บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 4
ปานรุ้งปล่อยตัวปล่อยใจเริงโลดเต้นรำไปกับชูนาม ในจังหวะเพลงเร็วอย่างสนุกสนานอยู่กลางฟลอร์ ราวกับเจ้าหล่อนไม่เคยหมั้นหมายชายใด
ทั้งที่ความจริงวาสุเทพนั่งมองทั้งคู่อย่างไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะรู้ว่าปานรุ้งยังโกรธ และงอนเขาอยู่ จึงต้องพยายามอดทนนิ่งไว้
จนจังหวะหนึ่งของการเต้นรำ ชูนามผลักตัวปานรุ้งออกไปสุดมือ แล้วดึงเธอเข้ามาหาชิดใกล้ สองคนเต้นไปคุยกันไปอย่างถูกคอ
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด คุณคงเรียนเมืองนอกมา”
ชูนามสัพยอก “อย่าบอกนะครับว่าคุณเป็นหมอดู”
ปานรุ้งหัวเราะอย่างมีจริตจะกร้าน มองค้อนขำๆ “Not funny ค่ะ”
ชูนามหัวเราะ เต้นรำไปตามสเต็ป “อ้าว ก็ผมเห็นคุณพูดถูก”
“ที่รุ้งพูดถูก เพราะรุ้งคิดว่าไม่น่ามีผู้ชายไทยจะเต้นจังหวะนี้ได้ดี นอกจากคนที่เรียนเมืองนอกมา”
“ผมเรียนกฎหมายจบมาจากอเมริกาครับ” ชูนามอวดโอ้สรรพคุณ
ปานรุ้งยิ้ม “อ๋อ...พวกรักความยุติธรรม มิน่า คุณถึงเข้ามาช่วยรุ้ง ทั้งๆ ที่คู่หมั้นรุ้งยืนหลบหลังคนอื่น”
ชูนามสบช่องสร้างภาพลักษณ์พระเอกแสนดีทันที
“ผมว่าคู่หมั้นคุณรุ้งคงมีเหตุผล”
“เขาคิดว่าสมควรแล้ว เพราะรุ้งผิดเอง ที่ไปแย่งคู่หมั้นเพื่อนมา” ปานรุ้งประชดแล้วมองชูนามด้วยสายตาลึกซึ้ง “รู้ความจริงอย่างนี้ คนรักความยุติธรรมอย่างคุณคงรู้สึกผิดที่ช่วยผิดคนสินะคะ”
ชูนามยังไม่ทันตอบ เสียงเพลงจังหวะเร็วเปลี่ยนเป็นจังหวะสโลว์ ปานรุ้งมองชูนามรอคำตอบ
วาสุเทพทนมองปานรุ้งกับชูนามที่ยืนสบตากัน จนทนไม่ไหว ลุกขึ้นเข้าไปหาสองคน
“พี่ว่าเรากลับกันเถอะรุ้ง”
ปานรุ้งยังโกรธวาสุเทพกรุ่นๆ อยู่ “รุ้งบอกแล้วไงคะว่าถ้าพี่เทพจะกลับก็กลับ แต่รุ้งจะอยู่”
“พี่คงทิ้งคู่หมั้นตัวเองอยู่ลำพังไม่ได้หรอก ไปเถอะ”
วาสุเทพไม่รอฟังปานรุ้งพูด ใช้ความเด็ดขาดขึงขัง ดึงมือปานรุ้งพาเดินออกจากไนต์คลับทันที
ชูนามมองตามสองคน ยิ้มหยันวาสุเทพ คิดในใจ “ไอ้อ่อนเอ๊ย”
กติยาเดินเข้ามายืนด้านหลังเอ่ยขึ้น “ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคุณมาช่วย”
ชูนามหันไปมองสบตากับกติยายิ้มๆ เหมือนต่างคนต่างรู้จักและมีแผนอะไรกัน
เกื้อกับน้อยนั่งรอปานรุ้งที่ขั้นบันไดหน้าตึกสมุทรเทวา เกื้อนั้นคอยชะเง้อคอยาวคอยืดมองรถที่หน้ารั้วบ้านตลอด ส่วนน้อยนั่งสัปหงก สักครู่จึงเห็นรถของวาสุเทพขับเข้ามาจอดที่ลานระหว่างตึก
เกื้อสะกิดปลุกน้อย “น้อย คุณหนูมาแล้ว”
น้อยสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นไปยืนต้อนรับ
วาสุเทพรีบลงจากรถ จะไปเปิดประตูให้คู่หมั้น แต่ปานรุ้งเปิดประตูพรวดออกมาเอง แสดงให้เรือโทหนุ่มเห็นว่าตนโกรธอยู่
วาสุเทพชะงัก “รุ้ง”
ปานรุ้งไม่สนใจอยู่ฟังวาสุเทพ จะเดินเข้าบ้าน แต่เกื้อยืนขวางอยู่เลยพาลใส่เกื้อ
“มายืนทำไมเนี่ยเกื้อ”
“ผมรอคุณหนูครับ” เกื้อบอก
“รอทำไม เกะกะ ไป๊” ปานรุ้งผลักเกื้อจนกระเด็น แล้วจะเดินเข้าบ้าน
วาสุเทพรีบเดินมาจับมือปานรุ้งไว้ “เดี๋ยวก่อนรุ้ง”
ปานรุ้งพูดประชดเสียงแข็งใส่ “รุ้งก็กลับบ้านตามที่พี่เทพบัญชาแล้วไงคะ ยังต้องการอะไรอีก”
วาสุเทพรู้ว่าปานรุ้งโกรธ จึงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “พี่รู้ว่ารุ้งโกรธพี่ แต่พี่มีเหตุผล ที่พี่ไม่ออกไปทำอะไรยา เพราะพี่รู้ว่าพี่ทำผิดต่อเขา”
ปานรุ้งยิ่งโกรธ “พี่เทพก็เลยปล่อยให้ยาตบรุ้ง”
“พรุ่งนี้พี่จะไปพูดกับเขา”
ปานรุ้งประชดเต็มเสียง “ฟังแล้วชื่นใจจัง”
วาสุเทพทอดเสียงเว้าวอน “รุ้ง”
ปานรุ้งรีบพูดแทรกตัดบท “รุ้งเหนื่อย รุ้งขอตัว” แล้วหันไปหาเกื้อไม่วายแดกดัน “ปิดประตูให้ดีๆ ล่ะเกื้อ เดี๋ยวจะมีใครมาทำร้ายฉันอีก”
ปานรุ้งเดินหุนหันเข้าบ้าน น้อยรีบเดินตามคุณหนูไป วาสุเทพมองตามด้วยสายตาเหนื่อยใจที่คู่หมั้นสาวเอาแต่ใจเหลือเกิน
ส่วนเกื้อมองปานรุ้งกับวาสุเทพอย่างงุนงง ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ปานรุ้งเดิินหน้าบูดเข้าห้องนอนมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด ระบายอารมณ์ด้วยการโยนกระเป๋าถือลงบนโต๊ะเครื่องแป้งโครม จนของบนโต๊ะหล่นเกลื่อนพื้นห่้อง
น้อยเปิดประตูตามเข้ามาเพื่อรับใช้
“คุณหนูคะ”
ปานรุ้งพาลพาโล จนหงุดหงิดใส่น้อย “หายไปไหนมา ฉันกลับมาเหนื่อยๆ เตรียมน้ำให้ฉันแช่รึยัง ร้อนตับจะแตก นี่มันเมืองบ้าอะไร ทั้งคน ทั้งอากาศ น่าหงุดหงิดไปหมด”
น้อยพยายามจะหาช่องบอกว่ามีคนโทร.หา แต่เห็นปานรุ้งหงุดหงิดมาก จึงไม่กล้าพูดได้แต่ยืนเซ่อ “เอ่อ...” อยู่นั่น
“ยืนอยู่ทำไม ไปเตรียมน้ำสิ”
“เอ่อ...คือ...เมื่อกี้มีคนโทร.หาคุณหนูน่ะค่ะ แต่คุณหนูยังไม่ถึงบ้านเขาเลยฝากข้อความไว้”
ปานรุ้งถามไปงั้นๆ “ใครโทร.มา”
“เขาบอกว่าชื่อ ชูนาม ค่ะ”
ปานรุ้งได้ยินชื่อชูนาม อารมณ์หงุดหงิดเปลี่ยนไป ปานรุ้งรีบถามน้อย
“แล้วทำไมไม่พูดให้มันเร็วกว่านี้ ไหน เขาฝากข้อความอะไร”
น้อยยื่นกระดาษที่เขียนข้อความที่ชูนามฝากไว้ให้คุณหนู ปานรุ้งรีบดึงกระดาษมาอ่าน ราวกับว่าได้ยินเสียงชูนามพูดให้ฟังข้างๆ หู
“ผมขอโทษที่ถือวิสาสะถามคนที่ไนต์คลับถึงเบอร์โทร.บ้านคุณ แต่ผมอยากตอบที่คุณถามผมว่า ‘พอผมรู้ความจริงว่าคุณแย่งคู่หมั้นเพื่อน คนรักความยุติธรรมอย่างผม คงรู้สึกผิดที่ช่วยผิดคน’ คนอื่นคิดยังไงไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคนที่ผมมอบใจ ผมไม่แคร์ว่าเขาถูกหรือผิด ผมจะปกป้องเขาก่อน”
ปานรุ้งยิ้มพรายกับกระดาษข้อความแสนหวานนั้น
น้อยมองคุณหนูด้วยสายตากังวลที่มีผู้ชายคนอื่นฝากข้อความเช่นนั้นให้ น้อยรู้ข้อความเพราะเป็นคนจดข้อความนี้เอง แถมคุณหนูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพึงใจ
น้อยพยายามพูดเตือน ให้ปานรุ้งรู้ตัวว่ามีคู่หมั้นแล้ว “ชุดที่คุณหนูใส่เข้าพิธีหมั้นวันนี้ ..ส๊วย สวยนะคะ เหมาะกับคุณหนูม๊าก...มาก”
“เหมาะเหรอ แต่ฉันเริ่มคิดว่าฉันเลือกผิดรึเปล่า”
น้อยมองคุณหนูอย่างกังวลว่าพูดเรื่องชุด หรือกำลังลามไปถึงเรื่องอื่นกันแน่
ถัดมาน้อยพกความกังวล ในสีหน้าครุ่นคิดเรื่องปานรุ้ง ขณะจะเดินกลับห้องพักตัวเอง มาที่เรือนคนใช้ เกื้อนั่งรอที่แคร่หน้าห้องครัวนานแล้วมองไปเห็น รีบปรี่เดินเข้าไปหาน้อย
“เป็นยังไงน้อย คุณหนูบอกรึเปล่าว่าคนที่ชื่อชูนามเป็นใคร”
“ไม่อ่ะ”
“แล้วทำไมไม่ถาม”
“โหย...แกก็เห็นอารมณ์คุณหนูตอนกลับมา อย่างกับพายุ ใครจะไปกล้าถาม...ไม่รู้ทะเลาะอะไรกับคุณวาสุเทพ เมื่อเช้ายังหวานชื่น ตกค่ำโดนคุณหนูฟาดงวงฟาดงาใส่ท่าทางคุณหนูจะไม่พอใจมากนะ ถึงขนาดบอกว่า...”
เกื้อร้อนใจรีบถาม “พูดว่าอะไร”
“ก็พูดว่า...” น้อยชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง “ฉันคงคิดมากไปเองแหละ ไม่มีอะไรหรอก
ไปนอนเถอะ”
เกื้อขวางน้อยไว้ คาดคั้นถาม “เดี๋ยวสิ บอกก่อน ว่าคุณหนูพูดอะไร”
ปิ่นกับกอบเดินออกมาจากในห้องครัวพอดี
“แล้วเอ็งจะอยากรู้ไปทำไมเกื้อ”
เกื้อชะงักที่แม่ได้ยินที่เขาถามน้อย
“เอ่อ ไม่มีอะไรจ้ะแม่”
“ไม่มีอะไรก็ดี เรื่องของเจ้านาย ขี้ข้าไม่เกี่ยว”
“ฉันกลับห้องก่อนนะป้า ง๊วง...ง่วง”
น้อยฉวยโอกาสรีบเดินไป เกื้อมองไปทางคฤหาสน์สมุทรเทวาด้วยความกังวลใจ แล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องพักตัวเอง ปิ่นมองอาการลูกชายออก
“หวังว่าบุญที่ฉันหมั่นสร้าง จะช่วยให้สิ่งที่ฉันกลัว ไม่เกิดขึ้นหรอกนะ”
กอบงง “แกหมายถึงเรื่องอะไรยายปิ่น”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็พูดมันเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น” ปิ่นทอดถอนใจมองไปทางตึกใหญ่บอกปลอบตัวเองในใจว่า
“มันไม่มีทาง ที่จะทำให้ฟ้าตกมาหาพื้นดินได้หรอก”
ทางด้านชูนามกำลังเต้นรำอยู่กับกติยาที่ไนต์คลับเดิม
“ชมผมคนเดียวก็ไม่ถูก ต้องชมที่คุณให้ข้อมูลของเพื่อนรักคุณ ว่าเป็นคนมีปมด้อยอะไรบ้าง”
กติยาคิดถึงปานรุ้งแล้วยิ่งโกรธ “ความจริง ตบแค่นั้น มันยังน้อยไปกับ ความไว้ใจที่ฉันมีให้ตลอดสิบกว่าปี อย่างรุ้งต้องเจ็บยิ่งกว่านั้น”
ชูนามจุ๊ปากห้าม “จุ๊ๆๆ พอแล้ว แค่นี้ผมก็ปล่อยให้คุณทำร้ายผู้หญิงของผม มากพออยู่แล้ว”
กติยาฉุน มองชูนามอย่างไม่พอใจ ที่ไปยกย่องปานรุ้ง สวนกลับอย่างดูแคลนอีกฝ่าย
“ผู้หญิงของคุณงั้นเหรอ คุณคิดว่าคำพูดหวานๆ แค่นั้น จะทำให้ปานรุ้งทิ้งนายทหารอย่างพี่เทพ มาหาคุณได้เหรอ”
“ที่คุณพูดอย่างนี้ เพราะคุณยังไม่รู้จักผมดีพอ” หนุ่มกะล่อนยิ้มเจ้าเล่ห์
กติยามองชูนามอย่างสงสัยว่าจะทำอะไรต่อ
ที่ชูนามทำในตอนเช้าวันต่อมาคือ เขาขับรถมาจอดที่ริมรั้วบ้านของวาสุเทพ มีกติยานั่งนิ่งอยู่ข้างคนขับนานสองนานแล้ว มือครูสากำหูตะกร้าที่ใส่กล่องขนมแน่น พยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ยิ่งมองเข้าไปในบ้านนทีพิทักษ์ที่แสนคุ้นเคย ยิ่งทำให้กติยาเจ็บปวด บ้านหลังนี้ในตอนนี้ได้กลายเป็นของผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว
ชูนามมองกติยาที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมลงจากรถด้วยสายตาเอือมระอา
“ถึงบ้านอดีตคู่หมั้นคุณแล้ว”
“ฉันไม่อยากเข้าไปในนั้น” แววตาครูสาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ฉันยังไม่พร้อมจะเจอพี่เทพ”
ชูนามลอบถอนใจรำคาญ ก่อนจะพยายามกล่อมให้กติยาสู้อีก “เพราะคุณเอาแต่กลัวอย่างนี้ไง คุณรุ้งถึงได้อดีตคู่หมั้นคุณไป”
ถูกจี้ใจดำ พูดโดนจุดอ่อนจังๆ เล่นเอากติยาชะงักกึก ชูนามดูอาการออก รีบพูดยั่วต่อ
“ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่กับคำว่าแพ้ ก็เชิญตามสบาย ผมไม่เดือดร้อน เพราะผมมีวิธีอื่นเข้าหาคุณรุ้งอยู่แล้ว”
กติยาทั้งเจ็บและโกรธที่ชูนามดูถูกว่าตัวเองขี้แพ้ อยากกรีดร้องว่าเธอไม่ยอมแพ้ ชูนามแกล้งสตาร์ตรถเหมือนจะพากติยาไปให้พ้นจากหน้าบ้านนทีพิทักษ์เดี๋ยวนี้
แต่จู่ๆ กติยาโพล่งขึ้นมาทันทีว่า “ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”
ชูนามดับเครื่อง กติยาฮึด ถือตะกร้าใส่ขนมลงรถไป ชูนามมองตามด้วยแววตายิ้มเยาะว่า ช่างเป็นคนปั่นหัวง่ายจริงๆ
“ความรัก ทำให้คนโง่ได้พริบตาจริงๆ”
ฝ่ายคุณหญิงสุดใจกำลังสั่งสาวใช้จัดโต๊ะอาหารเช้าอยู่ในห้องทานอาหาร ด้วยท่าทางอารมณ์เสีย และหงุดหงิดเต็มที่
“วางให้มันเบาๆ หน่อยสิแม่คุณ จานชามของฉันไม่ใช่บาทสองบาท ถ้าร้าวสักนิด ฉันจะไล่หล่อนออก”
นายพลภัทรเดินเข้ามา ปรายตามองภริยา แล้วหันไปพูดกับเด็กรับใช้
“ไปเอากาแฟให้ฉันเถอะไป”
สาวใช้รีบเดินเลี่ยงออกไปทันที
ท่านนายพลรู้ทัน ตำหนิคุณหญิงขึ้นทันทีว่า “ระวังนะคุณหญิง เด็กมันจะเอาไปนินทาได้ว่าหงุดหงิดเรื่องอื่นแล้วมาพาลคนอื่น”
“น้องเปล่าพาลนะคะคุณพี่”
พลเรือเอกภัทรมองคุณหญิงภริยานิ่งๆ จนอีกฝ่ายยอมจำนน
“ใช่ค่ะ น้องหงุดหงิด ก็น้องรับไม่ได้ที่ต้องมีลูกสะใภ้เป็น…” คุณหญิงแทบไม่อยากจะเอ่ยชื่อสะใภ้ “น้องอยากได้หนูยา”
กติยาถือตะกร้าใส่กล่องอาหารเข้ามา ยกมือไหว้ทัก อย่างอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
คุณหญิงสุดใจมองตะลึง คาดไม่ถึง “หนูยา” แล้วโผเข้าไปกอดกติยาอย่างดีใจ “ป้าดีใจจริงๆที่หนูมา ป้านึกว่าต่อไปหนูจะไม่มาหาป้าซะแล้ว”
กติยาคิดถึงเรื่องถูกถอนหมั้นแล้วยังเจ็บปวดน้ำตาคลอ แต่พยายามฝืนยิ้มไว้
“มาสิคะ ถึงยากับพี่เทพจะไม่ได้เป็นคู่หมั้นกันแล้ว แต่ยาก็ยังเป็นหลานคุณป้า และเป็น...” กติยาเจ็บปวดจนน้ำเสียงสั่นสะท้าน “น้องสาวของพี่เทพ”
วาสุเทพเดินเข้ามาได้ยินที่กติยาพูดพอดี เขายิ้มดีใจที่กติยาไม่ถือโทษตัวเองแล้ว
