บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 3
วาสุเทพจูงมือปานรุ้งออกมายังมุมหนึ่ง เพื่อจะคุยเรื่องที่ได้ยินจากบิดานายพลเมื่อเช้า แต่ปานรุ้งสะบัดมือออกอย่างแรง
“พี่เทพทำอย่างนี้ได้ยังไง นั่นเพื่อนรุ้งนะคะ”
“เขาไม่ใช่เพื่อน รุ้งไม่รู้เหรอว่านั่นคือมิสเตอร์เจสัน เจ้าของบริษัทขนส่งJS เป็นบริษัทคู่แข่งของสมุทรเทวา”
ปานรุ้งแกล้งยั่ว “งั้นก็ยิ่งดีสิคะ นายแม่อยากให้รุ้งช่วยงาน แต่รุ้งไม่รู้เรื่องบริหารอะไรเลย จะได้ให้คุณเจสันช่วยสอน”
“เขาไม่สอนรุ้งหรอก แต่เขาจะหลอกรุ้งเพื่อผลประโยชน์”
ปานรุ้งแกล้งยั่วอีก “ถ้าคนหลอกหน้าตาดีอย่างนั้น ก็น่าสนใจนะคะ”
วาสุเทพจับแขนปานรุ้งอย่างไม่พอใจ “รุ้ง อย่าทำแบบนี้ พี่ไม่ชอบ”
ปานรุ้งผลักอกวาสุเทพออก “พี่เทพต่างหาก อย่าทำแบบนี้ พี่เทพจำไม่ได้แล้วเหรอคะที่นายแม่พูด การเป็นสุภาพบุรุษ ใช่ว่าจะทำแค่แอ่นอกปกป้องคนอื่นเท่านั้น แต่สุภาพบุรุษ คือคนที่รู้จักให้เกียรติและ รักษาศักดิ์ศรีของผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะเกียรติและชื่อเสียงของผู้หญิง”
“พี่กำลังจะทำให้รุ้งนี่ไง”
ปานรุ้งบีบน้ำตา เรียกคะแนนสงสาร “ด้วยการลากรุ้งมาให้คนอื่นมองว่ารุ้งกำลังแย่งคู่หมั้นคนอื่นอีกเหรอคะ”
วาสุเทพนั้นพอเห็นปานรุ้งจะร้องไห้ ก็ใจอ่อนยวบ
“รุ้ง...อย่าร้อง”
วาสุเทพจะเช็ดน้ำตาให้ ปานรุ้งปัดมือเขาออก
“พี่เทพกลับไปหายาเถอะค่ะ”
“แต่ว่า...”
ชัชวาลเดินเข้ามาทัก “คุณรุ้ง”
ปานรุ้งหันไปมองชัชวาลแล้วแสดงท่าทีดีใจ “ชัชวาล” ก่อนจะหันมาพูดกับวาสุเทพ “กลับไปหายาเถอะค่ะ ยามีพี่เทพคนเดียว ส่วนรุ้ง ถึงไม่มีพี่เทพ ก็ยังมีคนอื่นที่พร้อมแสดงว่าเขายกย่องให้เกียรติรุ้ง เป็นที่หนึ่งคนเดียว”
ปานรุ้งเดินไปควงแขนชัชวาลต่อหน้าวาสุเทพ
“เราไปหาอะไรทานกันเถอะชัชวาล อ้อ ถ้าคืนนี้คุณว่างพารุ้งไปเต้นรำด้วยก็ดี”
ชัชวาลยิ้มยินดี “ถึงคุณรุ้งไม่บอก ผมก็จองร้านหรูแถวสาทรไว้แล้วล่ะครับ”
“ฉันเลือกคบคนไม่ผิดเลย คุณคือคนๆ เดียวที่กล้าทำทุกอย่างเพื่อฉัน”
ขณะพูดปานรุ้งปรายตามองวาสุเทพ แล้วควงแขนชัชวาลเชิดหน้าเดินผ่านเขาไป
วาสุเทพมองตามหน้าเครียด
อีกมุมหนึ่ง นิสากับลินินยืนมองวาสุเทพกับปานรุ้งอยู่นานแล้ว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นคู่หมั้นเพื่อนนังปานรุ้งใช่ไหม”
“ใช่ นังคนที่ลากเธอออกมาจากงานเลี้ยงเมื่อก่อนนั่นแหละ”
นิสายิ้มเยาะ “ปกป้องเพื่อน ถ้ารู้ว่าเพื่อนรักหักหลัง อยากรู้นักมันจะทำหน้ายังไง”
กติยากลับจากหัวหินพร้อมกับเพื่อนครู แล้วให้เพื่อนไปส่งที่บ้าน จากนั้นจึงขับรถตัวเองมาหาวาสุเทพที่บ้านในตอนเย็น และเวลานี้อยู่ในห้องรับแขกมองคุณหญิงสุดใจกับท่านนายพลภัทรด้วยสีหน้าอึ้งๆ
กติยาหันไปทางท่านนายพลภัทร “ตกลงพี่เทพไม่ได้มีประชุมพรุ่งนี้เหรอคะคุณลุง”
สุดใจประมวลเหตุการณ์ รู้ทันทีว่าวาสุเทพโกหกกติยาเพื่อกลับมาก่อน จึงรีบชิงตอบแทนสามี
“มีจ้ะหนูยา ตาเทพเลยรีบกลับมาเตรียมรายงานตั้งแต่เมื่อคืน นี่ก็ออกไปคุยงานกับเพื่อนต่อ”
นายพลภัทรมองภริยาด้วยแววตาสงสัยว่าทำไมต้องโกหกด้วย
กติยายิ้มโล่งใจ “ถ้ายารู้ว่าพี่เทพมีงานยุ่งขนาดนี้ ยาคงไม่ชวนพี่เทพไปด้วยแต่แรก”
สุดใจจับมือกติยาปลอบ “ไม่เป็นไรเลยหนูยา อีกหน่อยหนูกับตาเทพก็เหมือน คนๆเดียวกัน หนูไปไหนตาเทพก็ต้องไปนั่น นี่ขนาดตาเทพกลับมาก่อนหนูไม่นาน ยังบ่นตั้งแต่เช้าว่าห่วงหนู”
กติยายิ้มแย้ม สบายใจ “งั้นยาไม่รบกวนคุณป้า คุณลุงแล้วล่ะค่ะ ยาขอตัวกลับ
ก่อนนะคะ” ยกมือไหว้ลาสุดใจกับภัทร
สุดใจกอดกติยา
“ไม่ต้องห่วงนะหนูยา ลูกสะใภ้ของนทีพิทักษ์ ต้องเป็นหนูเท่านั้น”
กติยายิ้มหวาน แล้วเดินออกไป
คุณหญิงสุดใจเดินออกมาส่งพร้อมกับท่านนายพลภัทร สองคนมองตามกติยาที่ขับรถออกไปอย่างไม่สบายใจ
“ในที่สุด ตาเทพก็ก่อเรื่องจนได้”
“ลองถามลูกก่อน บางทีอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหญิงคิดก็ได้”
“โกหกเราว่าที่รีบกลับเพราะหนูยาจะทำงาน แล้วก็โกหกหนูยาว่ารีบกลับเพราะประชุม ขนาดนี้ไม่ต้องถามแล้วล่ะค่ะ”
“แล้วคุณหญิงจะทำยังไง”
“ก็อย่างที่น้องบอก สะใภ้นทีพิทักษ์ต้องเป็นหนูยาเท่านั้น เพราะฉะนั้นหนูยาจะรู้เรื่องที่ตาเทพโกหกครั้งนี้ไม่ได้”
กติยาขับรถมาจอดหน้าบ้านแล้วลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูรั้วบ้าน ขณะกติยาพยายามเลื่อนเปิดประตู แต่เปิดอย่างลำบากเพราะประตูฝืด จู่ๆ มีมือของนิสากับลินินยื่นเข้ามาช่วยเปิดประตูให้
กติยาเงยหน้ามองนิสากับลินินอย่างตกใจ
“เธอ”
นิสายิ้มให้กติยา “ตกใจทำไม ฉันแค่มาช่วยเธอเปิด ไม่ใช่แค่ช่วยเปิดประตูเท่านั้น แต่ยังช่วยเปิดหู เปิดตาเธอด้วย”
กติยามองสองสาวด้วยความสงสัย
ภายในในไนต์คลับหรูคืนนี้ ปานรุ้งนั่งดื่มเครื่องดื่มเคียงข้างชัชวาล พร้อมพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
วาสุเทพยืนมองปานรุ้งกับชัชวาลอยู่อีกมุมหนึ่ง
อีกมุม ซึ่งอยู่ด้านหลังวาสุเทพ เห็นเกื้อมองปานรุ้งที่พยายามใกล้ชิดชัชวาลเพื่อยั่ว วาสุเทพด้วยความรู้สึกเจ็บปวดยอกแสลงใจ
ปานรุ้งปรายตามองไปทางวาสุเทพ แล้วลุกขึ้นฉุกมือชัชวาลออกไปเต้นรำที่ฟลอร์
วาสุเทพมองตามปานรุ้งกับชัชวาลที่ออกไปเต้นรำ
ปานรุ้งกอดซบชัชวาลเต้นรำอย่างใกล้ชิด
วาสุเทพมองปานรุ้งที่เต้นรำใกล้ชิดชัชวาลอย่างไม่พอใจ
ชัชวาลสังเกตเห็นวาสุเทพยืนมองปานรุ้งกับตัวเองอยู่นานแล้ว จึงกระซิบบอกปานรุ้ง
“หมอนั่นยังตามคุณไม่หยุดเลย ให้ผมสั่งคนขับรถหิ้วมันออกไปไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เขาก็แค่ยืนมอง ไม่กล้าทำอะไรหรอกค่ะ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยสายตาท้าทาย แล้วก้มหน้าซบไหล่ชัชวาลอย่างใกล้ชิด
วาสุเทพมองภาพบาดตานั้นด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
มุมหนึ่งห่างจากวาสุเทพและเกื้อ เห็นกติยายืนมองวาสุเทพด้วยแววตาอันเจ็บปวดรวดร้าว โดยมีนิสากับลินินยืนอยู่ข้างๆ
“ทีนี้ เธอเชื่อที่ฉันบอกรึยังล่ะ”
กติยายืนอึ้ง ตะลึงตะไลไปนานแล้ว
รถจอดนิ่งหน้าคฤหาสน์สมุทรเทวา เกื้อลงมาเปิดประตูรถให้ ปานรุ้งก้าวลงจากรถในสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขเหลือล้น
ขณะจะเดินเข้าบ้าน เกื้อตัดสินใจพูดขึ้นโดยหวังดี
“คุณหนูน่าจะเชื่อที่คุณนายบอกนะครับ
ปานรุ้งชะงัก แล้วหันมามองเกื้อแววตาขุ่นลง
“เรื่องไหนล่ะ ในชีวิตฉัน นายแม่บอกให้ฉันทำโน่นทำนี่มากมาย”
เกื้อพูดออกมาอย่างรัวเร็ว อัดอั้น “เรื่องที่คุณนายห้ามคุณหนูยุ่งกับคู่หมั้นคุณยา คุณหนูกำลังแย่งคนรักของคนอื่น คุณหนูทำผิดศีลข้อ 3 มันบาปนะครับ”
ปานรุ้งโกรธมาก “กำเริบมากไปแล้วนะเกื้อ”
เกื้อพูดต่อด้วยเนื้อเสียงอ้อนวอน “ได้โปรดเถอะครับคุณหนู ตอนนี้มันยังไม่สายที่คุณหนู
จะทำตามคำสั่งคุณนาย เลิกยุ่งกับคุณวาสุเทพเถอะครับ ก่อนที่คุณกติยาจะรู้เรื่อง”
ปานรุ้งจ้องหน้ามองเกื้ออย่างไม่พอใจถึงขีดสุด เพราะเกื้อพูดเหมือนปานรุ้งต้องกลัวกติยา
“กติยารู้เรื่องแล้วจะทำไม คุณครูแสนดีอย่างกติยา ถ้ารู้เรื่องจะทำอะไรฉันได้”
ปานรุ้งเดินขึ้นบ้านไปเลย เกื้อได้แต่มองตามอย่างกังวล และห่วงใย
เรื่องอวดเก่ง ถือดี เธอเป็นที่หนึ่งเสมอ แม่ ปานรุ้ง สมุทรเทวา
ด้วยตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว และด้วยความเป็นห่วงลูก ดรุณี มารดากติยาจึงเดินเข้ามาในโถง ดูว่าลูกสาวกลับบ้านหรือยัง พบว่ากติยานั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวกลางแสงสลัวรางจากโคมไฟ ในมือถือรูปที่ถ่ายคู่กับปานรุ้ง ในวันไปรับปานรุ้งกลับจากเมืองนอก
“อ้าว ยากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก แล้วทานอะไรมารึยัง ตกลงผู้หญิงสองคนที่ลูกออกไปด้วยเป็นใครกัน แม่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
กติยาพูดนิ่งๆ ท่าทีเหม่อๆ “ยาเพิ่งรู้จักเขาค่ะ”
“เพิ่งรู้จัก แล้วยาไปรู้จักเขาที่ไหน ท่าทางการแต่งตัวไม่น่าเป็นครูด้วยกันใช่ไหมลูก”
“เป็นเพื่อนของเพื่อนค่ะ”
“อ๋อ ยังไงยาก็ดูคนดีๆ หน่อยนะลูก ยายิ่งเป็นคนเชื่อคนง่ายอยู่ด้วย”
กติยาพูดด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น “หมายถึงยามันโง่ ไม่ทันคนใช่ไหมคะแม่”
ดรุณีตกใจ รีบอธิบาย “ไม่ใช่ลูก แม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น แม่หมายความว่ายาเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี ขี้สงสาร ขี้เห็นใจ ทำให้ยาไว้ใจ เชื่อใจคนง่าย”
กติยาก้มมองรูปคู่กับปานรุ้งอย่างเจ็บปวด
“งั้นยาต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วล่ะคะ จะได้ไม่โดนใครหักหลัง”
กติยาวางกรอบรูปนั้นคว่ำหน้าลงกับโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นแล้วเดินตัวตรงออกจากห้องไป
ผู้เป็นมารดามองตามด้วยแววตาสงสัยปนกังวลว่าลูกสาวเป็นอะไร
ยามบ่ายอันสดใส ปานรุ้งในชุดตีเทนนิสเดินเฉิดฉายเข้ามาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง มีเกื้อถือกระเป๋าเสื้อผ้าและสัมภาระของปานรุ้งเดินตามต้อยๆ
วาสุเทพเดินเข้ามาหาปานรุ้ง ตั้งใจจะมาบอกว่าตัวเองจะไปถอนหมั้นกับกติยา
“รุ้ง”
ปานรุ้งไม่สนใจเดินหนี วาสุเทพตามติด
“รุ้ง พี่จะทำทุกอย่างเพื่อรุ้ง”
ปานรุ้งชะงักเพียงนิด แล้วหันไปพูดกับเพื่อนอย่างไม่สนใจวาสุเทพ
“รุ้งจองสนามไว้แล้ว ใครจะตีเทนนิสกับรุ้งบ้างจ๊ะ”
เพื่อน 1 เย้า “เธอตีเก่งจะตาย ฉันไม่แข่งกับเธอด้วยหรอก”
ขณะที่สาวๆ หัวเราะคิกคักนั้น กติยาในชุดออกกำลังกายเดินเข้ามาแสดงตัว
“ฉันแข่งเอง”
ปานรุ้งหันมามองกติยา คาดไม่ถึง วาสุเทพอึ้ง ไม่คิดว่ากติยาจะมาที่นี่
“ยา พี่นึกว่า...”
