บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 6
คมขวัญเดินออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง เพื่อเลี่ยงการตอบคำถามของปริญญา แต่อีกฝ่ายยังเดินตามไม่ลดละเพื่อถามเรื่องปานรุ้ง
“คุณนายครับ” ปริญญาเดินมายืนดักหน้าคมขวัญอย่างนอบน้อม “เมื่อกี้คุณนายบอกว่าคุณปานรุ้งไม่ได้ท้องเหรอครับ”
คมขวัญพูดนิ่งๆ กดข่มความเจ็บปวดไว้ “ใช่”
ปริญญามีความหวังขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น งานแต่งงานนี่ก็ไม่จำเป็นแล้วสิครับ คุณนายอยากให้ผมยกเลิกเลยไหมครับ”
“ที่ฉันบอกเธอเรื่องรุ้ง เพื่อให้หยุดเรื่องตกแต่งห้องหลานฉัน...ส่วนเรื่องอื่น” พูดแล้วคมขวัญเจ็บปวดเหลือแสน แต่ต้องอดกลั้นถึงขีดสุด “ปล่อยให้มันเป็นไป”
“แต่คุณนายครับ”
“ฉันขอร้อง”
คมขวัญบอกเสียงเข้ม แล้วเดินหนีออกไปทางด้านหน้าโรงแรม ปริญญาเดินตามอย่างไม่ยอมแพ้
เวลาเดียวกัน มิสเตอร์เจสันเดินตรงไปยังรถที่จอดอยู่ โดยมีเฮียโมเดินมาคุยข้างๆ นพพร กับ ศุภกิจ ไอ้ขุน และ บอดี้การ์ดอีก 2 คน ของเฮียโมเดินตามขนาบ คอยมองซ้าย มองขวาว่า ว่ามีใครเห็นสองคนคุยกันไหม
“ได้ข่าวว่าเจ้าบ่าวมาต้อนรับเฮียโม แสดงว่าตอนนี้สนิทกันไม่ใช่เบา” นายฝรั่งว่า
“ผมสนิทกับทุกคนที่มีผลประโยชน์กับผมนั่นแหละครับ” เฮียโมหัวเราะมองมิสเตอร์เจสันยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้น ผมจะสนิทกับมิสเตอร์กว่าคนอื่นเหรอ”
มิสเตอร์เจสันกับเฮียโมมองหน้ากันยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กัน แล้วเดินออกไป
ระหว่างนี้คมขวัญเดินออกมาพอดี และทันได้เห็นมิสเตอร์เจสันเดินคุยมากับเฮียโมอย่างสนิทสนม ปริญญาเดินตามหลังมาเพื่อพูดเรื่องจะให้ปานรุ้งเลิกแต่งงานกับชูนาม แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่เลขาผู้ภักดีก็ไม่ยอมแพ้
ปริญญาจะคุยต่อ “คุณนายครับ”
คมขวัญมองทางมิสเตอร์เจสันกับเฮียโม พูดแทรกขึ้นมา “ผู้ชายที่คุยกับมิสเตอร์เจสันเป็นใคร ฉันเห็นคุยกันตั้งแต่ในงานแล้ว แขกของเราเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ”
คมขวัญมองฉงน “แล้วแขกใคร”
งานเลี้ยงฉลองสมรสดำเนินไป ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนของร้อยกรอง เจ๊ๆ 4 คน ซึ่งล้วนเป็นแก๊งเล่นไพ่ด้วยกัน แต่ละคนพูดเสียงดัง แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีจัดจ้านแบบเดียวกับร้อยกรอง และแขกที่มาร่วมยินดี ราว 40 คน
ชูนามกับปานรุ้งยืนอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ กำลังคล้องแขนกันป้อนแชมเปญให้กันและกัน โดยต่างแกล้งให้ดื่มเร็วๆ บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน
แขกในงานล้อมวงปานรุ้งกับชูนาม พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ให้ปานรุ้งกับชูนามแข่งกันป้อน แชมเปญกันอย่างสนุกสนาน
น้อยคอยจับชายกระโปรง และคอยรับแก้วแชมเปญจากปานรุ้งและชูนามอยู่ใกล้ๆ
ปานรุ้งกับชูนามป้อนแชมเปญเสร็จ ชูนามคว้าตัวปานรุ้งมาจูบโชว์เพื่อนๆ
แขกที่ล้อมบ่าวสาวต่างโห่ร้องพอใจ
คมขวัญเดินกลับเข้ามาพร้อมปริญญา มองไปยังชูนามกับปานรุ้งในฟลอร์ด้วยสีหน้านิ่ง
ปริญญารายงาน “แขกคนนั้นเป็นแขกของคุณชูนามครับ ชื่อเฮียโม เป็นเจ้าของตลาดใหญ่ในบ้านแพ้ว โดยเปิดตลาดบังหน้า แล้วเปิดบ่อนด้านหลังตลาด”
ปริญญามองคมขวัญด้วยสีหน้าเว้าวอนจริงจัง
“ผมสงสัยว่าคุณชูนามคงรู้จักกับเฮียโมเพราะไปบ่อน คุณนายครับ เรายังพอหาทางหยุดงานแต่งนี้ได้นะครับ”
คมขวัญมองไปทางปานรุ้งที่ดูมีความสุขมาก คอยกอดคอยหอมกับชูนามตลอดเวลา แม้จะรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวมาก แต่พอเห็นปานรุ้งมีความสุขก็ขัดขวางไม่ลง
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับคุณนาย”
“เธอก็รู้ ว่าทำไม”
คมขวัญมองปานรุ้งนิ่ง ปริญญามองคมขวัญอย่างขัดใจ ไม่เห็นด้วยที่คมขวัญต้องยอมปานรุ้งถึงขนาดนี้
เกื้อถือถาดช่วยพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่ม เดินผ่านคมขวัญและปริญญาไปทางมุมหนึ่ง แล้วหันมาแอบมองปานรุ้งกับชูนามด้วยแววตาอันเจ็บปวด
ร้อยกรองที่เริ่มเมาเดินเป๋ๆ ถือแก้วแชมเปญเปล่าเข้ามาหาเกื้อ พูดเสียงอ้อแอ้ๆ
“นี่ ไปเอาแชมเปญมาให้ฉันอีกสิ”
เกื้อมองร้อยกรองที่เมาจนแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่แล้ว
“แต่คุณเมามากแล้วนะครับ”
ร้อยกรองตวาดแว้ด “สาระแน ฉันให้แกไปเอาแชมเปญมาเพิ่ม ไม่ใช่มาสอนฉัน” แล้วเอาแก้วแชมเปญวางบนถาดเต็มแรง “ไป๊”
เกื้อก้มหน้า หันหลังเดินออกไป กลุ่มเจ๊ขาพนันเพื่อนของร้อยกรอง เดินเข้ามาหา
“ฉันล่ะอิจฉาเธอจริงๆ เลยแม่ร้อยกรอง ดูสิ จัดงานแต่งลูกชายใหญ่โตคับเมือง สมแล้วที่ได้สะใภ้เป็นถึงลูกสาวสมุทรเทวา ถามจริง งานนี้เสียค่าสินสอดไปเท่าไรล่ะเนี่ย”
เกื้อได้ยินคนพูดเรื่องปานรุ้ง จึงชะงักหันมามอง
ร้อยกรองหัวเราะร่วน “พวกเธอรู้แล้วจะช็อค”
เพื่อนชื่อรุ่งอรุณตื่นเต้นกว่าใคร “มหาศาลเลยสิท่า ก็อย่างว่า ลูกสาวคนเดียว ไม่ยกลูกสาวให้ราคาถูกๆ หรอก”
เกื้อไปหยิบแก้วแชมเปญแก้วใหม่จากพนักงานเสิร์ฟอีกคน เดินมาจะให้ร้อยกรอง แต่ได้ยินร้อยกรองพูดถึงปานรุ้งก่อนจึงชะงักฟัง
“ใครว่า ไม่เสียสักบาท” ร้อยกรองหัวเราะร่วน
เพื่อนๆ พูดพร้อมกันทุกคน “อะไรนะ”
เกื้อยืนฟังร้อยกรองโม้
เพื่อนชื่อมณีฉายไม่เชื่อ “อย่ามาโกหกเลย ระดับปานรุ้ง ไม่มีทางที่สินสอดจะไม่ถึงแสน”
เพื่อนๆ ต่างพากันเออออว่า “ใช่ๆ” ทั้งแถบ
คมขวัญกับปริญญาเดินผ่านทางด้านหลัง โดยร้อยกรองไม่เห็น
ร้อยกรองหัวเราะอย่างสะใจ “ฉันพูดจริงจริ๊ง คุณคมขวัญยังแทบหาทุกอย่างมาประเคนให้พ่อชูนามของฉันรับผิดชอบลูกสาวด้วยซ้ำ ก็อย่างว่า ใครๆ ก็รู้ว่าปานรุ้งไม่ใช่สาวสด ที่ใครๆ ว่าปานรุ้งเป็นผู้หญิงได้ยาก แต่กับลูกชายฉัน วิ่งเข้ามาหาถึงที่ พ่อชูนามของฉันเป็นสุภาพบุรุษ ถึงยอมตกล่องปล่องชิ้น แบบนี้ไง ฮ่าๆๆๆๆ”
คมขวัญชะงัก เจ็บปวดนักที่ร้อยกรองพูดดูแคลนลูกสาวอย่างนั้น ปริญญามองสงสารคุณนาย จะเข้าไปต่อว่าร้อยกรอง แต่ช้ากว่าเกื้อที่เดินเข้าไปต่อว่าร้อยกรอง
“ผมว่าคุณนายเมามากแล้ว กลับบ้านเถอะครับ”
ร้อยกรองเหลียวขวับมามองเกื้อไม่พอใจมาก ตวาดเสียงดังลั่น จนคนทั้งงานหันมามอง
“แกเป็นใคร ถึงกล้ามาสั่งฉัน”
ปานรุ้งกับชูนามที่กำลังสนุกกันอยู่หันมามอง น้อยมองตาม คมขวัญกับปริญญาก็มองตามเสียงตวาดนั้น
ปานรุ้งกับชูนามเดินผ่านคมขวัญไปทางร้อยกรอง ถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่”
“ก็ขี้ข้าบ้านหนูรุ้งน่ะสิ แม่กำลังคุยกับเพื่อน ก็มาสะเออะสั่งให้แม่หุบปากแล้วกลับบ้าน”
ปานรุ้งหันขวับไปมองเกื้อด้วยสายตาไม่พอใจ
“จริงเหรอเกื้อ”
เกื้อมองร้อยกรองแว่บหนึ่ง อยากจะบอกนักว่าร้อยกรองพูดให้ร้ายอะไรปานรุ้งบ้าง แต่เกื้อไม่อยากให้เรื่องใหญ่โตมากกว่านี้ จึงก้มหน้ายอมรับความผิด
คมขวัญกับปริญญาเดินเข้ามาสมทบ คมขวัญมองเกื้อนิ่งๆ ด้วยรู้จักเกื้อดีว่าเขาไม่ใช่คน พูดจาก้าวร้าวอย่างนั้น
“ครับ” เกื้อยอมรับผิด
ปริญญาทำท่าจะบอกความจริงกับปานรุ้ง คมขวัญแตะแขนห้ามไม่ให้พูด ปริญญาไม่เข้าใจ
ปานรุ้งมองเกื้อตาขุ่นเขียว “เธอแย่มากนะเกื้อ ที่ทำให้ฉันขายหน้าอย่างนี้ ขอโทษคุณแม่เดี๋ยวนี้”
เกื้อเงยหน้ามองร้อยกรองนิ่งๆ ร้อยกรองเชิดหน้าไม่มองเกื้อ
“ฉันบอกให้ขอโทษไงเกื้อ” ปานรุ้งเร่งเร้า
เกื้อรู้ว่าตัวเองไม่ผิด แต่ยอมยกมือไหว้ขอโทษร้อยกรองเพื่อปานรุ้ง
“ขอประทานโทษครับ”
ร้อยกรองยังเชิดหน้าเหมือนไม่รับคำขอโทษ
ปานรุ้งบอกกับเกื้อว่า “จะไปไหนก็ไปเลย ไป” แล้วหันไปพูดเสียงหวานเอาใจร้อยกรอง “คุณแม่อย่าถือสาเกื้อเลยนะคะ เกื้อคนซื่อ พูดอะไรไม่มีความคิด หรอกค่ะ”
เกื้อมองปานรุ้งด้วยแววตาเสียใจ จากนั้นก้มหน้าเดินออกไป
คมขวัญมองตามเกื้อไป ปริญญาเดินตามเกื้อไปด้วยความข้องใจ
เกื้อเดินมานั่งลงที่ขั้นบันไดทางหนีไฟโรงแรม กอดเข่าด้วยความรู้สึกเสียใจ ปริญญาเดินมายืนด้านหลัง มีคมขวัญเดินตามมาห่างๆ
“ทำไมนายไม่บอกคุณปานรุ้งล่ะ ว่าคุณร้อยกรองพูดอะไรบ้าง”
เกื้อรีบลุกขึ้น หันไปยืนสำรวมตรงหน้าปริญญา
“เอ่อ...ผมว่าบอกไป ก็ไม่มีประโยชน์ครับ”
“ทำไมจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยคุณปานรุ้งจะได้รู้ ว่าคนพวกนั้นคิดยังไง” ปริญญาหวังลึกๆ ว่าถ้ารู้ ปานรุ้งอาจจะไม่แต่งงานกับชูนามก็ได้
“คุณร้อยกรองพูดไปเพราะเมา คงไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ”
ปริญญาย้อนแย้ง “คนเมานั่นแหละ ที่พูดความจริงอย่างที่คิด”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ยิ่งไม่ควรบอก เพราะคุณร้อยกรองเป็นแม่ของคุณชูนาม แล้วคุณชูนามก็คือคนที่คุณหนูรัก ถ้าผมบอกว่าคุณร้อยกรองพูดอะไร คุณหนูก็จะไม่มีความสุข ผมไม่มีวันเป็นคน ทำลายความสุขของคุณหนูเด็ดขาด”
ปริญญาฟังคำพูดนั้นแล้วชะงัก ไปไม่เป็น ไม่รู้จะพูดต่อยังไงกับความปรารถนาดีของเกื้อที่มีให้ปานรุ้ง
“ผมขอตัวนะครับ”
เกื้อเดินออกไป ปริญญามองตามเกื้อ ก่อนจะหันกลับจะเดินเข้าในงาน แล้วเห็นคมขวัญยืนมองอยู่
“ผมหวังว่า ความรัก” ปริญญาหมายถึงสิ่งที่คมขวัญมีให้ปานรุ้ง “และความภักดี” คำนี้เขาหมายถึงสิ่งที่เกื้อมีให้กับปานรุ้ง “จะรักษาความสุขของคุณปานรุ้งไว้ได้จริงนะครับ”
ปริญญาคัดค้านเรื่องนี้ ด้วยคิดว่าควรบอกความจริงกับปานรุ้งไม่ใช่ปกปิด เพราะไม่มีใครปกป้องใครได้ทั้งชีวิต
ปริญญาเดินไป คมขวัญมองตาม แล้วหันไปมองทางห้องจัดงานด้วยสีหน้าและแววตาแน่วนิ่ง ว่าแม่คนนี้จะปกป้องความสุขของลูกให้ได้
ฝ่ายร้อยกรองเดินเซแซดๆ สภาพเมาแอ๋ ลากแขนชูนามมาพูดที่มุมหนึ่ง
ชูนามหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ “แม่ดึงหนูมาทำไมเนี่ย”
ร้อยกรองล้วงขวดยาโด๊ปให้ “อ่ะ”
ชูนามมองขวดยานั้นงงๆ “ขวดอะไรเนี่ย”
“ยาโด๊ปไง ก่อนวัวหาย เราต้องรีบล้อมคอกแม่บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่ไว้ใจนังคุณคมขวัญเลย ต่อให้ลูกแต่งงานกับลูกสาวมัน แม่ว่ามันยังแอบวางแผนให้ลูกเลิกกับลูกสาวมันอยู่แน่ ทางที่ดี ชูนามรีบมีลูกกับปานรุ้งซะ ถ้ามีลูก นังคุณคมขวัญไม่มีทางตัดชูนามออกจากหนูรุ้งได้”
ชูนามรับขวดยาโด๊ปมา แล้วยิ้มให้ร้อยกรอง “แม่หนูนี่ ฉลาดที่สุดในโลก...แต่ถึงไม่มียานี่ ก็ไม่มีใครดึงรุ้งไปจากผมได้อยู่แล้ว”
ชูนามยิ้มมาดมั่น
เกื้อหลบออกมานั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวในร้านอาหารละแวกโรงแรม ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ยังเสียใจที่ถูกปานรุ้งตำหนิไม่หาย
สักพักมีกลุ่มชายวัยรุ่นท่าทางเกเรเอาการ 4 คน เดินบ่นกันเข้ามา นั่งที่โต๊ะติดเกื้อ
