เจ้านาง ตอนที่ 10
มนต์ทิพย์นั่งหมดอาลัย เสียงรถแล่นเข้ามา บุญสลักลุกไปดู
“นายแฟรงค์น่ะ”
แฟรงค์เดินเข้ามา ปีบซึ่งเป็นคนรับใช้ เดินตามมาพร้อมตะกร้าผ้า
“นี่พี่ปีบ ฉันจะให้มาอยู่เป็นเพื่อนแกสักพัก เคยเจอกันแล้วนี่”
“สวัสดีค่ะคุณทิพย์ คุณบุญสลัก จำพี่ปีบได้มั้ยคะ”
“จำได้สิคะ ขอบคุณพี่ปีบมากนะคะ ขอบคุณมากนะเพื่อน”
“แค่นี้สบายอยู่แล้ว เพื่อนกันนะโว้ยไอ้ทิพย์ น้อยกว่านี้ได้ไง”
“พอคุณแฟรงค์บอกว่าจะพามาเปลี่ยนบรรยากาศที่บ้านคุณทิพย์สักพัก พี่งี้รีบแจ้นไปเก็บกระเป๋าเลยค่ะ บ้านคุณแฟรงค์คนรับใช้แยะ แทบเดินชนกันตายแน่ะค่ะ”
“พี่ปีบแกช่างฉอเลาะ ระวังปากจะพาจน” “ไม่มีซะล่ะค่ะ”
ปีบค้อนแฟรงค์นิดๆ เสียงรถดังเข้ามา มนต์ทิพย์ชะเง้อมอง
“เดี๋ยวปีบเองค่ะ คุณทิพย์”
ปีบเดินออกมาดู มนต์ทิพย์ลุกตามมาด้วยความร้อนใจ เพราะคิดว่าอาจเป็นโปลิศมาส่งข่าวเรื่องแม่ บุญสลักกับแฟรงค์พลอยตามติดออกมาด้วย ทุกคนเห็นพวงครามกับพักตร์พริ้งลงรถมา
“คุณแม่ คุณอา”
“สวัสดีครับ คุณแม่ คุณอา”
มนต์ทิพย์ไหว้ทั้งสอง ไม่พูดอะไร พักตร์พริ้งรับไหว้แกนๆ ปีบมองคนโน้นคนนี้ เข้าใจผิดคิดว่าพักตร์พริ้งคือแม่ของมนต์ทิพย์ที่หายตัวไป รีบยกมือไหว้
“คุณแม่ คนนี้หรอคะที่หายไป โถ ดูซิ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน หน้าตาแย่ไปเลยนะคะ ไปอยู่ไหนมาล่ะคะนั่น ทางนี้เป็นห่วงเหลือเกินค่ะ คุณทิพย์ไม่เป็นอันทำอะไร เข้าบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวปีบจะหาน้ำหาท่ามารับรอง เชิญค่ะ”
ทุกคนมองปีบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พักตร์พริ้งหน้าตึง
“ไหน ใครเป็นแม่ใคร ฉันไม่เคยคิดจะเกี่ยวดองข้องแวะอะไรกับคนบ้านนี้หรอกย่ะ แหกตาดูให้ดีๆ ซะก่อนสิ”ปีบหน้าเจื่อน
“อุ้ย คุณพระ ปีบขอโทษจริงๆ ค่ะ มีตาแต่ดั๊นไม่มีแวว แหม คุณทิพย์เธอออกจะผู้ดี๊ผู้ดีนะคะ”
“นี่แกว่าฉันเหรอ”
ปีบถอยกรูดไปยืนหลังมนต์ทิพย์
“เอ่อ คุณแม่ คุณอา เข้าบ้านก่อนเถอะครับ”
“ข้างนอกแดดแรง เชิญในบ้านดีกว่าค่ะ”
“แหม นึกว่าเจ้าของบ้านจะไม่มีปากซะแล้ว เข้าไปในบ้านก็ดีเหมือนกันนะคะ คุณพี่”
พักตร์พริ้งถือวิสาสะ เดินนำทุกคนเข้าไปในบ้าน อยากจะเข้าไปดูว่าบ้านมนต์ทิพย์มีสมบัติพัสถานอะไรบ้าง
มนต์ทิพย์หน้าไม่สู้ดี รู้ว่าพวงครามกับพักตร์พริ้งไม่มาดี ปีบยกน้ำมาเสิร์ฟ พักตร์พริ้งมองเหยียดๆ
“ไหนว่าเพิ่งมาจากอังกฤษ ชาดีๆ ไม่มีรับรองแขกบ้างหรือจ๊ะ”
“ปีบก็เพิ่งมาอยู่ใหม่ซะด้วยสิ ยังไม่ทันสำรวจของในครัว เอางี้มั้ยคะถ้าคุณอาอยากจะดื่มชา เดี๋ยวปีบไปซื้อร้านเจ๊กฝั่งโน้นให้ เอามั้ยคะ”
“พี่ปีบ”
แฟรงค์ดุ ปีบหัวหด หน้าเจื่อน ถอยออกไป พักตร์พริ้งหน้าตึง ยิ่งโกรธมนต์ทิพย์มากขึ้น
“บุญสลัก ทำไมไม่ยอมกลับบ้าน แม่เป็นห่วงมากรู้มั้ย”
“นั่นสิ แม่เราไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน”
“คือ เรายังหาคุณแม่ของทิพย์ไม่พบเลยครับ”
“ใช่ครับ คุณแม่ คุณอา ขนาดให้โปลิศช่วยก็ยังไม่คืบหน้า”
“ให้เป็นหน้าที่ของโปลิสก็ดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาเดือดร้อนคนอื่นเขาไปทั่ว อุตส่าไปเติบโตอยู่เมืองนอกเมืองนา ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่มีปัญญาจะจัดการด้วยตัวเอง”
แฟรงค์มองพักตร์พริ้งอย่างไม่เชื่อหู
“กลับบ้านกันเถอะลูก”
บุญสลักอึดอัด มองมนต์ทิพย์
“คุณกลับบ้านเถอะค่ะทางนี้ฉันจัดการเองได้ไม่ต้องห่วง”
“แต่ผมเป็นห่วงคุณ”
“ในเมื่อลูกหลานไม่เห็นหัวเรา ก็กลับกันเถอะค่ะ คุณพี่” “กลับบ้านกับแม่ บุญสลัก แม่จะรอที่รถ”
พวงครามเดินแยกไป บุญสลักถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ทิพย์ครับ ผมขอไปคุยกับคุณแม่ให้เข้าใจ แล้วจะรีบกลับมา”
“อย่าดีกว่าค่ะ ทิพย์รบกวนคุณมามากแล้ว ปัญหาของทิพย์ ให้ทิพย์จัดการเองดีกว่า ขอบคุณค่ะ”
“อะไรกันวะเนี่ย ฉันละงงจริงๆ”
แฟรงค์บ่น
“ปีบก็งงเหมือนกันค่ะ”
แฟรงค์ลุกไปหาบุญสลัก แตะไหล่เบาๆ
“นายไปจัดการเรื่องที่บ้านก่อนเถอะ ฉันจะดูแลไอ้ทิพย์ให้เอง”
“ขอบใจเพื่อน”
“เพื่อนกันนี่หว่า น้อยกว่านี้ได้ไง”
บุญสลักถอนใจ แฟรงค์ส่ายหน้า
“โชคดีนะที่ฉันไม่เจอบ้านคุณเขมกีดกันแบบนี้”
เขมิกาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น โฉมวัยชรากำลังอ่านหนังสือ เขมิกาเข้าไปกอด โฉมกอดหลานหอมแก้มซ้ายขวา
“ไม่ออกไปไหนหรือลูก”
“ไม่ล่ะค่ะ คุณย่า แฟรงค์ติดธุระด่วน”
“ธุระอะไรจะสำคัญกว่านัดของหลานย่าล่ะ ฮึ”
“แม่เพื่อนของแฟรงค์หายตัวไปน่ะค่ะ ก็เลยต้องช่วยกันตามหา”
“ญาติโยมไม่มีหรือไง ถึงต้องเดือนร้อนตาแฟรงค์”
“ไม่มีหรอกค่ะ เห็นว่าไปอยู่อังกฤษมาตั้งแต่ห้าขวบ ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่กี่วันพ่อก็ตาย นี่แม่ก็มาหายออกจากบ้านไปอีก”
“ไปอังกฤษตั้งแต่ห้าขวบงั้นรึ แล้วเพื่อนนายแฟรงค์คนนี้ชื่ออะไรล่ะลูก”
“มนต์ทิพย์ค่ะ คุณย่า ชื่อมนต์ทิพย์ ส่วนแม่เขา ดูเหมือนจะชื่ออัปสร”
โฉมตกใจ หนังสือตกจากมือ
“คุณย่า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ เปล่าลูก ย่าไม่เป็นไร”
โฉมนึกถึงอัปสรในวัยเด็ก
“ยัยอัปสรกลับมาเมืองไทยงั้นรึ”
อัปสรนอนไม่ได้สติบนพื้นบ้าน ค่อยๆ ขยับตัว ผงกหัวขึ้นช้าๆ
พอได้สติ มองรอบๆ พอรู้ว่าอยู่ที่บ้านละอองคำก็รีบผุดลุกขึ้นทันที กวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครก็รีบวิ่งไปที่ประตู แต่เปิดไม่ออก เขย่าๆ ก็เปิดไม่ออก หันซ้ายแลขวา รีบไปที่หน้าต่าง แต่แมวดำ กระโดดมาขวาง ร้องขู่เสียงดัง
“ว้าย”
แมวดำจ้องมองอัปสรเขม็ง
“ไปนะ ออกไปให้พ้น”
แมวดำขู่เสียงน่ากลัว เดินเข้าหาอัปสร อัปสรถอยหลัง เหยียบเศษกระดูกคน เธอกรีดร้องเสียงดัง สติกระเจิง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
อัปสรวิ่งไปที่ประตูบ้าน ร้องตะโกนให้คนช่วย เสียงผีเจ้าดังขึ้น
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก อัปสร”
อัปสรหันขวับไปตามเสียง เงาปอบเจ้านาง ปรากฏตรงหน้า อัปสรหลังชนฝา หวาดกลัวสุดขีด
“คิดเหรอว่าจะมีคนช่วยเจ้า ใครๆ ก็รู้ว่าบ้านนี้มีผี มันไม่เอาเจ้าไว้หรอก ทีนี้เจ้าก็จะตายอย่างทรมานด้วยน้ำมือคนด้วยกัน”
อัปสรนิ่ง กลัวตามที่ผีเจ้าขู่ ผีเจ้าได้ที รีบหว่านล้อม
“เลี้ยงผีข้าสิ อัปสร ผีข้าช่วยได้ทุกอย่าง ไม่มีใครจะทำอันตรายเจ้าได้”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ จะต้องฆ่าคนเซ่นผี ฉันทำไม่ได้”
“ปากดีนักรึ นังอัปสร”
ผีเจ้าฟาดหน้าอัปสร จนล้มกลิ้งกับพื้น
“โอ้ย ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
อัปสรฟุบกับพื้น
ที่คลองข้างบ้านทรงปั้นหยาของละอองคำ คนหาปลากำลังทอดแห เสียงอัปสรแว่วมา คนหาปลาชะงักค้าง เงี่ยหูฟัง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
คนหาปลาขนลุกขนพอง
“อะไรกันวะ นี่หลอกกันกลางวันแสกๆ เลยรึ หรือว่าจะหูฝาด”
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
“ไม่ไหวแล้วโว้ย”
คนหาปลาทิ้งแห คว้าไม้พาย พายจ้ำ เรืออีกลำพายมาช้าๆ พลอดรักกัน จะเข้าเทียบท่า หนุ่มคนพายร้องทัก
“จะรีบไปไหนล่ะลุง”
“ไม่ไหวว่ะ ผีบ้านนี้มันเฮี้ยนจัด ข้าไปก่อนล่ะ”
หนุ่มหัวเราะเยาะ หันมาบอกสาว
“กลางวันแสกๆ ผีที่ไหนจะมาหลอก ก็แค่บ้านร้าง พี่มาเก็บมะม่วงกินซะบ่อยไป”
“บ้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ ที่เขาลือกันว่ามีผีปอบ”
“โอ๊ย ผีปอบที่ไหนมี ที่นี่น่ะเงียบ เหมาะกับเราสองคน”
หนุ่มหัวเราะมีเลศนัย เทียบเรือที่ท่าน้ำบ้านละอองคำ สาวทำเอียงอาย“แล้วพาน้องมาที่นี่ทำไมกัน แน่ใจเหรอจ๊ะว่าไม่มีผี”
หนุ่มเข้าประคองสาว
“จะมีผีสักกี่ตัว พี่นี่แหละ จะปกป้องน้องเอง”
สองหนุ่มสาวจูงมือ เกี้ยวพาราสี เดินผ่านศาลาท่าน้ำบ้านละอองคำเข้าไปถึงม้านั่งใต้ซุ้มไม้
“อุ้ย ทำไมต้องมานั่งเบียดน้อง”
“ก็มันหนาวนี่จ๊ะ”
“อากาศเย็นสบาย น้องไม่เห็นหนาว”
“ก็พี่หนาวตรงนี้นี่จ๊ะ”
หนุ่มตบอกซ้าย สาวเอียงอายไปตามเรื่อง อัปสรเงี่ยหูฟังสองหนุ่มสาวจีบกันตรงซุ้มไม้ ดีใจมากที่จะมีคนช่วยตนออกไป
“หนู ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย”
อัปสรแนบสายตาผ่านลูกกรง สองหนุ่มสาวจีบกันไม่สนใจฟัง
“ช่วยฉันด้วย ฉันถูกขังอยู่บนนี้ หนู หนู ช่วยเปิดประตูให้ฉันที”
อัปสรทุบประตูอย่างมีความหวัง หนุ่มพยายามจะกอด สาวหันหน้าหนีไปอีกทาง กระบิดกระบวน เสียงอัปสรทุบฝาบ้านดังเข้ามา สาวสงสัย
“เอ๊ะ เสียงอะไร”
“อ๋อ เสียงหัวใจพี่มันเต้นตึกตั้กๆ บอกว่ารักน้องน่ะสิจ๊ะ”
“อุ้ย น้ำคำผู้ชาย เชื่อได้ที่ไหนกัน”
“เชื่อได้สิจ๊ะ หัวใจพี่นี้มีน้องอยู่คนเดียว”
“หนู ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
“น้องจะให้พี่ช่วยอะไรหรือจ๊ะ”
“อีตาบ้า ไม่ได้ขอให้ช่วยอะไรสักหน่อย”
“ช่วยด้วย หนู ช่วยฉันด้วย ฉันถูกขังอยู่บนบ้าน หนูๆ”
“เสียงใครน่ะ”
หนุ่มสาวมองหน้ากันตกใจ
“เสียงฉันเองจ้ะ หนู ฉันถูกขังอยู่บนนี้ หนูช่วยเปิดประตูให้ฉันที”
“ผีหลอก”
สาวเขยิบเข้าใกล้หนุ่ม
“ผีรึ ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก”
หนุ่มวิ่งแจ้นไป ตะโกนไป ไม่ห่วงสาว
“เดี๋ยวซี่ รอน้องด้วย เดี๋ยวก่อน อีตาบ้า รอฉันด้วย”
สาวออกวิ่งตามหนุ่มไป หนุ่มวิ่งกระโดดน้ำคลองว่ายหนีไป สาวกระโดดขึ้นเรือ ตกน้ำตกท่า อัปสรร้อนรน รัวทุบผนังบ้าน กระสับกระส่าย
“เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวก่อน หนูๆ ช่วยฉันก่อน ช่วยฉันด้วย”
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก นังอัปสร ถ้าแกไม่ยอมรับผีข้า แกก็จะต้องเป็นผีตายโหงเฝ้าบ้านของแม่แกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
ผียืนเป็นเงาตะคุ่มสูงถึงเพดานบ้าน หัวเราะเยาะอัปสร อัปสรหมดแรง ทรุดนั่ง ส่ายหน้า พร่ำพูดปฏิเสธ
“ไม่ ไม่”
มนต์ทิพย์เดินวนไปเวียนมา เป็นห่วงแม่ แฟรงค์นั่งมองเพื่อนรักด้วยความห่วงใย
ปีบยกถ้วยเครื่องดื่มเข้ามา