“พี่ขอบคุณที่ยายังให้โอกาสพี่ เป็นพี่ชายของยา พี่ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาอีกครั้งนะยา”
กติยาเจ็บปวดเหลือแสน แต่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ ฝืนยิ้มให้อดีตคู่หมั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ยาเห็นพี่เทพมีความสุข ยาก็ดีใจด้วย ยังไงยาขอโทษ ที่เมื่อคืนทำกริยาไม่ดีกับพี่เทพและ...” กติยาไม่อยากพูดถึงปานรุ้งแต่ต้องข่มใจ “รุ้งด้วยนะคะ”
วาสุเทพมองกติยาอย่างเข้าใจ ไม่ถือโทษโกรธกติยา
นายพลภัทรกับคุณหญิงสุดใจมองสองคนงงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ท่านนายพลถาม
กติยาทำเป็นก้มหน้าเหมือนละอายจนไม่กล้าเล่า
วาสุเทพออกรับแทนว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณพ่อ” พลางหันไปพูดกับกติยา “ไม่ต้องคิดมากนะ ทั้งพี่และรุ้งเข้าใจยา”
วาสุเทพเอื้อมมือไปแตะที่แขนของกติยาเพื่อปลอบขวัญไม่ให้เธอคิดมาก
กติยามองมืออดีตคู่หมั้นที่แตะลงบนแขนตัวเอง ความอบอุ่นในสัมผัสอันคุ้นเคยแทบทำให้กติยาน้ำตาไหล
คุณหญิงเข้าใจความรู้สึกกติยา จึงพยายามหาเรื่องพูดให้บรรยากาศดีขึ้น
“หนูยาเอาขนมอะไรมาจ๊ะ อุ๊ย ขนมทองเอก ของโปรดตาเทพ เดี๋ยวป้าเอาไปจัดจาน จะได้เอามาทานกับกาแฟนะจ๊ะ”
วาสุเทพขอตัวกับพุพการีว่า “ผมคงอยู่ทานอาหารเช้าด้วยไม่ได้ ผมจะรีบรับรุ้งไปเล่นโปโลกับเพื่อนๆ ที่คลับน่ะครับ”
คุณหญิงสุดใจขัดใจนัก “แหม อยู่กินขนมหนูยาไม่กี่นาที คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง”
วาสุเทพมองนาฬิกาข้อมือ สีหน้าหนักใจ พยายามสร้างภาพให้คู่หมั้น
“งั้นผมเอาไปทานที่สนามแล้วกันนะครับ เห็นรุ้งบ่นว่าอยากกินเหมือนกัน เขาคงดีใจที่ได้กินขนมของยา”
กติยามองวาสุเทพหยิบกล่องขนมที่ตัวเองทำมาให้เขา เอาไปฝากปานรุ้งอย่างเจ็บปวด มือกติยากำหูตะกร้าแน่นข่มความโกรธและน้อยใจ
“ผมไปล่ะครับ” วาสุเทพไหว้ลาบิดามารดา แล้วหันมายิ้มกับกติยา “พี่ไปก่อนนะยา”
วาสุเทพเดินผ่านกติยาไปเลย
คุณหญิงมองกติยาอย่างสงสาร และเข้าใจ แล้วมองลูกสายอย่างโกรธขึ้ง
“ตาเทพนะตาเทพ ทำอย่างนี้ได้ยังไง หนูยาทำขนมมาให้ ดันเอาไปให้คนอื่นกิน หนูยาจะรู้สึกยังไง”
“ยาไม่เป็นไรหรอกค่ะ งั้นยาขอตัวกลับก่อนนะคะ ยาลาค่ะ”
กติยาไหว้ลา แล้วเดินออกไป คุณหญิงสุดใจมองตามด้วยความสงสารและเห็นใจ
“น้องยิ่งเห็นหนูยาก็ยิ่งสงสาร ยิ่งเห็นก็ยิ่งเสียดาย ทำไมเราถึงไม่ได้ลูกสะใภ้แบบนี้ ผู้หญิงแสนดี ไม่มีทางคิดร้ายกับใครอย่างผู้หญิงคนนั้น”
กติยาเดินออกจากประตูรั้วบ้านวาสุเทพด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เธอพร้อมแล้วที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ปานรุ้งเจ็บปวดเหมือนตัวเอง
ชูนามมองจากในรถ พอเห็นกติยาจึงรีบออกมาจากรถมารับ
“ไปกันได้แล้ว” กติยาบอกเสียงขุ่น
ชูนามแกล้งพูดดูถูกปั่นหัวกติยาอีก
“ไปไหน...พาคุณกลับบ้านหรือว่าพาไปวัดสงบใจ ละเลิกจากความทุกข์ทั้งปวง”
กติยาพูดขึ้นทันทีว่า
“ไปทำตามแผนต่อไปของคุณ ไปทวงพี่เทพของฉันคืน”
ชูนามมองตามกติยาที่หุนหันขึ้นรถไป แล้วยิ้มสมใจ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของตัวเอง
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เวลานั้น วาสุเทพและก๊วนเพื่อนนายทหารเรือ กำลังเล่นโปโลกันอยู่สนามด้านนอก ส่วนปานรุ้งนั่งรวมอยู่ในห้องเดียวกับสาวๆ กลุ่มแฟนเพื่อนวาสุเทพ ปานรุ้งออกอาการหงุดหงิดเพราะร้อน
กลุ่มแฟนของเพื่อนๆ วาสุเทพ ลอบมองปานรุ้งอย่างไม่ค่อยชอบขี้หน้านัก
แฟนเพื่อน 1 เปิดประเด็นขึ้นว่า “สงสารกติยาเนอะ หมั้นกับคุณเทพตั้งนาน ดันมาโดนเพื่อนแย่งไปหน้าตาเฉย”
ปานรุ้งได้ยินแว่วๆ
แฟนเพื่อน 2 บอกว่า “แต่ฉันได้ข่าวว่ายามีหนุ่มใหม่มาดามใจแล้วนะ”
แฟนเพื่อน 3 ตื่นเต้น “จริงเหรอ”
ข้อมูลนี้ทำให้ปานรุ้งสนใจมากขึ้น
แฟนเพื่อน 1 เสริม “ฉันก็ได้ยินข่าวมา แหม…ก็อย่างว่า...ผู้หญิงการศึกษาดี มารยาทก็ดี งานบ้านการเรือนก็ดี ผู้ชายที่ไหนก็อยากได้”
แฟนเพื่อน 2 บอก “ได้ข่าวว่าผู้ชายคนนั้นเป็นนักเรียนนอก พ่อเป็นเจ้าของโรงงานอาหาร
และตึกแถวที่สำเพ็งเป็นสิบๆ หลังเลยนะ รวยกว่าคุณเทพอีกมั้ง”
แฟนเพื่อน 1 จงใจพูดให้ปานรุ้งได้ยิน “งั้นก็ดีแล้วละ ที่กติยาเลิกกับคุณเทพไป อย่างน้อยก็ได้คนดีกว่า”
ต่อมอิจฉาทำงาน ปานรุ้งรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจที่กติยากำลังได้ผู้ชายที่ดีกว่าตน
สักครู่หนึ่งวาสุเทพและกลุ่มก๊วนเพื่อนนายทหารเรือเดินออกจากสนามโปโล หลังจากเพิ่งเล่นเสร็จ พร้อมกับคุยกันมาอย่างสนุกสนาน
โดย เพื่อน 1 พูดแซวเอากับวาสุเทพว่า “วันนี้นายกินอะไรมาวะเทพ ทำแต้มระเนระนาดเลย”
เพื่อน 2พูดแซวบุ้ยใบ้มาทางปานรุ้ง “สงสัยเพราะกำลังใจดีว่ะ”
วาสุเทพยิ้มเขินๆ
ปานรุ้งลุกขึ้นเดินมาหาวาสุเทพด้วยสีหน้าหงุดหงิด ถามเสียงขุ่น
“พี่เทพจะเล่นอีกนานไหมคะ”
“ก็อีกสักพักน่ะจ้ะ นัดกับเพื่อนไว้ว่าเล่นเสร็จ จะพารุ้งไปทานอาหารที่ร้านโปรดของพวกเรา”
ปานรุ้งบอก “รุ้งไม่ไปค่ะ”
วาสุเทพงง “อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะ”
“รุ้งเบื่อ” เธอยื่นแขนให้วาสุเทพดู “เห็นไหมคะ รุ้งนั่งรอพี่เทพจนผิวรุ้งไหม้ แดดหมดแล้ว รุ้งอยากไปช็อปปิ้งค่ะ แต่ถ้าพี่เทพอยากอยู่กับเพื่อน รุ้งไปเอง” ว่าแล้วก็เดินออกไปทันที
“รุ้ง” วาสุเทพเรียกไว้แต่ปานรุ้งไม่หัน เขาจึงหันมาบอกเพื่อน “ฉันกลับก่อนนะ”
วาสุเทพรีบเดินตามปานรุ้งไป
กลุ่มแฟนเพื่อนวาสุเทพมองตามสองคน แล้วพากันหันไปมองอีกทางเหมือนมองใคร
ที่แท้เป็นกติยากับชูนามยืนแอบมองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
กติยากับชูนามเดินออกมาที่รถของชูนามตรงลานจอด ชูนามพูดท่าทีขำๆ ชอบอกชอบใจ
“แหม อานุภาพความอิจฉาริษยาของผู้หญิงนี่ มันร้ายกาจยิ่งกว่าแรงระเบิดฮิโรชิม่าซะอีก ผมแค่ให้เพื่อนคุณพูดนิดเดียว...แม่เล่นพูดซะคุณรุ้งโกรธลมออกหูเลย”
“แล้วมันไม่ดีเหรอ แผนต่อไปของคุณ จะได้ผลเร็วขึ้นไง”
ชูนามทำท่าดีดนิ้ว แล้วชี้หน้าครูสาว แสดงอาการพอใจว่ากติยาพูดถูก
โรงหนังสกาล่ารอบนั้นฉายหนังเรื่อง ค่าของคน นำแสดงโดย พิศาล อัครเศรณี และ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์
ปานรุ้งเข้าโรงมานั่งดูหนังข้างๆ วาสุเทพด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เจ้าหล่อนทอดถอนใจและขยับตัวตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับเรือโทวาสุเทพที่นั่งดูด้วยความเพลิดเพลิน ปานรุ้งมองคู่หมั้นที่หัวเราะหัวใคร่เบิกบานแล้วยิ่งหงุดหงิด พูดเสียงดัง โดยไม่เกรงใจใคร
“What a boring movie ทำไมหนังน่าเบื่ออย่างนี้เนี่ย”
วาสุเทพหันไปมองคนดูคนอื่นๆ อย่างเกรงใจที่แฟนสาวบ่นเสียงดัง พร้อมกับกระซิบถามว่า
“ก็ไหนรุ้งบอกว่าอยากดูเรื่องนี้”
ปานรุ้งปรายตาไปทางวาสุเทพพูดลอยๆ
“ก็เพราะไม่รู้ รุ้งถึงได้อยาก พอได้มา ถึงได้รู้ว่ามันน่าเบื่อ”
วาสุเทพชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกแปลกแปร่งว่าปานรุ้งจงใจพูดเหน็บตน แต่พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงคิดมากไป
จู่ๆ ปานรุ้งลุกขึ้น “รุ้งไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ให้พี่ไปด้วยไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
ปานรุ้งลุกเดินจากแถวที่นั่งไปถึงทางเดินแล้ว ช่างบังเอิญนักว่า พนักงานเดินตั๋วส่องไฟฉายนำชูนามที่ควงแขนกติยาเข้ามา
ปานรุ้งเพ่งมองจากแสงไฟฉายเห็นชูนามควงแขนกติยาแล้วชะงัก ส่วนชูนามทำเป็นมองไปทางจอหนัง ไม่สนใจปานรุ้งเลยสักนิด
“เร็วครับคุณยา เรายังดูทัน”
ชูนามจงใจกระชับมือกติยาให้แนบแน่นมากขึ้น แล้วเดินผ่านหน้าปานรุ้งไป ปานรุ้งมองตามชูนามกับกติยาพากันไปนั่ง แล้วตัดสินใจกลับไปนั่งข้างวาสุเทพเหมือนเดิม
วาสุเทพมองปานรุ้งอย่างแปลกใจ “อ้าว ไม่ไปห้องน้ำแล้วเหรอจ๊ะ”
“รุ้งเปลี่ยนใจแล้วค่ะ รุ้งอยากดูต่อ”
ปานรุ้งมองไปทางจอหนังแว่บเดียว แล้วเหลียวมองไปทางชูนามที่นั่งชิดกับกติยาอย่างหงุดหงิดใจ
ชูนามกับกติยามองสบตากัน แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ให้รู้ว่าแท้จริงชูนามกับกติยาเห็นปานรุ้ง แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น เพื่อยั่วปานรุ้ง
หนังรอบนั้นเลิกเอาช่วงบ่ายแก่ๆ ชูนามเดินออกโรงหนังมาพร้อมกับกติยาคอยมองหาปานรุ้งกับวาสุเทพ
“เดี๋ยวเราแกล้งเดินควงกันผ่านหน้าคุณรุ้งกับคู่หมั้นกัน”
กติยานั้นอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าหากวาสุเทพเห็นตัวเองกับชูนาม จะทำให้อดีตคู่หมั้นมองตัวเองไม่ดีรึเปล่า จึงรั้งแขนชูนามไว้ก่อน
“เดี๋ยว ถ้าพี่เทพเห็นฉันมากับคุณ พี่เทพจะไม่มองฉันไม่ดีเหรอ”
ชูนามเซ็ง “ผมจะสอนให้นะคุณครู มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคู่หมั้นคุณหรือคุณรุ้ง มันมีสันดานหวงก้าง เพราะฉะนั้น ผมถึงควงคุณเพื่อให้คุณรุ้งคลั่ง คุณเองก็ต้องควงผมให้คู่หมั้นคุณเห็น ทำให้รู้สึกว่าลูกไก่ที่เคยอยู่ในมือ กำลังจะหลุดไป ทีนี้ เขาจะอยากได้คุณคืน”
กติยามองชูนามอย่างไม่มั่นใจนัก “จริงเหรอ”
“จริงหรือไม่จริง คุณก็ดูอาการคุณรุ้งเมื่อกี้สิ ว่าเขาเป็นยังไง”
กติยานิ่งนึกถึงอาการปานรุ้งที่ชะงัก ตอนเห็นชูนามควงคู่มากับเธอ
ชูนามมองไปจนเจอวาสุเทพกับปานรุ้งอยู่ที่มุมหนึ่ง “นั่น สองคนนั้นอยู่นั่น” เพลย์บอยเจ้าเล่ห์จับมือกติยามาควงแขนตัวเองบอกอย่างนึกสนุกว่า
“ไปทำให้สองคนนั้นเสียดายเรากันเถอะ”
ปานรุ้งกับวาสุเทพเดินออกมาที่หน้าโรงหนังสกาล่าแล้ว โดยที่ปานรุ้งคอยสอดส่ายสายตามองหาชูนามกับกติยา
“รุ้งหิวรึยังจ๊ะ พี่จองร้านอาหารแถวราชครูไว้ ร้านนี้ดังมากนะ”
ปานรุ้งมัวแต่มองหาชูนามกับกติยาจนไม่สนใจฟัง จนเรือโทหนุ่มมองตามคู่หมั้นอย่างสงสัย
“รุ้งมองหาอะไรจ๊ะ”
“ก็มองหาอดีตคู่หมั้นของพี่ไงคะ รู้ไหมคะว่า เขาควงหนุ่มมาดูหนังด้วย”
วาสุเทพประหลาดใจ “อะไรนะ”
ปานรุ้งหันไปเห็นชูนามกับกติยาพอดี
“นั่นไงคะ ไปค่ะพี่เทพ รุ้งอยากทักเพื่อนสักหน่อย”
ปานรุ้งเดินเข้าไปหาชูนาม วาสุเทพจำใจตามไป
ปานรุ้งยิ้มทัก “Hello”
ชูนามรู้อยู่แล้ว แต่แกล้งทำท่าตกใจที่เห็นปานรุ้ง “อ้าว คุณรุ้ง”
ปานรุ้งหมั่นไส้เลยเหน็บชูนาม “ตกใจอะไรคะชูนาม ฉันต่างหากที่ต้องตกใจ ไม่คิดว่าคุณจะมากับ…” สาวมั่นปรายตามองไปทักกติยา “ไงจ๊ะกติยาท่าทางเธอเมื่อคืนกับตอนนี้ อย่างกับคนละคนเชียว”
กติยาพูดยิ้มๆ “เมื่อคืนมันคืออดีต แล้วอดีตมันก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว และอีกอย่าง เมื่อเช้าพี่เทพก็บอกแล้วว่าพี่เทพไม่ติดใจอะไร”
“เมื่อเช้า” ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยสายตาเป็นคำถาม เธอคิดปราดเดียวแล้วหันมายิ้มให้กติยา แก้เกมให้ตัวเองยังเหนือกว่าว่า “พี่เทพก็บอกฉันเหมือนกัน ฉันยังแปลกใจ ไม่คิดว่าเธอจะกล้าไปหาพี่เทพเร็วขนาดนี้”
ปานรุ้งมองกติยาที ชูนามที “แล้วก็ยิ่งแปลกใจที่เธอควงกับหนุ่มใหม่ ทั้งๆ ที่ฉันจำได้ว่าเมื่อคืนเธอไม่รู้จักเขา”
“แหม...เธอทำความรู้จักโดยที่ฉันไม่รู้ได้ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะจ๊ะ และที่สำคัญ ตอนนี้ฉันโสดแล้ว ฉันมีสิทธิ์คบใครก็ได้” กติยายื่นหน้าไปพูดกระซิบข้างหูปานรุ้งว่า “ขอบใจนะรุ้ง ที่เธอทำให้ฉันมีโอกาสได้รู้ว่า ในโลกนี้ยังมีผู้ชายที่ดีกว่าพี่เทพ”
ปานรุ้งมองหน้ากติยาอย่างเข่นเขี้ยว ที่กติยามาฉกผู้ชายที่ตัวเองแอบหมายตาไป มันเหมือนกติยาท้าแข่งและได้ชัยชนะ!
ชูนามเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวเราจะไปดื่มที่ไนต์คลับเปิดใหม่แถวสุรวงศ์ คุณรุ้งกับคุณวาสุเทพ ไปด้วยกันไหมครับ”
วาสุเทพไม่อยากให้ปานรุ้งกับกติยามีเรื่องจึงปฏิเสธ
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ เดี๋ยวผมกับรุ้งจะไปทานอาหารกันแถวราชครู” เขาหันมาทางปานรุ้ง “เราไปกันเถอะรุ้ง” พร้อมกับจับแขนปานรุ้งให้เดิน
ปานรุ้งหงุดหงิดชูนามกับกติยา เลยพาลไปตวาดวาสุเทพ “ไม่ต้องจับ รุ้งเดินเองได้”
ปานรุ้งเดินปึงปังนำวาสุเทพออกไป
สองคนมองตาม ชูนามหัวเราะอย่างสะใจ
“ผมเคยคิดนะว่า ดอกฟ้าอย่างปานรุ้ง คงตกหลุมกับดักผมยาก ที่ไหนได้ แหม...มันง่ายกว่าที่ผมคิดซะอีก”
กติยาเตือน “อย่าเพิ่งวางใจไป ถึงปานรุ้งโง่เชื่อตามแผนคุณ แต่ยังมีอีกคนที่ฉลาดพอจะไม่ให้ปานรุ้งหลงกลคุณ”
ชูนามมองกติยาด้วยสายตาสงสัยเต็มที่ว่าเธอหมายถึงใคร?
ขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เห็นปริญญาวิ่งเข้ามาหากอบที่นั่งกระวนกระวายอยู่หน้าห้องตรวจ
“คุณนายล่ะนายกอบ”
“อยู่ในห้องตรวจครับ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ตอนผมขับรถจะไปส่งคุณนายที่ท่าเรือ คุณนายบอกแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก จะเป็นลม ผมเลยพาคุณนายมาโรงพยาบาล นี่แหละครับ”
ปริญญามองไปทางห้องตรวจหน้าเครียด “ไม่รู้คุณนายเป็นยังไงบ้าง”
ผ่านไปสักระยะ คมขวัญลงจากเตียงตรวจไข้ เดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะของหมอประจำตัว ปริญญาเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
คมขวัญเหลียวไปมอง “อ้าว...เข้ามาทำไมปริญญา”
“ขอโทษครับคุณนาย ผมอยากเข้ามาถามคุณหมอว่าคุณนายเป็น ยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันตายยาก เธอออกไปได้แล้ว” ประมุขสมุทรเทวาตัดบท
ปริญญาจงใจไม่ฟังผู้เป็นนาย หันมาถามอาการกับหมอ “คุณนายเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“เหมือนเดิม พักผ่อนน้อย กินยาก็ไม่ครบ ผมได้ข่าวว่าลูกสาวคุณนายกลับมาแล้ว น่าให้เขาดูแลแทนได้แล้วนะครับ”
“เขาเพิ่งเรียนจบ ให้เขาได้ใช้ชีวิตก่อน สักพักค่อยให้เขามาช่วยงาน”
หมอถอนใจหน่ายใจกับความดื้อของคมขวัญ “คุณนาย…”
คมขวัญชิงถาม “ตรวจเสร็จแล้วใช่ไหมคะหมอ” แล้วตัดบทบอกกับปริญญาว่า “ไปกันได้แล้วปริญญา”
คมขวัญลุกขึ้นพยายามควบคุมตัวเองให้ดูแข็งแรงที่สุด แล้วเดินออกจากห้องตรวจไป
หมอมองตามคมขวัญ แล้วพูดย้ำกับปริญญา “ดูแลคุณนายให้ดีนะคุณปริญญาโรคของคุณนาย ถ้าขาดยาหรือไม่ดูแลตัวเองสักนิด เป็นเรื่องแน่”
ปริญญามองหมอหน้าเครียด
ถัดมาคมขวัญเดินนำกอบไปขึ้นรถ ปริญญาเดินตามเข้ามาหาคมขวัญ
“คุณนายครับ”
“ถ้าจะพูดเรื่องสุขภาพของฉัน ไม่ต้อง สิ่งที่ฉันต้องการฟังตอนนี้คือ เรื่องธนาคาร เรื่องที่เราเสนอไป เขามีแนวโน้มจะอนุมัติไหม”
ปริญญาบอก “50/50 ครับ”
คมขวัญฉงน “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”
อีกฟากในเวลาเดียวกัน มิสเตอร์เจสันนั่งร่วมสังสรรค์บนโต๊ะในห้องอาหารหรูหรา พร้อมกับผู้ชายที่เป็นผู้บริหารธนาคารใหญ่ 2 คน บรรยากาศดูออกว่ามีการติดสินบน ด้วยศุภกิจคอยเสิร์ฟซิก้าชั้นเยี่ยม ส่วนนพพรกำลังรินเหล้าฝรั่งราคาแพงให้ผู้บริหารคนนั้นอยู่
ผู้บริหาร 1 บอกว่า “คุณไม่ต้องห่วงหรอกมิสเตอร์เจสัน ถึงเรือโทวาสุเทพจะเป็นหลาน
ของคุณโกศล แต่คุณโกศลเป็นคนตรง ไม่ชอบระบบเส้นสายหรอก”
ผู้บริหาร 2 เสริม “ใช่! และอีกอย่างนะ ผมรู้จักคุณคมขวัญมานาน ผมว่าคุณคมขวัญ ไม่ใช้ลูกสาวเป็นสะพานเรื่องธุรกิจหรอก”
สีหน้ามิสเตอร์เจสันดูจะกังวลไม่น้อย “ผมก็หวังว่าคุณคมขวัญจะมีสปิริตพอจะไม่เล่นทางลัด”
ค่ำคืนนั้นคมขวัญอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน นั่งมองรูปครอบครัวที่คมขวัญถ่ายร่วมกับพิรุณ มีเปี่ยมขวัญและปานรุ้งอยู่ในภาพนั้นด้วย
ปริญญายืนอยู่ข้างๆ
“ผมรู้ว่าคุณนายมีสปิริตพอ แต่มิสเตอร์เจสันเล่นสกปรกกับเราก่อน เริ่มจากแย่งลูกค้าของเราไป แล้วก็ใช้เส้นจนประมูลทางเดินเรือไปได้ แล้วนี่ยังจะเอาสินบนไปให้ผู้บริหารธนาคารเพื่อไม่ให้คุณนายกู้เงินง่ายๆ เราต้องใช้อาวุธที่เรามีแล้วนะครับคุณนาย”
คมขวัญยังคงมองรูปครอบครัวนิ่งๆ เหมือนใช้ความคิดหนัก
ปริญญาพูดโน้มน้าวต่อ “ไม่อย่างนั้น ตลอด10 กว่าปีที่คุณนายยอมเสียสละทั้งเวลาส่วนตัวและ เวลาที่ต้องอยู่กับลูกๆ เพื่อรักษาสมุทรเทวาไว้ให้คุณหนู มันจะสูญเปล่านะครับ”
คมขวัญผ่อนลมหายใจเบาบาง มองรูปครอบครัวนิ่ง
จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของวาสุเทพแล่นมาจอดหน้าตึก
ปริญญามองท่าทีคมขวัญว่าจะเอายังไง
ปานรุ้งเดินหงุดหงิดเข้าโถงบ้านมา อารมณ์เสีย เรื่องชูนามกับกติยากวนใจเธอตลอดทั้งวัน วาสุเทพเดินตามเข้ามา น้อยกับเกื้อได้ยินเสียงรถ รีบเดินตามหลังวาสุเทพเข้ามาคอยรับใช้
ปานรุ้งหันมาโวยวายใส่วาสุเทพ “วันหลังเราไม่ต้องไปทานอาหารร้านนั้นแล้วนะคะ รอก็นาน รสชาติก็ไม่ได้เรื่อง”
วาสุเทพแย้ง “แต่พี่พาใครไปทาน เขาก็บอกว่าอร่อย”
ปานรุ้งพาลพาโล “ใคร ที่พี่เทพพูดถึง หมายถึงยารึเปล่าคะ ถ้าใช่ ก็รู้ไว้ว่ารสนิยม ของรุ้งกับยา มันไม่เหมือนกัน ของรุ้งต้องดีกว่า
“ได้จ้ะ วันหลังพี่จะพารุ้งไปที่ที่ดีกว่านี้”
คมขวัญเดินออกมาจากห้องทำงาน มีปริญญาเดินตามออกมา
“กลับมากันแล้วเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ รุ้งเหนื่อย รุ้งเหนียวตัว รุ้งขอตัวก่อนนะคะ”
ปานรุ้งตัดบท แล้วเดินขึ้นห้องไปเลย น้อยรีบตาม คมขวัญมองลูกสาวที่เดินปึงปังขึ้นบันได แล้วหันมามองวาสุเทพ ถามเสียงเรียบ
“มีอะไรกันรึเปล่า”
วาสุเทพพูดปกติ ไม่อยากให้มีปัญหา “ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ตัดบทแล้ววาสุเทพยกมือไหว้คมขวัญ แล้วจะเดินไปขึ้นรถ
ปริญญารีบเร่งคมขวัญ “คุณนายครับ...”