ชาย 1 เปิดประเด็น “ฉันก็นึกว่ารถติดอะไร ที่แท้ก็งานแต่งของลูกสาวสมุทรเทวา เดือนก่อนยังเห็นข่าวหมั้นกับนายทหารเรืออยู่เล้ย วันนี้ดันมาแต่งงาน กับนายชูนาม ได้ข่าวว่าหมอนั่นทั้งเจ้าชู้ ทั้งติดเล่นม้าด้วยนี่หว่า”
ชาย 2 เยาะหยัน “นี่แหละ ..เขาเรียกว่าผีเน่ากับโลงผุ ได้ข่าวว่ายายปานรุ้งก็ใช่เล่น อยากได้ผู้ชายมากจนยอมแย่งแฟนเพื่อนสนิทมา นี่คงลิ้มรส นายทหารเรือแล้วไม่ถูกใจ เลยหนีมาเล่นมอม้าคึกคักอย่างนายชูนาม”
กลุ่มชายวัยรุ่นหัวเราะชอบอกชอบใจ เกื้อนั่งนิ่ง กำแก้วแน่นโกรธแทนปานรุ้ง พยายามข่มอารมณ์
“แกว่านายชูนามจะเอายายปานรุ้งอยู่ไหมวะ ฉันว่าไม่เกินเดือน ยายปานรุ้งต้องไปลองของใหม่ อย่างว่า ยายปานรุ้งไปเรียนเมืองนอก คงคุ้นเคยกับการกินทิ้งกินขว้างอย่างที่พวกฝรั่งชอบทำ” ชาย 1 นินทาต่อ
“ไอ้แบบที่เรียกว่านอนทั้งคืน ตื่นมาเป็นเพื่อนกัน น่ะเหรอวะ” ชาย 2 ว่า
“ฉันว่าจะลองเป็นผู้ชายของยายปานรุ้งดูสักที อยากรู้เหมือนกันว่ายายปานรุ้งได้ลีลาจากฝรั่งมาเด็ดขนาดไหน”
เกื้อสุดทน ขว้างแก้วไปที่โต๊ะตรงหน้าชายสองคน จนทั้งโต๊ะวงแตกกระโดดไปคนละทิศคนละทาง
“เฮ้ย” ชาย 1 ชี้หน้าเกื้อ “มึงปาแก้วมาอย่างนี้ อยากมีปัญหาเหรอวะ”
เกื้อลุกขึ้นท่าทางเมากึ่มๆ หันมาชี้หน้า ชาย 1
“ไม่ใช่แค่ปาแก้วอย่างเดียว คนที่พูดถึงคุณปานรุ้งของกูอย่างนี้ มันต้องโดนเตะปากด้วย”
ขาดคำเกื้อพุ่งเข้าไปเตะชาย 1 ล้มกลิ้ง ชาย 2 พุ่งเข้าไปช่วยเพื่อน จะเตะเกื้อ เกื้อรับฝ่าเท้าชาย1ได้ ผลักเท้าออก จากนั้นต่อยสวนชาย 2 จนล้มกลิ้งไป
กลุ่มวัยรุ่นเห็นเพื่อนพลั้ง จึงพากันรุมเข้าปรุมต่อยเกื้อ กลายเป็น 4 รุม 1 แต่เกื้อสู้ไม่ถอย ทั้งชกทั้งเตะ จังหวะหนึ่ง ชาย 1 ยกเก้าอี้มาฟาดเข้าด้านหลังของเกื้อเต็มแรง จนเกื้อล้มลงไปกับพื้น ชาย 1 และกลุ่มเพื่อนรุมกระทืบเกื้อไม่ยั้ง
ปิ่น กับ สาวใช้ถือจานของกินเดินมานั่งกินกันอย่างหิวโหย บนเก้าอี้ใหญ่หน้าห้องครัว
“เอ้า ไข่เจียว กินกันตายไปก่อน ต่อให้คุณนายชวนเราไปงานในฐานะแขก แต่คำว่าขี้ข้ามันก็ยังแปะอยู่กลางหน้าผาก อยู่ที่ไหนก็ต้องทำงานให้เขา ข้าวปลามี ก็ได้กิน ถ้าไม่มี ก็อดกลับมาอย่างเนี้ย”
แจ่มในชุดกระโปรงสีฉูดฉาดมั่นใจว่าข้าสวย เดินเข้ามาแย่งช้อนจากสาวใช้ มาตักอาหารกินเฉย
“เฮ้ย ทำไมทำอย่างนี้ล่ะพี่แจ่ม”
“ก็คนมันหิวอ่ะ” แจ่มบ่น “อุตส่าห์แต่งตัวมาซะสวย นึกว่าจะได้กินของดีๆ เต้นรำกลางเวทีอย่างในละคร ที่ไหนได้ เสิร์ฟน้ำงกๆ หิวไส้จะขาด”
แจ่มจะยัดอาหารเข้าปาก ปิ่นดึงช้อนจากมือแจ่มออกเสียก่อน แจ่มอ้าปากค้าง
“เอ็งหิวเป็นคนเดียวเหรอ คนอื่นก็หิวเป็นเหมือนกันเว้ย ถ้าอยากกินไปตักมากินเอาเอง” ปิ่นคืนช้อนให้สาวใช้
แจ่มมองเข่นเขี้ยวปิ่น ค้อนลมแล้งแถวนั้นแล้วจะเดินไป
กอบเดินถือจานอาหาร 2 จาน เดินออกจากห้องครัวพอดี แจ่มฉกแย่งจานหนึ่งจากมือกอบมาพูดอย่างรัวเร็ว
“ขอบใจนะลุง ที่เอามาเผื่อฉัน”
กอบจะแย่งจานข้าวคืน “เอาของข้าคืนมา”
แจ่มถือจานข้าวหนีกอบ ขณะกำลังใช้ช้อนตักข้าวในจานจะเข้าปาก จู่ๆ น้อยวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาปิ่นกับกอบด้วยอาการตื่นตระหนก ชนแจ่มโครม จนจานข้าวตกพื้น แจ่มอดแดกในที่สุด
ปิ่น กอบ และสาวใช้หัวเราะสมน้ำหน้าแจ่มที่อดกิน
“สมน้ำหน้า อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่ากรรม”
แจ่มมองปิ่นตาขวาง แล้วหันไปตวาดน้อย
“เอ็งไม่มีตารึไงนังน้อย เห็นไหมว่าจานข้าวข้าตกพื้นหมดแล้ว”
“หก ก็ไปตักใหม่สิ” น้อยดันตัวแจ่มกระเด็นพ้นทาง แล้วเดินไปหาปิ่นด้วยท่าทางร้อนใจ“ป้าปิ่น แย่แล้ว ไอ้เกื้อ”
ท่าทางน้อยทำเอายายปิ่นตกใจไปด้วย “ไอ้เกื้อทำไม”
ไม่นานต่อมา กอบและปิ่นหิ้วปีกเกื้อในอาการสะบักสะบอมมานอนลงกลางห้องนอนในเรือนคนใช้ ปิ่นมองสภาพลูกอย่างห่วงใย
“ทำไมอยู่ๆ เอ็งไปเมามีเรื่องกับคนอื่นอย่างนี้วะไอ้เกื้อ ปกติเอ็งไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่หว่า”
“ก็พวกมันมาว่าคุณหนู ฉันทนไม่ได้หรอกพ่อ” เกื้อบอก
ยายปิ่นชะงัก เปลี่ยนสีหน้าจากสงสาร เป็นไม่พอใจ มองค้อนลูกชาย
“หึ ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้”
“พวกมันไม่รู้จักคุณหนูจริง ไม่มีสิทธิ์พูดถึงคุณหนูอย่างนั้น พวกมันไม่เคยเห็นตอนคุณหนูกินข้าว คนเดียว มันไม่เคยเห็นคุณหนูไปงานวันแม่ แต่ไม่มีแม่ มันไม่เคยเห็นแม้แต่ตอนคุณหนูเล่น
ตุ๊กตาพ่อแม่ลูกแล้วร้องไห้เพราะคิดถึงคุณท่านกับคุณนาย ถ้าพวกมันเห็น พวกมันจะรู้ว่าที่คุณหนูทำ ไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิงใจง่ายแต่คุณหนูแค่อยากมีเพื่อน”
เกื้อระบดระบายจนหมดไส้ ด้วยฤทธิ์เมรัย
“เอ็งก็มีชีวิตคนเดียว นังน้อยก็มีชีวิตคนเดียว กินข้าวคนเดียวไปโรงเรียนคนเดียว ไม่เห็นจะวิ่งไปหาใครเป็นเพื่อนแก้เหงาเลย” ปิ่นกระทบกระเทียบ
“แม่...” เกื้อขัดใจ
“โดนอย่างนี้ก็ดี มันจะได้ทำให้แกรู้ว่า ยิ่งเทิดทูนเขาเกินตัว ชีวิตแกก็ยิ่งตกอยู่ใต้เท้าคนอื่น จำคำฉันไว้”
ปิ่นแบกความคับแค้นขุ่นข้องเดินออกไป
เกื้อมองตามแม่ ก้มหน้ามองสภาพตัวเองอย่างเสียใจ
กอบตบไหล่ลูกอย่างเห็นใจ เตือนสติว่า
“ฟังแม่เขาพูดไว้ก็ดีนะเกื้อ แกอาจจะห่วงคุณหนูได้ แต่อยากให้มากกว่านั้น”
เกื้อมองกอบ พยายามปกปิดความรู้สึกตัวเอง
“ฉันก็ปกป้องคุณหนูตามหน้าที่เท่านั้นละพ่อ”
“งั้นเอ็งก็ต้องยิ่งระวังตัวเองให้มากขึ้นใหญ่ เพราะเมื่อก่อนแกอาจดูแลคุณหนูได้ แต่ตอนนี้คุณหนูมีคนที่จะมาทำหน้าที่นั้นแล้ว”
เกื้อมองพ่อ นิ่งงันไป กอบมองเกื้ออย่างเข้าใจ เห็นใจ แต่ไม่พูดมาก เตือนอ้อมๆ แล้วลุกขึ้นเดินตามปิ่นไป
เกื้อก้มหน้ารู้ฐานะตัวเองดี แต่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตึกใหญ่ด้วยความรู้สึกห่วงใยปานรุ้ง
“ถ้าฉันทำได้ ฉันคงทำไปนานแล้วละพ่อ”
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ในห้องหอเจ้าบ่าวเจ้าสาวยามนี้ ปานรุ้งยืนอยู่หน้ากระจก กำลังปลดตะขอสร้อยเพชรบนคอ ส่วนชูนามยืนหันหลังให้กำลังแอบรินยาโด๊ป ผสมใส่แก้วบรั่นดี คนจนเข้ากัน แล้วเดินถือเข้ามายืนช้อนด้านหลัง ยื่นมือที่ถือแก้วบรั่นดีไปให้ตรงหน้าปานรุ้ง
“มาจ้ะ ผมแกะให้”
ปานรุ้งรับแก้วบรั่นดีมาถือโดยไม่รู้ว่ามันผสมยาโด๊ป
ชูนามมองลุ้นว่าปานรุ้งจะดื่มไหม พร้อมกับก้มหน้าหอมไล้เคลียไหล่ไปจนถึงมือของปานรุ้งที่กำลังปลดสร้อยเพชรอยู่ จากนั้นชูนามแกะปลดสร้อยเพชรออก มองสร้อยเพชรอย่างชื่นชมความงามของมัน
“เพื่อนผมทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนี้ผมเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุด ในประเทศไทย ที่ได้แต่งงานกับเจ้าสาวที่สวยยิ่งกว่านางฟ้า”
ปานรุ้งมองชูนามผ่านกระจก “โอเวอร์ เพื่อนคุณพูดเกินไป”
ปานรุ้งดึงสร้อยเพชรจากมือชูนามมาใส่กล่อง แล้วเดินไปเปิดตู้เซฟที่ไว้เก็บเครื่องเพชรและ ของมีค่า ชูนามเดินตามไปห่างๆ ไม่อยากให้ปานรุ้งคิดว่าเขาสนใจของมีค่าในตู้เซฟ
“เพชรที่คุณใส่ ว่าน้ำงามแล้ว ยังไม่งามเท่าตาของคุณเลย”
ทันทีปานรุ้งปิดตู้เซฟเสร็จ ชูนามดึงตัวเธอล้มลงกับเตียงนอน ร่างเขาอยู่เหนือร่างปานรุ้ง ชูนามมองหน้าปานรุ้งด้วยสายตาเศร้า
“แต่คุณรู้ไหม สิ่งที่เพื่อนผมพูด มันไม่ได้ทำให้ผมภูมิใจเลย”
ปานรุ้งมองหน้าชูนามด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะคะ หรือฉันยังสวยไม่พอ”
“เปล่า แต่ยิ่งคุณสูงค่า ผมยิ่งรู้สึกต่ำต้อย ผมขอโทษนะรุ้ง คุณควรแต่งงานกับผู้ชายที่คู่ควรกับคุณมากกว่านี้อย่างเช่นเรือโทวาสุเทพ ที่ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเรือเอกแล้ว”
ปานรุ้งเอามือปิดปากชูนาม
“คุณจะพูดถึงคนอื่นทำไมล่ะคะ ในเมื่อคืนนี้ รุ้งเข้าห้องหอกับคุณ นั่นแปลว่ารุ้งเลือกคุณ รุ้งพร้อมจะเป็นเมีย เป็นทุกอย่างของคุณ”
ชูนามมองปานรุ้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ประทับจูบที่หน้าผากอย่างละมุนละไม
“จำไว้นะคะ ว่ารุ้งไม่ต้องการเงินทองอะไรใดๆ จากคุณ สิ่งที่รุ้งต้องการ คือให้คุณทำให้นายแม่เห็นว่า รุ้งเลือกคนไม่ผิด เท่านั้นก็พอค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมสัญญา ว่าต่อจากวินาทีนี้ไป ผมจะทำให้คุณมีความสุข จนสำลักเลยละ”
ปานรุ้งยกแก้วบรั่นดีของตัวเองยื่นมาเพื่อรอชนแก้วชูนาม
“และให้นายแม่สำลักด้วย”
ชูนามมองแก้วบรั่นดีของปานรุ้งด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วหยิบแก้วตัวเองมาชน
“แด่ความสุขที่จะทำให้นายแม่ของเราสำลัก”
ปานรุ้งหัวเราะคิก รอจนเธอยกแก้วดื่มรวดเดียวหมด ชูนามจึงกระดกดื่มแก้วตัวเองรวดเดียว ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วเข้าไปอุ้มร่างปานรุ้งไปวางลงกับเตียง
ในแสงสลัวร่างสองร่างทาบทับกัน เบียดเสียดแทบเป็นเนื้อเดียว
เย็นวันหนึ่ง หลังเหตุการณ์ผ่านไป หนึ่งอาทิตย์
กาน้ำบนเตาในครัวบ้านมนูญศักดิ์เดือดพล่าน ดรุณีเดินเข้ามาในครัวมายกกาน้ำออกจากเตา เพื่อชงน้ำชา แต่ได้ยินเสียงโครมเหมือนขอตกแตก ดังมาจากทางห้องรับแขก ดรุณีหันหน้าไปมองด้วยสีหน้าตกใจ
“เสียงอะไรน่ะ”
ดรุณีรีบรุดออกจากครัวไป
กติยาประคองร่างวาสุเทพที่มีอาการเมา เดินโซเซชนข้าวของในห้องรับแขกตกแตกเสียงดังเปรื่องปร่าง จนพาวาสุเทพมานอนที่โซฟาจนได้
ดรุณีเดินเข้ามาเห็นเรือเอกหนุ่มนอนพิงโซฟา อาการเมามาย ก็ชะงักตกใจ
“นี่มันอะไรกันน่ะยา ทำไมตาเทพถึงเมามายมาอย่างนี้”
กติยาก้มลงนั่งพร้อมกับถอดร้องเท้าให้วาสุเทพอย่างไม่รังเกียจ พูดบอกมารดา
“พี่เทพไปฉลองตำแหน่งกับเพื่อนน่ะค่ะ พี่เทพดื่มหนักไปหน่อย เพื่อนพี่เทพเลยโทร.ตามยาให้พาพี่เทพกลับบ้าน”
“ได้ตำแหน่งผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังฉลองตำแหน่งไม่เลิกอีกเหรอ” ดรุณีไม่เชื่อนัก
กติยาไม่ตอบ เดินไปหยิบอ่างใส่น้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็ก ดรุณีเดินตามถามซัก
“เทพไม่ได้ไปฉลองตำแหน่งใช่ไหมยา”
กติยาก้มหน้ายกอ่างน้ำและผ้าขนหนูมานั่งลงข้างๆ ตัววาสุเทพ โดยไม่ตอบ ดรุณีมองลูกสาวด้วยสายตาเข้าใจ และเห็นใจ รู้เต็มอกว่าที่วาสุเทพเมาเพราะยังตัดใจจากปานรุ้งไม่ได้ต่างหาก
แต่ไม่ว่าอย่างไร ดรุณีมองวาสุเทพอย่างโกรธขึ้งเอาเหมือนกัน
“ถ้าเขาปล่อยตัวเองให้เมาแบบนี้ได้ ก็น่าจะรับคำดุกล่าวของแม่เขาได้นะยา”
กติยาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อให้วาสุเทพ ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดหน้าตาเนื้อตัวให้วาสุเทพ พร้อมกับตอบคำถามดรุณี
“ขืนคุณป้าเห็นพี่เทพเมาแบบนี้ คงบ่นพี่เทพหนักแน่ เดี๋ยวให้สร่างเมาสักหน่อย ค่อยพาไปส่งบ้านดีกว่าค่ะ”
ดรุณีมองกติยาที่ดูแลและปกป้องวาสุเทพด้วยสายตาสงสารลูก
จู่ๆ วาสุเทพทำท่าขยักขย้อน กระอักกระอ่วนเหมือนจะอ๊วก
“พี่เทพจะอาเจียนเหรอคะ เดี๋ยวนะคะ”
