละอองคำร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในความมืด

แฟรงค์ตบไหล่บุญสลักที่แวะมาหาที่ที่ทำงาน
“ค่อยๆ คิดนะโว้ย บุญสลัก ไอ้ทิพย์น่ะมันเป็นผู้หญิงที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง นายก็รู้นี่ถึงมันรักนาย แต่นายก็อย่าทำให้มันน้อยใจ”
บุญสลักมองหน้าแฟรงค์
“เราจะจัดงานแต่งงานกับทิพย์”
เขมิกาเดินเข้ามาพอดีแอบฟัง
“แต่งงาน ทั้งที่แม่กับอาของนายไม่เห็นด้วยนี่นะ”
“น้าอัปสรยอมรับแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“แล้ววางอนาคตไว้ยังไงต่อวะ”
“หาที่ริมน้ำสักแห่ง ปลูกบ้านสวยๆ ทิพย์เขาฝันไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเจอน้าอัปสร ฉันอาจจะไปอยู่อังกฤษกับทิพย์และคุณน้า”
เขมิกาเครียดจัด ค่อยๆ แยกตัวออกไป คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากด

พวงครามกับพักตร์พริ้งเข้ามาที่บ้านโฉมด้วยความร้อนรน
“อามาทันทีที่หนูเขมโทรไปเลยนะ”
“นั่นสิ ร้อนใจเรื่องหลานบุญสลัก มีข่าวอะไรเหรอจ๊ะหนูเขม”
“เขมต้องกราบขอโทษคุณอาทั้งสองก่อนนะคะ ถ้าเรื่องที่เขมจะพูดนี้ ทำให้คุณอาทั้งสองไม่สบายใจ
“ใครว่าล่ะ เราสองคนถือว่าหนูเขมเป็นห่วงเราต่างหาก”
“ใช่ๆ ว่าไปเถอะหนูเขม”
โฉมเดินมาแล้วหยุดแอบฟัง
“คุณอาเคยได้ข่าวเรื่องบุญสลักจะแต่งงานกับทิพย์หรือยังคะ เห็นว่า เตรียมงานกันแล้ว”
“ฮึ เราสองคนยังไม่ได้ตกลง ยังไงก็แต่งไม่ได้”
“แต่บุญสลักบอกว่าถ้าคุณน้าอัปสรยอมรับแล้วก็ถือว่าถูกต้อง อายอมไม่ได้หรอกคิดทำอะไรจะข้ามหัวคนเป็นแม่เป็นอาไปได้ยังไง”
เขมิกายิ้ม
“ใช่ อาก็ไม่ยอม”
โฉมเดินออกมา พูดขัดจังหวะ
“จะห้ามอะไรได้ เด็กสมัยนี้ใจร้อนยิ่งกว่าไฟ คิดทำอะไรแล้วก็คงต้องทำให้สำเร็จ”
“คุณแม่คะ พักตร์ไม่ยอมรับลูกหลานปอบมาเป็นสะใภ้หรอกค่ะ”
“เฮ้อ ดิฉันกลุ้ม ไม่รู้จะหาทางออกยังไงแล้วค่ะ”
“ค่อยๆ คิด ถ้าเรายืนยันซะอย่างว่าไม่ให้แต่ง ก็ต้องแต่งไม่ได้ เว้นแต่แม่พวงครามกับแม่พักตร์พริ้งจะใจอ่อน”
“ยังไงพักตร์ก็ไม่ยอม ยิ่งเมื่อคืนพักตร์ยิ่งเห็นอะไรแปลกๆ อยู่”
โฉมหันมองหน้าพักตร์พริ้งทันที
“เห็นอะไรเหรอแม่พักตร์”
“ผู้หญิงแต่งชุดเหมือนเจ้านางทางเหนือมาให้เห็นจะๆ คาตาเลยค่ะ ถามนังมนต์ทิพย์มันก็ไม่ยอมรับว่าเป็นผีของมัน”
โฉมหน้าเสียไป มองเขมิกา เป็นห่วงขึ้นมา จึงหาโอกาสคุยกับเขมิกาตามลำพัง
“คุณย่ามองเขมทำไมคะ”
“หนูรักบุญสลักมากมั้ย”
“ตั้งแต่แรกเห็นเลยค่ะ”
“แล้วแฟรงค์ล่ะ”
เขมิการะบายลมหายใจ เบื่อๆ
“เขาเป็นได้แค่เพื่อนค่ะคุณย่า”
“แล้วหนูไม่กลัวเหรอ”
“กลัวอะไรล่ะคะ ถ้าเรื่องนังมนต์ทิพย์ เขมเหนือกว่ามันมาก ถ้าคุณอาพวงครามกับคุณอาพักตร์พริ้งไม่ยอมให้มันแต่งงานกับบุญสลักมันก็แต่งไม่ได้”
“ย่าหมายถึงอย่างอื่น”
“อะไรเหรอคะคุณย่า”
“ก็ เอ่อ ปอบ อย่างที่เขาลือกัน ถ้ามันโกรธที่เขมแย่งคนรักของมัน”
เขมิกาหัวเราะ
“ถ้าปอบของมันแน่จริง มันก็คงทำอะไรได้มากกว่านี้แล้วค่ะ อย่างน้อยมันก็ต้องตามหาแม่มันได้ แล้วก็ได้แต่งงานกับบุญสลักไปแล้ว แต่นี่มันทำไม่ได้สักอย่าง แล้วทำไม เขมต้องกลัวมันด้วย”
“อย่าประมาทนะเขม เขาลือกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
“เขมว่านังอัปสร แม่นังมนต์ทิพย์ น่าจะเป็นโรคขาดโปรตีน อยากกินเลือดสดๆ มากกว่า ไม่ใช่ปอบเปิบอะไรหรอก”

โฉมอึ้งไป

มนต์ทิพย์นั่งอยู่ที่สวนคนเดียว คิดถึงแม่ด้วยความห่วงกังวล พักตร์พริ้งกับพวงครามเดินเข้ามา ท่าทางไม่เป็นมิตร
 
“คิดจะจัดงานแต่งโดยไม่มีผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว จำใส่กะลาหัวหล่อนไว้ซะด้วยว่าคนที่นี่ไม่ยอมรับหล่อนเป็นสะใภ้”
“นั่นมันเรื่องของคุณอาค่ะ ไม่เกี่ยวกับดิฉัน และดิฉันก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยสักนิด”
“หน้าด้านไร้ยางอาย น้องไม่เคยพบเคยเห็นค่ะคุณพี่”
“ก็ถ้าฉันไม่ยอม เธอสองคนก็จะจัดงานแต่งงานไม่ได้”
“บุญสลักโตแล้วนะคะ เรื่องแต่งงานเขาต้องตัดสินใจเอง เลิกเห็นเขาเป็นลูกแหง่ ซะทีเถอะค่ะ”
“อวดดี ไม่ต้องมาสอนฉัน ยังไงตาบุญสลักก็ต้องเห็นแม่ดีกว่าเธอ ถ้าฉันไม่ให้แต่ง ก็แต่งไม่ได้”
“ทิพย์ถือว่าเป็นเรื่องระหว่างคุณสองคนแม่ลูก ไม่เกี่ยวกับทิพย์”
มนต์ทิพย์ผละออกไปไม่อยากมีเรื่อง แต่พักตร์พริ้งวิ่งตาม
“ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ยกเลิกการแต่งงานซะ”
มนต์ทิพย์หยุด หันมา พวงครามยื่นข้อเสนอ
“ต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายให้ แต่เธอต้องออกไปจากชีวิตของบุญสลัก”
มนต์ทิพย์หัวเราะหยัน
“คุณแม่คิดว่าลูกชายของคุณแม่มีค่าสักเท่าไหร่ล่ะคะ”
“อย่ามาเล่นลิ้น ต้องการเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา”
“ทิพย์อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่ดีกว่าหรือคะ บ้านหลังนี้ก็ใหญ่ สมบัติก็มาก ถ้าทิพย์ได้แต่งงานกับบุญสลัก สมบัติทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของทิพย์อยู่ดี”
“แก อีนังลูกหลานผีปอบ อีหน้าด้าน”
“สงบสติหน่อยไม่ดีหรือคะคุณอา โกรธปรี๊ดๆ แบบนี้ เส้นเลือดในสมองแตกจะเป็นอัมพาตเอานะคะ ดิฉันเตือนด้วยความเป็นห่วง”
“แก แกแช่งฉัน”
“ไม่ได้แช่งค่ะ แต่ความเครียดจะทำให้คุณอาเป็นโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน อาจเลยเถิดไปถึงโรคประสาท บ้าได้นะคะ”
มนต์ทิพย์ยิ้มอย่างผู้มีชัยแล้วแยกไป พักตร์พริ้งโกรธจัด กรีดร้องเป็นบ้าอยู่กับพวงคราม

