เจ้านาง ตอนที่ 8
ที่ป่าช้า ใบไม้แห้งปลิวไปตามแรงลม เสียงหมาหอนดังแว่วมาแต่ไกลๆ
ปิ่นเมืองนั่งหันหลังให้ น้อยใจ ราบฟ้ายืนอยู่ หันหลังให้ปิ่นเมืองเช่นกัน
“พี่สงสารละอองคำ”
“สงสารมันทำไม มันทำตัวมันเองแท้ๆ นะเจ้าข้า อยู่ดีไม่ว่าดีสมน้ำหน้า”
“เราก็คนเมืองนายเยี่ยงกัน เหตุใดจึงไม่เห็นใจกันเล่าปิ่นเมือง”
“สำหรับข้าจะจองเวรจองกรรมกับอีละอองคำไปทุกภพทุกชาติ แล้วจำไว้นะเจ้าพี่ หากเจ้าพี่ยิ่งรักมันมากเท่าใด สงสารมันมากเท่าใด ข้าก็จะยิ่งเกลียดมันมากเท่านั้น”
“หากเจ้ายังอาฆาตขุ่นเคืองเยี่ยงนี้ พี่ก็อยู่กับเจ้าอย่างไม่มีความสุข”
ราบฟ้าเลือนหายไป
“เจ้าพี่ อย่าหนีข้านะ เจ้าพี่”
ปิ่นเมืองมองไปรอบๆ ไม่เห็นราบฟ้าก็ยิ่งแค้นเคือง
“เอ็งกับข้าคงต้องเป็นศัตรูกันไปตลอด หาญาติดีกันได้ไม่ อีละอองคำเหย”
ละอองคำนั่งอยู่ที่เตียง ฉัตรถือแก้วน้ำมาให้ดื่ม
“แม่พี่ฝากมาให้น้อง กินสมุนไพรนี้จะคลอดง่าย กินเสียหน่อยนะ กินสิ เป็นสมุนไพรที่แม่พี่เตรียมไว้ให้น้องโดยเฉพาะเลยนะ”
ละอองคำยิ้ม ยกขึ้นจะดื่ม เงาผีเจ้าปรากฏขึ้นแล้วปัดแก้วตกลงไปที่พื้น
“อุ๊ย”
เงาผีเจ้าหายไป ฉัตรตกใจ
“ทำไมล่ะละอองคำ”
“น้ำอะไรแน่ หา”
น้ำเสียงละอองคำกร้าว ฉัตรงง รีบอธิบาย
“แม่ผมบอกว่าน้ำมนต์จะช่วยให้คลอดง่าย”
ละอองคำอึ้ง หันหน้าหนีไป
“ฉันขอโทษ คนท้องอารมณ์หงุดหงิด ขอโทษด้วย”
ละอองคำเดินไปที่หน้าต่าง หน้าซีด
“ละอองคำ คุณเป็นอะไร น้ำมนต์เป็นของดี พระเกจิที่ท่านทำน้ำมนต์ก็เป็นพระที่เก่งมาก”
“ต่อไปไม่ต้องเอามาให้ฉันอีก”
“ครับ ถ้าคุณไม่ต้องการ มานอนเถอะ คุณจะได้พักผ่อนมากๆ”
เวลาเดียวกันนั้น รุ้งแก้วนั่งสมาธิอยู่บนเตียง ใบหน้าสงบ วิญญาณธวัชยืนมองอยู่ห่างๆ หน้าเศร้า
แม่ชีน้อมเดินจงกรมอยู่ ราบฟ้ายืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้าหลวง มีอะไรให้เราช่วยหรือ”
“ข้าสงสารเจ้านางละอองคำ แม่ชีช่วยหน่อยเถิด”
“เราจะลองดู แต่ไม่รับปากหรอกนะ”
“ขอบใจ แม่ชี ถ้าข้ามีกรรม ข้าก็ขอรับกรรมที่เกิดขึ้น แต่อย่าให้กรรมนั้นทำให้ละอองคำต้องทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้เลย”
“ความผูกพันมักนำมาซึ่งความทุกข์เสมอ เจ้าหลวงอยู่คนละภพละภูมิแล้ว อย่าห่วงกังวลเลย ไปใช้กรรมที่ก่อไว้เพื่อเข้าสู่ภพภูมิใหม่ดีกว่า”
“เราจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้นจนกว่าจะแน่ใจว่าละอองคำสุดที่รักของเราปลอดภัย”
ปิ่นเมืองปรากฏขึ้น ดึงราบฟ้าอย่างไม่พอใจ
“เจ้าพี่ มาอยู่กับนางชีที่วัดนี่เอง ทิ้งให้ข้าอยู่ผู้เดียว กลับกันเถิดเจ้าข้า ไปสิ”
ปิ่นเมืองดึงราบฟ้าไป
ละอองคำกับฉัตรนอนหลับอยู่ จู่ๆ ละอองคำก็ลืมตาขึ้น หันมองฉัตร แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เสียงหมาหอนดังมา ละอองคำเดินออกจากห้อง ฉัตรลืมตาตื่นมองตามละอองคำไป เขาแอบมองอยู่ข้างหน้าต่าง เห็นละอองคำเดินออกไป
“หา”
ฉัตรตกใจ เห็นธวัชยืนอยู่ ท่าทางเศร้า แล้วเลือนหายไป
“ธวัช”
ฉัตรกลับมานั่งที่เตียง น้ำตาคลอ นึกถึงเรื่องที่โฉมพูดจาด่าทอว่าละอองคำว่าเป็นปอบ ฉัตรเสียงสั่นเครือ ระงับอารมณ์สะเทือนใจไม่ได้
“ละอองคำ ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร ผมก็รักคุณ”
คืนนั้น ชาวบ้านชายกำลังหาปลาอยู่ที่ริมหนองน้ำ ละอองคำยืนมองอยู่ ดวงตาวาว กล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเข้าไปหา ผีเจ้าปรากฏขึ้นข้างๆ
“รออะไรอยู่ล่ะ เข้าไปสิ เข้าไป ข้าหิว ข้าจะกินมัน”
ละอองคำถูกผีเจ้าเข้าสิง ดวงตาละอองคำวาว เป็นสีแดง สะดุ้งขึ้น แสยะยิ้ม เดินเข้าไปหา
“ทำอะไรอยู่หรือจ๊ะ”
“ดึกๆ แล้วจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
“เดินเล่น”
“กลับไปบ้านเถอะ เขายิ่งลือกันว่าแถวนี้มีผีปอบ”
“พี่กลัวด้วยหรือจ๊ะ หน้าตาปอบมันเป็นยังไง”
“พี่ก็ไม่รู้”
ชาวบ้านหันไปหาปลาต่อ ใบหน้าละอองคำเปลี่ยนเป็นผีเจ้า
“ปอบหน้าตาอย่างนี้ใช่มั้ยจ๊ะ”
ชาวบ้านตะลึง ละอองคำมีเล็บยาวโง้ง เดินเข้าหา ชาวบ้านวิ่งหนี ล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ก้าวไม่ออก ละอองคำตะปบชาวบ้านชายที่ล้มลง กางเล็บจะจ้วงไปที่ท้อง เสียงแม่ชีน้อมดังขึ้น
“เราขอบิณฑบาตชายผู้นี้ได้มั้ย”
ผีเจ้าหันหน้ามา
“อย่ามายุ่งกับข้า อยากลองดีกับข้าใช่มั้ย”
แม่ชีน้อมยืนสงบนิ่ง ผีเจ้าจะพุ่งเข้าหา แต่แล้วก็ตกใจ เห็นประกายบุญระยิบระยับโปรยปรายมาจากฟ้า ผีเจ้าลูบเนื้อลูบตัวเหมือนคนที่สัมผัสความหนาว
“ไม่ๆ ข้าไม่ต้องการ”
“ไปซะ ไป”
ละอองคำเดินไป ท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เวลาเดียวกันนั้น รุ้งแก้วกำลังแผ่เมตตาอยู่
“ขอบุญกุศลอันเกิดจากการนั่งสมาธิของข้าพเจ้า จงบันดาลให้ผีเจ้าต่างวงศ์จงมีบารมีเพิ่มมากขึ้น ละเลิกอาฆาตเจ้าพี่ละอองคำตั้งแต่บัดนี้ไปเถิด”
รุ้งแก้วยกมือขึ้นจบเหนือหัว เสียงเคาะประตูดังขึ้น รุ้งแก้วมาเปิดประตู เห็นฉัตรยืนอยู่หน้าห้อง
“ละอองคำยังไม่กลับมาเลยน้องรุ้งแก้ว”
“เจ้าพี่ไม่อยู่ที่ห้องหรือเจ้าคะ”
ฉัตรส่ายหน้า รุ้งแก้วสะเทือนใจ ปลอบใจฉัตร
“เดี๋ยวก็คงกลับเจ้าค่ะ พี่ฉัตรไปนอนเถอะเจ้าค่ะ”
“ธวัช”
“ทำไมคะ ธวัชทำไม”
“ปละ เปล่า ไม่มีอะไร พี่ไปรอละอองคำที่ห้องนะ”
ฉัตรคิดว่าตนเผลอพูดเรื่องธวัชไป เดินกลับไป รุ้งแก้วมองอย่างสงสัย
“ธวัช หรือว่าพี่ฉัตรรู้อะไร”
ฉัตรกลับมาที่ห้อง แกล้งนอนหลับ ละอองคำเข้ามาในห้องที่มืดสลัว แล้วนอนลง ฉัตรนอนมองดูเพดาน หน้าเครียด
ตอนเช้า รุ้งแก้วเดินไปด้านหลังบ้าน เห็นหมาตัวหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ยดิน จนเห็นมือของธวัช รุ้งแก้วยืนตะลึง
“หา ไปๆๆ”
รุ้งแก้วมองมือของธวัชจำได้ ร้องไห้โฮ
“พี่ธวัช พี่ธวัช”
รุ้งแก้ววิ่งกลับไปที่บ้าน เสียใจอย่างมาก
“เจ้าพี่ เจ้าพี่เจ้าคะ”
รุ้งแก้วเดินหาจนทั่ว ก็ไม่พบละอองคำ
“เจ้าพี่ เจ้าพี่”
“เอะอะโวยวายเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้รุ้งแก้ว”
ละอองคำเดินลงมาช้าๆ ราวนางพญา รุ้งแก้วยืนรอตีนบันได ยังร้องไห้ ประจันหน้าพี่สาว
“น้องพบศพพี่ธวัช”
“อ้าว เหรอ เกิดอะไรขึ้นกับธวัชรึ”
“เจ้าพี่น่าจะรู้ดีกว่าใคร”
“พูดให้ดีๆ นะ รุ้งแก้ว”
“ศพพี่ธวัช พี่ธวัชตายแล้ว ศพฝังในบ้านเรา”
“แล้วไง”
“พี่ธวัชดีกับเจ้าพี่ทุกอย่าง ทำไมเจ้าพี่ต้องฆ่าพี่ธวัช ทำไมเจ้าคะ ทำไม”
ละอองคำไม่สนใจความรู้สึกของรุ้งแก้ว เดินไปนั่งที่ตั่ง
“เสียใจพอหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วก็ลืมเรื่องทั้งหมด ชีวิตหล่อนก็จะสงบสุขเหมือนเดิม”
รุ้งแก้วตกใจกับกิริยาของพี่สาว
“พี่ธวัชตายทั้งคนนะเจ้าคะ จะให้น้องลืมได้ยังไง เจ้าพี่ใจร้าย เจ้าพี่ใจร้ายที่สุด”
“นี่รุ้งแก้ว ไอ้ธวัชมันเป็นใคร แล้วหล่อนกับพี่เป็นอะไรกัน แต่ก่อนแต่ไรเราก็มีกันสองคน ไอ้ธวัชมันมาทีหลัง มันเป็นคนอื่น คนละผีคนละเชื้อกับเรา”“ผีของน้อง กับผีของเจ้าพี่ คนละผีกันนะเจ้าคะ ผีปู่ย่าของน้องไม่ใช่ผีปอบผีกละ ผีต่างวงศ์ เจ้าพี่ไปรับผีของผู้อื่นมาเลี้ยง ผีของเจ้าพี่ไม่ใช่ผีของน้อง”
ละอองคำตบะแตก ผีปอบสิง ผุดลุกขึ้น สายตากร้าว แดงก่ำ
“อีรุ้งแก้วเหย มึงอวดดี”
ลมพัดใส่รุ้งแก้วจนผงะ ปอบละอองคำก้าวรุกเข้าไปใกล้
“ไม่ใช่แต่ไอ้ธวัช แม้แต่เจ้า ข้าก็จะกิน อีรุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วตกใจ พยายามหนี
“อย่าเจ้าค่ะ อย่า เจ้าพี่อย่า”
ฉัตรกลับมาบ้านตอนกลางวัน บ้านปิดเงียบ ก็รีบวิ่งเข้ามายืนหน้าประตู จู่ๆ ประตูก็เปิดออก เขาสะดุ้ง ละอองคำยืนหน้าตึงขวางประตูไว้ ไม่ให้ฉัตรเข้าไป
“มีอะไร”
“คุณน่ะเอง ผมตกใจหมดเลย”
“ฉันถามว่ามีอะไร กลับมาทำไม”
ฉัตรงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของละอองคำ
“ผมคิดถึงลูก คิดถึงคุณ พอเสร็จงานก็เลยรีบกลับมาดู”
“เหลวไหล คุณจะเห่อลูกไปถึงไหน ท้องแค่สองสามเดือน เอาไว้คลอดก่อนค่อยเห่อดีกว่า”
ละอองคำจ้องหน้าฉัตร เวลาเดียวกันนั้น รุ้งแก้วถูกจับมัดมือมัดปากอยู่ในห้องหนึ่ง พยายามดิ้นให้เกิดเสียง หวังให้ฉัตรช่วย แต่ไม่เป็นผล ฉัตรมองละอองคำฝืนยิ้มแหยๆ หน้าเสีย
“เอ่อ ผมเป็นห่วงคุณ จู่ๆ ก็คิดถึง อยากเห็นหน้า”
ละอองคำเริ่มรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป เสียงอ่อนลง
“ฉันเป็นห่วงอนาคตคุณมากกว่าค่ะ กลัวคุณพรเทพหัวหน้างานใหม่ของคุณจะตำหนิเอาได้ ความดีความชอบที่ทำมาก็หมดกันพอดี กลับไปทำงานดีกว่า ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ นะคะ”
ละอองคำจับมือฉัตร ยิ้มประจบ ฉัตรยิ้มออก
“ครับ งั้นผมกลับไปทำงานก่อน เลิกงานแล้วผมจะรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
รุ้งแก้วพยายามดิ้นรนเมื่อได้ยินว่าฉัตรจะกลับไป ละอองคำรีบไล่ฉัตร“รีบไปเถอะค่ะ”
ฉัตรออกไปได้สองสามก้าว รุ้งแก้วตัดสินใจโถมตัวกระแทกฝาบ้านเกิดเสียงดังโครม ฉัตรหันขวับกลับมา จะวิ่งเข้าไปดูในบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นคุณ”
ละอองคำขวางไว้ จ้องตาฉัตร สะกด
“กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้”
ฉัตรตกอยู่ในภวังค์
“ครับ ผมจะกลับไปทำงาน”
ฉัตรเดินออกไปอย่างเลื่อนลอย ละอองคำกลับเข้าบ้าน หน้าถมึงทึง เดินผ่านขึ้นบันได ไปตลอดจนถึงห้องที่ขังรุ้งแก้ว
“นังรุ้งแก้ว เจ้าไม่ต้องเร่งเวลาตายนักหรอก นังตัวดี มานี่”
ปอบละอองคำจิกผมรุ้งแก้วให้ลุกตามไป รุ้งแก้วดิ้นรน ร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็มีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น ละอองคำเหวี่ยงรุ้งแก้วไปที่พื้น
“อยู่ในนี้แหละ ข้าหิวเมื่อไหร่ ข้าจะกินเจ้าทันที”
รุ้งแก้วผงะ น้ำตาไหลพราก มองดูละอองคำที่ถูกปอบเข้าสิง
ฉัตรนั่งรถเจ๊ก หน้านิ่ง ซึม รถถึงที่หมาย
“ถึงแล้วครับ”
ฉัตรยังคงนั่งนิ่ง
“ถึงแล้วครับ”
ฉัตรสะดุ้ง
“อ้อ ถึงแล้ว”
ฉัตรลงจากรถ หยิบเงินส่งให้ แล้วเดินเหม่อเข้ามา สวนทางกับพนักงานอื่นๆ พนักงานบางคนยกมือไหว้ แต่ฉัตรไม่สนใจ เดินเหมือนคนไร้วิญญาณผ่านไป พรเทพเดินมาทัก
“คุณฉัตร ไหนว่าลากลับบ้าน แล้วทำไมถึง”
“ผมกลับมาทำงาน”
“ภรรยาคุณไม่สบายไม่ใช่เหรอ กลับไปดูแลภรรยาคุณเถอะไม่ต้องห่วงงานทางนี้”
ฉัตรอึ้งไป
“ไม่เป็นไรครับ”
ฉัตรเดินเข้าไปในห้องทำงาน เวลาเดียวกันนั้น โฉมลงจากรถลาก มองดูบริษัทของพรเทพ แตะเรือนผม ดูแลความเรียบร้อยของตน แล้วหยุดที่แหวนแม่ชีเก่าๆ ที่ติดอยู่กับนิ้ว
“มันไม่เข้ากันกับชุดเลย เดี๋ยวคุณพรเทพจะหาว่าเราเอาของไม่มีราคามาประดับกาย”
โฉมถอดแหวนศักดิ์สิทธิ์ออก หย่อนลงไปในกระเป๋าถือ แล้วเดินเข้าไป พรเทพดีใจ
“สวัสดีค่ะคุณพรเทพ”
“สวัสดีครับ ไม่คิดว่าจะมีนางฟ้าผ่านมาทางนี้”
โฉมยิ้มอายๆ
“พอดีมาทานไอศกรีมกับเพื่อนๆ ที่ราชวงศ์ เลยแวะมาหาพี่ฉัตร”
พรเทพนึกถึงท่าทีของฉัตรเมื่อครู่
“คุณโฉมมาก็ดีแล้วครับ ผมมีเรื่องปรึกษา เชิญทางนี้ครับ”
พรเทพเดินนำโฉมไปในห้อง เล่าเรื่องฉัตรให้ฟัง