“คุณทิพย์ขา ดื่มนมหน่อยนะคะ”
มนต์ทิพย์นิ่ง ไม่ละสายตาจากประตูรั้ว หวังว่าอัปสรจะกลับมา
“ข้าวปลาก็ไม่แตะ แบบนี้แกจะไม่มีแรงตามหาคุณน้านะโว้ย”
“ฉันเป็นห่วงแม่ แฟรงค์ ฉันกลืนอะไรไม่ลง”
แฟรงค์มองเพื่อนรัก เห็นใจ แล้วหันไปพยักหน้าให้ปีบยกนมเข้ามา
“กินซะหน่อย นึกว่าเห็นแก่ฉันที่เป็นเพื่อนแกก็แล้วกัน พรุ่งนี้ ฉันจะพาแกไปทำบุญแต่เช้า เสร็จแล้ว เราก็จะเริ่มตามหาคุณน้าทันที โอเคมั้ย”
“คุณบุญสลักก็หายต๋อมไปเลยนะคะ”
มนต์ทิพย์สีหน้าเปลี่ยนทันที แฟรงค์มองปีบดุๆ ปีบรู้ตัวว่าปากพล่อย จึงเลี่ยงออกไป
อัปสรนั่งซึมเศร้า น้ำตาไหลพราก หมดอาลัยในชีวิต คิดถึงลูก จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังเข้ามา เธอรีบลุกไปมองลอดฝาบ้าน แต่มืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย จึงได้แต่เงี่ยหูฟัง
หนุ่มที่เคยมาพลอดรักกับสาวเดินถือคบไฟ นำหน้าชาวบ้านเข้ามาที่เรือนปั้นหยาของละอองคำ เสียงเอะอะ ทุกคนหยุดยืนที่หน้าเรือน หนุ่มเป็นผู้นำ ตะโกนเสียงเคียดแค้น
“เผาให้หมด”
“ต้องเผามันให้สิ้นซาก”
“ใช่ ผีปอบจะได้หมดไปจากหมู่บ้านของเราซะที”
“ไม่ต้องไปกลัวมัน”
ชาวบ้านเฮเสียงดัง กลุ่มชาวบ้านฮึกเหิม ชูคบไฟแดงฉาน อัปสรมองลอดไป เห็นชาวบ้านถือคบไฟตรงเข้ามาที่บ้านของละอองคำ ปอบละอองคำหัวเราะเสียงดัง ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น
“เห็นมั้ยอัปสร ลูกกำลังจะถูกเผาทั้งเป็น”
“ไม่จริง แม่หลอกหนู ยังไงหนูก็ไม่ยอมรับเลี้ยงผีของแม่แน่ๆ”
“ลูกไม่ได้ยินไอ้พวกมนุษย์ใจร้ายพูดกันรึ มันจะเผาบ้านนี้ให้เหลือแต่ซาก แล้วลูกก็จะตายในกองไฟ”
อัปสรตกใจ เสียงอึกทึกดังมา ดูน่ากลัว อัปสรทุบฝาบ้าน น้ำตาไหลพราก หวาดกลัวตัวสั่น
“ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันที ฉันถูกขังอยู่บนนี้”
“ลูกกำลังจะตายด้วยเงื้อมมือมนุษย์ด้วยกันเอง”
อัปสรหวาดกลัว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ปอบละอองคำหัวเราะ ชาวบ้านชูคบไฟ ฮึกเหิม
“เอ้า เผาเลย ไอ้หนุ่ม ลงมือสิวะ”
“เอ่อ ฉันก่อนเลยเหรอ”
“เออสิวะ เอ็งเห็นผีปอบไม่ใช่รึ”
“ฉันไม่ได้เห็น แค่ได้ยินเสียงเท่านั้นจ้ะ”
“นั่นแหละ เหมือนกัน อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ไอ้หนุ่ม เอ็งเผาก่อน เดี๋ยวพวกข้าจะเผาตาม ไม่ต้องกลัวไม่มีเพื่อน”
“เผาเลยนะลุง เอานะ”
“เออ สิวะ หรือว่าเอ็งปอดแหกซะแล้ว”
หนุ่มยืดอก
“เปล่านะลุง ว่าแต่ ตำรวจจะไม่จับฉันเข้าตะรางแน่นะ”
“เรากำจัดผีปอบ เราทำความดีนะโว้ย หรือว่า เอ็งใจไม่ถึง”
“ใครว่าฉันใจไม่ถึง เอาวะ เผาก็เผา”
หนุ่มตั้งสติ หายใจเข้าเต็มปอดแล้วหลับหูหลับตาขว้างคบไฟเข้าไปในบ้านละอองคำ ชาวบ้านเห็นดังนั้นต่างก็เฮโล พากันโยนคบไฟใส่บ้านละอองคำกันยกใหญ่ อัปสรถอยกรูดออกมาจากผนัง
“กลัวตายล่ะสิ นังอัปสร รับเลี้ยงผีข้าสิ ผีข้าช่วยเจ้าได้”
อัปสรหันขวับ กลัว
“ไม่ ฉันไม่ยอม แม่อย่าบังคับฉัน”
ควันไฟเข้ามาในบ้าน อัปสรยิ่งกลัวลาน ร้องไห้ ผีเจ้าปรากฏร่างขึ้น หัวเราะ
“เจ้ากำลังจะถูกเผาทั้งเป็น อัปสร คิดให้ดี”
“เชื่อแม่เถอะ รับเลี้ยงผีเจ้าแล้วจะไม่มีใครทำอันตรายลูกได้”
อัปสรส่ายหน้า ปิดตา
“ไม่ ไม่”
ปอบผีเจ้าวูบไปยืนด้านหน้าอัปสร ละอองคำหายไปแล้ว
“เจ้ายังไม่นับถือข้าก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยเจ้า ข้าจะแสดงให้เห็นว่า ข้ามีอำนาจเหนือพวกมนุษย์ยังไง”
ปอบผีเจ้าหัวเราะ แล้วหายไปต่อหน้าต่อตาอัปสร อัปสรมองอย่างหวาดกลัว ร่างของอัปสรเซไปปะทะผนังอีกด้าน หน้าต่างกระชากปิดปึงปัง ควันไฟลอยเข้ามา คบไฟอันหนึ่งลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง อัปสรหวีดร้องเบาๆ สะอื้นหวาดกลัว เสียงอึกทึกดังมาจากข้างนอก
ไฟเริ่มลุกไหม้เรือนปั้นหยาของละอองคำ ชาวบ้านโห่ร้อง ฮึกเหิม เข้าใจว่าจะกำจัดปอบได้สำเร็จ ผีเจ้าหัวเราะน่ากลัว ชาวบ้านหน้าตาตื่น มองหาเสียงหัวเราะ เริ่มกลัว
“คิดว่าจะกำจัดข้าได้รึ ไอ้พวกโง่”
ชาวบ้านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แหงนมองไปรอบๆ
“เสียงใครวะ”
“หรือว่าจะเป็นผี”
ปอบผีเจ้าปรากฏร่างบนชานบ้าน ชาวบ้านเห็นตกใจ ชี้ไม้ชี้มือ เริ่มถอยหนี จู่ๆ ลมก็กระโชกแรง ไฟลุกโหมขึ้น ผีเจ้าโบกมือ หัวเราะเสียงกังวาน ลูกไฟพุ่งเข้าใส่กลุ่มชาวบ้าน ชาวบ้านต่างวิ่งหนีตายแตกฮือ
“หนีทำไม มาสิ มาจำกัดข้า ข้าจะจับกินไส้ไม่ให้เหลือ ข้ากำลังหิว ข้าหิว”
“ผีโว้ย ผีปอบ ตัวใครตัวมันโว้ย”
“รอข้าด้วยสิ ไม่ไหวแล้วโว้ย”
ชาวบ้านพากันวิ่งไป หนุ่มตกใจ จะวิ่งตามไป แต่ก้าวขาไม่ออก กลัวตัวสั่น คลานหนี มือของผีเจ้ากำลังจะจับข้อเท้าหนุ่ม แต่ขาหนุ่มคลานหนีได้หวุดหวิด ผีเจ้าสะบัดหน้ากลับหันไปมองทางเรือน หนุ่มคลานหนีได้ ผีเจ้าแลบลิ้น เสียดาย
อัปสรโล่งใจที่ไฟดับลง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นละอองคำยืนอยู่ตรงหน้า อัปสรถอยไปตามข้างฝา
“เห็นแล้วใช่มั้ย อัปสร ผีเจ้าช่วยลูกได้”
“ไม่ ไม่”
"ถ้าไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ของผีเจ้า ป่านนี้ลูกคงถูกเผาทั้งเป็นไปแล้ว รับเลี้ยงผีของแม่เถอะ แล้วลูกจะได้ทุกอย่าง"
"แก้วแหวนเงินทอง ลาภยศ อะไรก็ได้ทั้งนั้น ศัตรูหน้าไหนมันก็ทำอะไรลูกไม่ได้"
กรวยดอกไม้เก่าๆ ลอยมาตรงหน้าอัปสร อัปสรมองดู ลังเล น้ำตาไหลพราก
ละอองคำยิ้มพอใจที่อัปสรเริ่มเคลิ้ม
“รับกรวยดอกไม้นี้ไว้เหนือหัวของลูกสิ อัปสร แล้วลูกจะสมปรารถนาทุกสิ่ง รับไว้สิ อัปสร รับกรวยดอกไม้ไว้เหนือหัวของลูก”
“ไม่ หนูไม่รับ แม่อย่าบังคับหนู”
ละอองคำโกรธที่ทำไม่สำเร็จ
“นังอัปสร นังเนรคุณ แกจะต้องตกนรกหมกไหม้ นังลูกอกตัญญู ถ้าแกไม่อยากตกนรก รับเลี้ยงผีต่อจากแม่ซะ อัปสร”
อัปสรปฏิเสธ ร้องไห้
“ไม่ ไม่ ฮือๆ”
อัปสรเห็นปอบผีเจ้านางละอองคำสลับกับผีเจ้า
“แม่ ไม่”
อัปสรส่ายหน้าหลับตา
“ไม่มีใครเอาชนะข้าได้ นังอัปสร ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับเลี้ยงข้า ข้าก็จะให้นังมนต์ทิพย์ลูกสาวของเจ้ารับเลี้ยงผีข้าแทน”
อัปสรตกใจมาก
“หา ไม่นะ อย่าทำอะไรมนต์ทิพย์ ได้โปรด อย่ายุ่งกับมนต์ทิพย์”
“งั้นเจ้าก็รับเลี้ยงข้าสิ อัปสร รับกรวยดอกไม้นี่ไว้เหนือหัว แล้วข้าจะไม่ยุ่งกับลูกสาวของเจ้า รับสิอัปสร รับ”
ปอบละอองคำเข้ามา
“เชื่อแม่เถอะ อัปสร อย่าดื้อกับผีเจ้า”
อัปสรมองปอบละอองคำผิดหวัง น้ำตาไหลพราก
“ไม่ แกไม่ใช่แม่ฉัน แม่ต้องไม่ทำร้ายฉันกับลูกอย่างนี้ ไม่”
อัปสรถอยกรูดจนชิดผนัง
“งั้นเจ้าก็ตายอยู่ที่นี่แหละ นังอัปสร อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับผีบริวารของข้าที่นี่ก็แล้วกัน”
ผีเจ้าหัวเราะ เงาผีหลายตนงอกออกมาจากพื้นบ้าง จากผนังบ้าง ยั้วเยี้ยน่าขยะแขยง อัปสรถอยไปทางไหน เงาผีก็ปรากฏไปรอบๆ พร้อมเสียงหัวเราะกึกก้อง ปอบละอองคำเปลี่ยนเป็นละอองคำแต่งกายชุดเจ้านาง
“อัปสร เจ้าต้องเชื่อแม่”
อัปสรมองหน้าแม่ ละอองคำในชุดเจ้านางสลับกับละอองคำในรูปปอบ อัปสรกลัวแทบคลั่ง แล้วหมดสติไป เสียงหัวเราะของปิ่นเมืองดังเข้ามา ละอองคำตวัดใบหน้าไป แล้วไปปรากฏตัวที่หน้าบ้าน ตกใจที่เห็นปิ่นเมืองในชุดเจ้านางยืนอยู่หัวเราะสะใจ
“ปิ่นเมือง นี่เจ้ายังไม่ไปผุดไปเกิดรึ”
“ข้าจะรอดูความพินาศของเจ้า ดวงวิญญาณของเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานจนถึงที่สุด ข้าถึงจะไปเกิดอย่างมีความสุข”
“เพื่ออะไรเล่า อีปิ่นเมืองเหย เมื่อมีชีวิตอยู่ เจ้ายังชั่วช้าสามานย์ไม่พอรึ ตายเป็นผีแล้วจึงเป็นเยี่ยงเดิม”
“ข้าเป็นอย่างใดก็ยังเป็นอย่างนั้น หาเหมือนเจ้าไม่ อีละอองคำเหย ตกต่ำเป็นผีปอบอดอยากทุกข์ทรมานนี่มิใช่ผลจากที่เจ้าทิ้งผีปู่ย่าไปรับผีต่างวงศ์รึ จำไว้อีละอองคำ เจ้าอยู่ในสายตาของข้าเสมอ ข้ารอดูความพินาศของเจ้า”
ปิ่นเมืองหัวเราะ ลมพัดแรง ร่างปิ่นเมืองค่อยๆ เลือนหายไป ละอองคำเคียดแค้น ผีเจ้าหันมองละอองคำ
“ถ้าเจ้าหาทายาทปอบให้ข้ามิได้ เจ้าก็จะต้องพินาศดังปากอีปิ่นเมือง ข้าไม่มีเวลามากนัก อย่าช้า อีละอองคำ”
ผีเจ้าพูดเสียงเครียด ร่างผีเจ้าเลือนไปแล้วกลายเป็นกรวยดอกไม้ลอยไปที่หิ้งผีซึ่งมีฝุ่นจับเขรอะ อัปสรยังไม่ได้สติ ละอองคำเครียด
บ้านมนต์ทิพย์ เงียบเชียบ บรรยากาศโดยรอบมืดมิด แต่ในบ้านเปิดไฟสว่างไสว ปีบนั่งกับพื้น หัวพิงผนังหลับลึก แฟรงค์นั่งสัปหงก มนต์ทิพย์นั่งนิ่ง น้ำตาไหล
“แม่ขา แม่อยู่ที่ไหน gกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ ยายเป็นใคร ทำไมแม่ต้องกลัวยายมากมายขนาดนั้นด้วยคะ”
ปอบละอองคำปรากฏร่างขึ้นที่หน้าต่าง มองเข้ามาในบ้าน เห็นมนต์ทิพย์นั่งเหม่อ น้ำตาคลอ
“ทายาท”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มนต์ทิพย์คว้ามารีบกด โดยไม่ได้มองดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามา
“แม่ ยังเลยค่ะ แม่ยังไม่กลับมา”
บุญสลักถือโทรศัพท์อยู่ในมือ อ่อนแรง ถอนใจ วางโทรศัพท์ลง นมผ่องเดินเข้ามา
“คุณหนูยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“ผมกลุ้มใจเรื่องทิพย์ครับ นม”
นมผ่องยังไม่ทันพูดอะไร พวงครามกับพักตร์พริ้งก็เข้ามา
“ธุระของเขาก็ปล่อยให้เขาจัดการเองเถอะ เราเป็นคนนอก คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ก็พอ”
“แต่ทิพย์ไม่มีใครนะครับแม่ ครอบครัวทิพย์กำลังลำบาก”
พักตร์พริ้งหัวเราะหยัน
“หลานต้องแยกให้ออก ลำบากกับมารยามันไม่เหมือนกันนะ”
“คราวนี้ ผมว่าคุณอากับคุณแม่ทำเกินไป”
“คุณหนูคะ อย่าพูดกับคุณแม่แบบนี้สิคะ”
“แม่กับอาเป็นห่วงลูกนะ บุญสลัก”
“คุณแม่กับคุณอากำลังทำให้ผมลำบากใจ”
“อาว่าเราพูดผิดไปล่ะ บุญสลัก คนที่ทำให้หลานลำบากใจน่ะ ไม่ใช่อาหรือแม่ของหลานหรอกนะ แต่เป็นพวกบ้านโน้น คิดให้รอบคอบสิหลาน”
บุญสลักอึดอัด ไม่ยอมรับความเห็นของพักตร์พริ้ง
ละอองคำนั่งข้างๆ อัปสร มองอย่างสงสาร น้ำตาคลอ ยื่นมือสั่นๆ ไปลูบผมลูกสาว