กติยาพูดแทรกด้วยท่าทางนิ่มนิ่ง “นึกว่ายายังอยู่หัวหินเหรอคะ เปล่าค่ะ” ครูสาวพูดเน้นคำให้วาสุเทพอึ้ง “รุ้งกลับมาหาพี่เทพตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
วาสุเทพชะงัก หวั่นใจว่ากติยาจะรู้เรื่องที่ตัวเองตามปานรุ้งกลับมารึเปล่า
เกื้อมองกติยาด้วยความกังวลเดียวกัน
ปานรุ้งมองกติยากับวาสุเทพยิ้มอย่างนึกสนุก
“ถ้ายาอยากแข่งกับรุ้ง เชิญจ้ะ”
กติยามองสบตาปานรุ้งอย่างไม่หวาดหวั่น ขณะปานรุ้งสบตาตอบอย่างท้าทาย !
นอกจาก วาสุเทพ ชัชวาล และ เกื้อแล้ว ยังมีกลุ่มก๊วนเพื่อนๆ ปานรุ้งนั่งดูเทนนิสข้างสนาม ราว 10 คน
ทุกคนเห็นปานรุ้งกับกติยา ยืนคุยกันที่เน็ตตรงกลางสนาม
วาสุเทพมองสองสาวด้วยสีหน้ากังวลว่าคุยอะไรกัน
เกื้อมองวาสุเทพที มองกติยาที แล้วมองปานรุ้ง อย่างห่วงใย
กติยายืนจ้องหน้าปานรุ้งที่พูดไปยิ้มไป เหมือนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิดกับเพื่อนไว้
“ปกติยาไม่ชอบเล่นเทนนิสนี่ เพราะยาไม่ชอบสู้กับใคร”
กติยามองปานรุ้งนิ่ง “การที่ยาไม่สู้ ไม่ได้แปลว่ายาสู้ไม่เป็น”
ปานรุ้งหัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้น รุ้งไม่ออมมือนะ แล้วอย่ามาว่ารุ้งทีหลังล่ะ”
“คนอย่างยา ทำอะไรทำต่อหน้า ไม่เคยลักลอบทำอะไรข้างหลังใคร”
“งั้นก็เริ่มเลย”
ปานรุ้งเดินไปประจำที่เตรียมเสิร์ฟ กติยาเดินไปประจำที่เตรียมโต้กลับ
ส่วนที่ด้านนอกสนาม วาสุเทพมองปานรุ้งกับกติยาใจคอไม่ดีเอาเลย
ปานรุ้งเริ่มเสิร์ฟลูกแล้ว กติยาวิ่งไปตีลูกกลับใส่อย่างแรง ปานรุ้งตีลูกโต้คืน กติยาโต้กลับอย่างแรง จนลูกบอลเกือบพุ่งโดนตัวปานรุ้ง ดีที่ปานรุ้งหลบทัน แต่ก็ถึงกับเสียหลักล้มลง และเหลียวไปมองกติยาอย่างไม่พอใจ
“รุ้งฟาดแรงมา ยาก็ต้องฟาดแรงกลับ เข้าใจนะ”
กติยายิ้มเยาะ แล้วตั้งท่าเสิร์ฟใหม่ ปานรุ้งมองกติยา คิดบางอย่าง แล้วตั้งท่าเตรียมรับลูกเสิร์ฟ
กติยาเสิร์ฟลูกมา ปานรุ้งวิ่งตีลูกกลับได้ กติยาตีลสวนกลับมาอย่างแรง
ปานรุ้งเห็นกติยาตั้งใจจะตีลูกแรง จึงจงใจวิ่งเข้าหา ทำให้ลูกบอลที่กติยาฟาดมาโดนที่แขนของปานรุ้งเต็มแรง
ปานรุ้งร้องดังลั่น “โอ้ย”
วาสุเทพ กับ ชัชวาลตกใจ “คุณรุ้ง”
“คุณหนู” เกื้อก็ด้วย
วาสุเทพและเกื้อวิ่งเข้ามาหาปานรุ้ง แต่วาสุเทพเร็วกว่าวิ่งตัดหน้าไปถึงตัวก่อน
“รุ้งเป็นยังไงบ้าง”
กติยามองวาสุเทพเห็นเขาห่วงปานรุ้งมาก ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
ปานรุ้งกุมแขนตัวเองอย่างคนเจ็บปวด พลางเหลือบมองกติยาที่ยืนมองวาสุเทพอึ้งๆ แล้วลอบยิ้มสมใจ หันมาเล่นละครต่อ
“รุ้งเจ็บ”
“เดี๋ยวพี่พาคุณไปห้องพยาบาล”
“ไม่ต้อง” ปานรุ้งหันมาทางเกื้อ “เกื้อ พาฉันไปห้องพยาบาลที”
วาสุเทพท้วง “แต่ว่า...”
ปานรุ้งรีบแทรก “พี่เทพอยู่กับยาเถอะค่ะ อย่าลืมสิคะว่าเขาเป็นคู่หมั้นพี่ ไม่ใช่รุ้ง”
เกื้อเข้าไปพยุงปานรุ้งลุกขึ้น ปานรุ้งเดินเชิดหน้าผ่านวาสุเทพไป อีกฝ่ายมองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
กติยามองสายตาวาสุเทพแล้วทนไม่ไหว เดินเข้ามาหาแล้วพูดนิ่งๆ เนื้อเสียงประชด
“ต้องให้ยาตามไปขอโทษรุ้งด้วยไหมคะ”
วาสุเทพมองกติยา ตัดสินใจเด็ดขาดจะพูดเรื่องถอนหมั้น
“เราไปหาอะไรดื่มกันเถอะ พี่มีเรื่องจะพูดกับยา”
วาสุเทพเดินนำออกไป กติยามองตามวาสุเทพด้วยสีหน้าเครียด และหวั่นกลัวลึกๆ
เกื้อพยุงปานรุ้งเดินมาอีกมุม ปานรุ้งหันไปมองทางสนามเทนนิส เกื้อมองที่แขนปานรุ้งอย่างเป็นห่วง
“คุณหนูเจ็บแขนมากไหมครับ ผมว่าไปให้หมอที่โรงพยาบาลดูดีกว่า เพราะบอลโดนตรงที่คุณหนูเคยเข้าเฝือกคราวก่อน เผื่อมันต้องเข้าเฝือกอีก”
ปานรุ้งพูดมีความนัย “ไม่ต้องห่วงหรอกเกื้อ ครั้งนี้ ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าเฝือกอย่างคราวก่อนแล้ว” หมายถึงไม่ต้องใช้มารยา วาสุเทพก็ หลงกลแล้ว
เกื้อมองปานรุ้งอย่างปรุโปร่ง ชายหนุ่มไม่อยากให้คุณหนูของเขาทำแบบนี้ แต่คงพูดเตือนอะไรไม่ได้ ได้แต่กลืนกินคำพูดตัวเองลงคอไป
ปานรุ้งเยื้อนยิ้ม มองไปทางสนามเทนนิสด้วยสายตามั่นหมายว่าวาสุเทพจะถอนหมั้นกับกติยาไม่นานนี้
สิ่งที่ปานรุ้งวาดหวังกำลังจะเกิดขึ้นในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งนี้ วาสุเทพรอมองกติยาที่ละเลียดดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย อย่างพูดเรื่อง ถอนหมั้นให้จบๆ
“ยา...”
กติยาสังหรณ์ใจ หวั่นระแวงว่าวาสุเทพจะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่กังวล จึงหาทางพูดเลี่ยง
“ขอยาสั่งน้ำส้มเพิ่มอีกแก้วนะคะ”
“แต่ยาดื่มไปห้าแก้วแล้วนะ”
“เมื่อกี้ยาเล่นเทนนิสเหนื่อยนี่คะ” กติยายกมือเรียกพนักงาน “น้องคะ”
วาสุเทพโพล่งขึ้น “เราเข้าเรื่องกันเถอะยา...”
กติยารีบแทรกขึ้น “วันนี้พี่เทพรีบกลับมาก่อน ยาเลยยังไม่ได้ไปหาพระครู พรุ่งนี้เราไปดูฤกษ์แต่งงานกันนะคะ”
วาสุเทพรู้ว่ากติยากำลังพยายามยื้อ “พี่ไปไม่ได้”
กติยาเจ็บจนแทบจะร้องไห้ แต่ทำเข้มแข็งไว้ “ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้พี่เทพไปไม่ได้ เราไปวันมะรืนก็ได้”
“วันมะรืนพี่ก็ไปไม่ได้”
กติยาตระหนักชัดว่าวาสุเทพกำลังขอยกเลิกการแต่งงาน แต่พยายามเข้มแข็งหลอกตัวเอง
“งั้นก็ไปวันที่พี่เทพว่างก็ได้ค่ะ”
วาสุเทพพูดเสียงดังอย่างทนต่อไปอีกไม่ได้
“ที่พี่ไปไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพี่ไม่ว่าง แต่เป็นเพราะพี่ไม่อยาก...”
กติยาไม่อาจทนฟังต่อไม่ได้ ครูสาวลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปทันที
“ยา” วาสุเทพวิ่งตามกติยาไป
กติยาวิ่งหนีออกมาริมถนนหน้าร้านอาหาร วาสุเทพวิ่งตามมา ร้องเรียกไว้
“ยา”
กติยาหันมาเห็นวาสุเทพวิ่งตามจึงตัดสินใจจะข้ามถนนหนีโดยไม่ดูทาง วาสุเทพเห็นว่ารถพุ่งมาจะชนกติยาแล้ว เสียงแตรรถดังปรี๊นๆๆ บีบไล่กติยา
วาสุเทพกระโจนเข้าไปโอบกติยาตั้งตัว สองคนล้มกลิ้งลงข้างทาง
“ยา”
กติยารีบเอามือปิดหูแล้วโวยวาย
“ไม่นะ ยาไม่อยากฟัง”
“ยา...”
กติยากอดวาสุเทพแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นใจจะขาดรอนๆ ละล่ำละลัก ขอร้องอ้อนวอน
“อย่าบอกคำนั้น ยาขอร้อง ยารักพี่เทพ รักที่สุด รักกว่าใครทั้งนั้น ไม่มีใครรักพี่เทพเท่ายา แม้แต่รุ้ง พี่เทพอย่าพูดคำนั้นนะคะ”
วาสุเทพมองกติยาด้วยความสงสาร แต่ตอนนี้ความรักที่มีให้ปานรุ้งมันจุกอก เขาจะเสียปานรุ้งไปไม่ได้
เรือโทหนุ่มกอดกติยาอย่างปลอบโยน “พี่ขอโทษนะยา เราถอนหมั้นกันเถอะ”
กติยาร้องไห้โฮออกมา สะอึกสะอื้นจนตัวโยนน่าเวทนายิ่งนัก
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
สามคนพ่อ แม่ ลูก นั่งอยู่ในบรรยากาศอึมครึมของห้องโถง แหละทันทีที่ฟังลูกชายพูดจบ คุณหญิงสุดใจมองจ้องวาสุเทพด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ไม่พอใจมากๆ พร้อมกับประกาศกร้าว
“แม่ไม่ยอมให้เทพถอนหมั้นกับหนูยา”
วาสุเทพรู้อยู่แล้วว่ามารดาต้องพูดอย่างนี้ เขาพยายามอธิบาย
“คุณแม่ฟังผมอธิบายก่อน”
“ไม่ต้องอธิบาย เพราะแม่ไม่เห็นเหตุผลตรงไหน ที่เทพจะชี้แจงได้ว่า ทำไมเทพต้องถอนหมั้นกับผู้หญิงดีๆ อย่างหนูยา”
“แต่ว่า...” วาสุเทพมองท่านนายพลบิดาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
ท่านนายพลรู้ทัน แต่ไม่เอาด้วย “อย่ามองเลย เรื่องนี้พ่อช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งที่แกทำมันผิด แกทำให้ผู้หญิงดีๆ คนนึงเสื่อมเสียเกียรติ”
“ผมรู้ ว่าสิ่งที่ผมทำ มันผิดต่อยา แต่หยุดทุกอย่างตอนนี้ ดีกว่าแต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันทั้งๆ ที่ผมไม่ได้รัก”
คุณหญิงสุดใจแทบกรี๊ด เดาออกทันที “พูดอย่างนี้ เทพอย่าบอกนะว่า...”
“ผมรักปานรุ้งครับคุณแม่”
คุณหญิงสุดใจมองบุตรชายด้วยสายตาดูแคลน เหมือนมองเด็กที่กำลังพูดเพ้อเจ้อ
“รักเหรอ เทพเจอผู้หญิงคนนั้นกี่ครั้ง ถึงกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้หญิงคนนั้น”
“ผมทราบครับว่าผมเจอคุณรุ้งไม่นาน แต่เรื่องเวลาไม่สำคัญสำหรับความรัก”
สุดใจพูดสวนออกมาทันที “หลง เทพไม่ได้รัก แต่เทพกำลังหลงมารยาของผู้หญิงคนนั้น”
นายพลภัทรพูดปรามคุณหญิงภริยา “ใจเย็นๆ ก่อนนะคุณหญิง”
“ลูกหมั้นกับหนูยามากี่ปี รู้จักเรียนรู้กันมาก็ไม่ใช่น้อย ใครกัน ที่หิ้วอาหารไปฝากลูกที่ค่ายตอนลูกฝึก ใครกัน ที่นั่งเฝ้าตอนลูกป่วย ใครกัน ที่อยู่เคียงข้างลูกเวลาลูกมีปัญหา แล้วใครกัน ที่รอลูกเรียนต่อเมืองนอกได้ถึง 4 ปี โดยที่เขาไม่วอกแวกไปสนใจผู้ชายคนอื่น แต่ลูกเจอคนอื่นไม่ถึงอาทิตย์ ลูกก็เขี่ยหนูยาทิ้ง ลูกรู้บ้างไหมว่า หัวใจของหนูยา จะเป็นยังไง”
วาสุเทพสีหน้าสลดลง เมื่อคิดถึงกติยา
ริมถนนราชดำเนิน ในแสงไฟวิบวับสวยงาม ที่ประดับแต่งตามเสาไฟ กลางและข้างถนนยามค่ำคืน ในถนนมีรถขับผ่านไปมาขวักไขว่
กติยาเดินเหมือนคนสติล่องลอยไร้จุดหมาย ไปตามทางเท่าที่จะมีทางไป ในสมองกติยา เต็มไปด้วยคำถามว่า ทำไมทุกอย่างถึงเป็นอย่างนี้ กติยาคิดถึงความสนิทสนมที่เคยมีกับปานรุ้ง
วันที่เธอไปรับปานรุ้งกลับจากอเมริกา สองสาวอยู่ในอาคารผู้โดยสารของสนามบินดอนเมือง ปานรุ้งอ้าแขนรอกติยามากอด
”Please give me a big hug now like you always do.”
กติยาเข้าไปกอดปานรุ้งเต็มความคิดถึง ปานรุ้งยิ้มชื่นมีความสุข
ในความเงียบสงัด ได้ยินเสียงปานรุ้งร้องกรี๊ดอย่างดีใจดังมาจากสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์สมุทรเทวา
“อ๊าย...”
ปานรุ้งและกติยาอยู่ในชุดนอน สองสาวนอนบนเสื่อที่ปูอยู่กลางสนามหญ้าของสวนสวย นอนดูดาวพร้อมๆ กับพูดคุยกันไป โดยมีน้อยคอยดูแลปัดยุงให้
สิ้นเสียงกรี๊ดนั้นปานรุ้งลุกขึ้นพรวด มองหน้ากติยาอย่างไม่อยากเชื่อ
“Oh My Godness รุ้งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่เพื่อนๆในชั้นเรียกว่าป้า อย่างยา จะชิงตัดหน้าหมั้นก่อนเพื่อน”
กติยายิ้มเขินๆ
“ก็แค่หมั้นเอง ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นหรอกรุ้ง”
“จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง” ปานรุ้งกอดแขนกติยา ท่าทีออดอ้อน “ถ้ายาแต่งงานแล้ว รุ้งจะอยู่กับใคร อย่าลืมสิ ว่ายาเป็นเพื่อนที่อยู่ข้างรุ้งมาตลอดตั้งแต่ แม่ส่งรุ้งไปอยู่โรงเรียนประจำ แม่ไม่รับรุ้งกลับบ้าน รุ้งก็มียาอยู่เป็น เพื่อนเสมอ” สาวนักเรียนนอกงอแงเป็นเด็ก “ไม่เอาล่ะ รุ้งไม่ยอมให้ยาแต่งงาน รุ้งจะขัดขวางงานแต่งของยา”
กติยาหัวเราะ “ถ้ารุ้งทำอย่างนั้น เดี๋ยวเราก็โดนล้อว่าเป็นคู่ทอม ดี้ อีกหรอก”
ปานรุ้งกอดกติยา ”รุ้งไม่สน”
“ดี งั้นพรุ่งนี้ยาไปถอนหมั้นเลยแล้วกัน”
“งั้นมะรืนเราแต่งงานกันเลย”
สองสาวหัวเราะเริงร่าอย่างมีความสุข
เสียงฟ้าร้องคำรามคำรณ ฝนตั้งเค้าคล้ายจะตก ฟ้าฝ่าเปรี้ยงลงมา เหมือนบ่งบอกชีวิตกติยายามนี้ได้ถูกสายฟ้าฟาดลงมาทำให้ชีวิตพินท์พัง กติยาเดินใจลอยคิดถึงเรื่องวาสุเทพขึ้นมา
วันนั้นผู้ใหญ่สองฝ่ายนัดดูตัวหนุ่มสาว กติยาเจอวาสุเทพครั้งแรกที่บ้านนทีพิทักษ์
คุณหญิงสุดใจจูงมือกติยาในชุดครูฝึกสอนแสนเรียบร้อย เข้ามาในบ้าน
“วันนี้ป้ามีคนๆ นึงอยากให้หนูยาได้เจอ”
กติยามองฉงน “ใครเหรอคะคุณป้า”
คุณหญิงจยิ้มให้กติยา “ก็คนที่หนูยารอเขามา 4 ปีไงจ๊ะ”
กติยาชะงัก นิ่งคิด จนพอคิดได้ก็ยิ้มอย่างตื่นเต้น
“พี่เทพกลับมาแล้วเหรอคะ”
“กลับมาแล้วจ้ะ”
กติยาหันไปมองตามเสียง วาสุเทพเดินหล่อออกมาจากในตัวบ้าน ยิ้มให้กติยา
“ป้ากับแม่หนูยาคุยกันแล้ว เดือนหน้าเราจะจัดงานหมั้นให้ตาเทพกับหนูยา...เทพว่ายังไงลูก”
วาสุเทพพูดยิ้มๆ “แล้วแต่คุณแม่เลยครับ”
กติยาได้แต่ก้มหน้ายิ้มเขินดีใจ และภูมิใจ
วันหมั้นของกติยากับวาสุเทพจัดขึ้นตามฤกษ์ คุณหญิงสุดใจ พลเรือเอกภัทร และ ดรุณี แม่ของกติยานั่งอยู่บนโซฟาหรูในห้องโถงบ้านมนูญศักดิ์ ผู้ใหญ่สามท่านมองวาสุเทพที่กำลังสวมแหวนหมั้นให้กติยาอย่างอิ่มเอมใจ
วาสุเทพสวมแหวนหมั้นให้กติยาเรียบร้อย แล้วค่อยๆ ก้มลงจูบมือกติยาที่ก้มหน้ายิ้มเขินๆ
ดรุณีก้มตัวไปบอกลูกสาว “ไหว้ขอบคุณพี่เขาสิลูก”
กติยาพนมมือไหว้ที่อกวาสุเทพ
คุณหญิงสุดใจก้มลงพูดให้โอวาทสองคน “สัญญากับแม่นะเทพ ว่าต่อไปนี้ เทพต้องคอยดูแลปกป้อง และอยู่เคียงข้างน้อง ให้สมกับที่แม่หนูยาวางใจยกลูกสาวให้ลูก”
“ครับคุณแม่”
วาสุเทพยิ้มให้ กติยายิ้มตอบ สบตาวาสุเทพอย่างมีความสุข
แสงไฟริมถนนราชดำเนินยามนี้ ระยิบระยับสวยงามเพียงใด ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ในหัวใจคุณครูคนสวยเลยสักน้อย
กติยาดึงตัวเองกลับมา แล้วหวนคิดถึงคำสัญญาที่วาสุเทพรับปากคุณหญิงสุดใจแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด เคล้ากับสายฟ้าแลบ และเสียงฟ้าร้องคำรามคำรณ เหมือนฝนกำลังจะตกในไม่ช้านี้
กติยายกมือขึ้นกุมแหวนหมั้นที่ยังสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่อย่างหวงแหน กลัวมันจะหายไป
“ไหนพี่เทพสัญญาว่าจะดูแลยา แล้วทำไม”
เสียงของวาสุเทพที่บอกถอนหมั้นกติยาดังก้อง วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
“เราถอนหมั้นกันเถอะๆๆ...”
