ปริศนา ตอนที่ 3
ห้องโถงในตำหนักหลังหนึ่งของวังศิลาขาว ที่ใช้จัดงานเต้นรำค่ำคืนนี้ ใหญ่โตโอ่อ่าพอสมควร มีแขกเหรื่อหลายคนเต้นรำกันตามจังหวะเพลงที่วงดนตรีกำลังบรรเลงอยู่
มุมหนึ่งของห้องมีเปียโนตั้งเด่นอยู่แต่ไม่มีคนเล่น รอบๆ ห้องโถง ตั้งวางเก้าอี้สำหรับให้แขกพักเหนื่อย มีมหาดเล็กคอยเสิร์ฟอาหารและดูแลเครื่องดื่มตามโต๊ะ ซึ่งทุกคนใส่เสื้อราชปะแตน และนุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเรียบร้อย
ในบรรดาแขกที่เต้นรำกันอยู่ มี สิรี เต้นรำอยู่กับนายเสมอเพื่อนของประวิช เสมอเคยจีบรตี พอจีบไม่ติดภายหลังจึงหันมาจีบสิรี เขาเป็นพวกอยากยกระดับตัวเองเป็นไฮโซ
อุบล เต้นรำกับสมศักดิ์ ส่วนปริศนาเต้นกับประวิช ฝ่ายรตีกำลังเต้นกับสันต์ มีเพียงอนงค์ ที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ท่านชายพจน์เดินเข้ามาหาอนงค์
“เต้นรำกันไหม อนงค์”
อนงค์ส่ายหน้า “สัญญากับคุณประวิชไว้ว่า จะเต้นรำเพลงแรก กับคุณประวิชเพคะ”
ท่านชายพจน์มองไปในฟลอร์
“สองสามเพลงแล้ว เห็นเต้นกับปริศนา ไม่หยุดทีเดียว”
“ท่านไม่ทรงเต้นกับปริศนา บ้างหรือเพคะ ปริศนาเต้นรำเก่งมาก”
ท่านชายเงยพักตร์ มองไปทางฟลอร์อีกที เห็นปริศนาเต้นรำอย่างสนุกสนานกับประวิช
ท่านชายนิ่ง ไม่แสดงออก แต่มองตามปริศนาไปอีกสักพักก่อนจะถอนสายตา หันมามองอนงค์
“เต้นรำเก่งจริงๆ ดูเหมือนจะเก่งหลายอย่างทีเดียว ทั้งเทนนิสและเต้นรำ”
“คุณอาสอนและให้ปริศนาทำทุกอย่าง เหมือนฝรั่งเพคะ”
ท่านชายเงยพักตร์ ขึ้นมองดูปริศนาอีกครั้ง จังหวะนั้นปริศนาและประวิชเต้นรำจบเพลงพอดี
ท่านชายลุกขึ้น ประวิชหันมามองทางโต๊ะ แล้วพยักหน้าให้ปริศนาเดินไปที่โต๊ะ ขณะที่คนอื่นๆ ที่ยังอยู่ที่ฟลอร์ปรบมือ อังกอร์ ไปทางวง
วงเลยบรรเลงเพลง you’re my love ใหม่อีกครั้ง
ประวิชยิ้มร่า “ปริศนา เต้นซ้ำ อีกรอบเถอะ”
ท่านชายพจน์ก้าวเข้ามาใกล้ โค้งให้ปริศนา และส่งแขนให้ ปริศนามองท่านชาย แล้ว ยกมือแตะแขนท่านชายอย่างรับเชิญ
ท่านชายพจน์บอกประวิชว่า “ดูเหมือนอนงค์จะรอเต้นรำกับนายอยู่นะ”
ประวิชมองไปที่อนงค์ เห็นอนงค์ลุกขึ้นยืนเหมือนรอคอย
ประวิชจึงต้องเดินไปส่งแขนให้อนงค์ อนงค์ดูมีความสุขมากๆ ประวิชพาอนงค์ออกไปเต้นรำ
คู่ของท่านชาย ทั้งสองคนเต้นรำกันอย่างแคล่วคล่องสมกันมาก ท่านชายพจน์เอ่ยขึ้นว่า
“you are my love เพราะดีนะ”
ปริศนานึกจะตอบมองหน้าท่านชาย ทั้งสองสบตากัน ปริศนารู้สึกว่าคำตอบหายไปแล้ว จึงยิ้ม ไม่ตอบ
ท่านชายฉงนที่ปริศนาไม่ตอบ และก็เลยไม่ถามอะไรต่อ
ทุกคนที่มองมา จะเห็นเป็นภาพงามงด ของสองคนเต้นกันรำอย่างสมกันอย่างยิ่ง คนอื่นๆเริ่มหันมามองดู สิรี หยุดเต้น หันมามองดู ท่านชายและปริศนา
“ท่านชาย ทรงเต้นรำเก่งจริงๆ”
เสมอพลอยหยุดไปด้วย
“คนที่เรียนจากเมืองนอก จะได้เรียนกิจกรรมหลายๆ อย่าง กีฬา สังคม ครบถ้วน ท่านชายเสด็จไปตั้งแต่ยังเล็ก ยังตรัสภาษาไทยได้ชัด นี่ก็เยี่ยมมากแล้ว ไม่ได้กลายเป็นฝรั่งไปทั้งองค์”
สิรียิ้มกับเสมออย่างคนที่ถูกคอ
“หาอะไรดื่มกันสักนิดไหมคะ สามเพลงแล้ว ออกเหนื่อย”
“วันนี้ผมจองเต้นกับคุณสิรี อีกหลายๆเพลงนะครับ แต่เพลงต่อไปคงต้องขอรตีเต้น”
สิรีค้อนเสมอเมื่อได้ยินชื่อรตี
“ไม่ขอเต้น คุณรตีคงโกรธ” เสมอออกตัว
สิรีอยากดักคอ เรื่องว่าใช่สิ ถ้ารตีไม่เด่นที่สุด รตีคงไม่ชอบใจ หมดอารมณ์อยากเต้น
“งั้นเราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่าไหมคะ”
“ดีครับ”
เสมอ และสิรีเดินไปที่บาร์น้ำ
รตีที่เต้นอยู่กับสันต์ เต้นไปก็มองคู่ท่านชายไป รตีเริ่มอารมณ์เสีย เพราะเห็นท่านชาย เต้นคู่กับปริศนาอย่างเหมาะเจาะ
สันต์ออกปากชม “ท่านชายนี่สง่างามมากทีเดียว ผมไม่เคยเห็นท่านเต้นรำมาก่อน มิน่า สาวๆในสังคมคลั่งไคล้ท่านมาก”
รตีเชิดหน้าหยิ่งเข้าไปอีก
“ท่านชายทรงเป็นสุภาพบุรุษค่ะ ผู้หญิง ร้อยทั้งร้อยอยากเข้าใกล้สุภาพบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุภาพบุรุษที่เพียบพร้อม ทั้งชาติตระกูล ฐานะ และกริยาอย่างท่านชาย”
“แต่ท่านชายจะทรงอยากใกล้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ สังคมคงต้องจับตามองไม่กระพริบทีเดียว”
รตีทำยิ้มอมภูมิ
“เพลงต่อไป ท่านจองเต้นกับดิฉันไว้ค่ะ”
รตีเต้นไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจท่านชาย
ท่านชายก็เต้นรำกับปริศนา ซึ่งปริศนาก็ไม่พูดอะไรกับท่านชายสักคำ ท่านชายก็ไม่พูดกับปริศนาเช่นกัน
วังศิลาขาวยามกลางคืนดูร่มรื่นอากาศเย็นสบาย ปริศนากับอนงค์ ออกมาเดินสูดอากาศภายนอกด้วยกัน
“สนุกไหมอนงค์ งานเต้นรำ”
“ยังดีที่พอเต้นได้บ้าง นี่ถ้าไม่ได้ปริศนาสอนมาก่อนคงแย่”
“อนงค์ เต้นรำกับคนอื่นนอกจากประวิชมั่งซี”
“ไม่กล้า เต้นกับคนอื่น กลัวเต้นผิด”
“ไม่เป็นไรหรอก ผิดบ้างถูกบ้าง ประเดี๋ยวก็เก่งไปเองแต่ละคน ไม่เหมือนกันหรอก พูดจา ก็ต่างๆ กันมาสังคมทั้งที เราก็ต้องรู้จักคนให้มากขึ้น”
อนงค์ส่ายหน้า “พี่คงไม่ได้มาเที่ยวอย่างนี้บ่อยๆ หรอก ท่านชายชวนเรามา เป็นพระเมตตา ก็คงประวิชนั่นแหละ ไปขอท่าน”
ปริศนานึกขึ้นมาแล้วหัวเราะขัน “ขำตาประวิชนะ เหมือนยังไม่โต งานการก็มีทำแล้ว แต่กระทำตัวเหมือนเป็นลูกท่านชาย”
“ก็เขาเป็นญาติกัน ท่านชายออกรวย”
“ปริศนาคิดไม่เหมือนอย่างนั้นหรอกนะ แม้ว่า ท่านชายเอง จะทรงคิดแบบนั้นเหมือนกัน ปริศนาว่าประวิชควรจะแสดงให้เห็นว่า ยืนอยู่บนขาตัวเองได้ จะน่านับถือมากกว่า มาเถอะอนงค์ กลับไปห้องเต้นรำกัน ดูสิรีสิ เต้นไม่หยุดเลยสักเพลง”
“สิรี คงชอบงานวันนี้มาก วังศิลาขาวทั้งสวยและบรรยากาศดีแถมการเต้นรำก็สนุก”
ปริศนาพาอนงค์กลับเข้าไปในห้องเต้นรำอีกครั้ง
ในนั้นทุกคนเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน สิรีไปเต้นกับสันต์ รตีเต้นกับเสมอ ส่วนประวิช และท่านชาย ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ประวิชยืนขึ้นเมื่อเห็นอนงค์และปริศนาเดินกลับเข้ามา
ปริศนา “ดึกมาแล้วนะคะ เมื่อไรถึงจะกลับ”
ประวิช เต้นรำกันอีกเพลงสิ ปริศนา
“เหนื่อยแล้วหรือ”
“ไม่เหนื่อย เพคะ แต่เกรงว่า ป่านนี้ แม่คง เฝ้ารอ”
“ประเดี๋ยวฉันไปส่งพวกเธอให้เอง ให้ประวิชไปส่งพี่สาวเขา”
ปริศนาหันมาทางประวิช “ประวิช พาอนงค์ไปเต้นรำสิ อีกเพลงนะ เพลงสุดท้าย”
“แล้วเธอล่ะ ปริศนา เต้นรำอีกเพลงด้วยเหมือนกันไหม”
เพลงใหม่ขึ้น เป็น black eyes จังหวะแทงโก้ เร้าใจ
รตียังคงเต้นอยู่ แต่สิรีเดินกลับมาที่โต๊ะ
ประวิชถามเชิงชวนอนงค์ “แทงโก้ละ คุณ อนงค์”
แต่อนงค์เลยส่ายหน้า
ท่านชายยื่นแขนให้ปริศนา
“สำหรับปริศนา แทงโก้ คงเหมาะสำหรับเป็นเพลงส่งท้าย”
ปริศนามองท่านชาย แล้วยืนขึ้น จับแขนท่านชายเดินเคียงกันออกไป
พอท่านชายกับปริศนาเริ่มเต้น คนอื่นๆ ที่เต้นไม่ค่อยเป็น ก็ หลบๆ ไป กลายเป็นเหลือเพียง สามสี่คู่บนฟลอร์เท่านั้น รวมทั้งรตีด้วยที่ไม่ยอมแพ้
ท่านชายเอ่ยชม “Black Eyes เพลงเพราะ คนเต้นก็เก่ง”
“ผู้นำเต้นเก่ง เพคะ”
ท่านชายไขข้อข้องใจ “พรุ่งนี้จะต้องทำอะไรหรือ แม่ถึงเฝ้ารอ”
“งานสำคัญเพคะ ทุกอาทิตย์ ขาดไม่ได้”
ท่านชายฉงน “งานอะไร”
“ซักผ้าปูที่นอนเพคะ แม่บอกว่า เราต้องช่วยกันซัก ผ้าอื่นๆ ให้คนใช้ช่วยซักได้ แต่ผ้าปูที่นอนมันหนัก เกินไป ให้ช่วยกันซักทั้งบ้าน”
ท่านชายยิ้ม หัวเราะขันปริศนา
“รู้ไหม ปริศนา คืนนี้ ฉันเต้นรำเพลงแรก และเพลงสุดท้ายกับเธอ”
ปริศนารู้สึกฉงน ตีความไม่ออก แต่รู้สึกว่ามีบางอย่างสว่างวาบอยู่ในใจ
หลายๆ คน มองดูท่านชายและปริศนาด้วยสายตาชื่นชม มีรตีคนเดียวกระมัง อยากจะร้องกรี๊ดอยู่รำไร