กติยาวิ่งไปหากระโถนมารองให้วาสุเทพอาเจียน
วาสุเทพนั่งโงนเงน อาเจียนกระเด็นออกจากกระโถน
ดรุณีถอยห่างอย่างพะอืดพะอม แต่กติยาดูแลวาสุเทพอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ
“ไหวไหมยา” ดรุณีมองหาเด็กรับใช้ “พุดจีบไปตลาดตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาอีก จะได้ให้มาช่วยทำความสะอาด”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ เดี๋ยวยาทำความสะอาดตรงนี้เอง”
กติยาประคองวาสุเทพให้นอนพัก แล้วเดินไปผ้าขี้ริ้วและถังน้ำมาเช็ดอาเจียนของวาสุเทพที่กระเด็นเต็มพื้น ดรุณีมองลูกด้วยความเห็นใจ
วาสุเทพปรือตามองกติยา รับรู้สิ่งที่ครูสาวทำให้ตัวเองทุกอย่าง
ผ่านไปอีกสักระยะ วาสุเทพนั่งในรถด้านข้างคนขับแล้ว สร่างเมานิดๆ กติยาขึ้นนั่งฝั่งคนขับ หันไปมองว่าวาสุเทพนั่งดีรึยัง ครูสาวยกมืออังตรงช่องแอร์ว่าเย็นไหม
“แอร์เย็นไปไหนคะ เมื่อวานยาเอารถเข้าอู่ ช่างทำอะไรไม่รู้ แอร์รถเย็นเชียว” กติยามองวาสุเทพคอยดูแลตลอดเวลา “หนาวไหมคะ เดี๋ยวยาเข้าไปเอาผ้าขนหนูในบ้านให้ดีไหมคะ”
วาสุเทพหันมามองกติยาที่คอยดูแลเขาทุกอย่าง แล้วหวนคิดถึงคำพูดของคุณหญิงสุดใจขึ้นมา
โดยหลังจากเจ้าสาวหนี วิวาห์ล่มวาสุเทพเดินเหมือนคนไร้หัวใจเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้านนทีพิทักษ์ โดยมีนายพลภัทร คุณหญิงสุดใจ และกติยาเดินตามเข้ามา สามคนมองวาสุเทพด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสาร
คุณหญิงสุดใจจับมือกติยาจูงนำให้ไปพูดคุยปลอบโยนวาสุเทพ กติยาเดินไปหา
“พี่เทพคะ”
วาสุเทพรีบพูดขัดขึ้น “ยากลับไปก่อนเถอะนะ ตอนนี้พี่ยังไม่ต้องการคุยกับใคร”
กติยาชะงักหน้าเสียที่วาสุเทพปฏิเสธโดยไม่ใยดี
“ค่ะ งั้นยากลับบ้านก่อนนะคะ”
กติยายกมือไหว้ลาสองท่านแล้วเดินหน้าเศร้าออกไป คุณหญิงสุดใจมองตามอย่างเห็นใจ แล้วเหลียวมามองลูกชายอย่างโกรธขึ้ง ไม่พอใจ
“เลิกทำตัวโศกเศร้าให้ผู้หญิงคนนั้นสักที แล้วใช้สติเรียนรู้กับเหตุการณ์ ครั้งนี้ว่าใครคือผู้หญิงที่ไม่เคยรักลูกเลย และใครคือผู้หญิงที่รักและห่วงเทพ แม้ว่าเทพจะทำร้าย ความรู้สึกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาไม่เคย ทิ้งเทพไปไหน เห็นรึยังว่าใคร”
วาสุเทพนั่งนิ่ง รู้ว่ามารดาหมายถึงใคร แต่หัวใจมันไม่อยากเปิดรับใครอีกในตอนนี้
เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว วาสุเทพมองกติยาที่กำลังขับรถพาเขากลับบ้าน ถามเสียงนุ่ม
“เหนื่อยไหมยา”
กติยาหันมามองวาสุเทพงงๆ “คะ หมายถึงงานเหรอคะ ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอม งานไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”
“พี่หมายถึง ที่ยาต้องคอยดูแลพี่”
กติยาชะงัก แล้วหันไปยิ้มให้วาสุเทพพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่เคยเหนื่อยเลยค่ะ ไม่เคยแม้แต่จะคิด”
วาสุเทพฟังกติยาพูด ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจตัวเอง กติยารักและทำเพื่อเขาขนาดนี้
“พี่ขอโทษนะยา...พี่…”
กติยารีบบอก “พี่ไม่ต้องขอโทษเลยค่ะ ทุกอย่างที่ยาทำ ยาเต็มใจ”
วาสุเทพมองกติยา แล้วผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ
จู่ๆ ชูนามขับรถเปิดกระจกหน้าต่างหัวเราะร่ากับปานรุ้ง
วาสุเทพชะงัก “รุ้ง”
ชูนามขับรถไปอย่างมีความสุขกับปานรุ้ง แซงรถของกติยาไป
กติยามองเห็นปานรุ้ง ก็รีบหันมามองวาสุเทพ
วาสุเทพมองตามปานรุ้งที่ดูออกว่ามีความสุขมาก ก็ก้มหน้าเศร้า หันหน้าไปมองนอกหน้าต่างรถ วาสุเทพเห็นจากเงาสะท้อนของกระจกหน้าต่าง กติยามองเขาด้วยแววตาเป็นห่วง
ภาพนั้นทำให้ยิ่งย้ำเตือนว่า ขณะที่เขาเอาแต่มองปานรุ้ง กติยาคือคนที่คอยมองเขาอย่างห่วงใยตลอดเวลา
กติยาจอดรถริมรั้วบ้านนทีพิทักษ์ วาสุเทพลงรถมายังมีอาการเมานิดๆ กติยารีบวิ่งไปประคอง
“เดินไหวไหมคะพี่เทพ”
วาสุเทพมองกติยา แล้วเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ กติยามองอึ้ง
“พี่รู้ว่ายารู้...ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พี่จะตัด...” เรือเอกหนุ่มเจ็บปวดนัก ที่ต้องพูดคำนี้ “รุ้ง...จากใจ”
กติยาเองรับฟังอย่างเจ็บปวด แต่ฝืนยิ้มให้ “ค่ะ ยาเข้าใจ”
“พี่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหน พี่ถึงจะหมดรักรุ้งได้ พี่ไม่อยากเห็นแก่ตัว ให้ยามาคอยดูแลพี่ ทั้งที่พี่…”
กติยารีบขัดทันที “พี่เทพตัดใจจากรุ้งไม่ได้ ไม่เป็นไรค่ะ ยาเข้าใจ แต่ขอร้อง อย่าห้ามยาดูแลพี่เทพ เพราะยาคงทำไม่ได้”
วาสุเทพมองกติยาด้วยสายตารู้สึกผิด
“ยา”
“ขอแค่ยาได้ดูแลพี่เทพ อยู่ข้างๆ พี่เทพ ยาก็ไม่ต้องการเรียกร้องอะไรแล้วค่ะ”
วาสุเทพมองกติยาด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด ที่เห็นกติยารักเขามากแต่เขาก็ยังทำให้เธอเจ็บปวด
วาสุเทพจับมือกติยามากุมแน่น “ขอเวลาพี่หน่อยนะยา”
กติยายิ้มดีใจ อย่างน้อยๆ ก็พอมีความหวัง “ค่ะ”
วาสุเทพยิ้มให้กติยา แล้วเดินเข้าประตูรั้วบ้านไป
กติยามองตาม แม้สุขไม่ถึงที่สุด แต่มันก็เป็นหนทางที่ทำให้เธอมีความสุข
ทางฝ่ายชูนามขับรถมาจอดตรงลานหน้าตึก ลงจากรถวิ่งมาเพื่อเปิดประตูรถให้ปานรุ้ง พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญเอาใจ
“ถึงพระราชวังของเราแล้วครับเจ้าหญิง”
ปานรุ้งลงจากรถด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เดินช็อปปิ้งทั้งวัน เมื้อย เมื่อย ปวดขาไปหมดเลย” ปานรุ้งตะโกนเรียกหาน้อย ดังลั่น “น้อย มาเอาของไปทีสิ”
น้อยวิ่งออกมาจากในบ้านมาขนถุงของจากหลังรถ
ปานรุ้งบ่นบ้า “ทำไมแอร์รถคุณร้อนจังคะ หรือว่าแอร์เสีย”
“แหม ก็รถผมมันรถปี 70 จะให้แอร์เย็นฉ่ำเหมือนรถยุโรปของคุณได้ยังไงล่ะ”
“ก็รุ้งบอกแล้วว่าให้เอารถรุ้งไป คุณก็ไม่เชื่อ”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไม่ยุ่งของๆ คุณ ผมจะพิสูจน์ให้ใครๆ เห็นว่า ผมแต่งงานกับคุณเพราะรัก ไม่ใช่เพราะเงิน”
ปานรุ้งจูบแก้มชูนาม ชื่นใจกับคำพูดนั้น
“ยิ่งรุ้งอยู่กับคุณ รุ้งก็ยิ่งรู้ว่า รุ้งเลือกคนไม่ผิด”
น้อยหยิบถุงของพลางแอบชำเลือบมองสองนาย
ชูนามพูดงอนๆ “จริงเหรอ เมื่อกี้ตอนขับรถแซงรถอดีตคู่หมั้นคุณ เห็นคุณมองอยู่เลย”
ปานรุ้งชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะลึกๆในใจก็ยังไม่ลืมวาสุเทพ แต่พยายามพูดร่าเริงกลบ
“ก็มองกติยาเท่านั้นเอง” พร้อมกับเอามือประคองหน้าชูนามล้อๆ “หึงเหรอ”
“ก็ผมรักของผม”
ปานรุ้งหัวเราะคิก “รุ้งแต่งงานกับคุณแล้ว รุ้งจะไปยุ่งกับใครได้อีกล่ะคะ”
ชูนามมองนิ่ง โดยที่ปานรุ้งไม่ทันคิด ชูนามอุ้มร่างลอยขึ้นมา ปานรุ้งวี้ดว้าย
“อ๊าย อุ้มรุ้งทำไม”
“เมื่อกี้คุณบ่นว่าร้อนไม่ใช่เหรอ” ชูนามยิ้มเจ้าเล่ห์ “ป่ะ เดี๋ยวผมอาบน้ำให้”
ชูนามอุ้มปานรุ้งเข้าบ้านไป ปานรุ้งหัวเราะคิกคักมีความสุขมาก
น้อยหิ้วถุงของจากรถ มองตามปานรุ้งไป
“น้อยดีใจที่คุณหนูแต่งงานแล้วมีความสุข” น้อยถอนใจเฮือกใหญ่ สีหน้าเครียด
“แต่คนอื่นสิ”
รุ่งเช้า ปิ่นถือผ้ามารองยกกาต้มน้ำที่น้ำเดือดพล่านมาเทใส่อ่าง เพื่อลวกไข่ที่วางในอ่าง 4 ใบ ส่วนน้อยเตรียมจานชามใส่ถาดเตรียมไปจัดวางบนโต๊ะคุณๆ บนตึก เกื้อคอยช่วย กอบยืนเด็ดผักอยู่
แจ่มเดินหน้าง่วงงุนเข้ามา แล้วมานั่งหาว ยังไม่ยอมทำงาน
“ง๊วง...ง่วง มีอะไรกินให้หายง่วงมั้ย”
ปิ่นหยิบลูกมะนาวมากำ “ฉันมีมะนาว”
“แค่กินมะนาว ไม่ช่วยให้ฉันตื่นหรอกป้า”
“ฉันก็ไม่ได้ให้แกกิน แต่ฉันจะใช้ปาหัวแก”
ขาดคำปิ่นปามะนาวใส่หัวแจ่มดังโป๊ก แจ่มเจ็บ ลุกพรวด เอามือกุมหัว
“ฉันเจ็บนะป้า”
“ตาสว่างรึยัง ถ้ายัง จะปาให้ทั้งกระจาด” ปิ่นจะหยิบมะนาวอีก
แจ่มรีบบอก “ตื่นตั้งแต่ลูกแรกแล้ว”
“ตื่นแล้วก็รีบช่วยคนอื่นทำงานสิ”
แจ่มบ่นงึม “จะรีบทำทำไมนักหนา แค่หกโมงเช้าเอง คุณนายกินอาหารเช้าตั้งเจ็ดโมงครึ่ง”
จู่ๆ ร้อยกรองเดินนวยนาดเข้ามาพร้อมส่งเสียงโวยวายดังลั่น
“อ้าว อาหารเช้ายังไม่เสร็จอีกเหรอ”
ปิ่น น้อย แจ่ม และเกื้อชะงักมือ แล้วหันไปมองด้วยสีหน้าสงสัยว่าร้อยกรองมาโวยวายอะไร
“คุณมาทำอะไรในนี้คะ”
“ทำไมฉันจะมาไม่ได้ ที่นี่มันบ้านลูกสะใภ้ฉันนะ” ร้อยกรองเบ่ง มองปิ่นแล้วกวาดสายตามองทุกคน “หน้าตาตื่นกันอย่างนี้ แสดงว่าพอไม่มีเจ้านายลงมาดู ก็แอบอู้งานกันใช่ไหม ดูสิ สายตะวันโด่งแล้วยังไม่ตั้งโต๊ะเลย ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะบอกให้หนูรุ้งหักเงินเดือน”
แจ่มรีบแถไปเอาใจร้อยกรอง บ่นใส่ปิ่น “นั่นไง ฉันบอกป้าแล้วว่าให้รีบๆ เตรียมอาหารเช้า ป้าก็ไม่ฟัง”
กอบพึมพำ “เอ้อ สงสัยไอ้ที่พูดเมื่อกี้ว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ คงไม่ใช่คนพูดแต่เป็นหมาเห่า”
แจ่มมองค้อนตากอบ ส่วนปิ่นพยายามใจเย็น
“ปกติคุณนายจะทานอาหารเช้าเจ็ดโมงครึ่ง นี่เพิ่งหกโมง...พวกฉันเตรียมอาหารทัน ไม่เคยสาย” ปิ่นไม่เต็มใจพูดเท่าไร แต่ต้องพูด “ค่ะ” ลงท้าย
ร้อยกรองเดินมายืนตรงหน้าปิ่น วางอำนาจใส่ “แต่ลูกชายฉันต้องกินอาหารเช้าเจ็ดโมง ดังนั้นต่อไปต้องเตรียมอาหารเร็วขึ้น” แล้วหันไปทางน้อย “ยกจาน ช้อนไปจัดโต๊ะสิ”
น้อยเลิ่กลั่กมองไปทางปิ่นที มองร้อยกรองที “เอ่อ แต่คุณนายยังไม่ได้สั่งเปลี่ยนเวลานี่คะ”
ร้อยกรองหันขวับมาวางอำนาจใส่น้อย “ก็ฉันสั่งอยู่นี่ไง ฉันเป็นแม่ผัว ก็เหมือนแม่แท้ๆของ
หนูรุ้ง มีสิทธิ์สั่งพวกแกเหมือนเจ้านายที่นี่” เห็นน้อยยืนนิ่งจึงหันไปตวาดอีก “ไปสิ”
น้อยลนลานจะเดินไป ปิ่นพูดสวนเสียงเข้ม ไม่ยำเกรงร้อยกรองเอาเลย
“ยังไม่ต้องไป บ้านสมุทรเทวา เคยสั่งแต่คุณนายคมขวัญยังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น”
ร้อยกรองเดินมายืนจ้องหน้าปิ่น มองอย่างท้าทาย ก่อนจะยื่นมือไปดึงแขนน้อยลากไป
“ไปจัดโต๊ะเดี๋ยวนี้”
ร้อยกรองลากแขนน้อยออกมาจากในครัว ปิ่นเดินตามมาดึงแขนน้อยไว้ กอบ เกื้อ แจ่ม และสาวใช้อีกคน เดินตามออกมาจากในครัว
ปิ่นดึงแขนอีกข้างของน้อยไว้ “ยังไม่ต้องไป”
ร้อยกรองโกรธมากขึ้น กระชากแขนน้อยแรงขึ้น “ไป”
ร้อยกรองกับปิ่นเปิดศึกแย่งกันยื้อดึงน้อยพัลวัน
ปิ่นกระชากแขนน้อยกลับครัว “ไม่ต้อง”
ร้อยกรองโกรธมากขึ้นอีก กระชากแขนน้อยแรงขึ้นอีก “ไป”
ปิ่นร้องบอก “ไม่ต้อง”
ร้อยกรองโกรธสุดขีด กระชากแขนน้อยเต็มแรง “ฉันบอกให้ไป”
น้อยเจ็บแขนที่ถูกร้อยกรองกระชาก ร้อง “โอ๊ย”
ปิ่นเห็นน้อยออกอาการเจ็บมากจึงปล่อยแขน
จังหวะที่ปิ่นปล่อยแขนน้อยนั่นเอง ทำให้ร้อยกรองที่ดึงแขนน้อยไว้ เสียหลักจนเซล้มใบหน้าจมลงไปในครกหินใบใหญ่ที่ตำพริกแดงค้างไว้ตรงโต๊ะหน้าห้องครัว
กอบ เกื้อ น้อย แจ่ม และสาวใช้ มองร้อยกรองที่หน้าคะมำลงครกอย่างตกใจอุทานลั่น
“เฮ้ย”
ร้อยกรองแสบพริกแหกปากกรีดร้องลั่นบ้าน ท่ามกลางความเงียบสงบยามเช้าตรู่
“อ๊าย...”
ปานรุ้งนอนกกกอดชูนามอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงแหกปากของร้อยกรองดังลั่นเข้ามา จนต้องสะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้น ส่วนชูนามยังนอนงัวเงีย
“เสียงเปรตที่ไหนโหยหวนแต่เช้า”
ปานรุ้งลุกขึ้นนั่งฟังเสียงร้อยกรอง “รุ้งว่าเสียงคุ้นๆ นะคะ เหมือนเสียงแม่คุณเลย”
ชูนามลืมตาโพลงเด้งตัวขึ้นมานั่ง “แม่”
ใบหน้าร้อยกรองที่บัดนี้ถูกล้างจนผมเปียกน้ำลู่แปะผิวหน้าแดงเถือก เพราะพริก แต่ยังไม่หมดฤทธิ์ แผดเสียงขึ้นกลางโถงบ้านสมุทรเทวา
“ยังไงฉันก็ไม่ยอม”
คมขวัญนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปานรุ้งกับชูนามนั่งถัดมาร้อยกรองนั่งติดลูกชาย
ชูนามแกล้งปลอบ เพื่อสร้างภาพว่าตนเป็นคนไม่เอาเรื่องใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะแม่”
“จะให้แม่ใจเย็นยังไงล่ะ แม่อุตส่าห์หวังดีกะว่าจะมาช่วยดูแลเรื่องอาหาร การกินให้ กลับโดนพวกคนใช้บ้านนี้รุมทำร้าย”
คมขวัญเอ่ยขึ้นน้ำเสียงนิ่มนิ่ง “แต่เท่าที่ฉันถามกอบเมื่อกี้ กอบบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ”
ร้อยกรองชะงักไปนิด แล้วพูดตัดพ้อ “ก็เมียมันเป็นคนทำ มันก็ต้องเข้าข้างเมียสิคะ”
ปานรุ้งออกตัว โมโหปิ่นมาก “ตกลงเป็นฝีมือยายปิ่นใช่ไหมคะ”
ร้อยกรองพยักหน้า “ใช่จ้ะ”
ปานรุ้งลุกพรวด เดินออกไปทางหลังบ้านตรงไปยังโรงครัวทันที
“รุ้ง” คมขวัญลุกตามไป
ร้อยกรองมองตาม แล้วเหยียดยิ้มว่าแกโดนแน่ยายปิ่น
ปิ่นกำลังสั่งให้แจ่มหั่นเนื้อไก่ เตรียมทำอาหารกลางวัน สั่งเกื้อให้ขูดมะพร้าว สั่งน้อยให้เด็ดผัก แล้วสั่งเด็กรับใช้คนอื่นให้เตรียมไปทำความสะอาดบนตึก โดยทุกคนมีสีหน้าเครียดว่าร้อยกรองจะเอาเรื่องอะไรบ้าง ยกเว้นปิ่นที่ไม่มีวี่แววกังวลอะไร เพราะตัวเองไม่ผิด
ปิ่นพูดกับผัวว่า “ตากอบ แกมานั่งทำอะไรตรงนี้ ไปเช็ดรถเตรียมรอคุณนายสิ”
“ฉันว่าแกขึ้นไปขอโทษคุณร้อยกรองดีไหมยายปิ่น” กอบบอก
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องขอโทษ”
ปานรุ้งเดินเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
“แล้วถ้าฉันสั่งล่ะ จะยอมขอโทษแม่สามีฉันไหมยายปิ่น”
ทุกคนในที่นั้นมองปานรุ้งด้วยสีหน้าตกใจ
เว้นปิ่นที่ยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีหวั่นกลัวอะไรใดๆ ค่อยๆหันไปพูดกับปานรุ้ง
“ฉันก็คงยืนยันคำเดิมค่ะ ว่าฉันไม่ผิด ฉันไม่ขอโทษ”
“เธอผลักแม่สามีฉันหน้าคะมำลงครก ยังบอกว่าไม่ผิดอีกเหรอ”
ปิ่นย้อนเอาว่า “คุณอยู่ในเหตุการณ์เหรอคะ ถึงรู้ว่าฉันเป็นคนผลัก”
ปานรุ้งโกรธจัด “ยายปิ่น”
คมขวัญเดินตามมาถึง ไล่ๆ กันกับ ร้อยกรองกับชูนามที่เดินตามมาสมทบ
“ใจเย็นๆ ก่อนนะรุ้ง” คมขวัญปราม
ปานรุ้งจ้องหน้าปิ่นอย่างเอาเรื่อง “ไม่ค่ะ ถ้าวันนี้ยายปิ่นไม่ขอโทษคุณแม่ร้อยกรอง รุ้งก็ไม่เอายายปิ่นทำงานที่นี่ต่อไป”
เกื้อ กอบ น้อย และแจ่ม ต่างมองปานรุ้งแล้วอึ้งไปทั้งแถบ แต่ปิ่นยืนนิ่งมองปานรุ้งอย่างไม่สะทกสะท้าน กลายเป็นกอบเข้ามายืนข้างปิ่น แล้วกระซิบขอร้องเมีย
“ขอโทษคุณเขาเถอะยายปิ่นเห็นไหม ว่าแกกำลังทำคุณนายลำบากใจ”
ปิ่นเห็นคมขวัญหน้าเครียด ลำบากใจ จึงไม่อยากทำให้คุณนายไม่สบายใจ กัดฟันจำใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ โดยพูดขอโทษ แต่ไม่ยกมือไหว้
“ขอโทษค่ะ”
“ถึงฉันจะห่างเมืองไทยไปหลายปี แต่ฉันก็ยังจำได้ ว่าวัฒนธรรมไทย การขอโทษไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องยกมือไหว้ด้วย” ปานรุ้งไม่ยอม
คมขวัญปราม “ปานรุ้ง”
ปิ่นยืนนิ่งขึง กำมือแน่นอย่างอดทนถึงขีดสุด เกื้อมองปานรุ้งที มองแม่ที ปานรุ้งมองจ้องปิ่นอย่างจริงจัง
บรรยากาศตึงเครียดเขม็งเกลียว จนร้อยกรองเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“แค่พูด ก็พอแล้วล่ะลูก แม่เข้าใจว่าแม่เป็นคนนอก อยู่ๆ แม่มาสั่งโน่นสั่งนี่ เขาก็เลยไม่พอใจ”
ปานรุ้งพูดกับคนอื่นแต่จดสายตามองปิ่นเขม็ง “งั้นก็รู้ไว้ ว่าต่อไปที่นี่มีเจ้านายเพิ่มมาอีกสองคน คือคุณชูนามและคุณแม่ของคุณชูนาม นายแม่มีอำนาจสั่งใครได้เท่าไหน คุณแม่ของคุณชูนามก็มีสิทธิ์มากเท่านั้น” ปานรุ้งกระแทกเสียงใส่ยายปิ่นเป็นการเฉพาะว่า “จำไว้”
ปานรุ้งเดินกลับออกไป ร้อยกรองกับชูนามเชิดหน้ามองทุกคน แล้วเดินตามปานรุ้งไป
คมขวัญมองตามสามคนไป แล้วหันมามองปิ่น
“ขอบใจนะปิ่น”
ปิ่นน้ำตารื้น มองคมขวัญด้วยแววตาเสียใจ แต่ฝืนทำเข้มแข็งไว้ รอจนคมขวัญเดินออกไปปิ่นจึงเดินออกไปอีกทาง เกื้อรีบเดินตามไป
ปิ่นฝืนกลั้นน้ำตา เดินออกมาหาที่สงบอารมณ์ เกื้อวิ่งตามหลังแม่มา
“แม่”
ปิ่นหันมาใส่เกื้อ “เอ็งเห็นไหมเกื้อ ขนาดคนอายุรุ่นแม่อย่างแม่ เขายังด่าไม่เห็นหัว แล้วเอ็งล่ะ จะไม่โดนเขากดให้จมใต้เท้าเลยเหรอ”
เกื้อชะงัก “แม่”
“เป็นบุญของเอ็งแล้วที่เขาเป็นคนหัวสูง ไม่ก้มลงมองต่ำ ผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็มีแต่ทำให้คนที่รักช้ำใจ ไม่เชื่อ ก็คอยดู”
ปิ่นเดินหุนหันออกไป เกื้อมองตามแม่ แล้วมองไปทางตึกใหญ่
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทางฝ่ายน้อยดูแลอยู่ในห้องทานอาหาร ตักข้าวต้มใส่ชามให้คมขวัญเสร็จ ก็จะตักข้าวต้มให้ปานรุ้ง ร้อยกรองกระแอมเตือนให้น้อยตักให้ตัวเองก่อน
“จำไว้ ลำดับความอาวุโส เธอต้องตักอาหารให้ฉันต่อจากคุณคมขวัญนะจ๊ะ ถึงจะตักให้หนูรุ้ง”
“ค่ะ”
น้อยตักข้าวต้มให้ร้อยกรอง ที่เชิดหน้าเป็นคุณนายอยู่ โดยพยายามเก็บอาการไม่ชอบใจไว้ ตักข้าวต้มให้ปานรุ้ง และ ชูนามต่อ
ชูนามหาวหวอดๆ “ผมยังไม่หิว ไว้ให้เด็กเอาอาหารขึ้นไปให้บนห้องทีหลังนะครับ”
คมขวัญพูดแทรกก่อนชูนามจะลุกขึ้น “ธรรมเนียมบ้านเรา เวลาอาหารเช้า คือเวลาที่ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน ทนทานสักคำ สองคำ ที่นอนไม่หายไปไหนหรอก”
ชูนามทำหน้าเซ็งที่ถูกตำหนิ จำใจนั่งกินอย่างหน้าเซ็ง
“ชูนามคะ ถ้าง่วงก็ไปนอนเถอะค่ะ บ้านนี้มีธรรมเนียมอย่างนี้ก็จริง แต่นายแม่...ไม่เคยทำได้เลย” ปานรุ้งเหน็บเอาคืน “รุ้งทานอาหารคนเดียวประจำ
ชูนามยิ้มชอบใจที่ปานรุ้งให้ท้าย “ขอบใจนะจ๊ะ”
“รีบไปนอนพักนะคะ เพราะเดี๋ยวสายๆ เรามีธุระต้องไปกัน”
คมขวัญกับชูนามมองปานรุ้งสีหน้าฉงน
“ธุระอะไรเหรอจ๊ะ” ชูนามอดถามไม่ได้
ปานรุ้งมองไปทางคมขวัญยิ้ม
หลังมื้อเช้าคมขวัญเดินออกมาจากบ้าน โดยมีปานรุ้งเดินเคียงข้างมาด้วย ชูนามกับร้อยกรองแอบมองอยู่ห่างๆ สงสัยใคร่รู้มากๆ
ปานรุ้งหันมาประจบถามคมขวัญด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “วันนี้นายแม่งานยุ่งไหมคะ”
คมขวัญมองฉงนฉงาน “รุ้งถามทำไม” แล้วยิ้มดีใจมีความหวังขึ้นมา “หรือว่ารุ้งจะเข้าไปช่วยงานแม่”
ปานรุ้งยิ้ม “เปล่าค่ะ แต่รุ้งจะชวนนายแม่ไปซื้อรถใหม่ ให้รุ้งกับชูนามค่ะ”
ชูนามลอบสบตาร้อยกรอง แววตาลิงโลดดีใจ ไม่ให้คมขวัญเห็น
ปริญญาเดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามาหาคมขวัญ ทันได้ยินที่ปานรุ้งพูด จึงพลั้งปากทักท้วง
“ประทานโทษครับ แต่รถคุณรุ้งก็มีอยู่แล้วนะครับ”
ปานรุ้งมองปริญญาด้วยหางตา “แหม...มายังไม่ทันจะยืนให้มั่นคง ก็ยื่นปากขวางทางฉันแล้วนะ คุณปริญญา”
“ขอประทานโทษครับ แต่ที่ผมทัก เพราะเห็นเงินของ...”