ฝนโปรยปรายลงมา กติยาหัวใจสลาย ร้องไห้โฮกลางสายฝน สายตามองไปข้างหน้า เหมือนมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง
โทรศัพท์ในโถงบ้านมนูญศักดิ์กรีดเสียงดังขึ้นกลางดึกท่ามกลางความเงียบสงัด ดรุณี ใส่เสื้อคลุมชุดนอนมารับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ บ้านมนูญศักดิ์ค่ะ” ดรุณีคุยสาย ชะงักไปนิดหนึ่ง “ยา...ยาอยู่ไหนน่ะลูก แม่รอยาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นยากลับมา อะไรนะ”
น้ำเสียงตอนท้ายตกใจสุดจะประมาณ
คุณหญิงสุดใจกำลังคุยสายโทรศัพท์กับดรุณีด้วยสีหน้าตกใจ มีวาสุเทพกับ นายพลภัทรนั่งอยู่ใกล้ๆ
“จริงเหรอดรุณี แล้วหนูยาเป็นอะไรมากไหม”
วาสุเทพได้ยินชื่อกติยา ก็เหลียวมามองคุณหญิงมารดาด้วยสีหน้าสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับยาเหรอครับคุณแม่”
คุณหญิงสุดใจไม่ตอบ มองหน้าวาสุเทพอย่างไม่พอใจ
บรรยากาศในไนท์คลับ มีวงดนตรีเล่นอยู่บนเวทีด้วยเพลงจังหวะสนุกสนาน เพลงยุคสมัย พ.ศ 2523) มีทั้งคนนั่งดื่มและพูดคุยกับเพื่อนฝูง มีทั้งคนเต้นอยู่หน้าฟลอร์ และมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ให้ผู้ชายจับกลุ่มแข่งกันอย่างสนุกสนาน
กติยาอาการเริ่มมึนๆ เมาหน่อยๆ นั่งที่เคาน์เตอร์บาร์กระดกแก้วดื่มวิสกี้ แล้วไอแคกเพราะไม่ชินกับความร้อนแรงของแอลกอฮอล์ แต่ยังพยายามดื่มต่อไป แล้วยื่นแก้วให้พนักงานที่ยืนคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มประจำเคาน์เตอร์
“ทำดีแล้วไม่ได้ดี จะทำไปทำไม เอามาอีกแก้ว”
พนักงานเทวิสกี้แล้วเลื่อนให้ กติยากระดกดื่มวิสกี้ด้วยท่าทางขื่นๆ จะอ๊วกแต่ฝืนไว้แล้วยื่นแก้วให้พนักงานอีก
“เอามาอีก”
โลกกว้าง แต่เส้นทางชีวิตช่างแคบอย่างน่าอัศจรรย์
ชูนาม นักเรียนนอกสิงห์พนัน จอมกะล่อน เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์เพื่อจะสั่งเครื่องดื่ม เขาเห็นกติยา ก็จำได้ว่าเคยเจอกันที่หน้ารั้วบ้านสมุทรเทวาในคืนงานปาร์ตี้ ชูนามเดินยิ้มเข้าไปทักกติยา
“สวัสดีครับ”
กติยาไม่สนใจหน้าไหน กระดกดื่มวิสกี้ แล้วยื่นแก้วให้พนักงานอีก
“เอามาอีก”
ชูนามพยายามชวนคุย “คุณจำผมไม่ได้เหรอ เราเคยเจอกันที่หน้าบ้านคุณปานรุ้งไงครับ”
กติยาได้ยินชื่อ “ปานรุ้ง” ก็วางแก้ววิสกี้อย่างแรง หันไปตวาดชูนาม
“อย่าเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
ชูนามงงมาก “อ้าว ทำไมล่ะ ผมเห็นคุณไปงานปาร์ตี้ นึกว่าเป็นเพื่อนคุณรุ้ง”
“เคยเป็น แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว” กติยามองเยาะชูนาม “นี่คุณคงจะเป็นเหยื่อเสน่ห์ของรุ้งอีกคนล่ะสิ ถึงได้มายุ่งกับฉัน หวังจะใช้ฉันเป็นสะพานไปหาผู้หญิงคนนั้นงั้นสิ ฉันจะบอกอะไรให้ การทำให้ปานรุ้งสนใจไม่ยากหรอก แค่คุณมีคนรักแล้ว ปานรุ้งก็วิ่งเข้ามาหาคุณเอง”
ชูนามฟังข้อมูลจากกติยาอย่างสนใจ “หมายความว่าคุณปานรุ้งกับคนรักคุณ”
“ผู้หญิงที่ชื่อปานรุ้งเป็นพวกขาดความอบอุ่น ขี้อิจฉา เห็นคนอื่นมีความรักไม่ได้ ต้องเข้าไปทำลาย แล้วก็แย่งความรักของคนอื่นมา” กติยาร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ “เสียแรงที่ฉันไว้ใจ เธอกลับทรยศฉัน”
กติยาดื่มวิสกี้อีกแก้ว ชูนามมองกติยาแล้วเซ็งวาสุเทพที่ฉกปานรุ้งไป
“ไม่ทันไร คุณรุ้งโดนฉกไปซะแล้ว ทำยังไงดีวะ”
สมพงษ์เดินเข้ามาหาชูนาม
“ชูนาม พวกนั้นจะไปบ่อนเฮียโมต่อ นายจะไปด้วยรึเปล่า หรือว่าพักนี้เล่นได้เยอะ แล้วจะวางมือ”
กติยามองสมพงษ์ที่พูดเรื่องบ่อนกับชูนามอย่างสนใจ
ชูนามยังหงุดหงิดใจเรื่องที่ปานรุ้งโดนวาสุเทพฉกไป “ดวงกำลังขึ้น เรื่องอะไรจะวางมือ แต่รอแป๊บนึง” เขาหันมามองกติยาแล้วคิดแผนบางอย่าง “ผมจะบอกให้นะคุณผู้หญิง คุณทำอย่างนี้ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่กลับมาหาคุณหรอก เอาอย่างนี้ ถ้าคุณอยากได้ผู้ชายคนนั้นคืน ผมช่วยคุณได้นะ”
กติยามองชูนามว่าจะช่วยยังไง แต่ไม่ทันได้ถาม ด้วยคุณหญิงสุดใจกับคนขับรถเดินปรี่เข้ามาหากติยาก่อน
“หนูยา” คุณหญิงกอดกติยาด้วยความรักความสงสาร “โถ หนูยา ทำไมถึงทำแบบนี้ ไปลูกไปกลับบ้าน”
แรงกอด สัมผัสอบอุ่นจากคุณหญิงสุดใจ ทำให้อารมณ์ที่จุกอกอยู่นานสองนานแตกพล่านออกมา กติยาระเบิดร้องไห้ออกมา
“คุณป้าขา ทำไมพี่เทพทำกับยาแบบนี้ ยาผิดอะไร ยาผิดอะไรคะ”
คุณหญิงสุดใจกอดกติยาอย่างสงสารจับใจ
“กลับไปคุยที่บ้านเถอะนะลูก” คุณหญิงประคองกติยาให้ลุกขึ้นเดิน
ชูนามพูดลอยๆ จงใจให้กติยาได้ยิน “ผมชื่อชูนาม ผมมาที่นี่ประจำ”
กติยาหันมามองชูนามแว่บเดียว คุณหญิงสุดใจมองชูนามตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน และไม่ค่อยชอบขี้หน้า แล้วหันไปรุนหลังดันกติยาให้เดิน
“ไปกันเถอะลูก”
คุณหญิงสุดใจประคองกติยาเดินออกจากไนท์คลับ มีคนขับรถของคุณหญิง คอยเดินตามดูแล
กติยาเดินเซเมานิดๆ หันไปมองชูนามอีกแว่บหนึ่ง
คุณหญิงสุดใจประคองกติยาที่ยังมีอาการเมานิดๆ เดินเข้ามาในโถงบ้านมนูญศักดิ์ โดยมีคนขับรถของคุณหญิงถือกระเป๋าของกติยาตามเข้ามา
ดรุณีรีบเดินเข้าไปประคองลูกสาว แต่พอเห็นกติยาเมามายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ตกใจมาก
“ยา ทำไมถึงไปดื่มมาอย่างนี้ ยาไม่เคยดื่มมาก่อนนะลูก”
กติยาบอกด้วยเสียงอันขื่นขม “ก็ผู้ชายเขาชอบผู้หญิงกร้านโลกอย่างนี้ไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่”
คุณหญิงสุดใจมองกติยาอย่างรู้สึกสงสาร รู้ว่ากติยาเป็นอย่างนี้เพราะวาสุเทพ
“โธ่ หนูยาอย่าพูดอย่างนั้นสิลูก ตาเทพเขาไม่มีวันชอบผู้หญิงอย่างนั้นหรอก”
“ถ้าเขาไม่ชอบ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะคะ”
คุณหญิงสุดใจชะงัก คิดถึงตอนที่ไปบอกให้วาสุเทพไปรับกติยาที่ไนท์คลับ แต่วาสุเทพปฏิเสธ โดยเวลานั้น วาสุเทพเดินหนีเข้ามาในห้อง คุณหญิงตามเข้ามา
“แม่บอกให้เทพไปรับหนูยาที่ไนท์คลับไง เทพไม่ได้ยินเหรอ”
“ผมก็บอกคุณแม่แล้วไงครับว่าผมไม่อยากไป”
คุณหญิงสุดใจโกรธ “ตาเทพ ที่หนูยาไปเมาอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ผ่านมา หนูยาไม่เคยแตะ
เหล้ายา เป็นเพราะลูกนะ”
“มันเป็นเพราะผมไงครับ ผมถึงไม่อยากไปให้ยาเห็นหน้าอีก ยิ่งเขาเห็นผมตอนนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ คุณแม่ไปดูยาแทนผมทีเถอะนะครับ”
คุณหญิงสุดใจกล้ำกลืน พูดไม่ออกว่าทำไมวาสุเทพไม่มาหากติยา
กติยามองอย่างเข้าใจ ร้องครวญคร่ำร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด
“พี่เทพไม่ต้องการยา แล้วจริงๆ”
กติยาลุกเดินซมซานขึ้นห้องไป คุณหญิงสุดใจกับดรุณีมองตามด้วยความสงสาร
ยิ่งเห็นกติยาเจ็บ คุณหญิงก็ยิ่งโกรธเกลียดปานรุ้งทบทวี
“ฉันอยากรู้จิตใจนังผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ทำเพื่อนสนิทเจ็บขนาดนี้ มันยังมีสำนึกบ้างไหม”
เรือโทวาสุเทพ พาตัวเองมาอยู่ในห้องรับแขก บ้านสมุทรเทวา ตั้งแต่เช้า ปานรุ้งซึ่งนั่งข้างๆ แสร้งทำเป็นหน้าเครียด เศร้าใจที่รู้ข่าวจากวาสุเทพว่าถอนหมั้นกับกติยาแล้ว
“พี่เทพล้อเล่นใช่ไหมคะ”
วาสุเทพจับมือปานรุ้ง “พี่พูดจริงๆ พี่ถอนหมั้นกับกติยาแล้ว”
ปานรุ้งดึงมือจากวาสุเทพมากุม “พี่เทพทำอย่างนั้นทำไมคะ”
“เพราะพี่อยากให้รุ้งเห็นว่า พี่พร้อมและตั้งใจจะดูแลรุ้งคนเดียว”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยความซาบซึ้งใจ
“พี่เทพ”
“ที่พี่มาวันนี้ พี่จะมาหาคุณแม่ของรุ้ง เพื่อจะเรียนท่านว่า พรุ่งนี้พี่จะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอรุ้ง”
“อะไรนะคะ”
“พี่รู้ว่าทุกอย่างมันอาจจะเร็ว แต่เดือนหน้าพี่ต้องไปราชการ พี่เลยอยากทำให้มั่นใจว่ารุ้งจะไม่เป็นของใคร” เขาจับมือปานรุ้งมาจูบเบาๆ “รุ้งคงไม่ว่าพี่เห็นแก่ตัวเกินไปนะ”
ปานรุ้งยิ้มเขิน “งั้นรุ้งต้องไปถามนายแม่ก่อน ว่ายอมรึเปล่า”