อัปสรนั่งสมาธิอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง สงบนิ่ง จู่ๆ ร่างก็เริ่มเอนไปมา ควันสีขาวค่อยๆ ผ่านเข้ามา กลุ่มควันล่องลอยในอากาศ ค่อยๆ จางลง อัปสรยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน
ร่างของละอองคำปรากฏขึ้น ชี้หน้าด่า
“นังอัปสร นังลูกชั่ว อกตัญญู ปล่อยให้แม่ลำบาก เจ้าจะต้องตกนรกหมกไหม้..ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
อัปสรตกใจ น้ำตาไหลพราก
“แม่”
ละอองคำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหน้าผี วูบมาหาอัปสร ตะคอกใส่หน้า
“นังเนรคุณ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีความสุขหรอก”
ละอองคำหัวเราะ ยื่นหน้าเข้าหาอัปสร อัปสรเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ น้ำตาไหลพราก อัปสรลืมตาขึ้น น้ำตาเปียกแก้ม มองไปรอบๆ หวาดๆ
“แม่ อย่าทำอะไรหนูเลย สงสารหนูกับลูกเถอะ”
อัปสรมองพระพุทธรูป น้ำตาไหลพราก รีบเดินออกไป แล้วชะงัก เห็นพระเดินจงกรมอยู่ พระหันมามอง
“ทำสมาธิ จิตไม่สงบหรือโยม”
“เจ้าค่ะ โยมนั่งสมาธิแล้วมีนิมิตน่ากลัวเหลือเกิน”
“ไม่มีอะไรหรอกโยม ธรรมดาของสัตว์โลกทั้งนั้น คนทำดี มักมีมารมาผจญ”
“แต่ดิฉันเห็น”
“จิตมนุษย์นั้นผูกพันอยู่กับสิ่งชั่วร้ายมากกว่าสิ่งดี ความทุกข์ ความชั่ว บาปทั้งหลายมักตกตะกอนในจิตใจของเรา หากเรายังยึดเหนี่ยว จิตก็จะยิ่งมัวหมอง”
“แล้วดิฉันควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ หลวงพ่อ”
“แผ่เมตตา”
อัปสรนั่งลงก้มกราบหลวงพ่อ จากนั้นก็กลับไปที่กุฏิ นั่งพนมมือ
“บุญกุศลใดก็ตามที่ลูกได้ปฏิบัติมาทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้ ลูกขออุทิศให้แก่วิญญาณของแม่ละอองคำ ขอแม่จงรับบุญกุศลของลูก เพื่อให้มีบารมีเพิ่มมากขึ้น ได้เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”
เวลาเดียวกันนั้น มือเหี่ยวย่นของละอองคำ เนื้อตัวเน่าเฟะ ค่อยๆ กลายเป็นเนื้อคนปกติ ละอองคำลุกขึ้น ยิ้มดีใจ ดวงตาเป็นประกาย ลูบหน้าลูบตา ใบหน้าสวยงามดังเดิม
กรวยดอกไม้เก่าๆ เหี่ยวแห้งลอยวนตรงหน้า
“นังโง่ เกิดเป็นคนโง่แล้ว ตายเป็นผีก็ยังโง่อีก รอคอยเศษบุญเศษทานหาได้มีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจเป็นของตัวเองไม่”
“แต่ข้าก็ไม่หิวโหยอีกแล้ว”
ผีเจ้าค่อยๆ ปรากฏร่างแทนกรวย หัวเราะหยัน
“ลืมแล้วเรอะ พวกมันทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง มันทิ้งให้เจ้าต้องหิวโหยคอยเป็นทาสของข้าอยู่นี่ไง”
“ปล่อยข้าไปสิ ผีเจ้า”
“ปล่อยเรอะ ยังไงเจ้าก็ไม่มีวันพ้นบ่วงกรรมนี้ไปได้หรอก”
“ทำไมล่ะ ทำไมจะไม่ได้”
“คนอกตัญญูต่อบรรพบุรุษเช่นเจ้า ไม่มีวันหลุดพ้นจากอำนาจของข้าไปได้หรอก นังละอองคำเหย หาทายาทมาสืบทอดเลี้ยงผีของข้าสิ แล้วเจ้าจะได้เป็นอิสระสมใจ”

ผีเจ้าหัวเราะก้อง ละอองคำมองไปรอบๆ หน้าเสีย

เจ้านาง ตอนที่ 11 (ต่อ)

เช้ามืด ปีบสาละวนเตรียมของใส่บาตรให้มนต์ทิพย์ หันไปเปิดตู้เย็นจะหยิบผลไม้ เสียงแหวนดังขึ้น
 
“ทำอะไรน่ะ แต่มืดแต่ดึก คิดจะขโมยของรึ”
แช่มเดินเข้ามา
“ฉันจะฟ้องคุณผู้หญิง”
ปีบเท้าเอว ลอยหน้าตอบ
“แหกตาดูซะสิยะ”
ปีบยื่นสำรับตักบาตรใส่หน้าแช่ม แช่มหลบวูบ
“บุญทานไม่ยอมทำดีแต่ให้ร้ายคนอื่น ระวังเถอะ ตายไปจะตกนรกหมกไหม้”
“งั้นก็แล้วไป นึกว่าจะมาขโมยเนื้อสดๆ ไปให้นายแก”
แหวน แช่มหัวเราะขัน
“นั่นน่ะสิ เห็นว่ามีเจ้านายเป็นปอบ”
“หุบปากนะ ไม่งั้นแม่จะโขกด้วยขันข้าวร้อนๆ นี่”
นมผ่องเข้ามา
“อะไรกัน ปีบ เตรียมของให้คุณหนูกับคุณทิพย์ใส่บาตรไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ คุณนม”
“งั้นก็รีบยกไปสิ เดี๋ยวก็ไม่ทันพระท่านมารับบาตรหรอก”
“ค่ะ”
ปีบรีบยกถาดออกมา ไม่วายหันไปเข่นเขี้ยวกับแช่ม แหวน

มนต์ทิพย์กำลังตักบาตรพระ บุญสลักคอยส่งของให้ ปีบยืนด้านหลัง ทั้งสามนั่งลงรับพร บุญสลักประคองมนต์ทิพย์เข้าบ้าน ปีบถือถาดขันข้าวตาม พวงครามอยู่กับนมผ่อง ร้องทัก
“ใส่บาตรหรือลูก บุญสลัก”
“ครับ คุณแม่ วันนี้เริ่มงานวันแรก”
“ดีแล้วล่ะลูก ถือเป็นฤกษ์ดีนะ จริงมั้ยนมผ่อง”
“ค่ะคุณ ขอให้งานทุกอย่างราบรื่นนะคะ คุณหนู”
“เอาข้าวของคนอื่นใส่บาตร เกิดชาติหน้าก็จะต้องเป็นกาฝาก ไปอาศัยคนอื่น ไม่รู้จักจบจักสิ้น”
ทุกคนหันมองต้นเสียงเป็นตาเดียว พักตร์พริ้งยิ้มเยาะ
“จริงมั้ยคะ คุณพี่”
พวงครามทำหน้าไม่ถูก แม้ไม่ชอบมนต์ทิพย์ แต่ก็เกรงใจบุญสลัก
“คุณอา”
มนต์ทิพย์ยิ้ม
“ไม่เป็นหรอกค่ะ บุญสลัก ถ้าอาของคุณใช้วาจาเชือดเฉือนทิพย์แล้วมีความสุข ทิพย์ก็จะถือซะว่าทำทานกับผู้หญิงจิตใจบกพร่องคนหนึ่ง ได้บุญออกค่ะ” มนต์ทิพย์สบตาพักตร์พริ้ง ผละไป พวงครามกับนมผ่องตกใจ
“ตายแล้ว แกจะไปไหน กลับมานะ หลานดูสิ มันด่าอา หลานต้องจัดการให้อานะ บุญสลัก”
“ก็คุณอาไปว่าทิพย์ก่อนนี่ครับ”
“คุณพี่ดูสิคะ ตาบุญสลักเห็นนังลูกปอบนั่นดีกว่าพักตร์ ถ้ายอมรับมันเป็นสะใภ้ มันคงไล่คุณพี่ออกจากบ้านเข้าสักวัน”
พักตร์พริ้งมองมนต์ทิพย์อย่างแค้นเคือง พวงครามโกรธไปกับพักตร์พริ้งด้วย
“ติดที่ตาบุญสลักคนเดียวเท่านั้น ไม่งั้น ฉันเฉดหัวมันออกไปจากบ้านนานแล้ว”
นมผ่องมองพวงครามอย่างเห็นใจ แต่ก็สงสารบุญสลัก

มนต์ทิพย์นั่งคุยกับแฟรงค์ภายในที่ทำงานของแฟรงค์อย่างไม่สบายใจนัก
“เป็นไรวะไอ้ทิพย์ มีเรื่องอะไรกับบุญสลักหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกแฟรงค์ เราอาศัยบ้านคนอื่น มันก็ต้องมีอึดอัดบ้างเป็นธรรมดา”
แฟรงค์หัวเราะ เข้าใจเพื่อน
“ไม่รู้ว่าบุญสลักมันบุญเยอะหรือกรรมแยะ สมัยเรียน อาพักตร์กับแม่มันสลับกันรับส่งจนเพื่อนๆ ล้อว่ามันเป็นลูกแหง่”
“เลยพาลคิดว่าทิพย์จะแย่งความรักจากบุญสลักไปหมด”
“ก็ทำนองนั้น มีอะไรให้ฉันช่วย บอกได้นะ ทิพย์ เราเพื่อนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน”
“ทิพย์อยากทำงาน แฟรงค์ช่วยหางานให้ทิพย์ทำได้มั้ย งานอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทิพย์ไม่อยากอยู่ว่างๆ”
“เรื่องงานน่ะไม่มีปัญหา แกมาทำงานกับฉันก็ได้ ไอ้ทิพย์ ว่าแต่แกต้องขออนุญาตบุญสลักก่อนหรือเปล่า”
“ไม่จำเป็น”
แฟรงค์มองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิทิพย์ ยุ่งแต่เช้า กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ตกถึงท้อง”