คมขวัญมองปริญญา แล้วมองวาสุเทพอย่างชั่งใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเรียกวาสุเทพไว้
“คุณวาสุเทพ ถ้าไม่รีบกลับ ฉันขอคุยหน่อยได้ไหม”
วาสุเทพมองคมขวัญอย่างฉงนฉงายว่ามีเรื่องอะไรกับเขา
ฝ่ายปานรุ้งยืนหน้าบึ้งรอน้อยอยู่ในห้อง จนสาวใช้คู่ใจเข้าห้องมา
“พี่เทพกับนายแม่ไปรึยัง”
“เกื้อบอกว่าคุณนายชวนคุณเทพ เข้าไปคุยอะไรก็ไม่รู้ในห้องทำงานค่ะ”
ปานรุ้งนิ่งคิด ใจหนึ่งอยากรอจังหวะที่ดีกว่านี้ แต่อีกใจก็รุ่มร้อนด้วยแรงริษยา ไม่ยอมให้กติยาได้ผู้ชายที่ดีกว่าวาสุเทพ อย่างชูนามไปครอบครองเป็นแน่ ปานรุ้งตัดสินใจออกจากห้องไป น้อยตามติด
ที่เรือนคนใช้ ปิ่นถือชามแกงมาวางที่โต๊ะกินข้าว มีกอบและเด็กรับใช้ 3 คนกำลังนั่งรอกินข้าวเย็นกันอยู่ แจ่มเดินจากทางบ้านพักผ่านโต๊ะที่ทุกคนกินข้าวเพื่อจะเข้าห้องครัว
“แจ่ม มากินข้าว” กอบเรียก
แจ่มบอก “ต่อไปนี้ฉันจะไม่กินข้าวเย็นแล้วล่ะลุงกอบ”
“อ้าว ไม่กินข้าว แล้วเอ็งจะกินอะไร” กอบงง
“กินผลไม้ไง ฉันเห็นคุณหนูกินผลไม้แทนข้าวเย็นลดความอ้วนฉันจะทำบ้าง จะได้หุ่นดีอย่างคุณหนู”
ว่าพลางแจ่มเดินเข้าห้องครัวไปหยิบจานใส่ทุเรียนเต็มจานออกมา
ปิ่นมองจานทุเรียน แล้วแดกดันด้วยความหมั่นไส้ “นังแจ่ม อดข้าวแต่กินทุเรียน ชาตินี้คงผอมหรอก”
แจ่มเถียง “ต้องผอมสิ ก็ทุเรียนเป็นผลไม้ ป้าไม่รู้อะไร อย่าพูดดีกว่า”
ปิ่นจะอ้าปากด่ากลับ แต่เห็นปานรุ้งเดินเข้ามา โดยมีน้อยเดินตามหลังมา
แจ่มเห็นปานรุ้ง รีบวิ่งถลาไปหาทันที
“คุณหนูมาทำอะไรที่นี่คะ ในนี้มันสปร๊ก สกปรก คุณหนูขึ้นไปบนตึก เถอะค่ะ คุณหนูอยากได้อะไร บอกแจ่มค่ะ เดี๋ยวแจ่มจัดการทุกอย่างให้เอง”
“งั้นอยากให้เธอถอยไปไกลๆ เพราะปากเธอเหม็นทุเรียนมาก”
ปานรุ้งดันแจ่มถอยไปชนน้อย แล้วถูกน้อยผลักออกไปอีก
“ไปไกลๆฉันด้วย ฉันก็เหม็น”
ปิ่น กอบ และเด็กรับใช้ 3 คน พากันหัวเราะเยาะ แจ่มเซ็ง
กอบรีบลุกไปหาปานรุ้ง “คุณหนูมีอะไรให้รับใช้รึเปล่าครับ”
ปานรุ้งมองหาเกื้อ “ฉันมาหาเกื้อ เกื้ออยู่ไหน”
เกื้อรีบร้อนเดินเข้ามาจากทางโรงรถ
“ผมอยู่นี่ครับคุณหนู”
“ไปเกื้อ เอารถออกเดี๋ยวนี้”
“คุณหนูจะไปไหนครับ”
ที่ไนต์คลับหรูหราย่านสุรวงศ์ ขณะที่ชูนามกำลังแทงลูกสนุกเกอร์อยู่นั้น จู่ๆ มีมือเรียวงามยื่นมาคว้าลูกสนุกไว้ก่อนลงหลุม ชูนามเงยหน้าขึ้นมามองเห็นเป็นปานรุ้งก็แกล้งทำหน้าแปลกใจ
“คุณรุ้ง ไหนว่าไปทานอาหารที่ราชครูไงครับ”
ระหว่างนี้เกื้อยืนอยู่ด้านหลังปานรุ้ง คอยจดสายตามองชูนามอย่างสงสัยว่าชายคนนี้คือใคร
ส่วนปานรุ้งมองหากติยา “แล้วแฟนคุณล่ะค่ะ ไปไหน”
“คุณหมายถึงใครครับ” ชูนามทำไก๋
ปานรุ้งเหยียดยิ้ม “ก็คุณครูกติยาไงคะ หรือว่ากลับบ้านไปแล้ว คุณต้องทำใจหน่อยนะ แฟนคุณเป็นเด็กอนามัย ต้องรีบอาบน้ำนอนตอนสองทุ่ม”
“ผมไม่มีแฟนสักหน่อย มีแต่เพื่อน”
“แต่เท่าที่ได้ยินกติยาพูด มันมากกว่าเพื่อนนะคะชูนาม”
เกื้อยังมอง จนนึกชื่อได้ว่า ชูนาม คือคนที่น้อยบอกว่าโทร.มาหาและฝากข้อความถึงปานรุ้ง
“คนนี้เองที่ชื่อชูนาม” เกื้อพึมพำ
ชูนามมองปานรุ้งยิ้มๆ “อย่าบอกนะครับ ว่าคุณมาจากราชครู...เพราะหึงผม”
ปานรุ้งยิ้มเยาะ “คุณคิดผิดแล้วชูนาม ที่รุ้งมาเพื่อจะเอานี่มาคืน”
ปานรุ้งหยิบกระดาษเขียนข้อความที่ชูนามเคยโทร.มาฝากไว้ให้เธอ คืนชูนามไป
“คนอย่างปานรุ้ง ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นตัวเลือกของใคร โดยเฉพาะมีคู่แข่งที่ไม่สมน้ำสมเนื้ออย่างกติยา”
สาวมั่นเดินเชิดหน้าออกไปอย่างมาดนางพญาว่าฉันเหนือกว่าใครๆ ออกไป เกื้อเดินตาม ชูนามมองตามปานรุ้ง แล้วพูดตามหลังไปว่า
“คุณรุ้งตามมาพูดดูถูกคุณถึงที่นี่ เป็นผม...ผมคงไม่ยอมง่ายๆนะ”
กติยาเดินออกจากมุมหนึ่ง มายืนด้านหลังชูนาม มองไปทางปานรุ้งด้วยสายตาท้าทายเป็นเชิงว่า “คอยดูแล้วกัน ปานรุ้ง”
ที่บ้านสมุทรเทวา คมขวัญเดินนำวาสุเทพออกจากในบ้าน มีปริญญาเดินตาม
“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะนัดคุณลุงโกศลให้” วาสุเทพบอก
“ป้าบอกตรงๆ ว่าไม่อยากรบกวนคุณเลย” คมขวัญมีท่าทีเกรงใจตามที่พูด
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่ได้รบกวน ผมติดตามข่าวเรื่องเรือสมุทรเทวาถูกปล้นตลอด แล้ววันมะรืนที่ผมจะไปราชการ ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้”
คมขวัญสนใจ “ได้ข่าวพวกโจรนั่นแล้วเหรอคะ”
“ผมคงบอกอะไรคุณป้าไม่ได้ ไว้อะไรแน่นอน ผมจะรีบบอกคุณป้าครับ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณวาสุเทพ”
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” วาสุเทพยิ้มพร้อมกับไหว้ลาคมขวัญ แล้วเดินไปขึ้นรถ
คมขวัญ ปริญญา ยืนส่งวาสุเทพ จนเขาขับรถออกประตูไป
ปริญญาพูดออกมาอย่างโล่งอกสบายใจ “ถ้าคุณวาสุเทพรับปากช่วยเราอย่างนี้ บริษัทสมุทรเทวาของเราก็รอดแล้วล่ะครับคุณนาย”
คมขวัญไม่ประมาท “ก็ขออย่าให้มีอะไรผิดพลาดแล้วกัน”
ปิ่นนั่งอยู่ที่แคร่ตรงลานพักหน้าเรือนคนใช้ด้วยสีหน้าท่าทางร้อนอกร้อนใจ และไม่สบายใจ จนเห็นผัวเดินมาจากทางบ้านสมุทรเทวาก็รีบเข้าไปหา
“เป็นยังไงตากอบ คุณนายถามหาคุณหนูไหม”
“เปล่า พอคุณเทพลากลับ คุณนายก็เข้าห้องนอนเลย คงคิดว่าคุณหนูเข้านอนแล้ว”
ปิ่นถอนใจเซ็ง “แล้วไป ไม่อย่างนั้นเกื้อคงซวยไปด้วยที่แอบพาคุณหนูไปข้างนอก” พูดไปแล้วอดตำหนิปานรุ้งไม่ได้ “อย่าหาว่าฉันว่าเลยนะ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหนูเป็นผู้หญิงประสาอะไร ทั้งๆ ที่คู่หมั้นเพิ่งพามาส่ง ก็แอบออกไปข้างนอกอีกแล้ว”
กอบปราม “ไม่เอาน่ายายปิ่น เรื่องของเจ้านายเขา”
“ฉันรู้ แต่ฉันก็อดเห็นใจคุณนายไม่ได้ ฉันไม่ได้แช่งนะ แต่สังหรณ์ว่าจะไม่ได้ลงเอยกับคุณเทพ”
กอบฉุน “ฮึ่ย! แกพูดซี้ซั้ว คุณหนูหมั้นกับคุณเทพขนาดนี้ ถ้าไม่ลงเอยกับคุณเทพ แล้วจะลงเอยกับใคร”
ทางด้านเกื้อขับรถแล่นมาตามถนนมุ่งหน้ากลับบ้านสมุทรเทวา ปานรุ้งนั่งอยู่ด้านหลังกำลังคิดเรื่องชูนาม สุดท้ายเอ่ยขึ้น
“เกื้อ”
“ครับคุณหนู”
“เธอว่าชูนามเป็นยังไง”
เกื้อชะงัก อยากจะพูดว่าไม่ชอบชูนาม แต่พูดไม่ออก “เอ่อ...”
ปานรุ้งถามย้ำ “ว่ายังไง”
เกื้อลอบถอนใจเบาๆ “ก็ดีครับ”
“แล้วดีกว่าพี่เทพไหม”
“ไม่ทราบครับ”
“รู้สึกยังไงก็พูดออกมาเถอะน่า..เร็ว”
เกื้อมองปานรุ้ง ท่าทีลังเล “ผมชอบคุณวาสุเทพมากกว่า”
“Too bad…” ปานรุ้งคิดบางอย่างชะโงกหน้ามาฝั่งคนขับ “แล้วเธอว่ากติยากับฉันใครสวยกว่ากัน”
เกื้อมองมองปานรุ้งจากกระจกมองหลังอย่างอึ้งๆ พบว่าปานรุ้งมองสบตากับตัวเองจังๆ เกื้อรีบหลบตาวูบหันไปมองทาง
“ว่ายังไงล่ะเกื้อ”
เกื้อตอบว่า “คุณหนูครับ”
ปานรุ้งยิ้มพอใจ “ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ แล้วเธอคิดว่ากติยาจะมีวันสวยกว่าฉันไหม”
“เอ่อ...ผมว่า...ไม่น่าครับ”
ปานรุ้งยิ้มกว้างพอใจคำตอบนี้มาก
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขณะที่พลเรือเอกภัทรและคุณหญิงสุดใจนั่งดื่มกาแฟที่โซฟาอันเป็นกิจวัตรของเช้าวันหยุดอย่างนี้ สักครู่เห็นวาสุเทพกำลังจะออกจากบ้าน คุณหญิงรีบลุกเดินไปหา
“ตาเทพ จะรีบไปไหนอีก วันนี้วันอาทิตย์ พรุ่งนี้จะออกเรือแล้ว ไม่คิดจะอยู่พักที่บ้านบ้างเลยรึไง”
“ผมจะไปหารุ้งน่ะครับ”
คุณหญิงหงุดหงิด “ไม่หาสักวันคงไม่เป็นไรมั้ง”
นายพลภัทรปราม “คุณหญิง”
คุณหญิงถอนใจ “น้องก็แค่กลัวลูกจะไม่ได้พักนี่คะ ถ้าอยู่กับหนูยาป่านนี้หนูยาคงมาช่วยเตรียมของใช้ เตรียมของแห้ง ไม่ใช่ชวนกันออกไปตะลอนแบบนี้”
“ผมไปก่อนนะครับ”
วาสุเทพไม่อยากเถียงกับมารดารีบเดินออกไป
คุณหญิงมองลูกชายอย่างไม่พอใจ “มันจะมีวิธีไหนบ้างไหม ที่จะกำจัดผู้หญิงคนนั้นออกจากชีวิตลูกชายฉันได้”
เวลาเดียวกันนั้นคุณโกศลพี่ชายคุณหญิงสุดใจเดินนำคมขวัญและปริญญาออกมาจากในตัวบ้าน
“คุณคมขวัญไม่ต้องห่วง ปกติผมก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ แต่มิสเตอร์เจสันทำกับคุณคมขวัญอย่างนี้ ผมว่าไม่ยุติธรรม เรื่องเอกสารการกู้ ผมจะดูแลให้”
“ดิฉันขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณโกศลวันหยุดพักผ่อนอย่างนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราคนกันเอง อีกหน่อยตาเทพแต่งงานกับหนูรุ้ง เราก็เป็นทองแผ่นเดียวกัน อะไรที่พอช่วยเหลือกันได้ ก็ช่วยกัน”
คมขวัญยิ้มขอบคุณ “ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวกลับก่อน ขอบพระคุณมากๆ อีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
คมขวัญไหว้ลา แล้วเดินไปขึ้นรถที่กอบเปิดประตูรออยู่ ปริญญาขึ้นนั่งข้างคนขับ กอบขึ้นรถ แล้วขับออกไป
ทันทีที่รถของคมขวัญขับออกจากประตูรั้วบ้านคุณโกศล รถของคุณหญิงสุดใจขับเข้าบ้านมาจากอีกทาง รถคุณหญิงจอดหน้าประตูรั้วบ้าน กระจกรถฝั่งที่คุณหญิงนั่งอยู่ ลดระดับลงมา เห็นคุณหญิงสุดใจโผล่หน้ามองตามรถคมขวัญที่ขับออกไป
“นั่นมันคุณคมขวัญนี่ มาบ้านพี่ชายฉันทำไม”
พอฟังผู้ช่วยแฝดรายงานจบ มิสเตอร์เจสันถีบเก้าอี้อย่างไม่พอใจ นพพรกับศุภกิจกระโดดหลบเก้าอี้แทบไม่ทัน
“ไหนไอ้พวกกรรมการพวกนั้นบอกว่าคุณโกศลจะไม่ช่วยคุณคมขวัญไงวะ แล้วทำไมถึงมีข่าวว่าคุณโกศลจะเอาเรื่องกู้ของสมุทรเทวาเข้าที่ประชุมอาทิตย์หน้า”
“ถ้าธนาคารอนุมัติเงินให้คุณคมขวัญ ที่เจ้านายหวังจะเข้าไปซื้อหุ้นสมุทรเทวาก็คงยากแล้วล่ะครับ” นพพรว่า
“ฉันไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด สมุทรเทวามีเส้นทางการเดินเรือหลายเส้นที่ฉันต้องการขยายธุรกิจของฉัน...ฉันต้องหาทางไม่ให้ตระกูลนทีพิทักษ์ช่วยสมุทรเทวา”
เวลานั้น ม้าแข่งถูกปล่อยจากซอง วิ่งตะบึงแข่งกันมาอย่างสูสี
กองเชียร์ส่งเสียงเชียร์ตามหมายเลขของม้าที่ตัวเองแทงไว้
ปานรุ้งยืนเชียร์อยู่ในกลุ่มคนเชียร์ โดยมีวาสุเทพยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าอึดอัด ไม่ชอบการพนัน ไม่ชอบสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ เพราะตัวเองเป็นทหาร
ปานรุ้งส่งเสียงเชียร์ “ม้ากาญจนาๆๆๆๆ เร็วสิ เบอร์ 5 เบอร์ 5” พลางหันไปทางวาสุเทพ “คอยดูนะคะพี่เทพ ม้าตัวนั้นต้องชนะแน่ๆ รุ้งมองไม่ผิดหรอก”
ปรากฏว่าม้าเบอร์ 3 วิ่งแซงม้าเบอร์ 5
ปานรุ้งโมโหโวยลั่น “เฮ้ย เบอร์ 5 สู้สิ อย่าแพ้เบอร์ 3 เร็วๆ เบอร์ 5”
สุดท้ายม้าเบอร์ 3 วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นตัวแรก ปานรุ้งทิ้งตัวนั่งลงอย่างสุดเซ็ง
จู่ๆ ได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนดีใจมาจากมุมหนึ่ง ไม่ไกลนัก
“เย้...เบอร์ 3 ชนะ เบอร์ 5 จริงๆ ด้วยค่ะ คุณชูนาม”
ปานรุ้งกับวาสุเทพหันไปตามเสียง เห็นกติยากระโดดดีใจอยู่กับชูนาม มากไปกว่านั้นปานรุ้งสังเกตเห็นว่ากติยาแต่งตัวสวยดูดีมากขึ้น แถมมากับชูนาม และที่สำคัญ ม้าของกติยาชนะม้าของปานรุ้งอีกด้วย ปานรุ้งไม่พอใจกับความพ่ายแพ้!