บ่ายนั้น บริเวณท่าเรือสมุทรเทวาคึกคักวุ่นวายเช่นทุกวัน มีคนงานขนสินค้าขึ้นเรือราว 20 คน และพนักงานดูแลคนงาน 10 คน
คมขวัญเดินคุยกับปริญญาด้วยสีหน้าเครียด
“ฉันไม่ยอม”
ปริญญาเว้าวอน “แต่คุณนายครับ”
คมขวัญพูดเสียงเข้มจริงจัง “ฉันไม่ยอมสนับสนุนให้ปานรุ้งแย่งคุณวาสุเทพมาจากกติยา เพียงเพราะใช้หน้าที่การงานของครอบครัวคุณวาสุเทพช่วยสถานการณ์บริษัทสมุทรเทวาเด็ดขาด”
“แต่ตอนนี้เราเสียงลูกค้าให้บริษัทมิสเตอร์เจสันไปอีก 2 ราย เราต้องลดราคาขนส่งเพื่อดึงลูกค้าที่เหลือไว้ เราต้องหาทางกู้เงินเพื่อพยุงบริษัท ไว้นะครับ”
“มันต้องมีทางอื่นสิ ที่เราไม่ต้องพึ่งตระกูลนทีพิทักษ์”
ปริญญาลังเลก่อนพูด “ยังมีอีกวิธีครับ คือขายหุ้นบริษัท”
“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ตัดแขนตัดขาบริษัทที่วงศ์ตระกูลสามีของฉันสร้างมาให้คนอื่นเข้ามาครอบครอง บริษัทของสมุทรเทวา ต้องสืบทอดสู่ลูกหลานสมุทรเทวาเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพึ่งคุณวาสุเทพครับคุณนาย”
คมขวัญมองปริญญา แล้วถอนใจเครียด “ฉันทำไม่ได้ ฉันยอมให้รุ้งยุ่งกับคุณวาสุเทพไม่ได้”
คุณหญิงสุดใจเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“งั้นก็รีบไปบอกลูกสาวคุณ ให้เลิกทอดสะพานให้ลูกชายฉันได้แล้ว”
คมขวัญมองคุณหญิงอึ้งๆ “คุณหญิงสุดใจ”
ปริญญาขยับออกไป คุณหญิงสุดใจมองคนงานที่ขนสินค้าขึ้นเรือ พลางพูดกับคมขวัญด้วยเสียงหยามเยาะ
“ใครๆ ก็รู้ ว่าคุณคมขวัญ สมุทรเทวา เป็นคนเก่ง ควบคุมดูแลคนงานเป็นร้อยเป็นพัน ขนาดผู้ชายอกสามศอกยังไม่กล้างัดข้อกับคุณ งั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะห้ามลูกสาวเลิกทำตัวฉาวโฉ่ ไล่แย่งผู้ชายของคนนั้น คนนี้เสียที ที่ฉันมา ก็เพื่อจะมาเตือนคุณ ในฐานะหัวอกคนเป็นแม่ด้วยกัน ต่างก็อยากเห็นลูกมีความสุข ฉันก็อยากเห็นลูกชายได้คู่ที่ดี ส่วนคุณคงไม่อยากเห็นลูกสาวโดนผู้ใหญ่ฝ่ายชายไม่ยอมรับหรอก จริงไหมคะ”
คมขวัญพูดไม่ออก
ไม่มีใครเห็นว่าปานรุ้งยืนอยู่มุมหนึ่ง เกื้อยืนถัดไปทางด้านหลัง ปานรุ้งได้ยินที่คุณหญิงสุดใจพูดดูถูกตัวเองทุกคำ จดสายตามองสุดใจด้วยแววตาเอาเรื่อง
เกื้อนั้นห่วงความรู้สึกปานรุ้ง “คุณหนูครับ”
“คงไม่ต้องถามนายแม่เรื่องหมั้นแล้วล่ะ ฉันตัดสินใจเองได้แล้ว”
ปานรุ้งมองคุณหญิงสุดใจด้วยสายตายิ้มเยาะ อย่างคนต้องการเอาชนะตามนิสัย
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
กลับถึงบ้านสมุทรเทวาตอนเย็น และนั่งไม่ทันหายร้อน คมขวัญก็เหลียวมามองหน้าปานรุ้งอย่างคาดไม่ถึง
“รุ้งจะหมั้นกับคุณวาสุเทพอาทิตย์หน้าเหรอ”
ปานรุ้งยิ้มร่า “ใช่ค่ะ วันนี้พี่เทพมาบอกว่าจะพาคุณพ่อคุณแม่เขามาสู่ขอรุ้งพรุ่งนี้ นายแม่เตรียมตัวไว้นะคะ
คมขวัญสะท้อนใจ เมื่อนึกถึงอาการของคุณหญิงสุดใจที่ไม่ชอบปานรุ้งเอาเลย
“แม่ไม่เห็นด้วย อย่าลืมสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคู่หมั้นของเพื่อนรุ้ง”
“แต่พี่เทพถอนหมั้นกับกติยาแล้วนะคะ”
“ถึงจะถอนหมั้นแล้ว รุ้งก็ควรมีความรู้สึกผิดต่อเพื่อนบ้าง ไหนจะคนอื่นๆ อีก ถ้ารุ้งหมั้นตอนนี้ ใครจะคิดยังไง
ปานรุ้งพูดย้อนมารดาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “รุ้งเคยคิด ว่าถ้าไม่มีน้องเปี่ยมขวัญแล้ว นายแม่จะแคร์ความรู้สึกรุ้งขึ้นมาบ้าง แต่รุ้งคิดผิด ต่อให้ไม่มีน้องเปี่ยมขวัญแล้ว นายแม่ก็ยังแคร์คนอื่นมากกว่ารุ้งอยู่ดี”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะรุ้ง แม่ว่าทุกอย่างมันเร็วเกินไป”
“แล้วมันไม่ดีเหรอคะ ที่รุ้งจะได้มีความสุขเร็วๆ หรือความสุขของรุ้งมันไม่สำคัญ”
คมขวัญถอนใจอย่างระอา รู้ว่าพูดยังไงก็กลบรอยผิดพลาดที่ตัวเองทำกับปานรุ้งไม่ได้
“ถ้ามันเป็นความสุขของรุ้งจริง แม่ก็ไม่ห้าม”
ปานรุ้งยิ้มอย่างชนะ
“รุ้งรู้ค่ะ ว่านายแม่ห่วงเรื่องแม่ของพี่เทพกับยา นายแม่ไม่ต้องห่วงนะคะรุ้งเคลียร์ได้”
สาวนักเรียนนอกยิ้มเจ้าเล่ห์
เช้าวันสู่ขอ คมขวัญนั่งยิ้มเจื่อนๆ มองท่านนายพลภัทรกับวาสุเทพที่มากันตามลำพัง ส่วนคุณหญิงสุดใจไม่มาด้วย บ่งบอกชัดแจ้งว่าไม่ยอมรับปานรุ้ง !
วาสุเทพกับพลเรือเอกภัทรมองหน้ากัน ปานรุ้งมองพ่อลูกทหารเรือ ยิ้มรู้ทัน มีแผนจัดการว่าที่แม่สามีในใจแล้ว
คมขวัญเอ่ยถามตามมารยาท “คุณหญิงสุดใจไม่ได้มาด้วยเหรอคะ”
“เอ่อ คุณแม่ไม่ค่อยสบายน่ะครับ”
“ยังไงผมขอโทษแทนคุณหญิงด้วยนะครับ” นายพลภัทรบอก
“ไม่เป็นไรค่ะท่าน”
คมขวัญยิ้มแห้งๆ ในใจรู้อยู่เต็มอกว่าคุณหญิงสุดใจไม่ยอมรับลูกสาว
“คุณป้าเป็นอะไรมากไหมคะ” ปานรุ้งถาม
“เอ่อ มีไข้น่ะจ้ะ”
ปานรุ้งทำหน้าเศร้า “แย่จังนะคะ พักนี้ดินฟ้าอากาศก็ไม่รู้เป็นอะไร เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวมีฝน ท่านแก่มากแล้วก็เลยป่วย งั้นขอรุ้งไปเยี่ยมท่านได้ไหมคะ”
วาสุเทพชะงัก มองหน้านายพลบิดาว่าจะตอบปานรุ้งยังไงดี เพราะรู้ว่าคุณหญิงสุดใจไม่ได้ป่วยเป็นอะไร
“แต่พี่ว่า”
ปานรุ้งแกล้งพูดดักคอ “หรือคุณแม่พี่เทพ ไม่อยากเจอรุ้งคะ”
วาสุเทพชะงัก เจอดักคออย่างนี้จึงไม่กล้าห้าม เพราะเท่ากับยอมรับว่าคุณหญิงสุดใจไม่อยากเจอเธอจริงๆ
ปานรุ้งยิ้มหน้าซื่อตาใสให้วาสุเทพ รู้ทันว่าคุณหญิงจงใจไม่มา เธอต้องตามไปเคลียร์
รถวาสุเทพขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน ท่านนายพลภัทร ปานรุ้ง และวาสุเทพลงจากรถ
เด็กรับใช้วิ่งเข้ามาคอยรับใช้
วาสุเทพถามสาวใช้ “คุณแม่ล่ะ”
“อยู่ในเรือนเพาะกล้วยไม้ค่ะ”
วาสุเทพหันไปทางปานรุ้ง “เดี๋ยวพี่พารุ้งไป”
ปานรุ้งรีบพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะ รุ้งรู้นะคะว่าคุณป้าไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่ท่านไม่ไปบ้านรุ้ง เพราะท่านยังไม่ยอมรับรุ้ง”
วาสุเทพชะงัก เหลียวมองหน้าบิดา
ปานรุ้งยิ้มให้วาสุเทพ “ขอรุ้งคุยกับคุณป้าตามลำพังนะคะ รุ้งเชื่อความรักที่รุ้งมีให้พี่เทพ จะทำให้คุณป้าเปิดใจรับรุ้งบ้าง”
วาสุเทพยิ้มดีใจที่ปานรุ้งพยายามเข้าหา และทำให้แม่เขายอมรับ
ปานรุ้งยิ้มหวานให้วาสุเทพ แล้วมองเลยไปทางเรือนเพาะกล้วยไม้ ด้วยสายตายิ้มเยาะ
คุณหญิงสุดใจกำลังเช็ดใบกล้วยไม้อย่างทะนุถนอม ด้วยรักกล้วยไม้มาก ปานรุ้งเดินหน้าเชิดเข้ามา ไม่ได้มาเพื่ออ่อนน้อมอย่างที่บอกกับวาสุเทพ
“ดอกไม้สวยดีนะคะ”
คุณหญิงสุดใจเหลียวขวับมามองปานรุ้งด้วยสายตาไม่พอใจ
“เธอมาที่นี่ทำไม ออกไป”
ปานรุ้งยังเดินทอดน่องมองกล้วยไม้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“รุ้งแค่มาเยี่ยม เห็นพี่เทพบอกว่า คุณ แม่ ไม่ ส บาย” คำตอนท้ายเธอจงใจประชดเน้นคำทุกคำ
คุณหญิงสวนกลับ “เรียกฉันว่าคุณหญิงดีกว่า คำว่าแม่ ฉันเก็บไว้เฉพาะลูกของฉัน และคนที่ฉันอยากได้เป็นลูกเรียกเท่านั้น”
ปานรุ้งหัวเราะขัน “เคยเห็นแต่ในละคร ไม่คิดเลยว่าชีวิตจริงจะมาเจอเรื่องน้ำเน่าระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ นี่รุ้งต้องนั่งพับเพียบร้องไห้กอดขาอ้อนวอนคุณแม่ ให้ยอมรับความรักของรุ้งกับพี่เทพด้วยไหมคะ”
คุณหญิงสุดใจมองปานรุ้งที่เชิดหน้าเยาะเย้ยอย่างไม่พอใจ “ฉันบอกเธอตรงนี้เลย ฉันไม่มีวันยอมรับใครเป็นลูกสะใภ้ นอกจากหนูยา”
ปานรุ้งไม่ยี่หระ ลอยหน้าลอยตาโต้ “แต่พี่เทพเลือกรุ้ง ไม่ใช่กติยา”
คุณหญิงโกรธจัด “ผู้หญิงอะไร หน้าด้านที่สุด”
ปานรุ้งยิ้มหยัน “อีกอย่างนึง ถึงคุณแม่ไม่ยอมรับรุ้ง รุ้งก็ไม่แคร์ เพราะคนที่รุ้งแต่งด้วย ไม่ใช่คุณแม่ แต่เป็นลูกชายคุณแม่”
คุณหญิงสุดใจโกรธสุดขีด ทนไม่ไหว เดินหุนหันผ่านปานรุ้งออกจากเรือนเพาะกล้วยไม้ไป
ท่านนายพลภัทรนั่งรอที่โซฟา วาสุเทพเดินไป เดินมา ด้วยความกังวลว่าปานรุ้งคุยกับคุณหญิงมารดาผลเป็นอย่างไร จนคุณหญิงสุดใจเดินหน้าบูดบึ้งตึงเปรี๊ยะเข้ามาในโถง
“คุณแม่”
“แม่ไม่มีวันยอมรับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด”
คุณหญิงสุดใจเดินหนีขึ้นชั้นสองไปเลย
“คุณหญิง” นายพลภัทรหันมาทางลูกชาย “เดี๋ยวพ่อคุยเอง แกดูหนูรุ้งเถอะ”