มนต์ทิพย์ยิ้มเนือยๆ

ที่ร้านอาหารหรู เขมิกานั่งยิ้มหวาน โดยมีบุญสลักนั่งอยู่ด้วย
 
“ขอบคุณคุณเขมมากนะครับ ที่ช่วยหางานให้ผม”
“ไม่เลยค่ะ เขมช่วยคุณพ่อเขมต่างหาก ท่านใจร้อนค่ะอยากได้อาคารสำนักงานแห่งใหม่ที่ทันสมัย ได้คุณบุญสลักมาเป็นวิศวกรโครงการแทนคนเก่า เขมก็เบาใจ”
“ถ้าเจ้าแฟรงค์รู้ว่าผมแอบมาทานข้าวกับคุณเขมสองต่อสองแบบนี้มันต้องหักคอผมแน่ๆ”
เขมิกาหุบยิ้ม
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็ คุณกับนายแฟรงค์ เอ่อ”
“เขมเข้าใจแล้วล่ะค่ะ แต่โปรดเข้าใจใหม่ด้วยนะคะ เขมกับแฟรงค์ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน”
“เอ่อ ครับ”
เขมิกายิ้ม สบตาบุญสลัก
“บางที คนเรากว่าจะเลือกอะไรได้แน่ชัดก็ต้องใช้เวลา สำหรับเขมแล้ว ตอนนี้เขายังไม่ใช่คนที่เขมจะฝากชีวิตไว้ค่ะ”
บุญสลักอึ้งไป ระหว่างนั้น แฟรงค์เดินตามมนต์ทิพย์เข้ามาในร้าน มนต์ทิพย์เห็นบุญสลักกับเขมิกามองหน้ากัน เขมิกายิ้มให้บุญสลัก มนต์ทิพย์ชะงัก เดินย้อนกลับ
“ไปร้านอื่นเถอะ”
มนต์ทิพย์รุนหลังแฟรงค์ออกไปนอกร้าน
“อะไรวะ ไม่ชอบร้านนี้เหรอ หิวไส้จะขาดแล้ว”
“ทิพย์ไม่ชอบร้านนี้ เราไปกินที่อื่นกันเหอะนะเดี๋ยวทิพย์เลี้ยงเอง”
“เออ มาแปลก ปกติแกไม่ใช่คนกินยากนี่หว่า ในร้านมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
แฟรงค์จะหันกลับไปดู มนต์ทิพย์รีบดึงเอาไว้
“ทิพย์หิวแล้ว เรารีบไปกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวทิพย์เปลี่ยนใจไม่เลี้ยงแล้วนะ”
“เออๆ ก็ได้”
แฟรงค์รีบเดินนำหน้าไปเปิดรถ มนต์ทิพย์หันมามองที่ร้าน น้ำตาคลอ
“กินร้านไหน คิดเลย จะได้ไม่เสียเวลา”
“ออกรถไปก่อนเถอะ คิดได้แล้วจะบอก”
รถแฟรงค์เลี้ยวออกไป มนต์ทิพย์มองไปที่ตัวร้าน เศร้า ผิดหวัง

ที่ร้านอาหารง่ายๆ ริมทาง แฟรงค์กินอาหารด้วยความหิว ชะงักไปเมื่อเห็นมนต์ทิพย์เขี่ยข้าวเหมือนใช้ความคิด
“เป็นอะไรวะ”
“เปล่า”
“หรือว่าไม่มีบุญสลัก เลยกินข้าวไม่ลง นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งนะถ้าแต่งไปแล้ว แกจะยิ่งผูกพัน อาการจะหนักกว่านี้อีกมั้ง”
“ผูกพัน”
“ใช่สิ ถ้าเรารักใคร เราก็ต้องผูกพันกับคนนั้น เชื่อทฤษฎีของฉันหรือเปล่าล่ะ”
มนต์ทิพย์ยิ้มๆ
“แล้วนายผูกพันกับคุณเขมมากแค่ไหน”
แฟรงค์อึ้งไป มองหน้ามนต์ทิพย์
“ถามทำไมวะไอ้ทิพย์”
“อยากรู้สิ ถามจริงๆ เถอะ นายแน่ใจในตัวคุณเขมแค่ไหน”
“ฉันตอบแกได้แค่ว่าตอนนี้ฉันรักเขามาก แต่ต่อไปไม่แน่ มันไม่มีอะไรแน่นอนนี่หว่า รีบกินเถอะ ต้องรีบกลับไปทำงานอีก”
มนต์ทิพย์พยักหน้า แต่ก็ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวเหมือนเดิม
“เดี๋ยวแกไปไหนวะ กลับบ้านเลยหรือเปล่า”
“จะไปตามหาแม่ เจอเมื่อไหร่ ฉันจะกลับอังกฤษ”
“อ้าว แล้วเรื่องแต่งงานล่ะ”
“นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่มีอะไรแน่นอน”
แฟรงค์มองหน้ามนต์ทิพย์ สงสัยแต่ไม่กล้าถาม

บุญสลักดูพิมพ์เขียวอาคารที่จะก่อสร้างอยู่ เขมิกาอยู่ใกล้ๆ มองชายหนุ่มตลอดเวลา
“มองอะไรครับ คุณเขม”
“เพิ่งทำงานวันแรก ไม่ต้องขยันนักก็ได้ค่ะ”
“ผมอยากทำให้เสร็จ”
บุญสลักก้มหน้าทำงานต่อ มองพิมพ์เขียวแล้วจดข้อมูลในสมุดโน้ต เขมิกานั่งเท้าคางมอง เพลินตาเพลินใจ บุญสลักหันมาก็เห็นเขมิกามองตัวเองอยู่ ก็ยิ้มเขิน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขมิกามองดูหน้าจอแล้วเดินออกไปรับสายข้างนอก
“สวัสดีค่ะคุณอา”
“หนูเขม อาอยากจะตอบแทนน้ำใจที่หนูเขมรับตาบุญสลักไปทำงานที่บริษัทของพ่อหนู เย็นนี้ว่างมั้ยจ๊ะ อาอยากจะเชิญมาทานข้าวที่บ้าน มาพร้อมกับบุญสลักเลยนะ ไม่ต้องขับรถมาหรอก สองคันสามคันมันไม่สะดวก อิ่มแล้วก็ให้บุญสลักไปส่ง”
“จะดีเหรอคะคุณอา เดี๋ยวทิพย์ได้ฆ่าเขมตาย เขาเป็นคนรักของบุญสลักนะคะ”
“ให้มันละเมอไปฝ่ายเดียวเถอะจ้ะ อาและคุณพี่พวงครามถือว่าผู้หญิงอย่างมันก็แค่ดอกไม้ริมทางให้บุญสลักเหยียบเล่น ส่วนหนูน่ะอาอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้จริงๆ นะ”
“สมมติว่าเขมแต่งงานกับบุญสลักนะคะ ดอกไม้ริมทางดอกไหนมันก็ไม่มีสิทธิ์มาขวางทางหรอกค่ะ เขมจะกระทืบมันให้แหลกไปเลย”
พักตร์พริ้งหัวเราะชอบใจ

“อุ๊ย สะใจอาจริงๆ เลยหนูเขม”

อัปสรเดินออกมาจากโบสถ์ เห็นมนต์ทิพย์กำลังยืนถามแม่ชีอยู่ เธอหน้าเสีย รีบหลบไป
 
มนต์ทิพย์เดินไปที่โบสถ์ อัปสรหลบออกไปอย่างลนลาน มนต์ทิพย์ไม่เห็นอัปสรก็ เดินหา แล้วกลับออกไป อัปสรยืนตัวสั่น น้ำตาไหลพราก

พวงคราม พักตร์พริ้ง บุญสลัก เขมิกานั่งทานอาหารกันอยู่ พวงครามถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“เหนื่อยมั้ย บุญสลักทำงานวันแรก”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ”
“คุณอาไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เขมให้กำลังใจตลอด จริงมั้ยคะ”
เขมิกาสบตาบุญสลัก แต่บุญสลักหลบตา หน้าเจื่อนไป พักตร์พริ้งสังเกตเห็น เลยรีบแก้สถานการณ์
“หนูเขมเป็นคนมีน้ำใจ ใครๆ ก็รู้ ยังไง อาก็ฝากหนูเขมช่วยดูแล บุญสลักด้วยนะจ๊ะ”
“อาพักตร์”
บุญสลักเจื่อนๆ พวงครามหัวเราะเบาๆ
“ได้หนูเขมคอยดูแล คอยช่วยเหลือ อาก็เบาใจแล้วละ”
“คุณทิพย์มาแล้วค่ะ จะให้นั่งร่วมโต๊ะเลยมั้ยคะ”
นมผ่องถามขึ้น เขมิกาหน้าตึง บุญสลักดีใจ พวงครามกับพักตร์พริ้งมองนมผ่องอย่างไม่พอใจ ปีบนำมนต์ทิพย์เข้ามา มนต์ทิพย์สบตากับเขมิกาไม่พอใจ บุญสลักรีบชวน
“ทิพย์มาทานข้าวด้วยกันสิ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ทิพย์รู้สึกไม่สบาย ขอตัวนะคะ”
“ทิพย์”
บุญสลักตามไปติดๆ
“บุญสลัก มาทานข้าวให้อิ่มก่อนสิ”
เขมิการวบช้อนทันที หน้าตึง
“ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ไม่ได้การแล้วล่ะค่ะคุณพี่ นี่ขนาดยังไม่แต่งกัน มันยังครอบตาบุญสลักซะอยู่หมัด”
“เขมคิดว่าเขมกลับก่อนดีกว่าค่ะ”
“หนูเขม รอเดี๋ยวนะคะ อาจะให้บุญสลักไปคนไปส่งหนูเอง”
“อย่ารบกวนเลยค่ะ”
“ไม่รบกวนหรอกหนูเขม” พวงครามช่วยพูด
“ใช่ เราต้องทำให้มันเห็นว่าเราเหนือกว่ามันสิ หนูไม่ต้องคิดมาก ตราบใดที่สองคนนั่นยังไม่แต่งงานกัน ก็เท่ากับว่าทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอ จริงมั้ยคะคุณพี่”
“ใช่จ้ะ”
“เรื่องนี้อาจัดการเอง”
พักตร์พริ้งลุกไป เขมิการะบายยิ้ม เหมือนได้รับชัยชนะ ปีบยืนขวางพักตร์พริ้งอยู่หน้าห้องมนต์ทิพย์
“หลีกไป ตาบุญสลักล่ะ”
ปีบไม่ตอบ แต่ยืนขวางประตูไว้
“ฉันบอกให้หลีกไปไงล่ะ”
บุญสลักออกมาจากห้อง พักตร์พริ้งมองผ่านไหล่บุญสลักเข้าไปข้างใน เห็นมนต์ทิพย์นั่งที่เตียง
“ทิพย์ไม่ค่อยสบาย ไปตามหาแม่จนเหนื่อยน่ะครับ คุณอา”
“ไปตามหาแม่เหนื่อย มันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย อาอยากให้บุญสลักไปส่งหนูเขมที่บ้านน่ะจ้ะ มืดค่ำแล้วจะให้นั่งแท็กซี่ อาก็ไม่ไว้ใจ”
บุญสลักมองมนต์ทิพย์ เห็นยังปั้นปึ่งอยู่ ก็เดินไปหา
“ทิพย์”
“เชิญเถอะค่ะ ทิพย์อยู่คนเดียวได้”
บุญสลักกลุ้มกับท่าทีเฉยเมยของมนต์ทิพย์