พอเพลงจบ คนทั้งฟลอร์ และในโถง ปรบมือให้ท่านชายและปริศนาเกียวกราว
คุณหญิงชื่นนั่งรออยู่ในโถงบ้านราชพรรลภ เงยหน้าทักบุตรีกับประวิชที่เดินเข้ามา
“เต้นรำสนุกสนานซีนะ รตี กลับดึกทีเดียว”
“มานี่เลย นายประวิช แม่คะ แม่เป็นพยานให้รตีด้วย”
ชื่นงวยงงท่าทีลูก “มีอะไรกันหรือ จ๊ะลูก”
“เจ้ากี้เจ้าการเหลือเกิน ชวนบ้านโน้นไปทั้งบ้าน ไปเสนอหน้าที่วังศิลาขาว แล้วยังไปเต้นรำกับท่านชายอีก”
“ใครกันจ๊ะ” คุณหญิงซัก
รตีฟ้องต่อ “นายประวิชนี่สิคะแม่ รตีบอกให้ชวนรตีไปงานเต้นรำ แต่กลับชวน บ้านโน้นไปยกครัว แล้วก็แย่งเต้นรำกับท่านชาย ทั้งพี่ทั้งน้อง”
คุณหญิงชื่นหันมาทางลูกชายอีกคนของสามีผู้ล่วงลับ “บ้านไหน นายประวิช”
“บ้านสุทธากุลขอรับ ท่านชาย เห็นว่า กระผมสนใจปริศนา ลูกสาวคนเล็กของคุณสมร จึงชวนมางานเต้นรำด้วยให้สนิทสนมกัน”
รตีประชดอย่างหมั่นไส้ “สนิทสนมกัน ชิ...กับใคร เห็นควงท่านชายออกเต้นรำ อยู่หลายครั้ง”
“โธ่ คุณรตีขอรับ ท่านชาย ทรงเต้นรำกับคุณตั้งหลายรอบ ท่านทรงเต้นกับปริศนาเพียงแค่สองเพลงเท่านั้น” ประวิชอดชมไม่ได้ “แต่ปริศนา เป็นผู้หญิงที่เต้นรำเก่งเพลงสุดท้ายที่เป็นแทงโก้คนส่วนใหญ่เต้นไม่ค่อยเป็น แขกในงานก็ปรบมือให้ปริศนา เท่านั้นเอง”
รตีหน้าตึง ไม่พอใจขึ้นมาอีก
“ไม่ต้องเลยนะ คราวหน้า ไม่ต้องชวนมันมาอีก”
“คุณรตี ท่านชายให้ผมชวนบ้านปริศนา ผมไม่ได้นึกชวนขึ้นเองได้เมื่อไหร่กัน ท่านให้ชวน เพราะเมตตาผม ผมเอง ก็เตือนท่านให้ชวนคุณรตีไปนั่นไปนี่อยู่เนืองๆ ท่านก็ไม่ขัด กระผมต้องขอ กราบลาก่อนขอรับ ส่งคุณรตีเรียบร้อยแล้ว”
พอประวิชพูดเรื่องนี้ รตีไม่พอใจมากขึ้น
“แล้วดูสิ ท่านชายเสด็จไปส่งมัน”
“ก็รถท่านคันใหญ่กว่า เขานั่งกันหลายคน รถผมเล็ก ก็มาส่งคุณรตี อย่างไรเล่า”
รตีเหมือนอดใจไม่ไหว จะเหวี่ยงกระเป๋าใส่ประวิชเข้าให้ แต่ประวิชรู้ทันรีบยกมือไหว้ ลาแม่ ลูก แล้วรีบหันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
คุณหญิงชื่นคิดปราดเดียว แล้วยกมือห้ามก่อนรตีจะโวยวายต่อ
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ ใครกัน สุทธากุลเหรอ ต้องแวะไปซักประวัติกันเสียหน่อยแล้ว”
รตีสงสัย “ว่ายังไงนะคะแม่”
“วันพรุ่งนี้ เราไปหาเครื่องกระป๋องของนอก ใส่กระเช้าไปคารวะ คุณหญิงเทพกัน”
วันรุ่งขึ้น ห้องรับแขกบ้านคุณหญิงเทพผู้เป็นย่าของปริศนา ให้การต้อนรับสองแม่ลูก
คุณหญิงเทพ พริ้ง เพริศ ลูกสาวของคุณหญิง เป็นน้องของพ่อปริศนา นั่งอยู่ด้วย
พอรตีวางกระเช้าของเยี่ยมลงหน้าคุณหญิงเทพ แล้วยกมือไหว้ คุณหญิงชื่นยิ้มแย้มสนทนา
“พาแม่รตี มากราบคุณหญิงค่ะ กลับมาจากฟิลิปปินส์ หลายวันแล้ว”
“อืม แม่รตี หน้าตาสะสวย ทันสมัยเฉียบทีเดียว แต่งงานแต่งการหรือยังล่ะ”
“เรียนจบเพิ่งกลับมาเจ้าค่ะ ยังไม่เร่งร้อนอะไร”
คุณหญิงเทพจ้องมองอย่างสำรวจ ดวงตาคมกริบ “คงจะต้องเลือกมากสินะ หาคนที่เหมาะสม กับชาติตระกูลของเราหน่อย หากมีแต่พวกไม่สมฐานะ อย่าไปคบหา อย่าไปวุ่นวายให้มันเสื่อมเสียเกียรติยศของเรา”
พิศกับเพริศก้มหน้าเพราะขึ้นคานแล้วทั้งคู่
คุณหญิงชื่นเหลือบตาดูทั้งสองสาวใหญ่
“อู๊ย คุณหญิงเจ้าขา อิฉันเห็นเหมือนคุณหญิงทุกประการ แหละเจ้าค่ะ เราอยู่งามๆ ของเรา ดีกว่า หากผู้ชายที่มาข้องแวะ นั่นไม่มีความเหมาะสมกับเรา”
“ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากมันเลว มันก็ทำเรื่องเลวๆ ให้ตระกูลของเราได้เท่าเทียมกัน”
“ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เจ้าค่ะ ตอนนี้อดห่วงท่านชายพจน์ไม่ได้ ก่อนหม่อมช้อยท่านจะเสีย เห็นว่าอิฉันเป็นน้อง ก็ฝากฝังให้ดูแล ลูกของท่าน แต่จะวุ่นวายมากก็ไม่ได้ คนเก่าคนแก่ในวังท่านมาก ก็ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ ท่านชายพจน์ เอง ก็โปรด รตีอยู่ไม่น้อยถึงท่านจะเสด็จไปศึกษาที่อังกฤษ ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านก็ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยเรื่องผู้หญิง”
คุณหญิงเทพฟังแล้วทะแม่งๆ หู “แล้วเวลานี้ มีเรื่องอะไรไม่งามรึ”
“อิฉันเห็นคนสกุล...สุทธากุลค่ะ ลูกสาวหลายคน พากันเข้าวังศิลาขาวเป็นขบวน”
คราวนี้หญิงชราชะงัก พริ้งและเพริศ สบตากัน คุณหญิงเทพเค้นเสียงถาม
“ใครกัน สุทธากุล”
“ชื่ออะไร บ้างนะ ปริศนา สิรี อนงค์ ไม่ทราบว่าท่านรู้จักบ้างไหมเจ้าค่ะ”
ชื่อหนึ่งในนั้นวาบขึ้นในความคิดคุณหญิงเทพ “ปริศนา...หรือ”
พริ้งรำพึง “ปริศนา”
เพริศถามว่า “อายุสักเท่าไหร่คะ คุณหญิง”
รตีเป็นฝ่ายตอบ “ใกล้ๆ ยี่สิบค่ะ”
คุณหญิงเทพกระแทกของในมือลงพื้นโต๊ะข้างหน้าดังปังบอกความขุ่นมัวถึงขีดสุดในอารมณ์
“นังปริศนา ยังกล้าลอยหน้าใช้ชื่อนี้อีกเหรอ ดี ชื่อประจานตัว”
พริ้ง “ลูก แม่สมร ใช่ไหมคะ”
คุณหญิงชื่นหันมามองรตีให้เป็นคนบอก
“เจ้าค่ะ แม่เขาชื่อสมร ปริศนานี่เป็นคนสุดท้อง”
คุณหญิงเทพแทรกขึ้น “ชั้นตั้งชื่อให้มันเอง แม่ชื่น ปริศนา ใช่สิ เป็นปริศนา พ่อตายไปตั้งนานแล้ว เพิ่งจะเกิด แล้วยังกล้ามาใช้นามสกุลของเราอีก คุณหญิงดูหน้ามันทีรึ ว่าเหมือนใคร”
รตีพอใจมาก ยิ้มในหน้า
“ทั้งรูปร่างและหน้าตา ดูผ่าเหล่าผ่ากอนัก เจ้าค่ะ”
พริ้งกับเพริศ รู้สึกไม่ดี มองหน้ากัน
คุณหญิงชื่นเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “อิฉันคงต้องคอยระวัง ท่านชายพจน์เสียแล้ว น่าเป็นห่วงเสียจริง เด็กคนนี้ กล้า...กล้ามากเทียวเจ้าค่ะ ไม่ยอมแพ้สักอย่าง แถมอวดทำท่าเป็นฝาหรั่ง”
พริ้งท้วง “เพราะเขาไปอยู่กับ พ่อวิรัชที่อเมริกาไม่ใช่หรือคะคุณแม่”
เพริศพูดคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า “นั่นสิ ไปตั้งแต่ยังเล็กกลับมาแล้วหรือ เราไม่รู้เลยนะ”
“ไม่ต้องไปรู้อะไรของเขาหรอก เค้าแค่อยากจะใช้นามสกุลเราเท่านั้น” คุณหญิงชราบอก
รตีกับคุณหญิงมารดาลอบสบตากันอย่างสามสมใจ
เสร็จสิ้นภารกิจใส่ไฟปริศนาในใจคุณหญิงเทพเสร็จ แม่ลูกกลับมาถึงบ้านราชพรรลภสักพักแล้ว สาวใช้จัดกาน้ำร้อนในห้องนั่งเล่นของคุณหญิงชื่นเสร็จแล้ว ก็รีบปลีกตัวออกไป
“พ่อของเด็กนั่นน่ะ เป็นลูกชายคนโตของคุณหญิงเทพ ท่านหาผู้หญิงจะให้แต่งงานด้วย ยังไงไม่รู้ มาหลงเสน่ห์ แม่ครูต๊อกต๋อย ไม่ยอมแต่งงาน คุณหญิงท่านก็ใจเด็ด ตัดแม่ตัดลูกไปเลย”
รตีพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ มิน่าเล่า ประวัติเป็นมาอย่างนี้นี่เอง แล้วชื่อปริศนานั่นอีก”
“แม่ก็เพิ่งรู้ว่า คุณหญิงเทพ ท่านเป็นคนตั้งให้ คิดดู ผัวตายไปตั้งนานแล้ว ออกลูกมายังบากหน้าไปให้แม่ผัวเขาตั้งชื่อให้”
“สมน้ำหน้าเลย แล้วยังแบกชื่อนี้ไว้อีกนะ น่าขันซะจริงๆ” รตีหัวร่อ
“ต้องระวังนะรตี คนพวกนี้ ไว้ใจไม่ได้ อย่าให้เข้ามายุ่งกับคนของเราได้”
“เห็นจี๋กับประวิชเสียเหลือเกิน
“อย่าให้เข้ามาใกล้ท่านชายได้ทีเดียวนะรตี แม่ไม่ไว้ใจมันทั้งบ้าน”
รตีพยักหน้ารับเข้าใจ ในท่าทีมุ่งมั่น
ปริศนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
อีกฟาก ภายในห้องหนังสือวังศิลาขาว ท่านชายพจน์อ่านหนังสืออยู่ในห้องนั้น สักครู่หนึ่งประวิชเดินเข้ามาหา เขาแต่งชุดเตรียมออกไปนอกบ้าน
“ประวิชมีอะไรหรือ กลับค่ำทุกวันทีเดียว”
“กระหม่อมไปบ้านปริศนา ทุกวันพระเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว เขาลือกันออกทั่ว”
“ชวนเล่นเทนนิส พาไปดูหนัง พาไปกินข้าว คุยกันที่บ้าน”
ท่านชายพจน์มองขำๆ “ทำหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ”
“พามาเต้นรำวันนั้นอีก” ประวิชว่า
ท่านชายฟังว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร “อืม...”