วาสุเทพยกมือไหว้พ่อ “ขอบพระคุณมากนะครับคุณพ่อที่ช่วยผม”
ท่านนายพลถอนใจ “เพราะพ่อเห็นว่าแกพูดถูก ถ้าต้องแต่งกับหนูยาไป ทั้งๆ ที่แกรักคนอื่น หยุดทุกอย่างตอนนี้แหละ...ดีแล้ว”
นายพลภัทรเดินตามคุณหญิงสุดใจขึ้นบ้านไป
วาสุเทพมองตามด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
สักครู่ปานรุ้งแกล้งเดินหน้าเศร้าเข้ามา วาสุเทพหันมาเห็นจึงรีบเข้าไปหา
“รุ้ง”
ปานรุ้งบีบน้ำตาเล่นละครทันที “รุ้งพยายามอธิบายกับแม่พี่เทพแล้ว ว่ารุ้งไม่ได้ตั้งใจแย่ง
พี่เทพจากยา แต่เรื่องของความรัก มันห้ามกันไม่ได้ แต่แม่พี่เทพไม่ยอมเข้าใจ”
วาสุเทพมองปานรุ้งสงสารเหลือเกิน กอดคนรักแนบอก ปานรุ้งลอบยิ้มขำ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเครือสั่น
“ขอให้แม่พี่เทพยอมรับรุ้ง รุ้งยอมทำทุกอย่าง แม้แต่ไปขอโทษยานะคะ”
วาสุเทพตกใจ มองหน้าปานรุ้ง “รุ้งว่าอะไรนะ”
“รุ้งจะไปขอโทษยาค่ะ”
วาสุเทพขับรถมาจอดที่ริมรั้วบ้านมนูญศิลป์ เรือโทหนุ่มลงจากรถ แล้ววิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้ปานรุ้งซึ่งตีสีหน้ารู้สึกผิดถือช่อดอกไม้ลงจากรถ
วาสุเทพมองบ้านกติยาด้วยสีหน้ากังวล “พี่ว่า พี่ไม่เข้าไปเจอยาตอนนี้ดีกว่าหรือถ้ารุ้งอยากให้พี่เข้า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ รุ้งเข้าไปคนเดียวดีกว่า”
ปานรุ้งถือช่อดอกไม้เดินเข้าประตูรั้วบ้านกติยาไป วาสุเทพมองตามอย่างเป็นห่วง
กติยานั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้สนามหน้าเรือน ปานรุ้งเดินถือดอกไม้เข้ามายืนอยู่ด้านหลัง มองกติยาด้วยความรู้สึกเห็นใจแว่บเดียวเท่านั้น
“ไม่นาน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
กติยาลุกขึ้นพร้อมกับหันมามองปานรุ้งด้วยความรู้สึกอันเจ็บปวดระคนความผิดหวัง
“เธอทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงปานรุ้ง”
สองสาวเพื่อนรักโต้เถียงกันเสียงดัง สรรพนามที่สองคนเรียกขานกัน เปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์
ปานรุ้งพูดหน้าซื่อ เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด “ฉันไม่ได้ทำอะไร”
“แย่งคู่หมั้นเพื่อนไปอย่างนี้ เธอยังบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ”
“จำได้ไหมกติยา ตอนที่เราไปหัวหินด้วยกัน ฉันเคยพูดกับเธอว่าพี่เทพหมั้นกับเธอเพราะผู้ใหญ่บังคับ ไม่ได้เกิดจากที่พี่เทพรักเธอ ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องผิดที่วันนึงพี่เทพจะเจอคนที่เขาถูกใจจริงๆ แล้วเธอก็ควรปล่อยเขาซะ”
“ฉันไม่ปล่อย” กติยาตวาดเสียงดัง พูดย้อนปานรุ้ง “เพราะฉันก็เคยบอกเธอแล้วเหมือนกันว่า ผู้หญิงที่ยุ่งกับผู้ชายที่มีคู่หมั้นแล้ว คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี พี่เทพไม่จริงจังกับผู้หญิงอย่างนั้นหรอก เขาก็แค่เล่นๆ”
ปานรุ้งมองช่อดอกไม้ในมือตัวเอง “ช่อดอกไม้นี่ พี่เทพให้ฉันเอามาขอโทษเธอ” แล้วยื่นช่อดอกไม้ให้กติยา “อ่ะ ฉันให้”
กติยาไม่ยอมรับช่อดอกไม้ “ฉันไม่รับคำขอโทษของเธอ”
ปานรุ้งยิ้มเยาะขำๆ “ฉันไม่ได้ให้เพื่อขอโทษ แต่ฉันให้เพื่อฝากเธอไปทิ้ง”
กติยามองปานรุ้งอย่างคาดไม่ถึง “อะไรนะ”
ปานรุ้งพูดอย่างมั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่า “ก็อย่างที่บอก ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดผู้ชายเลือกฉันเอง ดังนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องขอโทษเธอ”
ปานรุ้งวางช่อดอกไม้ไว้บนโต๊ะตรงหน้ากติยายิ้มในสีหน้าเป็นเชิงบอก “ฝากทิ้งด้วยนะ” แล้วเดินเชิดออกไป
กติยามองช่อดอกไม้อย่างเจ็บใจ โกรธจนไปไม่เป็น ทำไมเพื่อนรักถึงทำกันได้ขนาดนี้
วาสุเทพยืนรออยู่ข้างรถริมรั้วบ้าน กระทั่งเห็นปานรุ้งเดินน้ำตาคลอสีหน้าเศร้าออกมา วาสุเทพรีบเดินเข้าไปหา
“เป็นยังไงบ้าง”
“ยาเขา...”
ปานรุ้งยังไม่ทันพูดจบ กติยาถือช่อดอกไม้ของปานรุ้งออกมา แล้วจะเอาช่อดอกไม้ฟาดปานรุ้งระบายความโกรธ วาสุเทพเห็น รีบเอาตัวบังปกป้องปานรุ้งไว้
“ฉันทำอะไรให้เธอ ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้ ทำไม ทำไม”
ดรุณีได้ยินโวยวาย วิ่งออกมาจากในบ้านเข้ามาห้ามกติยา
“ยา พอเถอะลูก ยา ใจเย็นๆ โถ...ลูก”
กติยายังเอาช่อดอกไม้ตีปานรุ้ง แต่วาสุเทพเอาตัวปกป้อง ทำให้วาสุเทพเป็นคนโดนตีแทน
“ยาอย่าโทษรุ้งเลย พี่ผิดเอง ยาทำพี่คนเดียวเถอะ ได้โปรด อย่าทำรุ้ง”
กติยาได้ยินวาสุเทพพูดขอร้อง ปกป้องปานรุ้งแล้วชะงัก หัวใจเจ็บปวดเกินจะเจ็บ เมื่อผู้ชายที่ตัวเองรักไปปกป้องผู้หญิงคนอื่น กติยาจดสายตามองวาสุเทพที่กอดปกป้องปานรุ้งโดนร้องไห้โฮออกมา
ดรุณีรีบบอกวาสุเทพ “พ่อเทพ รีบพาผู้หญิงคนนั้นไปซะ”
วาสุเทพประคองปานรุ้งไปขึ้นรถถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไหมรุ้ง”
ปานรุ้งกอดวาสุเทพไว้แน่นเหมือนกลัวกติยาทำร้าย แต่จริงๆ จงใจกอดให้กติยาเห็นว่าวาสุเทพไม่เหลียวแลกติยาแม้แต่นิด
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปานรุ้งเหลียวมองไปทางกติยา ทำหน้าเสียใจ “รุ้งไม่โกรธยาหรอก รุ้งรู้ว่ารุ้งผิด รุ้งหวังว่าวันนึงยาจะอภัยให้รุ้งนะ”
กติยารู้ดีว่าปานรุ้งตอแหล
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะร้ายกาจอย่างนี้”
“พอเถอะยา เรื่องทั้งหมดพี่ผิดเอง พี่ขอโทษ”
กติยามองวาสุเทพอย่างเจ็บปวด “พี่เทพ”
วาสุเทพมองกติยาแว่บเดียว หันหลังเดินขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างหวั่นกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้ากับกติยาอีก
กติยาเดินตามรถของวาสุเทพที่เคลื่อนออกไป ค่อยๆเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ตามความเร็วของรถ
“พี่เทพ อย่าไป พี่เทพ”
ดรุณีใจจะขาด วิ่งตามมากอดลูกไว้ “พอเถอะยา เขาไปแล้ว”
กติยามองตามรถวาสุเทพไม่วางตา
“ไม่ ยาไม่ยอมให้พี่เทพไป ยาจะทำทุกอย่าง เพื่อเอาพี่เทพคืน”
ในรถที่แล่นออกมา วาสุเทพขับรถโดยมองที่กระจกส่องหลัง เห็นกติยายืนโวยวายร้องไห้เรียกร้องหาตน ก็เครียดหนัก
ส่วนปานรุ้งมองผ่านกระจกข้างด้วยสีหน้ารำคาญ อาการฟูมฟายของกติยาเต็มทน
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่หน้าคฤหาสน์สมุทรเทวาตอนนี้ เกื้อถูกชัชวาลผลักจนล้มกลิ้งลงไปกับพื้นถนน แล้วจะเดินเข้าไปในตึกใหญ่ แต่น้อยกับกอบเข้ามายืนขวางไว้
“อย่าเข้ามานะคุณ ไม่อยากนั้นผมแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วย” กอบพูดขู่
ชัชวาลฉุนเฉียวใส่ “ไปตามคุณรุ้งมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ฉันบอกแล้วไงครับว่าคุณหนูไม่อยู่” น้อยบอก
“ฉันไม่เชื่อ”
ชัชวาลดึงดันจะเข้าบ้าน เกื้อ กับ น้อย และ กอบช่วยกันขวางชัชวาล
ระหว่างนี้ปานรุ้งกับวาสุเทพ ลงรถเดินเข้ามาดูเหตุการณ์
“นี่มันอะไรกัน”
ชัชวาลหันมามองปานรุ้งอย่างดีใจ เข้ามาจับมือเธอคาดคั้นถาม
“บอกผมสิคุณรุ้ง ไอ้ข่าวลือว่าคุณจะหมั้น มันไม่จริง”
ปานรุ้งดึงมือออกจากชัชวาล “จริงค่ะ” จากนั้นจึงเดินไปกอดแขนวาสุเทพ “นี่ไงคะว่าที่คู่หมั้นของรุ้ง”
ชัชวาลมองวาสุเทพอย่างไม่พอใจ แล้วหันมาโวยวายกับปานรุ้ง
“แล้วผมล่ะ ผมอุตส่าห์ถอนหมั้นเพื่อคุณ แล้วทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้”
“สงบสติอารมณ์หน่อยสิชัชวาล ฉันจำได้ว่าไม่เคยบอกคุณสักคำว่าให้ถอนหมั้นเพื่อฉัน”
ชัชวาลชะงัก มองปานรุ้งอึ้งๆ “ก็คุณบอกว่าคุณชอบผม คุณจะคบกับผม”
“ฉันเคยบอกว่าชอบคุณ ชอบนิสัยคุณ แต่ฉันไม่เคยบอกว่าจะคบคุณ คุณคิดไปเองต่างหากล่ะชัชวาล”
ชัชวาลตะลึง มองปานรุ้งอย่างคาดไม่ถึง “คุณหลอกผม” เขาถลันเข้าไปกระชากแขนปานรุ้ง “ผมไม่ยอมให้คุณทำอย่างนี้กับผม ผมไม่ยอม”
วาสุเทพกับเกื้อ และน้อยเข้ามาดึงตัวชัชวาลออกจากปานรุ้ง
วาสุเทพสั่งเกื้อกับน้อย “เอาเขาออกไป” แล้วพูดใส่หน้าชัชวาล “ถ้ายังไม่หยุดยุ่งกับรุ้ง ผมจะแจ้งตำรวจ จำไว้”