บุญสลักจำต้องขับรถมาส่งเขมิกาตามคำสั่งของพักตร์พริ้ง
“ทิพย์คงไม่พอใจที่คุณมาส่งเขม”
“ทิพย์เป็นคนมีเหตุผลครับ คุณเขม มืดค่ำแบบนี้ไม่ควรให้คุณเขมกลับบ้านเอง อันตราย”
เขมิกาหน้าตึง
“รู้ใจกันอย่างนี้ จะแต่งงานกันเมื่อไหร่คะ”
“ตั้งใจไว้ว่าถ้าเจอคุณน้าอัปสรเมื่อไหร่ ผมจะขอมนต์ทิพย์จากคุณน้า แล้วเราจะแต่งงานกัน”
“แต่เขมทราบว่าคุณอาพักตร์พริ้งกับคุณแม่คุณ ไม่พอใจ”
“ท่านต้องเห็นใจความรักของผมกับทิพย์ครับ ผมมั่นใจว่าถึงที่สุดแล้ว ท่านต้องเห็นใจเรา”
เขมิกามองไปนอกรถ ไม่พอใจ เมื่อมาถึงบ้าน เธอโยนกระเป๋าหน้าบึ้งตึง โฉมเดินมาหา
“ใครทำให้หลานย่าไม่พอใจเหรอ”
“ก็บุญสลักสิคะ ยืนยันว่าจะแต่งงานกับนังลูกสาวปอบ ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้เลยเหรอคะ คุณย่า เขมอยากจะบ้าตาย ทำยังไงเขาถึงจะเห็นความจริงใจที่เขมมีให้เขาบ้างคะ”
โฉมตกใจ รีบกอดหลานสาวไว้
“อย่าเขม เดี๋ยวคุณพ่อได้ยิน ท่านจะตำหนิเอา”
“เขมเชื่อว่าคุณย่าช่วยเขมได้”
“ย่าอยู่ข้างหลานอยู่แล้วล่ะ ย่าจะไม่ยอมให้หลานย่าต้องผิดหวัง”
เขมิกายิ้มออก
“เขมรักคุณย่าจังค่ะ”
โฉมเข้ามาในห้อง มองดูรูปตัวเองในวัยสาวที่ใส่กรอบไว้อย่างสวยงาม
"ฉันจะไม่ยอมให้หลานสาวของฉันต้องผิดหวังกับความรักซ้ำๆ ซากๆ"
 
"เหมือนที่ฉันเคยเป็นมาในอดีต ลูกหลานแกต่างหากนังละอองคำที่จะต้องเป็นฝ่ายผิดหวัง"

หลังกลับจากไปส่งเขมิกา บุญสลักมาเคาะห้องมนต์ทิพย์เรียกเบาๆ
 
“ทิพย์ ทิพย์ครับ”
“มีอะไรคะ”
“ปีบบอกว่าทิพย์ไม่ทานอะไรเลย เดี๋ยวจะไม่สบายไปนะ”
“ไม่หิวค่ะ ขอบคุณ”
มนต์ทิพย์จะปิดประตู แต่บุญสลักไม่ยอม
“เราจะแต่งงานกัน อย่าผิดใจกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สิ”
“ทิพย์ว่าคุณไปถามแม่คุณก่อนดีมั้ยคะ ขอโทษค่ะ ทิพย์จะนอนแล้ว”
มนต์ทิพย์ปิดประตู บุญสลักอึ้ง ก่อนจะตัดสินใจไปคุยกับพวงคราม พวงครามพูดเสียงสะบัดใส่
“ถ้าอยากเห็นแม่ขาดใจตายก็เอาสิ แต่งกับนังผู้หญิงหน้าด้านที่หอบผ้าหอบผ่อนมาค้างบ้านผู้ชายเลย เอาเลย บุญสลัก อยากเห็นแม่ตายก็ลองดู”
“แต่ผมรักทิพย์ ยังไงผมก็ต้องแต่งงานกับทิพย์ให้ได้”
บุญสลักเดินกลับไป พวงครามตกใจ หน้าเครียด แต่ทำอะไรไม่ได้ คืนนั้น พวงครามนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงหมาหอนดังเข้ามา เธอค่อยๆ ปรือตาขึ้น มองซ้ายขวา
“จะมาหอนอะไรกัน”
พวงครามมองไปที่ปลายเตียงแล้วตกใจ เห็นละอองคำในชุดเจ้านางยืนมองนิ่งอยู่
เธอผุดลุก กระถดตัวหนีเข้าใจว่าเป็นมนต์ทิพย์
“หล่อนเข้ามาทำอะไรในห้องฉัน ออกไปนะ นังมนต์ทิพย์”
ละอองคำหัวเราะ เดินเข้าหาพวงครามช้าๆ ตาแดงฉาน พวงครามเริ่มกลัว
“แกจะทำอะไร ฮึ”
ละอองคำวูบไปนั่งบนเตียง จ้องหน้าพวงคราม ดวงตาแดงฉาน พวงครามตัวสั่น
“แกจะทำอะไรฉัน นังมนต์ทิพย์”
ละอองคำแสยะยิ้ม แล้วค่อยๆ เลือนหายไป พวงครามได้สติ ร้องไห้โฮๆ ออกมาเสียงดัง
“ช่วยด้วย ฮือๆ ช่วยด้วย”

ละอองคำนั่งอยู่ในมุมมืด ใบหน้าและท่าทางโทรมมาก เธอตกใจ เห็นละอองคำอีกคนในชุดเสื้อผ้าสวยงาม แล้วค่อยๆ กลายร่างเป็นผีเจ้า
“ผีเจ้าไปทำอะไรมา”
“เมื่อเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็ต้องหาทายาทด้วยตัวข้าเอง”
“ผีเจ้าทำอะไร ทำอะไรหลานข้า บอกมานะ”
ละอองคำเขย่าตัวผีเจ้า คร่ำครวญ
“ผีเจ้าทำอะไรหลานข้า หา”
ผีเจ้าตวัดมือ ร่างละอองคำเซไปปะทะผนังอย่างแรง เจ็บปวด
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ห้ามข้า อีละอองคำ”
ผีเจ้าค่อยๆ เลือนหายไป