“โฉมไม่แปลกใจหรอกค่ะ เพราะเมียพี่ฉัตรเขาแปลกๆ”
“แปลกยังไงเหรอครับ”
“ก็ เขาลือกันว่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องไร้สาระ”
“ลือกันเรื่องอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
พรเทพมองหน้าโฉม เหมือนรู้เรื่องที่โฉมจะพูด
“ผมพอได้ยินมาบ้าง คนงานของผมคนหนึ่งมีบ้านอยู่ละแวกเดียวกับคุณฉัตร”
“อุ๊ย แล้วคุณพรเทพ”
พรเทพหัวเราะ ส่ายหน้า เห็นเป็นเรื่องขำ
“ผมอยู่อังกฤษมานาน วิทยาศาสตร์ทำให้ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ผมถือว่าใครเชื่อเรื่องพวกนี้เป็นพวกล้าหลัง ไร้สาระ”
โฉมอึ้ง ไม่กล้าพูดต่อ ยิ้มเจื่อน
“นั่นสิคะ แต่พี่ฉัตรคงกลุ้มใจที่เมียตัวเองโดนลืออย่างนั้น”
“น่าเห็นใจคุณฉัตร นี่ถ้าผมมีเมียสวยเหมือนคุณฉัตร ต่อให้คนหาว่าเมียผมเป็นปอบ เป็นซาตาน เป็นผีดิบ ผมก็ยอม ผมแพ้ทางคนสวยๆ”
พรเทพสบตาโฉม โฉมเขินๆ
“ท่าทางคุณพรเทพจะชอบแม่ละอองคำ ระวังพี่ฉัตรรู้เข้านะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีวันทรยศเพื่อนแน่ แต่ถ้าวันไหนคุณละอองคำกับคุณฉัตรแยกทางกัน ไม่แน่”
โฉมอึ้งไป สะกดความไม่พอใจไว้
“โฉมขอแวะไปเยี่ยมพี่ฉัตรหน่อยนะคะ”
“เชิญครับ”
ฉัตรยืนขึ้นเมื่อเห็นโฉมเข้ามาในห้องทำงาน
“โฉม”
“โฉมมาทานข้าวกับเพื่อนๆ ก็เลยแวะเยี่ยมพี่ฉัตร”
“ขอบใจ น่าจะอยู่บ้านดูแลแม่”
“พี่ฉัตรไม่ต้องอบรมโฉมหรอกค่ะ โฉมไม่ปล่อยให้แม่เป็นอะไรไปหรอก ดูแลตัวเองดีกว่า ได้ข่าวว่ากลับไปเยี่ยมเมียแล้วก็ต้องรีบกลับมา ทำไม เมียไล่เหรอคะ”
“เปล่า แต่พี่ห่วงงาน ละอองคำบอกว่าดูแลตัวเองได้ พี่ก็กลับมา”
“แปลกๆ คงไม่อยากให้ใครเข้าใกล้เวลากลางวัน ทำตัวเหมือนพวกผีดิบ กลางวันเอาแต่นอน กลางคืนออกล่าเหยื่อ”
“โฉม ถ้าจะพูดอย่างนี้ กลับไปดีกว่า”
“หลงเมียจนโฉมพูดอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย ดีล่ะ โฉมจะพิสูจน์ให้ดูว่าเมียพี่มันไม่ปกติ”
โฉมออกไป ฉัตรยืนอึ้ง รำพึงเบาๆ
“ละอองคำ”
ฉัตรเศร้า อดคิดไปในทางร้ายๆ ไม่ได้
โฉมออกมาจากในบริษัท หน้าเครียด พรเทพตามออกมา
“เดี๋ยวครับ คุณโฉม”
โฉมหันไป เห็นพรเทพถือตะกร้าใส่ผลไม้มาด้วย
“อะไรคะ”
“ถ้าคุณโฉมผ่านไปทางบ้านคุณฉัตร ผมฝากผลไม้ไปเยี่ยมเธอด้วย แต่ถ้าคุณไม่ได้ไป ผมก็ขอฝากไปให้คุณโฉมรับประทานเอง”
โฉมเชิดหน้า ไม่พอใจ รับไปอย่างจำยอม
“ถ้าคุณพรเทพต้องการให้คุณละอองคำ โฉมก็จะไปให้ค่ะ ว่าแต่ทำไมไม่ฝากพี่ฉัตรไปล่ะคะ พี่ฉัตรคงไม่ว่าอะไรหรอกเพราะคุณพรเทพทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ บริสุทธิ์ใจ บริสุทธิ์ใจจริงๆ ครับ แต่ผมเกรงว่าคุณฉัตรจะคิดมาก”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ โฉมจะเป็นธุระให้เอง”
โฉมนั่งรถเข็น มีตะกร้าผลไม้วางบนตัก หน้าเครียด
“ทำไมใครๆ ก็ต้องหลงเสน่ห์มัน แกกับฉันคงต้องเป็นศัตรูกันไปยันตาย”
โฉมบีบตะกร้าผลไม้แน่น แค้นเคือง
ตอนค่ำ สมานเดินเข้าบ้านมา ซ่อนกลิ่นไอติดๆ กันหลายครั้ง โฉมวิ่งลนลานเข้ามา สมานตกใจ
“โฉม เป็นอะไร หนีอะไรมาหรือลูก”
โฉมตัวสั่นอยู่
“นั่นสิ หน้าซีดเลย”
“จะอะไรซะอีกล่ะคะ ก็หนีปอบละอองคำ ลูกสะใภ้ของคุณแม่ไงล่ะ”
“หา ลูกไปหาคุณละอองคำมาเหรอ”
“ไปทำไม ไหนว่ามันน่ากลัว แล้วไปทำไมกันโฉม”
“รอดตายมาได้ก็ดีแล้ว คุณพ่ออย่าเพิ่งซักถามอะไรโฉมเลยค่ะ โฉมอยากอาบน้ำ”
โฉมวิ่งขึ้นบันไดไป สมานมองเป็นห่วง แล้วหันกลับมาเล่นงานซ่อนกลิ่น
“ถ้ายัยโฉมเป็นอะไรไป ผมจะไม่ให้อภัยคุณเลย ซ่อนกลิ่น โทษฐานที่คุณยอมให้นายฉัตรไปแต่งงานกับมัน บอกตรงๆ นะ ฉันไม่ได้อยากได้อีคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาร่วมสกุล”
ซ่อนกลิ่นอึ้งไป ก้มหน้าหลบตา สมานหงุดหงิด
โฉมเทกระเป๋าออกมา แหวนที่แม่ชีน้อมให้ กระเด็นหลุดออกมา เธอหยิบขึ้นมาดู
“คงเป็นแหวนวงนี้ที่ช่วยเราไว้”
โฉมยิ้มพอใจ
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ฉันก็ไม่กลัวแกแล้ว นังละอองคำ”
ฉัตรเข้ามาในบ้าน มองหาละอองคำ แต่บ้านปิดเงียบ เปิดไฟสลัวไว้เพียงบางดวง
“ละอองคำ”
ฉัตรขึ้นบันได ผ่านห้องที่ขังรุ้งแก้ว ใส่กุญแจอยู่ แต่เขาไม่ได้สังเกต เดินผ่านไป เปิดประตูห้องนอนมองเข้าไป ก็ไม่เห็นละอองคำ
“ละอองคำ”
ฉัตรลงบันไดอีกที
ในความมืดสลัว ละอองคำกำลังใช้จอบเขี่ยดินที่หลุมศพธวัช มือของธวัชที่ถูกหมาคุ้ยโผล่ออกมา ละอองคำยกจอบขึ้นฟัน หน้าเครียด
“ละอองคำ ละอองคำ คุณอยู่ที่ไหน”
ละอองคำหันไปทางเสียง ฟันจอบลงไป แล้วโยนจอบไปทางหนึ่ง เดินอย่างเร่งรีบมาที่ศาลาท่าน้ำ ฉัตรเดินมาพอดี ละอองคำแกล้งทำเป็นหน้าซีด จะเป็นลม
“ละอองคำ ละอองคำ เป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่”
ฉัตรอุ้มละอองคำจะเข้าไปในบ้าน
“เป็นยังไงบ้าง เอายาหอมมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันตามหารุ้งแก้ว รุ้งแก้วหายไป”
ฉัตรตกใจ
“หายไป หายไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ บอกว่าจะไปตามธวัช แล้วก็หายไปเลย”
“ธวัช”
ฉัตรมองออกไป นึกถึงวิญญาณธวัชที่เห็นอยู่หน้าบ้าน
“รุ้งแก้วไม่ใช่คนเหลวไหล หรือว่า จะร้อนใจเรื่องธวัช”
ละอองคำทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ร้อนใจกันไปหมด ดูเอาเถอะ ทั้งธวัชทั้งรุ้งแก้ว จะไปไหนควรต้องบอกกันบ้าง ไม่ใช่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่”
“คุณอย่าเครียดนะครับ อาจไม่มีอะไรก็ได้ บางที บางที รุ้งแก้วอาจไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีน้อม”
“ไม่มีค่ะ ฉันไปดูมาแล้ว”
“คุณใจเย็นๆ ก่อน เรื่องน้องรุ้งแก้ว เดี๋ยวผมจะช่วยตามหาอีกแรง ตอนนี้ต้องพักผ่อนมากๆ นะครับเดี๋ยวผมจะทำกับข้าวให้คุณทานเอง นอนพักเอาแรงก่อนนะครับ”
ละอองคำพยักหน้า รักและซาบซึ้งในน้ำใจของฉัตร
โฉมยืนอยู่หน้าบ้านละอองคำ ผลักประตูเข้าไป
“นี่มันบ้านหรือป่าช้ากันแน่ ละอองคำ ละอองคำ อยู่หรือเปล่า”
โฉมมองไปที่ตัวบ้าน ลมพัดมาเข้าใบหน้าวูบหนึ่ง รุ้งแก้วถูกมัดปาก มัดมือไว้ หันขวับไปที่ทางหน้าบ้าน ละอองคำลุกขึ้น
“แส่หาเรื่อง อยากตายใช่มั้ย ฉันจะทำให้แกตายสมใจ นังโฉม”
ละอองคำเดินไป รุ้งแก้วดิ้นรน ส่งเสียงอู้อี้ พยายามห้ามไม่ให้ละอองคำทำอะไรรุนแรง
“อยู่เฉยๆ นังรุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วสงบไป ดวงตาตื่นกลัว โฉมเห็นบ้านเงียบ เลยเดินไปทางด้านศาลาริมน้ำ มองหาละอองคำ
“คงอยู่ในบ้าน ปิดหน้าต่างประตูไว้ ทำตัวเหมือนพวกผีดิบจริงๆ น่ะแหละ”
ละอองคำยืนอยู่ด้านหลัง
“มาทำไม”
โฉมหันมา ตกใจ
“อุ๊ย ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่มีคนวานให้เอาผลไม้มาเยี่ยม เห็นว่าไม่ค่อยสบาย กำลังท้องอยู่ไม่ใช่รึ”
“วางไว้ตรงนั้น แล้วกลับไปซะ”
“ฉันอุตส่าห์มาไกล มาถึงก็ไล่กันเลยเหรอ อ้างตัวว่าเป็นเจ้านางจากทางเหนือ ได้รับการอบรมมาอย่างนี้เหรอ หาความเป็นผู้ดีไม่ได้ อย่างแกน่ะ มันพวกลวงโลกซะมากกว่า”
ละอองคำตาวาว ไม่พอใจ วางตะกร้าลงอย่างกระแทกกระทั้น
“ออกไป ก่อนที่แกจะไม่มีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่”
ละอองคำเดินเข้าหา จ้องตาโฉม ดวงตาน่ากลัว โฉมถอยหลังกรูด ละอองคำเข้าหา ยื่นมือจะบีบคอ โฉมกรีดร้องออกมาเบาๆ แล้วยกกระเป๋าถือฟาดไปที่ละอองคำ แสงสว่างวาบออกมาจากกระเป๋าด้วยอานุภาพของแหวนศักดิ์สิทธิ์
“โอ๊ย”
ละอองคำยกแขนรับ โฉมฟาดมาอีกสองสามครั้ง ละอองคำซวนเซ ทรุดไปนั่งที่ศาลา
“อีบ้า อีคนลวงโลก อีเจ้านางจอมปลอม สักวันฉันจะกระชากหน้ากากแกออกมาให้คนทั้งโลกได้รู้ นังละอองคำ”
โฉมเดินหนีไป ละอองคำนั่งหอบอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ
“แกมีของดีอะไรนังโฉม”
รุ้งแก้วอยู่ในความมืด ดิ้นรน ช่วยเหลือตัวเอง แต่ไม่สำเร็จ
เศร้าสะเทือนใจกับชะตากรรมของตัวเอง เวลาเดียวกันนั้น ฉัตรกับละอองคำทานข้าวกันเงียบๆ
“ฉันอิ่มแล้ว”
“ทำไมทานน้อยจัง”
“คิดถึงรุ้งแก้ว คิดถึงธวัช ไม่มีเขาสองคน ฉันก็รู้สึกเหงา”
“คุณยังมีผมเป็นเพื่อน ที่พร้อมจะอยู่กับคุณจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
“คุณฉัตร ฉันไม่ได้เป็นคนดีมากขนาดที่คุณจะฝากชีวิตไว้กับฉันหรอกค่ะ”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมก็รักคุณเสมอ”
ทั้งสองคนสบตากัน ละอองคำเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางหนึ่ง ละอองคำน้ำตาคลอ
กลางดึก ละอองคำกับฉัตรนอนอยู่บนเตียง เธอเห็นฉัตรนอนหลับสนิทก็ลุกเดินออกไปหน้าห้อง ผีเจ้าวูบขึ้นที่มุมหิ้งผี แล้วเลือนหายไปขวางละอองคำไว้
“ผีเจ้า”
“ข้าจะใช้ร่างเจ้าออกหากิน ข้าหิว”
“ผีเจ้า วันนี้น้องสาวคุณฉัตรมา เขารู้ว่าข้าเป็น”
“ปอบ”
“ผีเจ้า เมตตาข้าเถิด ข้าไม่อยากให้ทุกคนรังเกียจข้า โดยเฉพาะ รุ้งแก้วกับคุณฉัตร ทั้งสองคนเป็นคนที่ข้ารัก”
ผีเจ้าถลึงตา ไม่พอใจ
“แล้วเจ้าไม่รักข้ารึ ละอองคำ เคยสัญญากับข้าไว้ว่าอย่างใด”
ละอองคำน้ำตาคลอ ยกมือไหว้
“ให้ข้าจัดการเรื่องรุ้งแก้วก่อนแล้วข้าจะยอมทุกอย่าง”
“ก็ได้ อย่าผิดสัญญาอีกล่ะ”
ผีเจ้าวูบหายไปในบ้านอีกครั้ง ละอองคำหน้าเศร้า เดินไปทางหลังบ้าน
รุ้งแก้วได้ยินเสียงไขกุญแจที่หน้าห้อง รู้สึกหวาดกลัว ประตูเปิดออก ละอองคำเดินเข้ามา มือข้างหนึ่งไขว้ไว้ข้างหลัง สายตาดุดัน
“เจ้าพี่”
“ลืมไอ้ธวัชได้หรือยัง แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ อย่าให้คุณฉัตรกับข้าต้องวุ่นวายไปกับความรักบ้าๆ ของเจ้า นังรุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วส่ายหน้า ร้องไห้ ละอองคำเดินเข้าหา ตวาดเสียงดัง
“ทำไม รักมันมากนักรึ ถ้ารักกันมาก ข้าก็มีของกำนัลมอบให้ผู้หญิงโง่ๆ ที่บูชาความรักอย่างไร้สติ นังรุ้งแก้ว เอ้า”
ละอองคำโยนมือเน่าเฟะของธวัชไปตรงหน้า หัวเราะลั่น
“หา เจ้าพี่”
“กอดซากมันแทนตัวไอ้ธวัชสิ ดูซิว่าเจ้าจะทนได้มั้ยรุ้งแก้ว”
“เจ้าพี่ใจร้าย ใจร้าย เจ้าพี่ฆ่าธวัช”
“ถ้ารู้ว่าเจ้าจะปากดี พูดจากับข้าเยี่ยงนี้ ข้าปล่อยให้เจ้าเป็นผีเฝ้าเมืองนาย ให้ตายไปกับทัพไอ้พวกฝรั่งดั้งขอเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเป็นหอกข้างแคร่ข้าในวันนี้ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งคืนรุ้งแก้ว ตัดสินใจซะว่าจะลืมไอ้ธวัชได้หรือเปล่า ตั้งต้นชีวิตใหม่ แล้วข้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการ แต่งงานกับผู้ชายดีๆ รวยๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุข”
รุ้งแก้วสะบัดหน้าหนี ละอองคำมองอย่างหมั่นไส้
“นึกบ้างสิรุ้งแก้ว ไม่ใช่เพราะความรักดอกรึที่มันทำร้ายข้าจนเจียนตายเยี่ยงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความรักที่ข้ามีต่อเจ้าพี่ราบฟ้า ข้าก็คงไม่เป็นเยี่ยงนี้ดอก”
ละอองคำออกไป รุ้งแก้วมองมือธวัชเน่าเฟะ ร้องไห้ ละอองคำปิดกุญแจ น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดสะเทือนใจ จากนั้นก็กลับเข้ามาในห้องนอน เห็นฉัตรนั่งอยู่ที่เตียง ละอองคำหน้าซีด