ชัชวาลชี้หน้าวาสุเทพ “ระวังเถอะ แกจะเป็นโดนอย่างฉัน ระวังเถอะ”
เกื้อ กอบ และน้อยช่วยกันล็อกตัวพาชัชวาลเดินออกไปทางประตูรั้วหน้าบ้าน
เกื้อ กอบ และน้อย ทั้งลาก ทั้งดัน เพื่อพาชัชวาลออกมานอกรั้วบ้านอย่างทุลักทุเล เพราะชัชวาลแข็งขืน โวยวาย และพยายามสะบัดตัวตลอดเวลาด้วยแรงโมโห
“ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อยไง”
เกื้อ กอบ น้อยปล่อยตัว ชัชวาลจะพุ่งเข้าบ้าน เกื้อผลักอกชัชวาล จนชัชวาลเสียหลักล้ม
“คุณกลับไปเถอะ คุณก็เห็นแล้วว่าคุณหนูกำลังจะหมั้น” เขาพูดเหมือนเตือนตัวเองไปด้วย “ผมรู้ว่าคุณเจ็บ แต่คนเราต้องยอมรับความจริง”
กอบมองลูกชายอย่างสงสาร เข้าใจว่าเกื้อเจ็บเพียงใด
ชัชวาลโวยวายลั่น “ฉันไม่ยอมรับโว้ย รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร คนอย่างชัชวาลมีแต่ทิ้งผู้หญิง ไม่เคยโดนผู้หญิงทิ้งเว้ย”
น้อยหันมาพูดกับเกื้อ และกอบ “เข้าบ้านเถอะ คุยกับคนขาดสติ ยังไงก็ไม่มีทางรู้เรื่อง”
น้อยดึงกอบกับเกื้อเข้าบ้านแล้วปิดประตูรั้ว
ชัชวาลรีบลุกขึ้นเพื่อจะดันเปิดประตูรั้ว แต่เปิดไม่ออกได้แต่โวยวาย
“เปิดนะเว้ย ได้ยินไหม ฉันบอกให้เปิด”
ชัชวาลโมโหใช้เท้าถีบประตูรั้วบ้านอย่างแรง แต่ประตูรั้วใหญ่และแข็งแรงทำให้แรงถีบสะท้อนให้ ตัวชัชวาลล้มลงกับพื้น
ชัชวาลโกรธ โมโห ทำอะไรไม่ได้ จึงต่อยพื้นระบายความเจ็บแค้น
นิสาเดินเข้ามายืนข้างๆชัชวาล แล้วยื่นมือเพื่อจะดึงชัชวาลให้ลุกขึ้น
“ให้สาช่วยไหมชัช”
ชัชวาลมองนิสา แล้วรู้สึกเสียใจที่เคยทิ้งนิสา
ชัชวาลคราง “สา”
นิสานั่งลงข้างๆ แล้วกอดปลอบชัชวาล
“เห็นแล้วใช่ไหม ว่าใครที่รักชัช”
ชัชวาลกอดนิสาแน่น “ผมขอโทษสา ผมขอโทษที่หลงผิด ผมขอโทษที่ทิ้งคุณ ผมขอโทษ”
เห็นรถของกติยาจอดอยู่ที่ริมถนนอีกมุมหนึ่ง
กติยานั่งมองชัชวาลกอดขอโทษนิสา ในใจคิดบางอย่างได้
ชูนามยังคงสุขสมกับอบายมุขสุดโปรด ในไนต์คลับที่เขามาประจำ คืนนี้ชูนามกำลังแทงสนุกเกอร์กับกลุ่มเพื่อนอยู่
ลูกสนุกเกอร์ที่ชูนามแทงจะลงหลุมรอมร่อ จู่ๆ มือเรียวงามก็คว้าลูกสนุกเกอร์นั้นเอาไว้ก่อนลูกจะลงหลุม
ชูนามมองหน้าเจ้าของมือ พบว่าเป็น กติยาที่จ้องตาชูนามอยู่แล้ว
“คุณบอกว่าคุณมีวิธีให้ฉันได้พี่เทพคืนใช่ไหม ฉันก็มีวิธีให้คุณได้ปานรุ้งเหมือนกัน”
ชูนามมองกติยายิ้มรู้ทันกัน
ทุกชีวิตดำเนินไป ตามบาทวิถีและครรลอง ในช่วง 3 อาทิตย์ที่ผันผ่านนี้
จนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นวันหมั้นระหว่าง เรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ กับ ปานรุ้ง สมุทรเทวา
เกื้อตื่นแต่เช้ามืด เอาแต่นั่งกอดเข่ามองเสื้อเชิ้ตขาวตัวเก่งที่แขวนอยู่ตรงราวผนังห้องพัก เรือนคนใช้ ด้วยสีหน้าเศร้าหม่น กอบเดินเข้ามา
“อ้าว เกื้อ ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอ ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้วันหมั้นของคุณหนู”
เกื้อมองเสื้อเชิ้ตนิ่ง “วันสำคัญขนาดนี้ ผมไม่มีวันลืมหรอกพ่อ”
กอบมองลูกชายที่นั่งมองเสื้อเชิ้ตอย่างสงสัย “เอ็งเป็นอะไรรึเปล่าเกื้อ”
“ผมก็แค่กำลังมอง ว่าเสื้อตัวที่ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตของฉันจะมี มันดูดีพอจะทำให้คุณหนูพอใจบ้างไหม”
กอบพูดอย่างไม่ใส่ใจ “โหย ขี้ข้าอย่างเรา ต่อให้แต่งองค์ทรงเครื่องอะไรไป คุณหนูก็ไม่สนใจหรอก เอาเวลาคิดเรื่องไร้สาระ ไปทำงานของเอ็งเถอะ ก่อนที่แม่เอ็งจะบ่นหูแตก”
กอบเดินออกไป เกื้อยังมองเสื้อเชิ้ตสีขาวนิ่งอยู่ แล้วพูดกับตัวเองว่า
“นั่นสินะ เรามันแค่ขี้ข้า ได้เห็นคุณหนูมีความสุขอยู่ไกลๆ ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว”
เกื้อมองเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ราวเมฆขาวบนท้องฟ้าเช้าวันนี้กระนั้น
ใกล้ฤกษ์ แขกทยอยเดินทางมาร่วมงานหมั้น ในตอนยามเช้าอันสดใส ทุกคนแต่งตัวสวย หล่อ หรูหราสมฐานะครบครัวคู่หมั้นหนุ่มหล่อสาวสวย
รถยนต์หรูคันแล้วคันเล่าของบรรดาแขกไฮโซ นายทหาร คุณหญิง คุณนายเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน แขกคุณหญิง คุณนาย ผู้หลักผู้ใหญ่ ลงจากรถ
คมขวัญกำลังยืนทักทายต้อนรับแขกเหรื่อ ไฮโซ นักธุรกิจ มากมาย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่บริเวณโถง ใกล้หน้าประตูตึกใหญ่
ระหว่างนี้ขบวนรถของบ้านนทีพิทักษ์ของเจ้าบ่าวขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน มีรถขบวน 4 คัน ในนั้นเป็นรถของวาสุเทพที่มาพร้อมพ่อแม่ รถของผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว และรถของหมั้นประดามี
วาสุเทพลงจากรถพร้อมกับพลเรือเอกภัทรและคุณหญิงสุดใจ
คมขวัญเดินเข้าไปยกมือไหว้ต้อนรับท่านายพลและคุณหญิง รวมทั้งผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว
นายพลภัทรยิ้มให้คมขวัญ ตรงกันข้ามกับคุณหญิงสุดใจที่ยืนนิ่ง แสดงความไม่ยินดีที่มาวันนี้
คมขวัญพยายามข่มอารมณ์ปั้นหน้ายิ้มแย้ม โดยท่องไว้ในใจ “ชั้นทำเพื่อความสุขของลูก”
ปริญญาเดินเข้ามาบอกว่า “คุณหนูพร้อมแล้วครับคุณนาย”
ปานรุ้งในชุดไทยเหลือทองสวยพริ้งในทรงผมซอยสั้น ก้าวเดินลงมาตามบันไดกลางโถงช้าๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้วาสุเทพ ที่ส่งยิ้มมองปานรุ้งอย่างปลาบปลื้มหลงใหล
เกื้ออยู่หลังแขกทุกกลุ่ม มองคุณหนูของมันด้วยสายตาเจ็บปวด แต่ข่มใจไว้
วาสุเทพเดินไปจับมือปานรุ้งประคองลงจากตีนบันได
“วันนี้รุ้งสวยที่สุดเลยครับ”
ปานรุ้งแกล้งหยอก “แปลว่าวันอื่นรุ้งไม่สวย”
“เปล่า เอาเป็นว่า ไม่มีวันไหน ที่รุ้งของพี่ ไม่สวย”
ปานรุ้งยิ้มให้วาสุเทพ
คมขวัญบอก “ไปกันเถอะลูก ได้ฤกษ์สวมแหวนแล้ว”
วาสุเทพจูงมือปานรุ้ง เข้าไปในบริเวณทำพิธีหมั้น
ถัดจากนั้น คมขวัญ พลเรือเอกภัทร คุณหญิงสุดใจ รวมทั้งผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนั่งที่เก้าอี้เรียบร้อย ปานรุ้งกับวาสุเทพนั่งพับเพียบที่พื้น ท่ามกลาง เงิน ทอง ของหมั้นที่ตั้งโชว์ตระหง่านอยู่
วาสุเทพมองไปรอบๆ งาน ปานรุ้งเห็นอาการวาสุเทพ จึงกระซิบถาม
“กลัวยามาทำลายงานของเราเหรอคะ”
วาสุเทพอึกอัก ไม่กล้าพูดตอบรับปานรุ้งว่ากลัวกติยามาพังงานจริงๆ
ปานรุ้งหันไปมองเกื้อ แล้วกวักมือเรียก “เกื้อ”
เกื้อรีบคลานแทรกคนที่นั่งอยู่ เข้ามาหาคุณหนู
ปานรุ้งยื่นหน้ามากระซิบเกื้อ “ไปคอยเฝ้าหน้าประตู อย่าให้กติยาเข้ามา”
“ครับ”
เกื้อคลานออกไป ปานรุ้งหันมายิ้มให้วาสุเทพ
“เอาล่ะ ได้ฤกษ์แล้ว” ท่านนายพลบอกกับลูกชาย “ตาเทพ สวมแหวนให้น้องสิ”
วาสุเทพเอื้อมไปหยิบแหวนหมั้นบนพานทอง มาบรรจงสวมให้ปานรุ้ง
ปานรุ้งมองแหวน แล้วโน้มตัวกราบที่อกวาสุเทพ
แขกปรบมือแสดงความยินดี คมขวัญมองดูปานรุ้งเห็นลูกสาวมีความสุข ก็ชื่นใจ
เกื้อที่กำลังจะเดินออกไป หันมามองดูปานรุ้งที่ยิ้มแย้มมีความสุขนิ่งๆ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดในใจเหลือเกิน
เกื้อแบกความเจ็บปวดแสนสาหัสเดินหน้าเศร้าออกมาจากในคฤหาสน์ ต้องคอยบอกเตือนตัวเองว่า “เขาเป็นแค่หมาวัด ไม่มีทางเอื้อมเด็ดดอกฟ้า” เกื้อเดินมานั่งที่ม้านั่งขอบสนามหญ้า เพื่อคอยมองกติยา ตามคำสั่งของปานรุ้ง
มีรถยนต์คันหนึ่งขับมาจอดในบริเวณลานจอดรถ ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวลงจากรถเพื่อจะเข้าไปร่วมงานภายในคฤหาสน์สมุทรเทวา
เกื้อยังเฝ้ามองแขกที่เดินผ่านไป ผ่านมา ตรงหน้าตึก ว่าจะมีกติยาปะปนเข้ามารึเปล่า จนมาสะดุดตาที่ใครคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง เกื้อเห็นจากด้านหลัง หญิง 1 ที่บุคลิกเหมือนกติยามาก และกำลังเดินผ่านกลุ่มแขกจะเข้าไปด้านในบ้าน
“คุณยา”
เกื้อตกใจรีบลุกพรวด แล้วเดินตรงไปหาผู้หญิงคนนั้นโดยไว แต่ผู้หญิง 1 เดินเข้าประตูคฤหาสน์ไปแล้ว เกื้อวิ่งผ่านกลุ่มแขก รีบร้อนจนไปชนกับเด็กรับใช้ที่ถือน้ำมาเสิร์ฟ แก้วตกแตกเพล้ง!