“แต่ความรักของกระหม่อม กับปริศนา ก็ไม่คืบหน้าเลย”
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ปริศนายัง มองกระหม่อมเป็นแค่เพื่อน เท่านั้น”
“เป็นเพื่อนไม่ดียังไงล่ะ”
ประวิชครวญ “โธ่ กระหม่อม ปริศนาน่าจะเห็นความจริงที่ว่า เขาเหมาะสมที่จะเป็นคู่รักของกระหม่อม พระเจ้าค่ะ การไปที่บ้านของเขา ก็เหมือนกับต้องไปพบปะพูดคุยกับแม่ และพี่ๆของเขา ไม่ได้พูดคุยกันตามลำพังเลย”
ท่านชายติงแกมเตือน “นายจะชวนปริศนาไปตามลำพังได้ยังไง แม่เขาพี่เขาจะยอมหรือ มันเป็นเรื่องของสังคมที่เราละเลยกันไม่ได้เลย”
“นี่อย่างไรพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเบื่อกฎเกณฑ์ของสังคม เสียจริงนู่นนั่นโน่น มากมาย ต้องสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ทำไมไม่ทำตามเยี่ยงอย่างของฝาหรั่งกันไปเสียให้หมด”
"แค่ทำทุกอย่างให้อยู่ในสายตาผู้ใหญ่เท่านั้น เอาสิ เราไม่ได้ เที่ยวทางเรือกันนานแล้ว ประวิชลองชวนบ้านปริศนาเขามา เที่ยวเรือกัน วันหยุดนี้"
"วันอาทิตย์ใช่ไหมพระเจ้าค่ะ"
ท่านชายนึกถึงที่ปริศนาพูดเรื่องซักผ้าปูที่นอน ตอนที่เต้นรำกัน
“ฉันหมายถึงวันเสาร์...วันอาทิตย์เขาคงไม่ว่างกัน”
ประวิชบ่น “กระชั้นเสียจริง กระหม่อมจะนัดเขาทันไหมและทรงทราบอย่างไรว่าเขาไม่ว่างกัน”
ท่านชายเพียงยิ้มไม่ตอบ นึกถึงใบหน้าสาวเจ้าคุยเรื่องซักผ้าของครอบครัวขึ้นมา
“นายใจร้อนไม่ใช่หรือประวิช ฉันให้ทันใจนายเท่านั้น”
“พระเจ้าค่ะ ดีแล้วพระเจ้าค่ะ แต่ว่า...รตีรู้เข้า...”
“อือ ฉันจะชวนรตีเอง”
ประวิชหน้าบานพลางว่า “ออกกันแต่เช้า ไปปิกนิกกลางวัน แล้วกลับมาช่วงบ่าย กินน้ำชา”
ท่านชายเย้า “จะต่อข้าวเจ๊ก มื้อเย็นด้วย ดีไหม”
“กระหม่อมจะรีบไปชวนเขาพรุ่งนี้เลยทีเดียว นี่ถ้าบ้านเขามีโทรศัพท์กระหม่อมจะหมุนโทรศัพท์ไปชวนเดี๋ยวนี้เลย”
ท่านชายขำกริยาอันกระตือรือร้นของประวิช แล้วหยิบกระดิ่งมาสั่นเรียกมหาดเล็ก นายสนเข้ามา
“สน หาน้ำชาให้สักหน่อยเถอะ ประวิชชวนคุยจนคอแห้งแล้ว”
ประวิชคำนับท่านชายอย่างสำนึกในความเมตตา แล้วหลบออกมาทันที
ทางด้านสองสาวพี่น้องกำลังสลักผลไม้กันอยู่ มีน้ำมะนาวในชามแช่ขิงที่ปอกแล้ว ส่วนคุณหญิงเทพ อ่านจดหมายของวิรัชที่ส่งมาจากอเมริกา
พออ่านจบคุณหญิงลดจดหมายลงแทบจะขยำทิ้ง
“ลูกนกลูกกา เชอะ ให้มันเป็นลูกนกลูกกาไปเสียจริงๆ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย เพราะลูกนกลูกกามันไม่มีพิษมีภัย โถ ตาวิรัช อุตส่าห์เอามันไปชุบไปเลี้ยง หารู้ไม่ บินปร๋อกลับมาถึงพระนครแล้ว มันก็เริ่มแย่งผู้ชาย จากยายรตีเลยทีเดียว”
พริ้งถาม “พี่วิรัช เขียนจดหมายมาว่ายังไงคะ คุณแม่”
“อ่านเอาเองเถอะ รำคาญตา เอาคนอย่างนี้ไปเลี้ยงดู มันจะสนองบุญคุณได้สักเท่าไรเชียว”
คุณหญิงโยนจดหมายลงมาให้ เพริศเช็ดน้ำออกจากมือ แล้วหยิบจดหมายขึ้นมาดู
เพริศอ่านสรุปความ “พี่วิรัช เขียนเล่ามาว่า...ได้ส่งหลานสาวกลับมาคืนให้แม่เขาดูแลแล้วแต่เสียอย่างไร ก็ให้คิดว่าเขาเป็นสุทธากุล...”
คุณหญิงเทพได้ฟังกลับยิ่งหัวเสีย
“โอ๊ย...ไม่ต้องพูด ฟังไม่ได้ ชั้นเคยอยากให้มันใช้นามสกุลนี้ไหม ไม่เคยเลยสักนิดเดียว ไม่รู้ว่าเลือดชั่วของมัน เลือดใครกันแน่ ตาวิสุทธิ์ ก็หลงไม่ลืมหูลืมตา ถึงกับยอมขาดกับแม่ ไปอยู่กับมัน ตาวิรัช ยังไปเก็บเลือดชั่วมาเลี้ยงอีก”
“คุณแม่คะ หลวงแพทย์ว่าคุณแม่ควรรักษาอารมณ์ อย่าให้โกรธประเดี๋ยวจะไม่สบายไปเอา คนเรามันต่างจิตต่างใจ นะคะ” พริ้งมองเป็นห่วงคุณหญิงมารดา
“ต่างจิตต่างใจจริงๆ มีแต่ลูกเราเนี่ยแหละที่คิดว่ามันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสุธากุล พวกมันเคยคิดจะมากราบฉันบ้างไหม”
“แม่สมรอาจไม่กล้ามากวนคุณแม่ ก็ได้ค่ะ” เพริศบอก
“ก็คนมันทำผิด มันก็ไม่กล้าสู้หน้าล่ะสิ”
พริ้งกับเพริศสบตากัน ก่อนเพริศจะบอกว่า
“วิรัช ฝากให้หลานเอาของมาให้คุณแม่ ก็ดูกันไปว่าเขาจะเอามาให้ไหม”
“คงจะไม่เวลาหรอก คอยแต่จะแย่งท่านชายพจน์ มา จากยายหนูรตี”
“หากท่านชายพจน์ รักแม่รตีนั่นจริง ก็ไม่น่าที่จะมีใครแย่งท่านไปได้นะคะคุณแม่ ท่านออกเฉลียวฉลาด” พริ้งย้อนแย้งมารดา
คุณหญิงเทพค้อนควักลูกสาว “หมั่นไส้ อวดรู้อีกคนแล้ว”
พริ้งกับเพริศ สบตากันอีกครั้ง
ที่ห้องโถงบ้านตอนนี้ ปริศนาถือจดหมายอีกฉบับจากวิรัช กระดาษจดหมายและซองเหมือนกับจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ แต่เป็นจดหมายที่เขียนยาวมากกว่า และเขียนมาถึงคุณหญิงเทพ เป็นการเฉพาะ
ปริศนานั่งอยู่หน้าหีบใบใหญ่ ที่ขนมาจากเมืองนอกพร้อมกับตอนที่เดินทางกลับเมืองไทย และมันถูกวางไว้มุมหนึ่งในห้องโถงที่ใช้เก็บของทั่วไปของบ้าน หีบนั้นเปิดฝาอยู่ และปริศนาหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมาคลี่ไว้บนตัก สมรนั่งดูอยู่ใกล้ๆ
“Shaw คุณอา ฝากมาให้คุณย่า ปริศนายังไม่ได้เอาไปให้เลย นี่คุณอากำชับมาอีกครั้ง บอกว่าให้ไปกราบคุณย่า”
สมรอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “พ่อวิรัชเป็นคนดี ทำทุกอย่างถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม”
“ปริศนาต้องไปบ้านคุณย่า อนงค์ ไปด้วยกันไหมจ๊ะ”
ปริศนาหันไปมองพี่สาวที่จัดโต๊ะอยู่ อนงค์นิ่งคิด ไม่คุ้นกับบ้านนั้นเหมือนกัน
สมรพูดเป็นงานเป็นการขึ้น “ถ้าปริศนาต้องไปบ้านคุณย่า แม่ควรจะเป็นคนพาไป ไปครั้งสุดท้าย ก็ที่ปริศนาเกิดพาปริศนาไปให้ท่านดู แล้วท่านก็ตั้งชื่อให้”
ปริศนาแปลกใจกับข้อมูลนี้ “ชื่อของปริศนา นี่คุณย่าตั้งให้หรือคะ”
สมรพยักหน้ามองปริศนาอย่างเวทนาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยเกี่ยวกับชื่อของตัวเอง
“ดีสินะคะ ปริศนาก็ไปหาคุณย่าได้ ไม่เห็นต้องกลัวสักนิด พรุ่งนี้เราไปกันนะคะแม่”
เช้าวันถัดมา สาวใช้คนหนึ่ง เดินนำสมรกับปริศนาเข้ามาในห้องโถงบ้าน ปริศนานั้นถือห่อกระดาษใส่ผ้าคลุมไหล่ ซึ่งกระดาษนั้นมีสีสวย สาวใช้ถอยออกไป
พริ้ง และ เพริศ เดินมาจากในตัวบ้าน ไม่เร่งร้อนอะไร แต่ออกมาเพราะความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอย่างอื่น สมรยกมือไหว้น้องสาวสามี ปริศนาไหว้ตาม
เพริศทักขึ้นว่า “ สบายดีไหมจ๊ะ แม่สมร”
“สบายดีจ้ะ”
จังหวะนั้นเอง สาวใช้ประจำตัวก็ประคองคุณหญิงเทพออกมาลงนั่งที่เก้าอี้ พริ้ง และ เพริศจึงขยับมานั่งลงบนเก้าอี้ตาม
สมรมองหน้าปริศนาเป็นเชิงบอก แล้วนั่งลงบนพื้นตรงหน้าคุณหญิงเทพ ปริศนาลงนั่งตามแม่ สมรกราบคุณหญิง ปริศนากราบตาม คุณหญิงเทพยกมือรับไหว้อย่างเสียไม่ได้
“คุณหญิงเจ้าคะ อิชั้นพาปริศนามากราบ ลูกกลับจากอเมริกามาอยู่เมืองไทยแล้วเจ้าค่ะ”
ปริศนากราบคุณหญิงเทพอีกครั้ง
“ปริศนา กราบคุณย่าค่ะ คุณอาวิรัช ฝากผ้า…” หญิงสาวนึกคำไทยสักนิด “คลุมไหล่ มาให้ และยังฝากความรำลึกถึงมาให้คุณย่าด้วยนะคะ”
พลางปริศนายกห่อผ้ามายื่นให้คุณหญิงเทพ แต่คุณหญิงเมินเฉยไม่สนใจ พริ้งจึงต้องรับแทน
“มอดมันกินหมดแล้วกระมัง เพิ่งจะเอามาให้” คุณหญิงบอกเสียงขุ่น
ปริศนาไม่เข้าใจทำตาปริบๆ แต่รู้ว่าถูกพูดกระทบ
“ปริศนากลับมาถึง ก็ไปทำงานเจ้าค่ะ แกบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะมากราบคุณย่า อิฉันเอง ที่ปล่อยเวลาเนิ่นนานมา”
คุณหญิงเทพหันไปมองสมรตรงๆ “ทำงานอะไรยะ งานแย่งผู้ชายชาวบ้านหรือ”
ปริศนามองคุณหญิงเทพตรงๆ ไม่เข้าใจหนักขึ้น และปะปนด้วยความไม่พอใจที่เป็นริ้วๆแผ่ขึ้นมา
“คุณย่า พูดถึงอะไรหรือคะ ปริศนาไม่เข้าใจ”
คุณหญิงมองจ้องหน้าปริศนาจังๆ “เราน่ะ คิดจะแย่งท่านชายพจน์ ปรีชา จากลูกสาวเจ้าคุณราชพรรลภ ใช่ไหมล่ะ เขาหมายมั่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย กลับมาถึงก็จะชุบมือเปิบ อย่าให้มันงามหน้าขึ้นมาถึงตระกูลฉันก็แล้วกัน”
ปริศนามองหน้าสมรอย่างหารือ แล้วปริศนารู้สึกถือดีมาก ด้วยคิดว่าคุณหญิงกล่าวหาเธอมากเกินไป
“ปริศนา ไม่ได้สนิทสนมอะไร กับท่านชายพจนปรีชาเลยค่ะ ท่านชายไม่ใช่ตุ๊กตา และไม่ใช่เด็ก ที่ใครจะคิดแย่งจากใครได้ แล้วลูกสาวเจ้าคุณราชพรรลภ คือใครคะ”
“ก็แม่รตีน่ะสิ เขาออกงามสมกัน ฐานะรึ ก็ดี มีการศึกษา ชาติ ตระกูลเขาสมกัน”
สมรพยายามคลี่คลาย “คุณหญิงคงจะเข้าใจผิด...”