ปริญญาจะพูดเรื่องสถานะการเงินของบริษัท คมขวัญรู้ว่าปริญญาจะพูดอะไร ชิงพูดก่อน
“ปริญญาพูดถูก รุ้งมีรถอยู่แล้ว จะซื้อรถใหม่ทำไม”
“ก็รถคันเก่าของรุ้งมันเล็ก ตอนนี้รุ้งต้องไปไหนมาไหนกับชูนาม อยากได้รถคันใหญ่กว่านี้”
ชูนามเล่นบทพระเอก “ผมว่าอย่าซื้อรถใหม่เลยรุ้ง เท่านี้ผมก็ถูกใครต่อใคร ตราหน้าว่าแต่งงานเพื่อเกาะรุ้งพออยู่แล้ว คุณนั่งรถของผมเถอะนะ”
ร้อยกรองรีบขัด “แต่รถของชูนามเก่ามากแล้วนะลูก ช่างยังเคยเตือนเลยว่า ถ้าขับไปนานๆ หม้อน้ำจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“งั้นถ้ารุ้งอยากได้รถใหม่ รออีกสักพักได้ไหม ผมกำลังจะลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ถ้าได้เงินกำไรมา ผมจะซื้อรถใหม่ให้รุ้ง”
“แล้วทำไมเราต้องรอด้วยล่ะคะ เราก็เอาของสมุทรเทวาไปซื้อก่อนพอชูนามมี ก็ค่อยมาให้นายแม่...เงินแค่ล้านสองล้าน เศษเงินนายแม่จะตาย”
ปริญญาขยับจะพูด ถูกคมขวัญพูดตัดบท
“เรื่องรถ เอาไว้มีเวลาค่อยคุยแล้วกัน” แล้วหันไปทางปริญญา “เรามีประชุมเช้าใช่ไหม” คมขวัญหันมาทางร้อยกรอง “ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ประมุขสมุทรเทวาเดินไปขึ้นรถ ที่กอบเปิดประตูรอ เหมือนตัดบท ไม่พูดเรื่องรถใหม่อีก
ชูนามกับร้อยกรองมองตามคมขวัญ แล้วมองหน้ากันอย่างหน้าตาตื่นเป็นเชิงถามกันเองว่า “ตกลงได้รถใหม่ไหม” ชูนามมองปานรุ้ง เห็นสายตาปานรุ้งมองแม่อย่างไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน
ชูนามอดทนเก็บความสงสัยไม่ไหว “เอ่อ...ตกลงเราไม่ได้ซื้อรถใหม่แล้ว ใช่ไหมจ๊ะ”
“คุณก็รู้จักฉันดี ว่าฉันเป็นคนยังไง”
ปานรุ้งยิ้มมีเลศนัย แม่ลูกมองจ้องด้วยท่าทีสงสัย
ถัดมาคมขวัญอยู่ที่สมุทรเทวาเดินเรือ และกำลังเดินตรวจสภาพเรือมากับปริญญาและวิศกรฝรั่ง
“ตกลงเรือพร้อมที่จะขนสินค้าไปสิงคโปร์ใช่ไหม”
วิศวกรพูดตอบด้วยภาษไทยสำเนียงฝรั่ง “ไม่มีปัญหาครับคุณนาย เรือพร้อมเดินทาง”
ปริญญายิ้มดีใจ “ถ้าครั้งนี้เรือเราพร้อมทั้งสองลำ กำไรที่ได้ เราอาจมีเงินมาก พอซื้อหุ้นคืนจากมิสเตอร์เจสันได้นะครับคุณนาย”
“ฉันก็กำลังคิดจะเจรจาอยู่ เอาเป็นว่าให้เรือขนสินค้ารอบนี้เสร็จ เราค่อยมาจัดการเรื่องหุ้น” คมขวัญยิ้ม เริ่มมีความหวัง มองท่าเรือที่เคยยิ่งใหญ่อย่างมีความสุข “สมุทรเทวา จะได้กลับมาเป็นของคนตระกูลสมุทรเทวาเต็มร้อยอีกครั้ง”
ขณะเดียวกันที่ร้านอาหารแห่งนั้น ชูนามกำลังคุยกับเฮียโม ไอ้ขุนและบอดี้การ์ด 2 คน นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ
“ไปลาสเวกัสเหรอครับเฮีย”
“ใช่ครับ เพื่อนผมไปมา บอกว่าที่นั่นมีของเล่นใหม่ๆ น่าลองเยอะ ผมเลยจะไปสำรวจสักหน่อย ว่ามีอะไรให้ลูกค้าของผมตื่นตาตื่นใจบ้างรึเปล่า ผมเลยโทรเรียกคุณชูนามมาคุย เผื่อสนใจไปร่วมสนุกกับผม”
เฮียโมหันไปเห็นปานรุ้งเดินเข้าร้านมา ชะเง้อมองหาชูนาม
“โอ๊ะโอ ภรรยาคุณมารับแล้วล่ะครับคุณชูนาม”
ชูนามหันไปโบกมือให้ปานรุ้ง “ผมอยู่นี่จ้า”
ปานรุ้งโบกมือตอบ แล้วเดินปรี่มาหาชูนาม
“แหม...ผมก็ลืมไป ว่าคุณมีครอบครัวแล้ว คงไปไหนมาไหนอย่างเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว งั้นเดี๋ยวผมไปชวนลูกค้าคนอื่นก็ได้เสียดายนิดเดียว ที่ครั้งนี้มีทุนให้เล่นตั้งห้าหมื่น”
ชูนามหูผึ่ง หันขวับมามองเฮียโม “ห้าหมื่น เอาเป็นว่าผมไปด้วย”
ปานรุ้งเดินเข้ามาถึงตัวสองคนพอดี ร้องทักสองคน
“Hi”
ชูนามรีบแนะนำเฮียโมให้ปานรุ้งรู้จัก
“นี่เพื่อนผมจ้ะ คนที่ผมบอกว่าจะเปิดธุรกิจ...เอ่อ...ส่งออกด้วยกันไง”
ปานรุ้งยิ้มทักเฮียโม “สวัสดีค่ะ”
“งั้นผมขอตัวก่อน ไว้เจอกันอีกนะครับ”
“อ้าว คุณเรื่องงานจบแล้วเหรอคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เฮียโมมองชูนามยิ้มๆ แล้วเดินออกไปพร้อมไอ้ขุนและบอดี้การ์ด ปานรุ้งมองตามเฮียโม ชูนามมองปานรุ้งแว่บหนึ่ง แล้วคิดแผนบางอย่าง
ปานรุ้งหันมาพูดกับชูนามด้วยท่าทางตื่นเต้น “งั้นเราไปกันเถอะค่ะ รุ้งมีอะไรจะเซอร์ไพรส์คุณ”
ชูนามทำหน้าเครียดจนปานรุ้งสังเกตเห็น
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะชูนาม”
ชูนามมองปานรุ้งด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง
คมขวัญเดินตรวจสภาพเรือ โดยมีปริญญาและวิศกรฝรั่ง 3 คน เดินตามมาด้วย
คมขวัญกำชับวิศวกรว่า “ยังไงก่อนเรือออก คุณเช็คอีกทีแล้วกัน”
ได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นมาแต่ไกล ปี๊น... ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น
คมขวัญเห็นปานรุ้งกับชูนามขับรถยุโรปเปิดประทุนคันใหม่เข้ามาจอดตรงหน้าคมขวัญ
คมขวัญ กับปริญญา มองอึ้งๆ สองคนลงรถ ปานรุ้งเดินยิ้มมาหามารดา
“รถคันใหม่ของรุ้ง สวยไหมคะ”
คมขวัญ และปริญญามองรถคันใหม่ของปานรุ้งอึ้งๆ
คมขวัญยืนคุยอยู่กับปานรุ้ง ชูนาม กับปริญญายืนอยู่ด้วย
“รถใหม่ เท่าไร”
“ไม่แพงหรอกค่ะ ดีที่เจ้าของโชว์รูมเค้ารู้จักกับชูนามเค้าเลยคิดราคาพิเศษให้ สัก 2-3 วันใบเรียกเก็บเงินก็คงมาถึงนายแม่”
คมขวัญย้ำถาม “เท่าไหร่”
“เลขสวยๆ ราคาห้าล้านค่ะ”
ปริญญานั้นตกใจสุดขีด “ห้าล้าน”
ปานรุ้งปรายตามองปริญญาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก เงินแค่นี้ เดี๋ยวชูนามทำธุรกิจใหม่กับเพื่อน พอได้เงินมา ก็จะเอามาคืนให้” แล้วหันมาพูดกับคมขวัญ “ที่รุ้งมาที่นี่ ก็เพื่อจะมาบอกนายแม่ว่าเมื่อกี้ รุ้งไปเจอเพื่อนชูนามมา เขากำลังมีโครงการทำธุรกิจส่งออกกัน”
“ธุรกิจส่งออก ถ้ารุ้งสนใจทำธุรกิจส่งออก ก็มาทำงานที่สมุทรเทวาของเราสิ ทำไมจะต้องไปลงทุนเพิ่ม”
“มันไม่เหมือนกันครับนายแม่ บริษัทของนายแม่ส่งออกทางเรือแต่บริษัทที่ผมจะเปิดกับเพื่อน ส่งออกทางเครื่องบินครับ ตอนนี้การขนส่งทางอากาศกำลังมา เพราะขนส่งได้เร็วกว่า”
ปริญญาแทรกขึ้น “แต่ได้ข่าวว่าการขนส่งทางเครื่องบิน ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะไม่ใช่เหรอครับ แถมยังขนส่งได้น้อย ยังไงควรศึกษาดีๆ ก่อนลงทุนนะครับ”
ปานรุ้งตวัดตามองปริญญาอย่างไม่พอใจอีก
“ชูนามเรียนจบมาจากเมืองนอก เรื่องการศึกษาข้อมูล เขารู้ดี” เจ้าหล่อนหันมาพูดประจบมารดา “ชูนามกับเพื่อนจะเดินทางไปดูงานที่อเมริกา รุ้งเลยวางแผนจะไปฮันนีมูนกันที่นั่นด้วย เลยจะมายืมเงินนายแม่ไปทำทุนวิจัยก่อนสองล้าน”
“อะไรนะ” คมขวัญตกใจ
ปริญญาแย้งจนได้ “วิจัยอะไรครับตั้งสองล้าน”
ปานรุ้งมองปริญญาไม่พอใจสุดขีด “นายแม่ฉันยังไม่ถาม แล้วทำไมฉันต้องบอกคุณ”
“วิจัยอะไรตั้งสองล้านน่ะรุ้ง” คมขวัญเสียงขุ่น
“ก็วิจัยเส้นทาง วิจัยสินค้าที่จะส่ง มันต้องใช้ทุนเดินทางเพื่อดูเส้นทางขนส่งด้วยน่ะค่ะ แต่ถ้านายแม่ไม่ให้ ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งแค่คิดว่าชูนามกำลังสร้างตัว นายแม่จะดีและสนับสนุน แต่รุ้งอาจจะหวังมากไป รุ้งใช้เงินเก็บของรุ้งเองก็ได้ค่ะ ไปกันเถอะค่ะ”
ปานรุ้งหันตัวเดินออกไปพร้อมกับชูนาม คมขวัญมองตามปานรุ้ง
“เดี๋ยวก่อนรุ้ง”
ปานรุ้งหยุดยิ้มสมใจกับชูนาม สุดท้ายคมขวัญก็ต้องให้เงิน
ปานรุ้งเดินกอดชูนามเดินเข้าบ้านมาอย่างร่าเริง
“เห็นไหมคะ รุ้งบอกแล้วว่าเรื่องเงิน รุ้งจัดการให้คุณได้”
ชูนามจูบแก้มเมียรัก “ผมขอบคุณคุณมากๆ เลยนะ ผมรับรองว่าถ้าธุรกิจของผมไปได้สวย ผมจะรีบเอาเงินมาคืนแม่คุณ”
“ดีค่ะ รีบเอามาคืน นายแม่จะได้รู้ว่า สามีของรุ้งเก่งไม่แพ้ใคร”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ เรื่องปั่นเงินห้าให้เป็นสิบ ร้อยให้เป็นพัน หมื่นให้เป็นแสน ล้านให้เป็นสิบล้านผมถนัด” ชูนามคุยฟุ้ง
ปานรุ้งยิ้มชื่นสุขล้น “งั้นรุ้งไปจัดกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางก่อนนะคะ”
ขณะเดินขึ้นบันไดปานรุ้งตะโกนเรียกน้อย
“น้อย มาช่วยฉันจัดกระเป๋าทีสิ ฉันจะไปนิวยอร์ค”
ปานรุ้งเดินขึ้นห้องไป ชูนามมองตามไปแล้วรีบไปเดินไปหมุนโทรศัพท์โทร.หาเฮียโม
“เฮียโม จะเป็นอะไรไหม ถ้าขอพาเจ้ามือไปอีกคน”
ชูนามยิ้มเจ้าเล่ห์
เช้าวันนี้ หนังสือพิมพ์สารพัดสี ประโคมข่าวในหน้าข่าวสังคม
“ปานรุ้งควงสามีหนุ่มโชว์หวาน ฮันนีมูนกรุงนิวยอร์ค”
“นายทหารเรือหนุ่มอดีตคู่หมั้นปานรุ้งไม่น้อยหน้า จัดงานหมั้นกับอดีตคู่หมั้นอีกครั้ง”
กติยากำลังทอดหมูอยู่ในห้องครัว มีวาสุเทพคอยยืนถือจานเตรียมให้ ขณะทอดน้ำมันกระเด็น สองคนพากันกระโดดหลบ
“ระวังน้ำมันกระเด็นค่ะพี่เทพ”
น้ำมันยังกระเด็นอยู่ กติยาโดดหลบจนใบหน้าของเธอไปชนกับใบหน้าวาสุเทพ ในระยะใกล้ สองคนสบตากัน
วาสุเทพเป็นคนถอยห่างออกมาก่อน กติยากระเถิบออกมาอย่างอายๆ
คุณหญิงสุดใจเดินเข้ามาเห็นภาพสองคนใกล้ชิดกันพอดี ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ท่าทางหมูทอดจานนี้น่าจะหวานนะจ๊ะ”
กติยาตอบพาซื่อ “ไม่หวานหรอกค่ะคุณป้า ยาไม่ได้ใส่น้ำตาลเลย”
“ถึงหนูไม่ใช่น้ำตาล แต่ความหวานของคู่รักที่ช่วยกันทำ ก็ทำให้หมูหวานได้จ้ะ” คุณหญิงหัวเราะ หยิบหมูทอดในจานมาชิม “อื้อหือ หวานเจี๊ยบเลย”
กติยายิ้มเขิน
“นี่ตาเทพ ขอลายเซ็นหนูยารึยังจ๊ะ” คุณหญิงเอ่ยขึ้นสีหน้าแช่มชื่น
วาสุเทพมองแม่งงๆ “ขอทำไมครับ”
“อ้าว ลูกไม่รู้เหรอว่าคู่หมั้นของลูกเป็นคุณครูที่ดังแล้วนะ ไม่เชื่อ” พลางยื่นหนังสือพิมพ์ให้วาสุเทพ “ดูหน้าข่าวการศึกษาสิ หนูยาได้ลงข่าวเป็นคุณครูควบคุมทีมนักเรียนแข่งสปช.นะลูก”
“จริงเหรอครับ ไหน ขอผมดูสิ”
วาสุเทพเปิดหนังสือพิมพ์จะดูข่าวกติยา แต่ดันไปเจอข่าวปานรุ้งในหน้าข่าวสังคม เป็นภาพข่าวปานรุ้งถ่ายที่สนามบินกับชูนาม พร้อมข้อความบรรยายข่าวว่า
“คู่ฮันนีมูนปานรุ้งและชูนามกลับมาแล้ว แต่ยังไม่แคล้วโรยน้ำตาลทั่วดอนเมือง อีกไม่นานคงได้ข่าวทายาทน้อยแห่งสมุทรเทวา”
วาสุเทพชะงัก สองคนกลับคิดว่าวาสุเทพเจอข่าวกติยาแล้ว
“เห็นไหมลูกว่าคู่หมั้นของเทพเก่งขนาดไหน” คุณหญิงหันไปทางกติยา “ป้าเห็นลูกศิษย์ในทีมหนู เป็นหลานชายเพื่อนป้าด้วย คนนี้ไง”
คุณหญิงชะเง้อมองหนังสือพิมพ์กะว่าจะชี้เด็กที่พูดถึงในภาพข่าว กติยาชะเง้อมองตาม สองคนจึงได้เห็นว่าวาสุเทพไม่ได้เปิดหน้าข่าวของกติยา แต่จ้องข่าวของปานรุ้งกับชูนามอยู่ กติยาชะงัก นิ่งงันไป
คุณหญิงสุดใจมองท่าทีกติยา แล้วหันไปดุวาสุเทพ “ตาเทพ”
วาสุเทพปิดหนังสือพิมพ์ลงทันที แล้วพยายามทำหน้ายิ้มปกติ
“ผมรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าคู่หมั้นผมเก่ง ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ ตอนบ่ายผมมีนัดขี่ม้ากับเพื่อน”
วาสุเทพวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ จงใจให้เห็นว่าเขาไม่สนใจข่าวปานรุ้ง แล้วเดินขึ้นห้องไป กติยามองตาม แล้วหันมามองหนังสือพิมพ์หน้าเศร้า คุณหญิงมองอย่างเข้าใจ
คุณหญิงสุดใจจูงมือกติยาออกมาเดินเล่น หาจังหวะพูดปลอบใจ
“หนูยาอย่าคิดมากนะลูก เชื่อป้า ว่าตาเทพไม่มีเยื่อใยอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว เพราะความรักและความดีของหนู ทำให้ทั้งตา ทั้งหัวใจของตาเทพสว่าง”