คืนนั้น บุญสลักเปิดประตูเข้ามาในห้องพวงคราม เป็นห่วงมาก นมผ่องกับแหวนตามเข้ามา
“คุณแม่”
พวงครามอยู่ในอาการหวาดกลัวสุดขีด
“บุญสลัก ช่วยแม่ด้วย น่ากลัว”
พวงครามกอดบุญสลักไว้ กลัวมาก
“ผี ผีมันหลอกแม่”
พักตร์พริ้งกับแช่มเข้ามาในห้อง
“ผีที่ไหนกันครับ บ้านเราไม่มีผีหรอกครับ”
“แต่ก่อนน่ะไม่มี แต่ตั้งแต่นังลูกสาวปอบเข้ามาในบ้าน บ้านนี้ก็มีผีอย่างที่แม่ของหลานพูด”
“คุณอา พอเถอะครับ อย่าใส่ร้ายทิพย์อีกเลย แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
“ใส่ร้ายเหรอ บุญสลัก เห็นผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าดีกว่าแม่ กว่าอาเหรอ”
มนต์ทิพย์เดินเข้ามา ปีบตามมาติดๆ พวงครามชี้หน้า
“นั่นไง นั่น ผี มันเป็นผี”
“ไม่ใช่ครับแม่ นั่นทิพย์ไงครับ ไม่ใช่ผี”
“ผี มนต์ทิพย์เป็นผี มันเป็นผีจริงๆ ลูก”
ทุกคนมองมนต์ทิพย์เป็นตาเดียว มนต์ทิพย์หน้าเสีย ถูกปรักปรำ เธอกลับมาในห้องอย่างเศร้าสร้อย ปีบอยู่ด้วย
“อาการคุณพวงครามเหมือนคุณอัปสรตอนนั้นเลยนะคะคุณทิพย์”
“พี่ปีบคิดอย่างนั้นหรือคะ”
“อ้าว คุณทิพย์ว่าไม่เหมือนหรือคะ ปีบว่าเหมื้อนเหมือนค่ะ ทำยังกะเห็นผี เหมือนกันเปี๊ยบเลย”
“แสดงว่าพี่ปีบคิดว่าทิพย์เป็นผีน่ะสิคะ”
ปีบหน้าเจื่อน
“อุ๊ย พี่ปีบขอโทษค่ะ พี่ปีบไม่ได้หมายความว่ายังงั้น”
บุญสลักเข้ามา พยักหน้าให้ปีบออกไป มนต์ทิพย์เห็นบุญสลัก มองเมินไปอีกทาง
“คุณแม่อาจจะฝันร้าย คงตกใจ ทิพย์อย่าคิดมากนะครับ”
มนต์ทิพย์ยิ้มเศร้า
“แม่คุณประกาศต่อหน้าทุกคนว่าทิพย์เป็นผีไปหลอกท่าน คุณจะไม่ให้ทิพย์คิดมากหรือคะ”
“แต่คุณแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้”
“แม่คุณลงทุนทำขนาดนี้ ก็แสดงว่าไม่ต้องการทิพย์จริงๆ ทิพย์จะตามหาแม่ให้พบแล้วก็จะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ทิพย์ แต่ว่า”
“ทิพย์ตัดสินใจแล้วค่ะ ทิพย์ทนให้แม่คุณ อาคุณ ดูถูกเหยียบย่ำต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ปล่อยให้ทิพย์ไปตามทางของทิพย์เถอะนะคะ”
บุญสลักกอดมนต์ทิพย์
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมประชุมเสร็จ ผมจะไปช่วยทิพย์ตามหาคุณน้า เมื่อพบท่าน ผมจะจัดการแต่งงานทันที”

มนต์ทิพย์มองบุญสลักอย่างพอใจ ทั้งสองยิ้มให้กัน โดยไม่เห็นว่าผีเจ้ามองอยู่ที่หน้าต่าง
 
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.



เจ้านาง ตอนที่ 11 (ต่อ)

กลางดึก ดวงจันทร์คล้อยดวงลงต่ำ มนต์ทิพย์หลับสนิท หลังเหนื่อยล้ากับเรื่องของพวงคราม
 
ผีเจ้าปรากฏตัวที่ปลายเตียง ยิ้มหยัน
“เจ้านี่แหละ เหมาะสมที่สุดที่จะสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
ผีเจ้าหัวเราะน่ากลัว

มนต์ทิพย์มาที่เรือนปั้นหยาของละอองคำ ซึ่งดูสวยงาม ไม่เก่าทรุดโทรม เดินเข้ารั้วไปที่ศาลาท่าน้ำ ไม่รกเรื้อเหมือนที่เคยเห็น ทุกสิ่งรอบตัวร่มรื่น เย็นใจ
“ทิพย์ ทิพย์หรือลูก”
อัปสรยืนอยู่ หน้าตาสดใสอิ่มเอิบ
“แม่”
“มาหาแม่สิลูก ทิพย์ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน แม่อยู่ที่นี่แล้ว”
มนต์ทิพย์เดินออกมานอกศาลา แต่พอออกมาก็ไม่เห็นอัปสรแล้ว
“แม่ แม่คะ แม่อยู่ที่ไหนคะ แม่”
มนต์ทิพย์ฝัน กระสับกระส่าย สะดุ้งตื่น ผุดลุก ร้องเรียกอัปสรสุดเสียง
“แม่”
มนต์ทิพย์หอบเหนื่อย มองไปรอบๆ รู้ว่าตัวเองฝันไป น้ำตารื้น
“หรือว่าแม่จะอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
เงาผีเจ้าสะท้อนอยู่ในกระจก ยิ้มสมใจ แต่มนต์ทิพย์มองไม่เห็น

ตอนเช้า บุญสลัก เกษม และเขมิกา นั่งสนทนากันอยู่ในร้านอาหารหรู
“ผมดีใจที่ได้คนเก่งๆ อย่างคุณบุญสลักมาเป็นวิศวกรโครงการนี้”
“เขมเห็นด้วยค่ะคุณพ่อ”
“ท่านชมผมเกินไปแล้วล่ะครับ”
“ปกติคุณพ่อไม่ค่อยชมใครนะคะ แสดงว่าบุญสลักต้องทำงานถูกใจคุณพ่อแน่ๆ”
“คนหนุ่มไฟแรงน่ะมีแยะ แต่ไอ้ที่รอบคอบ สุขุม แบบคุณบุญสลักนี่ หายาก เดี๋ยวบ่ายนี้ประชุมต่ออีกหน่อยก็เรียบร้อย”
บุญสลักอึดอัด เพราะนัดมนต์ทิพย์ไว้
“เอ่อ ครับ”
บุญสลักก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ เขมิกาสังเกตเห็น เวลาเดียวกันนั้น มนต์ทิพย์นั่งอยู่ในห้อง นึกถึงเรือนปั้นหยาในความฝัน
“เราต้องไปตามหาแม่ที่บ้านหลังนั้น แม่ต้องอยู่ที่นั่น ถึงดลใจให้เราฝันเห็น”
ปีบยกแก้วน้ำผลไม้มาให้
“ดื่มซะหน่อยนะคะ จะได้สดชื่น”
“ขอบใจจ้ะพี่ปีบ ทำไมบุญสลักยังไม่มาอีก”
“คงยังประชุมไม่เสร็จมั้งคะ”
มนต์ทิพย์มองนาฬิกาที่ผนัง เห็นว่าบ่ายสามโมงแล้ว ขณะที่บุญสลักยังนั่งดื่มกาแฟกับเกษม และเขมิกา
“ผมเชื่อว่าโครงการนี้จะต้องลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด”
“คุณพ่อต้องมีรางวัลให้เขมแล้วนะคะ”
“เขมยังไม่ได้ช่วยงานพ่อเลยนะลูก แล้วจะมาเอารางวัลอะไร”
“อ้าว ก็รางวัลที่เขมหาวิศวกรเก่งๆ อย่างบุญสลักมารับงานนี้ได้ไงล่ะคะ คุณพ่อจะได้สบายใจแล้วก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว”
เกษมตัวเราะอารมณ์ดี เห็นสายตาเขมิกาที่มองบุญสลักอย่างชื่นชม
“ลูกคนนี้นี่ แล้วอยากได้อะไรล่ะ หือ เขม”
“ไว้ถ้าเขมอยากได้เมื่อไหร่ เขมจะบอกคุณพ่อ”
เขมิกามองบุญสลัก ออกตัวให้พ่อเห็นชัดเจนว่าตนรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่ม
“ถ้าเสร็จธุระแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน วันนี้ผมขออนุญาตลาครึ่งวัน”
“ทำไมรีบกลับล่ะคะ เขมว่าจะชวนบุญสลักไปทานข้าวที่บ้านซะหน่อย จะได้เจอคุณย่าของเขมด้วย”
บุญสลักอึดอัด มองนาฬิกาที่ข้อมือ
“เอ่อ ผมต้องรีบกลับบ้านน่ะครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คุณแม่น่ะครับ ท่านไม่สบาย”
เขมิกาทำเป็นตกใจมาก
“แย่เลยนะคะ คุณพ่อขา เขมขอไปเยี่ยมคุณอาพวงครามนะคะ ไปค่ะ บุญสลัก”
“เอ่อ ไม่ต้องลำบากดีกว่าครับ คุณเขม”
“ลำบากที่ไหนกันคะ คนกันเองแท้ๆ ไปค่ะ”
เขมิกาจูงแขนบุญสลักราวคนรัก เกษมมอง ยิ้มปลื้ม

มนต์ทิพย์มองนาฬิกาเห็นใกล้เวลาสี่โมงเย็น จึงคว้าโทรศัพท์จะเดินออกไป
“คุณทิพย์ รอคุณบุญสลักอีกสักครู่เถอะค่ะ”
“ไม่หรอก ถ้าบุญสลักมา บอกว่าทิพย์ไปตามหาแม่ที่บ้านริมน้ำ”
“บ้านริมน้ำที่ไหนคะ”
“บุญสลักเคยพาทิพย์ไป เขาทราบค่ะ”
มนต์ทิพย์เดินออกไป โดยถอดสร้อยคอไว้บนโต๊ะ

บ้านละอองคำ เงียบเชียบ วังเวง เก่า รกเรื้อ มนต์ทิพย์มาหยุดยืนหน้าประตูรั้ว ความมืดเข้าครอบงำ เธอตัดสินใจก้าวผ่านรั้วเข้าไป
“แม่คะ แม่ แม่อัปสรคะ ทิพย์มาหา”
มนต์ทิพย์รวบรวมความกล้าก้าวเข้าไปจนถึงบันไดบ้าน
“มีใครอยู่บ้างคะ”
จู่ๆ แมวดำก็กระโดดลงตรงหน้า ร้องเสียงดัง มนต์ทิพย์ผงะ ถอยหลังทันทีด้วยความตกใจ แมวดำเดินเข้าบ้าน ดวงตาวาววับ แดงฉาน มนต์ทิพย์จะขยับถอยหนี แต่ก็ก้าวขาไม่ออก แมวดำเดินเข้าบ้าน คอยหันมองมนต์ทิพย์เป็นระยะ มนต์ทิพย์เดินตามไปช้าๆ ทื่อๆ เพราะถูกสะกดจิต แมวดำไปถึงประตู หันมองมนต์ทิพย์ แล้วหายวับผ่านผนังเข้าไป มนต์ทิพย์หยุดยืนหน้าประตู
“แม่ แม่คะ ทิพย์มาหา แม่อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ”