ปริศนากันแม่ไม่ให้พูดมากไปกว่านั้น
“จะแก้ต่างอะไรอีกล่ะ” คุณหญิงมองเด็กสาวผู้มีชาติกำเนิดเป็นปริศนา
“คุณย่าไม่ต้องห่วงค่ะ ปริศนา ยังไม่คิดเรื่องหาคู่ตอนนี้ และหากถึงจะมีคู่เมื่อใด ก็คงจะเลือกคนที่เขารักเรา และเรารักเขา โดยไม่สนใจฐานะ ยศศักดิ์อะไรทั้งสิ้น และความรักของเราจะยั่งยืนต่อไม่ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว เหมือนความรักของพ่อและแม่ของปริศนา”
สมรซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ
คุณหญิงเทพตวัดสายตามองปริศนาพึมพำในลำคอ “ปากดี” แล้วสะบัดหน้าลุกเดินกลับไปพริ้งเดินตามเข้าไปประคองคุณหญิงมารดา
เพริศพูดกับสองคนเบาๆ กลัวแม่ได้ยิน “ขอบใจมากนะ แม่สมร หนูปริศนา ที่ยังนึกถึงกันอยู่ อาจะเขียนจดหมายบอกวิรัชให้ว่า ปริศนามาเยี่ยมคุณย่าแล้ว หลานอา...หน้าตา ท่าทาง น่าเอ็นดูจริงๆ กลับไปก่อนเถอะนะ”
แล้วเพริศก็รีบตามพริ้งไป
ปริศนามึนๆ หันมาหาแม่กระซิบถาม
“แม่คะ นี่เท่ากับเขาไล่เรากลับบ้าน แล้วหรือเปล่าคะ”
“กลับกันเถอะลูก”
ในเวลาต่อมา สิรีกับอนงค์พากันตามแม่และน้องเข้ามาในห้องนอนปริศนาและอนงค์ ฟังน้องสาวสาธยายเจียนจบ
“ไม่ได้ล่ำลา น้ำไม่ได้กินซักแก้ว เก้าอี้ยังไม่ได้นั่งเลย”
“ไม่น่าไปเลยค่ะบ้านนั้น ดีนะ สิรีไม่ได้ไปด้วย ไม่อย่างนั้น ฮึ”
สมรพูดอย่างปลงๆ “ก็รู้แล้วว่าคุณย่าท่านเป็นอย่างนั้น แม่ถึงไม่เหยียบบ้านนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่นี่ อาวิรัช ที่เลี้ยงปริศนา อยู่ถึง 12 ปี บอกให้พาปริศนาไปกราบท่านยังไงเสีย คุณหญิงเทพ ท่านก็เป็นแม่ของอาวิรัช และเป็นย่าของพวกเรา”
“ถือเป็นมงคลของเราเองนะคะ ท่านจะเป็นยังไง ก็ช่างท่าน” อนงค์บอก
“ปริศนา คิดว่ายังไง เรื่องท่านชายพจน์” สีรีถาม
ปริศนางง “คิดอะไร ล่ะ”
สิรีประเมินเหตุการณ์ “ชักรำคาญ ยายรตี เจ้ากี้เจ้าการจริง นี่สม คงจะไปหาเรื่องเราถึงบ้านคุณย่า”
อนงค์ไม่เข้าใจ “เขาจะทำอย่างนั้นทำไม”
“จะไปรู้เขาหรือ อนงค์ เราคิดอย่างเขาไม่เป็นนี่ ก็เลยไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงแต่คุณย่าจะคิดได้ยังไง จะรู้เรื่องได้ยังไง ถ้าไม่มีใครไปพูดอะไร ที่สำคัญ ก็เห็นยายรตีทำท่าจองท่านชายออกมากมายขนาดนั้น สม คงหึงที่ปริศนาเต้นแทงโก้ กับท่านชาย แล้วคนหันมาดู ทั้งฟลอร์ นี่ ปริศนา คราวหน้า เธอต้องยั่วยายรตีให้มากกว่านี้นะ ต้องทำสวีทกับท่านชาย” ” สิรีนึกสนุก
อนงค์ท้วงติง “จะบ้าเหรอ สิรี ปริศนากับประวิช เขารักกัน จะมาสนับสนุนให้ปริศนาสวีทกับท่านชายได้อย่างไร”
ปริศนาหงุดหงิดบ่นบ้าเป็นชุด “โอ้ย...บ้าทั้งคู่ ไม่สนุก ไม่เล่น เล่นอย่างนี้เล่นไม่เป็น ช่างปริศนาเถอะ ใครจะบ้าจะอกแตก ก็เรื่องของเขา ปริศนาไม่อยากยุ่ง แล้วก็ไม่ได้รักประวิชด้วย อนงค์เข้าใจเสียใหม่”
“แต่คุณประวิชเขารักปริศนา นะ”
“โอย เป็นบ้าไปอีกคน ประวิช เขาเป็นเพื่อนปริศนา ไม่ได้เป็น Sweet heart อะไรทั้งนั้น เลิกๆ เลิกพูดเรื่องรักเรื่องใคร่ได้แล้ว”
“งั้นพูดเรื่องแต่งตัวที่จะไปเที่ยวเรือพรุ่งนี้กับท่านชายพจน์ และประวิชดีกว่ามีใครจะยืมเสื้อพี่บ้าง ไปดูในตู้กันเร้ว”
พลางสิรีวิ่งนำสองสาวออกไป ปริศนาดึงแขนอนงค์ให้ตามไปด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นปริศนาเดินนำหน้าพี่สาวทั้งสองลงมาในห้องโถงก่อน สิรี และอนงค์ตามมาไล่ๆ กัน ทุกคนแต่งตัวสวยงาม แต่แล้วทั้งสามก็ต้องยืนด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเสมอเดินยิ้มเข้ามาในบ้าน
สิรียิ้มทักอย่างสนิทสนม “คุณเสมอ มาได้อย่างไรกันคะ”
“ถามทางคนเขามาเรื่อย ขอรับ จะออกไปไหนกันหรือครับ”
“นัดว่าจะไปนั่งเรือเที่ยวกันน่ะค่ะ” สีรีบอก
“ไปกันทั้งสามคนหรือครับ”
ปริศนาตอบเสมอว่า “ค่ะ”
“แย่จริง วันนี้ว่าจะชวนคุณสิรี ไปดูหนัง และไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสักหน่อย ไปด้วยกันไหมครับ คุณปริศนา คุณอนงค์”
“แต่ปริศนานัดกับประวิชไว้แล้ว”
ยินเสียงแตรรถดังขึ้น ช่วงที่มาเสมอ ต้องวิ่งกลับไปเปิดประตูรั้วอีกครั้ง
ปริศนาจำเสียงแตรรถได้ “แน่ะ ประวิชมาแล้ว”
ปริศนาผละจากทุกคน เดินไปทางหน้าบ้าน อนงค์มองตามตาละห้อย
เสมอเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเจือแววยั่วล้อว่า
“ประวิชหรือครับ น่ากลัว คุณปริศนาคงไม่ไปกับเราแล้ว”
ประวิชลงจากรถมา ปริศนาก็เดินมาถึงรถพอดี
“พร้อมหรือยังปริศนา ไปเที่ยวเรือกัน”
ปริศนาบุ้ยใบ้ไป “โน่น สิรี มีแขกมาหา”
ประวิชเขม้นมอง “ใครกัน”
“คุณเสมอ ที่พบกันที่งานเต้นรำครั้งก่อน”
“แล้วอย่างไรล่ะ”
“จะชวนสิรีไปเที่ยว แผนเราน่าจะล้มนะ” ปริศนาบ่น
“จะล้มได้อย่างไร สิรีจะไปเที่ยวกับเสมอก็ไม่เป็นไร ปริศนาก็ไปเที่ยวกับประวิชไง”
“แล้วอนงค์ล่ะ”
“อนงค์อยากเที่ยวเรือไหมล่ะ อยากเที่ยวเรือ ก็ไปกับเรา”
“ประเดี๋ยวปริศนา ไปย้ำกับอนงค์อีกที แต่งตัวพร้อมแล้วต้องไปสิ”
ปริศนาหันหลังจะขึ้นบันไดบ้าน อนงค์ตามออกมา ยืนหน้าเสียอยู่ ปริศนาเข้าไปใกล้
“อนงค์ เราไปนั่งเรือกัน”
อนงค์มองไปทางประวิชสีหน้าแววตาละห้อย
“พี่ไปไม่ได้แล้วปริศนา แม่ให้ไปเป็นเพื่อนสิรี”
“อ้าว ทำไม นัดกันไว้เป็นดิบดี ต้องไปด้วยกันสิ”
อนงค์ละล้าละลัง “แม่บอกว่าสิรี ไปกับ คุณเสมอ สองคนไม่ได้หรอกไม่งาม ให้พี่ไปด้วย”
“อ้าว แล้วปริศนาไปกับประวิช งามเหรอ” หญิงสาวแย้ง
“แม่บอกว่า ปริศนา ไปตีเทนนิสกับประวิชบ่อยๆ แล้ว และเคยไปที่วังท่านชาย วันนี้ท่านชายไปด้วย รตีก็คงไปด้วย แม่เลยไม่ห่วง ห่วงแต่สิรีไม่เคยรู้จักนายเสมอมาก่อน ให้พี่ไปเป็นเพื่อน ขัดแม่ไม่ได้จริงๆ”
“โธ่เอ๊ย แล้วตัวเองอยากไปไหน ทางนี้ก็นัดไว้แล้ว สิรีอยากไปกับคุณเสมอ ก็นัดวันหลังซี ปริศนาไปด้วยก็ได้”
อนงค์ส่ายหน้า พลางส่งสายตาอย่างขอร้อง
“ไม่ได้หรอกปริศนา” ปริศนาจะเดินเข้าบ้านอย่างฉุนเฉียว อนงค์ดึงแขนไว้ “อย่า ปริศนา ประเดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก ปริศนาไปกับคุณประวิชเถอะ โน่นตั้งตาคอยแล้วประเดี๋ยวจะสาย”
ปริศนาหันไปมองประวิช แล้วหันมามองอนงค์
“เฮ้อ...รำคาญจริง”
ปริศนางอน เดินกลับไปทางประวิช
เวลาเดียวกันนั้น สาวใช้กลับเข้ามาในห้องรับรองแขกที่ท่านชายนั่งรออยู่ใกล้ๆ คุณหญิงชื่น สาวใช้ยอบตัวลง
“คุณรตีบอกว่า เธอเวียนศีรษะ เจ้าค่ะ คุณรตีเชิญเสด็จ ขึ้นไปที่ชานชั้นบน”
ชื่นทำกระซิบกระซาบ “น่าจะงอน ท่านหลาน หายหน้าไปหลายวันตั้งแต่ที่ไปเต้นรำด้วยกันคราวนั้น เพิ่งจะเด็จมาวันนี้เอง”
ท่านชายออกอาการเซ็ง แต่พยายามรักษามรรยาท
“ถ้าอย่างนั้น จะขออนุญาตขึ้นไปพบรตี สักครู่นะครับน้าชื่น”
“เชิญเสด็จเพคะ”
ท่านชายหมุนตัวกลับ ชื่นพยักหน้าให้สาวใช้ เดินนำท่านชายออกไป
ระเบียงชั้นบนของบ้าน มีมุมร่มรื่นตั้งวางโต๊ะ เก้าอี้อยู่กลางระเบียงนั้น ข้างๆ รตี มีถาดน้ำชา กับ ขนมปัง ของว่างที่เธอกินแล้ววางอยู่ข้างๆ
รตีเหมือนได้ยินเสียงคนเดินมา รีบจัดเสื้อคลุมตัวนอกทับตัวข้างใน จัดวางท่าให้เซ็กซี่ แล้วแกล้งทำเป็นหลับตาหายใจรวยริน
“ทางนี้เพคะ”
สาวใช้เดินนำท่านชายเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้ารตี
รตีทำเป็นลืมตาขึ้น เหมือนเพิ่งได้ยิน แล้วรีบขยับตัวขึ้นยกมือไหว้ท่านชาย
“เชิญประทับ มีธุระอะไรหรือเปล่าเพคะ”
“มาชวนไปเที่ยวเรือ แต่เธอไม่ค่อยสบายไม่ใช่รึ รตี”
“มึนศรีษะนิดหน่อย เพคะ อีกวันสองวันก็หาย จะไปเที่ยวเรือกันเมื่อไหร่ เพคะ”
“วันนี้น่ะสิ เดี๋ยวนี้ด้วย ฉันมานี่ตั้งใจจะมารับเธอ
รตีรู้สึกตัวว่าพลาดไปอย่างแรง แต่กลับตัวไม่ทันซะแล้ว
“เสียใจจริงๆ เพคะ วันนี้ไม่ไหวเสียแล้ว ท่านไม่กริ้วหม่อมฉันนะเพคะ”
“ไม่เป็นไรรตี ฉันเห็นจะต้องกลับเสียที คุยกับน้าชื่นนานแล้ว เสียใจที่เธอไม่สบาย หวังว่าคงจะหายเร็วๆ นี้นะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
ท่านชาย หมุนตัวกลับเดินออกไปโดยไม่หันมา
รตีอกจะระเบิด แต่ไม่กล้ากรี๊ดออกมา จนกระทั่งท่านชายไปไกลแล้ว
พอคุณหญิงชื่นเดินกลับเข้ามา หลังจากไปส่งท่านชายขึ้นรถไปแล้ว ได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของแตกดังเปรื่องปร่างอยู่ด้านบน คุณหญิงตกใจและกังวล