“อัปสร ทำเพื่อแม่ รับเลี้ยงผีเจ้าซะ ศัตรูหน้าไหนก็ทำร้ายลูกไม่ได้”
เจ้านาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
บุญสลักบอกกับพักตร์พริ้งและพวงคราม โดยมีนมผ่องยืนอยู่ด้วย
“ผมอยากให้คุณอาสงสารทิพย์ ทิพย์ตัวคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มี นี่คุณแม่เขายังมาหายตัวไปอีก ทิพย์เขากำลังทุกข์มากนะครับ”
“ผู้หญิงเหลี่ยมจัดเจ้ามารยา หลานไม่ทันพวกมันหรอก อย่าลืมสิว่าบุญสลักหลานอาเป็นทายาทคนเดียวของตระกูล สมบัติพัสถานมากมาย ใครๆ ก็อยากแต่งงานกับหลานทั้งนั้น จริงมั้ยคะคุณพี่”
“ใช่ บุญสลักต้องฟังเหตุผลผู้ใหญ่นะ”
“แต่ทิพย์เป็นคนดีครับ ที่สำคัญผมรักเธอ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
บุญสลักเดินไป พวงครามไม่พอใจ
“บุญสลักอย่าเดินหนีแม่กับอานะ ทำอย่างนี้แม่ไม่ชอบ”
บุญสลักหันมา ระบายลมหายใจ เบื่อหน่าย
“ไหนๆ ก็พูดแล้ว อาขอพูดให้หมดเลยแล้วกัน อาผ่านโลกมามาก แค่อาเห็นปราดเดียวอาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ปกครองยาก อีกหน่อยคงได้ขึ้นขี่หัวอา ขี่หัวแม่ของหลาน หลานอยากเห็นแม่ของหลานตรอมใจตาย งั้นรึ”
“ผมเชื่อว่าทิพย์ไม่ใช่คนอย่างนั้น”
นมผ่องส่ายหน้า ปรามด้วยสายตาไม่ให้บุญสลักตอบโต้
“คุณหนูคะ ฟังคุณแม่กับคุณอานะคะ ท่านทั้งสองคือคนที่มีพระคุณที่สุดของคุณหนู”
พวงครามจับมือบุญสลัก
“แม่มีลูกเพียงคนเดียว เลิกสนใจหนูมนต์ทิพย์ซะเถอะ มองหาผู้หญิงอื่นที่มีเชื้อมีแถว มีความเป็นกุลสตรี นึกว่าเห็นแก่แม่นะลูกนะ”
พวงครามแสร้งปาดน้ำตา แล้วดึงตัวบุญสลักเข้ามากอด สะอื้นเบาๆ บุญสลักเริ่มอ่อนลง
“พรุ่งนี้แม่จะไปวัด บุญสลักพาแม่ไปหน่อยนะลูก แม่อยากทำบุญให้สบายใจ ไม่งั้น แม่คงกลุ้มใจจนตายคาบ้านแน่”
“ครับแม่”
พักตร์พริ้งลอบอมยิ้ม ส่งสายตากับนมผ่อง
“นังแช่ม นังแหวน อยู่ที่ไหน มานี่ซิ”
แช่มกับแหวนรีบออกมา
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
“จัดเตรียมอาหารคาวหวานให้พร้อมนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปวัดแต่เช้า”
“ค่ะ”
พักตร์พริ้งสบตาพวงคราม ยิ้มสมใจ ในขณะที่บุญสลักเครียดมาก
พระอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงที่ขอบฟ้า หน้าบ้านละอองคำเก่าโทรม ซ่อนความน่ากลัวและลึกลับไว้ อัปสรฟุบหลับบนพื้นเปรอะเปื้อนไม่ได้สติ ผมเผ้าเสื้อผ้ายุ่งเหยิง แสงแดดส่องเข้ามาในบ้าน เสียงเอะอะดังเข้ามา อัปสรงัวเงียตื่น พอได้ยินว่าเป็นเสียงคน ก็รีบลุกไปมองลอดฝาบ้าน เห็นชาวบ้านกลุ่มเก่า ถือมีดไม้ อาวุธเท่าที่จะหาได้มาด้วย
อัปสรดีใจ ทุบฝาบ้าน ร้องตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ฉันถูกขังอยู่บนนี้ ช่วยด้วย”
ชาวบ้านพากันหยุดกึก มองหน้ากัน
“พวกเอ็งได้ยินเสียงอะไรมั้ยวะ”
“ผีหรือเปล่าลุง ไอ้ตัวที่มันโผล่มาเมื่อคืนน่ะ”
“เอ็งก็กลัวไม่เข้าเรื่อง กลางวันแสกๆ งี้ ปอบมันไม่มีฤทธิ์หรอกโว้ย เราจะทำอะไรก็ต้องรีบทำ”
“แน่ใจนะลุง”
“เออสิวะ”
“ถ้าลุงแน่ใจยังงั้น วันนี้เราต้องกำจัดผีปอบให้ได้ อย่าให้มันอยู่ในหมู่บ้านของเราได้”
“ไปโว้ย พวกเรา”
ชาวบ้านต่างเฮโลเข้าไปที่เรือนปั้นหยา หยุดกึก เสียงทุบฝาบ้านดังมาอีก ทั้งหมดหยุดชะงัก
“ช่วยฉันด้วยจ้ะ ฉันถูกขังอยู่ในนี้”
ชาวบ้านมองหน้ากัน หนุ่มขี้ขลาด ถอยหนี
“คนจริงๆ หรือเปล่าวะ”
“อย่าหลงกลมันเชียว ปอบมันฤทธิ์เยอะ เมื่อคืนเอ็งไม่เห็นหรือไง”
“นั่นสิ วิ่งกันป่าราบ คราวนี้เราต้องเอามันให้ตาย”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ได้ฟังก็ยิ่งหวาดกลัว
“เอ๊ะ ปอบมันตายแล้ว มันจะตายได้อีกรึลุง แล้วแบบนี้เราจะปราบมันได้รึ”
“กลางวัน มันไม่มีฤทธิ์หรอก ไม่ต้องกลัวมัน”
“พังประตูเลย เข้าไปลากตัวมันออกมา”
ชาวบ้านก็พากันกระแทกประตู ที่เหลือถืออาวุธเตรียมพร้อม
“ช่วยกันงัดดีกว่า”
ชาวบ้านคนหนึ่งเงื้อขวานจะฟันที่ประตู แต่แล้วประตูก็เปิดออกมา ชาวบ้านพากันผงะ แต่ไม่เห็นอะไรข้างใน ต่างชะเง้อดู พลันอัปสรวิ่งสวนออกมาทันที ร้องไห้โฮ หน้าตาเปรอะเปื้อนมอมแมม
“ขอบใจมากจ้ะ ลุง น้า ขอบใจมากที่มาช่วยฉัน”
ชาวบ้านมองเขม็ง ต่างถืออาวุธเตรียมพร้อม มองหน้ากัน อัปสรเดาได้ว่าทุกคนกำลังคิดว่าตนเป็นปอบ
“ฉันไม่ใช่ปอบจ้ะลุง ฉันถูกจับมา ลุงจับตัวฉันสิจ๊ะ ฉันก็เป็นคนเหมือนกับลุง เหมือนกับทุกคนนี่แหละจ้ะ”
“อย่าไปฟังมัน กลางวันปอบมันก็เหมือนคนนั่นแหละ พอกลางคืน ฤทธิ์มันมากนัก ข้าว่า เรารีบกำจัดมันซะเถอะ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”
“ฉันไม่ใช่ปอบ ฉันไหว้ละ ไม่เชื่อก็จับตัวฉันดูสิ”
หนุ่มมองหน้าอัปสรแล้วชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ที่ภายในมืดสลัว หนุ่มปิดปากจะอาเจียน แล้วโก่งคอทำท่าอาเจียน
“อะไรวะ”
หนุ่มชี้มือเข้าไปในบ้าน ผะอืดผะอม ชาวบ้านหันดูเห็นซากกระดูกวางระเกะระกะ เต็มไปหมด อัปสรหน้าซีด ชาวบ้านต่างหันขวับมองมาที่อัปสรเป็นตาเดียว
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ใช่ปอบนะจ๊ะ”
“ไม่ใช่เหรอ อีปอบ แหม หลักฐานโทนโท่ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะ ใช่มั้ย พวกเรา”
อัปสรถอยหลังกรูด ร้องไห้โฮ ขอความเห็นใจ
“ฉันไม่ใช่ปอบ ฉันเป็นคน เชื่อฉันเถอะนะ ฮือๆ”
ชาวบ้านไม่ฟังเสียง ต่างขว้างหิน สิ่งของเข้าใส่อัปสร อัปสรหลบไม่พ้น ถูกหินบ้าง ไม้บ้าง จนได้รับบาดเจ็บ
“อย่า อย่าทำฉัน ฉันไม่ใช่ปอบ ฉันเป็นคน โอ๊ย”
อัปสรวิ่งหนีไป ล้มลุกคลุกคลาน ชาวบ้านวิ่งตามกันมา อัปสรร้องไห้เหมือนคนบ้า กลัวตายสุดชีวิต หน้าต่างชั้นบนกระชากเปิด ไม่มีใครเห็น ละอองคำปรากฏร่างที่หน้าต่าง จ้องตาดุๆ ไปที่กลุ่มชาวบ้านที่กำลังจะขว้างปาก้อนหินใส่อัปสรที่ล้มลุคลุกคลานร้องขอชีวิต
ลมพัดมาเหมือนพายุ ชาวบ้านมองมาที่เรือนปั้นหยา หน้าต่างกระชากปิด แต่ไม่มีละอองคำแล้ว หันมาอีกที อัปสรก็วิ่งร้องไห้หนีไป
“เร็วโว้ย อย่าให้อีปอบมันรอดมือเราได้”
บุญสลักจอดรถที่ลานวัด ทุกคนลงมาจากรถ แช่มกับบุญสลักถือปิ่นโตนำอาหารมาถวายพระ
“พักตร์เคยรู้มาว่าที่วัดนี้มีพระเกจิดังนะคะคุณพี่”
“ดีสิ จะได้ขอพร”
“บางทีบุญกุศลอาจทำให้พ่อบุญสลักตาสว่างขึ้นมาบ้าง”
บุญสลักหน้าเสียไป แช่มมองด้วยความเห็นใจ
“กุฏิพระอยู่ทางโน้นค่ะคุณผู้หญิง”
“ไปสิ”
ทุกคนเดินไป บุญสลักตามไปด้วยความไม่สบายใจนัก
อัปสรวิ่งหนีแล้วสะดุดหกล้ม ชาวบ้านพากันจับได้
“สง สาร ฉันเถอะ ฉันไม่ได้เป็นปอบ”
“ไม่เชื่อ เมื่อคืนใช่มั้ยที่แกแสดงอิทธิฤทธิ์น่ากลัว หนอย พอตอนกลางวัน ดันมาขอความเห็นใจ”
“จับมันไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ ถ้ามันไม่เป็นอะไรถึงจะเชื่อ”
“หาเชือกมา จับมันมัดเลย มันจะได้หนีเราไม่ได้”
ชาวบ้านเห็นด้วย อัปสรร้องไห้โฮ ขอความเห็นใจ
“ฉันไม่ได้เป็นปอบ ฮือๆ”
พวงครามประเคนอาหารจากปิ่นโตที่จัดใส่ถ้วยและวางเรียงในถาด พักตร์พริ้ง บุญสลัก แช่มยกมือไหว้ หน้าแจ่มใส
รถของแฟรงค์จอดที่หน้าเรือนปั้นหยา
“มาที่นี่ทำไมวะไอ้ทิพย์”
ทิพย์มองดูเรือนปั้นหยา หน้าเศร้า ปีบหวาดกลัว
“น่ากลัวค่ะคุณทิพย์”
“แม่เคยเล่าให้ฟังว่าบ้านยายเป็นบ้านเก่าอยู่ริมน้ำลักษณะเหมือนบ้านหลังนี้เลย แม่อาจจะอยู่ในนี้ก็ได้”
ทิพย์ทำท่าจะเข้าไป แต่ปีบดึงไว้ พูดเสียงสั่น
“คุณทิพย์ขา ปีบว่า อย่าเข้าไปเลยค่ะ”
“ใช่ เสียเวลาเปล่าว่ะ แม่แกคงไม่เข้าไปอยู่ในนี้หรอก แต่ถ้าแกสงสัยจริงนะ ฉันว่าเราไปถามชาวบ้านแถวนี้ดูก่อนดีกว่าว่าบ้านนี้เป็นบ้านของใคร ไม่งั้นระวังแกจะเจอข้อหาบุกรุก”
“ใช่ๆ จริงด้วยค่ะคุณแฟรงค์พูดถูกค่ะ”
มนต์ทิพย์มองดูบ้านแล้วก็พยักหน้า ทั้งหมดเข้าไปในรถ รถเคลื่อนห่างไป หน้าต่างเรือนปั้นหยาชั้นบนเปิดออก เงาร่างของละอองคำปรากฏอยู่ที่หน้าต่าง
อัปสรถูกมัดมือลากเข้ามาในวัด ถูกผลักเซไปทางโน้นทีทางนี้ที
“เร็วเข้าสินังปอบ”
“เข้าวัดแล้วหมดแรงเลยเหรอ”
“คราวนี้ล่ะก็แก้ตัวไม่ได้แน่ นังปอบเอ๊ย”
อัปสรส่ายหน้า ร้องไห้
“ฉันไม่ได้เป็นปอบ”
“เดี๋ยวเจอน้ำมนต์หลวงพ่อเข้า ก็รู้ล่ะว่าเป็นปอบหรือเปล่า ไปโว้ย พามันไปหาหลวงพ่อกัน”
ชาวบ้านผลักให้อัปสรเดินไป อัปสรร้องไห้
พวงคราม พักตร์พริ้ง แช่ม บุญสลักกรวดน้ำเสร็จพอดี
“เอาไปเทที่ต้นไม้หน้ากุฏิซะ ฝากแม่พระธรณีนำกุศลผลบุญส่งไปยังคนที่โยมอุทิศให้ด้วยนะ”
“แช่มเอาไปให้เองค่ะ”
แช่มถือน้ำที่เพิ่งกรวดเสร็จไปทางหนึ่ง เสียงเอะอะดังมา เสียงร้องไห้ของอัปสรแทรกมา
“เกิดอะไรขึ้น”
หลวงพ่อลุกไป พักตร์พริ้งกับพวงครามมองตามไป
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
“บุญสลัก อย่าไปยุ่งกับพวกชาวบ้าน”
“พวกนี้มัน”
พักตร์พริ้งชะงัก บุญสลักเดินไปแล้ว
“พักตร์ว่าจะรีบกลับ เลยยังไม่ได้ลาหลวงพ่อเลย”
“นั่นสิ”
หลวงพ่อยืนมองดูอัปสรที่ก้มลงกราบทั้งที่มีเชือกมัดมืออยู่
“หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยอิฉันด้วย เขาหาว่าอิฉันเป็นปอบ”
“ถ้าไม่ได้เป็นจริงก็ไม่ต้องกลัวน้ำมนต์หลวงพ่อ หลวงพ่อรดน้ำมนต์เลยครับ ถ้ามันไม่หวีดร้อง ก็แสดงว่าไม่ได้เป็น”
“โยมคนนี้ไม่ได้เป็นปอบหรอก แต่เพื่อให้ทุกคนแน่ใจ อาตมาก็จะรดน้ำมนต์เอง”
อัปสรร้องไห้ บุญสลักออกมาจากข้างในตกใจ หน้าซีด
“น้าอัปสร”
อัปสรไม่เห็นบุญสลัก เพราะมัวแต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ หนุ่มตักน้ำมนต์จากโอ่งน้ำมนต์ในกุฏิ แช่มรีบถาม
“มีอะไรกันเหรอคะ”
“ปอบน่ะสิ จับมันได้ มันไม่ยอมรับ เลยจะให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์มัน ฮึ ทนได้ก็ให้มันรู้ไป”
หนุ่มถือขันน้ำมนต์ออกไป พวงคราม พักตร์พริ้งมองหน้ากัน
“คุณพี่ ได้ยินหรือเปล่าคะ”
พวงครามพยักหน้า ทั้งสามคนรีบลุกไปทันที พวงคราม พักตร์พริ้ง แช่มยืนอยู่ข้างบุญสลัก หลวงพ่อรดน้ำมนต์ที่อัปสร อัปสรไม่เป็นอะไร ชาวบ้านมองหน้ากัน
“เห็นมั้ย โยมคนนี้ไม่ได้เป็นปอบหรอก แยกย้ายกันกลับได้แล้ว”
อัปสรเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลพราก กราบลง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ชาวบ้านผิดหวัง ไหว้หลวงพ่อ แต่ก็ไม่วายคาดโทษ
“ถ้าหลวงพ่อมั่นใจ พวกเราก็ปล่อยมันไป แต่ถ้าจับได้อีก คราวนี้จับมันเผาทั้งเป็นเลย ไม่ต้องพามาที่นี่แล้ว”
ชาวบ้านพากันเดินไป บุญสลักผละไปที่หลวงพ่อ
“คุณน้าอัปสร”
“บุญสลัก”
อัปสรเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพวงคราม พักตร์พริ้งมองมาด้วยสายตาเหยียดๆ
“บุญสลัก อากับแม่จะกลับบ้าน”
“ไปสิ ดิฉันกราบลาเลยนะเจ้าคะ”
“เจริญพรโยม”
มนต์ทิพย์ แฟรงค์ ปีบเดินมาพอดี
“ทิพย์”
บุญสลักเรียก มนต์ทิพย์มองทุกคนตะลึง แต่ก็รีบไปหาแม่
“แม่ แม่ขา”
มนต์ทิพย์กอดแม่ร้องไห้ พวงครามดึงมือบุญสลัก
“บุญสลัก กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”
“อย่าลดตัวลงไปสมาคมกับพวกที่แม้กระทั่งชาวบ้านยังรังเกียจ”
มนต์ทิพย์มองบุญสลักทั้งน้ำตา แฟรงค์มองบุญสลักอย่างผิดหวัง พักตร์พริ้งดึงแขนหลานชายให้ตามไป บุญสลักหันมามองมนต์ทิพย์กับอัปสรที่ยังร้องไห้กอดกันอยู่
ทุกคนอยู่ข้างรถ บุญสลักยังเป็นห่วงมนต์ทิพย์กับอัปสรอยู่
“ผมเป็นห่วงทิพย์กับน้าอัปสร”
“ห่วงมากกว่าแม่กับอาพักตร์อีกเหรอ”
“ชั่งน้ำหนักดูให้ดีนะบุญสลัก ว่าระหว่างแม่และอากับอีลูกหลานปอบ ใครสำคัญกว่ากัน”
บุญสลักอึดอัด หงุดหงิดแต่ก็สะกดไว้
“เชื่อแช่มนะคะคุณหนู กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
อัปสรกราบหลวงพ่อ น้ำตาไหลพราก
“หลวงปู่ของดิฉันเคยบวชอยู่ที่นี่ พ่อดิฉันชื่อฉัตรเจ้าค่ะ”
“อ้อ สมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส อาตมายังเป็นพระลูกวัดอยู่เลย เคยเห็นพ่อของโยมแวะเวียนมากราบท่านบ่อยๆ เอาล่ะสิ้นเคราะห์แล้วนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
“เอาน้ำมนต์ไปพรมบ้านเสียสิ จะได้ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปให้หมด”
“ครับ ทิพย์ แกอยู่เฉยๆ เลย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“กลับบ้านกันเถอะค่ะแม่”
อัปสรกับมนต์ทิพย์ยิ้มบางๆ ให้กัน
รถบุญสลักแล่นเข้ามาจอดในบ้าน นมผ่องยืนรอรับ
“กลับกันมาแล้วเหรอคะ อนุโมทนาบุญ ด้วยนะคะ”
“หน้าตาอิ่มบุญกันทุกคน เชิญค่ะ เชิญ มานังแช่ม ส่งตะกร้ามาเลย”
แช่มทำท่าพยักพเยิด บุ้ยปากให้แหวนเงียบเสียง แหวนถึงเริ่มสังเกตความผิดปกติ พวงครามนั่งนิ่ง บุญสลักหน้าเครียด พักตร์พริ้งค้อนขวับ
“ยังไงแม่ก็ไม่ให้ไป แค่นี้ลูกยังยุ่งไม่พออีกหรือไง”
“ไม่เชื่ออา ไม่เห็นหัวอาก็ไม่เป็นไร แต่อายอมไม่ได้หรอกนะ ตาบุญสลัก ที่หลานจะเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ของตัวเอง”
“แต่ทิพย์เขาไม่มีใครนะครับคุณอา”
“พวกมันคงสร้างเรื่องเพื่อจะจับหลานล่ะสิ แล้วอะไร้ จู่ๆ ก็บังเอิญไปเจอกันที่วัด นี่ถ้าเราไม่ไปวัด ก็คงไม่ตาสว่าง กุศลจากการทำบุญแท้ๆ เชียว จริงมั้ยคะคุณพี่”
“ถูกของคุณพักตร์ ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ลูกไปยุ่งเกี่ยวกับคนบ้านโน้นอีกแล้ว”
“คนธรรมดาก็พอไหว นี่หลานคิดจะคบค้าสมาคมกับพวกผีปอบ อายอมไม่ได้จริงๆ”
“คุณน้าอัปสรไม่ใช่ปอบ หลวงพ่อยืนยันแล้ว คุณแม่กับคุณอาก็ทราบ”
“ไว้ใจได้ที่ไหน ไม่รู้ล่ะ ลูกต้องอยู่ห่างๆ บ้านโน้นเอาไว้ นมผ่องช่วยอบรมคุณหนูของนมผ่องด้วยนะ นับวันจะยิ่งไม่เห็นหัวแม่”
พวงครามผละออกไป พักตร์พริ้งตามไป แช่มกับแหวนตามไปเป็นพรวน บุญสลักยืนข้างรถ หน้าเครียด
“คุณหนูอย่าขัดใจคุณแม่กับคุณอาสิคะ ทั้งสองคนน่ะหวังดีต่อคุณหนูนะคะ”
บุญสลักถอนหายใจ อึดอัด
“แต่ตอนนี้ทิพย์ไม่มีใครนะครับ ทิพย์ต้องการผม ผมเป็นห่วงเธอ”
บุญสลักติดเครื่องรถ นมผ่องหน้าเสีย กลับเข้าไปในบ้าน พักตร์พริ้งแหวใส่ทันที
“ตาบุญสลักไปแล้วใช่มั้ย เห็นมั้ยคะคุณพี่ ตาบุญสลักเห็นคนอื่นสำคัญกว่าแม่และอา”
พวงครามหน้าเสีย น้ำตาคลอ
“บุญสลักเห็นนังนั่นดีกว่าแม่ตัวเอง”
“ไม่เอาค่ะ คุณผู้หญิง เดี๋ยวคุณหนูก็คิดได้เอง คุณหนูไม่ได้เป็นอย่างที่คุณผู้หญิงพูดหรอกค่ะ”
“แกสอนตาบุญสลักไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีหรอกนมผ่อง”
นมผ่องหน้าเสีย
อัปสรนอนหลับ ใบหน้าซูบซีด มนต์ทิพย์ห่มผ้าให้มองแม่ด้วยความห่วงใย ค่อยๆ ผละออกมาให้แม่พักผ่อน มองอัปสรอยู่ครู่ ถอนใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่กันแน่คะ”
มนต์ทิพย์ลงไปชั้นล่าง ชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นบุญสลักนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก แฟรงค์นั่งอยู่ด้วย
“คุณน้าเป็นยังไงบ้างครับทิพย์”
“หลับไปแล้วค่ะ สงสารคุณแม่ ไม่รู้ว่าเจออะไรมาบ้าง”
“คงจะเหนื่อยน่ะทิพย์ พักสักหน่อยคงดีขึ้น ส่วนสภาพจิตใจอาจต้องใช้เวลา”
“พระท่านเรียกขวัญให้แล้ว ยังจะพระเครื่องคล้องคอป้องกันตัวอีก ฉันว่าคุณน้าต้องดีวันดีคืนเลยล่ะไอ้ทิพย์ แกไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ไม่น่าเชื่อนะแฟรงค์ เมืองไทยพัฒนาไปมาก แต่คนกลับยังงมงายเรื่องผีอยู่อีก”
แฟรงค์มองบุญสลัก รู้ว่าทั้งสองต้องการอยู่ด้วยกัน
“นึกขึ้นได้ว่าทำงานค้างไว้ บุญสลักอยู่เป็นเพื่อนไอ้ทิพย์นะโว้ย แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรแกสองคนโทรหาฉันได้ทันที”
“เออ ขอบใจมากแฟรงค์ ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่ ทิพย์จะได้ไม่ต้องกังวลไง”
“ดีมากเพื่อน”
มนต์ทิพย์ยิ้มบางๆ
หน้าบ้านเขมิกา ฐานะร่ำรวยมาก แฟรงค์เดินเข้ามา เขมิกายืนยิ้มรออยู่แล้ว
“คุณย่ารอคุณอยู่ตั้งนานแล้ว”
“ขอโทษจริงๆ เขม งานผมยุ่งมาก”
“ให้ผู้ใหญ่รอทานข้าว ไม่ดีนะคะ น่าจะโทรมาบอกเขมก่อน”
“ขอโทษจริงๆ ที่รัก”
เขมิกาเกาะแขนแฟรงค์สนิทสนม
“เข้าไปกราบท่านกันเถอะค่ะ”
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน แฟรงค์กราบโฉม โฉมยิ้มอ่อนโยน
“กราบขอโทษคุณย่าด้วยครับที่ทำให้คุณย่ารอทานข้าว”
“ย่าไม่ได้หิวอะไรหรอก คนแก่กินนิดเดียว นั่งข้างบนเถอะ แม่เขมก็ช่างกระไรให้พ่อแฟรงค์นั่งที่พื้นได้”
“แน่ะ คุณย่าดุเขมอีกแล้ว ได้ยินมั้ยคะแฟรงค์”
แฟรงค์นั่งที่เก้าอี้ ตรงข้ามโฉม
“คุณย่าสบายดีนะครับ”
“ก็สบายตามประสาคนแก่น่ะแหละ ได้ข่าวว่าแม่เพื่อนหายไป แล้วนี่ตามเจอหรือยัง งานที่บริษัทล่ะใครดูแล มัวไปยุ่งกับเรื่องเพื่อน”
“มีลูกน้องช่วยดูให้ครับ”
“เราสองคนคบกันมานานแล้ว เมื่อไหร่จะแต่งงานกันซะที”
“ทางผมน่ะพร้อมเสมอครับ ติดที่รายนั้นมากกว่า”
โฉมมองหน้าเขมิกา
“ถ้าเจอคนที่ใช่แล้วก็อย่ารอช้าเลยเขม โอกาสดีกับคนดีๆ ถ้าผ่านเข้ามาในชีวิตก็อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไป”
“แหม คุณย่าก็ เขมยังไม่เจอคนที่ถูกใจนี่คะ”
แฟรงค์โวยวาย
“อ้าว เขม พูดแบบนี้มีเคืองนะ ผมรักเขมแค่ไหน ไม่รู้หรือไงจ๊ะที่รัก”
“จ้า เอ่อ เขมไปดูก่อนนะคะว่าเด็กจัดโต๊ะอาหารเสร็จหรือยัง เดี๋ยวเขมมาค่ะ”
เขมิกาเดินไป โฉมบ่นเบาๆ
“แม่เขมยังสนุกกับชีวิตโสด เวลามันผ่านไปเร็ว ย่าไม่อยากให้เราสองคนคบกันอย่างนี้”
แฟรงค์ยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร เขมิกาเดินมามุมหนึ่งของบ้าน นึกถึงบุญสลัก
“ใช่ค่ะคุณย่า ถ้าคนดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต เราไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป แต่คนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขม เขามีเจ้าของแล้วค่ะ”
เขมิกาเศร้า
ตอนค่ำ แช่มกับแหวนจัดโต๊ะอาหารเสร็จ พักตร์พริ้งเดินนำพวงครามเข้ามา
“คุณพักตร์ พี่คงทานอะไรไม่ลงหรอก พี่อยากรอตาบุญสลัก”
“คุณพี่ นี่ไงนมผ่อง แกน่ะเลี้ยงตาบุญสลักอย่างตามใจเกินไป โตขึ้นก็เลยเสียนิสัย พักตร์ว่าถ้าคุณพี่กังวลนัก คุณพี่ก็โทรหาตาบุญสลักเลยสิคะ”
“จริงด้วย แหวน หยิบโทรศัพท์ให้ทีซิ”
แหวนออกไป
“คุณพี่ต้องเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นละก็เสียเหลี่ยมหมดค่ะ ผู้หญิงที่มันจ้องจะจับผู้ชายแล้ว มันก็ทำทุกอย่างได้หมดค่ะ พักตร์ยังอดคิดไม่ได้เลยนะคะคุณพี่”
“คิดเรื่องอะไรคุณพักตร์”
แหวนส่งโทรศัพท์ให้พวงคราม
“ไอ้ที่เห็นในวัดน่ะ นังนั่นกับแม่ของมันคงสร้างเรื่องให้ดูน่าสงสาร เพราะรู้ไงคะว่าตาบุญสลักน่ะใจอ่อน”
นมผ่องเบือนหน้าไปทางอื่น หน้าเจื่อนไป
“นั่นสิ ถ้าพี่ได้แม่นั่นเป็นลูกสะใภ้ พี่คงบ้าตายวันละร้อยหน”
พวงครามกดโทรศัพท์ พักตร์พริ้งมองด้วยความพอใจ
“ตาบุญสลักนี่แม่นะลูก จะปล่อยให้แม่กับอาพักตร์รอทานข้าว มันไม่เหมาะนะลูก อยากเห็นแม่ขาดใจตายเพราะเสียใจที่ลูกชายคนเดียวของแม่ทำให้แม่ผิดหวังหรือไง”
บุญสลักกดปิดโทรศัพท์หน้าเครียด มนต์ทิพย์ยืนอยู่ใกล้ๆ
“คุณกลับบ้านเถอะค่ะ ทิพย์อยู่กับปีบได้ ไม่ต้องห่วง”
“แต่ตอนนี้ทิพย์ไม่มีใคร ถ้าคุณน้าเป็นอะไรไปอีก ทิพย์จะทำยังไง”
“แม่ของทิพย์ ทิพย์ดูแลเองได้ค่ะ แต่คุณกลับไปดูแลแม่คุณดีกว่า ท่านคงห่วงคุณ เหมือนที่ทิพย์ห่วงแม่ของทิพย์”
“ไม่ ผมยืนยันว่าผมไม่ไปไหนทั้งนั้น คืนนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนทิพย์ อย่าลืมสิว่าเรารักกัน หรือว่าคำสัญญาที่เราเคยให้ไว้แก่กันมันไม่มีความหมายแล้ว ทิพย์ถึงไล่ผม”
“แต่”
“ไม่มีแต่ทิพย์ เวลานี้ คุณคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม”
มนต์ทิพย์ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ โผเข้ากอดบุญสลัก ปีบยิ้ม แล้วเลี่ยงออกไป ละอองคำยืนอยู่ในมุมมืดด้านนอก มองเข้ามาในบ้าน น้ำตาคลอ
“เจ้าพี่ เจ้าพี่ราบฟ้า”
บุญสลักในชุดเจ้าหลวงราบฟ้าเข้ามาในห้วงคิด
“เจ้าพี่กลับมาหาน้องหรือเจ้าคะ”
ละอองคำนึกถึงสมัยอยู่เมืองนาย ที่ราบฟ้าคอยตะกองกอดเธอ ละอองคำน้ำตาไหล
เรือนปั้นหยา ยามดึกสงัด เงียบ วังเวง ละอองคำนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ผีเจ้าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“เจ้าคิดคดกับข้า ละอองคำ”