“นอนไม่หลับเหรอคะ”
“ผมได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงเหมือนรุ้งแก้ว”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันต่างหากที่ร้องไห้ น้ำตายังไม่หายไปจากใบหน้าเลย”
ฉัตรลุกมาหา กอดไว้
“คุณเป็นอะไร บอกผมสิ”
“ฉันเป็นห่วงรุ้งแก้ว ออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน แต่รุ้งแก้วคงไม่กลับมาแล้ว”
“แต่ผมได้ยินเหมือนเสียงร้องดังมาจากในบ้าน ผมอยากไปดูให้รู้ไปเลย บางทีรุ้งแก้วอาจเกิดอันตรายก็ได้”
ฉัตรทำท่าจะไป ละอองคำหันขวับ มองไปที่หิ้งผี ดวงตาเป็นตาผี แดงก่ำ
“ไม่ต้อง ไปนอน”
ฉัตรถูกสะกดจิต หันกลับมา พยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ไป นอน”
ละอองคำจ้องหน้าฉัตร ฉัตรกลับไปที่เตียงแล้วนอนลง
รุ้งแก้วตื่นตะลึง มือของธวัชลอยขึ้นจากพื้น
“หา”
มือธวัชแกะผ้าที่ผูกปากรุ้งแก้วออก ร่างของธวัชปรากฏเต็มตัว รุ้งแก้วน้ำตาไหลพราก
“พี่”
เชือกที่มัดรุ้งแก้ว หลุดออก ด้วยอำนาจจิตของธวัช รุ้งแก้วผวาไปกอด ธวัชยืนนิ่ง น้ำตาไหล
“ไม่รังเกียจพี่เหรอ น้องรุ้งแก้ว”
“ไม่ ต่อให้พี่จะเป็นอะไร น้องก็จะรักตลอดไป”
“หนีไปจากที่นี่ซะ”
“หนี แต่น้องเป็นห่วงคุณพี่”
“ละอองคำไม่ใช่พี่ของน้องรุ้งแก้วอีกต่อไปแล้ว หนีไปซะ พี่จะช่วย”
ร่างของธวัชหายไป มือผีลอยขึ้น รุ้งแก้วจับข้อมือมือผี ประตูเปิดออก รุ้งแก้วจับมือผี เหมือนผีธวัชกำลังจูงรุ้งแก้วไป
ละอองคำลืมตาโพลงขึ้นในความมืด ตวัดสายตาไปทางหน้าบ้าน รุ้งแก้วออกมาจากในบ้าน ประตูเปิดออก ละอองคำตามมาติดๆ
“อีรุ้งแก้ว จะไปไหน”
รุ้งแก้วร้องไห้
“เจ้าพี่ ข้าจะไม่อยู่กับเจ้าพี่แล้ว”
“ข้าถามว่าจะไปไหน คิดเหรอว่าข้าจะให้เจ้าไป”
ละอองคำก้าวไปหา ผีธวัชยืนขวางหน้าอยู่
“รุ้งแก้ว หนีไป หนีไปสิ”
“พี่ธวัช”
“ไม่ต้องห่วงพี่ ไปสิ”
รุ้งแก้วน้ำตาไหลพราก วิ่งหนีไป ละอองคำโกรธจัด ผลักธวัช แต่ธวัชยืนนิ่งไม่เป็นอะไร
“ผีอย่างเจ้ารึจะกล้าสู้กับผีของข้า ไอ้ธวัช”
ละอองคำหัวเราะ เดินเข้าหาธวัช เงาร่างผีเจ้าซ้อนอยู่ที่ละอองคำ ธวัชหน้าซีด ถอยหลัง ราบฟ้าปรากฏขึ้น ขวางธวัชไว้ ธวัชตกใจ
“เจ้าพี่ราบฟ้า”
“หยุดก่อกรรมได้แล้วละอองคำ บาปกรรมของเจ้ามันหนักหนาสาหัสนัก คิดเหรอว่าผีต่างวงศ์มันจะช่วยเจ้าได้ ตั้งแต่เจ้ารับมันมาเลี้ยงดู ชีวิตของเจ้าก็เดินทางต่ำมาตลอด ทิ้งมันซะ แล้วกลับไปนับถือไหว้สาผีปู่ผีย่า”
“หยุดนะ อีละอองคำมันรับเลี้ยงดูข้าแล้ว มันจะผิดสัญญาไม่ได้ หลีกไปอีละอองคำ”
ผีเจ้าผลักละอองคำจนล้มลงไป
“ผีเจ้า เมื่อครั้งมีชีวิต บารมีของเจ้าก็น้อยกว่าข้ามาก ตายไปแล้ว เจ้าก็หาสู้ข้าได้ไม่ธวัช หนีไปซะ ไปดูแลรุ้งแก้ว ไป”
ธวัชเลือนหายไป ผีปิ่นเมืองยืนมองดูอยู่ โบกพัดระบายอารมณ์ สายตาแค้นเคืองแล้วเข้าจิกผมละอองคำ จนหน้าหงาย
“ปิ่นเมือง”
“กูเอง อีละอองคำ มึงจำได้มั้ย กูอาฆาตมึงไว้อย่างใด กูก็ยังอาฆาตมึงเยี่ยงนั้น”
“หยุดนะปิ่นเมือง”
“ไม่หยุด ข้าจะฆ่ามัน”
ละอองคำเจ็บปวด
“โอ๊ย ผีเจ้า ช่วยข้าด้วย”
ผีเจ้ามาที่ละอองคำ ราบฟ้ากระชากมือปิ่นเมืองหายไป ละอองคำร้องไห้
“อีละอองคำเหย เห็นหรือยังว่าเจ้าพ่ายแพ้ทุกอย่าง เขาเป็นผีแล้ว เขายังรักกัน หาได้ไยดีต่อเจ้าไม่ เยี่ยงนี้แล้ว เจ้ายังจะใจอ่อนอีกหรือ อีละอองคำ”
ละอองคำนั่งร้องไห้
เจ้านาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
รุ้งแก้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ร้องไห้ แล้วสะดุดล้มลง ธวัชปรากฏร่างขึ้นตรงหน้า“พี่ธวัช”
ธวัชกอดรุ้งแก้วไว้
“ชาตินี้พี่ไม่มีบุญได้ใช้ชีวิตกับน้อง ชาติหน้าพี่คงมีบุญมากพอ ที่จะได้ปกป้องน้อง รีบไปที่วัดเถิด รุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วพยักหน้า สะเทือนใจ
ปิ่นเมืองผลักราบฟ้า หงุดหงิดระบายอารมณ์
“ข้าเกลียดเจ้าพี่ ชังน้ำหน้านัก ตายไปแล้ว ยังห่วงหาอีละอองคำ ไม่เห็นรึว่ามันร้ายกาจเพียงใด ขนาดอีรุ้งแก้วเป็นน้อง มันยังคิดฆ่าได้ ใจมันบาปหยาบช้านัก”
“เจ้าใจเย็นสิปิ่นเมือง ไม่เห็นรึว่าละอองคำตกอยู่ในอันตราย”
“ถ้าเจ้าพี่จะหมายถึงอีผีแก่ต่างวงศ์นั่น ก็เพราะอีละอองคำมันแส่รับมาเลี้ยงดูเอง มันถึงเป็นเยี่ยงนี้ หรือว่า”
“หรือว่าอะไร พี่ไม่ชอบเสียงหัวเราะของเจ้าเลย ปิ่นเมือง”
ปิ่นเมืองโบกพัด เยาะหยัน
“หรือว่าเจ้าพี่รอคอยให้มันเป็นผีเต็มตัว จะได้ครองรักกัน โดยไม่เห็นหัวใจข้า แม้นเป็นเยี่ยงนั้น ข้าจะไปฆ่ามัน ให้มันตายสมใจเจ้าพี่”
“อย่านะ ปิ่นเมือง ถ้าพี่รู้ว่าเจ้าทำอันใดบ้าๆ เยี่ยงนั้น พี่จะไม่มีวันให้อภัยเจ้าเลย”
ปิ่นเมืองยิ้ม เหมือนเป็นผู้ชนะ
“ก็แม้นวันใดที่เจ้าพี่ทิ้งข้า ข้าก็จะทำจริงๆ จะทำให้อีละอองคำเป็นผีสมใจ ไม่ใช่ครึ่งผีครึ่งคนเยี่ยงทุกวันนี้”
แม่ชีน้อมยืนอยู่หน้ากุฏิ ธวัชยืนอยู่ห่างๆ รุ้งแก้วไหว้แม่ชีร้องไห้
“ไม่ต้องร้องไห้ อยู่ในร่มเงาของพระศาสนาแล้ว ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้ ธวัช กลับไปก่อน เรามีเรื่องต้องพูดคุยกันอีกมาก”
รุ้งแก้วหันไปมองธวัช สบตากับวิญญาณของธวัช ก่อนที่ธวัชจะเลือนหายไป รุ้งแก้วร้องไห้ โผเข้ากอดแม่ชี
“แม่ชีเจ้าขา ช่วยทำให้ธวัชฟื้นกลับมาเป็นพี่ธวัชคนเดิมได้มั้ยเจ้าคะ”
“โถ รุ้งแก้ว ยอมรับความจริงเสียเถอะ แล้วตั้งต้นชีวิตใหม่”
รุ้งแก้วผละออก มองหน้าแม่ชี
“ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนหรอกนะรุ้งแก้ว ที่เจ้านางละอองคำเป็นอย่างนี้ก็เพราะยึดมั่นกับความรัก ยึดมั่นกับเกียรติยศ ยึดมั่นกับอำนาจ ไม่ยอมยึดมั่นในคำว่าอนิจจัง จึงตกอยู่ในกลลวงของอำนาจฝ่ายต่ำ ยอมให้ผีเจ้าเกาะกินชีวิตจนพบแต่ความเสื่อมอยู่ทุกวันนี้”
“รุ้งสงสารเจ้าพี่”
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ทั้งสองก้าวไปที่กุฏิ
ตอนเช้า รุ้งแก้วนั่งสมาธินิ่ง หน้าโต๊ะหมู่บูชา แต่งตัวชุดขาวแบบผู้ปฏิบัติธรรม ดูสงบเย็น อีกมุมหนึ่ง แม่ชีน้อมนั่งสมาธิอยู่ กายทิพย์วูบออกไป ธวัชนั่งซบหน้ากับเข่าร้องไห้อยู่ แม่ชีน้อมเดินไปหา
“เลิกเสียใจได้แล้ว ธวัช เธอเป็นคนมีบุญ ฝักใฝ่ในศาสนามาตลอด ให้อภัยเจ้านางละอองคำ จะได้เป็นอภัยทาน เป็นกุศลนำส่งให้ดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไป”
ธวัชตาแดงๆ เสียงเครือ
“ครับ แม่ชี”
“เราจะส่งวิญญาณให้เจ้าเอง”
“ขอผมได้ไปลาน้องรุ้งแก้วก่อนได้มั้ย”
“ได้สิ ขอเธอจงได้รับบุญกุศลที่แม่ชีเคยทำมาเป็นอานุภาพให้ดวงวิญญาณของเธอพบแต่แสงสว่าง”
แม่ชีน้อมยิ้มบางๆ มองธวัช เสื้อผ้าของธวัชที่เลอะมอมแมมกลายเป็นสีขาว เนื้อตัวของเขาสว่างเหมือนมีรัศมี เขาไปหารุ้งแก้ว
“น้องรุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วลืมตาขึ้นจากสมาธิ เห็นธวัช ยิ้มดีใจมาก รีบวิ่งเข้าไปหา ทั้งสองกุมมือกัน ธวัชรั้งรุ้งแก้วเข้ามากอด
“พี่มาลา พี่ต้องไปแล้ว”
รุ้งแก้วขืนตัวออก มองหน้าธวัช
“ลา พี่ธวัชจะไปไหนคะ”
“พี่ต้องไปตามภพภูมิแห่งกรรมที่พี่เคยทำไว้”
รุ้งแก้วร้องไห้
“พี่ธวัช พี่ไม่ไปไม่ได้หรือคะ รุ้งแก้วไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“ได้ แต่ถ้าพี่ไม่ไปตอนนี้ พี่ก็ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“ไม่ น้องไม่ยอม รุ้งไม่อยากให้พี่ธวัชเป็นแบบนั้น แต่น้องกลัว”
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ทำตามที่แม่ชีสอน แล้วห้ามกลับไปที่บ้านนั้นอีก ห้ามเกี่ยวข้องกับคุณพี่เป็นอันขาด”
“แต่น้องเป็นห่วงเจ้าพี่”
“พี่รู้ น้องรุ้งแก้วรักคุณพี่มาก แต่คุณพี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คุณพี่เป็นปอบ คุณพี่จะฆ่าน้องรุ้งแก้วทันทีที่มีโอกาส เชื่อพี่”
“ค่ะ รุ้งจะจำไว้”
“ได้เวลาแล้ว พี่ต้องไป”
รุ้งแก้วเสียงสั่น น้ำตาไหล
“พี่ธวัช”
ธวัชกอดรุ้งแก้วแน่น เกลี่ยน้ำตาที่แก้มรุ้งแก้วอย่างแสนรัก
“ไม่ว่าพี่จะอยู่หรือไป พี่มีน้องอยู่ในดวงใจเสมอ”
ทั้งสองปล่อยมือจากกัน ธวัชค่อยๆ ห่างออกไป รุ้งแก้วยิ้มทั้งน้ำตา
“น้องขอให้วิญญาณของพี่ธวัชสงบสุข สถิตในภพภูมิที่ดีนะคะ”
แม่ชีน้อมนั่งอยู่ในโบสถ์ มองไปที่พระพุทธรูป จิตทำความสะอาดบริเวณหน้าองค์พระประธานอยู่ รุ้งแก้วเข้ามา นั่งข้างหลัง
“ไปแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ พี่ธวัชไปแล้ว”
“ธวัชตัดสินใจถูกแล้วนะ รุ้งแก้ว หากเขายังวนเวียนอยู่กับเรา เขาก็จะกลายเป็นผีพเนจรเที่ยวร้องขอส่วนบุญ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ธวัชไปดีแล้ว รุ้งแก้วควรต้องดีใจ”
รุ้งแก้วปาดน้ำตา ฝืนยิ้ม
“ค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ รุ้งแก้วที่หนูเข้าใจ ธวัชจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี” จิตบอก
รุ้งแก้วซบหน้า พยายามกลั้นไม่ร้องไห้เพราะเชื่อว่าธวัชไปสู่สุขคติแล้ว แม่ชีน้อมหันไปมองพระพุทธรูปอีกครั้ง
“ไปสู่สุคติเถอะนะธวัช ความดีของเธอจะเป็นเกราะคุ้มครองเธอไปทุกภพทุกชาติ”
ราบฟ้ากับปิ่นเมืองยืนตะลึงอยู่ในป่าช้า
“นั่นมันคนรักของอีรุ้งแก้วนี่เจ้าพี่”
ราบฟ้าพยักหน้า เศร้า ปิ่นเมืองหัวเราะหยัน
“โง่ นี่คงตายเพราะถูกปอบละอองคำกินล่ะสิ สมน้ำหน้า”
“อย่าพูดเยี่ยงนี้ปิ่นเมือง”
“ข้าพูดผิดอันใดหรือเจ้าคะ ถ้ามันไม่โง่ มันก็คงไม่หลงเสน่ห์อีรุ้งแก้วกับอีละอองคำดอก ฮึ สักวันผัวอีละอองคำก็ต้องตายเยี่ยงมันเชื่อข้าสิ”
ธวัชหันมา ราบฟ้าลอยไปหา
“เจ้าจะไปที่ใด”
“ไปตามทางของกรรม รอคอยท่านยมทูตมารับ”
“จะรีบไปทำไมกัน อยู่เสียที่นี่แหละ อย่างน้อยก็รอคอยดูวันที่อีละอองคำกับอีรุ้งแก้วมันพินาศ เจ้าจะได้สาแก่ใจอย่างใดเล่า”
“ไม่ดอก ข้าเต็มใจตาย ข้าไม่ได้โกรธเคืองเจ้านางละอองคำกับเจ้านางรุ้งแก้วแม้แต่น้อย”
“ไม่ต้องมาพร่ำพูดดีดอก ตายไปก็ใช่ว่ามีใครสักหมึกไว้ที่หน้า จะได้บอกพญามัจจุราชว่าเป็นคนดี”
ปิ่นเมืองหัวเราะหยัน
“มันจะมากไปแล้วนะปิ่นเมือง”
ธวัชส่ายหน้าเดินหายไปในความมืด
แม่ชีน้อม จิต และรุ้งแก้ว เดินมาที่โบสถ์ หลวงพ่อยืนรออยู่ด้านหน้า
“เป็นเจตนาที่ดี หลวงพ่ออนุโมทนาด้วยนะ การส่งบุญให้เขาจะทำให้พลังของฝ่ายมารลดน้อยลง พลังแห่งความดีจะเข้าไปแทรกแทน บางทีเจ้านางละอองคำอาจจะแปรเปลี่ยนไปจากเดิมได้”
แม่ชีน้อมถามอย่างเกรงใจ
“หลวงพ่อเจ้าคะ ไม่ห่วงคุณฉัตรบ้างเหรอ คุณฉัตรเป็นลูกชายของหลวงพ่อนะเจ้าคะ”
“ห่วงสิ แต่ฝืนกรรมเขาไม่ได้หรอก บุญกุศลจะรักษาเขาเอง”
“หลวงพ่อน่าจะตามพี่ฉัตรมาพบ เผื่อจะช่วยพี่ฉัตรได้”
“ดีเหมือนกันนะรุ้งแก้ว เราไปดักพบคุณฉัตรดีมั้ย” จิตเสนอ
“ดี แต่คืนนี้ เราช่วยกันสวดมนต์ นั่งสมาธิ อุทิศบุญให้ดวงวิญญาณของผีเจ้าที่กุมเจ้านางละอองคำอยู่ก่อนเถอะ”
หลวงพ่อพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ชีน้อม
ฉัตรนั่งเล่นอยู่ ละอองคำอยู่ข้างๆ
“พี่จะพาเธอไปหาหมอ ให้ตรวจครรภ์พรุ่งนี้ ลูกเราจะได้ไม่มีปัญหา”
“ได้ค่ะคุณพี่”