“นี่ ขึ้นไปดูข้างบนซิ คุณรตีเป็นอะไรหรือเปล่า”
สาวใช้ที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาต้องวิ่งขึ้นไปข้างบนอีกรอบ
คุณหญิงชื่นมองตามหลังอย่างเป็นห่วง แล้วจึงตัดสินใจเดินตุ๊บตับตามไปอีกคน
รตียืนอยู่ท่ามกลางเศษแตกของจานและถ้วยชา อาหารเช้าที่กินค้างไว้เมื่อครู่นี้ สาวใช้เข้ามาถึง ก็รีบยอบตัวลงเก็บเศษจานใส่ถาดไม้ รตีเซไปร้องไห้ยังเก้าอี้ที่นอนเมื่อสักครู่
คุณหญิงชื่นตามเข้ามาอีกคน ต้องเดินหลบเศษจาน เศษแก้ว ปรี่เข้ามาหาลูกสาว
“รตี เป็นอะไรไปลูก บอกแม่มาซิ”
“ท่านชายสิคะ จะมาชวนลูกไปแล่นเรือ จะไปไหนไม่บอกล่วงหน้าเลย จู่ๆ ก็มาชวน”
“ท่านก็ว่าทำงานทุกวัน อีตาประวิช น่ะสิ ตั้งกะ แม่มัน น้องมันปีกกล้าขาแข็งออกไปจากบ้านเราแล้วก็ไม่ค่อยแวะมา แทนที่จะมาบอกเราให้เตรียมตัวก่อนเหมือนเคย ก็เปล่าทั้งเพ แล้วทำไมรตีไม่ไปกับท่านล่ะลูก”
“จะไปได้ยังไงล่ะ แม่ ก็ทำเป็นป่วยอยู่ จะให้ท่านรู้รึว่าแกล้งทำ”
“แล้วก็ชวดโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดท่าน น่ะซิ”
“ใครจะรู้ล่ะ ทีหลังแม่รู้ก็บอกก่อนสิ ให้บ่าวที่มันไม่รู้เรื่อง วิ่งเทียวขึ้นเทียวลงมาตามอยู่ได้ ไม่งั้นจะได้ลงไป นึกว่าป่วยแล้วท่านจะอยู่เยี่ยมไข้ ให้หาย นี่ไม่ จะประทับลงสักนิดก็ไม่มีกลับไปเลย” รตีคุมแค้น ทำเสียงหวีดในคออย่างไม่พอใจ “นายประวิชก็ตัวดี นี่คงไปขนเอาบ้านนั้นไปกันทั้งบ้าน”
รตีมองไปเบื้องหน้า ภาพงานเต้นรำ ที่ท่านชายเต้นกับอนงค์ flash ขึ้นมาในหัว
ตัดกลับมาปัจจุบัน รตีหวีดอย่างหัวเสีย
“นังหน้าซื่อนั่นก็ออเซาะเก่ง ให้ท่านชายพาเต้นรำเสียหลายรอบ”
“ใคร นังปริศนาหรือ”
ความคิดรตียามนี้มีแต่ภาพ ตอนท่านชายเต้นรำเพลง black eyes กับปริศนา คนดูทั้ง hall และปรบมือให้กราวใหญ่
รตีโกรธจนตัวสั่น
คุณหญิงชื่นเตือนสติ “รตี รตีเป็นอะไรลูก”
จู่ๆ รตีร้องไห้โฮออกมาเหมือบคับแค้นสุดจะประมาณ
“นังพวกนั้นน่ะสิแม่ แม่ อย่ายอมให้มันแย่งท่านชายไปจากรตีนะ”
“ไม่ยอม แม่ไม่ยอมเป็นอันขาด”
คุณหญิงชื่นกอดรตีอย่างปลอบโยน
ปริศนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ท่านชายพจน์ ปรีชา ขับเรือแล่นไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ปริศนานั่งกลาง ประวิชนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ปริศนานั้นออกอาการตื่นเต้น และมองซ้ายมองขวาของแม่น้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ
เรือแล่นไปในแม่น้ำ ปริศนาเอนตัวคุยกับประวิช ท่านชายเหลือบมองกริยาของปริศนาเป็นระยะ
ขณะที่ปริศนาเพิ่งค้นพบความงดงามของเมืองไทย ส่วนท่านชายเริ่มเห็นปริศนาในอีกมุมหนึ่ง
ในที่สุดเรือของท่านชายเบาเครื่องลง แล้ว ค่อยๆ เข้าไปเทียบท่าน้ำของวัดอันร่มรื่นแห่งนั้น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“เราจะแวะที่นี่กันหรือคะ”
“ใช่สิ ปริศนา แวะปิกนิก กันที่นี่ไง” ประวิชบอก
ขณะท่านชายขึ้นไปผูกเรือกับท่าน้ำ ประวิชเดินไปคว้าตะกร้าอาหาร แล้วขึ้นไปบนท่าน้ำ ส่วนปริศนา เก้ๆ กังๆ อยู่ด้วยความไม่คุ้นกับเรือ ท่านชายที่ยืนอยู่บนฝั่ง จึงส่งมือมาให้ปริศนาจับ
“มาปริศนา”
ปริศนาเงยหน้ายิ้มให้ท่านชายเป็นเชิงขอบคุณ ท่านชายมองลงมาที่ปริศนาอย่างเมตตา
ส่วนปริศนาก็เงยหน้ายิ้มให้ท่านชายอย่างเป็นมิตร
มือของปริศนายื่นไปจับมือท่านชายที่ออกแรงดึงตัวปริศนาให้ขึ้นมาบนท่าน้ำ
ทั้งหมดเดินบนสะพานเข้าไปสู่ตัวอาณาเขตวัด ในยามสายที่แดดค่อนข้างแรง
“ขึ้นบก แล้วรู้สึกว่าแดดแรง จริงเพคะ น่าแปลก นั่งในเรือไม่รู้สึกเลย”
“ในเรือลมแรง ไม่รู้สึกร้อน สวมหมวกนี่สิ”
พลางท่านชายถอดหมวกของท่านส่งให้ปริศนา
“ไม่คุ้นแดด จะไม่สบายเสียเปล่า”
ปริศนารับหมวกมาวางบนหัวอย่างไม่ตั้งใจนัก ท่านชายมอง กะจะดูว่าปริศนาจะขยับหมวกให้เก๋อย่างไร แต่คราวนี้เธอกลับวางแปะไว้เฉยๆ
ท่านชายอมยิ้มอย่างเห็นขัน และความเอื้อเอ็นดูในตัว ปริศนา สุทธากุล มากเป็นพิเศษ ได้เริ่มก่อตัวขึ้น เล็กๆ ในมุมหนึ่งของหัวใจท่านชายพจน์ ปรีชา
ใต้ต้นไม้อันร่มรื่นในวัด ประวิชเอาตะกร้าวางไว้บนพื้นก่อน เขากำลังปูเสื่อ หรือผ้า รองนั่ง ลงไป แล้วเอาตะกร้าปิกนิกวางลงไป เปิดมันออกหยิบผ้าเช็ดมือในกล่อง ส่งให้ท่านชาย ปริศนา และตัวเอง จากนั้นจึงเปิดโถใส่แซนด์วิชออก มีจานแบ่งเล็กๆ และ เทอร์มอส ใส่น้ำชา กาแฟ และขวดน้ำเปล่า 1 ขวด
“กินสิ ปริศนา เมื่อกี้ บ่นหิวไม่ใช่หรือ แซนด์วิชป้าสร้อย อร่อยมากนะ”
“ทำไมมีเป็นสิบคู่เลย”
ประวิชเย้า “ป้าสร้อย แกเห็นเราเป็นยักษ์เป็นมารแน่ๆ เลย”
“ไปว่าแกไม่ได้หรอกประวิช ฉันสั่งว่าเราจะมากัน 6 คน นี่เหลือเพียง 3 คน เท่านั้น มากเกินไปไม่เป็นไรหรอก น้อยเกินไปสิ จะเกิดความ แกเตรียมของเผื่อสำหรับ 6 ให้เพียงพอ ก็ถูกต้องแล้ว”
ปริศนาหันมาชวน “กินเสร็จแล้ว เราไป explore กันไหม ประวิช”
ท่านชายสัพยอก “มากัน 2 คน ชวนคนเดียวละหรือ”
ปริศนาหันไปยิ้มอย่างสารภาพผิด “อยากชวนท่านชายเหมือนกันค่ะ แต่ไม่กล้า แม่กำชับมาเป็นพิเศษ ว่าไม่ให้ปริศนาชวนท่านชายทำโน่นทำนี่เหลวๆ ถ้าไม่เชื่อจะไม่ให้ปริศนามาอีก”
ท่านชายได้ฟังก็ยิ้ม ประวิชก็ยิ้มขันปริศนาเหมือนกัน
ชายสองหญิงหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางร่มไม้ร่มรื่นในสถานที่ค่อนข้างรื่นรมย์และโรแมนติก
ถัดมา ท่านชาย และปริศนา เดินเที่ยววัดกันสองคน ปริศนาดูตื่นเต้นและชื่นชมกับศิลปะไทยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ท่านชายชี้ชวนให้เข้าไปในโบสถ์ ปริศนาเดินตามไป
จนท่านชายและปริศนามายืนอยู่หน้าโบสถ์ ปริศนาเงยมองโบสถ์อย่างชื่นชม เพราะไม่ได้เห็นอย่างใกล้ชิดงดงามแบบนี้มาก่อน
“มีพระอยู่ในนี้ใช่ไหมคะ” เธอถาม
“พระพุทธรูป อยากเข้าไปไหว้ไหม”
“เข้าไปไหว้ได้เหรอคะ”
“ได้ซิ โบสถ์เปิด”
ปริศนาจะก้าวเข้าไป แต่ท่านชายถึงแขนไว้ จังหวะที่มือท่านชายจับแขนเธอนั้น ปริศนาหันมามองอย่างแปลกใจ นัยน์ตามีคำถาม
“เข้าไปได้ ไม่ใช่หรือคะ”
ท่านชายชี้ไปที่รองเท้า สายตาปริศนามองลงไปที่เท้าของตน ซึ่งใส่รองเท้าอยู่
“ถอดรองเท้าก่อน เป็นการให้ความเคารพสถานที่ และไม่ทำลายพื้นโบสถ์”
ปริศนายิ้ม ให้ท่านชายอย่างว่าง่าย และก้มลงถอดรองเท้า
หน้าแท่นที่ทางบูชาในโบสถ์ เห็นท่านชาย และปริศนา กำลังกราบพระอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นหลังจากกราบเสร็จ คนเฝ้าโบสถ์จึงเข้ามายื่น เทียน และธูป 3 ดอก สองชุด ให้ท่านชาย และให้ปริศนา
ปริศนามองท่านชาย และพยายามทำตามทุกอย่าง ด้วยไม่คุ้นเคยว่าจะทำอย่างไร ที่ไหน กับธูปและเทียน
ปริศนาพยายามทำตามขั้นตอนเหล่านั้น อันได้แก่ จุดเทียน แล้ว ปักเทียนลง กับเชิงเทียน และ ยกธูปขึ้นจบ ปริศนาทำตามหมด เมื่อท่านชายปักธูปลง ปริศนาก็คลานเข้าไปปักข้างๆ เพื่อเลียนแบบ เพราะกลัวทำผิด ท่านชายหันตัวมาเกือบชนปริศนา
“ไปกราบลาพระอีกครั้งสิ ปริศนา”
ท่านชาย กลับมานั่ง ที่เดิม แล้วรอปริศนาให้มานั่งข้างๆ ก่อนก้มลงกราบพระ
ปริศนาคลานมาและกราบลงพร้อมกัน
เมื่อกราบเสร็จ ท่านชายลุกขึ้น และยืนแขนให้ปริศนาเกาะเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งคู่สบตากัน
ประวิชนอนเขลงอยู่บนเสื่อตรงมุมหนึ่ง ใบหน้าคมสันของเขามองไปเบื้องบนท้องฟ้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ปริศนาวิ่งนำมาก่อน ท่านชายเดินตามมาห่างๆ
“ประวิช นอนเพลินเชียว อดได้เที่ยวดูวัด ได้เห็นของสวยๆ งามๆ เลย”
ประวิชลุกขึ้นนั่ง “ผมก็ได้นอนเล่นสบายไง”
ปริศนาฉงนฉงาย “นอนเล่น? ไม่ทำอะไรเลย”
“ทำสิ ก็ นั่งคิด นอนคิด ไง”
ปริศนาสนใจ ลงนั่งข้างๆ “คิดเรื่องอะไร”
“คิดเรื่องตัวเอง คิดว่าจะลาออกจากงาน”
ปริศนาฉงน “หือ...ทำไมล่ะ”
“เงินเดือนมันน้อย” ประวิชพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “เหนื่อยจะตายไป อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีกินถมไป
แล้วก็สบายดี ไว้หางานดีๆ ได้เสียก่อน ถึงจะไปทำอีก”
ปริศนาชักฉุน “Really! นี่ไม่ได้พูดจริงๆ ใช่ไหม”
ประวิชตอบพาซื่อ “จริง เรื่องอย่างนี้ใครเขาพูดเล่นกันมั่ง”
ปริศนาโกรธเสียงเข้มขึ้น “Don’t be silly!”