ละอองคำหันขวับเผชิญหน้า
“ข้าก้มหน้ารับใช้ผีเจ้า ยังจะเรียกว่าคิดคดอีกรึ”
“ละอองคำเหย ความรักที่เจ้ามีต่อราบฟ้า กำลังจะทำให้เจ้าทรยศข้า ในเมื่อนังอัปสรมันไม่ยอมรับเลี้ยงข้า เจ้าก็ต้องทำให้นังมนต์ทิพย์ ลูกของมันรับเลี้ยงข้าให้ได้”
“อย่ายุ่งกับมนต์ทิพย์”
“เพราะเจ้ารู้ว่านังมนต์ทิพย์มันจะได้ครองรักกับเจ้าราบฟ้าในชาติภพนี้ใช่มั้ย อย่าละเมอเพ้อพกว่านังมนต์ทิพย์มันคือตัวแทนของเจ้า ละอองคำ ตั้งสติให้ดี นังมนต์ทิพย์กับเจ้า ถึงแม้จะสืบเชื้อ สืบเครือกัน มีหน้าตาละม้ายกับเจ้านัก แต่มันก็ไม่ใช่เจ้า ไม่มีอะไร
เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย”
ละอองคำร้องไห้ ยกมือไหว้
“ผีเจ้า อย่ายุ่งกับหลานข้าเลย ข้าอยากให้เขาเป็นตัวแทนของข้า ให้เขาได้ครองรักกับเจ้าพี่ราบฟ้าเถอะ”
“ความรักทำให้เจ้าเป็นถึงเพียงนี้เจียวรึ นังโง่ คิดเหรอว่าไอ้ราบฟ้าในชาตินี้มันจะยังจดจำเจ้าได้ ไม่มีทางหรอกที่คนดีๆ อย่างราบฟ้า จะจดจำคนชั่วช้าอกตัญญู คนที่กล้าทำร้ายเชื้อเครือตัวเองจนพินาศเยี่ยงเจ้าได้”
ละอองคำน้ำตาคลอ ตัวสั่น
“ผีเจ้าใจร้าย ข้ารับใช้ผีเจ้าทุกอย่าง แต่ผีเจ้าก็ไม่เคยเมตตาข้าเลย”
“เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะละอองคำ ว่าจะเลี้ยงดูข้า และเป็นบริวารของข้าตลอดไป เหตุใดจึงไม่นึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ข้าเคยช่วยเจ้าบ้างล่ะ นังคนชั่ว ทำให้มนต์ทิพย์รับเลี้ยงข้าให้ได้ ไม่เช่นนั้น เจ้า นังอัปสร และนังมนต์ทิพย์มันต้องพินาศย่อยยับทั้งหมด”
ผีเจ้าวูบหายไป ละอองคำร้องไห้สะเทือนใจ
หน้าบ้านมนต์ทิพย์ในความมืดสลัว เงียบสงัด มนต์ทิพย์กับอัปสรนอนบนเตียง
ปีบยังคลุมโปงอยู่ปลายเตียง ทุกคนหลับใหล เงียบสนิท แมวดำขู่เสียงดัง ปีบขยุกขยิกเหมือนจะตื่น ค่อยๆ เปิดผ้าห่ม มองไปรอบๆ ห้อง แต่มองไม่เห็นแมว จู่ๆ เสียงหมาหอนก็ดังเข้ามา ปีบรีบคลุมโปง มนต์ทิพย์หลับสนิท อึดอัด กังวล คล้ายกำลังฝันร้าย
เรือนปั้นหยาของละอองคำ เปลี่ยวร้างกลางแสงจันทร์สลัว มนต์ทิพย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดช้าๆ เสียงละอองคำดังขึ้น
“มนต์ทิพย์หลานยาย ขึ้นมาหายายสิ มนต์ทิพย์”
มนต์ทิพย์กลัว แต่ก็ก้าวขึ้นบันไดไป ฉับพลัน ประตูบ้านก็เปิดผางออกเอง ละอองคำในชุดเจ้านางยืนอยู่หน้าประตู มนต์ทิพย์ตกใจ ผงะ
“ในที่สุดหลานก็มา มนต์ทิพย์ ยายคอยหลานอยู่นานแล้ว”
“คุณยาย”
“เข้ามาสิ เข้ามาหายาย”
มนต์ทิพย์เดินเข้าไปช้าๆ เหมือนถูกสะกดจิต ละอองคำอ้าแขนรอรับ พอมนต์ทิพย์เข้าใกล้ ก็กอดรัดแน่น ตาวาวโรจน์
“หลานรักของยาย”
ละอองคำกอดรัดแน่นขึ้นๆ จนมนต์ทิพย์หายใจไม่ออก เสียงหัวเราะแหบๆ ของละอองคำดังขึ้นเรื่อยๆ
มนต์ทิพย์ถูกผ้านวมรัดร่างไว้ ดิ้นรน กระสับกระส่าย หายใจไม่ออก ยิ่งดิ้น ผ้านวมก็ยิ่งรัดแน่น เจ็บปวด อึดอัด ทุรนทุราย เสียงละอองคำหัวเราะน่ากลัว มนต์ทิพย์กระสับกระส่าย ดิ้นรน
“คุณยาย”
มนต์ทิพย์ผุดลุกขึ้น อัปสรกับปีบตกใจตื่น
“ทิพย์”
“คุณทิพย์ คุณทิพย์ฝันร้ายหรือคะ ฝันเห็นรึคะ”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบ ปีบยิ่งมั่นใจ ขนลุก
“ปีบได้ยินเสียงแมวร้องทั้งคืนเลยค่ะ น่ากลั๊วน่ากลัว”
อัปสรมองไปรอบๆ หวาดๆ ถามปีบเสียงสั่น
“เสียงแมวเหรอ”
“ค่ะคุณอัปสร”
มนต์ทิพย์ค่อยๆ แกะผ้าห่มออก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ปีบ ทิพย์ไม่ได้ฝันร้าย แค่อึดอัดเพราะห่มผ้าแน่นไปเท่านั้นค่ะ”
“โล่งอกไปทีค่ะ งั้น ปีบลงไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ”
ปีบออกไปพร้อมผ้าห่มที่นอน รอจนประตูปิด อัปสรมองหน้าลูกสาว
“เกิดอะไรขึ้นทิพย์”
“ทิพย์ฝันค่ะแม่”
“ฝัน ฝันร้ายหรือลูก”
“ค่ะแม่ ทิพย์ฝันถึงคุณยาย”
อัปสรตกใจ หน้าซีดเผือด มนต์ทิพย์จ้องหน้าแม่ เห็นความหวาดกลัวชัดเจน แน่ใจแล้วว่าเรื่องแปลกๆ เกิดจากยายของเธอ
อัปสรนั่งเงียบคนเดียวในสวน เฝ้ากังวลว่าจะป้องกันมนต์ทิพย์จากละอองคำได้อย่างไร มนต์ทิพย์ยืนมองอยู่ไกลๆ สงสารแม่ อัปสรเครียดจนน้ำตาไหล มนต์ทิพย์เข้ามาหา
“แม่เป็นอะไรคะ”
อัปสรรีบปาดน้ำตา
“ปะ เปล่าลูก ทิพย์มีอะไรกับแม่หรือ”
“แม่ขา คุณยายหน้าตาเหมือนทิพย์ใช่มั้ยคะ”
อัปสรตกใจมาก
“ทิพย์ ใครบอกหนู ลูก”
“ไม่มีใครบอกหรอกค่ะ แต่ในฝัน หน้าตาคุณยายเหมือนทิพย์ ยังกับฝาแฝด”
“ทิพย์ แล้วหนูเห็นอะไรอีกลูก”
“ทิพย์เห็นบ้านหลังใหญ่ ริมน้ำ”
อัปสรน้ำตาร่วง
“ทิพย์”
“ตอนที่แม่หายไป แม่ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นใช่มั้ยคะ”
“หนูรู้ได้ยังไง หนูฝันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือลูก”
“ทิพย์ไปที่บ้านนั้นมาค่ะ”
อัปสรร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้น มนต์ทิพย์ปลอบ กอดแม่แน่น
“ยายเป็นใครคะแม่ แม่บอกทิพย์สิคะ ทำไมแม่ถึงต้องกลัวยายมากมายขนาดนั้น”
อัปสรป้ายน้ำตา
“รับปากแม่นะทิพย์ อย่าไปที่นั่นอีก รับปากแม่นะลูก”
มนต์ทิพย์มองหน้าแม่ ไม่เข้าใจ
อัปสรและมนต์ทิพย์พากันมาหาพรเทพ
“คุณอาสบายดีนะคะ”
พรเทพยิ้มใจดี
“ก็ตามอัตภาพนั่นแหละ คนแก่ก็แบบนี้”
“คุณตายังไม่เห็นแก่เลยค่ะ”
พรเทพขยี้ผมมนต์ทิพย์อย่างเอ็นดู
“ทิพย์ เอาขนมไปจัดใส่จาน คุณตาจะได้ทาน”
“ยกไปที่โต๊ะอาหารเลยนะ เดี๋ยวตาตามไป”
“ค่ะคุณตา”
พรเทพกับอัปสรสบตากัน มองมนต์ทิพย์ มนต์ทิพย์เข้ามาในครัว หน่อยปราดเข้ามาช่วย
“หน่อยทำเองค่ะคุณทิพย์”
“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรก็ไปทำ”
“ค่ะ งั้นหน่อยไปดูต้นไม้ในสวนนะคะ”
“จ้ะ อ้อ จานใส่ขนมอยู่ที่ไหน”
“ทางนี้ค่ะ”
หน่อยชี้ให้ดู แล้วเดินออกไป มนต์ทิพย์เอื้อมหยิบจานกระเบื้อง แต่ก็ต้องชะงัก ได้ยินเสียงแมวร้อง
“หน่อย”
“ขาคุณทิพย์”
“ที่นี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ”
“ไม่มีนี่คะ”
มนต์ทิพย์เริ่มหวาดๆ หยิบจานมาวาง
เจ้านาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
อัปสรตาแดงๆ พูดกับพรเทพ เสียงเครือ
“เป็นไปอย่างที่หนูกลัวจริงๆ คุณแม่เริ่มหันไปหายัยทิพย์แล้วค่ะ หนูจะทำยังไงดี”
พรเทพหน้าเครียด ถอนใจอย่างหนัก ไม่รู้จะช่วยมนต์ทิพย์ให้รอดพ้นจากละอองคำได้อย่างไร
“หนูจะให้ทิพย์ย้ายไปอยู่กับบุญสลัก ที่บ้านบุญสลักก็ได้ คุณอาเห็นว่ายังไงคะ”
พรเทพถอนใจ ส่ายหน้า
“มนต์ทิพย์เป็นผู้หญิง ยังไม่ได้ตบได้แต่ง จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน ให้มาอยู่เสียที่นี่เป็นไง”
“คุณอาสูงวัยมากแล้วนะคะ เราสองคนปกป้องยัยทิพย์จากเงื้อมมือคุณแม่ไม่ได้แน่ๆ ส่วนบุญสลัก เขามีความรักต่อกันเป็นที่ตั้ง หนูเชื่อค่ะว่าบุญสลักจะคุ้มครองยัยทิพย์ได้”
พรเทพกังวล
มนต์ทิพย์ยกถาดใส่ขนมมาพร้อมชา วางบนโต๊ะอาหาร
“คุณตาลองชิมสิคะ ร้านนี้อร่อยมาก ไม่หวานจนเกินไป”
พรเทพชิมแล้วพยักหน้า ชื่นชม มนต์ทิพย์รินชาใส่ถ้วยให้ตาและแม่
“ทิพย์ได้ยินเสียงแมวร้อง แต่ถามหน่อยแล้ว บอกว่าไม่ได้เลี้ยงแมว”
อัปสรชะงัก วางถ้วยชาลงบนจานรองอย่างแรง ชากระฉอกหก หันมองหน้าพรเทพ“หนูหูแว่วไปแน่ๆ บ้านนี้ไม่ได้เลี้ยงแมว”
“แต่ทิพย์ได้ยินจริงๆ นะคะ แปลกจังหมู่นี้ได้ยินเสียงแมวร้องบ่อยๆ”
“ข้างบ้านอาจจะเลี้ยงก็ได้”
อัปสรสบตาพรเทพ หน่อยพาบุญสลักเข้ามาพอดี
“สวัสดีครับ คุณน้า คุณตา”
“รู้ได้ไงคะว่าทิพย์อยู่ที่นี่”
บุญสลักยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ
“ผมมีสปายอยู่ในบ้านคุณทั้งคน”
“พี่ปีบล่ะสิ อุตส่าห์ย้ำว่าไม่ให้บอกใคร”
“ไม่บอกใครน่ะถูกแล้ว แต่ต้องบอกผม เพราะผมเป็นคนรักของคุณ”
มนต์ทิพย์ยิ้มเขินแม่กับตา ทุกคนยิ้มชื่นมื่น อัปสรลอบสบตาพรเทพ พยักหน้าเข้าใจกันสองคน
บุญสลักนั่งที่ศาลากลางสวน อัปสรเดินมาหาอย่างร้อนใจ
“พ่อบุญสลัก น้ามีเรื่องจะปรึกษา”
บุญสลักงงกับกิริยาของอัปสร
“ครับ คุณน้า”
อัปสรจ้องหน้าบุญสลัก จนบุญสลักรู้สึกถึงความผิดปกติ
“คุณน้ามีอะไรก็พูดมาเลยครับ ผมยินดีรับฟัง”
“น้าถามจริงๆ บุญสลักรักยายทิพย์หรือเปล่า”
“รักครับ ผมรักทิพย์เท่าชีวิต”
อัปสรน้ำตาซึม
“ชื่นใจเหลือเกิน พ่อคุณ”
“คุณน้าถามทำไมหรือครับ”
“ยัยทิพย์กำลังมีอันตราย ช่วยทิพย์ ช่วยน้าด้วยเถอะ”
“อันตรายหรือครับ แล้วคุณน้าจะให้ผมช่วยยังไง”
“น้าอยากให้คุณพามนต์ทิพย์ไปจากที่นี่ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับยัยทิพย์อีกแล้ว”
“พาไปจากที่นี่ แล้ว”
“พายัยทิพย์ไปอยู่ที่บ้านพ่อบุญสลักก็ได้”
บุญสลักอึ้ง มองหน้าอัปสรอย่างไม่เชื่อหู
“บ้านผม แต่ผมกับทิพย์ยังไม่ได้แต่งงานกันนะครับ”
อัปสรน้ำตาร่วง ปล่อยโฮ
“ไม่มีเวลาแล้ว บุญสลัก ยัยทิพย์มีอันตรายเกินกว่าจะนึกถึงเรื่องแต่งงาน แค่พ่อบุญสลักรับปากน้าว่าจะคุ้มครองยัยทิพย์แทนน้า น้าก็พอใจแล้ว รับปากน้าสิ บุญสลัก”
อัปสรเอาแต่ร้องไห้ บุญสลักทำอะไรไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้น ใครจะทำอะไรทิพย์หรือครับคุณน้า ถ้าผมไม่รู้อะไรเลย ผมจะปกป้องทิพย์ให้ปลอดภัยได้ยังไงล่ะครับ”
อัปสรเอาแต่ส่ายหน้า ไม่กล้าบอกความจริง กลัวบุญสลักรังเกียจมนต์ทิพย์
“รู้แต่เพียงว่าทิพย์กำลังตกอยู่ในอันตรายก็พอ รับปากน้านะบุญสลักรับปากน้า”
อัปสรคร่ำครวญ บุญสลักงงๆ
บุญสลักนั่งในห้องนอน เคร่งเครียด ถอนใจ เสียงเคาะประตูดังเข้ามา บุญสลักหันหลังหนี ไม่สนใจ
“คุณหนูคะ นมเองค่ะ คุณหนูหลับอยู่หรือเปล่าคะ”
บุญสลักไปเปิดประตู นมผ่องยืนยิ้ม เอาใจ เดินเข้ามาในห้อง
“ใครทำให้คุณหนูของนมไม่สบายใจคะ บอกนมได้มั้ย”
“คุณแม่ของทิพย์น่ะครับ บอกว่าทิพย์กำลังตกอยู่ในอันตราย ขอร้องให้ผมพาทิพย์มาอยู่ที่บ้านนี้”
นมผ่องตกใจมาก มองหน้าบุญสลัก บุญสลักกดโทรศัพท์หาแฟรงค์ แฟรงค์กดรับสาย โดยมีเขมิกานั่งอยู่ด้วย
“นายแวะมาบ้านฉันหน่อยได้มั้ย มีเรื่องอยากปรึกษา”
“ไปบ้านนายเหรอ ฉันกำลังจะไปส่งคุณเขมที่บ้านว่ะ”
เขมิกาดีใจ แต่ทำหน้านิ่งไว้
“แวะบ้านคุณบุญสลักก่อนก็ได้ค่ะ ทางผ่านพอดี เขมไม่รีบ”