ละอองคำยิ้มอย่างมีความสุข คลำท้องที่นูนออกน้อยๆ
“ละอองคำ ละอองคำ มาหาข้าเดี๋ยวนี้”
ฉัตรโอบละอองคำอย่างแสนรัก แต่เสียงเรียกของผีเจ้าทำให้ละอองคำหวั่นใจ
“อย่าค่ะ”
ละอองคำผละไปทันที รีบขึ้นบันไดไป
“ละอองคำ เป็นอะไร ค่อยๆ เดินสิครับ”
ละอองคำเข้ามาในห้อง เห็นประกายบุญเป็นประกายระยิบระยับ โปรยปรายลงมาจากเพดาน ละอองคำมองตะลึง ผีเจ้าปรากฏขึ้นข้างๆ
“ข้าไม่ต้องการบุญจากมัน อีน้อม อีรุ้งแก้ว อีจิต ทุกคนที่มันคิดอุทิศบุญให้ข้า ข้าไม่ต้องการ เจ้าต้องจัดการให้ข้า อย่าให้ข้าโกรธ”
ฉัตรจะผลักประตูเข้ามา แต่เปิดไม่ได้
“ละอองคำ”
ผีเจ้าตวัดสายตาไปที่ประตู แล้ววูบหายไป ประตูเปิดได้ทันที ฉัตรเข้ามา“ละอองคำ เป็นอะไร”
ละอองคำหน้าเสีย
“หูแว่วว่าฝนตก เลยจะขึ้นมาปิดหน้าต่าง”
“ทีหลังใช้ผมก็ได้นะ รีบร้อนแบบนี้ถ้าตกบันไดไป แล้วแท้งลูก ผมไม่ยอมด้วยนะ”
ฉัตรกอดละอองคำ ก้มลงหอมแก้ม
“คุณกับลูกคือชีวิตของผมนะครับ ละอองคำ”
ละอองคำรำคาญแต่ไม่กล้าแสดงออก
แม่ชีน้อมลืมตา ถอนจิตจากสมาธิ ร้อนใจอย่างไร้สาเหตุ เสียงดนตรีไทยดังมา
รุ้งแก้วยังตั้งมั่นในสมาธิ แม่ชีน้อมมองด้วยสายตาปรานี แล้วเดินไปที่ประตู มองไปทางต้นเสียง จิตเห็นรีบเข้ามาหา
“มีงานแก้บนที่ศาลเจ้าค่ะ เสียงอึกทึกน่าดู”
“คงถึงเวลาแล้วสินะ”
จิตมองหน้าแม่ชีน้อมงงๆ จะอ้าปากถาม แต่แม่ชีน้อมเดินออกนอกกุฏิไปทางป่าหลังวัดก่อน ด้วยอาการสำรวม เห็นไก่ตายเกลื่อนกลาด ตกใจ รีบเดินเข้าไปดู
“เกิดอะไรขึ้น”
แม่ชีน้อมหลับตา แผ่เมตตา
“ของดวงวิญญาณสรรพสัตว์เหล่านี้ไปสู่สุคติด้วยเถิด”
แม่ชีน้อมลืมตาขึ้น หันไปทางต้นไม้ที่ละอองคำซ่อนตัวอยู่
“ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้”
แม่ชีน้อมหันซ้ายแลขวา ไม่อยากปล่อยไว้ให้อุจาดตา มองหาเครื่องทุ่นแรง นำไก่มาใส่หลุม แล้วกลบ เดินจากมา ผ้านุ่งของแม่ชีน้อมเปื้อนเลือดไก่หลายจุด ละอองคำออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ยิ้มสมใจ
“คราวนี้แกเสร็จข้าแน่ สาระแนเรื่องของข้าดีนัก”
งานแก้บนที่ศาลเจ้าข้างวัด ผู้คนมากมาย แม่ชีน้อมยืนอยู่ภายในเขตวัด มองภาพคนแก้บนไหว้เจ้าแล้วส่ายหน้า หันหลังกลับ ตกใจนิดๆ เด็กผมจุกยืนมองอยู่
“มีอะไรหรือหนู”
เด็กน้อยไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่ผ้านุ่งของแม่ชีแทน แม่ชีน้อมก้มมอง แล้วยิ้ม“โอ้ เลอะเทอะหมดเลย คงจะซักไม่ออกล่ะทีนี้”
เด็กน้อยค่อยๆ ก้าวถอยหลัง เข้าใจว่าแม่ชีน้อมเป็นปอบจริงๆ
“ปอบ แม่ชีเป็นปอบหรือจ๊ะ”
แม่ชีน้อมยิ้มใจดี สงบ
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ฉันเป็นผู้ทรงศีล”
“แต่ เลือด”
เด็กน้อยไม่ฟังเสียง วิ่งออกไป แล้วตะโกนอย่างหวาดกลัว
“ปอบ ช่วยด้วยจ้า ปอบจะกินไอ้จุกแล้ว ช่วยด้วย แม่ชีเป็นปอบ”
เด็กจุกวิ่งไปที่ศาลเจ้า พร้อมตะโกนไปด้วย ผู้คนที่ไหว้เจ้าเริ่มหันมอง หลายคนเริ่มซุบซิบกัน ต่างชี้ไม้ชี้มือเข้ามาในวัด บางคนตัวสั่น หวาดกลัว
“ไอ้จุก ไหนมาหายายซิ เอ็งไปเห็นอะไรมา”
“ผีปอบยาย ผีปอบ แม่ชีในวัดนั่นแหละเป็นปอบ”
“ต๊าย ไอ้จุก เอ็งเอาอะไรมาพูด บาปกรรม นรกจะกินหัว”
“จริงๆ นะยาย ฉันเห็น เลือดเปรอะเต็มปากเลยยาย”
“จริงรึ ตายล่ะแกเอ๊ย นี่เงียบไปตั้งหลายเดือน กลับมาอีกแล้วรึ เจ้าประคู้น ไปที่ชอบๆ เถอะ”
“ไอ้ที่ปอบชอบ มันก็ไส้พวกเราไม่ใช่รึยาย”
“ต๊าย จริงด้วย ข้าล่ะเสียว นึกถึงคราวยายฟักแล้วขนลุก ทำไมไม่มีใครปราบมันได้สักทีก็ไม่รู้”
ยายเขียวกับยายหยวก สบตากัน หวาดกลัว
เด็กผมจุกวิ่งเข้ามาที่ป่าหลังวัด หัวเราะร่า ละอองคำยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เด็กจุกวิ่งมาหา แบมือ
“ไหนล่ะ รางวัลที่จะให้ฉัน”
ละอองคำส่ายหน้า เด็กทำท่าจะร้องไห้
“ก็น้าสัญญาว่าถ้าฉันตะโกนบอกใครๆ ว่าแม่ชีเป็นปอบ น้าจะให้เงินฉันไงล่ะ ขี้โกงนี่”
ละอองคำหัวเราะ น่ากลัว
“ข้าจะให้เอ็งเจอปอบ เอามั้ยล่ะ”
เด็กส่ายหน้า โบกมือว่อน
“ไม่เอาหรอกจ้ะ น่ากลัวจะตาย นี่น้าอย่ามาโยกโย้ดีกว่า เอาเงินมาให้ฉันซะ ไม่งั้น ฉันจะไปบอกคนที่วัดว่าน้าจ้างฉันให้โกหก”
“ก็ได้ งั้นมาเอาสิ”
ละอองคำเดินไปที่ใต้ต้นไม้ เด็กเดินตาม ละอองคำแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แสยะยิ้ม กลายเป็นหน้าผี เด็กตกใจ
“ผีหลอก ผี ผี”
เด็กวิ่งหนีสุดชีวิต แต่ละอองคำมาดักหน้าไว้ เด็กตกใจ จะวิ่งอีก แต่ถูกคว้าคอไว้ ละอองคำชูมือขึ้น เล็บยาวน่ากลัว จ้วงไปที่ท้องเด็ก
เด็กเหลือกตา ลนลาน มือละอองคำชูไส้สดๆ ขึ้นมา พร้อมหัวเราะน่าสยดสยอง
รุ้งแก้วนั่งสมาธิ แม่ชีน้อมและจิตนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ กัน
จู่ๆ เสียงเอะอะก็ดังมาจากด้านนอก รุ้งแก้วถอนจากสมาธิก่อนใคร หันมองจิต จิตลืมตารออยู่ก่อนแล้ว แต่แม่ชีน้อมยังนั่งนิ่ง สงบ หน้าอิ่มบุญ
ที่หน้ากุฏิ ชาวบ้านหลายสิบคน ส่งเสียงโวยวาย ยายเขียวกับยายหยวกเป็นแกนนำ ร้องไห้ฟูมฟาย รุ้งแก้วกับจิตเปิดประตูออกมา ทั้งสองมองหน้ากัน ยายหยวกร้องไห้“ผีปอบอยู่ที่ไหน แม่จิต ส่งตัวมันออกมาเดี๋ยวนี้”
“อะไรกัน ยายหยวก ปอบเปิบที่ไหนมี นี่ในวัดนะ”
“ก็ในวัดนี่แหละ ปอบมันแฝงร่างแม่ชีอยู่ นี่แม่จิตไม่ระแคะระคายเลยรึ”
“ตายจริง ยายเขียว จะพูดจะจาอะไรระวังด้วยนะ นรกจะกินหัว”
“แต่ฉันพูดความจริงนะแม่จิต”
“หมายความว่ายังไง” รุ้งแก้วสงสัย
“นั่นสิ พูดจากำกวม นี่ใครได้ยินจะคิดว่าแกหมายถึงแม่ชีน้อมเข้านะยายเขียว”
“ก็มันนั่นแหละ ดูซิ พอหลานข้าเอาไปเปิดโปงว่ามันเป็นปอบ มันก็กินไส้หลานข้าซะหมดพุง โธ่ ไอ้จุกเอ๊ย ยังเด็กอยู่แท้ๆ”
ยายหยวกร้องไห้โฮออกมา แม่ชีน้อมเดินออกมาจากข้างใน
“นั่นไง พวกเรา ผีปอบออกมานั่นแล้ว”
แม่ชีน้อมเดินออกมาอย่างสงบ
“ที่นี่ในวัด มีแต่ความสงบ ไม่มีผีปอบที่พวกเธอตามหาหรอก”
“ไม่จริง เมื่อกลางวันไอ้จุกมันเห็นแม่ชีเป็นปอบ เลือดเต็มปาก ถ้าไม่ใช่ปอบแล้วจะเรียกว่าอะไรใช่มั้ยพวกเรา”
“ใช่ๆ”
“ไอ้จุกไปรู้ว่าความลับเข้าล่ะสิ ถึงได้ฆ่ามัน โถ เด็กเล็กก็ไม่เว้น”
“แม่ชีอยู่ในวัด อยู่ในศีลในธรรม ปอบเป็นมาร จะมาสิงสู่อยู่ในธรรมสถานอย่างนี้ไม่ได้”
“ข้าไม่เชื่อโว้ย หนอย ทำเป็นมีศีลธรรม ที่แท้ก็เป็นปอบแฝงตัวมา อย่างงี้มันต้องเผาโว้ย พวกเรา จับอีปอบนี่ไปเผา”
ชาวบ้านพากันกรูเข้ามาจะจับตัวแม่ชีน้อม จิตกางแขนปกป้อง
“อย่านะ อย่าเข้ามานะ”
รุ้งแก้วเข้าช่วยจิต
“แม่ชีไม่ใช่ปอบนะคะ แม่ชีเป็นคนดี เป็นผู้ทรงศีล”
“อย่าไปฟังโว้ย พวกเรา จับปอบแม่ชีนี่ไปเผา เร็วเข้า ก่อนจะมีใครต้องตายอีก ช่วยกันหน่อย พวกเรา”
เสียงหลวงพ่อดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน โยม อาตมาขอบิณฑบาตเถอะนะ แม่ชีน้อมไม่ใช่ปอบอย่างที่ทุกคนเข้าใจหรอกเชื่ออาตมาเถอะ”
“แต่มันฆ่าไอ้จุกนะเจ้าคะ หลวงพ่อ”
“ผีเป็นมาร อยู่ในวัดไม่ได้หรอกโยม อาตมารับรอง แม่ชีน้อมเป็นผู้ทรงศีล ไม่ใช่ผีปอบอย่างที่โยมเข้าใจกันแน่ๆ”
ชาวบ้านเริ่มละล้าละลัง
“กลับกันไปก่อนเถอะนะ”
ชาวบ้านทั้งหมดพากันล่าถอยออกไป ยายเขียวและยายหยวกยังคงร้องไห้คร่ำครวญที่เสียหลานชายให้ปอบกิน
“หลวงพ่อต้องจัดการให้อิฉันนะเจ้าคะ หลานฉันตายไปทั้งคน”
แม่ชีน้อมส่ายหน้า
“นี่มันอะไรกันคะ แม่ชี”
“พี่สาวรุ้งแก้วคงโกรธที่ฉันยุ่งเรื่องของเขามากไป”
รุ้งแก้วกับจิตมองหน้ากัน รู้แล้วว่าเป็นฝีมือละอองคำ
กลางดึก บ้านทรงปั้นหยาของละอองคำ เงียบเชียบ วังเวง ละอองคำเปิดประตูห้องออกมา ฉัตรนอนหลับสนิท ละอองคำเดินลงจากบ้านไปด้วยท่าทางของผีปอบ ทั้งที่ท้องเริ่มโต แต่กลับคล่องแคล่ว ไม่อุ้ยอ้ายเหมือนตอนกลางวัน
ตอนเช้า หลวงพ่อหน้าตาเครียดเขม็ง ถอนใจ ชาวบ้านนั่งพนมมือ ฟ้องหลวงพ่อ
“จริงๆ นะคะ หลวงพ่อ เมื่อคืนมันก็ออกอาละวาด”
“ตาแม้นขี้เมาค่ะ ตับไตไส้พุงไม่มีเหลือ หลวงพ่อจะปล่อยเอาไว้อย่างนี้หรือคะ”
“ไม่ใช่แม่ชีน้อมหรอกโยม เมื่อคืน อาตมาเฝ้าสังเกตทั้งคืน ไม่เห็นแม่ชีออกจากกุฏิ”
“จริงหรือขอรับ หลวงพ่อ”
“บ๊ะ หลวงพ่อเป็นพระ ไม่โกหกหรอกโยม”
ชาวบ้านหัวหด รู้ตัวว่าก้าวร้าวหลวงพ่อ
“แต่เขาว่าแม่ชีถอดร่างได้นี่คะ หลวงพ่อ หรือว่ามันจะออกไปแต่วิญญาณ ถึงไม่มีใครเห็น”
หลวงพ่อส่ายหน้า ชาวบ้านคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต
“วิญญาณจะกินไส้กินตับได้รึ ยายเขียว ฉันว่าไม่น่าจะใช่แม่ชีแล้วนา หรือว่าไอ้จุกมันจะตาฝาด คนอื่นว่าไงกัน”
ความเห็นของชาวบ้านเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย
กลางคืน ละอองคำนอนนิ่ง ลืมตา หันมองฉัตรที่นอนข้างๆ แล้วค่อยๆ ลุกออกไป กำลังจะเปิดประตู ลมพัดกรูเข้ามาจากหน้าต่างที่ฉัตรเปิดไว้ ละอองคำหันขวับ กายทิพย์แม่ชีน้อม นั่งสมาธิ ลอยอยู่ตรงหน้าต่าง หลับตา
“นี่แกยังไม่เลิกตอแยข้าอีกรึ สาระแนนัก ระวังตัวไว้ให้ดี”
แม่ชีน้อมลืมตามองละอองคำ
“มาร ทำร้ายพุทธคุณไม่ได้หรอก ละอองคำ หยุดเถอะ เจ้าก่อกรรมมากพอแล้ว ไม่สงสารลูกในท้องเลยหรือ”
ละอองคำตาวาว แดงก่ำ ปอบเข้าสิง
“กลับไป อย่ายุ่งเรื่องของข้า”
กายทิพย์ของแม่ชีน้อมส่ายหน้า แล้วค่อยๆ เลือนหายไป
กลุ่มชาวบ้านนั่งกันหน้าสลอนในโบสถ์ แม่ชีน้อม รุ้งแก้ว และจิตนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง หลวงพ่อนั่งบนอาสนะ รุ้งแก้วคุยกับจิตเบาๆ
“อุ้ย เสียงนกแสก”
รุ้งแก้วใจคอไม่ดี
“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
แม่ชีน้อมทำสมาธิ หลวงพ่อกำลังสนทนาธรรมกับชาวบ้าน แม่ชีน้อมลืมตาขึ้น รำพึงเบาๆ จิตหันมาถาม
“แม่ชี ว่าอะไรนะคะ”
“ถึงเวลาที่เราต้องไปจากที่นี่แล้วล่ะ”
รุ้งแก้วหันมองกลุ่มชาวบ้าน
“เพราะเรื่องนี้หรือคะ ทุกคนรู้ว่าไม่เป็นความจริง”
“ไม่ใช่หรอก รุ้งแก้ว แต่ถ้าเรายังอยู่ที่นี่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง รุ้งแก้วจะต้องพลาดท่าพี่สาวจนได้”
รุ้งแก้วก้มหน้า น้ำตาซึม จิตลูบไหล่ปลอบใจ
“ฉันอยากพารุ้งแก้วไปอยู่ในที่สงบ ปฏิบัติธรรมให้มีบารมีสูงจนมารทำอะไรไม่ได้”
“ค่ะ”
เสียงยายหยวกดังขึ้น
“ไม่เอาแล้ว ข้ากลับไปนอนบ้านดีกว่า”
ทุกคนหันมองไปทางยายหยวก ยายหยวกกราบลาหลวงพ่อ แล้วจะผละออกไป
“เอ้า จะไปไหนล่ะนั่น ไม่เฝ้าปอบแล้วรึ”
ยายหยวกค้อนไปทางแม่ชี ไม่ตอบอะไร
“เอ้า แม่เขียว จะไปกับข้ารึจะนอนที่วัดนี่”
ยายเขียวทำท่าขลาดๆ มองหน้าแม่ชีกับหลวงพ่อสลับกัน แล้วรั้งแขนยายหยวกไว้“อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ ยายหยวก ออกไปมืดๆ ค่ำๆ แกไม่กลัวรึ”
“จะกลัวอะไร ปอบก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ รับรอง คืนนี้มันไม่ออกอาละวาดแน่ๆ เชื่อข้าเถอะ ถ้าแกไม่ไป ข้าไปล่ะ จะมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ทำไม”
ยายหยวกเดินออกไปโดยไม่สนใจใคร ชาวบ้านหันมาโจษขานกัน แม่ชีน้อมส่ายหน้า
“เวรกรรมแท้ๆ”
ยายหยวกเดินออกมาจากวัด เห็นละอองคำเดินท้องโย้มาถามทาง ทีแรกตกใจ แต่พอเห็นเป็นคนท้อง ก็ร้องทัก