ดวงตามนต์ทิพย์เลื่อนลอยผลักประตูบ้านเข้าไป

เขมิกาคล้องแขนบุญสลักเข้ามาในบ้าน พวงครามกับพักตร์พริ้ง แหวน แช่ม นมผ่อง ต่างยิ้มรับ
 
“สวัสดีค่ะคุณอา บุญสลักบอกเขมว่าคุณอาป่วย คุณอาเป็นยังไงบ้างคะ”
พวงครามสบตากับพักตร์พริ้ง งงๆ เพราะตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
“ก็ เมื่อตอนเย็นน่ะจ้ะ เป็นลม ใช่มั้ยคะคุณพี่”
“เอ่อ ใช่ๆ ๆ จ้ะ แต่ตอนนี้อาไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ขอบใจนะแม่คุณ ช่างมีน้ำใจกับคนแก่”
“เขมเต็มใจค่ะ คุณอาทั้งสองเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เขมเคารพนับถือนี่คะ”
“แม่คุณ ช่างน่ารัก อ่อนหวานเหลือเกิน”
บุญสลักมองซ้ายขวา ไม่เห็นมนต์ทิพย์
“ทานข้าวกันเถอะ แม่หิวแล้ว เอ่อ วันนี้มีแต่ของโปรดของลูกทั้งนั้น หนูเขมทานข้าวกับอานะจ๊ะ”
“ค่ะคุณอา”
เขมิกายิ้มไปทางบุญสลัก แต่บุญสลักยังมองหามนต์ทิพย์อยู่

มนต์ทิพย์อยู่ในบ้านละอองคำ มืดทึบ เธอมองไม่เห็นอะไร
“แม่ แม่คะ แม่อยู่ที่นี่ใช่มั้ยคะ”
มนต์ทิพย์รู้สึกเหม็นอับ
“แม่อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ”
เงาผีปรากฏขึ้นมุมนั้นมุมนี้ มองมนต์ทิพย์ มนต์ทิพย์ใช้มือไขว่คว้า หาที่ยึด เสียงเริ่มสั่น
“แม่คะ แม่ นี่ทิพย์ลูกสาวแม่นะคะ”

บุญสลักเข้ามาในครัว ปีบจัดเตรียมอาหารอยู่ แช่มกับแหวนอยู่ไม่ห่าง
“พี่ปีบ ทิพย์ไปไหน”
“คุณทิพย์รอคุณบุญสลักอยู่นาน ตอนนี้เธอ”
“ไปไหน”
“ไปตามหาคุณนายค่ะ”
พักตร์พริ้งเข้ามา หน้าเครียด
“ทิ้งหนูเขมเข้ามาในครัว แบบนี้ไม่ดีเลยนะจ๊ะหลาน”
“ปีบ ผมถามว่าทิพย์ไปไหน”
“อะไรกัน อาพูดนี่ไม่ฟังอาเลยเหรอ หลานจะสนใจกับผู้หญิงอย่างนังทิพย์ทำไม”
บุญสลักจับแขนปีบ
“ทิพย์ไปตามหาแม่ใช่มั้ย พี่ปีบรู้มั้ยว่าไปไหน”
“ไปที่บ้านริมน้ำ เธอบอกว่าคุณบุญสลักทราบค่ะว่าอยู่ที่ไหน”
บุญสลักเดินออกจากครัวไปทันที
“บุญสลัก กลับมาก่อน กลับมา”
พักตร์พริ้งรีบตามหลานชายออกไป แช่มหันมาต่อว่าปีบ
“นังเนรคุณ คอยดูนะ ถ้าคุณหนูเป็นอะไรไป แกตายแน่”
“ฮึ คิดเหรอว่านังมนต์ทิพย์นายแกจะได้เป็นคุณผู้หญิงที่บ้านนี้ ฮึ ฝันไปเถอะ ข้ามศพฉันสองคนไปก่อนดีกว่า”
แช่ม แหวนหัวเราะกันสะใจ ปีบคว้ามีดขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง
“อยากเป็นศพตอนนี้เลยมั้ย”
แช่มกับแหวนตกใจ รีบวิ่งออกไป ปีบวางมีด ถอนใจ

เขมิกาวางช้อน หน้าเครียด มีพักตร์พริ้งคอยปลอบ
“เดี๋ยวบุญสลักก็กลับมา หนูเขมอย่าเพิ่งอิ่มสิจ๊ะ”
“นั่นสิ กับข้าวอร่อยทุกอย่างเลย ทานอีกนิดนะจ๊ะหนูเขม”
“เขมอิ่มแล้วค่ะคุณอา เขมให้คนรถที่บ้านมารับดีกว่าค่ะ”
เขมิกาเดินออกไป
“คุณพี่ นี่ถ้านังมนต์ทิพย์กลับมา เราต้องกำจัดมันให้พ้นบ้านนี้แล้วล่ะค่ะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
พวงครามกำมือ หน้าเครียด
“พี่ใจดีกับมันมากเกินไปแล้ว”
“จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงหัวใจคุณหนูด้วยนะคะ”
พวงครามกับพักตร์พริ้งหันมามองหน้านมผ่องทันที

ในความมืดของบ้านละอองคำ มนต์ทิพย์คลำหาทางออก
“แม่ แม่คะ ตกลงแม่อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ”
มนต์ทิพย์คลำไปถูกละอองคำซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
“แม่ แม่ใช่มั้ยคะ”
ละอองคำกอดมนต์ทิพย์ไว้
“นี่ยายเอง มนต์ทิพย์ ยายของหลาน”
มนต์ทิพย์ผงะออก แต่ละอองคำกอดไว้แน่น
“ยาย”
“ไม่ต้องกลัวยายนะหลานรัก”
เวลาเดียวกันนั้น รุ้งแก้วนั่งสมาธิในกุฏิ ลืมตาขึ้นทันที เป็นห่วงมนต์ทิพย์มาก
“เข้มแข็งนะเจ้าคะ อย่าตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายต่ำเลยเจ้าค่ะ”
ละอองคำประคองมนต์ทิพย์เข้ามานั่งบนเตียงเก่าๆ ลูบหน้าลูบตา
“ใบหน้าของเจ้า ช่างเหมือนยายเหลือเกิน”
มนต์ทิพย์เลื่อนลอย ไม่มีสติ
“ยาย”
“ยายรักเจ้า ยายอยากมอบอำนาจให้แก่เจ้า อำนาจที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้”
ละอองคำเดินไปที่หิ้งผี กรวยดอกไม้ก็ลอยหนี เธอตามไปคว้า แต่ก็คว้าไม่ได้
“ไยถึงหนีข้า ผีเจ้า ในเมื่อนังมนต์ทิพย์มันพร้อมจะรับเลี้ยงผีต่อจากข้าแล้ว”
ผีเจ้าปรากฏร่างต่อหน้าละอองคำ
“ใครจะนับถือข้า ต้องนับถือด้วยใจ ไม่ใช่เพราะถูกมนต์สะกด”
“ข้าทุกข์ทรมานเต็มทีแล้ว ผีเจ้า ข้าอยากไปชดใช้กรรม ข้าอยากไปผุดไปเกิด ปล่อยข้าไปเถอะ”
“ฝันไปเถอะ นังละอองคำ เจ้าจะต้องเป็นทาสของข้าไปอีก นานแสนนาน”
ผีเจ้ากลายเป็นกรวยดอกไม้ ลอยขึ้น ละอองคำพยายามจะจับ และก็คว้ากรวยดอกไม้ได้ ดีใจมาก แต่จู่ๆ กรวยดอกไม้ก็เกิดไฟลุกโชนแดงฉาน เผาไหม้มือละอองคำ
“โอ๊ย ร้อน ร้อนเหลือเกิน”
ละอองคำโยนกรวยดอกไม้ทิ้ง สะบัดมือเร่าๆ กรวยดอกไม้ลอยขึ้น กลายเป็นกรวยเก่าๆ ตั้งอยู่บนหิ้งเหมือนเดิม
“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม ยังไงนังมนต์ทิพย์ก็จะต้องสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
มนต์ทิพย์ยังนั่งนิ่ง ถูกสะกด ไม่รับรู้ ละอองคำเคียดแค้นมาก
“ก็ได้ ข้าจะคลายมนต์สะกดมัน จะทำให้มันรับเลี้ยงผีเจ้าด้วยความเต็มใจ”
ละอองคำนั่งประกบมนต์ทิพย์ เหมือนรักใคร่ คลายมนต์สะกด มนต์ทิพย์ได้สติ เห็นหน้าละอองคำ แก่ หง่อม น่าเกลียด ก็ตกใจ ลุกพรวดไปที่ประตู
“จะหนียายไปไหน มนต์ทิพย์”
“ไม่ แกไม่ใช่ยายฉัน ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
มนต์ทิพย์วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ผีเจ้าหัวเราะเยาะหยัน ละอองคำไม่พอใจ เลือนหายไป มนต์ทิพย์ลงบันไดมา กลัวลนลาน ละอองคำมาดักหน้าไว้ มนต์ทิพย์ตกใจ
“รับเลี้ยงผีของยายซะ มนต์ทิพย์ แล้วหลานจะมีเงิน มีอำนาจ บันดาลทุกสิ่งได้ตามที่หลานต้องการ”
“ไม่ ฉันไม่รับ ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
“ถ้าแกไม่รับเลี้ยงผี ข้าจะฆ่านังอัปสรซะ แกก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญูเหมือนแม่แก นังลูกเนรคุณ”
มนต์ทิพย์ส่ายหน้า ถอยหลังหนี แต่หลังปะทะผนังบ้าน ไปต่อไม่ได้ ละอองคำยื่นมือยาวขึ้นๆ เล็บงอกน่าเกลียดมาไล้ที่หน้ามนต์ทิพย์
“ช่วย ด้วย”
มนต์ทิพย์ทั้งกลัวทั้งขยะแขยง
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก ทางเดียวที่เจ้าจะรอด เจ้าต้องรับเลี้ยงผีต่อจากข้า”
“ไม่ ฉันไม่รับ ฉันไม่รับ”
ผีเจ้าปรากฏกายขึ้นด้านหลังละอองคำ
“ในเมื่อมันไม่นับถือข้า ข้าก็จะกินมันซะ ข้าหิว ข้าอดอยากมานานแล้ว”
ผีเจ้ากลายเป็นกรวยดอกไม้ ลอยพุ่งเข้าใส่มนต์ทิพย์อย่างเร็ว ละอองคำกระโดดเข้าขวางไว้ ถูกกรวยดอกไม้พุ่งชนจนล้มกลิ้ง
“อย่านะ ผีเจ้า นังมนต์ทิพย์มันเป็นหลานข้า มันจะต้องสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
“ไม่ ข้าจะจับมัน ให้สาสมกับความอวดดีของมัน ถอยไป ละอองคำ ถอยไป”
“ไม่ มนต์ทิพย์คือความหวังเดียวของข้า ข้าไม่ถอย”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้างั้นรึ”