ท่านชายที่นั่งห่างออกไป ฟังอย่างสนใจ
“Silly เรื่องอะไร”
“ประวิช ทำไมประวิช คิดตื้นอย่างนี้ อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีกินถมไป หน็อย แล้วเกิดมาเป็นผู้ชายทำไม ต้องอาศัยเขากิน ยังกับไม่มีมือไม่มีเท้า ทุเรศ”
“ปริศนา” ประวิชช็อคกับกริยาของปริศนาเหมือนกัน
“นี่ประวิชออกจากงานเมื่อไหร่ล่ะก็ ไม่ต้องไปที่บ้านปริศนาอีกเลย เราไม่ต้องคบกันอีกต่อไป”
ปริศนาไม่รู้ตัวว่าชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งเป็นเด็กๆ ได้ยินเสียงวิ่งมาดูอย่างสนใจ
ประวิชตกใจอยู่นั่น “ปริศนา”
“ปริศนาพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น ปริศนาเกลียดจริง คนอยู่หนักโลก ไม่คิดจะทำอะไรเป็นประโยชน์ เราคบกันไม่ได้ นี่คงหัวเราะเยาะปริศนาอยู่ใช่ไหมว่าจนถึงต้องไปเป็นครู ที่ปริศนาทำงานเพราะไม่อยากขอเงินแม่ใช้ และอยากทำประโยชน์ให้คนอื่น แล้วเพื่อหาความรู้ความเจริญมาใส่ตนเอง แล้วนี่ประวิชเป็นผู้ชาย ได้ร่ำเรียนมา จะงอมืองอเท้าคอยอาศัยเขากิน ไม่ขายหน้าบ้างหรือ”
ประวิชเหวอไปเลย นั่งเงียบงันไปด้วยความตกใจ จนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ปริศนารู้สึกได้ถึงความเงียบผิดปกติ เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ พบว่าท่านชายมองมา และเห็นได้ชัดว่าท่านได้ยินทั้งหมดที่เธอต่อว่าประวิช
ท่านชายพจน์ ปรีชา มองมาที่ปริศนาอย่างชื่นชม ถัดไปเป็นชาวบ้านที่พากันออกมายืนฟัง มองปริศนายิ้มๆ กันทุกคน
ปริศนารู้สึกเขิน เลยพาลโกรธ สะบัดหน้าใส่ แล้วเดินหนีไปหาท่านชาย
“ปริศนาจะไปคอยในเรือ ใครจะอยู่ที่นี่อีก ก็อยู่ไปก่อน ไม่ต้องห่วงปริศนา”
แล้วปริศนาก็เดินหน้าเชิดระเหิดระหงไปทางแม่น้ำ ประวิชลุกตามมองไปงงๆ แล้วจึงเริ่มเก็บเสื่อ ท่านชายลุกขึ้นช้าๆ ยื่นมือไปช่วยถือตะกร้าปิกนิก แลเห็นปริศนาเดินห่างสองหนุ่มออกไปเรื่อยๆ ทางท่าน้ำ
คืนนั้น ปริศนาแต่งชุดนอนเตรียมเข้านอนแล้ว เธอแปรงผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน แล้วจู่ๆ กระแทกแปรงลงกับโต๊ะอย่างโมโหไม่หาย
อนงค์ซึ่งกำลังสอยชายเสื้อที่สิรีรับจากร้านมา เหลือบตาขึ้นมอง ทั้งๆ ที่ทำมึนไม่สนใจปริศนามาสักระยะหนึ่งแล้ว
"นายประวิชนี่แย่มากๆเลย รู้ไหมอนงค์"
อนงค์หยุดสอยชายเสื้อไปพักหนึ่ง แล้วความสนใจมีมากกว่าเลยตัดสินใจถาม
"ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้น"
"วันนี้ซี ที่ไปเที่ยวเรือ นายประวิชพูดว่ายังไงรู้ไหม"
อนงค์วางมือจากงาน แล้วมองปริศนาตรงๆ อย่างรอคำตอบ
"น่าไม่อายนะ พูดออกมาได้ ว่าจะลาออกจากงาน ไปนั่งกินนอนกิน ถ้าเผื่อเขามีเงินมากอย่างท่านชาย"
อนงค์เลิกคิ้วเป็นทำนองตั้งคำถามว่า แล้วผิดตรงไหน
"ทำไมรึ อนงค์ ไม่เชื่อหรือว่า นายประวิชพูดอย่างนี้"
"ก็ถ้าเขาคิดอย่างนั้น แล้วปริศนาจะไปเดือดร้อนกับเขาทำไม" อนงค์ถาม
ปริศนาทำท่าจะเป็นลม
"อนงค์ อนงค์คิดว่า เราควรจะเป็นเพื่อนกับคนที่สิ้นคิด อย่างนี้หรือ"
"อะไรกันปริศนา ถ้าเขาคิดอย่างไหน พูดอย่างนั้น ผิดด้วยหรือ ประวิชก็เป็นคนพูดสนุก คุยสนุกอย่างนั้นเอง"
"พูดแสดงความคิดแย่ๆนี่หรือสนุก"
ปริศนาเบ้ปาก
อนงค์ถามต่อ
"แล้วท่านชายล่ะ ท่านมีความคิดอย่างไร"
"ท่านชายมีความคิดดีๆมากๆทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียว ไปหลงยายรตี เป็นอันว่าผู้ชายบ้านนั้น ความคิดนับถือไม่ได้สักคน"
อนงค์รู้สึกว่าปริศนาประหลาดเกินไปต่างหาก
คืนวันเดียวกัน ณ ระเบียง วังศิลาขาว ท่านชายพจน์ปรีชา ราชนิกูลประทับอยู่ที่เตียงผ้าใบ รับลมเย็นยามค่ำ ประวิชยืนกลัดกลุ้มอยู่ไม่ไกล เขารำพัน คร่ำครวญ
"ปริศนา ปริศนา ปริศนา ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นปริศนาเสียจริงๆ"
"คร่ำครวญ ราวกับอกหักเสียแล้วประวิช"
"ท่านชายโปรด ให้ชวนเขามาเที่ยวเรือ จะให้ได้สนิทสนมกัน แต่กลับกลายเป็นว่า ปริศนาเกลียด หม่อมเสียแล้ว"
ท่านชายพจน์ ปรีชา ลุกขึ้นมองประวิช อย่างขำๆ
"ปริศนาเขาไม่ได้บอกว่าเกลียดนายนะประวิช เขาแค่เกลียดคนที่ลาออกจากงาน มานั่งกินนอนกินเฉยๆเท่านั้น"
"แค่พูดออกมา ก็ยังอาละวาดเสียแทบเป็นแทบตาย เลยกระหม่อม"
"ถ้าประวิชลาออกจริง ปริศนา ก็คงโกรธจริงๆอย่างที่พูด แต่นี่ประวิชยังไม่ได้ลาออก ก็แปลว่าเขายังไม่ได้โกรธ ยังไม่ได้เกลียดประวิชเลยนะ ทุกอย่าง ยังไม่ได้เกิดขึ้น ทั้งการลาออกของประวิช และความโกรธของปริศนา"
ประวิชเพิ่งเข้าใจ นึกได้ตามความเห็นของท่านชาย
"ถ้างั้น กระหม่อมควรทำอย่างไรดี"
"ปริศนา... เป็นคนแปลก แปลกกว่าผู้หญิงทั้งหมด ที่เคยรู้จักมา"
"แปลกอย่างไร เป็นส่วนที่โปรดหรือไม่ กระหม่อม"
"แปลกตรงที่มีความคิดเป็นสาระ หากเธอเลือกนาย ฉันก็คงหายห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะน่าจะเป็นคนที่ประคับประคองครอบครัวให้ตลอดรอดฝั่งได้"
ภาพท่านชายพจน์ ปรีชา และปริศนา เดินไปด้วยกัน และกราบพระที่วัดเมื่อตอนกลางวันผ่านความคิดเข้ามา
ท่านชายยิ้ม รู้สึกเอ็นดูปริศนาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย
"หากท่านชายเห็นว่าปริศนาคู่ควรกับกระหม่อม กระหม่อมจะเพียรให้ปริศนาเห็นใจให้จงได้"
ประวิชทำหน้ามั่นใจ
ท่านชายพจน์ ปรีชา เก็บความรู้สึกขำเอาไว้
ปริศนา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น รถของประวิช เข้ามาจอดที่หน้าบ้านสุทธากุล ที่ลุงช่วงเปิดประตูทิ้งไว้
ขณะนั้น ปริศนาลงมาจากบ้านกับสิรี ทั้งคู่แต่งตัวเตรียมจะไปทำงาน และหน้าเชิดทันที เมื่อเห็นรถของประวิช
ปริศนาเรียก
"ลุงช่วง"
ลุงช่วงเดินเข้ามาใกล้
"กระผมยังไม่ได้ปิดประตูขอรับ คุณปริศนาจะออกไปทำงานเลยใช่ไหมขอรับ"
"นั่นคุณประวิชไม่ใช่เหรอ ทำไมมาแต่เช้า" สิรีว่า
ประวิชเปิดประตูลงมาจากรถ ยิ้มให้ปริศนาอย่างเอาใจ
"ปริศนา ... สิรี ผมมาทันพอดีทีเดียว"
สิรีมองประวิชอย่างงงๆ ประวิชหันกลับไปในรถ คว้ากล่องกระดาษที่ตั้งไว้ข้างคนขับออกมา
"ปริศนา ... เจ้าตัวเล็กที่เธอฝากไปเลี้ยง ป้าสร้อยดูแล อาบน้ำ ถ่ายพยาธิให้มันแล้ว พูดจาพอรู้เรื่อง เรียกให้มาหาได้ มันรู้จักชื่อตัวเองแล้ว เลยเอามาให้"
ปริศนาหน้ายินดีทันที วิ่งเข้ามาดูที่กล่อง ประวิชวางกล่องลงปริศนาลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู
"อูว์ มันจำปริศนาได้"
สมรเดินเข้ามา เสียงดังมาจากบนบ้าน
"อะไร น่ะ ปริศนา"
ปริศนาหน้าเสียหันมาหาแม่
"ประวิชค่ะ เอาหมามาให้ปริศนา" สิรีบอก
"มันรู้เรื่องนะครับ ฉลาดด้วย ถ้าจะไม่ให้มันยุ่ง ทำกรงใส่มัน ปริศนา อยู่บ้านอยากเล่นกับมัน ก็ปล่อยมันออกมาวิ่ง..... ในสวนได้"
สมรสวนทันที
"หมานะจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา จะเอาไว้เล่นอย่างเดียว ต้องเลี้ยงดูมันอีก"
"แม่คะ ปริศนาจะให้ข้าวให้น้ำมันเองค่ะแม่ แม่ให้ปริศนาเลี้ยงหมาตัวนี้นะคะ"
สมรมองประวิชอย่างเกรงใจ เพราะหมาตัวนี้ประวิชเป็นคนเอามาให้
"จะไปทำงานกันได้หรือยัง ปริศนา เดี๋ยวสาย" สิรีถาม
ปริศนานึกได้ ว่าสายแล้วรีบยกกล่องใส่หมาไปวางไว้ให้คุณนายสมร
"แม่ จับมันไว้ก่อนนะ ประวิชไปเลื่อนรถเร็ว ปริศนาต้องไปแล้ว แล้ว" เธอหันมาพูดกับลุงช่วง "อย่าลืมดูแลมันให้ดีนะ เย็นนี้ปริศนาจะกลับมาเลี้ยงมันเอง"