“อ้าว แม่หนู จะไปไหนล่ะนั่น ดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลัวปอบเรอะ”
“ไม่จ้ะ แล้วยายล่ะ ไม่กลัวปอบหรือไง”
“โอ้ย ไม่หรอก ปอบมันอยู่ในวัด ว่าแต่เอ็งเถอะ จะไปไหนล่ะ ท้องไส้อยู่ไม่ใช่เรอะ”
“ผัวฉันน่ะสิ ไม่รู้ไปเมาอยู่ที่ไหน”
“เมาเป็นหมาข้างถนนอยู่แถวหน้าวัดหรือเปล่า ลองไปดูซิ ถ้าไม่เจอก็รีบกลับบ้านล่ะ นังหนู ระวังตัวล่ะ ข้าไปก่อนนะ”
ยายหยวกเดินตัวปลิวออกไป โดยไม่หันกลับมามองละอองคำที่ยืนมอง ยิ้มมุมปาก ยายหยวกเดินจ้ำอ้าว แล้วชะงัก ขนลุก เห็นละอองคำนั่งอยู่บนแคร่ข้างทาง
“นังหนู เอ็งมาอยู่นี่ได้ไง ก็ตะกี้”
ละอองคำยิ้มน่ากลัว ยายหยวกถอยหลังช้าๆ
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ฉันเหนื่อย ก็เลยหยุดพัก”
“แต่เมื่อกี้เอ็งเดินไปทางโน้นไม่ใช่รึ แล้วทำไม”
ละอองคำมองหน้ายายหยวกตรงๆ ชูมือ เสียงหมาหอนดังเข้ามา
“ฉันก็มารอยายน่ะสิ ฉันหิวน่ะ ขอไส้ยายให้ฉันกินเถอะ”
ยายหยวกชี้หน้า มือสั่น
“นี่เอ็ง เอ็ง”
ละอองคำลุกขึ้นมาหายายหยวกที่ตาค้าง ขนลุก เวลาเดียวกันนั้น แม่ชี้น้อมชะงัก
หน้าเสีย รู้แล้วว่าเกิดเรื่อง หันมองไปยังทิศทางที่ปอบละอองคำกำลังจะกินไส้ยายหยวก
ละอองคำเดินมาหายายหยวกช้าๆ เสียงหมาหอนดัง
พอละอองคำใกล้ถึงตัว ยายหยวกก็ควบคุมสติได้ ออกวิ่งอย่างเร็ว
“ปอบ ช่วยด้วย ปอบ”
ยายหยวกวิ่งแจ้นหนีละอองคำ คอยหันหน้าหันหลังว่าละอองคำจะตามมา
“จะหนีข้าไปไหน”
ละอองคำกลับมาดักรออยู่ข้างหน้า ยายหยวกตกใจ
“ว้าย”
“แกวิ่งหนีข้าไม่พ้นหรอก”
ละอองคำคว้าคอยายหยวกไว้ ยายหยวกหันมา ตกใจกลัวสุดขีด ละอองคำหัวเราะก้อง
แม่ชีน้อมกราบพระประธาน ทุกคนในที่นั้นมองงงๆ แต่ก็รีบทำตาม ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รุ้งแก้วกับจิตมองหน้ากัน ใจคิดถึงยายหยวก
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ”
“นั่นสิคะ แม่ชี”
จิตยังพูดไม่จบ แม่ชีน้อมหันมาหน้าเศร้า แล้วเดินออกจากโบสถ์ รุ้งแก้วกับจิตตามติด ชาวบ้านกับหลวงพ่อเดินตามออกมา
“เกิดอะไรขึ้นหรือแม่ชี”
“เราช้าไปเสียแล้ว ยายหยวกกำลังเผชิญหน้ากับปอบ”
ทุกคนตกใจ
“เร็วเข้า ช่วยกัน ช่วยนังหยวกก่อน โธ่ อย่าเป็นอะไรนะ โตมาด้วยกันแท้ๆ”
ทั้งหมดเดินออกจากวัด ถือไฟฉาย ตะเกียง ละอองคำกำลังกินไส้ยายหยวกอย่างเอร็ดอร่อย เสียงเอะอะดังมาจากทางวัด แสงไฟจากไฟฉายและตะเกียงชาวบ้านเริ่มเข้ามาใกล้ ผีเจ้าโกรธจัดที่ถูกขัดจังหวะ กระโดดหนีไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ท้องโต เข้าไปในดงไม้รกๆ ทุกคนเบือนหน้าหนีจากศพของยายหยวก พากันปล่อยโฮ รุ้งแก้วน้ำตาไหลพราก
“เจ้าพี่”
ปิ่นเมืองหัวเราะสะใจ ราบฟ้ามองความไม่พอใจ
“มันเป็นปอบ มันก็ต้องกินไส้กินพุง ฆ่าคนตายไม่เว้นแต่ละคืน เยี่ยงนี้แล้ว เจ้าพี่ยังจะห่วงหาอาวรณ์มันอีกหรือ”
“พี่สงสารละอองคำ”
“สงสารมันทำไม มันต้องใช้กรรมที่มันเคยทำไว้กับผีปู่ผีย่า และผีหลวงเมืองนาย ใฝ่ต่ำไปรับผีต่างวงศ์มาเลี้ยง”
“เลิกพูดเรื่องอดีตเถิดปิ่นเมือง มันหวนคืนกลับมาไม่ได้ แล้วนะ ละอองคำก็หาใช่คนอื่นคนไกล สายเลือดเมืองนายด้วยกันทั้งนั้น”
“เจ้าพี่นับญาติกับมันไปผู้เดียวเถิด ข้าหารับมันไม่ คอยดูนะสักวันอีละอองคำมันต้องตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด”
ราบฟ้ามองปิ่นเมืองอย่างไม่พอใจ
ฉัตรนอนหลับ พลิกตัวจะกอดละอองคำ แต่พบว่าที่นอนข้างๆ ว่างเปล่า จึงลืมตาตื่น มองหาละอองคำ เขารีบลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง เสียงเปิดประตู ละอองคำค่อยๆ เปิดประตูเข้ามา เลือดเปรอะริมฝีปาก พอเห็นว่าฉัตรตื่นอยู่ ก็รีบเลียจนเกลี้ยง ฉัตรหันมาเห็นละอองคำ รีบลุกเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง
“คุณหายไปไหนมา”
“อะไร จับผิดฉันเหรอ”
“เปล่า ผมเป็นห่วง กลัวไปสารพัด กลัวว่า”
ละอองคำตัดบท
“ฉันออกไปรับลมหน้าบ้าน ในห้องนี่มันอุดอู้ จนอึดอัดก็เท่านั้น คุณไม่เข้าใจหรอกว่าคนท้องคนไส้น่ะมีอาการยังไง”
“นั่งก่อนครับ คุณจะดื่มน้ำมั้ย เดี๋ยวผมหยิบให้”
“ไม่ต้อง ฉันง่วงแล้ว ไม่อยากกินอะไร”
ละอองคำล้มตัวนอน พลิกตัวตะแคงหันหลังให้ฉัตรทันที ฉัตรรีบห่มผ้าให้อย่างแสนรัก ทะนุถนอม ไม่คิดอะไรในทางร้ายทั้งนั้น
กลุ่มชาวบ้านมองหน้าแม่ชีน้อม คนหนึ่งยกมือไหว้
“พวกเราขอโทษแม่ชีด้วยนะที่หาว่าแม่ชีเป็นปอบ ที่แท้ก็ไม่ใช่”
“แต่เราต้องจับมันให้ได้ จับได้แล้วก็จับมันเผาทั้งเป็นเลย ไม่งั้นหมู่บ้านเราจะต้องมีคนตายอีกมาก”
ชาวบ้านอื่นๆ สนับสนุน รุ้งแก้วซ่อนหน้าหนี ทั้งกลัวทั้งละอายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ ฉันอโหสิกรรมให้ทุกคน”
ชาวบ้านพากันยกมือไหว้ แล้วหันมาไหว้หลวงพ่อ
“เดินกันไปเป็นกลุ่มนะ เกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยกัน”
ชาวบ้านเดินไปแล้ว แม่ชีไหว้หลวงพ่อ
“โยมตัดสินใจอย่างที่เรียนให้หลวงพ่อทราบ โยมต้องพารุ้งแก้วไปอยู่ที่อื่น”
“ถ้าตัดสินใจดีแล้ว อาตมาก็ขอให้โยมทุกคนไปดี สมหวังดังตั้งใจ บุญรักษา เทวดาคุ้มครองนะ”
หลวงพ่อเดินไป จิต แม่ชีน้อม และรุ้งแก้วกลับมาที่กุฏิ รุ้งแก้วยืนร้องไห้มองออกไปข้างนอก แม่ชีเดินเข้ามาหา
“รุ้งแก้ว กรรมของใคร ก็เป็นของผู้นั้น ทำใจให้เป็น อุเบกขาเถิด”
“เจ้าค่ะ”
ตอนเช้า ซ่อนกลิ่นถือปิ่นโตจะไปเยี่ยมลูกสะใภ้ เดินออกมาจากห้องครัว สมานนั่งเก้าอี้โยกอยู่ โฉมอยู่ไม่ห่าง
“คุณแม่จะเอาปิ่นโตไปไหน”
“จะไปเยี่ยมคุณละอองคำหน่อย ท้องไส้ คงอยากกินอะไรอร่อยๆ”
สมานมองซ่อนกลิ่น ส่ายหน้า
“ของอร่อยน่ะมันกินอยู่บ่อยๆ แล้วล่ะค่ะ ในปิ่นโตนั่นมีตับไตไส้พุงหรือเปล่า ปอบมับชอบของสดๆ คาวๆ นะคะคุณแม่”
“เหลวไหลน่ายัยโฉม จะไปกับแม่มั้ย”
“โอ๊ย ถ้าไม่จำเป็น โฉมไม่เหยียบบ้านมันเด็ดขาด น่ากลัว คุณแม่ต้องระวังตัวไว้ด้วยนะคะ”
“นั่นสิ ระวังไว้บ้างก็ดี”
“ขอบคุณค่ะ ถ้าฉันกลับค่ำ ก็ทานข้าวก่อนเลยนะคะ ฉันทำไว้ให้พร้อมแล้ว อยู่ในตู้กับข้าว”
ซ่อนกลิ่นออกไป โฉมมองไม่พอใจ
“สักวันโฉมจะกระชากหน้ากากนังปอบละอองคำออกมาให้ได้”
“ทำอะไรก็ระวังไว้บ้างโฉม”
“โฉมไม่กลัวมันหรอกค่ะคุณพ่อ”
โฉมมองไปที่แหวนที่แม่ชีให้มา
เจ้านาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
โต๊ะอาหารบ้านฉัตร มีอาหารวางอยู่หลายอย่าง ซ่อนกลิ่นยกจานข้าวมาวาง ฉัตรยกแก้วน้ำมาวางพร้อม
“อาหารพร้อมแล้วจ้ะ มาทานข้าวกันเถอะ ฉัตรเชิญคุณละอองคำมาทานพร้อมๆกันเลย”
“ครับแม่”
ฉัตรเดินไปประคองละอองคำที่มีครรภ์แก่แล้ว เดินมาที่โต๊ะอาหาร ซ่อนกลิ่นมองด้วยสายตาชื่นชม
“แม่ทำอาหารที่บำรุงครรภ์มาให้ทั้งนั้นเลยนะ ต้องทานเยอะๆ นะ หลานแม่จะได้แข็งแรง รวมถึงแม่ด้วยฎ
ละอองคำยิ้มบางๆ
“อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยคุณ”
ละอองคำฝืนยิ้ม ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ไม่ยินดียินร้าย ฉัตรรู้ใจ รีบฟ้องแม่
“ไม่ค่อยทานอะไรเลยครับแม่ เตรียมอะไรให้ก็บอกว่าอิ่มแล้วๆ ไม่รู้ไปทานตอนไหน ผมล่ะกลัวเจ้าตัวเล็กจะหิวแย่”
ละอองคำค้อนฉัตร
“แหม คุณ ฉันก็กินตอนคุณไม่เห็น”
“ก็ผมห่วง ทั้งคุณทั้งลูกนี่”
ซ่อนกลิ่นมองทั้งสองด้วยความปลาบปลื้ม มองภาพกระเง้ากระงอดเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องน่ารัก
“เอาล่ะจ้ะ ทานเถอะนะ เดี๋ยวเย็นชืดจะหมดอร่อย”
ละอองคำลงมือรับประทานอาหารด้วยสีหน้าฝืดฝืน ฉัตรมองอย่างลุ้นๆ ซ่อนกลิ่นยิ้มดีใจ
รุ้งแก้ว จิต และแม่ชีน้อม ยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ในป่า
“สถานที่ตรงนี้สงบดี แม่ว่าจะอยู่กันที่ตรงนี้เลยดีมั้ย”
“ก็ดีนะคะ ตรงโน้นมีลำธาร ดินดีพอจะปลูกอะไรได้ อีกอย่างก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่ ถ้าน้องรุ้งแก้วตัดสินใจบวชเป็นชี พี่ก็ยังดูแลแม่ชีกับน้องรุ้งแก้วได้”
“ไม่ต้องปลงผมแบบแม่ชีหรอกรุ้งแก้ว ถืออุโบสถศีลอย่างเคร่งครัดก็พอแล้ว บวชใจสำคัญกว่าบวชกายนะ”
“ค่ะ รุ้งพร้อมแล้วค่ะ รุ้งไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีกแล้ว อยากปฏิบัติธรรม อุทิศบุญให้แก่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ให้แก่ทุกคนที่เมืองนาย เจ้าพี่ละอองคำและพี่ธวัช”
จิตตาแดงๆ จะร้องไห้
“อย่าพูดสิคะ พี่สะเทือนใจตามไปด้วย ถ้ายังงั้น อิฉันจะเข้าไปในหมู่บ้าน ขอแรงผู้ชายมาทำอาศรมให้แม่ชีน้อมกับน้องรุ้งแก้วนะเจ้าคะ”
“ขอบใจแม่จิต”
ดวงจันทร์ส่องสกาวอยู่บนฟ้า รุ้งแก้วเดินจงกรมอยู่ในป่า ด้วยท่าทีสงบ แสงจันทร์อาบชุดขาวจนดูสว่างน่าศรัทธา ราบฟ้ากับปิ่นเมืองปรากฏขึ้น รุ้งแก้วเห็นตกใจ
“เจ้าพี่ นี่ข้าเห็นเจ้าพี่แล้วหรือเจ้าคะ”
“บารมีของเธอมากพอที่จะติดต่อกับวิญญาณและเทวดาได้ระดับหนึ่งแล้ว ปฏิบัติต่อไปนะรุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วหันมาไหว้แม่ชี
“เจ้าค่ะ”
รุ้งแก้วมองราบฟ้าและปิ่นเมือง น้ำตาไหล
“มีบารมีมากเยี่ยงนี้แล้วก็อย่าลืมอุทิศไปให้พี่เจ้าด้วยล่ะ มันจะได้หายจากการเป็นปอบ”
ปิ่นเมืองหัวเราะ
“ปิ่นเมือง หาควรพูดเยี่ยงนี้ไม่”
“ข้าพูดผิดตรงไหน อีรุ้งแก้วมันก็รู้อยู่แก่ใจดี”
“ขอบใจเจ้าพี่ปิ่นเมือง ข้าจะอุทิศบุญให้เจ้าพี่ราบฟ้ากับเจ้าพี่ปิ่นเมืองด้วยเจ้าข้า”
“ข้าไม่ต้องการ ข้ามีความสุขดี แล้วข้าจะไม่ยอมไปผุดไปเกิดด้วย จนกว่าจะได้เห็นความพินาศของอีละอองคำเสียก่อนฎ
“ปิ่นเมือง ถ้าเจ้าจะหาเรื่องรุ้งแก้วเยี่ยงนี้ ก็อย่าอยู่เลย กลับกันเถอะ”
ราบฟ้ากระชากตัวปิ่นเมือง ทั้งสองเลือนหายไป รุ้งแก้วหน้าเสียไป กายทิพย์ของแม่ชีน้อมปรากฏขึ้น
“ปฏิบัติต่อไปรุ้งแก้ว ปฏิบัติต่อไป”
รุ้งแก้วเดินจงกรมต่อไป
หลายเดือนผ่านไป ซ่อนกลิ่นอุ้มทารก ยิ้มแฉ่ง
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะจ๊ะ ย่าอุ้ม หนูอยู่นี่แล้วไง”
ฉัตรเข้ามา รับลูกไป
“เปลี่ยนให้ผมอุ้มอัปสรบ้างครับแม่ แม่ไปพักผ่อนเถอะ อัปสรไม่ร้องนะ นางฟ้าของพ่อ”
“แม่ไม่ได้เหนื่อยอะไรซะหน่อย ไปดูคุณละอองคำเถอะ”
ฉัตรอุ้มอัปสรมีแต่ความสุข ละอองคำออกมาจากห้อง แอบมองบรรยากาศของความสุข แล้วเศร้า
ซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาในบ้าน สมานมองเมินไปทางอื่น โฉมเดินเข้ามา“เหนื่อยอ่อนมาเลยเหรอแม่ เห่อหลานใหม่ก็แบบนี้แหละนะ”
“ฉันทำหน้าที่แทนแกยัยโฉม คุณด้วย”
“อ้าว จู่ๆ ก็มาลงที่ผม”
“คิดจะไปเยี่ยมคุณละอองคำบ้างมั้ย ไปรับขวัญหลานอัปสรก็ได้”
“ผมเคยประกาศแล้วว่าไม่รับมันเป็นสะใภ้ ผมไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก”
“ก็น่าจะลองไปดูนะคะ คุณพ่อ”
“ทำไม”
“อ้าว เผื่อวันหน้าเด็กอาจไม่มีไส้ขึ้นมาก็ได้ จะได้เห็นหน้าหลานไว้ก่อนไงคะ ไส้อ่อนๆ ตัวแดงๆ อย่างนั้น คงเป็นอาหารอันโอชะให้นังปอบแม่มัน”
“แกนี่พูดจาน่าเกลียดขึ้นทุกวัน แม่ไม่อยากพูดด้วยแล้ว”
ซ่อนกลิ่นเดินไป โฉมเบ้ปาก
ละอองคำเอาลูกพาดบ่า เดินไปแกว่งตัวไป ร้องเพลงกล่อมลูกเบาๆ ด้วยความรัก มีความสุขมาก เสียงหัวเราะแหบๆ ของผีเจ้าดังมา ละอองคำชะงัก หันมองหิ้งผี