แฟรงค์พยักหน้า เขมิกาแอบยิ้ม
เขมิกากับแฟรงค์ตกใจเมื่อฟังเรื่องจากบุญสลัก บุญสลักหน้าเครียด
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงว่ะแฟรงค์ ถ้าต้องพาทิพย์มาอยู่ที่นี่จริงๆ”
“ทั้งแม่ทั้งอานายคงอกแตกตาย”
“ฉันถึงกลุ้มใจ คุณน้าก็เครียดมาก บอกแต่ว่าทิพย์กำลังตกอยู่ในอันตราย ให้ฉันพาทิพย์ออกไปอยู่ที่อื่น”
“พูดกันแต่เรานะโว้ย ฉันว่าคุณน้าแกแปลกๆ ถึงขนาดให้พาลูกสาวหนีทั้งที่ไม่ได้แต่งงาน หนำซ้ำยังฝันประหลาดอยู่บ่อยๆ ฉันว่านายน่าจะแนะนำไอ้ทิพย์ให้พาคุณน้าไปพบจิตแพทย์ หรือ คุณว่าไง เขม”
“เขมว่ามันละเอียดอ่อนเกินกว่าที่เขมจะออกความเห็นนะคะ”
บุญสลักถอนใจส่ายหน้า
“แล้วนายได้คุยกับไอ้ทิพย์เรื่องนี้บ้างหรือยัง”
บุญสลักส่ายหน้า
“คุยกันตามสบายนะคะ เขมขอไปทักทายอาพักตร์หน่อย”
เขมิกาออกไป
“เรื่องนี้น่าจะขึ้นอยู่กับการตัดสินของไอ้ทิพย์นะโว้ย ถ้านายฟังคุณน้าแม่ไอ้ทิพย์มากไป ไอ้ทิพย์อาจจะไม่พอใจก็ได้ คือฉันหมายถึงว่าบางทีคุณน้าอาจจะประสาทไปเองน่ะ อย่าโกรธนะโว้ยที่พูดตรงๆ”
เขมิกาเดินเข้ามาในบ้าน เบ้ปาก บ่นเบาๆ
“มารยา สร้างเรื่อง อยากให้ลูกสาวมาอยู่บ้านผู้ชาย กลัวลูกสาวจะหาผัวไม่ได้เหรอไง”
พักตร์พริ้งเดินออกมา เขมิกายกมือไหว้
“เขมว่าจะเดินไปที่บ้านอาพักตร์พอดี”
“กลางวัน อาก็มักจะขลุกอยู่ที่นี่แหละจ้ะ แล้วนี่หนูมากับใคร”
“แฟรงค์น่ะค่ะ เขามีธุระกับบุญสลัก”
พวงครามออกมาพอดี เขมิกาไหว้
“ไหว้พระเถิดหลาน ทั้งสวย ทั้งมีกิริยามารยาทงามจริงๆ”
“ค่ะ ไม่เหมือนแฟนตาบุญสลัก รายนั้นน่ะกิริยาท่าทางแข็ง เหมือนเอาหินถ่วงไว้ทั้งตัว คิดยังไงก็เสียดายที่หลานบุญสลักไปหลงเสน่ห์ผู้หญิงอย่างแม่มนต์ทิพย์เข้า”
“ก็ดูๆ กันไปน่าคุณพักตร์ เขาเพิ่งคบกัน อะไรก็ยังไม่แน่”
“แต่เขมว่าคุณทิพย์ก็น่ารักดีนะคะ นี่ถ้าสมมติว่าคุณทิพย์เข้ามาอยู่ในบ้านนี้ คุณอาพักตร์กับคุณป้าพวงครามจะยอมรับมั้ยค”
“ทำไมหนูเขมถามอย่างนี้ล่ะจ๊ะ”
“เขมก็แค่ถามเล่นๆ น่ะค่ะ”
นมผ่องยืนฟังอยู่ห่างๆ เครียด รู้สึกถึงความไม่น่ารักของเขมิกา
“แต่สำหรับอานะ หัวเด็ดตีนขาด อาก็รับแม่มนต์ทิพย์ไม่ได้หรอก ถ้าเข้ามาอยู่ที่นี่จริงๆ อาคงเป็นลมตายวันละร้อยหน ฮึ นอกจากจะไม่มีสมบัติพัสถานอะไรแล้ว ยังลือกันว่าเป็นลูกหลานปอบอีก อุ๊ย แค่คิดก็สยอง”
เขมิกายิ้มพอใจ
แฟรงค์ขับรถ เขมิกานั่งข้างๆ มองออกไปข้างนอกรถ ไม่ร่าเริงเหมือนทุกวัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบๆ”
“คิดเรื่องบุญสลักน่ะค่ะ ตกลงเขาจะรับคุณทิพย์มาอยู่ที่บ้านหรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้สิ แต่ผมว่ามันรับ มันรักไอ้ทิพย์ยิ่งกว่าอะไร”
เขมิกาหน้าบึ้งขึ้นมา
“ไม่อายหรือไง ยังไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อย เขมว่าแม่ยัยทิพย์น่ะหาอุบายเอาลูกสาวใส่พานถวายบุญสลักซะมากกว่า”
“พูดน่าเกลียด คุณน้าอัปสรคงไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก”
เขมิกาหน้าบึ้ง แฟรงค์ชำเลืองดู
“อย่าไปสนใจเรื่องคนอื่นเลย เราไปหาหนังดูกันสักเรื่องดีมั้ย”
“เขมเหนื่อยค่ะ อยากอาบน้ำ”
รถของแฟรงค์จอดที่หน้าบ้าน เขมิกาเปิดประตูรถลงมา แล้วเดินเข้าบ้าน แฟรงค์มองงงๆ ไม่รู้ว่าเขมิกาอารมณ์เสียเรื่องอะไร
“เป็นอะไรของเขานะ”
โฉมกับเกษมซึ่งเป็นพ่อของเขมิกา มองหน้าเขมิกาอย่างแปลกใจ
“วันนี้ทำไมไม่ชวนแฟรงค์เข้ามาในบ้านล่ะ”
“ตัวไม่ได้ติดกันซะหน่อย”
“แต่ก่อนก็เห็นไม่ห่างกัน”
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
เขมิกาปรับอารมณ์ เดินเข้ามากอดพ่อ แล้วเลยไปกอดโฉม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขมแค่รู้สึกว่าเขมไม่ได้ชอบแฟรงค์ถึงขนาดจะต้องแต่งงานด้วยค่ะ”
โฉมสบตาเกษม ตกใจ
“นี่หนูพูดจริงๆ หรือแม่เขม”
“เขมขอโทษค่ะคุณย่า คุณพ่อ”
“หรือเรามีคนอื่น”
โฉมมองหลานสาวอย่างรู้เท่าทัน
“พักตร์พริ้งใช่มั้ย”
“เขมไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
เขมิกาเดินหนีไป
“ยัยเขมดูแปลกๆ วันนี้ ไม่ใช่เจอลูกยุคุณพักตร์เข้าให้นะ นิสัยไม่เปลี่ยน ผู้ชายไม่ยอมแต่งงานด้วยก็อีตรงปากไม่มีหูรูดนี่แหละ หวังว่าคงไม่ได้ยุยงอะไรให้ยัยเขมเปลี่ยนใจจากนายแฟรงค์นะ”
โฉมอึ้งไป
เขมิกาประคองโฉมเข้ามานั่งเก้าอี้
“คุณย่ามีอะไรกับเขมหรือคะ เรียกเขมไปที่ห้องคุณย่าก็ได้ ไม่เห็นต้องเดินมาให้เหนื่อย”
“บุญสลักใช่มั้ย ที่ทำให้เราเปลี่ยนใจจากพ่อแฟรงค์”
“คุณย่า คุณย่าทราบได้ยังไงคะ”
“ย่าเป็นย่านะแม่เขม ถ้าย่าตามเขมไม่ทัน ย่าจะเลี้ยงเขม เลี้ยงพ่อของเขมมาได้ยังไง”
เขมิการู้สึกผิด แต่โฉมกลับไม่ว่าอะไร
“มีอะไรให้ย่าช่วยมั้ยล่ะ ฮึ”
“คุณย่า เอ่อ คือ เขมเพิ่งรู้ว่าคุณน้าอัปสร จะให้คุณบุญสลักพามนต์ทิพย์เข้ามาอยู่ในบ้าน อ้างว่ามนต์ทิพย์กำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะค่ะ”
“เขมว่าอะไรนะ จะให้ลูกสาวตัวเข้ามาอยู่ในบ้านผู้ชาย ทั้งที่ยังไม่ได้ตบได้แต่งงั้นเหรอ บัดสี หน้าด้านที่สุด นี่คงกลัวตาบุญสลักจะเปลี่ยนใจล่ะสิ”
“นั่นล่ะค่ะคุณย่า ที่เขมหนักใจ ถึงแม้คุณอาพักตร์กับคุณอาพวงครามจะสนับสนุนเขมอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้ามนต์ทิพย์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านนั้นจริงๆ เขมคงหมดหวัง”
โฉมไม่ตอบอะไร ดึงเขมิกามากอด
“นังละอองคำ ถึงเวลาแก้แค้นของฉันแล้ว ลูกหลานแกไม่มีทางได้สมหวัง พวกมันจะต้องทุกข์ทรมานเหมือนที่แกเคยทำไว้กับฉัน”
โฉมมองร้ายกาจ เงาผีดำๆ ลอยวนอยู่ที่หน้าต่าง ปิ่นเมืองหัวเราะสะใจ มือโบกพัดน้อยๆ ไปด้วย
"ผ่านไปกี่ปี ไฟแค้นในใจของอีโฉมก็ไม่เคยมอดดับ เหมือนเช่นข้า อีละอองคำเหย ข้าสู้อุตส่าห์เฝ้ารอวันพินาศของเจ้ามาหลายสิบปี"
"ในที่สุด ข้าก็จะได้เห็นความเจ็บปวดของเจ้าแล้ว"
มนต์ทิพย์กราบหมอน เงยหน้าขึ้น
“คุณพ่อขา ช่วยทิพย์ด้วย ทิพย์ไม่รู้จะทำยังไงดี ทิพย์คิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณพ่อช่วยทิพย์ด้วยนะคะ ช่วยให้คุณแม่หายป่วยโดยเร็ว ทิพย์สงสารคุณแม่เหลือเกินค่ะ”
มนต์ทิพย์น้ำตาหยด ก้มกราบหมอน คืนนั้น อัปสรนอนหลับสนิท ปีบนอนเฝ้ากับพื้นปลายเตียง อัปสรค่อยลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ ทุกอย่างปกติ โล่งใจ หันกลับมาก็ตกใจเงาผีปรากฏขึ้นจางๆ แล้วค่อยชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นใบหน้าดุร้ายของผีเจ้า อัปสรผวา ลุกขึ้น ไม่ละสายตาจากผีปอบตรงหน้า แต่พอจะขยับหนี ก็ขยับไม่ได้ จะร้องก็ร้องไม่ออก ผีเจ้าเลือดไหลมุมปากน่าขยะแขยง
“นังอัปสร นังลูกทรพี แม่เจ้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานก็เพราะความอกตัญญูของเจ้า นังคนบาป บาปกรรมจะลงโทษเจ้า จะลงโทษไปถึงลูกหลานของเจ้าให้ทุกข์ทรมาน พวกมึงต้องรับกรรม”
อัปสรผวา กรีดร้องดังลั่น ปีบสะดุ้งตื่น เห็นอัปสรตัวสั่นเทา นั่งซุกหน้ากับเข่า จึงรีบเข้าประคอง
“คุณนายขา คุณนาย เกิดอะไรขึ้นคะ”
ปีบเปิดไฟสว่างทั้งห้อง ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณนายใจเย็นๆ นะคะ”
อัปสรชี้มือสั่นๆ ไปบนเพดาน
“ผี ผีอยู่บนโน้น”
ปีบตกใจเมื่อได้ยินคำว่าผี แต่ก็ทำใจแข็ง แหงนมอง
“ไม่มีนี่คะ ปีบไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ หรือว่ายาจะหมดฤทธิ์ คุณนายทานยาอีกทีนะคะ”
ปีบหยิบยามาวางบนโต๊ะสองเม็ด
“เดี๋ยวปีบรินน้ำให้นะคะ”
ปีบหันไปรินน้ำที่มุมห้อง อัปสรเอื้อมมือคว้ายาที่วางไว้ จู่ๆ ยาสองเม็ดก็กลายเป็นหนอนเดินยั้วเยี้ย อัปสรกรีดร้องสุดเสียง ปีบรีบปราดเข้ามาดู
“หนอน ไม่ แกจะให้ฉันกินหนอน เอาออกไปนะ”
ปีบมองยาสองเม็ดงงๆ คว้ายาขึ้นมา
“หนอนเหนินที่ไหนกันคะคุณนาย นี่มันยาที่คุณหมอให้มานะคะ”
ปีบยื่นยาให้อัปสร
“อย่านะ เอาออกไป”
อัปสรปัดมือปีบ แก้วน้ำกระเด็นตกแตก ปีบกลัวลนลาน ถอยออกมา
“ผีเข้าคุณนายแน่แล้ว ทำไงดีๆ คุณทิพย์”
ปีบลนลานผละออกไปเรียกมนต์ทิพย์
“คุณทิพย์ขา คุณทิพย์”
มนต์ทิพย์นอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงปีบ
“คุณทิพย์คะ คุณทิพย์ตื่นเร็วเถอะค่ะ คุณนายแย่แล้วคุณทิพย์”
ปีบรอสักครู่ ยังเงียบ
“ผีเข้าคุณนายค่ะ”
มนต์ทิพย์นอนหลับสนิท ผีเจ้าผ่านวูบในห้องนอน มนต์ทิพย์ก้าวขึ้นเรือนปั้นหยาของละอองคำช้าๆ ทั้งที่อยากหยุด แต่ขากลับก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในบ้าน ละอองคำยืนคอย พอมนต์ทิพย์ขึ้นไปถึง เธอก็เดินขึ้นไปบนห้องนอน
“ตามยายมาสิ หลานรัก”
“ยาย หนูเป็นหลานยายจริงๆ หรือคะ”
“มาใกล้ๆ ยายสิ หลานอยากรู้เรื่องอะไร ยายจะเล่าให้ฟัง”
ละอองคำเดินเข้าห้องไป มนต์ทิพย์กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ตามไป
“นังอัปสรมันใจร้าย มันทิ้งยายไป ปล่อยให้ยายต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน”
มนต์ทิพย์ตกใจ
“ตาย หมายความว่า ยายตายแล้วเหรอคะ”
“ใช่ ยายตายแล้ว ตายไปพร้อมกับอำนาจที่ไม่มีใครสืบทอด ยายถึงไปผุดไปเกิดไม่ได้ ฮึ แกก็คงอกตัญญูเหมือนแม่แกนั่นแหละ”
มนต์ทิพย์ส่ายหน้า กลัวมากขึ้น
“แม่ไม่เคยเล่าเรื่องยายให้หนูฟังเลยค่ะ”
“ใช่ซี๊ พวกแกมันพวกไม่มีอดีต ไม่มีหน่อพงวงศ์วาน นังอัปสรแม่แกมันใจร้าย ไม่เคยมาดูดำดูดียาย นังลูกชั่ว”
“เอ่อ ยายตายแล้วจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ นังอัปสรมันปล่อยให้ยายตายอย่างเดียวดาย”
“ถ้ายายตายแล้ว ทำไมยายถึงมาคุยกับหนูได้ล่ะคะ”
ละอองคำจ้องตามนต์ทิพย์ สะกด
“ดูสิ มนต์ทิพย์ มองดูยายให้ดีๆ แล้วแกจะรู้”
ละอองคำนอนลงบนเตียงเก่าคร่ำ ฝุ่นเขรอะ ผิวค่อยๆ เน่าเฟะ เหี่ยวลงๆ มนต์ทิพย์ตกใจมาก จะกรีดร้อง แต่ร้องไม่ออก ได้แต่หวาดกลัว ตัวสั่น หน้าละอองคำกลายเป็นซากศพ แต่ดวงตาเบิกโพลง น้ำเหลืองเฟะค่อยๆ กลอกตามองมาที่มนต์ทิพย์
“มนต์ทิพย์หลานรักของยาย ช่วยปิดตาให้ยายทีเถอะ ยายอยากนอนตายตาหลับ”
มนต์ทิพย์ตัวสั่น น้ำตาเริ่มไหล กลัวมาก