ปริศนาเดินไปขึ้นรถของตน ประวิชรีบขึ้นรถ ถอยออกให้พ้นทางรถของปริศนา ช่วง คอยโบกรถให้ สิรีวิ่งไปขึ้นรถ คุณนายสมร มองเจ้าตัวเล็กอย่างเมตตา แล้วค่อยๆเอื้อมมือลูบหัวมัน
ปริศนาถือหนังสือ เตรียมการสอนเดินอย่างเร็วเพราะมาสาย ในบริเวณทางเดินของโรงเรียนครูสงวน เธอตรงไปยังห้องเรียน
บริเวณทางเดินหน้าห้องเรียนชั้นพิเศษ 1 ในเวลาต่อเนื่องมา บรรดาสาวๆชะโงกหน้ามองดูปริศนาที่กำลังเดินใกล้เข้ามา อยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง
วิมลบอก
"นั่นไง ครูปริศนามาแล้ว วันนี้ครูมาสาย"
"เพราะลูกหมาที่ประวิช เอาไปให้เมื่อเช้านี้แน่ๆ" รัตนาวดีบอก
ปริศนาเดินเข้ามาถึงพอดี
"ครูคะ ครูได้ลูกหมามาใหม่ใช่ไหมคะ" รัตนวดีถาม
"ไม่ใช่เพคะ ครูได้ลูกหมาของครูกลับมาต่างหาก เข้าห้องเรียนได้แล้ว สายไปแล้วตั้ง 3 นาที"
ปริศนาต้อนท่านหญิงรัตนาวดีและวิมลเข้าไปด้านใน ทั้งสองรีบไปนั่งประจำที่ แล้วหัวหน้าห้องบอกนักเรียนทำความเคารพ "good morning Teacher"
พอนักเรียนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ปริศนาก็หยิบหนังสือขึ้นมา
ท่านหญิงรัตนาวดียกมือขึ้น
"มีอะไรหรือเพคะ"
"วันนี้ เราเรียนเรื่องการเลี้ยงหมาได้ไหมคะ ครู"
นักเรียนทุกคนดูตื่นตัวกันมาก
"โอเคค่ะ การเลี้ยงหมา หรือสุนัขนี่มี 2 แบบนะคะ คือเลี้ยงเพื่อใช้งาน คือ working dogs เช่น ให้เลี้ยงแกะ หรือล่าสัตว์ หรือเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่น ก็เรียกว่า pets ค่ะ"
ในบริเวณริมรั้วหลังบ้านสุทธากุล ช่วงนั่งตอกไม้สุดท้ายอยู่หน้ากรงเล็กๆ ที่ใช้ไม้เก่าๆ มาตอกประกบ และมีประตูเปิดเล็กสำหรับหมาเข้าไปได้ มีไม้เล็กๆ หมุน กั้นประตูไม่ให้เปิดออกเอง กรงนี้ยกพื้นสูงจากพื้นดินพอประมาณ มีพื้นกรงเป็นแผ่นไม้กระดาน
เมื่อลุงช่วงรวมรวมอุปกรณ์เครื่องมือใส่กล่องหิ้ว แบบช่างไม้ และหยิบเศษไม้ทิ้งใส่ในเข่งขยะ
ปริศนาเข้ามาอุ้มเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนผ้าห่มเก่าผืนเล็กๆ
อนงค์ และสมร เดินตามมา
"อูวว์ นี่เหรอคะ dog cage ที่ ประวิช วาดแบบให้ลุงช่วงสร้าง" ปริศนาว่า
"วันนี้ช่วงไม่ได้ทำอะไรเลย ทำกรงหมาอย่างเดียว" สมรบอก
"ไม่เล็กไปหรือ เผื่อมันโตกว่านี้"
"คุณประวิชว่าให้ใส่กรงเป็นเวลา ปริศนาคงไม่ขังมันไว้ตลอดใช่ไหม" อนงค์บอก
"แต่แม่ก็ไม่ให้หมาขึ้นบ้านด้วยจ้ะ นี่ถ้าไม่ใช่ประวิชเอามาให้ แม่ก็ว่าจะไม่ให้รับเอาไว้"
"เลี้ยงมันไว้เถอะ นะคะแม่ ปริศนาสงสารมัน มันไม่มีใคร เป็นกำพร้า มันหน้าสงสารจริงๆ เห็นไหม"
ปริศนายกหมาให้แม่ดู แต่สมรดูไม่ปลื้มนัก
ผ่านเวลาจนถึงวันใหม่วันหนึ่งในเวลากลางวัน ณ บริเวณห้องโถง หนังสือ pocket book ในมือปริศนา เป็นรูปหมาที่หน้าปก เป็นเรื่องการดูแลสุนัขภาษาอังกฤษ
อนงค์กำลังช่วยเก็บหนังสือและของที่รื้อออกมาวางนอกหีบกลับเข้าที่
"บ้านเราไม่มีที่เก็บหนังสือเลยนะ ปริศนา ต้องรื้อหีบออกมาเสมอ" อนงค์บอก
"แต่หนังสือ พวกนี้ ไม่มีขายในเมืองไทย เขายังไม่เขียนกันเลย"
"เลี้ยงหมาต้องใช้ตำราด้วยหรือ"
"เราไม่รู้อะไรทุกอย่างนี่ อนงค์ เล่มนี้ปริศนาซื้อตอนที่คุณอา ซื้อหมาให้เลี้ยง เสียดายที่เอามันมาด้วยไม่ได้ มันคงอยู่ลำบาก ถ้าแม่ไม่ให้เข้าบ้าน อยู่ที่โน่น มันอยู่ในบ้านตลอดเวลา
ออกไปวิ่งข้างนอกเป็นครั้งคราวเท่านั้น มันไม่เคยทำเลอะ ทำเปื้อนในบ้านนะ"
"แม่ไม่เชื่อหรอก"
ปริศนาส่งหนังสือให้อนงค์
"อนงค์ เดี๋ยวปริศนาแปลให้ แล้วอนงค์อ่านนะ แล้วช่วยปริศนาฝึกหมา ประวิชเขาฝึกมาแล้วบ้าง ฝึกดีๆ เราพามันไปไหนๆด้วยก็ได้ บางที ถ้ามันรู้เรื่องมากๆ แม่อาจจะให้มันขึ้นมาอยู่บนบ้านกับเราก็ได้"
"ตัวมันเหม็นจะตาย"
"ก็อาบน้ำให้มันสิ อนงค์ ไม่เห็นจะยาก"
เสียงแตรรถของประวิชดังขึ้น ปริศนาลุกขึ้น มองไปทางหน้าบ้าน อนงค์นั้นใจลอยไปก่อนแล้ว
"นั่นประวิชมาละซี มาเก็บของกัน เดี๋ยวปริศนา จะชวนประวิชจูงหมาเดินเล่น"
ปริศนาลุกขึ้นช่วยอนงค์เก็บของ ใส่หีบ แล้วจัดวางไว้อย่างเดิม
ตัดไป
เวลาต่อมา ประวิชผูกสายจูงที่เป็นสายโซ่ให้เจ้าตัวเล็กเสร็จเรียบร้อย แล้วบอก
"หากปริศนาจะพามันออกไปเดิน นอกบ้าน ก็จะต้องล่ามมันไว้ และจูงมัน กันไม่ให้มันวิ่งเตลิดไปไหน เพราะมันยังไม่แสนรู้พอ พวกหมาล่าสัตว์ในต่างประเทศมันฉลาดมาก เลือกเก็บสัตว์ที่ล่าไม่ให้บอกช้ำ ฝึกได้ตามงานที่ต้องทำเลย"
อนงค์มองประวิชอย่างชื่นชม
"ปริศนาก็กำลังนึกว่า จะฝึกมันให้เป็นอะไรดี จะช่วยกันฝึกกับอนงค์นี่แหละ"
"ดีแล้ว มีคุณอนงค์ช่วย เพราะอยู่บ้านมากกว่าปริศนา มาไปกันเถอะ"
ประวิชลุกนำไป ปริศนา วิ่งตามกันออกไปดูมีความสุข อนงค์ที่ยิ้มเยือนตามมรรยาท หน้าเสียขึ้นมาทันที
บริเวณริมถนน ประวิช และปริศนา เดินจูงหมา และเล่นกับหมาอย่างสนุก พอไปถึงที่ว่าง ประวิชก็ปลดสาย ขว้างไม้ ให้หมาวิ่งไปเก็บ ปริศนาปรบมือดีใจ ดูทั้งคู่สนิทสนมกัน
บริเวณทางเดินในตำหนักศิลาขาว เวลาค่ำ วันเดียวกัน ท่านชายพจน์ปรีชา เดินออกมาพร้อมนายสนที่ถือกระเป๋าประจำตัวแพทย์มาด้วย
ประวิช เดินยิ้ม ผิวปากสวนเข้ามา
"ค่ำแล้ว จะเด็จไปผ่าตัดหรือกระหม่อม"
"ทางโรงพยาบาล เพิ่งตามตัวมา คงกลับดึกเลยทีเดียว แล้วประวิชล่ะ ไปไหนมา"
ท่านชายไม่ได้หยุดเดิน ประวิชเดินตาม
"ขอบพระทัยฝ่าบาทฯ เรื่องหมาตัวนั้น ปริศนา ดีกับกระหม่อมแล้วพระเจ้าค่ะ"
ท่านชายพจน์ปรีชาหยุดนิดนึง หันมามองประวิชอย่างพิจารณา
"ก็ดีแล้วนี่"
แล้วท่านชายหมุนตัว แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ประวิชยิ้มฝันหวานคิดถึงปริศนา
"ปริศนา...สุดที่รัก"
ประวิชยิ้ม แล้วเดินแกมเต้นอย่างสุขใจไปทางห้องพักของตน
วันนี้ ปริศนาวิ่งเล่นอยู่ในสนามหน้าบ้านกับเจ้าตัวเล็กด้วยเสียงดัง ปริศนาโยนลูกบอลให้หมาเล่น สมรและอนงค์ยืนดูปริศนาเล่นกับหมาอยู่หน้าประตูบ้าน
"ดูปริศนาสิ เล่นยังกับเด็กๆ"
"อยู่เมืองนอก ปริศนาเล่นกีฬา ชอบวิ่งเล่น ให้อยู่บ้านเฉยๆ ปริศนาคงไม่มีความสุข ถึงอยากเลี้ยงหมาไงคะ แม่" อนงค์บอก
สมรยิ้ม ขณะมองปริศนาอย่างเอ็นดู แล้วหันมาพยักหน้าเรียกอนงค์
"มา อนงค์ ไปช่วยแม่ปั้นสาคูไส้หมูเถอะ"
อนงค์ และสมรเข้าไปด้านในบ้าน
ปริศนายังคงเล่นอยู่กับหมา ปริศนาโยนลูกบอล ให้หมาไปคาบมาแล้วชื่นชมมันสองสามครั้ง
"เก่งมาก เจ้าตัวเล็ก คราวนี้ไปไกลหน่อยเลยนะ"
ปริศนาโยนลูกบอลไปทางหน้าบ้าน
เจ้าตัวเล็กกระโดดเล่น แล้ววิ่งตามลูกบอลไป
ลูกบอลวิ่งลอดประตูบ้านออกไปภายนอก เจ้าตัวเล็กวิ่งตามมา แล้วมุดประตูตามออกไป ปริศนาวิ่งตามมาเห็นเหตุการณ์นั้น กใจ เพราะ เป็นห่วงเจ้าตัวเล็ก
"Hey! เจ้าตัวเล็ก... กลับมา กลับมาก่อน"
ปริศนาวิ่งตามมาถึงหน้าประตู
เสียงรถเบรกดัง ปริศนาร้องอย่างสังหรณ์ใจ
"เจ้าตัวเล็ก"
ปริศนามือสั่น รีบวิ่งไปเปิดประตูรั้วออก รถท่านชายพจน์ปรีชา จอดอยู่หน้าบ้านในสภาพหักหลบอะไรบางอย่าง
ท่านชายพจน์ ปรีชา และประวิช ลงมาจากรถ ปริศนา มองมาในจุดที่ท่านชายทอดเนตรอยู่ เห็นเจ้าตัวเล็กนอนนิ่งอยู่หน้ารถ
ปริศนาตกใจมาก
"เจ้าตัวเล็ก"
ปริศนาเอื้อมมือจะเข้าไปจับตัวมัน ท่านชายจับมือปริศนาไว้ และล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาให้