“หัวเราะอะไรผีเจ้า”
“ข้าดีใจที่เจ้าได้ลูกสาว”
ละอองคำตกใจ กอดลูกกระชับขึ้น กรวยดอกไม้ลอยขึ้นจากหิ้งผี เสียงผีหัวเราะดังมา
“ผีเจ้าต้องการอะไร”
ละอองคำถอยห่างจากหิ้งผี ผีเจ้าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“ขอข้าดูลูกสาวเจ้าหน่อยสิละอองคำ”
“อย่านะผีเจ้า อย่ายุ่งกับลูกข้า จะกินใครข้ายอมหมด เว้นแต่ยัยหนูอัปสร”
“ข้าไม่กิน เลี้ยงลูกให้ดีเถอะละอองคำ ข้าจะให้ลูกเจ้าเป็นผู้สืบทอด”
“ผู้สืบทอด หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่านังเด็กคนนี้จะต้องเป็นทายาทปอบของข้าไงล่ะ”
ผีเจ้าหัวเราะแล้วเลือนหายไป ละอองคำแทบหมดแรง กอดลูกน้ำตาไหล ส่ายหน้า ตวัดสายตาไปทางหิ้งผี แล้วหันมามองลูก น้ำตาร่วง
“ลูกแม่”
เวลาผ่านไป เด็กหญิงอัปสรเดินเตาะแตะ ละอองคำกับฉัตรคอยประคองให้หัดเดิน
ละอองคำรู้สึกร้อนวูบๆ ผิดปกติ มองหน้าประตูแล้วหุบยิ้ม หน้าตึง ซ่อนกลิ่นกับโฉมเดินเข้ามา โฉมคล้องพระไว้ที่นอกเสื้อ
“หนูอัปสร มาหาย่าสิลูก คิดถึงย่ามั้ยเอ่ย ดูซิ ย่าพาใครมาด้วย อาโฉมไงลูก”
“คุณแม่กับโฉมไปไหนมาหรือครับ”
“มานี่แหละค่ะ คะยั้นคะยอให้โฉมมาดูหลาน ไม่รู้จะเห่ออะไรกันนักหนา”
ละอองคำมองโฉมไม่พอใจ ฉัตรส่ายหน้าให้อดทน
“พูดอะไรอย่างนั้นโฉม ไม่เอาๆ มาเล่นกะหลานดีกว่ามาๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ คุณโฉมคงไม่ชอบเด็ก”
ละอองคำสบตาโฉม สายตาประสานกัน บ่งบอกว่ารู้ทันกัน ละอองคำเลี่ยงไป ซ่อนกลิ่นอุ้มหลาน หอมแก้มดีใจ
“คุณแม่มาเหนื่อยๆ นั่งพักก่อนครับ”
“มาคิดถึงหลาน จะให้มาถึงแล้วนั่งได้ยังไง ว่าไงอัปสร คิดถึงย่ามั้ย”
ละอองคำยืนมองออกไปข้างนอก โฉมตามเข้ามา
“ที่หล่อนบอกว่าฉันไม่ชอบเด็ก หมายความว่ายังไง หา”
“ถ้าชอบเด็ก ก็คงอยากมีลูก ถ้าอยากมีลูก ก็ต้องอยากมีสามี แต่นี่ ไม่เห็นคุณโฉมมีอะไรสักอย่าง”
“แกหาว่าฉันขึ้นคานรึ นังละอองคำ”
“เข้าใจไปเองนะคะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
โฉมเดินเข้าหา ละอองคำเห็นโฉมแขวนพระ องค์พระสว่างเรือง เมื่อมองมาที่นิ้วก็เห็นแหวนเก่าศักดิ์สิทธิ์ที่โฉมใส่อยู่ ละอองคำถอยหนี
“เราอย่าทะเลาะกันให้คุณแม่คุณไม่สบายใจเลย ถ้าไม่เห็นแก่ฉันก็เห็นแก่แม่และพี่ชายคุณบ้าง ขอตัวค่ะ”
ละอองคำเลี่ยงไป โฉมมองไม่พอใจ
“นี่หล่อนว่าฉันขึ้นคานงั้นรึ”
“อิฉันขอตัวก่อนนะคะคุณแม่ รู้สึกไม่สบายตัว ฝากลูกด้วยนะคะคุณ”
ละอองคำยิ้มให้ซ่อนกลิ่นกับฉัตร แล้วปรายตามองโฉม ยิ้มเยาะ
ตอนค่ำ ละอองคำนั่งเฝ้าอัปสรซึ่งนอนหลับแล้ว ฉัตรยังไม่กลับบ้าน เสียงผีเจ้าดังขึ้น
“ข้าหิว”
ละอองคำหันขวับที่หิ้งผี ผีเจ้าปรากฏตัวขึ้น ละอองคำตกใจ กลัวอัปสรตื่นมาเห็น
“ข้าหิว”
“รอหน่อยเถอะ ผีเจ้า คุณฉัตรว่ามีคนมาติดพันนังโฉม ข้าจะหาทางให้ผีเจ้าได้กินผู้ชายของมัน”
“อย่าช้าล่ะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”
ผีเจ้ามองอัปสร ละอองคำขยับตัวปกป้องลูก ผีเจ้าเลือนหายไป
ภายในงานเลี้ยงในสโมสร แขกในงานลีลาศกันเป็นคู่ๆ พรเทพกับฉัตรถือแก้วเหล้ายืนคุยกันอยู่
“โรงสีแจ้งมาว่าสีข้าวคราวนี้ได้ผลผลิตมากเลย ออเดอร์จากต่างประเทศก็มากกว่าที่คิด กำไรงามเลยล่ะครับ คุณฉัตร”
“ผมดีใจด้วยครับ”
“ถ้าไม่ได้คุณฉัตรช่วยติดต่อ เราก็คงไม่มีออเดอร์มากอย่างนี้หรอก นี่ขนาดเลี้ยงลูกอ่อนด้วยนะ”
ฉัตรยิ้มเขิน แล้วก็หยุดยิ้มเมื่อเห็นโฉมเดินควงมากับประสิทธิ์
“นั่นประสิทธิ์นี่ มากับน้องสาวคุณ ท่าทางสนิทสนมกันนะครับ”
“ครับ”
ฉัตรหน้าเจื่อนนิดหนึ่ง โฉมเห็นพรเทพก็ทำทีพูดขอตัวจากประสิทธิ์ แล้วเดินมาหาพรเทพ ฉัตรถามขึ้น
“ใครเหรอ”
“คุณประสิทธิ์ ลูกเจ้าสัวเกษม พี่ฉัตรคงทำงานหนักมากเกินไปก็เลยไม่ได้อ่านข่าวสังคม”
“แล้วนี่คบกันในฐานะอะไร”
“เราจะแต่งงานกันปีนี้ค่ะ”
“อ้าว ผมก๊อกหักสิ”
โฉมมองค้อนพรเทพ
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะคะ โฉมไม่ชอบคนหลายใจ ฮึ”
พรเทพหัวเราะ
ละอองคำนำอัปสรมานอนที่เตียง ห่มผ้าให้ อัปสรลืมตาขึ้น
“หลับนะลูก เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับมาแล้ว”
ฉัตรยืนคุยกับแขกอื่นๆ อยู่ โฉมผละจากประสิทธิ์เดินมาหาพรเทพ
“วันนี้คุณโฉมเป็นดาวเด่นในสโมสรเลยนะครับ”
“ก็จำเป็นนี่คะ คุณพรเทพไม่สนใจโฉม มัวแต่สนใจเมียชาวบ้าน โฉมก็ต้องมองหาคนใหม่ หวังว่าคงไม่โกรธกันนะคะ”
โฉมจิกตา ยิ้มมุมปาก ผละไป พรเทพยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ภาพละอองคำเข้ามาในห้วงคิด ฉัตรเดินไปทางหนึ่ง โฉมผละมาหา
“พี่ฉัตรจะกลับแล้วเหรอคะ”
“ใช่ ห่วงละอองคำ เลี้ยงลูกคนเดียว”
“อุ๊ย ต้องห่วงด้วยเหรอ หรือว่ากลัวเมียกินไส้ลูกสาว”
โฉมหัวเราะ ฉัตรมองอย่างไม่พอใจ
ประสิทธิ์มาหาโฉม ยกแขนเป็นการเชิญชวนให้โฉมออกไปเต้นรำ
“อย่าทำให้ผมเหงาสิครับ คุณโฉม เห็นคุณคุยกับคนโน้นคนนี้ผมหึงนะครับ”
เพลงในจังหวะสนุกๆ ดังมา ทั้งสองกลายเป็นดาวเด่นในฟลอร์ โฉมซบอยู่กับประสิทธิ์ ประสิทธิ์กระซิบข้างหูโฉม
“ผมอยากกลับบ้านแล้วคุณโฉม”
พรเทพยืนอยู่ที่หน้าสโมสร ทอดอารมณ์ โฉมกับประสิทธิ์ออกมาจากข้างใน
“อ้าว คุณพรเทพ พี่ฉัตรล่ะคะ”
“กลับไปแล้วครับ เห็นว่าเป็นห่วงคุณละอองคำ”
“โฉมขอคุยธุระกับคุณพรเทพแป๊บนึงนะคะคุณประสิทธิ์”
“ได้สิครับ คุณโฉม”
ประสิทธิ์หันมาสบตาพรเทพ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลเธอให้ เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนรักของผม”
ประสิทธิ์เดินไป
“โฉมไม่คิดจะคบคุณประสิทธิ์หรอก”
“อ้าว”
“โฉมไม่อยากรอผู้ชายที่คิดแย่งเมียเพื่อนหรอกค่ะ หวังว่าวันแต่งงานของโฉม คุณพรเทพจะให้เกียรติไปร่วมงานนะคะ”
“ด้วยความยินดี”
“ถามจริงๆ เถอะ ไม่เคยได้ข่าวเลยเหรอว่าคนเขาลือเรื่องเมียพี่ฉัตรยังไงบ้าง”
“ข่าวลือคือเรื่องไร้สาระสำหรับผม”
โฉมเดินจากไปอย่างไม่พอใจ ไปนั่งในรถประสิทธิ์
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่ยิ้มเลย”
“โฉมถามจริงๆ เถอะ คุณคิดจะจริงจังกับโฉมหรือเปล่า”
“โธ่ ถามได้ จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอวันพรุ่งนี้เลยยังได้ ผมรักคุณโฉมเท่าชีวิตของผมเลยนะครับ”
โฉมยิ้มพอใจ
ละอองคำยืนมองหิ้งผี ด้วยความแค้นเคือง
“ฉันเกลียดมัน ผีเจ้า ใครที่รักมัน ผีเจ้าจงกินมันผู้นั้นเสีย”
เงาผีเจ้าจางๆ วูบใส่ร่างละอองคำ ละอองคำตาแดงก่ำ เดินตัวแข็งๆ จะออกไป ฉัตรผวาตื่นขึ้นมาพอดี
“ละอองคำ คุณจะไปไหน”
ละอองคำหันขวับมา ตาแดง พูดเสียงทรงอำนาจ เพื่อสะกดจิต
“นอน”
ฉัตรนอนลงอย่างว่าง่าย ละอองคำเดินไป
โฉมกลับเข้ามาบ้านตอนกลางคืน ท่าทางเมานิดๆ สมานยืนสูบไปป์รออยู่ ซ่อนกลิ่นยืนอยู่ด้วย
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ยัง ใครมาส่ง”
“คุณประสิทธิ์ ลูกชายเจ้าสัวเกษมค่ะคุณพ่อ”
“คบกันนานแล้วเหรอ”
“เพิ่งคบค่ะ โฉมเจอเขาในงานสังสรรค์เพื่อนๆ ที่ราชวงศ์” “ผู้ใหญ่มาสู่ขอโฉมเร็วๆ นี้ค่ะ”
“ให้มันจริงสักรายเถอะ”
โฉมมองหน้าพ่อ น้อยใจ
“ถ้าคนที่โฉมรัก ไม่ได้ตายเพราะอีปอบละอองคำล่ะก็ โฉมคงแต่งงานไปแล้ว คุณพ่อไม่น่าพูดแบบนี้ โฉมน้อยใจนะ”
โฉมเดินเข้าบ้านไป ไม่พอใจ ซ่อนกลิ่นตามไป ถอดเครื่องประดับวางที่โต๊ะ
“อย่าห้ามโฉมเลยค่ะคุณแม่ ยังไงโฉมก็จะแต่ง”
“ถ้าศึกษากันดีแล้ว แม่ก็ไม่ห้าม ว่าแต่เขารักโฉมหรือเปล่า”
“โฉมไม่สนใจหรอกค่ะคุณแม่ ขอให้พ้นจากที่นังละอองคำมันปรามาสโฉมไว้ก็พอ”
“ปรามาสอะไร”
“มันหาว่าโฉมขึ้นคาน หาผัวไม่ได้”
“ตายจริง”
“ไม่ใช่เฉพาะนังละอองคำนะคะคุณแม่ โฉมไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้านด้วย เขาเอาโฉมไปนินทาทั่วเมืองว่าคบกับผู้ชายคนไหนคนนั้นก็ตายหมด"
"เขาหาว่าโฉมเป็นผู้หญิงกินผัวค่ะ โฉมรับไม่ได้"
ละอองคำยืนอยู่คนเดียวที่ริมถนนสายเปลี่ยว รถของประสิทธิ์แล่นมา แล้วจอด
“น้องสาวรอใครอยู่หรือครับ”
ละอองคำยิ้มเขินอาย
“รถเสียอยู่ตรงโน้นน่ะค่ะ กำลังจะหารถลากสักคัน”
ประสิทธิ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“มืดค่ำแล้ว กลับรถลากคนเดียวพี่คงห่วงน้องจนนอนไม่หลับ ให้พี่ไปส่งดีกว่านะครับ”
“แต่เรายังไม่รู้จักกันเลยนะคะ”
ละอองคำยิ้มเขินๆ แล้วหันหน้าไปอีกทาง ยิ้มมุมปาก ตาแดงก่ำ
“ฉันไม่รบกวนคุณดีกว่า”
“ที่นี่มันเปลี่ยว น่ากลัวนะครับ ผมอยากช่วยเหลือคุณ”
“ฉันหิว ช่วยฉันได้มั้ย”
“หิว”
“ค่ะ หิว น้องหิวเหลือเกิน ขอไส้น้องกินหน่อยนะ”
ละอองคำหัวเราะ ประสิทธิ์ตกใจ เห็นดวงตาหญิงสาวแดงก่ำ
“เฮ้ย”
มือละอองคำกลายเป็นมือปอบ เล็บยาว น่าเกลียด ละอองคำแลบลิ้น อยากกินไส้ประสิทธิ์มาก มือจ้วงแทงท้องประสิทธิ์ ประสิทธิ์หน้าเหยเก ร้องสุดเสียง
“อ๊าก”
ตอนเช้า ซ่อนกลิ่นเตรียมอาหารสำหรับละอองคำและอัปสร เสียงหวีดร้องของโฉมดังเข้ามา ซ่อนกลิ่นรีบทิ้งของ วิ่งออกไป สมาน ลุกจากเก้าอี้โยก มองหาที่มาของเสียง ซ่อนกลิ่นวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก มองหน้าสมาน
“อะไรกันคะคุณ เกิดอะไรขึ้น”
“เสียงยัยโฉม โฉม”
โฉมร้องไห้โฮ วิ่งเข้ามาในบ้าน ซ่อนกลิ่นรีบโผเข้าไปรับ โอบกอด
“เกิดอะไรขึ้นโฉม ใครเป็นอะไร”
โฉมร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณประสิทธิ์ค่ะแม่ คุณประสิทธิ์ตายแล้ว”
“อะไรนะ”
“เมื่อคืนเขายังมาส่งลูกที่หน้าบ้าน”
“ค่ะ ตายแล้ว เขาตายแล้ว ตับไตไส้พุงไม่เหลือเลย มันต้องเป็นฝีมือปอบค่ะ มันจงใจฆ่าคุณประสิทธิ์ ฮือๆๆ โฉมเกลียดมัน โฉมจะฆ่ามัน”
ซ่อนกลิ่นกอดโฉมตัวสั่นกลัว
“น่ากลัวอย่างนี้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
“ไม่ค่ะ โฉมไม่มีวันแพ้มันหรอก”
ในห้องรับแขกบ้านละอองคำเปิดแย้มน้อยๆ สองพ่อลูกกำลังเล่นกัน ละอองคำนั่งบนตั่ง โบกพัด มองฉัตรกับอัปสรอย่างมีความสุข จู่ๆ เสียงโฉมก็ดังเข้ามา
“ละอองคำ แกอยู่ที่ไหน แกอยู่ที่ไหน”
“ใจเย็นๆ สิโฉม ใจเย็น”
“เย็นไม่ไหวแล้วค่ะคุณแม่ ไหน แกอยู่ไหน”
ฉัตรรีบอุ้มอัปสรไว้ ละอองคำยิ้ม รู้ว่าโฉมโกรธตนเรื่องอะไร แต่ก็ทำหน้าซื่อ
“น้องสาวคุณคงโดนหมาบ้ากัดมาน่ะค่ะ ออกไปดูเสียหน่อยเถอะ อัปสรมาหาแม่มาลูก”
ละอองคำอุ้มอัปสร ฉัตรกำลังจะออกไป แต่โฉมก็พรวดพราดมาถึงตัวเสียก่อน พระที่คอโฉม ทำให้ละอองคำต้องรีบถอยห่างรัศมีพุทธคุณ รู้สึกแสบร้อน แต่ก็ต้องทน
“นังละอองคำ แกฆ่าคุณประสิทธิ์ อีผีปอบ อีฆาตกร”
“อะไรกันโฉม ใครฆ่าใคร”
“ก็เมียผีปอบพี่น่ะสิ มันจงใจแกล้งโฉม มันฆ่าคุณประสิทธิ์ ควักไส้กินจนหมด”
ซ่อนกลิ่นรีบห้าม
“โฉม โฉมใจเย็นๆ สิลูก ขอโทษนะคะ คุณ ไปโฉม กลับบ้านเถอะ”
“ไม่ โฉมจะฆ่ามัน มันแกล้งโฉม มันตั้งใจให้โฉมขึ้นคาน โฉมมีแฟนกี่คนมันก็ฆ่าตายหมด”
ละอองคำมองหน้าฉัตร
“คุณฉัตร ใครกันคะ คุณประสิทธิ์”
ฉัตรรีบเข้าประคองละอองคำ เชื่อสนิทใจเพราะละอองคำไม่เคยเจอประสิทธิ์ ฉัตรมองโฉมอย่างเวทนา
“อย่ามาตอแหล”
“พอเถอะโฉม สงบสติอารมณ์หน่อยสิ”
“ฉันขอพาลูกไปนอนก่อนนะคะ เดี๋ยวแกจะตกใจ”..