สาวใช้ตกใจ “อุ้ย”
“ขอโทษๆๆๆ”
เกื้อร้อนใจมองไปทางหญิง 1 เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าบ้านไปแล้ว เกื้อรีบวิ่งตามเข้าไป
เกื้อวิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ มองหาหญิง 1 ที่คิดว่าเป็นกติยา จนเห็นด้านหลังหญิง 1 ไวๆ กำลังจะเดินไปห้องที่ปานรุ้งกับวาสุเทพอยู่ เขารีบวิ่งไปขวางหน้าผู้หญิงคนนั้นไว้
“เดี๋ยวครับคุณยา”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่กติยา เธอมองเกื้อด้วยสายตางุนงง
“มีอะไรรึเปล่า”
“เอ่อ...ขอโทษครับ”
เกื้อถอยให้ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้างานไป มองตามหลังเธออย่างโล่งอก
เกื้อภาวนา
“คุณยาคงไม่มาหรอก”
จะมาหรือจะใช่ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อกติยาแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ในห้องนอนที่บ้านมนูญศักดิ์และกำลังบรรจงกำลังทา อาย แชโดว์ แล้วทาลิปสติก
กติยาเหลียวมองชุดราตรีที่จะใส่ไปงานคืนนี้ เป็นชุดเดรสสวยนำสมัย ไม่เชยอย่างที่ผ่านมา แต่ยังดูเรียบโก้ ไม่เซ็กซี่มาก
ฝ่ายเกื้อยังนั่งเฝ้ามองระวังกติยาอยู่ตรงริมสนามหญ้าทางไปประตูบ้านสมุทรเทวา แขกทยอยกลับเกือบหมด รถแล่นผ่านเกื้อที่ยังนั่งอยู่ที่ริมสนามหญ้าเป็นระยะ
งานหมั้นจบลงแล้ว เย็นนั้นปานรุ้งเปลี่ยนชุดสวยเตรียมไปปาร์ตี้จูงมือวาสุเทพออกมา พร้อมกลุ่มเพื่อนเดินตามมา
“เร็วค่ะพี่เทพ วันนี้เพื่อนรุ้งจองไนต์คลับเลี้ยงฉลองให้เราเลยนะคะ เขาบอกว่าถ้าไม่เช้า ไม่ยอมให้เรากลับแน่นอน”
“แต่พรุ่งนี้พี่ต้องรีบเข้ากรมแต่เช้า”
ปานรุ้งมองค้อน “ไม่ทันไร พี่เทพก็ขัดใจรุ้งแล้วเหรอคะ”
วาสุเทพรีบพูดเอาใจ “เปล่าจ้ะ ตามใจ แล้วแต่รุ้งแล้วกัน”
ปานรุ้งยิ้มหวานจุ๊บแก้มวาสุเทพฟอด ”Love you”
ขณะปานรุ้งจะเดินไปขึ้นรถ สายตาเหลือบไปเห็นเกื้อที่ยังนั่งอยู่ที่ริมสนามหน้าประตูบ้าน
“นั่นเกื้อเหรอ” ปานรุ้งตะโกนเรียก “เกื้อ ไปนั่งอะไรตรงนั้น”
เกื้อหันมามองปานรุ้ง แล้วรีบลุกวิ่งเข้ามาหา
“ก็คุณหนูสั่งให้ผมคอยดู...” เกื้อหยุดเท่านั้นไม่อยากพูดให้คนอื่นได้ยินว่าปานรุ้งให้
คอยดูกติยา
ปานรุ้งฟังที่เกื้อพูดแล้วนึกได้
“โอ้ว I’m so sorry ฉันลืมไปเลยว่าสั่งเธอ นี่ถ้าฉันไม่ทัก เธอก็คงนั่งยันเช้าเลยสิ”
เกื้อก้มหน้าเก้อๆ “ครับ”
ปานรุ้งหัวเราะระรื่น “ใครกัน บอกว่าคนซื่อสัตย์สู้หมาไม่ได้ ก็เกื้อของฉันนี่ไงขอบใจมากนะเกื้อ จะไปไหนก็ไปเถอะ งานเลิกแล้ว ยาไม่มาแล้วล่ะ” พลางหันไปพูดกับวาสุเทพ “ไปกันเถอะค่ะพี่เทพ รุ้งอยากเต้นรำจะแย่แล้ว”
ปานรุ้งควงแขนวาสุเทพขึ้นรถ ก่อนที่วาสุเทพจะขับรถแล่นผ่านเกื้อไป
ปานรุ้งควงวาสุเทพเดินเข้ามาในไนต์คลับ มองผู้คนนักดื่มนักเที่ยวด้วยสายตาตื่นเต้น สนุกสนาน ประสาสาวปาร์ตี้
“ว้าว! นี่ถ้าไม่บอก รุ้งคิดว่ากำลังอยู่ในไนต์คลับที่นิวยอร์กเสียอีก เพื่อนรุ้งจองที่ได้ถูกใจรุ้งมากเลย”
วาสุเทพทำหน้าไม่ถูกกับผู้คนมากมาย และเสียงเพลงสากลที่เปิดดังลั่น
“แต่พี่ว่าคนเยอะ อึดอัด เพลงก็เปิดเสียงดังไปนะ”
“พี่เทพพูดอย่างกับคนแก่”
ปานรุ้งหันไปมองทางหนึ่ง เห็นกลุ่มคนเหมือนยืนล้อมใครคนหนึ่งตรงกลางฟลอร์หน้าเวที
“เขายืนล้อมอะไรกันน่ะ”
เบญจมาศเพื่อนของปานรุ้งที่ยืนรวมอยู่กับกลุ่มคนมุง หันมาเห็นปานรุ้ง
“ปานรุ้ง”
ปานรุ้งโบกมือตอบ “เฮ้ ! เบญ”
เบญจมาศปรี่มาหา “เธอมาได้เวลาพอดีเลย มีรุ้งคนเดียวเท่านั้น ที่จะเทียบฝีเท้ากับชูนามได้”
“ใครเหรอ ชูนาม”
ชูนามเต้นแทรกกลุ่มคนที่ยืนล้อมอยู่ มีไฟสปอร์ตไลท์ส่องลงที่ร่างชูนามยิ่งทำให้เขาโดดเด่นขึ้นสะดุดตาปานรุ้งมากขึ้น
“ขออนุญาตนะคะ”
เบญจมาศพูดขอตัวกับวาสุเทพแล้วจูงมือปานรุ้งเข้าไปหาชูนามที่ฟลอร์หน้าเวที ชูนามรับรู้การมาของคุณหนูสมุทรเทวา เขาโค้งขอให้ปานรุ้งเป็นคู่เต้น
ปานรุ้งยิ้ม แล้วทำท่าถอนสายบัวเหมือนยอมรับคำเชิญ ชูนามดีดนิ้วไปทางวงดนตรีที่อยู่บนเวที วงดนตรีขึ้นเพลงจังหวะเร้าใจ
ชูนามวาดลีลาเต้นแท็ป เหมือนท้าทายปานรุ้ง
ได้ผล ปานรุ้งเต้นแท็ปโต้ชูนามอย่างไม่ยอมแพ้กัน
ชูนามมองปานรุ้งยิ้มๆ จับมือเธอเต้นไปพร้อมๆ กันอย่างเมามัน จนกระทั่งจบเพลง ชูนามโอบเอวปานรุ้งเข้ามากอดจบ ใบหน้าปานรุ้งกับหน้าชูนามใกล้ชิดกันแค่คืบ
ขาดื่มขาแดนซ์ปรบมือชื่นชมกันเกรียวกราว
ชูนามปล่อยมือปานรุ้งอย่างสุภาพ แล้วโค้งตัวเพื่อแนะนำตัว
“ผม ชูนาม ดิเรกวิทยา ครับ”
“ฉัน ปานรุ้ง สมุทรเทวา ค่ะ”
ปานรุ้งยิ้มให้ ชูนามมองปานรุ้งด้วยสายตาหวานหยด
วาสุเทพขยับจะเดินเข้าไปหาปานรุ้งกับชูนาม แต่ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง
“ปานรุ้ง”
คู่หมั้นป้ายแดง หนุ่มหล่อสาวสวยหันไปมองตามเสียงกติยา ปานรุ้ง เห็นกติยาแต่งหน้า ทำผมและใส่ชุดราตรีสวยแปลกตา วาสุเทพมองใบหน้าเรียบเฉยของกติยาด้วยสีหน้าหวั่นกลัวโดยประหลาด
กติยาเดินตรงเข้ามาหาปานรุ้งในฟลอร์ สองสาวมองสบตากันชั่วอึดใจ โดยไม่มีใครคาดคิด กติยาง้างมือตบหน้าปานรุ้งดังเพี๊ยะ
ทุกอย่างเงียบงันลงทันที ทุกคนมองกติยากับปานรุ้งอย่างตื่นตะลึง คาดไม่ถึง
วาสุเทพมองกติยากับปานรุ้งอึ้งๆ จะเข้าไปช่วยปานรุ้ง แต่ใจหนึ่งก็เกรงกติยา
ชูนามได้โอกาสที่วาสุเทพลังเลหนัก เข้ามายืนปกป้องปานรุ้ง
“ที่นี่มันสังคมของคนมีอารยะ คุณไม่สมควรมาใช้ความรุนแรงอย่างนี้ครับ”
ปานรุ้งมองชูนามที่ออกมาปกป้องตัวเอง แล้วยิ้มขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณชูนาม” ปานรุ้งมองกติยานิ่ง “รุ้งนึกว่ายาจะไม่มาร่วมฉลองกับรุ้งซะแล้ว ดีใจจังที่ยามา งั้นยาดื่มฉลองให้รุ้งหน่อยนะ” เธอหันไปตะโกนเรียกพนักงานเสิร์ฟใกล้ๆ “เอาแชมเปญมาแก้วนึงสิ”
พนักงานเสิร์ฟรีบถือแก้วแชมเปญมาให้ ปานรุ้งหยิบมาแล้วยื่นให้กติยา
“นี่จ้ะ กติยา”
กติยาคว้าแก้วแชมเปญ ปาทิ้งลงพื้นดังเพล้ง! แล้วจ้องหน้าราวกับกินเลือดกินเนื้อปานรุ้ง
“ที่ผ่านมา ฉันพยายามคิดว่าที่ใครๆ ว่าต่อว่าเธอ ว่าเธอชอบแย่งของๆ คนอื่น มันเป็นเรื่องเหลวไหล แต่วันนี้ฉันรู้แล้ว เธอมันเลวยิ่งกว่าที่ใครๆ พูด แย่งได้แม้แต่คู่หมั้นของเพื่อนสนิท”
ปานรุ้งไม่ยี่หระ พูดโต้ยิ้มๆ “รุ้งไม่ได้แย่งนะยา แต่ผู้ชาย เขาเลือกรุ้งเอง รุ้งเคยบอกแล้วไงว่าพี่เทพเขาไม่ชอบรสจืด เขาชอบรสจัดจ้าน”
กติยาเงื้อมือจะตบปานรุ้ง ชูนามรีบจับมือข้างนั้นไว้ พูดห้ามเสียงเข้ม
“หยุดนะคุณ”
กติยาผลักอกชูนามให้ออกไป “ไม่ต้องมาห้ามฉัน ฉันไม่ตบหน้าผู้หญิงคนนี้หรอก ความรุนแรงไม่ช่วยอะไร ผู้หญิงคนนี้ควรได้ความสงสาร ที่โดนแม่ไม่สนใจตั้งแต่เด็ก ถึงคอยเที่ยวแย่งความรักของคนอื่น เพื่อลบปมตัวเองที่เป็นคนไม่มีตัวตน พวกเด็กที่แม่ไม่รัก”
ปานรุ้งอึ้งที่ถูกด่าว่าปมด้อย นั่นมันทำให้เธอโกรธ พูดเยาะเย้ยสวนกลับกติยา
“ถ้ามีชีวิตสมบูรณ์อย่างเธอ แต่ผู้ชายไม่เอา ฉันยอมเป็นคนขาดความ อบอุ่นแบบนี้”
กติยาถูกจี้จุด ทั้งเจ็บปวดโกรธแค้น “หน้าด้าน เธอหน้าด้านที่สุด”
ชูนามห้ามกติยาอีก “พอเถอะคุณ...” พลางจูงมือกติยาฉุดลากไป “ไป ออกไปสงบสติข้างนอกกับผมดีกว่า”
กติยาสะบัดมือออก ด่าชูนาม “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” แล้วหันมาทางปานรุ้งก่นด่าสาปแช่ง “เธอมันคนเห็นแก่ตัว ทำร้ายคนที่รักเธอได้อย่างเลือดเย็น จำไว้นะปานรุ้ง ผลกรรมครั้งนี้จะทำให้ชีวิตเธอต้องเจ็บปวด มากกว่าสิ่งที่เธอทำไว้กับคนอื่นร้อยเท่าพันเท่า เธอต้องโดน คนที่เธอรักทำให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น คอยดู คอยดู”
กติยาพูดจบ ก็หันตัวเชิดหน้าอย่างผ่าเผยเดินออกไป พลางเหลือบมองวาสุเทพ แต่อีกฝ่ายก้มหน้า ไม่กล้าแม้สบตาด้วย
กติยามีสีหน้าเจ็บปวด เดินตัวตรงออกไป
วาสุเทพเห็นกติยาออกจากร้านไปแล้วจึงเดินไปหาปานรุ้ง
“รุ้ง เป็นยังไงบ้าง”
ปานรุ้งมองวาสุเทพแล้วพูดเหน็บ “อ้าว พี่เทพยังอยู่เหรอคะ รุ้งนึกว่าพี่หนีกลับตั้งแต่กติยาเข้ามาในงานแล้วเสียอีก”
วาสุเทพหน้าเสีย อึกอัก “เอ่อ”
“รุ้งเข้าใจค่ะ ว่าพี่เทพไม่ชอบที่ที่อึดอัดแบบนี้ พี่เทพกลับบ้านไปเถอะ รุ้งเจอคนที่สามารถปกป้องรุ้งแทนพี่เทพได้แล้ว” เธอหันไปพูดกับชูนาม “เต้นรำกันต่อเถอะค่ะ”
ปานรุ้งจูงมือชูนามไปเต้นรำกลางฟลอร์ วาสุเทพได้แต่มองตามสีหน้าเครียด
กติยามองปานรุ้งกับชูนามที่กำลังเต้นรำอย่างสะใจ สมใจ ชูนามมองมายังกติยา
ปานรุ้ง สมุทรเทวา ไม่มีทางได้เห็นว่า ครูสาวแสนเรียบร้อย กับเซียนพนันหนุ่มส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน คล้ายสองคนนี้มีแผนชั่วบางอย่าง
อ่านต่อตอนที่ 4