กติยาแกล้งหันมาเห็นปานรุ้ง แล้วทำท่าแปลกใจพูดเสียงเยาะ
“อ้าว รุ้งเองเหรอที่ตะโกนเชียร์ม้าเบอร์ 5” แล้วทักวาสุเทพด้วยท่าทีปกติ “สวัสดีค่ะพี่เทพ”
“เพิ่งรู้ว่าเธอมาเล่นอะไรอย่างนี้ด้วยนะยา”
“คุณชูนามชวนมาน่ะ” ครูสาวผู้เคยเชยเฉิ่ม หันไปพูดกับชูนาม “สนุกจังเลยค่ะคุณชูนาม เราไปแทงกันอีกเถอะค่ะ”
“ไปสิครับ” ชูนามเดินเทคแคร์กติยาออกไป
ปานรุ้งมองชูนามที่คอยแหวกผู้คนเปิดทางให้กติยาอย่างหงุดหงิด ต่อมอยากเอาชนะคะคานทำงานทันควัน
“รุ้งว่าเกมวันนี้น่าสนุก เราไปแทงกันต่อเถอะค่ะ”
ปานรุ้งเดินไปทางเดียวกับชูนามและกติยา วาสุเทพจำใจเดินตามคู่หมั้นไป
ชูนามกับกติยามองกระดาษแทงม้า อยู่ตรงมุมหนึ่ง ภายในสนามแข่งม้า
“ผมว่ารอบนี้ม้าตัวเบอร์ 8 น่าสนใจ” เขาบอก
“จริงเหรอคะ”
ปานรุ้งยืนหน้าบึ้งมองกติยากับชูนามอย่างหงุดหงิด แล้วมองกระดาษแทงม้าของตัวเองก่อนจะหันมาพูดเสียงหวานกับวาสุเทพ
“พี่เทพคะ พี่เทพขี่ม้าตั้งหลายปี รู้จักม้าดีไม่แพ้ใคร พี่เทพว่าม้าตัวไหนจะเข้าวินคะ”
วาสุเทพยืนมองบรรยากาศรอบๆ อย่างอึดอัด ดูออกว่าเรือโทหนุ่ม ไม่ค่อยชอบเอาเลย
“พี่ว่าเรากลับเถอะรุ้ง อย่าลืมว่าพี่เป็นทหาร ถึงการแข่งม้าที่นี่จะถูกกฎหมาย แต่มันคงไม่ดี ถ้ามีใครเห็นพี่อยู่ที่นี่”
ปานรุ้งกลอกตาเบื่อ แทนที่วาสุเทพจะเอาใจปานรุ้งแข่งกับชูนามที่เอาใจกติยาแต่กลับตำหนิติเตียนซะอย่างงั้น
หมั่นไส้นัก ปานรุ้งเลยเย้ยหยันไปว่า “แค่เรือโท ไม่มีใครแคร์พี่เทพหรอกค่ะ”
วาสุเทพฉุนไม่คิดว่าปานรุ้งจะกล้าพูดแบบนี้ “รุ้ง”
“รุ้งบอกแล้วไงคะว่ารุ้งไม่กลับ รุ้งจะเล่นก่อน” เจ้าหล่อนดูกระดาษแทงม้า “รุ้งว่าม้าเบอร์ 1 ต้องเข้าวินแน่ๆ”
ชูนามตะโกนมาบอกปานรุ้ง “คุณรุ้งเชื่อผมเถอะ เบอร์ 8 สิรินนภา จ๊อกกี้ทองภูมิ ไม่มีทางพลาด”
กติยาเหน็บแนมว่า “รุ้งแทงเบอร์เดียวกับยาก็ได้นะ รุ้งชอบอะไรเหมือนยาอยู่แล้วนี่”
ปานรุ้งตอกกลับ “ถ้ารุ้งเป็นยา รุ้งคงไม่อยากให้ชอบเหมือนกัน เพราะสุดท้ายรุ้งชอบอะไร รุ้งก็ได้ไปทุกที”
กติยาพยายามข่มความโกรธ ยิ้มเยาะ “แต่ครั้งนี้ อาจจะไม่เหมือนครั้งก่อนก็ได้นะจ๊ะ”
ปานรุ้งไม่ยอมแพ้ บอกเสียงดังว่า “รุ้งจะแทงเบอร์ 1”
“ยาแทงเบอร์ 8” กติยาว่า
ม้าถูกปล่อยจากซอง วิ่งตะบึงแข่งกันในสนามอย่างสูสี ปานรุ้ง ชูนาม วาสุเทพ และ กติยายืนลุ้นม้าที่กำลังวิ่งแข่ง
ปานรุ้งเชียร์ม้าเบอร์ 1 ส่วนกติยาลุ้นม้าเบอร์ 8 เพียงยืนมองตามไม่ได้ออกอาการเชียร์เท่าปานรุ้ง ม้าสองตัวควบวิ่งแข่งกันมาอย่างสูสี และใกล้จะเข้าเส้นชัยแล้ว
ปานรุ้ง ชูนาม วาสุเทพ และ กติยาลุ้นระทึก ม้าเบอร์ 1 กำลังวิ่งแซงม้าเบอร์ 8 ปานรุ้งดีใจ เชียร์สุดกำลังเมื่อปรากฏว่า ม้าเบอร์ 1 วิ่งแซงเบอร์ 8 เข้าเส้นชัย
ปานรุ้งกรี๊ดๆๆ กระโดดโลดเต้นดีใจสุดขีด สะใจเหลือเกินที่เอาชนะกติยาได้เห็นๆ
ชูนามโผเข้ากอดปานรุ้ง และปานรุ้งจงใจกอดชูนามตอบ พร้อมกับมองกติยาด้วยสายตาเยาะเย้ยว่า “เห็นไหม เธอไม่มีวันชนะฉันหรอก”
วาสุเทพหันไปมองสองคนด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ปานรุ้งพูดกับชูนามว่า “เราไปดูม้ารอบต่อไปกันเถอะค่ะชูนาม”
ปานรุ้งควงแขนชูนาม เดินผ่านหน้ากติยายิ้มเย้ยสะใจให้ กติยามองตามสองคนนิ่งๆ แล้วจึงเดินมาหาวาสุเทพใส่ไคล้สองคน
“ท่าทางสองคนนี้จะไม่ได้มาที่นี่ด้วยกันเป็นครั้งแรกนะคะ ดูรู้ใจกันดีไปหมดพี่เทพว่าไหม”
วาสุเทพมองปานรุ้งกับชูนามหน้าเครียด กติยาลอบมองเห็นอาการนั้น ก็แอบยิ้มสมใจที่ทำให้วาสุเทพเริ่มตาสว่าง เห็นเนื้อแท้ปานรุ้งได้
ปานรุ้งควงแขนชูนามเดินมา ชูนามเอื้อมมือไปจับมือปานรุ้งมากุม
“จะช้าไปไหมครับ ถ้าผมจะบอกว่า คุณยาสู้คุณรุ้งไม่ได้เลยจริงๆ”
ปานรุ้งยิ้มสะใจสมใจ แต่แกล้งทำหน้าซื่อไม่ประสีประสา “ทำไมอยู่ๆ มาพูดอย่างนี้ล่ะคะ”
“ผมอยากสารภาพ ว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดี ผมเป็นผู้ชายเลวๆ คนนึง ที่จงใจคบผู้หญิงคนนึงเพื่อประชดผู้หญิงอีกคน”
ปานรุ้งเข้าใจว่าชูนามหมายถึงเขาคบหากติยาประชดตัวเอง ยิ่งสะใจ แต่แกล้งทำเป็นซื่อๆต่อ
“อะไรนะคะ นี่คุณคงไม่ได้คบยาเพื่อ...”
ชูนามพูดต่อ “เพื่อประชดคุณ”
ปานรุ้งแกล้งติติง “ทำไมคุณทำแบบนี้ ถ้ายารู้ เขาจะเสียใจขนาดไหน”
ชูนามก็แกล้งทำหน้าสลด “ผมทราบครับ แต่คุณรุ้งจะให้ผมทำไมยังไง เมื่อหัวใจผมมันดันตกหลุมรักคนมีเจ้าของไปแล้ว”
ปานรุ้งสะใจเป็นที่สุด “รุ้งว่าคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะค่ะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของรุ้ง นอกจากตัวรุ้งเอง”
ชูนามหยั่งเชิง “แต่คุณวาสุเทพเป็นคู่หมั้นคุณรุ้งนะครับ”
“ก็แค่คู่หมั้น ยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย ซึ่งแปลว่ารุ้งยังมีโอกาสที่จะเลือกคนที่ดีกว่าอยู่”
ชูนามยิ้ม “งั้นก็แปลว่าผมมีสิทธิ์”
“ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณดีกว่าพี่เทพ ก็พิสูจน์ให้รุ้งเห็นสิคะ”
ชูนามจ้องตาปานรุ้งลึกซึ้ง ส่วนปานรุ้งมองสบตาชูนามอย่างท้าทาย
ระหว่างนี้วาสุเทพเดินเข้ามาพร้อมกติยา
“รุ้ง”
ปานรุ้งปรายมองกติยาด้วยสายตายิ้มเยาะ “พี่เทพมาพอดี รุ้งเปลี่ยนใจไม่เล่นต่อล่ะค่ะ” เจ้าหล่อนจงใจพูดกระทบกติยา “เพราะวันนี้รุ้งรู้สึกว่าชนะขาดลอยแล้ว”
ปานรุ้งสบตากติยา แล้วควงแขนวาสุเทพ
“รุ้งไปก่อนนะยา”
ปานรุ้งควงแขนวาสุเทพเดินผ่านกติยาไป
กติยามองปานรุ้งที่ควงวาสุเทพไปด้วยเจ็บแค้น
“แล้วเธอจะได้รู้ ว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า มันเป็นยังไง”
วาสุเทพขับรถมาจอดตรงลานระหว่างตึกสมุทรเทวาสองฝั่ง แล้วลงมาเปิดประตูให้ปานรุ้ง ทันทีที่ลงรถมาปานรุ้งจะเดินเข้าบ้าน วาสุเทพตามมาจับมือรั้งไว้
“พี่จะไม่อยู่สองอาทิตย์นะรุ้ง”
ปานรุ้งชะงัก ลอบยิ้มดีใจที่วาสุเทพไม่อยู่ จะได้มีโอกาสไปดึงชูนามจากกติยา
ปานรุ้งตอบโดยไม่ได้อาลัยอาวรณ์ “ค่ะ รักษาตัวนะคะ” แล้วจะเดินเข้าบ้าน
วาสุเทพถามขึ้น “รุ้งจะคิดถึงพี่ไหม”
ปานรุ้งชะงักเท้า ถอนใจอย่างรำคาญว่าอะไรนักหนา แต่หันไปยิ้มให้วาสุเทพพร้อมกับพูดอ้อน
“คิดถึงสิคะ คู่หมั้นไม่อยู่ทั้งที ทั้งคิดถึง ทั้งใจหาย แต่พี่เทพไม่ต้องห่วงรุ้งนะ เป็นคู่หมั้นนายทหารต้องอดทน ไปทำงานให้สบายใจเถอะค่ะ”
วาสุเทพยิ้มชื่นปลื้มใจ “พี่ไม่อยู่ รุ้งดูแลตัวเองดีๆ นะ”
“โธ่ พี่เทพคะ รุ้งโตแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆ”
“เพราะพี่รู้ว่ารุ้งโตแล้ว และสวยด้วย พี่ถึงได้ห่วง”
“อย่าพูดอย่างนี้สิคะพี่เทพ พูดอย่างนี้เหมือนพี่เทพไม่ไว้ใจรุ้งเลย” ปานรุ้งพ้อ
“เปล่านะจ๊ะ พี่ไว้ใจรุ้ง แต่พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น”
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพเหมือนเป็นการแสดงความมั่นคง พูดเล่นลิ้น
“เอาอย่างนี้ ขอให้พี่เทพเชื่อ รุ้งสัญญาว่าพี่เทพจะได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสมกับพี่ และรักพี่ค่ะ”
วาสุเทพกอดคู่หมั้นเต็มรัก ไม่ทันเฉลียวใจกับคำพูดนั้นของเจ้าหล่อน เข้าใจเต็มเปี่ยมว่าคนที่จะแต่งงานกับเขาคือปานรุ้งนั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น
ปานรุ้งยิ้มเจ้าเล่ห์กับคำพูดตัวเอง
ด้วยความหมายแท้จริงแล้ว คำว่า “คนที่เหมาะสมและที่รักวาสุเทพ” อาจเป็นตัวเธอหรือไม่ใช่ก็ได้!
เช้าวันนี้ ดรุณีเพิ่งใส่บาตรเสร็จ เดินกลับเข้าบ้านมา เห็นกติยาถือตะกร้าใส่กล่องอาหารเตรียมจะไปบ้านวาสุเทพ
“ทำขนมไปฝากคุณป้าสุดใจอีกแล้วเหรอลูก”
“ยาจะฝากคุณป้าไปให้พี่เทพที่กรมน่ะค่ะ”
ดรุณียิ้มชื่น กอดปลอบใจลูก “แม่ดีใจ ที่ยาทำใจได้ แล้วยังดีกับพี่เขาเหมือนเดิม”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะแม่ ยากับพี่เทพ เราไม่มีวันทิ้งกันไปไหนแน่นอน”
กติยาคิดถึงสิ่งที่ชูนามกำลังจะทำ แล้วยิ้มมีความสุข รอวันที่วาสุเทพจะหวนคืนกลับมาหา
เช้าเดียวกัน คมขวัญเดินลงบันไดมายังห้องโถง ปิ่นกับน้อยถือตะกร้าใส่อาหารแห้ง เช่น น้ำพริก หมูฝอย เข้ามาหาคมขวัญ
“อาหารแห้งที่คุณนายสั่งให้เตรียม เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบใจนะปิ่น” คมขวัญหันไปทางน้อย “น้อย ไปบอกคุณรุ้งว่าให้เอาของพวกนี้ไปฝากคุณเทพที่กรมสิ”
น้อยอึกอักเพราะรู้ว่าปานรุ้งหายไปตั้งแต่เช้า “เอ่อ...คุณหนูไม่อยู่ค่ะคุณนาย ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ
คมขวัญแปลกใจ “ออกไปกับใคร”
น้อยอึกอัก ปิ่นเหลือบมองอาการน้อย แล้วทำหน้าระอาคุณหนูปานรุ้ง
ส่วนที่โปโลคลับตอนนี้ ชูนามอุ้มปานรุ้งขึ้นไปขี่ม้า สองคนขี่ม้าเคียงคู่กันอย่างมีความสุข
เกื้อยืนมองดูด้วยสายตากล้ำกลืน อยากเตือนปานรุ้งไม่ให้ยุ่งกับชูนาม แต่ทำไม่ได้
อีกฟากบนเรือรบ บริเวณท่าเรือสัตหีต แลเห็นเรือโทวาสุเทพยืนเข้าแถวอยู่ที่ลานด้านหน้าเรือรบ ฟังคำสั่งของผู้การอยู่
อีกวันหนึ่ง คมขวัญกำลังจะออกจากบ้าน ปริญญากับเกื้อรอที่รถ น้อยเดินถือกระเป๋าของคมขวัญตามหลังมา
“น้อย คุณรุ้งออกไปไหนอีกรึเปล่า”
น้อยชะงัก อึกอักไปชั่วขณะหนึ่ง “เอ่อ...”
คมขวัญหันมามองน้อย คาดคั้น “ว่ายังไง”
น้อยพยายามโกหกอย่างแนบเนียนที่สุด “ค่ะ คุณหนูยังไม่ตื่นเลยค่ะ”
คมขวัญถอนใจ “เอาเถอะ นอนตื่นสาย ก็ยังดีกว่าตะลอนออกไปไหน แล้วเมื่อคืนเธอถามรึเปล่า ว่าเขาออกไปกับใคร”
ปริญญาได้ยินที่คมขวัญถามเรื่องปานรุ้งออกไปข้างนอกกับใคร เขารู้สึกว่าคมขวัญ ต้องมีอะไรในใจ จึงมองน้อยและคมขวัญ
น้อยก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบตา “บอกค่ะ บอกว่าไปกับกลุ่มเพื่อนที่จบจากเมืองนอกด้วยกัน”
คมขวัญพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินขึ้นรถไปพร้อมกับปริญญาและกอบ
น้อยมองตามคมขวัญที่เดินออกไปแล้วถอนใจโล่งอก
“คุณหนูนะคุณหนู ออกไปไหนกับใครก็ไม่ยอมบอก ถ้าคุณนายสงสัยขึ้นมา แย่แน่”
ในรถที่แล่นมาตามทางซึ่งเกื้อเป็นคนขับ คมขวัญนั่งนิ่งมองวิวนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ปริญญาเหลือบมองอาการเจ้านาย แล้วยิ่งกังวลเรื่องคุณหนูปานรุ้ง
“ให้ผมสืบไหมครับว่าคุณรุ้งไปกับใคร”
คมขวัญนิ่งนิ่ง ใช้ความคิด
“ยังไม่ต้อง ฉันเชื่อว่ารุ้งฉลาดพอ จะไม่ทำในสิ่งที่ฉันห่วง”
ปริญญาไม่วางใจ หวั่นกลัวว่า คมขวัญ สมุทรเทวา จะคิดผิด และทำพลาดครั้งใหญ่หลวง
บนเรือสำราญที่ล่องอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ค่ำคืนนั้น
เห็นปานรุ้งนั่งทานอาหารใต้แสงเทียนอันแสนโรแมนซ์เพียงลำพัง แขกต่างชาตินั่งอยู่โต๊ะอื่นๆ สักพักชูนามเดินสีไวโอลินบรรเลงเพลงหวานซึ้งเข้ามายืนตรงหน้าปานรุ้ง บรรดาแขกต่างชาติและแขกคนอื่นๆ ต่างหันมามองปานรุ้งกับชูนามอย่างสนใจ จนพอชูนามเล่นเพลงจบ ทุกคนต่าง ปรบมือให้คู่ปานรุ้งและชูนาม การกระทำของชูนามยิ่งทำให้ปานรุ้งรู้สึกว่าตัวเองโดดเด่นเป็นคนสำคัญ และพิเศษกว่าใครๆ กลบลบปมด้อยที่กัดกินใจเสมอมาว่าเธอเป็นคนไม่มีใครต้องการ
ปานรุ้งจึงมองชูนามอย่างลึกซึ้งประทับใจ
เวลาเดียวกัน บนเรือรบ ที่แล่นผ่ากระแสคลื่นในท้องทะเล เห็นแต่ความวุ่นวายของบรรดาทหารเรือที่กำลังขับเรือไล่ล่าโจรสลัด วาสุเทพซึ่งเป็นรองผู้การ สั่งทหารเรือให้เตรียมอาวุธพร้อมยิงกับโจรสลัด
เช้าวันนี้ ชูนามแต่งตัวหล่อเตรียมจะออกไปข้างนอก ร้อยกรองนั่งกรีดและเรียงไพ่เล่นอยู่ ในห้องโถงรีบวิ่งมายืนดักหน้าลูกชาย
“จะออกไปไหนอีก เมื่อไหร่จะออกไปหางานหาการทำเป็นหลักเป็นแหล่งสักที แม่หมดเงินส่งชูนามเรียนเมืองนอกจนที่ทางที่ป๋าให้ไว้หมดเกลี้ยงแล้วนะ ไม่มีเงินเหลือให้ลูกล้างผลาญอีกแล้ว
ช่วยกันทำมาหากินบ้างเถอะลูก”
“หนูก็กำลังทำอยู่นี่ไงจ๊ะแม่”
ชูนามยิ้มประจบ จูบแก้มร้อยกรองแล้วฉวยโอกาสจังหวะที่กอดแม่นั้น ปลดตะขอสร้อยคอแม่โดยไว ใส่มือแล้วรีบวิ่งออกไป
ร้อยกรองโวยวาย “ชูนาม เอาสร้อยของแม่มานะ แม่เหลือเส้นนั้นเส้นสุดท้ายแล้วนะ”
ชูนามขึ้นรถที่จอดหน้าบ้านพร้อมตะโกนตอบ
“หนูของยืมก่อน รับรองว่าเดี๋ยวหนูเอาคืนแม่ 10 บาทเลย”
ร้อยกรองตะโกนถาม “ลูกจะไปเอาทองหลายบาทนั่นจากที่ไหน”
ชูนามไม่ตอบ ขับรถออกไป
ร้อยกรองมองตามชูนาม แล้วคิดบางอย่างได้
“หรือว่า...”