กติยายิ้มให้ “คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยาเข้าใจพี่เทพ”
คุณหญิงสุดใจจับมือกติยาแน่น ให้ความมั่นใจ “ดีลูก ตอนนี้เรื่องของหนูยากับตาเทพกำลังไปด้วยดี อย่าเอาเรื่องของคนที่ไม่มีค่า มาทำให้อะไรมันสั่นคลอน”
“ค่ะคุณป้า ยาไม่คิดอะไรหรอกค่ะ เพราะยารู้ว่า หลังจากรุ้งกลับจากฮันนีมูน ยิ่งมีเรื่องทำให้รุ้งกับพี่เทพไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกันได้อีก”
คุณหญิงมองกติยางงๆ “หนูยาหมายความว่า”
กติยาไม่ตอบ มองคุณหญิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข มั่นในว่าปานรุ้งกับวาสุเทพจะไม่มีวันหวนกลับมาหากันได้แน่นอน
ในเวลานั้น ชูนามเดินไปเดินมา อยู่หน้าห้องตรวจอย่างกระวนกระวายร้อนใจไปหมด ร้อยกรองนั่งอยู่หน้าห้องอีกมุมด้วยท่าทีลุ้นๆ เช่นกัน
สุดท้ายชูนามเดินมาหาแม่ “แม่ว่ารุ้งจะท้องไหม”
“ท้องสิ แม่ไปบนเจ้าแม่ค้อนทองให้แล้ว ใครๆ ก็ลือว่าถ้าบนกับเจ้าแม่ รับรองได้ลูกทุกราย แม่บนให้แกได้ลูกแฝดสามเลย”
“โหย ไม่ต้องถึงแฝดสามหรอก แค่มีคนเดียว เราก็มีโซ่ทองคล้องเราสบายไปทั้งชาติแล้ว”
ร้อยกรองจุ๊ปาก “เบาๆ สิลูก เดี๋ยวพวกมด แมลง เอาไปฟ้องเจ้านายมันหรอก”
ร้อยกรองปรายตาไปทางเกื้อที่นั่งอยู่มุมหนึ่งอย่างเจียมตัว คอยมองไปทางห้องตรวจอย่างเป็นห่วง ว่าปานรุ้งจะเป็นยังไงบ้าง
สักครู่หนึ่ง ปานรุ้งเดินออกมาจากห้องตรวจ เกื้อเห็นก่อนใครรีบลุกขึ้นอยากจะเข้าไปถามอาการ แต่ชะงักว่าไม่ควร แม้จะเป็นห่วงมากเพียงใดก็ตาม
ชูนามเห็นจึงรีบเข้าไปหา “หมอว่ารุ้งเป็นอะไรจ๊ะ”
ร้อยกรองรีบเข้ามาโอบเอวปานรุ้งเอาใจ
“หมอบอกหนูรุ้งท้องใช่ไหม”
คมขวัญเดินเข้ามาพร้อมปริญญา ได้ยินตอนที่ปานรุ้งมองชูนามและร้อยกรองด้วยสีหน้ายิ้มตื่นเต้นบอกว่า
“เยส รุ้งท้องค่ะ”
ร้อยกรองกับชูนามต่างกระโดดกอดกันด้วยความดีใจ
คมขวัญยืนชะงัก เรื่องปานรุ้งท้องนั้นเป็นเรื่องดีงามเหลือเกิน
แต่ทว่าคมขวัญห่วงเรื่องพ่อของหลาน คมขวัญมองไปที่ชูนามและร้อยกรองที่ดูดีใจมาก แล้วมองไปที่ปานรุ้งมองชูนามกับร้อยกรองด้วย สีหน้ามีความสุข
เกื้อมองปานรุ้งที่มีความสุขด้วยสายตาเศร้า แล้วเดินออกไปเงียบๆ
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
เกื้อเดินมาตามทาง ตระหนักชัดแล้วว่าชาตินี้คงไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมในตัวปานรุ้ง ยิ่งเวลานี้เธอท้อง เขาก็อดที่ยิ่งเจ็บปวดและยิ่งรู้สึกว่าปานรุ้งห่างไกลเขาออกไปมากทุกที
เกื้อเดินมาหยุดตรงหน้าห้องดูแลเด็กอ่อนของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นห้องกระจกที่พ่อแม่สามารถเห็นลูกในห้องได้
เกื้อทอดสายตามองไปยังเด็กทารกที่นอนนิ่งไร้เดียงสา บริสุทธิ์ดั่งผ้าขาว จนมีผู้ป่วยหญิงหลังคลอดกับสามี เดินมายืนมองลูกตรงหน้ากระจกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เกื้อมองสองคนอย่างยินดี
ระหว่างนี้ชูนามเดินโอบประคองปานรุ้งอย่างทะนุถนอมไปทางห้องรับยา ร้อยกรองเดินประกบปานรุ้งอีกข้าง ทั้งสามผ่านเกื้อไป เกื้อหมุนตัวมามองตามปานรุ้ง
คมขวัญเดินตามหลังสามคนมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีดีใจเวอร์เท่าร้อยกรองและชูนาม ปริญญาเดินปิดท้าย มองอาการ ดีใจของชูนามและร้อยกรองอย่างใช้ความคิด
ปานรุ้งหันไปมองเด็กอ่อนในห้องตาเป็นประกาย
“อุ๊ย ดูนั่นสิคะชูนาม”
ชูนามหันไปมองตามอย่างตื่นเต้น “น่ารักทั้งนั้นเลย”
ร้อยกรองรีบจุ๊ปาก “จุ๊ๆๆๆ เขาไม่ให้ชมเด็กเล็กๆว่าน่ารักลูก เขาให้พูดว่าน่าเกลียด น่าชัง”
ปานรุ้งเดินไปยืนชิดกระจก มองทารกด้วยสายตาเปี่ยมสุข
ทั้งเกื้อและคมขวัญต่างมองปานรุ้งอยู่
“ลูกเราจะน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ไหมคะชูนาม”
“ไม่หรอก”
“คุณว่าลูกเราจะไม่น่าเกลียดน่าชังเท่านี้เหรอคะ”
“ใช่ เพราะลูกเราจะน่าเกลียดน่าชังกว่าแสนเท่า ล้านเท่า ก็พ่อแม่สวยหล่อขนาดนี้ ลูกออกมา ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องสวยยิ่งกว่านางบุษบา ถ้าเป็นผู้ชาย ก็ต้องงามยิ่งกว่าพระราม”
ปานรุ้งหัวเราะมีความสุข แล้วหันไปเห็นคมขวัญที่ยืนนิ่งอยู่
“ขอบคุณนะคะนายแม่ ที่เสียสละเวลางานมาดูอาการรุ้ง นายแม่กลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ รุ้งกลับบ้านกับชูนามเอง”
ร้อยกรองเสนอหน้า “คุณคมขวัญไม่ต้องห่วงหนูรุ้งนะคะ รับรองว่าฉันกับชูนามจะดูแลทั้งหนูรุ้งและหลานของเราอย่างดี”
“รุ้งเดินดีๆ จ้ะ อุ้ยๆๆ ระวังสะดุดนะ”
“แม่ว่าชูนามอุ้มหนูรุ้งดีกว่า ดูพื้นสิ เป็นมันวับ เดี๋ยวลื่นล้มได้นะ” ร้อยกรองประจบเอาใจ
“แม่พูดถูก” ชูนามหันไปพูดกับปานรุ้ง “มาจ้ะ ผมอุ้มนะ”
ปานรุ้งห้ามชูนามด้วยสีหน้าสุขสมเมื่อเห็นผัวดูแลอย่างดี
“ไม่เอาน่าชูนาม รุ้งเดินเองได้ เห็นไหมคนมองกันหมดแล้ว”
“ใครจะมองก็ช่างสิ” ชูนามหันไปพูดเสียงดัง “ผมจะประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ไปเลย ว่าเมียผมท้อง...”
ปานรุ้งทั้งขำ ทั้งอาย แต่ดูออกว่ามีความสุขล้น
เกื้อมองภาพนั้นแม้จะเจ็บ แต่พอเห็นปานรุ้งยิ้มหัวมีความสุข เขาก็ยิ้มชื่นไปกับความสุขของคุณหนูที่กำลังจะเป็นแม่คน
ที่บ้านนทีพิทักษ์ เช้าวันถัดมา คุณหญิงสุดใจกางหนังสืออ่านอยู่ในห้องโถง หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ มีกรอบข่าวเล็กๆ แต่เด่นว่า “สมุทรเทวากำลังมีทายาทตัวน้อย”
วาสุเทพเดินเข้ามาหา “คุณแม่ให้เด็กไปตามผม มีอะไรเหรอครับ”
คุณหญิงสุดใจลดหนังสือพิมพ์ลง มองลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขเต็มเปี่ยม
“วันนี้มีข่าวดีๆ แม่เลยอยากให้เทพได้อ่าน”
วาสุเทพมองงงๆ “ข่าวอะไรเหรอครับ”
คุณหญิงยื่นหนังสือพิมพ์ให้ลูกชาย วาสุเทพรับมาดูหน้า 1 เห็นข่าวปานรุ้งท้องถึงกับชะงัก
ข่าวปานรุ้งท้องกระจายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ตลาดสด ปิ่นเดินนำน้อยผ่านแผงขายผลไม้ ที่ แม่ค้า 1 กำลังพรมน้ำอยู่ พอเห็นปิ่น กับ น้อย แม่ค้า 1 ก็รีบร้องทัก
“อ้าว ยายปิ่น ไม่แวะแผงฉันหน่อยเหรอจ๊ะ”
สองคนหยุด หันมามองแม่ค้า 1
“ไม่ละ ผลไม้ยังมีอยู่อีกเยอะ”
“แต่วันนี้ฉันมีมะม่วงแรดมานะ น่าจะเอาไปฝากคุณหนูยายปิ่น สักโลสองโลสิ คุณหนูคงชอบมะม่วงแรด” แม่ค้า 1 เหลือบไปมองเพื่อน แม่ค้า 2 ที่นั่งแผงข้างๆ ยิ้มย่องพยักพเยิดกัน “ได้ข่าวว่าเรียกหาของเปรี้ยวแทนข้าวเลยไม่ใช่เหรอ”
ปิ่นถอนใจ พยายามนิ่งเพราะรู้ว่าที่พวกแม่ค้ากำลังแซวเรื่องปานรุ้งแต่งปุ๊บท้องปั๊บ
น้อยมองแม่ค้าอย่างไม่พอใจ ขยับตัวจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ยายปิ่นจับแขนปราม
“ไปดูปลาช่อนตรงโน้นดีกว่าไป”
แม่ค้า 1ปากดีใส่ “จะรีบไปไหนล่ะ ช่วยบอกฉันก่อนว่าฉันจำผิดรึเปล่า คุณหนูยายปิ่นแต่งงานเมื่อกลางเดือนที่แล้วใช่ไหม”
แม่ค้า 2สะกิดเพื่อนแม่ค้า “จะไปถามทำไม ฉันก็บอกแกแล้วว่าน้ำยาลูกเขยบ้านนี้แรง แต่งไม่ถึงเดือน โอ้กอ้าก”
น้อยทนไม่ไหว “คุณหนูของฉันไปอ๊วกบนหัวแกรึไง ปากอย่างนี้อย่าขายผลไม้เลย ไปรับจ้างเฝ้าห้องน้ำโน่น เวลาคันปากจะได้ล้วงของในส้วมกิน ปากจะได้ไม่ว่างมาเห่าชาวบ้าน”
แม่ค้า 1โกรธ ชี้หน้าเอาเรื่อง “นังน้อย”
น้อยชี้หน้ากลับ “ถ้าพูดว่าคุณหนูฉันอีกคำเดียว แม่จะถอดรองเท้ายัดปากซะเลย”
“ไปได้แล้วนังน้อย”
ปิ่นลากแขนน้อยพาเดินออกจากแผงผลไม้ไปยืนอีกมุม น้อยฮึดฮัดใหญ่
“ปล่อยฉันนะป้า ฉันจะตบปากอีพวกนั้น”
ปิ่นตวาดเอา “แล้วมันทำผิดอะไร ถึงไปตบปากมัน”
“ก็มันว่าคุณหนูไงป้า”
“แล้วคุณหนูแกเป็นอย่างที่พวกนั้นมันพูดรึเปล่า”
น้อยชะงัก อึ้งไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกแม่ค้าพูดถูก
คมขวัญเปิดประตูเข้าห้องทำงานมา มีปริญญาเดินตาม
“ผมว่าเราหาทางทำเอกสารหรือพินัยกรรมเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ทรัพย์สมบัติ ของคุณรุ้ง ให้เป็นแค่ของคุณรุ้งกับลูกเท่านั้น ดีไหมครับคุณนาย”
คมขวัญนึกถึงหน้าปานรุ้งที่มองชูนามกับร้อยกรองด้วยสีหน้ามีความสุขมาก
“ถ้าทำอย่างนั้น คนที่มีความสุขคือรุ้ง หรือแค่เรา”
“อย่างน้อยก็ป้องกัน” ปริญญาคิดถึงชูนามขึ้นมา “เงินไหลไปบ่อนนะครับ”
“ถ้าฉันจะทำสัญญาอะไรสักอย่าง ฉันอยากทำสัญญาที่จะรักษาความสุขของรุ้งให้อยู่ไปนานๆ”
ปริญญามองคมขวัญด้วยความสงสัย “คุณนายจะทำอะไรครับ”
คมขวัญมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดบางอย่าง
ปานรุ้งนั่งดูนิตยสารหาแบบเปลเตรียมให้ลูกอยู่ที่ห้องโถงบ้านสมุทรเทวา โดยมีน้อยนั่งข้างๆ ปานรุ้งไล่สายตา มองรูปเปลเด็กในแคตตาล็อกของร้านเฟอร์นิเจอร์อย่างตื่นเต้น
“มีแต่เปลแบบน่ารักไปหมดเลย ฉันจะเลือกแบบไหนดีล่ะน้อย”
“ค่อยๆ ดูไปก็ได้ค่ะคุณหนู คุณหนูเพิ่งท้องเดือนกว่า ยังมีเวลาเลือกอีกตั้งนาน”
“นานที่ไหน เดี๋ยวๆ เดือนนึงก็ผ่านไปแล้ว ฉันต้องการให้ลูกฉันเกิดมาท่ามกลางความพร้อม คอยดูนะน้อย ถ้าลูกฉันคลอดออกมา เขาจะมีทั้งพ่อและแม่อยู่ข้างๆ ฉันจะให้ความรักกับเขาเต็มที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา ไม่ห่างไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ลูกของฉันจะต้องมีแต่ความว่าเกิน ไม่มีคำว่าขาดเหมือนอย่างชีวิตฉันเด็ดขาด”
น้อยมองปานรุ้งอย่างเข้าใจ ว่านายสาวพูดถึงชีวิตวัยเด็กที่ถูกคมขวัญให้แต่เงิน แต่ขาดความใกล้ชิดเอาใจใส่
คมขวัญยืนฟังปานรุ้งพูดกับน้อยอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน มองสีหน้าปานรุ้งที่เชื่อมั่นในตัวชูนามแล้ว ยิ่งคิดว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่างรักษาความสุขของปานรุ้งไว้
กลางดึกคืนหนึ่ง ชูนามเปิดประตูเข้าห้องทำงานคมขวัญมา ซึ่งคมขวัญนั่งรออยู่นานแล้ว
“รุ้งหลับไปแล้วใช่ไหม”
“ครับ ก็นายแม่สั่งให้น้อยไปบอก รอรุ้งหลับ ค่อยลงมาหานายแม่” ชูนามมองคมขวัญอย่างสงสัย “นายแม่มีอะไรกับผมเหรอครับ”
“ฉันแค่อยากจะบอก ว่าตอนนี้เธอกำลังมีลูก และมีความรับผิดชอบมากมายที่รออยู่”
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วครับ”
“ถ้าเธอรู้ เธอก็ควรหยุดเข้าบ่อนซะ”
ชูนามชะงัก นิ่งงันไปนิดหนึ่ง
“แหม ผมก็แค่เล่นสนุกๆ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอกครับ นายแม่”
“แต่ต่อไปนี้ ชีวิตของเธอทุกวินาที มีแต่ความจริงจัง ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียว มันไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ล้ม แต่มันมีทั้งรุ้งและลูกของที่เธอ ที่ต้องล้มไปกับเธอด้วย ฉันขอร้องละ เลิกซะ”
ชูนามลอบถอนใจอย่างรำคาญ ย้อนแย้งเอาว่า “เพื่อนฝูงผมมีเยอะแยะแล้วผมก็กำลังลงทุนธุรกิจกับเพื่อน เพื่อนไปสังสรรค์ ผมก็คงต้องไปบ้าง”
คมขวัญยื่นซองใส่ปึกเงินสดให้ชูนาม
“แล้วถ้าฉันจ้างให้เธอหยุด เธอจะยอมไหม”
ชูนามรับซองมาเปิดดู ในนั้นเป็นปึกเงินสด 1 แสนบาท!