ละอองคำอุ้มอัปสรออกไป
“กลับมาก่อนสิ แกกลัวอะไรนังละอองคำ กลับมา”
เงาร่างของผีเจ้าปรากฏขึ้น พูดข้างๆ โฉม
“เจ้าจะไม่มีวันสมหวังหรอก ไม่มีวัน”
“หา”
โฉมเหลียวมองไปรอบๆ หน้าถอดสี ไม่เห็นใคร ปล่อยโฮออกมา ซ่อนกลิ่นรีบกอดลูกไว้
“โฉม โฉมเป็นอะไรลูก”
ละอองคำนั่งหน้าบึ้งอยู่ในห้อง ฉัตรเข้ามากอด
“โฉมกลับไปแล้ว คุณโกรธเหรอ”
“ค่ะ โกรธ น้องสาวคุณกล่าวหาฉัน ฉันอดทนทุกอย่างก็เพื่อคุณและลูก คนชื่อประสิทธิ์เป็นใคร หน้าตายังไง ฉันยังไม่รู้จักเลย”
“อย่าสนใจเลยละอองคำ รู้ไว้แต่เพียงว่าผมรักคุณคนเดียวก็พอ”
ฉัตรกอดละอองคำ จูบย้ำๆ ที่หัวไหล่ อย่างแสนรัก
สามปีผ่านไป เด็กหญิงอัปสร วัย 5 ขวบ วิ่งปรื๋อมา สมานลุกจากเก้าอี้โยกตัวเดิม อ้าแขนรับหลานสาว
“ชื่นใจจริง หลานปู่”
“ชื่นใจเหมือนกันค่ะ คุณปู่”
“ปากหวานจริง”
ซ่อนกลิ่นถือเสื้อเด็กมาตัวหนึ่ง โชว์ให้อัปสรดู
“ย่าตัดเสื้อให้ สวยมั้ยจ๊ะอัปสร”
“สวยจังค่ะคุณย่า”
“ถ้าอยากได้ก็ต้อง”
ซ่อนกลิ่นชี้ที่แก้ม อัปสรโผมากอดซ่อนกลิ่นอย่างประจบ หอมแก้มซ่อนกลิ่นซ้ายขวา สมานหัวเราะเอ็นดูหลาน โฉมมองอยู่ หน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
“มีความสุขกันจริงนะคะ”
“อ้าว ไหนว่าคุณพรเทพจะมาทานข้าวด้วยไงล่ะ”
“กลับไปแล้วล่ะค่ะ”
โฉมเดินผ่านอัปสรเหมือนไม่มีตัวตน อัปสรย่อตัวไหว้
“สวัสดีค่ะคุณอาโฉม”
โฉมหันมาจ้องหน้าอัปสรดุๆ
“ช่างประจบแบบนี้เอง คุณพ่อคุณแม่เลยลืมไปว่าแม่เด็กนี่เป็นปอบ”
“โฉม พูดจาอะไรแบบนั้น”
“ปอบคืออะไรคะคุณย่า”
สมานจ้องหน้าโฉมไม่ให้พูด แต่โฉมพูดด้วยความสะใจ
“คนที่รู้ดีที่สุดคือแม่แก กลับไปถามแม่แกดูสิ อัปสร”
อัปสรหน้าเสีย เบะปากจะร้องไห้ สมานรีบมากอดแล้วอุ้มอัปสร
“ไปดูดอกไม้กับปู่ข้างนอกดีกว่านะ”
สมานกับอัปสรออกไป อัปสรหันมามองโฉม น้ำตาคลอ
“ปากแกนี่นะ แก้ไม่หายซะที”
“โฉมเป็นคนยังไง โฉมก็เป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ ลืมง่าย บทจะรังเกียจสะใภ้ก็ไม่พูดไม่จา แล้วพออยากจะดีกับมัน ก็ไม่เห็นหัวโฉมที่เป็นลูกสาวแท้ๆ”
โฉมเดินลงส้นตึงๆ ขึ้นบันไดไป ซ่อนกลิ่นส่ายหน้า
“โธ่เอ๊ย หนูอัปสร”
สมานชี้ชวนให้อัปสรดูดอกไม้
“สวยมั้ยลูก”
“สวยค่ะ คุณย่าขา ปอบคืออะไรคะ”
“อาโฉมเขาล้อเล่นน่ะลูก ลืมซะเถอะนะ”
“อัปสรจะถามแม่ดู อาโฉมบอกว่าแม่รู้จัก”
สมานกับซ่อนกลิ่นสบตากัน หน้าเสียไปทันที
ละอองคำถามเสียงเครียดกับอัปสร
“ปอบ ใครสอนให้พูดคำนี้”
ฉัตรนั่งอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้าขึ้นมามอง
“บอกมาเดี๋ยวนี้ อัปสร”
“หนูได้ยินอาโฉมพูด อาโฉมบอกว่าแม่รู้จักดี ปอบคืออะไรคะแม่ หนูอยากรู้”
“หยุดนะอัปสร อย่าพูดคำนี้ให้แม่ได้ยินอีก ไป”
อัปสรเบะปาก น้ำตาคลอ เดินออกไป ฉัตรวางหนังสือลงหันไปมองดูลูก
“ทำไมคุณต้องฉุนเฉียวอย่างนี้ด้วย เห็นมั้ยลูกร้องไห้แล้ว”
“ก่อนที่จะด่าฉัน ควรไปเตือนน้องสาวคุณก่อน น้องสาวคุณตั้งใจทำลายครอบครัวเรามาตลอด ฉันไม่เคยลืม”
“เหลวไหลน่า”
ฉัตรเดินออกไป ละอองคำแค้นเคือง
“เจ้าอยากลองดีกับข้ารึ นังโฉม”
ที่ศาลาท่าน้ำ ฉัตรกอดลูกสาวไว้ อัปสรน้ำตาคลอ
“คุณแม่โกรธ”
“ไม่หรอกจ้ะ คุณแม่ไม่ได้โกรธหนูหรอกนะ คราวหลัง หนูก็อย่าพูดอีกนะจ๊ะ คนดี”
“ค่ะ ค่ะ หนูจะไม่พูดอีก หนูไม่อยากเห็นแม่โกรธ หนูกลัว”
ฉัตรคว้าลูกเข้ามากอด เข้าใจสิ่งที่อัปสรพูดได้อย่างดี
ที่อาศรม เป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ สำหรับปฏิบัติธรรม จิตถูเรือนอยู่ สายตามองไปมาอย่างหวาดๆ
“ทำไมวันนี้มันรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่รู้”
รุ้งแก้วนั่งสมาธิอยู่ในเรือนไม้ แม่ชีน้อมเดินจงกรมอยู่ด้านนอก แสงจันทร์ส่องสกาวมาจากบนฟ้า บ่งบอกว่าเป็นวันพระใหญ่ จันทร์เต็มดวง จิตก้มหน้าถูกระดาน แล้วชะงัก รู้สึกเหมือนมีเงาบางอย่างผ่านข้างหลัง เธอหันขวับดูแล้วตะลึง เงาร่างของราบฟ้าและปิ่นเมืองเคลื่อนผ่านไปปรากฏแล้วหายไป แล้วปรากฏใหม่
“ว้าย”
จิตแทบหงายหลัง วิ่งเข้าไปในเรือนไม้
“คุณรุ้งแก้ว ช่วยด้วย”
รุ้งแก้วลืมตาขึ้น ยิ้มบางๆ
“ไม่มีอะไรหรอกพี่จิต แม่ชีน้อมจะจัดการทุกอย่างเอง”
จิตตัวสั่น รุ้งแก้วนั่งสมาธิหลับตาต่อ แม่ชีน้อมหยุดเดินจงกรม ปิ่นเมืองยื้อยุดราบฟ้าไว้
“ไม่นะ ข้าไม่ยอม เจ้าพี่จะทิ้งข้าไปไม่ได้”
“พี่ไม่อยากเป็นวิญญาณเร่ร่อน พี่ทุกข์ทรมานมานานแล้ว พี่อยากไปใช้กรรม ไปผุดไปเกิด เจ้าจะไปกับพี่หรือไม่”
“ไม่ ตราบใดที่ข้ายังไม่เห็นความพินาศของอีละอองคำก็อย่าหมายว่าข้าจะไปเกิด”
แม่ชีน้อมส่ายหน้า
“ถ้าเช่นนั้น เจ้านางก็อย่าขวางเจ้าหลวงเลย จะยิ่งเป็นบาปหนักกว่าเก่า”
“นังชี เจ้ามีสิทธิ์อันใดหา อย่านะเจ้าพี่ ข้าไม่ยอมให้เจ้าพี่ไปจากข้า”
ราบฟ้าไม่ฟังนั่งคุกเข่าพนมมือ แม่ชีน้อมหลับตา
“ขอบุญกุศลที่เราได้เคยทำมาทุกภพทุกชาติ จงเป็นกำลังส่งให้ดวงวิญญาณของเจ้าหลวงไปสู่สุคติด้วยเทอญ”
ประกายสีทองระยิบระยับส่องสว่างมาที่ร่างของราบฟ้า ปิ่นเมืองจะเข้าไปยื้อยุด แต่ไม่กล้า ร่างของราบฟ้า ยิ้มสดใส แล้วค่อยๆ เลือนหายไป ปิ่นเมืองร้องไห้
“เจ้าพี่ ฮือๆ เจ้าพี่ทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว เจ้าพี่”
“ถ้ากลัวก็อยู่เสียที่นี่ เป็นวิญญาณก็ปฏิบัติธรรมได้ บางทีกรรมที่เจ้านางได้ก่อไว้จะได้เบาบางลง”
ปิ่นเมืองถลึงตาใส่แม่ชีน้อม
“ข้ารึมีกรรม ไม่รู้แล้วอย่าพูดอะไรดีกว่านังชี ถ้าคิดจะโปรดสัตว์ล่ะก็ ไปหาอีละอองคำสิ”
ปิ่นเมืองเลือนหายไป แม่ชีน้อมระบายลมหายใจ แล้วเดินจงกรมต่อไป รุ้งแก้วอยู่ในเรือนไม้หลังเล็ก
“ข้าดีใจกับเจ้าพี่ราบฟ้าด้วยเจ้าข้า”
ละอองคำนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำคนเดียว ฉัตรเดินเข้ามา
“ยังไม่หายโกรธโฉมเหรอ อัปสรเป็นเด็ก เดี๋ยวแกก็ลืม อีกอย่างคุณก็ไม่น่าโกรธ ยัยโฉมอาจจะพูดเล่นก็ได้”
“พูดเล่นเหรอคะ เขาจงใจทำลายครอบครัวเรา ขอให้คุณเข้าใจด้วย”
“ผมขอโทษแทนโฉมด้วย แต่ก็อยากให้คุณให้อภัยแก อีกไม่นาน แกก็จะแต่งงานกับคุณพรเทพแล้วย้ายไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันแล้ว”
“แน่เหรอคะ”
“ทางผู้ชายนัดวันกับคุณแม่ผมว่าจะมาสู่ขออย่างเป็นทางการแล้วครับ”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าเขาจะไม่มาวุ่นวายกับเราอีก ฉันยกโทษให้”
ฉัตรยิ้ม จับมือละอองคำ
“ผมรักคุณนะ แล้วก็ไม่อยากเห็นคุณไม่สบายใจ”
บ้านละอองคำยามค่ำคืน เงียบเชียบ วังเวง ละอองคำหับประตู ค่อยๆ เดินลงบันไดมา ฉัตรค่อยๆ สะกดรอยตาม เงาผีทาบผนังบ้าน เดินตามฉัตร เสียงหมาหอนแว่วๆ
ฉัตรสะกดรอยตามละอองคำ พอละอองคำหยุด เขาก็หลบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง แล้วค่อยออกมาสะกดรอยตามใหม่ จนละอองคำหันกลับมา แล้วยืนนิ่งมองคนสะกดรอยตาม ฉัตรจึงต้องทิ้งระยะสักครู่ แล้วค่อยโผล่ออกไป ปรากฏว่าละอองคำหายไปแล้ว
ฉัตรมองไปรอบๆ งงๆ ครุ่นคิด กังวลว่าละอองคำออกมาทำไม สุดท้าย เขาตัดสินใจกลับบ้าน เงาผีเดินตามฉัตร
ฉัตรเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอย่างเบามือ กลัวลูกสาวตื่น แล้วตกใจ เมื่อเห็นละอองคำนอนกอดลูกสาว หลับสบาย เขาประหลาดใจมาก ขยี้ตาดูให้แน่ใจอีกทีในความมืด ใช้ความคิด แล้วล้มตัวนอน จังหวะนั้น ละอองคำก็พลิกตัว หันหลังให้ฉัตรกับอัปสร
แล้มอมยิ้ม
ละอองคำนอนหลับใหล ฉัตรกับอัปสรนอนหลับเช่นกัน เสียงผีเจ้าดังขึ้น“ข้าหิว ข้าหิว ละอองคำ เจ้าปล่อยให้ข้าอดอยาก”
ฉัตรลืมตาขึ้น เงี่ยหูฟัง ทำท่าจะลุกขึ้น ละอองคำรีบร้องทัก
“มีอะไร”
ฉัตรมองละอองคำ แล้วหันมองรอบๆ ห้อง มองหาที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
“ผมได้ยินเสียง เอ่อ”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณคงหูแว่วไป”
“แต่ผมได้ยินจริงๆ”
ละอองคำจ้องตาฉัตร ตาแดงฉาน
“ฉันบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ นอนซะ”
ฉัตรล้มตัวนอนเพราะถูกสะกด ละอองคำหันขวับที่หิ้งผี
“รอหน่อยเถอะ ผีเจ้า นังโฉมมันจะมีผัวแล้ว ผีเจ้าจะได้กินผู้ชายคนใหม่ของมันแน่ๆ ข้าสัญญา นังโฉม ถ้าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เสวยสุขกับผู้ชายคนใดเลย”
ละอองคำตาเป็นประกายแดงก่ำ ฉายแววดุร้าย
เจ้านาง ตอนที่ 8 (ต่อ)
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
รถพรเทพแล่นมา เขาตกใจสุดขีด เบรกรถดังลั่น หญิงสาวคนหนึ่งล้มลงที่หน้ารถ
“เฮ้ย”
พรเทพออกมาจากในรถ เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น
“คุณ คุณ”
พรเทพประคองใบหน้าหญิงสาวขึ้นมา
“คุณละอองคำ คุณละอองคำ”
ละอองคำลืมตาขึ้น
“ผมขอโทษไม่ได้ระวัง คุณเป็นยังไงบ้าง ไปหาหมอนะครับ”
“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ระวังเอง”
“แล้วคุณละอองคำไปไหนมาครับ ทำไมมาเดินอยู่คนเดียว นายฉัตรล่ะครับ”
“อยู่บ้านกับอัปสรค่ะ”
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้านนะครับ จะไปหานายฉัตรด้วย ว่าแต่คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
ทั้งสองนั่งคู่กันมาในรถ
“ฉันไม่น่าทำคุณพรเทพเสียเวลาเลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
พรเทพขับรถ มองละอองคำอย่างหลงใหล แล้วจอดรถข้างทางในที่เปลี่ยว ละอองคำรู้ทันแต่แกล้งทำเป็นตกใจ
“รถเสียเหรอคะ”
“ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่ผมมีเรื่องจะสารภาพ ผมเสียดายและเสียใจที่ผมพบคุณช้าไปกว่าฉัตร ตลอดเวลา ผมไม่ยอมแต่งงานกับใคร ก็เพราะตัดใจจากคุณไม่ได้”
ละอองคำก้มหน้า ระบายยิ้ม
“ฉันทราบมาว่าคุณจะแต่งงานกับคุณโฉม น้องสาวคุณฉัตร”
“ผมไม่ได้รักโฉม ผมรักคุณ ไม่คิดว่าจะได้พบคุณวันนี้”
พรเทพจับมือละอองคำ แล้วจูบ ละอองคำยอมให้พรเทพเข้าใกล้ โอบรอบคอชายหนุ่ม
“ผมรักคุณ ละอองคำ รักตั้งแต่แรกเห็น”
นิ้วของละอองคำเล็บยาวเป็นมือปอบ แสยะยิ้ม แต่แล้วก็หุบยิ้ม เมื่อพรเทพผละออก รู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ไม่สุภาพกับคุณ ยกโทษให้ผมด้วย”