ผีเจ้าฟาดมือในอากาศ ละอองคำล้มกลิ้ง มนต์ทิพย์ได้โอกาสวิ่งไปที่ประตู
 
พอผลักออก ก็ถูกพลังผีเจ้าดูดให้หงายหลัง มนต์ทิพย์ลุกขึ้นอีก พอจะออกประตู ประตูก็ตีปิดใส่หน้าจนล้มลง มนต์ทิพย์กรีดร้องสุดเสียง ผีเจ้าเข้าหามนต์ทิพย์ เธอกระถดตัวหนี 
“เจ้าหนีข้าไม่พ้นแน่”
ผีเจ้ากลายเป็นกรวยดอกไม้ โถมเข้าใส่มนต์ทิพย์ มนต์ทิพย์กรีดร้องจนหมดสติไป ฉับพลันแสงสีนวลก็พุ่งมาขวางไว้ กรวยดอกไม้กระเด็นออกไป ผีเจ้าล้มกลิ้งกับพื้น
“โอ๊ย ใคร ใครบังอาจมาขวางข้า”
กายทิพย์รุ้งแก้วลอยวนขวางมนต์ทิพย์ไว้ เสียงบุญสลักเคาะประตูรัวดังๆ ผีเจ้ากับละอองคำหายวับไป บุญสลักผลักประตูเข้ามา
“ทิพย์ ทิพย์”
บุญสลักอุ้มมนต์ทิพย์ออกไป กายทิพย์ของรุ้งแก้ว มีแสงนวลลออ ล้อมรอบลอยเข้าหาละอองคำช้าๆ ละอองคำถอยหนี หวาดๆ
“เจ้าเป็นใคร”
“น้องเสียใจ น้องน่าจะห้ามเจ้าพี่สำเร็จในวันนั้น ไม่ควรให้เจ้าพี่ซื้อผีมาเลย หาไม่ เจ้าพี่คงไม่ระทมทุกข์เยี่ยงนี้”
ละอองคำดีใจ
“รุ้งแก้ว นั่นรุ้งแก้วรึ”
“เจ้าค่ะ น้องเอง น้องสงสารเจ้าพี่เหลือเกินเจ้าค่ะ”
“อย่ามายุ่งกับข้า เจ้ามันก็อกตัญญูเหมือนลูกเหมือนหลานข้านั่นแหละ”
“เจ้าพี่ต่างหากที่อกตัญญูทิ้งผีปู่ย่า เวรกรรมถึงทำให้เจ้าพี่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง”
“หยุดนะ นังรุ้งแก้ว ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า”
“เจ้าพี่ฟังน้องนะเจ้าคะ พลังพุทธคุณเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าพี่พ้นจากอำนาจของผีร้ายได้”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่นังอัปสรมันยังไม่ยอมรับเลี้ยงผีต่อจากข้า ข้าก็ไม่มีทางเป็นอิสระได้”
“ได้สิเจ้าคะ อำนาจของผีไม่มีทางสู้พลังแห่งพุทธคุณได้”
กายทิพย์รุ้งแก้วค่อยๆ ลอยขึ้นแล้วหายไป
“เดี๋ยวสิ รุ้งแก้ว เดี๋ยวก่อน บอกข้าก่อนว่าข้าต้องทำยังไง”
ละอองคำแหงนมองรุ้งแก้วที่ลอยห่างออกไปด้วยสายตาว้าเหว่เดียวดาย รุ้งแก้วลืมตาขึ้นในท่านั่งสมาธิ เศร้าหมอง
“โธ่ เจ้าพี่”

บุญสลักกับมนต์ทิพย์กลับเข้ามาบ้าน ก็เห็น พวงคราม พักตร์พริ้ง นั่งหน้าง้ำอยู่ นมผ่องรีบทักเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“ทานข้าวกันมาหรือยังคะ ปีบไปเตรียมอาหารให้คุณทิพย์กับคุณบุญสลักสิ”
“ค่ะป้า”
“ไม่ต้องหรอกมั้ง อ้อนผู้ชายจนอิ่มแล้วละป่านนี้”
มนต์ทิพย์หันมามองหน้าพักตร์พริ้งทันที บุญสลักรีบบอก
“เราสองคนยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย”
“รีบไปสินังปีบ”
ปีบรีบออกไป พวงครามถามขึ้น
“ไปไหนกันมา”..
“ไป”
บุญสลักยังไม่ทันตอบ มนต์ทิพย์ก็รีบสวนคำตอบแทน
“เรื่องส่วนตัวของทิพย์ค่ะ ไม่เกี่ยวกับบุญสลัก คุณอาไม่จำเป็นต้องทราบ ทิพย์ขอตัวนะคะ ทิพย์ไม่หิว”
ทิพย์เดินขึ้นบันไดไป พักตร์พริ้งกับพวงครามมองหน้ากันทันที
“มันจองหองแค่ไหน เห็นหรือยังบุญสลัก ทำไมถึงหน้ามืดตามัวรักผู้หญิงพรรค์นี้อยู่ได้”
“สักวันมันคงบีบคออากับแม่ตายคามือมัน ยิ่งเป็นลูกหลานปอบอย่างนี้ด้วย”
“อาพักตร์ พูดแบบนี้อีกแล้ว ทิพย์เขาถึงเสียใจไงล่ะครับ ถ้าทิพย์อยู่บ้านนี้ไม่ได้ ผมก็ไม่อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
บุญสลักเดินหนีไป
“บุญสลัก อย่าพูดอย่างนี้นะ แม่ทนฟังไม่ได้ คุณพักตร์ทำยังไงกันดีล่ะคะ”
พักตร์พริ้งเครียด
“พักตร์ไม่ยอมแพ้มันหรอกค่ะคุณพี่”

มนต์ทิพย์นั่งนิ่ง น้ำตาไหลพราก นึกถึงภาพความน่ากลัวของละอองคำที่เพิ่งพบมา เธอสะอื้น ตัวสั่น กลัวขึ้นมาทันที บุญสลักเข้ามา
“ทิพย์ เป็นอะไร เล่าให้ผมฟังบ้างสิว่าทิพย์ไปเจออะไรมา นั่งในรถก็ไม่ยอมพูดกับผม”
“คุณอย่ายุ่งเรื่องของทิพย์ ทิพย์ขอร้อง ทิพย์อยากอยู่คนเดียว ไปสิ”
“ถ้าทิพย์ต้องการอย่างนั้น ผมก็จะไม่รบกวนทิพย์ แต่จำไว้นะทิพย์ ผมไม่เคยรักใครเท่าคุณ ผมตายแทนคุณได้นะ”
บุญสลักออกไป
“แม่อยู่ที่ไหน ทิพย์รู้แล้วว่าทำไม แม่ถึงกลัวยาย”
มนต์ทิพย์สะอื้น น้ำตาไหลพราก บุญสลักลงบันไดมาจากห้องมนต์ทิพย์ นมผ่องกับปีบถามทันที
“คุณทิพย์เป็นยังไงบ้างคะ”
“ท่าทางเหมือนช็อกไป ถามก็ไม่ยอมบอกว่าไปเจอฃอะไรมา”
“คงต้องเจอกับอะไรน่ากลัวมาแน่ๆ คุณหนูต้องดูแลเธอให้ดีๆ นะคะ”
พักตร์พริ้งกับพวงครามเดินมาพอดี แหวนกับแช่มตามมาห่างๆ
“อย่าให้มาเป็นอีบ้าอีบอในบ้านนี้ล่ะ ขายหน้าเขาแย่”
“นั่นสิคุณพักตร์ แม่มันก็ประสาทเสียไปคนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อาว่าทางที่ดี บุญสลักรีบแต่งงานกับหนูเขมเถอะ จะได้สลัดแม่นี่ทิ้งไปซะที แต่ถ้าแต่งงานไปแล้ว ยังสลัดไม่ออก ก็บอกได้คำเดียวเลยว่าหน้าด้าน”
บุญสลักส่ายหน้า หันไปบอกปีบ
“ปีบทำซุปร้อนๆ ไปให้คุณทิพย์ด้วย”
“ได้ค่ะคุณบุญสลัก”
ปีบเลี่ยงไปในครัว หันหลังทำซุปอยู่หน้าเตา แหวนกับแช่มแกล้งนินทาแบบเผาขนอยู่ด้านหลัง
“แช่ม พวกปอบนี่มันกินซุปเป็นด้วยเหรอ”
“ป้าแหวนก็ ลืมแล้วเหรอ ปอบเคยเติบโตอยู่เมืองนอกเมืองนาก็ต้องกินซุปสิ จะให้ล้มวัวล้มควายได้ไงล่ะเจ้าคะ”
“เออ ลืมไป ไม่มีควาย แล้วกินซุปจะอิ่มเหรอ”
“อิ่มสิ แอบหนีไปกินหมากินแมวมากี่ตัวแล้วก็ไม่รู้”
ปีบหันขวับมาโกรธจัด คว้าของใกล้ตัวจะขว้าง
“ถ้าไม่อิ่ม กินหล่อนสองคนแทนได้มั้ย ตัวอวบๆ ขาวๆ แบบนี้คงอร่อยดี”
ปีบแลบลิ้นแกล้งเป็นปอบ แหวนกับแช่มตกใจ วิ่งหนีไป