“ไม่ ไม่”
มนต์ทิพย์เบือนหน้าหนี
“ปิดตาให้ยาย มนต์ทิพย์ ช่วยปิดตาให้ยายที”
“ไม่ หนูทำไม่ได้ หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัวยาย หลานคือตัวแทนของยาย หน้าตาของหลานถึงถอดแบบยายมา ราวกับคนเดียวกันไงล่ะ มนต์ทิพย์”
มนต์ทิพย์ลังเล ทั้งกลัวและสงสาร
“ปิดตาให้ยายที มนต์ทิพย์หลานรัก ปิดตาส่งวิญญาณให้ยายที”
มนต์ทิพย์กลั้นใจ ก้าวเข้าไปช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปปิดตาให้ละอองคำ ละอองคำหลับตาลง มนต์ทิพย์มองมือตัวเองอย่างรังเกียจ เลอะน้ำเหลืองเต็มไปหมด จะกรีดร้องก็ทำไม่ได้ จะก้าวหนีก็ทำไม่ได้ ยิ่งกลัวมากขึ้น ละอองคำค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลอกตามาที่มนต์ทิพย์อีกครั้ง
“ยายยังไม่หลับเลย ปิดตาให้ยายอีกที”
มนต์ทิพย์ยกมือปิดหน้า กรีดร้อง
“ไม่ ไม่”
มนต์ทิพย์ปล่อยโฮอย่างรังเกียจ หน้าตาของตัวเองเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำเหลือง
กรีดร้องสุดเสียง ขณะละอองคำหัวเราะกังวานก้อง มนต์ทิพย์กระสับกระส่าย แล้วผวาลุกขึ้น ด้วยความตกใจ
“ไม่”
มนต์ทิพย์รีบยกมือตัวเองขึ้นพลิกดูอย่างรังเกียจ พอเห็นว่าไม่มีอะไรก็ถอนหายใจ
เปิดไฟหัวเตียง นึกถึงอัปสรขึ้นมาได้
“แม่”
มนต์ทิพย์ลุกออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
อัปสรนั่งคุดคู้บนเตียง ตัวสั่น ตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง หวาดกลัว ปีบคอยกอดปลอบ ทั้งห่วงทั้งกลัว
“คุณนายขา คุณนายนอนนะคะ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ”
“ไม่ ผี ฉันกลัว”
ปีบยิ่งกลัวไปอีกคน ตามองไปรอบๆ มนต์ทิพย์เปิดประตูเข้ามา ปีบดีใจมาก
“คุณทิพย์”
มนต์ทิพย์ถลาไปหาอัปสร
“คุณแม่กลัวอะไรคะ”
“ผีค่ะ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผี ปีบเอายาให้ทาน ก็หาว่าเป็นหนอน ท่าทางคุณนายยังกะเห็นผีจริงๆ แน่ะค่ะคุณทิพย์”
“พี่ปีบ ช่วยโทรหาอาหมอทีเถอะค่ะ”
อัปสรคว้าแขนมนต์ทิพย์ไว้
“ไม่ แม่ไม่หาหมอ หมอเป็นผี ได้ยินมั้ยทิพย์ หมอเป็นผี”
“แม่ใจเย็นๆ นะคะ”
“ไม่ทิพย์ ช่วยโทรหาบุญสลักให้แม่ที นะทิพย์นะ แม่ต้องการจะพูดกับบุญสลัก”
มนต์ทิพย์อึดอัด เกรงใจ
“ไว้ให้เช้าก่อนนะคะ”
“ไม่ได้ ทิพย์ ต้องโทรเดี๋ยวนี้ ทิพย์ บอกบุญสลักให้มาหาแม่เดี๋ยวนี้”
อัปสรสะอื้น มนต์ทิพย์กอดแม่ไว้ สงสรจับใจ ปีบมองอัปสรแล้วยิ่งกลัว
“แม่ตายไม่ว่า แต่ทิพย์ต้องไม่เป็นอะไร แม่ไม่ยอม แม่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรทิพย์”
มนต์ทิพย์กอดอัปสรแน่น ร้องไห้ด้วยความสงสารแม่
บุญสลักลงบันไดบ้านมาอย่างรีบร้อน นมผ่องวิ่งมารับหน้า
“จะไปแต่เช้าเลยหรือคะคุณหนู รับอะไรซะหน่อยมั้ยคะ”
“ไม่ล่ะนม ผมรีบ”
นมผ่องพยายามถ่วงเวลา กลัวพวงครามจะโกรธบุญสลักอีก
“ไม่รอคุณแม่ลงมาก่อนหรือคะ”
บุญสลักรีบมาก
“คุณน้าอาการไม่ดีเลยครับนม ผมเป็นห่วงทิพย์ ผมไปก่อนนะครับ”
บุญสลักผละไป นมผ่องส่ายหน้า มองเห็นปัญหารำไร นมผ่องขึ้นบันไดบ้านไปชั้นบน แช่มกับแหวนเดินตามเป็นพรวน พวงครามเปิดประตูห้องออกมา
“ใครไปไหนแต่เช้ารึ นมผ่อง”
“เอ่อ”
พวงครามมองหน้าคนใช้สลับไปมา อารมณ์บูดแต่เช้า
“เป็นอะไร หะ นมผ่อง ว่าไง ฮึ ใครออกไปไหนแต่เช้า หรือเอาแต่มุดหัวอยู่ในบ้าน ใครจะไปจะมาไม่เคยสนใจ”
“เอ่อ”
แหวนมองหน้านมผ่อง ไม่กล้าตอบ
“คุณหนูค่ะ คุณหนู ขับรถออกไปเมื่อตะกี้ค่ะ”
“ไปไหน”
แช่มสบตานมผ่อง นมผ่องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“ไปบ้าน คุณทิพย์ค่ะ”
พวงครามโกรธ
“นี่ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ นมผ่อง ทำไมถึงไม่ห้าม”
“เอ่อ เมื่อคืนบ้านโน้นเกิดเรื่องค่ะคุณ คุณหนูเป็นห่วงก็เลยรีบออกไปแต่เช้า”
พวงครามถอนใจ
“มันโทรมาปุ๊บ ตาบุญสลักก็รีบแจ้นไปรับใช้พวกมันปั๊บ”
“คุณทิพย์โทรมาตั้งแต่ตอนตี่สี่ค่ะคุณผู้หญิง แต่แช่มเพิ่งจะบอกคุณหนูเมื่อตะกี้”
“ให้มันได้ยังงี้สิ ลูกฉัน ไปตามคุณพักตร์มาพบฉันที”
“คุณคะ อิฉันว่า”
“ฉันขอล่ะ นมผ่อง เลิกเข้าข้างตาบุญสลักเสียที นังแช่ม”
“ตอนนี้เลยหรือคะ”
“ย่ะ หรือจะรอให้ตะวันตรงหัวหล่อนก่อนฮึ”
“เอ่อ แต่เช้าขนาดนี้ คุณพักตร์เธอยังไม่ตื่นหรอกค่ะ”
“ยังไม่ตื่นก็ปลุกเขาสิ ทำเป็นมั้ย หรือฉันจะต้องไปทำให้แกสองคนดูเป็นตัวอย่าง ฮึ เดี๋ยวฉันตัดเงินเดือนซะเลยนี่ เลี้ยงเสียข้าวสุกซะจริง”
นมผ่องส่ายหน้ารู้ดีว่าพักตร์พริ้งจะทำให้พวงครามยิ่งร้อนใจ แหวนกับแช่ม รีบวิ่งออกไป
มนต์ทิพย์นั่งประกบอัปสรซึ่งซึมเศร้า ตัวสั่น ปีบนั่งอยู่ข้างๆ มองอัปสรด้วยความห่วงใย บุญสลักเข้ามา อัปสรยิ้มดีใจจนปีบและมนต์ทิพย์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“คุณน้าเป็นไงบ้างครับ”
“น้าไม่เป็นไรค่ะ แค่อยากพบพ่อบุญสลักเท่านั้น
“คุณแม่ขา แต่ทิพย์อยากให้คุณแม่ไปพบหมอ”
“แม่ไม่เป็นไรจริงๆ ทิพย์ ฟังแม่นะลูก สิ่งที่แม่จะพูดฃต่อไปนี้สำคัญกว่ามาก ทิพย์จะอยู่บ้านนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไปอยู่กับบุญสลัก เขาจะปกป้องหนูได้”
มนต์ทิพย์กับปีบตกใจ
“คุณแม่ขา คุณแม่พูดอะไรคะ”
“แม่พูดจริงๆ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับหนูอีกแล้ว”
“แต่ทิพย์จะไปอยู่บ้านเขาด้วยเหตุผลอะไรคะ เรายังไม่ได้แต่งงานกัน ยังไม่มีผู้ใหญ่มาสู่ขอทิพย์ด้วยซ้ำ”
“ฟังแม่นะทิพย์ ชีวิตลูกสำคัญที่สุด เรื่องอื่นแม่ไม่สนใจ แม่ทำแบบนี้เพราะแม่รักหนู”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ คุณแม่บอกทิพย์ได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราสองแม่ลูก”
อัปสรน้ำตาไหล ส่ายหน้า ไม่ยอมตอบ บุญสลักแตะไหล่มนต์ทิพย์ ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้ถาม
“ทิพย์ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะปกป้องคุ้มครองคุณเอง”
“ได้ยินมั้ยทิพย์ บุญสลักรับปากแล้ว ขอบใจนะ บุญสลัก น้าขอบใจจริงๆ”
“แต่คุณแม่ต้องไปหาหมอนะคะ ฉีดยาบำรุงสักหน่อย จะได้สบายขึ้น ถ้าคุณแม่ไม่ยอมไปหาหมอ ทิพย์ก็จะไม่ไปกับบุญสลักค่ะ”
อัปสรอึ้ง ยอมจำนน
เจ้านาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
อัปสรนั่งตรงข้ามหมอ ตั้งใจเป็นพิเศษ เพื่อเอาใจมนต์ทิพย์
“ทิพย์รอข้างนอกนะคะแม่ ฝากด้วยนะคะ อาหมอ”
“ครับ”
มนต์ทิพย์เดินออกไป
“เพื่อประโยชน์ในการรักษา หมอขอให้คุณอัปสรตอบหมอตรงๆ”
“ค่ะ”
หมอเริ่มเปิดแฟ้ม
“ช่วยเล่าประวัติคุณอัปสรให้ผมฟังสิครับ”
อัปสรอึกอักนิดหนึ่ง จำใจเล่า
“ฉันเกิดที่นี่ แล้วย้ายไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ห้าขวบค่ะ ฉันแต่งงานกับสามีชื่อพรวุฒิ มีลูกสาวคนเดียวคือมนต์ทิพย์นี่แหละค่ะ”
“ทำไมถึงย้ายกลับมาตั้งรกรากที่เมืองไทยล่ะครับ”
“คุณพรวุฒิอยากจะมาทำธุรกิจที่นี่ค่ะ แต่เขาก็มาจากไปเสียก่อน”
“ประทานโทษ คุณพรวุฒิเสียชีวิตด้วยสาเหตุใดครับ”
อัปสรนิ่งอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจตอบ
“ถูกแมวกัดค่ะ”
หมอและพยาบาลตกใจ ลอบมองหน้ากัน
“แมวกัดหรือครับ”
“ค่ะ แมวดำ มันเป็นแมวผี”
หมอทำหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่แปลกใจอะไร
“คุณพ่อคุณแม่คุณอัปสรล่ะครับ อาศัยอยู่ที่อังกฤษหรือที่เมืองไทย”
“คุณพ่อเสียแล้วค่ะ ตั้งแต่ฉันอายุห้าขวบ”
“ท่านเป็นอะไรถึงเสียชีวิตครับ”
อัปสรนิ่งอึ้ง ไม่กล้าเล่า หลับตานิ่งอยู่นานก็ลืมตาขึ้น พบหมอจ้องหน้าอยู่แล้ว
ค่อยๆ หันมองพยาบาล ต้องตกใจ หน้าพยาบาลซ้อนภาพผีเจ้าจางๆ แสยะยิ้ม
“เล่าไปสิ นังอัปสร เล่าไปว่าแม่ปอบของแกล้วงตับไตไส้พุงไอ้ฉัตรกินจนหมด”
“ผี แก”
อัปสรขยับหนี ตัวสั่น ผีเจ้า ตาวาว แดงก่ำ แสยะยิ้ม
“แกอวดดีกับข้า นังอัปสร ชีวิตแกกับลูกจะไม่มีวันสงบสุข พวกแกต้องตายอย่างช้าๆ นังอกตัญญู”
“อ๊าย”
อัปสรลุกขึ้น จะวิ่งออกจากห้อง หมอกับพยาบาลช่วยกันจับ อัปสรยังมองเห็นหมอ พยาบาลเป็นผี สลัดทั้งสองจนกระเด็นไปคนละทาง กรีดร้องเสียงดัง มนต์ทิพย์กับบุญสลักตกใจ อัปสรเปิดประตูห้องออกมา วิ่งกระเซอะกระเซิงออกไปอย่างหวดกลัว หมอพยาบาลวิ่งตามออกมาติดๆ
“คุณอัปสรคะ”
“คุณอัปสรครับ”
มนต์ทิพย์ตกใจ รีบวิ่งตามแม่ออกไปจนถึงหน้าถนน อัปสรวิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มนต์ทิพย์รีบวิ่งตามไป รถบรรทุกวิ่งผ่านมา มนต์ทิพย์ยืนรอข้ามถนนด้วยความร้อนใจ รถบรรทุกผ่านไป อัปสรก็หายไปแล้ว มนต์ทิพย์กวาดตาไปทั่วๆ แต่ไม่เห็นอัปสรแล้ว
“คุณแม่”
บุญสลักตามมาถึง
“ทิพย์ คุณน้าล่ะครับ”
“หายไปแล้วค่ะ ตะกี้ยังเห็นวิ่งอยู่ตรงนั้น บุญสลักคะ ทิพย์จะทำยังไงดี แม่หายไปแล้วค่ะ ทิพย์จะทำยังไงดี”
มนต์ทิพย์ร้องไห้ฟูมฟาย
“ใจเย็นๆ ทิพย์ หมอครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“จู่ๆ คุณอัปสรก็ร้องว่าผี แล้วก็วิ่งออกมาครับ”
มนต์ทิพย์เข่าทรุด น้ำตาไหลพราก
อัปสรวิ่งกระเซอะกระเซิงไปตามทาง สะดุดล้ม หัวคะมำ พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอญิงชาวบ้านยืนมองอยู่ เธอดีใจมาก
“พี่สาว ช่วยด้วยจ้ะ ช่วยฉันด้วย”
หญิงชาวบ้านช่วยประคองอัปสรลุกขึ้น
“จะให้ช่วยอะไร แล้วนี่ วิ่งหนีอะไรมา”
“ผีจ้ะ ผีมันหลอกฉัน ช่วยฉันด้วยนะพี่นะ”
หญิงชาวบ้านทำหน้าแปลกๆ ไม่เชื่อ เริ่มมองว่าอัปสรเสียสติ
“ผีเหรอ กลางวันแสกๆ แบบนี้อ่ะนะ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“จริงๆ นะจ๊ะ ผีมันตามรังควานฉัน”
หญิงชาวบ้านพูดด้วยเสียงผีเจ้า แต่อัปสรยังไม่เอะใจ
“แล้วไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าล่ะ ฮึ”
“เปล่าจ้ะ เปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ไม่จริง นังอัปสร ถ้าแกรับเลี้ยงผีข้า แกก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้”
อัปสรผงะ ถอยกรูด หน้าหญิงชาวบ้านยังเหมือนเดิม แต่แววตาเจ้าเล่ห์
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉันเลย”