“ต่อไปนี้ ฉันจะให้เงินเดือนเธอ เดือนละ 1 แสนบาท เพื่อให้เธอหยุดอบายมุขทุกอย่าง และถ้าเธอจะลงทุนทำธุรกิจจริงๆ ไม่ต้องลงทุนกับเพื่อนหรอก เธอมาบอกฉัน ฉันจะลงทุนทำกับเธอเอง
ชูนามมองเงินยิ้มๆ “นี่ถ้ารุ้งรู้ว่านายแม่ลงทุนทำเพื่อเขาขนาดนี้ เขาคงดีใจนะครับ”
“อย่าให้รุ้งรู้ ให้เขารู้ว่าที่เธอทำ เป็นเพราะรักเขากับลูก ฉันขอแค่นี้ เธอทำได้ไหม”
ชูนามมองคมขวัญด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
อ่านต่อตอนต่อไป
เช้าวันถัดมา คมขวัญเดินตรวจงานตามปกติ ปริญญาเดินตามด้วยสีหน้าเครียดหลังรู้สิ่งที่คมขวัญทำ
“หนึ่งแสนบาท คุณนายจ่ายเงินเดือนให้คุณชูนามเดือนละ 1 แสนบาท เหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกปริญญา มันเป็นเงินส่วนของฉัน ไม่ใช่เงินกองกลาง ของสมุทรเทวา”
ปริญญาคัดค้าน “คุณนายก็รู้ ว่าผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ต่อให้คุณนายใช้เงินกองกลางของสมุทรเทวา ก็ไม่มีใครกล้าว่า เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ มันเกิดจากหยาดเหงื่อของคุณนาย แต่ที่ผมห่วง กลัวคุณนายจะเสียเงินเปล่า”
“ไม่หรอกปริญญา ถึงเงินของฉันไม่ยั่วยวนเท่ากับเกมการพนันในบ่อน แต่อย่างน้อยมันช่วยย้ำให้ชูนามรู้ว่า เงินก้อนนี้ เขาได้มาเพื่อทำหน้าที่อะไร”
ปริญญายังไม่เห็นด้วยอยู่ดี “ผมรู้ว่าผมห้ามคุณนายไม่ได้ แต่ผมอยากจะเตือนเสือก็คือเสือ ต่อให้พยายามถอดเขี้ยวถอดเล็บมันยังไง มันก็ยังเป็นเสือ ที่วันนึง มันอาจจะแว้งกัดเราก็ได้”
คมขวัญนิ่ง สายตามองออกไปไกลด้วยจิตใจภาวนาให้ชูนามไม่เป็นอย่างที่ปริญญาคิด
ชีวิตใหม่ในครรภ์ปานรุ้ง เติบโตขึ้นมาอีก 3 เดือน ตามวันเวลาที่ล่วงเลยผันผ่านไป
เช้านี้ ชูนามใช้โทรศัพท์บ้านคุยสายกับเฮียโมไป พร้อมกับมองซ้าย มองขวาไป กลัวใครมาได้ยิน
“ที่บ่อนคืนนี้เหรอเฮีย มีเกมใหม่จากมาเก๊ามาลง แหม...ระดับเฮียโมโทรมาชวนผมเองอย่างนี้ มีเหรอครับจะพลาด”
ปานรุ้งอุ้มท้อง 4 เดือนกว่า วิ่งลงบันไดมาทำท่าขยักขย้อนจะอ๊วก
ชูนามหันไปเห็น รีบตัดสาย “คืนนี้เจอกันนะเฮีย”
ปานรุ้งยืนเกาะราวบันไดเวียนอยู่ จะอ๊วกรอมร่อ ยกมือข้างนึงปิดปากไว้ อีกข้างชี้มาที่กระโถนข้างๆ ชูนามกวักมือบอกให้ผัวเอากระโถนมาให้ไวๆ
ชูนามมองกระโถนข้างๆ เท้าตัวเอง แล้วมองปานรุ้งที่จะอ๊วกแล้วแอบแขยงนิดๆ ตะโกนเรียกหาน้อยทันที
“น้อย หายไปไหนเนี่ย ได้ยินไหมว่าคุณรุ้งจะอ๊วก”
คนที่วิ่งเข้ามาคือเกื้อ ในมือมีกระโถนเตรียมมาให้ปานรุ้งอาเจียนใส่ โดยไม่มีทีท่ารังเกียจ ชูนามมองอย่างหมั่นไส้ คิดว่าเกื้อประจบปานรุ้ง
“คุณหนูไหวไหมครับ”
ปานรุ้งอาเจียนเสร็จ จะเดินไปหาชูนาม แต่เซ เกื้อรีบวางกระโถน แล้วประคองปานรุ้งพาเดินมา ชูนามเห็นรีบเดินเข้ามาประคองปานรุ้งแล้วผลักเกื้อออก
“ฉันดูแลเมียฉันเอง” ชูนามพูดเสียงหวานเอาใจ “ไหวไหมจ๊ะ นี่ท้องสี่เดือนกว่า ยังแพ้ไม่หายอีกเหรอจ๊ะ”
ปานรุ้งหงุดหงิด “รุ้งก็ไม่รู้ หมอบอกว่าเดี๋ยวมันก็หาย แต่ไม่เห็นจะหายสักที”
ชูนามประคองปานรุ้งไปนั่งที่โซฟา เกื้อมองตาม
สักครู่น้อยเดินถือถาดใส่แก้วยาหอมเข้าให้ปานรุ้ง
“ยาหอมค่ะคุณหนู”
ปานรุ้งได้กลิ่นยาหอมแล้วทำหน้าเบ้
“ฉันบอกแล้วไงว่ามันเหม็น เอาออกไปไกลๆ ฉันเลยน้อย”
“แต่ป้าปิ่นบอกว่า ดื่มยาหอม ช่วยให้หายเวียนหัวนะคะ”
ได้ยินชื่อปิ่นปานรุ้งของขึ้น ตวาดแว้ด “ยายปิ่นเป็นญาติผู้ใหญ่ฉันรึไง ฉันถึงต้องฟังน่ะ” พร้อมกับผลักถาดใส่แก้วยาหอมพ้นไป “เอาไปเททิ้ง” แล้วหันมาอ้อนผัว “ชูนาม รุ้งอยากกินรังนก พารุ้งไปกินที่เยาวราชหน่อยนะคะ”
ชูนามเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ เพราะนัดเฮียโมไว้
“เอ่อ พอดีผมมีประชุมงานกับเพื่อนน่ะรุ้ง”
ปานรุ้งหงุดหงิดนิดๆ “ประชุมอีกแล้วเหรอ อาทิตย์ก็ประชุมแทบทุกวัน วันก่อนก็ประชุม กว่าจะกลับก็เกือบเช้า วันนี้ประชุมอีก ถามจริงๆ คุณไปประชุมจริงๆ รึเปล่า”
ชูนามงัดคำโกหกวางมาดให้ดูน่าเชื่อถือ “ประชุมจริงๆ สิจ๊ะ ที่ผมประชุมบ่อย เพราะบริษัทผมกับเพื่อนกำลังจะส่งสินค้าล็อตแรกแล้วนะ”
ปานรุ้งฟังแล้วดีใจ “จริงเหรอคะ ในที่สุดบริษัทคุณกับเพื่อนก็เปิดสักที รุ้งเห็น
บริษัทคุณไม่มีอะไรคืบหน้ามาสาม สี่ เดือน นึกว่าล้มเลิกไปแล้ว”
“โธ่ การขนส่งไม่ใช่เรื่องง่ายนะรุ้ง ดูอย่างบริษัทสมุทรเทวาของคุณสิ กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ต้องใช้เวลาตั้งหลายช่วงอายุคนเลย”
ปานรุ้งนิ่ง เพราะชูนามพูดถูก ชูนามเห็นปานรุ้งนิ่งรู้ว่าพูดถูกจุดจึงเข้าไปอ้อนต่อ
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมให้เกื้อไปซื้อให้คุณก่อนนะ ผมสัญญา ว่าคราวหน้า ต่อให้คุณอยากกินกุ้งย่าง ผมจะพาไปกินถึงย่างกุ้ง”
ปานรุ้งขำ อารมณ์ดีขึ้น “กินกุ้งย่าง เกี่ยวอะไรกับย่างกุ้ง”
“ไม่เกี่ยว แค่อยากทำให้เมียยิ้ม แล้วเมียก็ยิ้มจริงๆ” เขามองไปทางเกื้อ “เกื้อ ได้ยินไหม คุณหนูอยากกินรังนก ไปซื้อให้คุณหนูสิ ยืนบื้ออะไรอยู่ได้”
“ครับคุณชูนาม” เกื้อโค้งรับคำสั่ง แล้วจะเดินไป
ปานรุ้งรีบตะโกนเรียกไว้ “เกื้อ เดี๋ยวฉันไปด้วย” แล้วหันมาทางชูนาม “แล้วอย่ากลับดึกอีกล่ะ”
“จ้า”
ปานรุ้งลุกขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมเกื้อ ชูนามมองตามด้วยรอยยิ้มขี้โกง
ปานรุ้งเดินเข้ามาในตรอกย่านเยาวราช เพื่อจะไปร้านอาหารจีนเจ้าประจำ มีเกื้อคอยเดิน ประคอง ป้องกันไม่ให้คนเดินเบียดมาชน ปานรุ้งเดินเขย่งเท้า แขยงน้ำคร่ำน้ำดำที่ขังตามพื้น
จู่ๆ มีพ่อค้าแผงผัก เทน้ำทิ้งหน้าร้าน ปานรุ้งกระโดดเหยงอย่างตกใจ และขยะแขยง
“ว้าย...อี๋”
“คุณหนูไหวไหมครับ ผมว่าคุณหนูกลับไปรอที่รถเถอะครับ เดี๋ยวผมซื้อรังนกให้เอง”
ปานรุ้งไม่ยอม “ไม่เอา รังนกร้านนี้ต้องกินตอนอุ่นๆ ถึงจะอร่อย ไปเถอะ ฉันเดินได้สบายมาก”
มีคนงานรับจ้างเข็นของ เข็นรถเข็นเบียดตัวปานรุ้ง ปากตะโกนบอกผู้คนที่เดินในตลาด “ถอยหน่อยนาย ถอยหน่อย…”
เกื้อยืนเบียดผู้คนที่ต่างหลบรถ เอาตัวกันให้ปานรุ้งหลบรถ
คนงาน รีบร้อนเข็นรถที่มีของเต็มรถอย่างไม่ระวัง จนล้อรถทับเท้าปานรุ้ง
“โอ๊ย”
เกื้อตกใจ “คุณหนูเป็นยังไงบ้างครับ”
“อีตาบ้านั่น มันเข็นรถทับเท้าฉันน่ะสิ เจ็บชะมัดเลย”
เกื้อทรุดตัวลงนั่งเอาชายเสื้อตัวเอง เช็ดน้ำคลำที่เท้าปานรุ้ง ตรวจดูว่าเท้าบาดเจ็บมากไหม ปานรุ้งมองเกื้อที่ภักดีกับตัวเองเหลือเกินอย่างซาบซึ้ง
“คุณหนูเดินต่อไหวไหมครับ”
“ไหว ก็ฉันอยากกินนี่ ขอบใจนะเกื้อ” ปานรุ้งยิ้ม บอกลูกในท้อง “ท่าทางลูกคนนี้จะรสนิยมสูง ทำให้แม่อยากกินแต่ของหายากแทบทุกวันเลย เห็นไหม หนูอยากกิน แม่ก็ยอมลำบากมาเพื่อหนู รออีกนิดนะลูก เดี๋ยวก็จะถึงร้านแล้ว”
ปานรุ้งเดินพูดกับลูกไปตามทาง เกื้อมองตาม ปานรุ้งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากท้องมานี้
หากสองคนรออีกนิด ก็จะเห็นว่าที่ด้านหลังวาสุเทพและกติยาเดินออกจากซอยเล็กๆ เกือบเจอกัน แถมวาสุเทพยังจะไปทางที่ปานรุ้งเพิ่งเดินไป
“เราไปดูของต่อทางนี้ดีไหม”
“แต่ยาว่าเราไปทางนั้นก่อนดีกว่าไหมคะ แล้วค่อยย้อนมาทางนี้ เพราะเป็นทางออกจากตลาดพอดี”
“ได้จ้ะ”
กติยายิ้มดีใจที่วาสุเทพตามใจ แล้วเดินนำไปอีกทาง
กติยาเดินเคียงข้างวาสุเทพมา มองสินค้าตรงโน้นตรงนี้อย่างมีความสุข จนไปเจอแผงร้านขายตุ๊กตาเซรามิคเด็กคู่เล็กๆ เป็นเด็กชายหญิงจีนน่ารักๆ กติยาเดินเข้าไปดู
วาสุเทพยืนข้างๆ ไม่ได้สนใจดูตุ๊กตาเท่าไร มัวแต่มองไปทางอื่น จนเห็นร้านข้างๆ ซึ่งเป็น ร้านขายหูฉลามแห้ง ที่มีหูฉลามวางโชว์ขายอยู่ในตู้กระจก แม่ค้ากำลังท้องพอดี วาสุเทพเห็นคนท้องแล้วอดคิดถึงปานรุ้งไม่ได้
วาสุเทพเดินไปหาแม่ค้าในร้าน โดยที่กติยายังมองตุ๊กตาเพลิน
วาสุเทพยิ้มทักแม่ค้า “ท้องกี่เดือนแล้วครับ”
แม่ค้ายิ้มตอบอย่างเป็นมิตร “สี่เดือนกว่าแล้วจ้ะ”
วาสุเทพชะงัก เพราะอายุครรภ์เท่ากับปานรุ้งพอดี
“เหมือน...เพื่อนผมเลย เขาก็ท้องสี่เดือนกว่า”
ระหว่างนี้ พ่อค้า ผัวแม่ค้าถือถาดใส่ถ้วยใส่ซุปหูฉลามมาให้
“ซุปหูฉลามร้อนๆ มาแล้ว กินเยอะๆ นะ หูฉลามนี่ดีนะ บำรุงทั้งเธอทั้งลูกเราให้แข็งแรง”
พ่อค้าพูดพร้อมกับลูบท้องเมียอย่างรักใคร่
วาสุเทพมองซุปหูฉลามแล้วคิดถึงปานรุ้ง
ฟากกติยายังก้มหน้าดูตุ๊กตา และคิดว่าวาสุเทพอยู่ข้างๆ
“ตัวนี้น่ารักไหมคะพี่เทพ”
กติยาไม่ได้ยินเสียงตอบสักที พอหันไปมองก็พบว่าวาสุเทพอยู่ร้านข้างๆ แล้ว
กติยาตะโกนเรียก “พี่เทพคะ”
วาสุเทพชะงักหันมามองกติยา
“อ้าว” รีบเดินไปหา “ขอโทษที พอดีพี่เห็นยาดูตุ๊กตาอยู่ พี่ไม่ทันบอกว่าไปดูร้านโน้น”
กติยาชะงัก ดูออกว่าวาสุเทพไม่ค่อยมีความสุขที่ต้องอยู่ข้างๆ เธอ แต่ฝืนยิ้มเข้าไว้
“ไม่เป็นไรค่ะ” พลางหยิบตุ๊กตาเซรามิคคู่มาให้วาสุเทพดู “น่ารักไหมคะ”
“ก็น่ารักดีจ้ะ”
“เรารับทำเป็นของชำร่วยในงานแต่งงานด้วยนะครับ คู่นี้เหมาะกับคู่คุณมาก ขอโทษนะครับ คุณสองคนแต่งงานกันรึยังครับ” พ่อค้าถาม
วาสุเทพยิ้มนิ่งๆ ไม่ตอบ เขาหันกลับไปมองร้านที่ขายหูฉลามอีก มองแม่ค้ากินซุปหูฉลาม อย่างเอร็ดอร่อยแล้วคิดถึงปานรุ้งขึ้นมาครามครัน
กติยามองตามวาสุเทพที่ดูไม่ใส่ใจเรื่องแต่งงาน ด้วยสายตาเศร้าสร้อย