ละอองคำสับสน มือกลับมาเป็นปกติ
“ขอบคุณค่ะ ที่กรุณามาส่ง แล้วก็ลืมเรื่องนี้ซะนะคะ ขอให้คุณครองรักกับคุณโฉมอย่างมีความสุขนะคะ”
ละอองคำเปิดประตูรถออกไป
“คุณละอองคำ คุณ คุณ”
“กลับไปซะเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้อีก คุณโฉมจะเสียใจ”
ละอองคำเร่งฝีเท้าเดินไปในถนนสายเปลี่ยว ต้นไม้ร่มครึ้ม พรเทพรู้สึกผิด
“ผมขอโทษ”
ละอองคำกลับเข้ามาบ้าน ผงะนิดหนึ่ง เมื่อเห็นผีเจ้ายืนอยู่ตรงหน้า
“ทำไมเจ้าปล่อยมันไป ละอองคำ เจ้ากำลังทรยศข้า”
“ปล่อยเขาไปเถอะ ผีเจ้า เขาเป็นเพื่อนรักของคุณฉัตร และเขาก็ไม่ได้ชอบพอนังโฉมด้วย”
ผีเจ้าแสยะยิ้ม
“แต่ข้าหิว ข้าหิว ได้ยินมั้ย ละอองคำ เจ้าเลี้ยงข้าไม่ดี ระวังไว้ ระวัง”
ละอองคำโกรธ และรู้สึกผิดบาป
“หิวรึ หิวก็กินข้าซะซี่ ข้าจะได้หมดเวรซะที”
“อย่าท้าทายข้า ละอองคำ”
ผีเจ้าเปลี่ยนเป็นเงาผีพุ่งใส่ละอองคำ ละอองคำผงะ ตาเหลือก เจ็บปวด สองมือกุมท้อง แล้วล้มลง ร่างกายกลิ้งไปมา เพราะถูกผีเจ้าทรมาน แม่ชีน้อมลืมตาขึ้นจากสมาธิ รุ้งแก้วกับจิตเดินเข้ามาพอดี
“รุ้งแก้ว นั่งสมาธิช่วยพี่สาวของเจ้าเดี๋ยวนี้”
รุ้งแก้วหน้าเสียไป
“เจ้าพี่”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น รีบทำเข้า ทำสมาธิเดี๋ยวนี้”
รุ้งแก้วนั่งสมาธิ จิตมองงงๆ รุ้งแก้วหลับตา จิตดิ่งลึกในห้วงสมาธิ ละอองคำเจ็บปวดดิ้นรน หน้าเหยเก ประกายแสงสว่างวาบ กายทิพย์ของรุ้งแก้วปรากฏขึ้น ผีเจ้าหันมา ผงะ ถอยหลังห่างไป ร่างผีเจ้าเลือนหายไป ละอองคำได้สติ
“รุ้งแก้ว”
รุ้งแก้วเลือนหายไป แม่ชีน้อมมองรุ้งแก้วซึ่งลืมตาขึ้นจากสมาธิ
“รุ้งสงสารเจ้าพี่”
“เธอทำดีที่สุดแล้ว รุ้งแก้ว”
“ค่ะ แม่ชี”
โฉมเข้ามาในบ้านด้วยความหงุดหงิด
“โอ๊ย โฉมอยากบ้าค่ะคุณแม่”
“เป็นอะไร”
“ก็เห็นนัดกับคุณพรเทพไม่ใช่เหรอ กลับมาก็น่าจะมีความสุข”
“ความสุขอะไรล่ะคะคุณพ่อ คุณพรเทพเอาแต่พูดถึงนังละอองคำ พูดจาสรรเสริญมันทูนหัวทูนเกล้า หารู้ไม่ว่ามันเป็นปอบ”
“โฉม ไม่เอาน่า”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงโฉมหรอก ระวังเถอะ นังละอองคำมันจะสวมเขาให้พี่ฉัตร ถึงตอนนั้นก็หาปี๊บกันมาคลุมหัวเถอะ”
ซ่อนกลิ่นหน้าเสียไป สมานอดคิดไปในทางร้ายไม่ได้
“ฉัตรรู้เรื่องนี้มั้ย”
“ทำแต่งาน นี่คุณพรเทพก็จะกลับอังกฤษแล้ว ต่อไปงานก็ยิ่งหนักขึ้น จะรู้อะไร้”
“เตือนลูกชายเธอให้ติดตามดูเมียเขาบ้างนะ”
โฉมมองซ่อนกลิ่น สะใจนิดๆ ซ่อนกลิ่นหน้าซีดเจื่อน
“ฉันจะลองดูค่ะ”
ซ่อนกลิ่นป้อนขนมอัปสรอยู่ที่ศาลาบ้านละอองคำ
“อร่อยจังค่ะคุณย่า”
“อร่อยก็ต้องกินเยอะๆ”
“ค่ะ คุณย่า”
ซ่อนกลิ่นหันมาพูดกับฉัตรอย่างระวังไม่ให้อัปสรรู้เรื่อง
“แม่ก็อยากให้เราระวังไว้บ้าง อย่างน้อยก็ติดตามดู แม่ไม่ได้ยุยงให้เกลียดชังแตกแยกกันหรอกนะ แต่แม่ก็ไม่อยากให้เราตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน กันไว้ดีกว่าแก้นะฉัตร”
“ผมไว้ใจเมียผม แล้วก็ไว้ใจพรเทพเพื่อนผม ส่วนเรื่องที่โฉมหาว่าละอองคำเป็น เอ่อ”
ละอองคำเดินมาพอดี จ้องหน้าซ่อนกลิ่น ซ่อนกลิ่นหันมาพอดี
“เอ่อ แม่ว่าแม่จะกลับก่อนนะฉัตร ยังไม่ได้ทำกับข้าวให้พ่อเขาเลย”
“ครับแม่”
ละอองคำยิ้ม ทำเป็นไม่ได้ยิน
“ตะกี้ไปเก็บมะม่วงที่ต้นหลังบ้านมา ฝากไปทานด้วยนะคะ”
“เอ่อ จ้ะๆ ขอบใจจ้ะ”
ละอองคำถือตะกร้าใส่มะม่วงมาส่งซ่อนกลิ่นหน้าบ้าน
“แค่นี้แหละ แม่ไปเองได้”
ละอองคำยื่นตะกร้ามะม่วงให้
“ขอบใจนะ”
“ถ้ายังไม่อยากแก่ตายก็อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น”
ละอองคำมองหน้าซ่อนกลิ่นจ้องดวงตาน่ากลัว ซ่อนกลิ่นรีบผละไปอย่างเร็ว เมื่อกลับมาบ้าน ซ่อนกลิ่นทำกับข้าวอยู่ ใจลอย สมานเข้ามาในครัว
“วันนี้ทำอะไรกิน วันนี้ทำอะไรกิน แม่ซ่อนกลิ่น ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ”
ซ่อนกลิ่นได้สติหันมา
“แกงส้มจ้ะ”
“เป็นอะไร ใจลอย”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรจ้ะ”
ฉัตรพาอัปสรมากราบหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อเอ็นดูหลานสาว
“ว่าไง อัปสร ติดพ่อแจเลยเหรอ”
“หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ หลวงปู่”
“อ้าว แล้วแม่ละอองคำล่ะ รักแม่มั้ย”
“รักค่ะ แต่แม่ชอบโกรธ หนูกลัว”
ฉัตรอึดอัด
“คุณละอองคำหงุดหงิดง่ายน่ะครับ หลวงพ่อ เวลาโมโหก็จะไม่เก็บอารมณ์เลย”
“เรื่องทางโลกก็มีอยู่แค่นี้แหละรัก โลภ โกรธ หลง เออ นี่แน่ะ อัปสร หลวงปู่มีอะไรจะให้”
หลวงพ่อหยิบพระเครื่องพร้อมสร้อยคอออกมาจากย่าม
“อะไรคะหลวงปู่”
“สร้อยพระ เอ้า ฉัตร ใส่ให้ลูกทีซิ”
ฉัตรสวมสร้อยคอให้อัปสร เด็กน้อยยิ้มร่า ได้ของขวัญจากหลวงปู่ สองพ่อลูกเดินจูงมือกันเข้ามาบ้าน ชื่นมื่นมีความสุข เสียงละอองคำดังขึ้น
“หยุด ไม่ต้องเข้ามา”
ฉัตรกับอัปสรชะงัก อัปสรรีบโผเข้าหาพ่อเพราะกลัวละอองคำ
“อะไรกัน คุณ”
“ถอดสร้อยนั่นทิ้งไป”
ฉัตรงง อัปสรทำท่าจะร้องไห้
“คุณเป็นอะไรไป นี่เป็นสร้อยที่หลวงปู่ให้อัปสรมา”
“ฉันบอกให้ถอดทิ้งไป”
“มีเหตุผลหน่อยสิคุณ”
“ตามใจ ถ้าไม่ถอดก็ไม่ต้องเข้ามา”
ละอองคำปิดประตูบ้านใส่ดังปัง ฉัตรกอดปลอบลูกสาวที่ทำท่าจะร้องไห้
“คุณแม่โกรธ”
ฉัตรพาอัปสรมาที่ท่าน้ำ เช็ดน้ำตาให้ลูกสาว ไม่เข้าใจว่าทำไมละอองคำจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไม่ต้องกลัวนะลูก พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว”
“คุณพ่อขา เราเอาสร้อยไปคืนหลวงปู่กันเถอะค่ะ หนูไม่อยากให้แม่โกรธ”
“เอาอย่างนี้มั้ยลูก เราเอาสร้อยไปฝากคุณปู่คุณย่ากัน ดีมั้ย”
อัปสรยิ้มออก
“ดีค่ะดี เราไปหาคุณปู่คุณย่ากัน”
ฉัตรอุ้มอัปสรออกไป ละอองคำมองลงมาจากหน้าต่าง โกรธเกรี้ยว
โฉมเดินเข้ามาในห้องรับแขก เย้ยหยัน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ฉัตรและอัปสร
มองหลานสาวเหยียดๆ สมานบ่น
“พิลึกคน มีแต่เขาจะให้ลูกมีพระคอยคุ้มครอง กลับให้ถอดพระ”
โฉมหัวเราะ หันมองทุกคน
“ผีปอบที่ไหนจะชอบพระล่ะคะ”
ซ่อนกลิ่นนิ่งคิด นึกถึงที่ละอองคำขู่ตนที่ประตูรั้ว
“เอามานี้ ไม่ใส่ก็โฉมขอนะคะพี่ฉัตร”
“อาโฉม หนูจะให้คุณปู่ คุณแม่หายโกรธหนูแล้ว หนูจะมาเอาคืน”
“อุ๊ย อย่ากลัวแม่โกรธเลยอัปสร กลัวแม่แกควักไส้กินดีกว่า ไม่รู้เหรอว่าแม่แกเป็นผีปอบ”
“ไม่จริง แม่หนูไม่ได้เป็นปอบ คุณพ่อ หนูอยากกลับบ้านแล้ว”
ฉัตรอุ้มอัปสร มองโฉมอย่างไม่พอใจ
“โฉม ไม่น่าพูดจาแบบนี้เลย ผมกลับก่อนดีกว่า”
ฉัตรอุ้มอัปสรจะออกไป ซ่อนกลิ่นรีบเตือน
“ฉัตร ระวังตัวไว้บ้างนะลูก”
ฉัตรหน้าเจื่อนไป
ละอองคำกอดปลอบอัปสร และแค้นโฉม
“อาโฉมปากไม่ดี สักวันก็คงตายเพราะปาก แม่มีของดีกว่าสร้อยที่หลวงปู่ให้ซะอีก”
“อะไรเหรอคะคุณแม่”
ละอองคำหยิบกรวยดอกไม้เหี่ยวๆ ลงมาจากหิ้งผี
“รับไปสิ อัปสร”
“อะไรคะคุณแม่”
“ความสุข ความร่ำรวย ความสบาย รับไปสิ”
อัปสรมองแล้วส่ายหน้า ถอยหลังช้าๆ
“ไม่เอา หนูไม่เอาค่ะคุณแม่”
“หนูจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ เชื่อแม่ อัปสร รับไปสิลูก”
“ไม่เอา หนูไม่อยากได้”
“รับไปเดี๋ยวนี้อัปสร แม่บอกให้รับไป”
อัปสรส่ายหน้า เริ่มร้องให้
“ไม่เอา หนูไม่เอา”
“เอ๊ะ แม่บอกให้รับไปเดี๋ยวนี้ รับไปสิ”
ละอองคำคว้ามือลูกกระชาก ฉัตรเข้ามาพอดี
“อะไรกันคุณ อัปสรเป็นอะไร”
ละอองคำหันขวับ โกรธ แต่ก็รีบเอากรวยดอกไปไว้บนหิ้งอย่างเดิม ฉัตรเปิดประตูเข้ามาแล้วรีบอุ้มอัปสร มองละอองคำอย่างไม่พอใจ
ละอองคำนั่งอยู่บนเตียง หงุดหงิด ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็เมินไปทางอื่น ฉัตรเปิดประตูห้องเข้ามา ลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเพราะห่วงลูกสาว
“คุณกำลังจะทำให้ลูกไม่มีสังคม อีกหน่อยลูกก็จะเป็นเหมือนคุณ”
ละอองคำหันกลับมาทันที ฉุนเฉียว
“เหมือนฉันแล้วมันเป็นยังไง”
“ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านเหมือนติดคุก ชวนเข้าสังคมก็ไม่อยากไป นับวันก็ยิ่งทำตัวแปลกขึ้นทุกที ถามจริงๆ เถอะ คุณนับถือศาสนาอะไรกันแน่ ขนาดพระก็ยังไม่ยอมให้ลูกแขวนคอ”
“ฉันจะนับถืออะไรมันก็เรื่องของฉัน”
ฉัตรหันไปมองกรวยดอกไม้เก่าๆ
“อ้อ กรวยเหี่ยวๆ นี่ใช่มั้ยที่คุณนับถือ เห็นไหว้เช้าไหว้เย็น ดีล่ะ”
ฉัตรปรี่เข้าไปจะหยิบกรวยดอกไม้ขว้างทิ้ง ละอองคำเข้าขวางได้ทัน แล้วผลักฉัตรออก ตะโกนใส่หน้า
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน”
“แต่เราเป็นผัวเมียกัน เป็นเหมือนคนคนเดียวกัน เรามีลูกด้วยกันอย่าลืมสิ”
“คิดว่าเหตุผลแค่นี้จะเปลี่ยนแปลงฉันได้งั้นรึ สิ้นคิด”
“ผมไม่ได้คิดเปลี่ยนแปลงอะไรคุณ ผมแค่อยากให้คุณเปิดใจบ้าง ก็เท่านั้น”
“ก็เท่านั้นเหรอ ฉัตร ที่ฉันแต่งงานกับคุณ ก็เพราะคิดว่าคุณดีกว่าผู้ชายคนอื่น แต่สุดท้าย คุณก็เหมือนกับผู้ชายทุกคนที่ดีแต่จะข่มเหงผู้หญิง คุณกำลังบงการชีวิตฉัน คุณต้องการจะเอาชนะฉัน”
“ไม่ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“แต่คุณกำลังทำ คุณพยายามจับผิดฉัน คุณคิดจะกดขี่ฉันให้จมดิน”
“ไม่ ผมไม่”
“จำไว้ ฉันจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน เพราะฉันได้เลือกแล้ว ออกไปซะ”
ฉัตรมองหน้าละอองคำอย่างผิดหวัง
“ฉันบอกให้ออกไป”
ฉัตรส่ายหน้า เดินออกไป
ตอนค่ำ ฉัตรกับอัปสรเดินเข้ามาที่บ้าน
“คุณแม่คงหายโกรธแล้วนะคะคุณพ่อ”
“จ้ะ คงหายโกรธแล้ว เดี๋ยวหนูต้องพูดกับคุณแม่เพราะๆ นะคะ”
“ค่ะคุณพ่อ”
ทั้งสองก้าวขึ้นบันได ยืนอยู่หน้าห้อง ละอองคำขว้างเสื้อผ้าทั้งของฉัตรและอัปสร
ใส่หน้าฉัตร
“ไปให้พ้น”
อัปสรมองหน้าพ่อกับแม่น้ำตาไหลพราก ละอองคำยังคงขว้างเสื้อผ้าใส่หน้า ระบายอารมณ์
“คุณจะให้ผมไปที่ไหน แล้วอัปสรล่ะ นี่บ้านของเรานะ”
“ห้องรุ้งแก้วก็ว่างอยู่ ไป”
ฉัตรยืนนิ่งเสียใจ ประตูปิดใส่หน้า อัปสรสะอื้น
“คุณแม่ยังโกรธเราอยู่”
จบตอนที่ 8