ชูนามขับรถมุ่งหน้าสู่หัวหินดินแดนโรแมนซ์ โดยมีปานรุ้งนั่งเอาหัวพิงไหล่ชูนามอย่างมีความสุขมาตลอดทาง
รถคันงามของชูนามจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านพัก ปานรุ้งในชุดว่ายน้ำนำสมัย วิ่งขึ้นมาจากทะเลหนีชูนามที่ใส่กางเกงว่ายน้ำวิ่งไล่กอดรัดปานรุ้งพัลวัน ปานรุ้งวิ่งหนีเข้าบ้านพัก ชูนามวิ่งตาม สองคนวิ่งผ่านกระเป๋าสัมภาระที่วางไว้บนเสื่อปิกนิก เมื่อมองชัดๆ พบว่ามีแหวนหมั้นวงงามถูกถอดทิ้งวางไว้ในนั้นด้วย
ฟ้าค่ำลงๆ ความมืดโรยตัวครอบคลุมเรือรบหลวงทั้งลำ การสกัดจับโจรสลัดประสบความสำเร็จ
ทหารเรือลำเลียงกลุ่มโจรสลัดที่ถูกจับตัวมัดมือมาจากเรือโจรสลัด พากลับเข้า ฝั่งดำเนินคดี
วาสุเทพควบคุมดูแลตรวจตรานับจำนวนคน
โจรสลัด 1 หน้าตาเหี้ยมเกรียม มันมองหน้าเพื่อนโจรด้วยกัน เหมือนมีแผนบางอย่าง
วาสุเทพเห็นความผิดปกติ จึงเดินเข้าไปใกล้โจรสลัด 1
ทันใดนั้นเอง โจรสลัด 1 ชักมีดที่ซ่อนในเสื้อออกมาแทงวาสุเทพ หมายจะหาทางกระโดดน้ำหนี วาสุเทพกระโดดหลบฉิวเฉียด แต่ยังโดนคมมีดปาดโดนแขน เรือโทหนุ่มเตะมือโจรสลัด 1 ปัดมีดให้หลุดมือ แล้วเข้าล็อคตัวมันกดให้หมอบลงกับพื้น ทหารเรือคนอื่นมาช่วยล็อคตัวโจรสลัด 1 ไว้
วาสุเทพถอนตัวออกมา มองแผลฉกรรจ์บนแขนตัวเองที่มีเลือดไหลซึมออกมาอย่างน่ากลัว
มองจากที่พื้นห้องพัก เห็นชุดว่ายน้ำของปานรุ้งถอดวางระเกะระกะอยู่ตรงพื้น บ่งบอกความรีบร้อนในการถอด เช่นเดียวกับกางเกงว่ายน้ำของชูนามที่ทิ้งอยู่ข้างขาเตียง เมื่อมองไล่สายตาจากเสาเตียงขึ้นไปที่ปลายเตียง เห็นเท้าของปานรุ้งที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา ขยับกอดก่ายขาของชูนามอยู่
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สองคนพากันขึ้นสวรรค์ หลังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไปเรียบร้อยแล้ว
ที่มุมมืดดงต้นไม้แถวๆ หน้าบ้านพัก แลเห็นแสงแฟลชกล้องถ่ายกระพริบวาบขึ้นมาจากแถวนั้น
อา...ปานรุ้งกับชูนามถูกใครสักคนแอบถ่ายรูป!
วันถัดมา คมขวัญยืนกำปึกรูปถ่ายราว 20 ใบ ในมือแน่นด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง ไม่อยากเชื่อ ผิดหวัง และเจ็บปวดที่ลูกสาวทำตัวอย่างนี้ คมขวัญวางรูปลงบนโต๊ะ แล้วรู้สึกหมดแรงจนล้มลงไปนั่งที่เก้าอี้ ปริญญารีบเข้าไปพยุงผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วง
“คุณนาย คุณนายเป็นยังไงบ้างครับ”
ปริญญาหันไปมองนักข่าวเจ้าของผลงานตาแข็งกร้าว แล้วพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อนักข่าวคนนั้นอย่างเอาเรื่อง
“นี่แกคิดจะเอารูปพวกนี้มาแบล็คเมล์คุณปานรุ้งเหรอ”
นักข่าวรีบปฏิเสธ “เปล่านะครับคุณปริญญา คุณก็รู้ว่านักข่าวอย่างผมมี จรรยาบรรณพอ ไม่เคยคิดจะแบล็คเมล์ใคร
ปริญญาเยาะหยัน “น้อยไปสิ ไม่ใช่เพราะแกชอบใช้วิธีต่ำๆ อย่างนี้เหรอ ถึงถูก
บก.หนังสือพิมพ์ไล่ออก จนกลายเป็นนักข่าวเร่ร่อนอย่างนี้น่ะ” ปริญญาโมโห ผลักอกนักข่าว “ออกไปเลยนะ ก่อนที่ฉันจะเรียกคนมาโยนแกออกไป”
“ถึงผมจะเป็นนักข่าวเร่ร่อน แต่ผมก็ยังมีจรรยาบรรณ ไม่อย่างนั้นผมไม่เอารูปมาให้คุณคมขวัญหรอก คงส่งไปหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ถ้าจรรยาบรรณมันกินไม่ได้ งั้นผมก็จะไม่สน”
นักข่าวเจ้าเล่ห์เอื้อมมือไปจะหยิบปึกรูปจากโต๊ะ คมขวัญยื่มมือไปตะปบรูปไว้ แล้วมองหน้านักข่าวอย่างจริงจัง
“ต้องการเท่าไร”
นักข่าวยิ้มกระหยิ่มสมใจ
สักครู่หนึ่งนักข่าวเดินถือซองใส่เงินสดออกจากบริษัทสมุทรเทวาเดินเรือ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ขึ้นรถแล้วขับออกไปท่ามกลางคนงานที่กำลังขนของขึ้นเรือ และพนักงานบริษัทคอยตรวจเช็คดูแล
ปริญญาเดินนำคมขวัญออกมามองตามอย่างไม่วางใจ
คมขวัญเครียดจัด “ฉันมองลูกผิดไป ฉันจะไม่ยอมเสี่ยงที่จะผิดพลาดอีก” พลางหันไปทางเลขาและกุนซือคู่ใจ “ปริญญา เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”
“ทราบครับคุณนาย และผมก็สั่งเด็กให้จัดการเช็คแล้วว่านักข่าวนั่น มันมีรูปชุดเดียวจริงรึเปล่า”
ปริญญามองตามรถนักข่าวด้วยสายตามีแผนบางอย่าง
บนถนนสายเปลี่ยวสายหนึ่ง นักข่าวขับรถมาตามทาง พร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี
แต่แล้ว จู่ๆ มีคนสวมหมวกไหมพรมไอ้โม่งขี่มอเตอร์ไซค์ 3 คัน รถทุกคันมีคนขี่และคนซ้อนท้าย แล่นมาปาดหน้า แล้วจอดรถขวางกลางถนน นักข่าวต้องเหยียบเบรครถหัวทิ่มหัวตำ
“อะไรกันวะ”
ชายฉกรรจ์ 6 คน ซึ่งที่จริงคือ คนงานของสมุทรเทวาเดินเรือ ลงจากรถพุ่งไปเปิดประตูรถของนักข่าวที่ร้องเอะอะโวยวาย
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ ปล่อยนะเว้ย...ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
คนงาน 1 และ คนงาน 2 กระชากตัวนักข่าวออกจากรถ คนงาน 2 ชกท้องนักข่าวเพื่อให้หยุดโวยวายแล้วให้คนงาน 3 และ คนงาน 4 คนงาน 5 คนงาน 6 ค้นในรถของนักข่าว
คนงาน 3 ค้นเอาซองใส่เงินที่นักข่าวได้จากคมขวัญ
นักข่าวโผเข้าไปหาคนงาน3 “เอาเงินฉันคืนมา”!
คนงาน 1 และคนงาน 2 ล็อกตัวนักข่าวไว้
“อยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้น” คนงาน 1 หยิบมีดพกออกมาขู่ “แกตาย” พลางหันไป ตะโกนบอก คนงาน 4 คนงาน 5 คนงาน 6 “โกยเงินกับของมีค่าไปให้หมด เร็ว”
คนงาน 4 หยิบกล้องถ่ายรูปและกล่องใส่ฟิล์ม
นักข่าวโวยวาย “เฮ้ย อย่ายุ่งกับกล้องฉันนะเว้ย” ทำท่าจะเข้าไปแย่งกล้องคืน
คนงาน 1 และคนงาน 2 จับตัวนักข่าวไว้ พวกที่เหลือรุมต่อยและกระทืบ จนนักข่าวล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นคนงานทั้ง 6 คน หอบเงิน กล้องและกล่องใส่ฟิล์มขึ้นมอเตอร์ไซค์ แล้วขี่ออกไป
นักข่าวค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งด้วยสภาพสะบักสะบอม มองไปทางกลุ่มคนงานที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป แล้วยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“หึ! ทำเป็นโจรปล้นของ ที่แท้ก็ต้องการกล้องกับฟิล์ม คิดว่าผมรู้ไม่ทันเหรอคุณคมขวัญ แต่ขอโทษนะ คุณฉลาดช้ากว่าผม”
นักข่าวล้วงซองเงินอีกซองที่รับมาจากมิสเตอร์เจสัน และซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็ตเก็ตออกมามอง แล้วมองไปทางกลุ่มคนงาน ยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์เพทุบาย
มิสเตอร์เจสันกำลังนั่งดูรูปของปานรุ้งกับชูนามที่คลอเคลียเริงสวาทกันอยู่ที่หัวหิน ขณะนพพรกับศุภกิจเดินเข้ามาในห้องทำงาน ที่บริษัทJS
“ผมเอารูปที่ไอ้นักข่าวนั่นขายให้เรา ส่งสำนักพิมพ์แล้วครับ” นพพรบอก
ศุภกิจพูดต่ออย่างสะใจ “อยากเห็นหน้าคุณคมขวัญตอนรู้ข่าวลูกสาวจริงๆ”
นพพรพูดอย่างสนุกปาก “หน้าตอนนั้นยังไม่สะใจเท่าตอนที่โดนว่าที่ลูกเขยถอนหมั้น”
ศุภกิจหัวเราะร่า “ทีนี้ ก็ถึงคราวสมุทรเทวาล่มจม ไม่มีใครช่วยพยุงได้”
“ใครบอกไม่มี” นพพรว่า พลางยิ้มมองไปทางมิสเตอร์เจสัน “ก็บอสนี่ไง ที่รออยู่”
มิสเตอร์เจสันยิ้มพอใจ พร้อมกับดูรูปของปานรุ้งกับชูนามต่อ เขาละสายตาจากปานรุ้ง ไปจ้องเขม็งที่ใบหน้าชูนามในรูป
คล้ายกับว่ามิสเตอร์เจสัน กำลังสนใจชูนาม และคิดแผนบางอย่างอยู่
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เย็นมากแล้ว ขณะแจ่มกำลังคุมสาวใช้ 2 คน ให้ช่วยกันทำความสะอาด เช็ดถูก เก้าอี้ชุดรับแขก ตู้โชว์ และราวบันไดเวียนอยู่
ปิ่นกับเกื้อถือแจกันที่เพิ่งจัดเสร็จเดินเข้ามา จะขึ้นบันไดไปวางที่ชั้นบน
ประสาไม้เบื่อไม้เมา พอแจ่มเหลือบไปเห็นปิ่น ก็แกล้งยืนหันหลังสั่งเด็กรับใช้ โดยจงใจยืนขวางทางปิ่นไม่ให้ขึ้นได้
“นังเงาะ เอ็งจัดของให้มันเป็นหมวดหมู่ด้วย คุณหนูไม่ชอบให้อะไร ปะปนมั่วไปหมด ! ต้องแยกใหม่ส่วนใหม่” แจ่มพูดกระทบปิ่น “เก่าส่วนเก่า”
ปิ่นมองแจ่มอย่างระอา รู้ว่าแจ่มจงใจยืนขวางทางกวนประสาท จึงขยับตัวหลบแจ่มเอง เพื่อจะเดินขึ้นบันไดอีกข้าง แต่แจ่มยังขยับตัวขวางปิ่นไม่ลดละ พร้อมกับพูดสั่งเด็ก
“ใต้พงใต้พื้นเช็ดให้มันสะอาด อะไรที่มันขวางทาง ก็เขี่ยๆ มันไป”
ปิ่นชักเหลืออด จึงยกเท้าขึ้นถีบก้นแจ่มเต็มแรง จนแจ่มล้มหน้าทิ่มอย่างจัง !
แจ่มหันขวับมาโวย “ป้าถีบฉันทำไม”
“ฉันก็ทำตามที่แกบอกไง” ป่นทวนคำพูดของแจ่ม “อะไรที่มันขวางทางก็เขี่ยๆ มันไป เอ็งขวางทางข้า ข้าก็ใช้ตีนเขี่ยไป”
“อย่างนี้มันหาเรื่องกันนี่ป้า...”