กลับถึงบ้านสมุทรเทวาก็มืดค่ำแล้ว ปานรุ้งเดินเข้าโถงบ้านมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เกื้อถือถุงอาหารและข้าวของ ตามเข้ามา
“น้อย เอาน้ำเย็นเจี๊ยบ มาให้ฉันสิ ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
น้อยวิ่งถือถาดใส่แก้วน้ำเย็นมาให้ปานรุ้ง
“น้ำเย็นเจี๊ยบ...มาแล้วค่ะ”
ปานรุ้งหยิบแก้วน้ำมาดื่ม
“คุณหนูหิวอีกไหมครับ เดี๋ยวผมเอาขนมไปใส่จานให้นะครับ”
ปานรุ้งยิ้มให้เกื้อ “เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆ นะเกื้อ”
เกื้อยิ้มตอบแล้วเดินออกไป
ปานรุ้งมองหาสามี “แล้วชูนามล่ะน้อย”
น้อยอึกอัก “เอ่อ...คือ…”
ปานรุ้งมองอาการน้อย ก็เดาคำตอบออก วางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดังระบายอารมณ์
“ยังไม่กลับใช่ไหม” ปานรุ้งถอนใจ “นี่ฉันต้องเข้านอนคนเดียวอีกแล้วใช่ไหม”
ปานรุ้งฟุบหลับอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก คมขวัญเดินลงบันไดมาเห็นจึงเดินเข้าไปดูลูก
ปานรุ้งขยับตัว ท่าทีไม่สบายตัวเอาเลย เพราะท้องเริ่มโต โย้ “น้อย ชูนามกลับรึยัง”
คมขวัญได้ยินแล้วลอบถอนใจเป็นห่วงลูกสาวเรื่องชูนาม
“น้อย...นวดขาให้ฉันหน่อย ฉันปวดขา”
ปานรุ้งพูดทั้งๆที่ยังหลับตา ไม่รู้ว่าคนที่ยืนข้างๆ เป็นแม่ คมขวัญค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ปานรุ้ง แล้วนวดขาให้ลูกสาวอย่างเบามือ และทะนุถนอม ปานรุ้งถอนใจ ท่าทีสบาย ผ่อนคลายขึ้น บ่นทั้งๆ ที่ยังหลับตา
“ท้องยิ่งโต ยิ่งนอนไม่ค่อยหลับเลยน่ะน้อย ฉันจะทำยังไงดี”
คมขวัญมองปานรุ้งอย่างแสนรัก แสนสงสาร เอื้อมมือไปปัดผมที่ระหน้าให้ลูกด้วยความสงสาร
เมื่อปริญญาเปิดประตูเข้าห้องคมขวัญมา ในมือถือแฟ้มเอกสาร เห็นคมขวัญในมาดนักธุรกิจหญิงแกร่ง ใส่แว่นสายตาหนาก้มหน้าเย็บหมอนหนุนท้องให้ปานรุ้งอยู่ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ อย่างคนไม่เคยเย็บมาก่อน จังหวะหนึ่งโดนเข็มทิ่มมือถึงกับสะดุ้ง คมขวัญถอนใจ บ่นอย่างหงุดหงิด
“ทำแล้วก็เสีย ทำแล้วก็เบี้ยว จะเสร็จทันให้รุ้งไหมเนี่ย”
“คุณนายเย็บอะไรอยู่น่ะครับ”
“เย็บหมอนหนุนท้องให้รุ้ง ท้องรุ้งใหญ่ขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งนอนลำบากถ้ามีหมอนนี่ช่วยหนุนท้อง จะนอนสบายขึ้น”
ปริญญามองประมุขสมุทรเทวาก้มหน้าก้มตาเย็บหมอน จากนักธุรกิจหญิงแกร่งกลายสภาพเป็นหญิงแก่เย็บหมอนให้ลูกอย่างตั้งใจ ทั้งที่ไม่ถนัดเอาเลย
ค่ำนั้นวาสุเทพถือกล่องใส่อาหาร มีผ้าสีชมพูอ่อนผูกทับอย่างดีจากเหลา มาหยุดชะเง้อมองผ่านช่องรั้วบ้านสมุทรเทวา พยายามหาทางส่งกล่องอาหารเข้าไปด้านใน
เกื้อปั่นจักรยาน เพิ่งกลับมาจากตลาด เข้ามาจอดด้านหลัง แล้วเดินมาหาวาสุเทพ
“คุณวาสุเทพทำอะไรเหรอครับ”
วาสุเทพสะดุ้ง หันมาเกื้อด้วยสีหน้าแหยๆ เหมือนคนกำลังจะทำผิด แต่โดนจับได้ก่อน
“ฉัน...เอ่อ...” วาสุเทพมองกล่องอาหารในมือ “เอาซุปหูฉลามมาให้รุ้งน่ะ”
“อ๋อ งั้นเชิญเข้าบ้านก่อนครับ”
เกื้อจะเปิดประตู แต่วาสุเทพห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อนเกื้อ ฉันไม่เข้าไปหรอก ฉันไม่อยากให้รุ้งรู้ว่าฉันเอาของมาให้”
เกื้อชะงัก มองฉงน
วาสุเทพมองกล่องอาหาร
“พอดีฉันเห็นคนท้องเขากินซุปหูฉลาม เขาบอกว่ามันบำรุงครรภ์ ภรรยาเพื่อนฉันเคยเป็นแม่ครัวโรงแรมจีน เขาทำอาหารจีนอร่อยมาก ฉันเลยขอเขาทำซุปหูฉลามให้รุ้ง” นายทหารเรือเอกยื่นกล่องอาหารให้เกื้อ “ฉันของฝากเกื้อเอาไปให้ รุ้งทานด้วยนะ”
เกื้อมองกล่องอาหาร แล้วมองวาสุเทพ ทึ่งในหัวใจรักและความห่วงใยของอีกฝ่าย
“ผมขอถามอะไรตรงๆ ได้ไหมครับ”
นายทหารยศเรือเอกมองเกื้ออย่างรู้ทัน “อยากรู้ใช่ไหม ว่าทำไมฉันทำอย่างนี้ ทั้งๆ ที่รุ้งเขา…” วาสุเทพเจ็บแปลบขึ้นมา “แล้วเกื้อล่ะ ทำไมยังตามดูแลรุ้ง ทั้งๆ ที่โดนรุ้งทั้งใช้ และต่อว่าอยู่หลายหน”
เกื้อชะงักที่อีกฝ่ายมาย้อนถามกลับ “เพราะผมเกิดปีหมามั้งครับ เลยซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย”
“เธอซื่อสัตย์ ส่วนฉันก็คงภักดีมั้ง ภักดีต่อความรู้สึกตัวเอง” วาสุเทพยิ้ม ขณะเหลียวมองไปทางตึกใหญ่บ้านสมุทรเทวา “ที่ยังรักและห่วงเขา”
เกื้อฟังด้วยความชื่นชมในความรักของวาสุเทพที่มั่นคงต่อปานรุ้งไม่เปลี่ยน เหมือนเขาเอง
“ฝากดูแลรุ้งด้วยนะเกื้อ ฉันไปละ”
วาสุเทพขึ้นรถ แล้วขับออกไป เกื้อมองตามจนลับตา ก่อนจะมองกล่องอาหารในมือสีหน้านิ่ง
วันเวลาเคลื่อนคล้อย ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่เรือเอกวาสุเทพยังคงแวะเวียนเอาซุปหูฉลามอร่อยล้ำมาฝากปานรุ้ง ผ่านทางเกื้อ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนมานี้
ค่ำคืนหนึ่ง ปานรุ้งสวมเสื้อผ้าจะไปงานเลี้ยงส่งกระจก เห็นท้องใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์ 6 เดือนกว่า ว่าที่คุณแม่มองรูปร่างตัวเองในกระจกอย่างหงุดหงิด
“ทำไมฉันน่าเกลียดอย่างนี้ล่ะน้อย ดูสิ พุงก็ยื่น แขนก็ใหญ่คางก็ย้อย” ปานรุ้งโยนเสื้อผ้าชุดที่เลือกไว้ทิ้ง “ฉันไม่ปง ไม่ไปงานเลี้ยงแล้ว อายเค้า”
“โธ่คุณหนูขา คุณหนูไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลย ดูสิคะ...ขนาดท้องผิวพรรณยังผุดผ่อง หน้ายังสวยกว่าคนไม่ท้องอีก” น้อยปะเหลาะเอาใจ
“ไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก หุ่นฉันตอนนี้ สู้สาวๆ ในสังคมไม่ได้เลย” ปานรุ้งนึกขึ้นมาแล้วพาลพาโล “เป็นเพราะซุปหูฉลามที่เกื้อเอามาให้ฉันกินทุกวันแน่ๆ ที่ทำให้ฉันอ้วน”
“แปลว่าคุณหนูจะไม่รับซุปหูฉลามแล้วใช่ไหมคะ” น้อยยิ้มมองเหล่
“กินสิ อร่อยขนาดนั้น น้อยรู้ไหม ว่าเกื้อไปซื้อซุปหูฉลามจากร้านไหน”
“ไม่ทราบค่ะ เกื้อจะออกไปซื้อคนเดียว พอขอไปด้วย ก็ไม่ยอม”
“เหรอ” ปานรุ้งคิดเรื่องเกื้อประเดี๋ยวประด๋าว แล้วเลิกคิด “จะซื้อที่ไหนก็ช่างเถอะขี้เกียจคิด
ตอนนี้คิดแค่เรื่องผัวตัวเอง ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ไม่รู้หายหัวไปไหนอีก...หรือว่าที่หลังๆ ชูนามกลับบ้านเกือบเช้า เพราะไปติดผู้หญิงอื่น”
น้อยปลอบอีก “ไม่ใช่หรอกค่ะคุณหนู คุณชูนามบอกคุณหนูทุกวันนี่คะว่าออกไปทำงาน”
“ไปทำงานๆๆๆ ผ่านมาเกือบเจ็ดเดือน ฉันยังไม่เคยเห็นงานเขาสักชิ้น”
น้อยอึกอัก ไม่รู้จะพูดยังไง ปานรุ้งระบายต่อ
“บางทีฉันก็คิดนะน้อย ว่าฉันกำลังโดนผัวตัวเองหลอกรึเปล่า”
น้อยมองปานรุ้งอย่างเห็นใจ อยากพูด แต่รู้ว่าไม่ควร
ปานรุ้งครุ่นคิดเรื่องชูนามอยู่อย่างนั้น
ตรงกองขยะ ในตรอกเล็กๆ บรรยากาศสงัดเงียบ หนักไปทางเปลี่ยว กลางดึกคืนนั้น
มีเสียงดังตุ๊บตั๊บคล้ายคนรุมตีรุมกระทืบดังขึ้น ก่อนจะเห็นร่างชูนามกระเด็นร่วงลงในกองขยะโสโครกนั้น นักเลงร่างใหญ่ 3 คน ตามมามองดูผลงาน
ชูนามร้องบอก “อย่า พอแล้ว อย่าต่อยหน้า อย่าต่อยหน้า เดี๋ยวเอาเงินให้”
นักเลง 1 ท่าทางเป็นหัวโจก ยิ้มเยาะ “มีเมียท้องแก่ 6 เดือนกว่า ยังจะกลัวเสียโฉมงั้นหรือ” แล้วหันไปสั่งอีก 2 คน “เฮ้ย! ดึงขึ้นมา” นักเลง 1 จ้องหน้าชูนาม “ไม่อยากให้ต่อยหน้าก็ได้”
นักเลงอีก 2 คน จับตัวชูนามยกขึ้น นักเลง 1 อัดท้องไป สามสี่ที แล้วเข่าเข้าตรงช่วงพวงไข่ จนชูนามตัวงอ
ระหว่างนี้ เฮียโมเดินเข้ามาพร้อมไอ้ขุนและบอดี้การ์ดอีก 3 คน
“เฮ้ย หยุด”
นักเลงทั้ง 3 ซึ่งเป็นสมุนเฮียโม หยุดซ้อม แล้วปล่อยตัวชูนามร่วงกองกับพื้นอีกรอบ
“พวกแกรู้ไหมว่าคุณชูนามเป็นใคร เขาเป็นถึงลูกเขยสมุทรเทวานะโว้ย แกทำอย่างนี้กับเขาได้ยังไง” เฮียโมหันไปทางไอ้ขุน “ไอ้ขุน”
“ครับเฮีย”
ไอ้ขุนรู้งาน พยักหน้าให้บอดี้การ์ดทั้ง 3 เดินเข้าไปล็อคตัวนักเลงทั้ง 3 ไปกระทืบตรงหน้าชูนาม ชูนามมองเหล่านักเลงที่โดนกระทืบต่อหน้าต่อตา แล้วอึ้งไป
เฮียโมเดินมา ยิ้มเยือกเย็นกับชูนาม “ไม่ต้องห่วงนะครับคุณชูนาม พวกมันทำอะไรกับคุณ ผมจัดการคืนให้ 2 เท่า”
ไอ้ขุนกับบอดี้การ์ดกระทืบ 3 นักเลงปางตาย จนชูนามทนดูไม่ไหว
“พะ..พอเถอะครับเฮีย ผมไม่ถือสาหรอก”
นักเลง 1 ร้องขอชีวิตจากเฮียโม “ได้โปรดเถอะครับเฮีย พวกผมไม่ได้ตั้งใจ พวกผมทำตามหน้าที่ คุณชูนามติดหนี้บ่อน 10 ล้านแล้ว แต่ไม่เอามาคืนสักบาท พวกผมก็ต้องทวง”
ชูนามได้ยินยอดหนี้ ถึงกับชะงัก หน้าซีดขาว
“เงินแค่นั้น มึงยิ่งไม่มีสิทธิ์ทวง เพราะ...” เฮียขาโหดหัวเราะ พลางโอบไหล่ชูนาม “สำหรับลูกเขยสมุทรเทวากระจอกจะตาย ใช่ไหมครับคุณชูนาม”
“เอ่อ...” ชูนามพยายามพูดโอ้อวดวางฟอร์ม “เอ้อ ใช่ กระจอก ช่วงนี้ฉันแค่พลาด ถ้าได้เงินมาต่อทุน ฉันได้คืนยิ่งกว่าหนี้ 2-3 เท่าเลยเว้ย”
“ใช่ ใครๆ ก็รู้ว่า...” เฮียโมจับมือชูนามโชว์ลูกน้อง “สองมือนี้โกยเงินเป็นแสนเป็นล้านมาแล้ว กับแค่หนี้ 10 ล้าน คืนนี้คุณชูนามก็หามาให้ได้ จริงไหมครับ”
ชูนามยิ้มได้ใจ ที่เฮียโมเข้าข้างตัวเอง “เฮียก็รู้จักผมดีนี่”
“ผมรู้จักคุณดีไงครับ ผมถึงเตรียมทุนให้คุณชูนามสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำในคืนนี้”
เฮียโมยิ้ม มองไปทางสมุนคู่ใจ ไอ้ขุนเปิดกระเป๋าถือของเฮียโมมา หยิบปึกเงินสดส่งให้ชูนาม ที่มองเงินอย่างชะงักงัน
“ให้เงินทุนเงินเยอะขนาดนี้ จะดีเหรอเฮีย”
เฮียโมยัดปึกเงินใส่กระเป๋าเสื้อชูนาม “ผมบอกแล้วไง ว่าผมรู้จักคุณดี”
ชูนามมองเงิน แล้วมองเฮียโมยิ้มๆ
“รับรอง ผมไม่ทำให้เฮียผิดหวัง”
อ่านต่อตอนที่ 7