“เสียดายที่คุณทิพย์ไม่ได้เป็นปอบจริงๆ ถ้าเป็นล่ะก็ ฮึ่ม จะบอกให้กินเรียงตัวเลย”

อัปสรแต่งชุดขาว มีกระเป๋าเดินทางเล็กๆ ใบหนึ่ง เดินเข้ามาในวัดป่า
 
บริเวณที่พระพุทธรูปกลางแจ้ง มีต้นไม้ร่มรื่น เธอเกิดศรัทธา นั่งลงไหว้ มองพระ น้ำตาคลอ
“บุญกุศลใดก็ตามที่ลูกได้เคยทำไว้ในอดีตชาติและในชาตินี้ ขอจงช่วยปกป้องมนต์ทิพย์ ลูกสาวของดิฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
อัปสรก้มลงกราบ เงยหน้าขึ้น ก็ได้ยินเสียงของรุ้งแก้ว
“กราบพระแล้วสบายใจขึ้นหรือยัง”
“ที่นี่ที่ไหนเจ้าคะ ดิฉันเดินทางมาเรื่อย ไม่มีจุดหมาย เห็นวัดนี้ร่มรื่นก็เลยจะขออาศัยสักวันสองวันเจ้าค่ะ”
“อยู่ให้ตลอดไปก็ได้ จะได้ไม่ต้องหนีไปที่ไหนอีก”
อัปสรตกใจ
“ยายรู้ได้ยังไงว่าหนูหนีอะไรบางอย่างมา”
รุ้งแก้วมองหน้าอัปสร
“อยู่ที่นี่แหละ วิญญาณของเจ้านางละอองคำจะได้หมดห่วงเสียที”
“ยายรู้ได้ยังไงว่าแม่หนูชื่ออะไร”
“โลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรอกหนู บุญและกรรมที่สัมพันธ์กันจะทำให้เราพบและพรากกัน หากมีบุญก็ได้พบ หากหมดบุญก็จำพราก นี่คือกฎแห่งกรรม ตามฉันมาทางนี้สิ”
อัปสรเดินตามไป รุ้งแก้วพาอัปสรมาที่กุฏิ
“ทำไมถึงรู้ว่าแม่หนูชื่อละอองคำ”
“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าบุญสัมพันธ์ อัปสร”
“นั่นชื่อของหนู”
“นึกดูดีๆ สิ ว่าเราเคยพบกันที่ไหน”
อัปสรมองหน้ารุ้งแก้ว นึกถึงภาพของรุ้งแก้วในวัยสาว
“น้ารุ้งแก้ว น้ารุ้งแก้วใช่มั้ยคะ”
รุ้งแก้วพยักหน้า อัปสรปล่อยโฮ โผเข้ากอดน้า
“ไม่ต้องร้อง อัปสร อยู่กับน้าที่นี่แหละ เราต้องช่วยแม่ของหนู”
“หนูกลัวมนต์ทิพย์ลูกสาวหนูจะได้รับอันตราย น้ารุ้งแก้วต้องติดต่อกับแม่นะคะ บอกแม่ว่าอย่าทำอะไรลูกสาวหนู”
“เราต้องร่วมมือกันต่างหาก ล้างหน้าล้างตาซะ แล้วก็อยู่ปฏิบัติธรรมที่นี่ ไม่ต้องหนี ไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีกแล้ว”
“แต่หนูห่วงลูกสาว”
“ถ้าจิตใจเขาไม่ตกเป็นทาสฝ่ายต่ำ เขาก็ปลอดภัย”
“น้ารุ้งแก้ว หมายความว่ายังไงคะ”
“มันเป็นเรื่องของอนาคต อย่าเพิ่งคิดอะไรไปมากกว่านี้เลย อัปสร แต่ถ้าห่วงลูก ก็กลับไปอยู่กับลูกสิ ไม่มีใครมีอิทธิพลเหนือความรักของแม่ที่มีต่อลูกหรอก ลองคิดดูดีๆ”
รุ้งแก้วมองอัปสรอย่างสงสารและเห็นใจ อัปสรนิ่งคิดตัดสินใจ
“ใช่ หนูไม่น่ากลัวเกินไป และไม่ควรเอาคำพูดของคนอื่นมาขวางความรักความห่วงใยที่หนูมีให้ลูกได้ พรุ่งนี้หนูจะกลับไปหาลูกค่ะคุณน้า”
“รู้ว่าน้าอยู่ที่นี่แล้ว มีปัญหาอะไรก็มาที่นี่ได้”

ละอองคำนั่งคุดคู้ อยู่ที่มุมห้อง น่าสงสาร กรวยดอกไม้ลอยจากหิ้งผี ผ่านหน้าละอองคำไป
“ผีเจ้า ผีเจ้าจะไปไหน”
กรวยดอกไม้เปลี่ยนเป็นผีเจ้า มองหน้าละอองคำ
“ข้าหิว ได้ยินมั้ยว่าข้าหิว”
ผีเจ้ากลายเป็นกรวยดอกไม้แล้วลอยหายไปที่บ้านบุญสลัก มนต์ทิพย์นอนหลับอยู่ บุญสลักคอยเฝ้าไม่ห่าง ผีเจ้ามองมนต์ทิพย์ด้วยดวงตาวาวโรจน์ แลบลิ้นด้วยความหิว บุญสลักรู้สึกเหมือนถูกมอง หันไปทางหน้าต่าง แต่ผีเจ้าวูบหายเข้าผนังไปแล้ว
แช่มอยู่ที่ห้องโถง กำลังจะปิดประตูใหญ่ ผีเจ้าวูบผ่านมา แช่มหันขวับ ขนลุกซู่ รีบปิดประตูทันที ผีเจ้ามายืนประกบหลัง มือแช่มจับลูกบิดสั่นๆ หันหลังกลับ ก็ปะทะกับผีเจ้า ผีเจ้าวูบหายสิงร่างแช่ม แช่มสะดุ้ง แล้วเดินตัวแข็งๆ ไปเปิดตู้เย็น หยิบไก่สดเป็นตัวๆ ออกมา แลบลิ้นเลียปากด้วยความหิวโซ

ตอนเช้ามืด ปีบเดินเข้ามาในครัว เปิดไฟสว่างพรึ่บ เห็นแช่มนอนอยู่หน้าตู้เย็นที่เปิดอ้าไว้
“แช่ม นังแช่มตายแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่า”
แหวนกับนมผ่องวิ่งเข้ามา
“ไหน ใครเป็นอะไรนังปีบ”
ปีบยืนตัวสั่น ชี้แช่มที่นอนนิ่ง แหวนปราดเข้าประคอง จับร่างแช่มเขย่าอย่างแรง ร้องไห้คร่ำครวญ
“นังแช่ม โธ่เอ๊ย เห็นกันอยู่หลัดๆ ไม่น่าอายุสั้นเลย”
แช่มลืมตาโพลงแบบทันที เรียกเสียงยานๆ เนือยๆ
“เจ๊แหวน”
แหวนตกใจ ทิ้งร่างแช่ม
“ว้าย ผีหลอก”
“เอ๊ะ เจ๊แหวนนี่ยังไง คนยังไม่ตาย มาแช่งกันเสียได้”
“อ้าว ยังไม่ตายหรอกรึ ก็ข้าเห็นเอ็งนอนแน่นิ่งนี่หว่า”
“นั่นน่ะสิ ใจคอหายหมด”
“เอาล่ะๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมถึงมานอนอยู่นี่ได้ล่ะแช่ม”
แช่มส่ายหน้า
“เจ๊แหวน ทำไมฉันถึงมานอนตรงนี้ได้ล่ะ”
“จะไปรู้รึ ตายๆๆๆ หมูเห็ดเป็ดไก่สดๆ หายเกลี้ยง นังแช่ม นี่แกเป็นปอบรึ คุณนมขา ปอบสิง นังแช่มค่ะ”
ปีบ แหวน ตัวสั่น แช่มขนลุก มองซ้ายมองขวา นมผ่องโบกมือให้หยุด
“เอาล่ะๆ พอแล้ว ปอบอะไรที่ไหนมี แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวคุณๆ ตื่นมา อาหารเช้ายังไม่เรียบร้อยจะถูกเอ็ดเอาได้”

ทุกคนแยกย้ายกันทำงานอย่างไม่เต็มใจ นมผ่องมองตู้เย็น ครุ่นคิด
 
จบตอนที่ 11


กำลังโหลดความคิดเห็น