แจ่มรีบลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันทำอะไร เพราะคมขวัญเดินเข้าบ้านมาด้วยความร้อนใจเรื่องปานรุ้ง ปริญญาเดินตามติดๆ
“โวยวายอะไรกัน”
ปิ่น เกื้อ แจ่ม และเด็กรับใช้ 2 คน รีบนั่งลงกับพื้นแทบไม่ทัน
“ไม่มีอะไรค่ะคุณนาย” แจ่มบอก
คมขวัญมองหาน้อย “แล้วนี่น้อยหายไปไหน” เมื่อไม่เจอจึงตะโกนเรียก “น้อย”
แจ่มรีบเสนอหน้า “คุณนายอยากได้อะไรคะ เดี๋ยวแจ่มไปเอาให้”
คมขวัญประชด “ฉันอยากได้ปานรุ้ง แกหาให้ฉันได้ไหม”
แจ่มจ๋อย “เอ่อ...แจ่มไม่รู้ค่ะว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ไหน”
คมขวัญด่า “ถ้าไม่รู้ ก็อยู่เฉยๆ”
ปิ่นขำแจ่ม ด่าพึมพำ “สาระแนนัก สมน้ำหน้า”
แจ่มมองปิ่นอย่างไม่พอใจ น้อยวิ่งเข้ามาหา
“คุณนายมีอะไรคะ”
คมขวัญถามเสียงเรียบ “ปานรุ้งไปไหน”
น้อยชะงักไปชั่วขณะ แล้วเหลือบมองเกื้อแว่บหนึ่ง “คุณรุ้งไปเที่ยวกับเพื่อนค่ะ”
คมขวัญเสียงดังขึ้น “เพื่อนคนไหน”
น้อยอึกอัก “เอ่อ...เพื่อน” พยายามคิดหาชื่อเพื่อนปานรุ้ง “เพื่อนที่ชื่อขวัญน่ะค่ะ”
“โทร.ไปหาเพื่อนคนนั้นเดี๋ยวนี้”
ถูกคุณนายจ้องเขม็งน้อยเลยอึกอักใหญ่ “เอ่อ...น้อยไม่รู้เบอร์โทรค่ะ”
คมขวัญหันไปทางเกื้อ “งั้นเธอก็พาฉันไปบ้านเพื่อนคนนั้น”
เกื้อมองคมขวัญอย่างเกรงกลัว “เอ่อ...ผม...ผม”
คมขวัญตวาด “หยุดรวมหัวกันโกหกฉันได้แล้ว เธอสองคนรู้ใช่ไหมว่ารุ้งไปกับผู้ชายที่ชื่อชูนาม”
เกื้อ กับ น้อยสะดุ้ง “เอ่อ”
คมขวัญแผดเสียงดังลั่นจนทุกคนผวากลัว “บอกฉันมา ตอนนี้รุ้งกับไอ้หมอนั่นอยู่ไหน”
น้อยกับเกื้อเหลือบสบตากันอย่างเครียด
ปิ่นกับแจ่มมองเกื้ออย่างสงสัยว่าใครคือชูนาม
ระหว่างนี้รถชูนามจอดอยู่ริมถนนข้างรั้วบ้านสมุทรเทวา ภายในรถชูนามกำลังคลอเคลียกอดหอมปานรุ้งอย่างเคลิบเคลิ้ม
ปานรุ้งดันตัวเขาออก “ค่ำแล้ว คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ”
แล้วลงรถไปชูนามลงตามมากอดคลอเคลียปานรุ้งไม่เลิก
“อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น”
“ผมยังไม่อยากให้คุณไปนี่นา แค่คิดว่าต้องห่างคุณไปทั้งคืน หัวใจผมก็หวั่นไหว กลัวว่าคุณจะคิดถึงคู่หมั้นจนลืมผม”
ปานรุ้งหัวเราะคิก ภูมิใจที่ทำให้ชูนามตกอยู่ในกำมือตัวเองได้ “พูดอย่างนี้ดูไม่สมกับเป็นชูนาม หนุ่มนักเรียนนอกที่แสนมั่นใจในตัวเองเลย”
ชูนามทำเป็นหน้าจ๋อยลง “ใช่ครับ ผมไม่มั่นใจ ผมไม่รู้ว่าผมจะเอาอะไรไปสู้กับ
คู่หมั้นคุณ เขาเป็นถึงนายทหารเรือ แต่ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดา ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์” หนุ่มกะล่อนปรายตามองอาการปานรุ้งแว่บหนึ่ง จึงพูดต่อ “เป็นแค่คนที่มีความฝันว่าอยากแต่งงานกับผู้หญิงที่รัก แล้วสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากมีลูกสองคน ผมจะพาคนโตขี่คอ แล้วจูงมือคนเล็กเดินเล่นพร้อมๆ กัน”
ปานรุ้งสัพยอก “แบกเด็กสองคนพร้อมกัน หนักนะคะ”
“ถึงหนักผมก็ยอม มันเป็นปมในใจผมน่ะครับ เพราะพ่อผมมีหลายเมีย เลยมีลูกมาก พ่อกอดแต่ลูกคนอื่น แต่ไม่เคยกอดผมเลย ผมจึงสัญญา กับตัวเองไว้ว่า ถ้ามีลูก..ผมจะทำให้ลูกรู้ว่าผมรักพวกเขาเท่ากัน”
ปานรุ้งมองชูนามอึ้งๆ ที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายมีปมชีวิตเหมือนเธอ และคำพูดของเขาเหมือนจะช่วยลบล้างปมด้อยในใจของปานรุ้งโดยไม่รู้ตัว จนเธอเป็นปลื้มเอี้ยวตัวไปกอดชูนามด้วยความซาบซึ้ง
“So cute คุณรู้ตัวไหมคะชูนาม ว่าคุณมีอะไรเซอร์ไพรส์รุ้งตลอดเวลา”
ชูนามกอดปานรุ้ง ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์พูดเสียงอ้อน
“เซอร์ไพร์สแบบที่คุณรู้สึกดีหรือไม่ดีล่ะครับ”
ปานรุ้งคลายกอดแล้วมองหน้าชูนามจริงจัง “ถ้าอยากรู้ พรุ่งนี้ก็มารับรุ้งไปเที่ยวอีกสิคะ แล้วรุ้งจะบอก”
จากนั้นปานรุ้งเดินไปไขประตูเล็ก เข้าบ้านไปทันที ชูนามมองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ พูดล้อเลียนคำพูดตัวเองเมื่อครู่
“แต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูก” สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะ “อย่างเดียวที่จะทำให้ผมทำอะไรเพ้อเจ้ออย่างนั้นได้ คือครอบครองทุกอย่างของคุณ ปานรุ้ง”
ชูนามมองคฤหาสน์สมุทรเทวาเบื้องหน้าอย่างมุ่งมาดวาดหวัง
เมื่อปานรุ้งเดินเข้ามาในโถง พบว่าปริญญายืนอยู่หน้าห้องสมุด ซึ่งเป็นทำงานของคมขวัญ ที่บ้าน เกื้อกับน้อยยืนรออยู่ พอเห็นปานรุ้ง สองคนรีบรุดเดินเข้ามาหา
“คุณหนูครับ...คุณนายรอคุณหนูอยู่ครับ”
ปานรุ้งมองเกื้อกับน้อยเห็นสองคนหน้าตาเครียดก็รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร
“ทำหน้าตากันอย่างนี้ แปลว่านายแม่ คงรู้เรื่องเพื่อนใหม่ของฉันแล้วสิ”
เกื้อกับน้อยมองหน้ากันโดยยังไม่ทันพูดอะไร เสียงคมขวัญดังมาจากห้องทำงาน
“ปานรุ้ง เข้ามาหาแม่เดี๋ยวนี้”
ปานรุ้งเหลียวมองไปทางห้องทำงานมารดา โดยไม่มีอาการหวั่นเกรงใดๆ เกื้อกับน้อยมองตามปานรุ้งด้วยสายตากังวล
ปานรุ้งเดินเข้าห้องมา มีสายตาคมขวัญที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ มองมา
“มีอะไรเหรอคะนายแม่”
คมขวัญเข้าเรื่องทันที “ชูนามคือใคร”
ปานรุ้งยิ้มยียวน พูดกวนประสาท “เรื่องแค่นี้เอง นายแม่ไม่เห็นต้องเรียกรุ้งมาถามเลย ผู้หญิงเก่งอย่างนายแม่ ใช้เลขาส่วนตัวสืบก็ประวัติเอาก็ได้”
“ปริญญาบอกประวัติผู้ชายคนนั้นให้แม่รู้แล้ว นอกจากนั้น” ผู้เป็นมารดาหยิบปึกรูปถ่ายมาวางตรงหน้าลูกสาว “ยังมีคนหวังดี เอารูปของ รุ้งกับผู้ชายคนนั้นมาให้แม่ดู”
ปานรุ้งมองรูปถ่ายนั้นแว่บเดียวโดยไม่ยี่หระ ก่อนจะมองมารดาแล้วพูดเสียงร่าเริงเหน็บแนมตามประสา
“นี่นอกจากรุ้งอยู่บ้านนี้ในฐานะลูกน้องที่ต้องฟังคำบัญชาของนายแม่แล้ว รุ้งยังเป็น นักโทษด้วยเหรอคะ นายแม่ถึงต้องส่งคนคอยติดตาม ว้าว รู้สึกตัวเองสำคัญจัง”
“ถ้ารุ้งเป็นนักโทษ แม่คงเชื่อในสิ่งที่แม่ได้ยิน สิ่งที่แม่เห็นไปแล้ว แต่นี่รุ้งคือลูกของแม่ แม่ถึงไม่เชื่อคำพูดคนอื่น แม่รอฟังทุกอย่างจากรุ้ง...เพราะแม่เชื่อว่าลูกของแม่จะไม่มีวันทำให้แม่เสียใจ” น้ำเสียงและท่าทีของประมุขสมุทรเทวาอ่อนลง
ปานรุ้งมองมารดานิ่ง ไม่ได้ซาบซึ้งกับคำพูดเหล่านั้น หนำซ้ำตอนนี้ เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนคมขวัญตบหัวแล้วใช้คำพูดดีๆ ลูบหลัง มันไม่ทำให้ความเจ็บในอดีตเลือนหาย แต่ยิ่งปะทุอยากเห็นแม่เจ็บเหมือนตัวเอง!
ปานรุ้งพูดยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำสักนิด “รุ้งไปทะเลกับชูนามจริงค่ะ เราไปกันสองต่อสอง แล้วมันก็ทำให้รู้ว่ารุ้งกำลังรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้”
คมขวัญมองปานรุ้งอึ้งๆ “แล้วคุณเทพล่ะ รุ้งหมั้นแล้วนะ”
ปานรุ้งยักไหล่ ไม่แคร์ “แล้วไงคะ แค่หมั้น ไม่ได้แต่งสักหน่อย ขนาดพี่เทพหมั้นกับยา ยังถอนหมั้นได้ แล้วทำไมรุ้งกับพี่เทพจะถอนหมั้นกันบ้างไม่ได้”
คมขวัญโกรธมากกว่าตกใจ “รุ้ง”
ปานรุ้งกวนประสาทด้วยการแกล้งหาว “รุ้งง่วงแล้วค่ะ มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้นะคะ Good night ค่ะ นายแม่”
ปานรุ้งเดินปร๋อออกไปทันที
“รุ้ง” คมขวัญโกรธจัดเดินตามปานรุ้งออกไป
เกื้อกับน้อยยืนอยู่แถวหน้าห้องสมุดด้วยความกังวลว่าปานรุ้งจะคุยอะไรกับคมขวัญ ปานรุ้งเดินออกจากห้อง แล้วจะเดินไปขึ้นบันได คมขวัญเดินตามมาดึงแขนปานรุ้งไว้
“รุ้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่รุ้งจะเอามาใช้ประชดแม่ มันคือชีวิตของรุ้งทั้งชีวิต ฟังแม่! ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดี เลิกยุ่งกับเขาซะ”
ยิ่งเห็นคมขวัญห้าม ปานรุ้งยิ่งอยากทำ “แล้วถ้ารุ้งไม่ทำล่ะคะ”
ปานรุ้งดึงใช้อีกมือปลดแขนตัวเองออกจากมือคมขวัญ แล้วเดินหนีขึ้นบันไดหน้าตาเฉยไม่กลัวสักน้อย
คมขวัญโกรธจนตัวสั่นสะท้าน “รุ้ง”
น้อยกับเกื้อมองหน้ากัน เกื้อกระซิบ “รีบตามคุณหนูไปสิน้อย”
น้อยรีบเดินขึ้นบันไดตามปานรุ้งไป
เกื้อมองไปทางคมขวัญด้วยสีหน้ากังวลและเป็นห่วง
คมขวัญมองตามลูกสาว หวนคิดถึงคำพูดที่ปานรุ้งดูจะไม่แคร์วาสุเทพแล้ว คมขวัญคิดหนักว่าจะทำยังไงดี
“คุณนายครับ”
“ฉันรู้แล้วปริญญา ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทั้งสมุทรเทวาและชีวิตลูกสาวฉันจะพัง”
เกื้อลอบมองคมขวัญด้วยแววตาสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร
เช้าวันนี้เกื้อยกหม้อข้าวออกมานั่งที่โต๊ะหน้าห้องครัว ตั้งโต๊ะกินข้าว โดยมีเด็กรับใช้ 3 คนช่วยกันจัดวางจาน เทน้ำใส่แก้วเตรียมกินข้าวกัน
สักครู่หนึ่ง ปิ่นเดินถือจานปลาเค็มทอดออกมาจากในครัว
“ปลาเค็มทอดใหม่ๆ นี่ห๊อม...หอม เสียดาย ตากอบพาคุณนายไปไหนไม่รู้แต่เช้า ไม่งั้นป่านนี้คงแจ้นมาขดข้าวกินคนแรก”
เกื้อได้ยินคำพูดแม่ก็ชะงัก ด้วยกังวลมาทั้งคืนว่าคมขวัญจะจัดการเรื่องปานรุ้งกับชูนามยังไง
“นี่เกื้อ ตกลงคนที่ชื่อชูนามที่คุณนายถามเมื่อคืนนี้ คือใคร”
เกื้อไม่ทันตอบ เสียงแจ่มวี้ดว้ายแหกปากโวยวายด้วยความตื่นเต้นจากทางเดินหน้าตึกใหญ่ ในมือแจ่มถือหนังสือพิมพ์มาด้วย
“อ๊าย...คุณหนูของแจ่มดังขึ้นทุกวัน ดูสิ วันนี้ได้ลงข่าวอีกแล้ว”
เกื้อรีบเดินไปดึงหนังสือพิมพ์จากแจ่มมาเปิดดู “ไหน ข่าวอะไร”
พอดูหนังสือพิมพ์แล้วเกื้อต้องชะงัก เมื่อเห็นรูปปานรุ้งนอนอาบแดดริมชายหาด โดยมีชูนามกำลังนั่งหันหลังใช้มือทาครีมกันแดดให้
กิริยาท่าทีปานรุ้งกับเพื่อนชายในภาพ รวมทั้งคำบรรยายอันล่อแหลม ทำให้เกื้อนิ่งอึ้งตะลึงตะไลไปทันควัน
แจ่มชะเง้อมองรูปบนหน้าหนังสือพิมพ์ “แต่ฉันว่าผู้ชายที่นั่งข้างๆ คุณหนู ดูไม่น่าใช่คุณเทพนะ แกว่าไหมเกื้อ...หรือว่าเป็นคนที่ชูนามที่คุณนายถามเมื่อคืน”
เกื้อไม่ตอบ ปิ่นมองอาการลูกชาย แล้วเดินมาดึงหนังสือพิมพ์จากมือเขาไปดูรูปแล้วชะงัก
“มิน่า เมื่อคืนคุณนายถึงร้อนเป็นไฟ ลูกสาวไปทำงามหน้าอย่างนี้นี่เอง”
แจ่มออกตัวปกป้องปานรุ้ง “พูดให้มันดีๆ หน่อยนะป้า คุณหนูของฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ใช่! นุ่งน้อยห่มน้อยนอนให้ผู้ชายที่ไม่ใช่คู่หมั้นตัวเองแตะเนื้อต้องตัวอย่างนี้ คงไม่ได้ทำอะไรนิดหน่อย แต่คงทำมากแล้วล่ะ”
เกื้อปรามปิ่น “แม่”
“ฉันก็เป็นคนพูดตรงอย่างนี้แหละ โบราณถึงบอกมีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” ปิ่นโกรธปานรุ้งแทนคมขวัญ “แล้วที่คุณนายออกจากบ้านแต่เช้า คงรีบไปล้างไปเช็ดส้วมของลูกล่ะมั้ง”
เกื้อหน้าเครียดคิดหนักว่าคุณนายจะทำอย่างไร
คมขวัญพาตัวเองมาอยู่ในห้องรับแขกบ้านนทีพิทักษ์ ต่อหน้าพลเรือเอกภัทร และ คุณหญิงสุดใจ ปริญญา ยืนห่างออกมาทางประตูเรือน
นายพลภัทร กับ คุณหญิงสุดใจนั้นมองคมขวัญด้วยสายตาแปลกใจหลังฟังจุดประสงค์ในการมาเยือนแต่เช้าจบลง
“แต่งงาน” ท่านนายพลทวนคำ
“ค่ะ ฉันไปดูฤกษ์กับพระอาจารย์ที่นับถือ ท่านว่าฤกษ์ดีที่สุดของปีนี้คือ ต้นเดือนหน้า ฉันเลยมาบอกท่าน”
คุณหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเยาะเย้ย หยามหยันในทีด้วยเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์แล้ว
“แต่ดิฉันก็ไปถามพระอาจารย์ที่นับถือเหมือนกัน ท่านว่ามหาฤกษ์คือปลายปี เราน่าจะรอจัดงานช่วงนั้นนะคะ อย่างน้อยจะได้มีเวลาพิสูจน์อะไรต่ออะไรด้วย”
“ถ้าคุณหญิงหมายถึงพิสูจน์ข่าวเรื่องรุ้งกับเพื่อนผู้ชาย ไม่ต้องพิสูจน์หรอกค่ะ ที่ดิฉันมาวันนี้เพื่อจะเอาเกียรติมายืนยันว่ารุ้งไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ที่เขาออกไปไหนมาไหน เพราะเขากำลังร่วมธุรกิจกับเพื่อน”