"ปริศนา ใช้ผ้านี่เถิด มันตายแล้ว"
ปริศนาน้ำตาไหลพรากออกมา
ประวิชเดินไปในรถ หยิบผ้าเช็ดรถออกมาสองสามผืน แล้วปูไว้ที่ถนน
"ให้ประวิชช่วยนะ ปริศนา"
"ใจร้าย ใจร้ายที่สุด ขับรถทับหมาของปริศนาได้ยังไง คนใจร้าย"
"ขอโทษด้วย ปริศนา ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันมุดประตูออกมากระชั้นชิด จนหยุดรถไม่ทัน"
"มันตายแล้ว ขอโทษยังไง มันก็ไม่ฟื้น หมาของปริศนาตายแล้ว"
ประวิชเอาตัวของเจ้าตัวเล็กห่อผ้าเสร็จแล้ว ส่งให้ปริศนา เธอร้องโฮ อุ้มมันวิ่งเข้าบ้านไป
ประวิชมองท่านชาย
"คงจะคุยกันไม่สนุกเสียแล้วฝ่าบาท"
ท่านชายพจน์ ปรีชา พยักหน้า สีหน้าขรึมเคร่งไม่พูดอะไร เดินไปขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องแล้วออกไปทันที
ประวิชมองตาม แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน
ที่บริเวณสนามหลังบ้านสุทธากุล ในเวลานั้น ช่วงขุดดินใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นหลุมพอใส่กล่องฝังหมาได้ แล้วถอยออกมาพร้อมกับจอบ ประวิช พับแขนเสื้อให้ทะมัดทะแมง เดินเข้ามาดูใกล้ๆ
"ได้ขนาดพอหรือยังขอรับ"
"หลุมขนาดนี้ น่าจะพอใส่ได้แล้วล่ะ ลุงช่วง"
ประวิชเดินกลับไป ที่เก้าอี้สนาม
ปริศนานั่งร้องไห้ กอดกล่องกระดาษบรรจุศพเจ้าตัวเล็กอยู่
อนงค์ถือดอกไม้ที่เด็ดมา ยืนใกล้ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก ประวิชเข้ามาใกล้
"ปริศนา... ลุงช่วงขุดหลุมเสร็จแล้ว เอาเจ้าตัวเล็กไปอยู่ในบ้านใหม่ของมันเถอะนะ"
"แล้วต่อจากนี้ กรงของมันใครจะอยู่ เพิ่งจะนอนอยู่ได้ไม่กี่วันเอง"
"เราตั้งใจทำดีที่สุดแล้วนะปริศนา อนงค์เตรียมดอกไม้ไว้ให้แล้ว"
"ปริศนา ไปกันเถอะ" อนงค์บอก
"ทำใจให้สงบ ตั้งใจส่งวิญญาณให้มันไปภพใหม่ด้วยนะปริศนา มาประวิชจะช่วย"
ประวิชยกกล่องขึ้น อนงค์ดึงปริศนาให้ลุกขึ้น และทั้งหมดเดินตามไป
ประวิช และช่วงช่วยกันวางกล่องลงในหลุม ลุงช่วงเริ่มกลบดิน เมื่อดินกลบเรียบร้อยแล้ว อนงค์แจกดอกไม้ให้ปริศนา ประวิช เพื่อวางบนหลุม ปริศนายังร้องไห้อยู่ ด้วยความสงสารเจ้าตัวเล็ก
สมรโผล่หน้าออกมาดู สีหน้าไม่พอใจมาก
ค่ำวันเดียวกัน ห้องอาหารตำหนักศิลาขาว ประวิชยกแก้วที่จัดไว้แล้ว ดื่มน้ำ และเดินไปเทน้ำจากโถเย็นลงแก้ว แล้วยกขึ้นดื่มหลายแก้วอย่างกระหาย ด้วยไปช่วยปริศนาฝังศพเจ้าตัวเล็กมา ท่านชายพจน์ ปรีชา เดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นประวิชดื่มน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย
"เพิ่งกลับมาหรือประวิช มายังไง"
"สามล้อสิฝ่าบาท แล้ววันนี้ฝ่าบาทไม่เด็จไหนหรือ"
"ไม่ล่ะ จะอาบน้ำก่อนไหม"
"กระหม่อมหิว เหวยเลยไหมฝ่าบาท"
ท่านชายพจน์มองประวิชอย่างแปลกใจ
"ทำอะไรอยู่ถึงกลับมาเอาป่านนี้"
"ฝังศพหมาให้ ปริศนา กระหม่อม"
ป้าสร้อย โผล่เข้ามา ท่านชายพจน์ปรีชามองประวิชอย่างแปลกใจ
"ฝังศพหมา"
"ปริศนาร้องไห้ไม่หยุด กระหม่อมเลยต้องไปช่วยเขาหากล่องกระดาษมา แล้วก็ให้คนสวนเค้าขุดดินหลังบ้าน ให้อนงค์ ไปช่วยหาดอกไม้มาวาง นั่นแหละ ถึงจะเลิกร้องไห้ได้ ปริศนาก็เหมือนเด็กแท้ๆทีเดียว"
"เป็นเด็กไม่ดีหรือ เอาใจได้ง่าย"
"แต่วันนี้ กระหม่อมโดน คุณนายสมร ดุเอาด้วยสิ"
"เรื่องที่เราทำหมาของเค้าตายน่ะหรือ"
"ไม่ใช่..กระหม่อม เรื่องที่ต้องมาทำเรื่องฝังศพเสียเอิกเกริกต่างหาก คุณนายแก
ออกจะถืออยู่"
"แล้วเขาโกรธฉันไหม"
"ไม่ได้เห็นท่าทีว่าโกรธ แต่เสียใจละมากกว่า"
ท่านชายพจน์ ปรีชา ส่งสัญญาณให้สนตักข้าว ประวิชคว้าช้อนส้อมจะตักข้าวเข้าปาก
ป้าสร้อยโผล่เข้ามา ถือขันเงิน ใส่ก้านทับทิมเข้ามาด้วย
"คุณประวิชคะ ล้างหน้าสักหน่อยก่อนเถอะค่ะ"
"อะไรนะ ป้าสร้อย"
"คุณไปที่ไหนมา มาถึงก็จะมาร่วมโต๊ะเสวย ไม่ได้ล้างมือล้างหน้าอะไรเลย"
"ชั้นหิวข้าวแล้วจะกินข้าว"
"คุณประวิช จะต้องให้หยิกเหรอคะ ทำอะไรให้เป็นมงคลกับตัวเองสักหน่อย เถอะ"
สร้อยไม่ลืมเหลือบตามองท่านชายด้วยความเป็นห่วงว่าความซวยจะตามมาถึงท่านชายด้วย
ท่านชายพยักหน้าให้ประวิช
"เพื่อความสบายใจ ก็รู้อยู่ว่า เรื่องอย่างนี้ผู้ใหญ่ถือกันนัก สิริมงคล ไม่ไปไหน อยู่กับตัวเรานี่แหละ เสียเวลาไม่มากหรอก"
ประวิช ยอมลุกขึ้น เอามือ จุ่มน้ำในขัน แล้ว เอามาลูบหน้าตัวเอง สน ส่งผ้าให้เช็ดหน้า และเช็ดมือ
ท่านชายพจน์ ปรีชา มองตาม จนประวิชกลับมานั่ง
"ผู้ใหญ่ จะคิดมากระวังมากกว่า เด็กก็จะคิดเฉพาะหน้า ใช้ความรู้สึกของตนเป็นใหญ่"
"ทรงหมายถึงปริศนา หรือกระหม่อม"
ท่านชายยิ้ม ไม่ตอบ แสดงท่าให้ประวิช เริ่มลงมือรับประทานอาหารได้
ท่านชายพจน์ ปรีชา แต่งชุดอยู่บ้านสบาย นั่งเคาะใบยาออกจากไปป์ ประวิช โผล่หน้าเข้ามา เปลี่ยนชุดแล้ว นั่งอยู่ในมุมหย่อนอารมณ์ของระเบียงวังศิลาขาว
"ฝ่าบาท ประทับอยู่นี่เอง"
ท่านชายพจน์ปรีชาดักคอ
"จะมาขอความช่วยเหลืออะไร เรื่องปริศนาอีกหรือ"
"เห็นว่าไม่ต้องช่วยแล้ว ฝ่าบาท เวลานี้สนิทสนมกันได้เหมือนเดิม เหมือนปริศนาจะลืมเรื่องความโกรธไปหมดแล้ว"
"ในความเศร้าโศก เสียใจ ยังมีเรื่องที่น่ายินดี"
"ไม่มีช่วงไหนที่จะเห็นใจกันได้ยิ่งกว่าช่วงเวลาแห่งความทุกข์" ประวิชว่า
"เห็นจะจริง คงจะลงเอยกันได้ซักที คราวนี้"
"ฝ่าพระบาทเล่า เมื่อไหร่จะลงเอยเสียที รตี เฝ้ารอแล้วรออีก"
ท่านชายยิ้ม แต่ไม่ตอบ
"หรือฝ่าบาท ไม่ทรงโปรด รตี"
"เวลานี้ยังไม่ได้คิด รตีก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เป็นพี่ของนาย และยังเป็นญาติสนิทกับฉัน เป็นลูกของน้าแท้ๆ"
"ไหนฝ่าบาทเคยรับสั่งว่า คนที่ฝ่าบาทแต่งงานด้วยจะต้องเป็นคนดี วิเศษ กระหม่อมไม่เห็นว่า รตีจะวิเศษยังไง"
"ก็เพราะยังไม่วิเศษน่ะสิ ถึงยังไม่แต่งงานด้วย"
"นั่นสิ อนงค์ดีกว่าตั้งเยอะ ทำงานบ้านก็ได้ สวยก็สวย เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ รู้อะไรก็ไม่ปากพล่อยพูดต่อ แต่งตัวก็ใช้ได้ พาออกแขกได้ไม่อาย ความรู้ก็มี จบชั้น 8 เชียวนา ฝ่าบาท"
ท่านชายพจน์ ปรีชา เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วสรวลเบาๆ
"หากว่าแม่อนงค์ดีถึงเพียงนี้แล้ว ทำไมประวิช ไม่จับจองเป็นเจ้าของเสียเองเล่า"
"กระหม่อมเห็นจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะหัวใจของกระหม่อม ทุกห้องทั้งดวงมอบให้ปริศนาไปเสียคนเดียวแล้ว จะเจือจานไปให้ใครอีกคงไม่ได้หรอก ฝ่าบาท"
"ความรัก...ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน"
"ไม่เกิดกับใคร ไม่รู้หรอก กระหม่อมเคยคิดว่ารักอนงค์ แต่พอพบปริศนา รู้เลยว่า นั่นไม่ใช่รัก เพียงแค่ความชื่นชม ยกย่อง อนงค์เป็นคนดีเสียจริง แต่ไม่ใช่คนที่เราจะมอบหัวใจให้ได้"
ประวิชทำท่าชื่นชมปริศนา ออกไปทางหนึ่ง ท่านชายลุกขึ้น มองออกไปไกลๆ อีกทางหนึ่ง แล้วพูดล้อประวิช
"ผู้หญิง น่าชื่นชม แสนดี และ เป็นที่รัก"
ท่านชายพจน์ ปรีชา นึกเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิง 3 คน รตี ดูเฟลิร์ตๆ ขณะที่อนงค์ที่เจียมเนื้อเจียมตัว ส่วนปริศนาแสดงออกอย่างจริงใจ ภาพต่างๆ ของปริศนาผุดเข้ามาในความคิดของท่านชายยิ่งกว่ารตีและอนงค์
ราชนิกุลรูปงามยิ้มพราย เริ่มรู้สึกชื่นชมในตัวปริศนา ก่อนจะมีภาพของประวิชเข้ามาพ่วงท้าย
อ่านต่อตอนที่ 4