น้ำเสียงคุณหญิงเหยียดหยันชัดแจ้ง “อ๋อ...ดิฉันเพิ่งรู้ ว่าเดี๋ยวนี้เขานุ่งน้อยห่มน้อยนอนคุยธุรกิจกัน”
นายพลภัทรปราม “คุณหญิง”
“คืออย่างที่ท่านและคุณหญิงทราบ รุ้งไปเรียนเมืองนอกเป็นสิบปี เขายังคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบสังคมฝรั่ง ถ้าเป็นเพื่อน เขาก็ไม่คิดถือตัว ไม่ถือตัว” คุณหญิงมองนายพลภัทรอ่างอ้อนวอน “ขอให้ท่านยุติธรรมกับรุ้งด้วย”
คุณหญิงสุดใจไม่ยอมแพ้ เหน็บสามีไปว่า “ยังไงคุณพี่ก็อย่าลืมให้ความยุติธรรมกับเกียรติยศของลูกชายเราด้วยนะคะ”
นายพลภัทรถอนใจ ลำบากใจไม่น้อย แต่ก็เห็นด้วยว่าสิ่งที่ปานรุ้งทำมันเกินไป
“ผมเข้าใจว่าหนูรุ้งหัวสมัยใหม่ แต่ยังไงที่นี่ก็เมืองไทย อีกอย่างหนูรุ้งก็หมั้นกับ
ลูกชายผมแล้ว ก็น่าจะคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากๆ”
“รุ้งเขาก็รู้สึกผิดค่ะ เมื่อคืนเขาปรับทุกข์กับดิฉันว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเพื่อนผู้ชายคนนี้ เขากลัวท่าน คุณหญิงและคุณเทพเข้าใจผิด เขาจึงอยากแต่งงานเพื่อให้เห็นว่ารุ้งรักและมีใจต่อคุณเทพคนเดียว”
“เรื่องแต่งงาน ถ้าเด็กรักกัน ยังไงก็ต้องแต่ง แต่จะแต่งช้า แต่งเร็ว เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีพร้อมๆ กับเจ้าตัวเขาดีกว่าครับ”
“นั่นสิคะ รอให้ตาเทพกลับมาพิจารณาอีกทีดีกว่า”
คุณหญิงสุดใจยิ้มสะใจ คมขวัญพยายามปั้นหน้านิ่ง ทั้งๆที่ในใจก็กังวลกลัวใจปานรุ้งเหมือนกัน
กอบยืนรออยู่ข้างรถหน้าตึกบ้านนทีพิทักษ์ คมขวัญเดินหน้าเครียดออกมา โดยมีปริญญาเดินตามหลัง กอบรีบเปิดประตูรอ
“ผมเจ็บใจไอ้นักข่าวนั่นจริงๆ มันทรยศเอารูปคุณรุ้งไปให้หนังสือพิมพ์จนได้”
“เอาเถอะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เราต้องหาทางแก้ไข อย่าให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้”
“คุณนายจะทำยังไงครับ”
“ถ้าไม่มีไฟ ก็จะไม่มีควันอีกต่อไป ฉันต้องทำให้ปานรุ้งหยุดยุ่งกับไอ้ผู้ชายคนนั้น อย่างน้อยตอนนี้คุณเทพยังไปราชการ เรายังพอมีเวลา”
คุณหญิงสุดใจตามออกมา แอบดูอยู่ตรงหลังประตู มองคมขวัญอยู่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์มีแผนบางอย่าง
เกื้อกำลังพรวนดินต้นไม้ต้นหญ้าในสนามหน้าตึกอยู่ ขณะปานรุ้งเดินออกจากตึกตรงมาหา มีน้อยเดินตามมาด้วยสีหน้าร้อนใจ
“เกื้อ เอารถออกเดี๋ยวนี้”
น้อยอ้อนวอน “คุณหนูอย่าออกไปเลยนะคะ น้อยขอร้อง”
ปานรุ้งอารมณ์เสียใส่น้อย “นี่มันชีวิตฉัน ชีวิตที่อยู่คนเดียว ดูแลตัวเอง ใช้ชีวิตเองตั้งแต่โดนนายแม่มีลูกอีกคน เพราะฉะนั้น ตอนนี้ฉันจะทำอะไร ใครก็ไม่สิทธิ์ห้ามฉัน”
ตอนท้ายปานรุ้งหันไปตวาดเกื้อที่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
“ฉันสั่งให้เอารถออก ไม่ได้ยินรึไง”
“เอ่อ รถไม่อยู่ครับ เอาไปซ่อม”
“ก็เอารถคันอื่นสิ บ้านมีรถตั้งหลายคัน”
“คันอื่นก็เอาออกไม่ได้ครับคุณหนู”
“นายแม่สั่งห้ามนายอีกคนใช่ไหม”
ปานรุ้งหงุดหงิดมาก คิดปราด
“ก็ได้ ไม่อยากให้ฉันไป ฉันก็ไม่ไป” ปานรุ้งทำเหมือนจะเดินเข้าบ้าน
น้อยกับเกื้อจะเดินตาม
ปานรุ้งหันมาตวาดทั้งคู่ “แล้วไม่ต้องมีใครมาเฝ้าฉันด้วย รำคาญ”
ปานรุ้งเดินกลับไปทางตึกใหญ่
น้อยกับเกื้อมองตาม แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งอกที่ปานรุ้งยอมหยุด
ปานรุ้งเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างเคืองขุ่น
“คิดว่าทำอย่างนี้ จะหยุดรุ้งได้เหรอคะนายแม่”
แทนที่ปานรุ้งจะเดินขึ้นบันได เจ้าหล่อนกลับเลี่ยงออกประตูด้านข้างบันไดอีกฝั่งออกไป
ทางด้านคุณหญิงสุดใจอยู่ในโถงบ้านกำลังโทรศัพท์คุยกับกติยา
“ตอนนี้หนูยาว่างไหมจ๊ะ ไปข้างนอกกับป้าหน่อยสิ ป้านัดกับคนสำคัญเอาไว้”
คุณหญิงสุดใจยิ้มร้ายอย่างมีแผน
กติยาอยู่ที่บ้านกำลังวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น หลังคุยสายกับคุณหญิงสุดใจจบลง แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นใหม่ โทร.หาชูนามที่บ้าน
“คุณชูนามเหรอ...วันนี้คุณจะพาปานรุ้งไปไหน...ฉันก็ถามเผื่อว่าจะพาใครไปเซอร์ไพรส์รุ้งน่ะสิ”
กติยาคิดถึงคนที่คุณหญิงสุดใจนัดไว้ แล้วยิ้มมีความสุข
ถึงเวลานัด แลเห็นเรือโทวาสุเทพเดินรีบร้อนเข้าในโถงของโรงพยาบาล พลางสอดตามองหามารดา จนเห็นคุณหญิงสุดใจนั่งอยู่กับกติยาที่มุมหนึ่ง โบกมือมาให้
“ตาเทพ ! แม่อยู่นี่”
วาสุเทพรีบเดินไปหาคุณหญิงสุดใจอย่างเป็นห่วง
“แม่ขอโทษนะตาเทพ ที่โทร.ให้ลูกกลับมาก่อนกำหนด”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณแม่ไม่สบาย เป็นยังไงบ้างครับ”
คุณหญิงหน้าเศร้าลงไปทันทีเหมือนมีเรื่องเครียดมาก “แม่ ...แม่ ..แม่ไม่อยากพูดเลย”
วาสุเทพมองคุณหญิงมารดาอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรครับคุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรมากเหรอครับ”
“ทางกายน่ะ แม่ไม่เจ็บหรอกลูก” คุณหญิงทำเป็นคับแค้น แถมทำท่าจะร้องไห้ “แต่แม่เจ็บที่ใจ หัวใจของผู้หญิงคนนั้นทำด้วยอะไร แย่งคนรักของเพื่อนไป แทนที่จะดูแลรักษา แต่เขาทำอย่างนี้กับลูกชายของแม่...แม่รับไม่ได้”
วาสุเทพฟังทะแม่งๆ มองมารดาที มองกติยาทีอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
คุณหญิงบอกกับกติยา “หนูยา เอาให้ตาเทพดูเถอะลูก ยังไง จะช้าจะเร็ว ตาเทพก็ต้องรู้อยู่ดี”
“ค่ะคุณป้า” กติยาหยิบหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวของปานรุ้งกับชูนามยื่นให้วาสุเทพ “นี่ค่ะพี่เทพ”
วาสุเทพรับหนังสือพิมพ์มาเปิดดู ชะงักไปในทันทีที่เห็นรูปคู่ปานรุ้งกับชูนาม
คุณหญิงสุดใจมองอาการลูกชายแล้วลอบยิ้มที่จะได้กำจัดปานรุ้งจากวาสุเทพสมใจ
กอบขับรถมาจอดหน้าตึกสำนักงานสมุทรเทวาเดินเรือ รีบลงจากรถมาเปิดประตูให้คุณนาย คมขวัญลงจากรถ โดยที่ปริญญาเปิดประตูลงจากด้านข้างคนขับ คมขวัญหน้าเครียดเรื่องปานรุ้ง กับชูนามจะเดินเข้าตัวบริษัท จู่ๆ ผู้ช่วยแฝดของมิสเตอร์เจสัน ก็เดินเข้ามาหาคมขวัญ
“สวัสดีครับคุณนาย”
คมขวัญ ปริญญาและกอบหันมามองสองหนุ่มอย่างแปลกใจ
คมขวัญบอกกับปริญญาว่า “วันนี้ฉันไม่อยากพบแขกที่ไม่ได้นัด” แล้วขยับตัวเดินไป
ศุภกิจรีบพูด “บอสได้ข่าวลูกสาวคุณนาย เลยคิดว่าทางเลือกที่คุณนายเคยมั่นใจ อาจจะไม่มั่นคง”
นพพรพูดต่อ “บอสเลยมีอีกทางเลือก มาเสนอคุณนายครับ”
คมขวัญมองนพพรกับศุภกิจว่าจะมาไม้ไหน !
ปานรุ้งหาทางหนีออกจากบ้าน และมายืนเชียร์ม้าที่กำลังวิ่งแข่งในสนามเย้วๆ อย่างสนุกสนาน มีชูนามยืนเบียดอยู่ข้างๆ
วาสุเทพเดินตามหาปานรุ้งอยู่อีกมุมหนึ่งของที่นั่งข้างสนามแข่ง มีกติยาตามมาด้วย
คมขวัญนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ในสำนักงาน ปริญญายืนอยู่ข้างๆ มองนพพรกับศุภกิจที่นั่งอยู่ตรงข้ามคมขวัญพร้อมกับทวนคำของผู้ช่วยแฝด
“ขายหุ้น“
“ใครๆ ก็รู้ว่าตระกูลนทีพิทักษ์รักเกียรติและศักดิ์ศรีขนาดไหน ลูกสาวคุณนายมีข่าวคาวแบบนี้ โอกาสดองกับตระกูลนั้นอาจจะยาก” นพพรพูดนำ
ศุภกิจเสริม “นั่นแปลว่าที่ความหวังคุณนายเคยหมายหมั้นจะใช้ว่าที่ลูกเขยช่วยเรื่อง เงินกู้มาพยุงสมุทรเทวา อาจจะดับวูบ”
“บอสผมนับถือในความเก่งของคุณนาย และชื่นชมศักยภาพพนักงานของสมุทรเทวา บอสจึงอยากช่วยให้สมุทรเทวาหยัดยืนต่อไป”
“คุณนายจะเสนอราคาหุ้นเท่าไรก็ได้ บอสพร้อมจะจ่ายเงินให้”
“และที่สำคัญ แม้บอสจะเข้ามาถือหุ้นบริษัทสมุทรเทวา แต่บอสก็จะปล่อยให้คุณนายยังบริหารบริษัทเหมือนเดิม”
“เห็นไหมครับว่าบอสของเราให้ข้อเสนอเพื่อเอื้อต่อการช่วยคุณนาย”
ศุภกิจสรุปปิดท้ายว่า “แล้วคุณนายจะว่ายังไงครับ”
ขณะที่ปานรุ้งยืนเชียร์ม้าที่กำลังวิ่งแข่งในสนามเย้วๆ อย่างสนุกสนาน ชูนามกอดเอวปานรุ้ง วาสุเทพเดินชะเง้อมองหาปานรุ้ง โดยมีกติยาเดินตามหลังมา
วาสุเทพกำลังเดินฝ่าฝูงชนใกล้ที่ปานรุ้งกับชูนามยืนอยู่ด้วยกันทุกที
ทางฝ่ายคมขวัญนั่งนิ่งที่โซฟาตัวใหญ่ ปริญญายืนอยู่ข้างๆ มองนพพรกับศุภกิจที่นั่งอยู่ ตรงข้ามคมขวัญ
“ฉันยอมรับว่าลูกค้าของสมุทรเทวาไม่มั่งคั่งเหมือนเมื่อก่อน สมุทรเทวาเจอปัญหาการเงินแทบหาทางแก้ไม่เจอ แต่ไม่ว่ายังไง สมุทรเทวา ก่อตั้งโดยคนในตระกูลสมุทรเทวา และต้องสืบทอดโดยทายาทของ สมุทรเทวาเท่านั้น ฉันไม่มีวันยอมให้คนอื่นเข้ามาครอบครอง โดยเฉพาะคนต่างชาติที่คิดว่าตัวเองใหญ่โตเป็นมหาอำนาจ เที่ยวเบ่งใส่คนอื่นไปทั่ว”
ศุภกิจงุนงง “คุณนายพูดอย่างนี้ หมายความว่า...”
“ถ้าจะมีคนนอกเข้ามาเป็นเจ้าของสมุทรเทวาจริง ฉันก็ขอยกให้ลูกเขยซะดีกว่า”
ปานรุ้ง กับ ชูนาม ยืนเชียร์ม้าในสนามแข่งอย่างสนุกสนาน
วาสุเทพกับกติยาเดินฝ่าฝูงชนเข้าใกล้จุดที่สองคนอยู่เข้ามาทุกที
ม้าเบอร์ 3 และเบอร์ 8 กำลังจะเข้าเส้นชัย ปานรุ้ง และ ชูนาม ลุ้นตัวโก่ง
วาสุเทพกับกติยาแหวกกลุ่มคนเข้ามา จนเห็นปานรุ้งกับชูนาม พร้อมกับที่ม้าเบอร์ 3 ที่ปานรุ้งเชียร์วิ่งเข้าเส้นชัยพอดี ปานรุ้งลิงโลดกระโดดกอดชูนามอย่างสนิทสนมชิดเชื้อ
วาสุเทพมองสองคนกอดกันราวกับเป็นคนรัก ถึงกับอึ้งตะลึงตะไลไปเลย
ฝ่ายคมขวัญปิดจ๊อบกับสองผู้ช่วยแฝดอย่างมั่นใจว่า
“ฝากบอกบอสของคุณด้วยว่า เดือนหน้า ลูกสาวฉันจะแต่งงานกับ เรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ ซึ่งบอสของคุณก็รู้ดีว่าพ่อของคุณวาสุเทพ เป็นใคร แม่ของคุณวาสุเทพมีญาติเกี่ยวพันกับธนาคารขนาดไหน ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ถ้าฉันจะขายหุ้นให้ตระกูลนทีพิทักษ์ จะได้เป็นธุรกิจในครอบครัว”
นพพรย้อนแย้ง “แต่เราได้ข่าวว่าลูกสาวคุณนายควงผู้ชายคนอื่นอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ผู้ชายคนนั้น ลูกสาวฉันไม่แลหรอก”
คมขวัญคิดผิดมหันต์ ด้วยจังหวะนี้ชูนามจูบแก้มปานรุ้งแสดงความยินดีโดยไม่แคร์ใคร
วาสุเทพเห็นคาตา ทนต่อไปอีกไม่ได้ เรือโทหนุ่มปรี่เข้าไปกระชากแขนชูนามออกจากตัวปานรุ้ง
“ไอ้ชั่ว”
ขาดคำ วาสุเทพชกเข้าหน้าชูนามเต็มๆ จนล้มคว่ำไปกองกับพื้น ชูนามตั้งสติได้ไว เตะตัดขาเต็มแรง วาสุเทพเสียหลักล้มลง
วาสุเทพถีบเสยหน้า แต่ชูนามหลบทัน แล้วกระโดดเข้าต่อยหน้าคืน วาสุเทพต่อยสวนกลับ แล้วถีบท้องร่างชูนามกระเด็น วาสุเทพลุกขึ้นจะไปกระทืบชูนามซ้ำ
ปานรุ้งที่ตื่นตกใจอยู่ตั้งแต่เกิดเรื่องตวาดขึ้นสุดเสียง “หยุดนะพี่เทพ รุ้งบอกให้หยุด”
วาสุเทพชะงัก ยืนหอบเหนื่อย ค่อยๆ หันไปมองปานรุ้งช้าๆ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ เรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ แล้วนี่คือรางวัลของผู้ชนะค่ะ”
ปานรุ้งถอดแหวนหมั้นปาใส่หน้าวาสุเทพ เล่นเอาวาสุเทพอึ้ง ตะลึงตะไลอีกหน
“รุ้ง”
“รุ้งไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรง รุ้งไม่อยากโดนซ้อมทีหลัง”
“รุ้งฟังพี่ก่อน”
“เราจบกันค่ะ”
ปานรุ้งบอก แล้วเดินเข้าไปประคองชูนามให้ลุกขึ้น
“ไปค่ะ รุ้งพาคุณไปโรงพยาบาล” ปานรุ้งประคองชูนามเดินออกไป
ชูนามเหลียวมองสบตากับกติยาด้วยสายตายิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างรู้กัน
วาสุเทพมองตามปานรุ้งอึ้งๆ กติยาเดินเข้าไปยืนเคียงข้าง ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“พี่เทพเป็นอะไรมากไหมคะ”
วาสุเทพยังคงจดสายตามองตามปานรุ้งด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดจะประมาณ
มีใครคนหนึ่งใช้กล้องกดชัตเตอร์ถ่ายรูปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ โดยที่วาสุเทพไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 5