หญิงชาวบ้านเดินเข้าหาอัปสรช้าๆ อัปสรสะดุดล้ม กลัวมาก ลุกไม่ไหว คลานหนีอย่างน่าสงสาร อัปสรคลานไปก็ไปชะงักเมื่อเห็นขา เงยมองช้าๆ พอเห็นเป็นพระ ก็ถอนใจ โล่งอก น้ำตาไหลพราก
“หนีอะไรมาหรือโยม”
อัปสรยิ้มดีใจ ก้มกราบกับพื้น ไม่ตอบหลวงพ่อ แต่มองหาหญิงชาวบ้านไม่เจอแล้ว หลวงพ่อเข้าใจเรื่องราวได้โดยไม่ต้องอธิบาย อัปสรตามหลวงพ่อมาที่โบสถ์ เงยหน้าจากการกราบพระประธาน
“จิตที่ผูกพันห่วงใย ก็เหมือนบ่วงคล้องคอ บ่วงจะทำให้เราตกอยู่ในอารมณ์ที่เป็นทุกข์ อาตมาเคยบอกโยมแล้ว ให้หมั่นปฏิธรรม เมื่อจิตผูกติดอยู่กับพระธรรม บ่วงของธรรมะจำทำให้โยมเข้าใจชีวิตและโลกได้มากขึ้น”
“อิฉันพยายามคิดว่าอิฉันเห็นจริงๆ หรือจิตของอิฉันคิดไปเอง แต่ทุกครั้ง มันก็เหมือนแม่มาหาจริงๆ เจ้าค่ะ หลวงพ่อคะ อิฉันอยากทราบความจริง”
“ความจริงอะไรหรือโยม”
“ความจริงเกี่ยวกับแม่ของอิฉัน”
“รู้แล้วได้อะไร ไม่รู้แล้วได้อะไร ชั่งใจให้ดีก่อน อาตมาคิดว่าโยมควรปฏิบัติสมาธิฝึกจิต เพื่อที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง จะดีกว่า”
อัปสรมองหลวงพ่ออย่างครุ่นคิด
รถบุญสลักแล่นเข้ามาจอดที่บ้าน มนต์ทิพย์นั่งมาด้วย
“อย่าคิดมากสิครับทิพย์ ผมบอกแล้วไงว่าจะดูแลปกป้องคุณด้วยชีวิต”
“ขอบคุณค่ะ แต่แม่คุณ อาคุณล่ะคะ”
“อย่าลืมสิทิพย์ เราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน”
ปีบแทรกขึ้นอย่างเกรงใจ
“งั้น พี่ปีบขนกระเป๋าลงเลยนะคะ”
“ครับ”
ทั้งสามช่วยกันขนกระเป๋าลงจากรถ พวงคราม พักตร์พริ้ง นมผ่อง แหวน แช่ม เดินเข้ามาเป็นขบวน
“นี่มันอะไรกัน ตาบุญสลัก”
บุญสลัก มนต์ทิพย์ และปีบ ออกอาการเกร็งๆ
“ทิพย์กำลังมีปัญหาน่ะครับคุณแม่ ผมเลยชวนให้ทิพย์มาอยู่ที่บ้านเราสักพัก”
“ตายแล๊ว ทำไมหน้าด้านอย่างนี้ ดูซิ จู่ๆ ก็หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่บ้านผู้ชาย นี่แม่หล่อนไม่ว่าอะไรเลยหรือจ๊ะ แม่นักเรียนนอก เอ๊ะ หรือว่าแม่ลูกรวมหัวช่วยกันจับหลานชายฉัน”
มนต์ทิพย์หน้าชา โกรธจัด แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ ปีบบีบมือมนต์ทิพย์ให้ใจเย็น
“คุณอาครับ ผมบอกแล้วไงครับว่าครอบครัวทิพย์กำลังเดือดร้อน คุณอาเห็นใจทิพย์ด้วยสิครับ”
“คุณหนูคะ”
นมผ่องส่งสัญญาณให้บุญสลักใจเย็นๆ
“บุญสลัก อย่าทำเสียงแบบนี้กับอาพักตร์นะ อาพักตร์เลี้ยงดูลูกมาตั้งแต่แบเบาะ ถ้าไม่เห็นแก่ใครอื่น ก็เห็นแก่แม่บ้าง นี่จะพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้าน จะขออนุญาตแม่สักคำก็ไม่มี ข้ามหัวฉันไปข้ามหัวฉันมา คงได้ขึ้นขี่หัวฉันเข้าสักวัน”
“คุณแม่ครับ มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วนั่นอะไร มาคนเดียวไม่พอ ยังขนคนรับใช้มาช่วยกันผลาญเงินคุณพี่ โชคดีนะที่จน มีคนใช้แค่คนเดียว ไม่งั้นเราคงต้องเปลืองอีกแยะล่ะค่ะ คุณพี่”
“ผมขอร้องล่ะครับ คุณอา คุณแม่ เราสองคนอาจทำอะไรไม่ถูกไม่ต้องไปบ้าง แต่ถึงยังไง ผมก็จะต้องแต่งงานกับทิพย์อยู่แล้ว”
“แต่แม่ไม่เห็นด้วย บุญสลักจะกล้าขัดใจแม่เหรอ ฮึ”
“ขอประทานโทษนะคะที่มารบกวน ตอนนี้ครอบครัวทิพย์ประสบปัญหาจริงๆ ถ้าอะไรต่อมิอะไรดีขึ้น ทิพย์ก็จะรีบย้ายออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดค่ะ”
“ให้มันจริงดังปากว่าเถอะ”
พวงครามกับพักตร์พริ้งสะบัดหน้าไป บุญสลักหันไปสั่งแหวนกับแช่ม
“ช่วยขนกระเป๋าขึ้นไปที่ห้องแขกข้างห้องฉันที”
แหวนกับแช่มตรงเข้าไปช่วย แต่ต้องชะงักเพราะเสียงพวงคราม
“นี่หล่อนสองคนว่างงานนักหรือไง ฮึ มีอะไรก็ไปทำ ถ้างานมันน้อยนัก ฉันจะได้ไล่แกออกสักคนดีมั้ย”
แหวนกับแช่มหัวหด
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่ปีบขนขึ้นไปเองดีกว่า”
นมผ่องเข้ามาจับมือบุญสลักกับมนต์ทิพย์ไว้
“อดทนนะคะ”
มนต์ทิพย์ไหว้นมผ่อง น้ำตาหยด บุญสลักรั้งมนต์ทิพย์เข้ามากอด ปีบกับนมผ่องมองอย่างเห็นใจ
อัปสรนั่งสมาธิหน้าโต๊ะหมู่บูชา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สีหน้าสงบ
“ข้าพเจ้าขอให้ผลบุญที่ได้เจริญสมาธินี้จงไปสู่ พรวุฒิ สามีของข้าพเจ้า ขอให้ผลบุญนี้จงเป็นเกราะป้องกันภยันตรายทั้งมวลแก่ลูกมนต์ทิพย์ และลูกขออุทิศส่วนบุญให้แก่แม่ละอองคำ”
อัปสรน้ำตาซึม
เช้ามืด มนต์ทิพย์เทขันน้ำทองเหลืองลงโคนต้นไม้ใหญ่ ปีบนั่งอยู่ด้านหลัง พนมมือ
“หมดทุกข์หมดโศกกันซะทีนะคะคุณทิพย์”
“ทิพย์อยากให้เรากลับไปอยู่รวมกันพร้อมหน้า ทิพย์ไม่อยากเป็นภาระของใคร”
“คุณทิพย์ขา ดวงอาทิตย์ตกแล้วก็ขึ้นใหม่ทุกเช้านะคะ อีกไม่นานเราก็จะได้กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เชื่อปีบนะคะ”
มนต์ทิพย์มองปีบด้วยความซาบซึ้ง ทั้งสองหันกลับจะเดินเข้าบ้าน พวงครามเดินเข้ามา แหวน แช่ม เดินตาม
“ตื่นมาใส่บาตรกันแต่เช้าเชียว หนูมนต์ทิพย์ กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้บรรดาญาติปอบของหนูเหรอจ๊ะ”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบ ก้มหน้าเดินไป ปีบมองพวงครามผิดหวัง พวงครามค้อนไล่หลัง
“จองหอง ไม่มีที่จะซุกหัวนอนยังไม่สำนึก จริงอย่างที่น้องพักตร์ว่าไว้ไม่มีผิด ถ้ารับแม่นี่เป็นสะใภ้ มันคงโขกสับแม่ผัวที่แสนดีอย่างฉันให้ชอกช้ำใจไม่เว้นแต่ละวัน จริงมั้ยนังแหวนนังแช่ม”
“จริงค่ะ คุณนาย”
พวงครามยิ้มหยัน สะใจ แช่มกับแหวนมองหน้ากัน เบ้ปาก
บุญสลักยืนอยู่ที่สวน มนต์ทิพย์เข้ามาหา ปีบเดินตามมาด้วย
“ทำบุญใส่บาตรแล้วสบายใจขึ้นมั้ยทิพย์”
“ค่ะ ทิพย์ทำบุญให้ยายแก่ๆ คนหนึ่ง ที่มาเข้าฝันทิพย์บ่อยๆ”
“คุณยายของทิพย์ใช่มั้ย”
“ทิพย์ก็ไม่ทราบค่ะ คุณแม่ไม่ยอมบอกอะไรเกี่ยวกับคุณยายเลย”
มนต์ทิพย์สงสัย
บ้านละอองคำเงียบเชียบ วังเวง ใบไม้นิ่งสงบไม่ไหวติง ละอองคำแก่หง่อม
“หิว ข้าหิวเหลือเกิน หิว”
กรวยดอกไม้เหี่ยวลอยวนมา
“หิวเหรอ นังละอองคำ เจ้าจะต้องหิวโหยเช่นนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน จนกว่าลูกหลานของเจ้าจะยอมรับเลี้ยงผีข้า”
“ข้าอยากไปเกิด ข้าอยากจะชดใช้กรรม”
“ชดใช้กรรมเรอะ ไม่มีทาง”
ฉับพลัน ลำแสงสีทองส่องประกายพาดผ่านเข้ามาคลุมร่างละอองคำไว้ ทั้งละอองคำและผีเจ้าต่างตกใจ ละอองคำชูสองมือขึ้นรับ
“ลูกขออุทิศส่วนบุญให้แก่ แม่ละอองคำ”
“ขออุทิศส่วนกุศลให้คุณยาย”
ละอองคำรู้สึกสดชื่น อิ่มเอม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผีเจ้าตกใจ กราดเกรี้ยว
“เกิดอะไรขึ้น”
ละอองคำดีใจมาก
“นี่มันอะไรกัน ทำไมข้าไม่หิว ข้าไม่เจ็บปวดแล้ว”
“ใคร ใครมันบังอาจนัก ใครมันทำบุญให้เจ้า”
ผีเจ้ามองไปรอบๆ กราดเกรี้ยว
“อย่าคิดนะว่าจะช่วยนังละอองคำให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของข้าได้ เจ้าต้องเป็นทาสของข้าตลอดไป นังละอองคำ”
ผีเจ้าหัวเราะน่ากลัว
ที่ห้องอาหาร บ้านบุญสลัก ทุกคนกำลังนั่งทานข้าว นมผ่องดูแลพวงครามใกล้ชิด พักตร์พริ้งเดินเข้ามา ปรายตามองมนต์ทิพย์เหยียดๆ ทุกคนหน้าเปลี่ยนทันทีที่เห็นพักตร์พริ้ง นมผ่องเห็นท่าไม่ดี
“คุณพักตร์จะรับอาหารเช้าด้วยมั้ยคะ อิฉันจะได้ให้แม่แหวนจัดเพิ่ม อีกที่ แหวน”
“ค่ะคุณนม”
“คุณพักตร์จะรับข้าว หรือข้าวต้มดีคะ”
พักตร์พริ้งส่ายหน้า โบกมือปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ ขอบใจ อาหารเช้าเป็นยังไงบ้างคะคุณพี่ ดูท่า คุณพี่จะฝืดคอกลืนไม่ค่อยจะลงใช่มั้ยคะ พักตร์สงสารคุณพี่จริงจริ๊ง”
แหวนกับแช่มสบตากันยิ้มๆ
“อืม”
พวงครามอึดอัด ไม่อยากเปิดศึกต่อหน้าบุญสลัก
“ที่ฝืดคอนี่คงมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญร่วมโต๊ะด้วยใช่มั้ยคะ”
มนต์ทิพย์วางช้อนลง ไม่พอใจ ทุกคนหันมอง แต่ไม่มีใครกล้าพูด บุญสลักแตะหลังมือมนต์ทิพย์ เตือนสติให้ระงับอารมณ์ พักตร์พริ้งยั่วต่อ ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
“คุณพี่ ได้กลิ่นอะไรมั้ยคะ กลิ่นสาปๆ เอ๊ะ กลิ่นแบบนี้ กลิ่นผีกลิ่นสางแน่ๆ อึ๋ย กลิ่นผีปอบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มนต์ทิพย์หมดความอดทน รวบช้อน
“ขอตัวก่อนนะคะ ขอโทษค่ะ”
มนตร์ทิพย์ออกไปทันที
“ทิพย์ เดี๋ยวทิพย์”
บุญสลักลุกตามมนต์ทิพย์ไป พักตร์พริ้งหัวเราะสะใจ
“โธ่ คุณหนู”
พักตร์พริ้งค้อนนมผ่องพวงครามวางส้อม
“น้องพักตร์ก็ยั่วเขาแรงจนเขาโกรธเอา”
“สมน้ำหน้ามันค่ะ พักตร์ล่ะสะใจจริงๆ”
“คุณพักตร์ เราจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงตาบุญสลักด้วย เราไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง พี่ถึงกลัว กลัวลูกจะเตลิดจนกู่ไม่กลับ”
“นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณพี่โดนมนต์ปอบเข้าอีกคน จะใจอ่อนแบบนี้ไม่ได้นะคะ ยังไงพักตร์ก็ไม่มีทางยอม”
พักตร์พริ้งไม่พอใจ พวงครามถอนใจสบตานมผ่อง ในขณะที่มนต์ทิพย์เข้ามาในห้อง บุญสลักตามเข้ามาติดๆ
“อาพักตร์เป็นคนพูดจาไม่ระวังปากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทิพย์ต้องอดทนหน่อยนะครับ”
“จะด่าว่าทิพย์หยาบคายแค่ไหนทิพย์ทนได้ แต่ถ้าก้าวร้าวถึงคุณแม่ทิพย์ไม่ยอมเด็ดขาด”
“ผมขอโทษแทนอาพักตร์ด้วยก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ช่วยพาทิพย์ไปวัดหน่อยได้มั้ยคะ ทิพย์อยากทำบุญ ฝันร้ายติดๆ กันมาหลายคืนแล้ว อีกอย่าง เผื่อจะได้ข่าวคราวคุณแม่บ้าง”
“ได้สิครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน อีกด้านหนึ่ง นมผ่องหน้าเศร้า ยกมือไหว้พักตร์พริ้ง
“อิฉันอยากจะขอร้องคุณพักตร์ อย่าพูดอะไรให้คุณหนูต้องเสียใจอีกเลยนะคะ”
“ฉันไม่ได้ว่าบุญสลัก ฉันว่านังผู้หญิงหน้าด้านที่หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ที่นี่มากกว่า หรือว่าแกโดนมนต์ผีปอบของมันไปด้วยอีกคนแล้ว อย่าเพ้อเจ้อ นมผ่อง มีอะไรก็ไปทำ”
พักตร์พริ้งหงุดหงิด เดินออกไป บ่นๆ
“สงสัยว่าต้องหาพระมาพรมน้ำมนต์ทั่วบ้านซะแล้ว คนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด”
กลางคืน มนต์ทิพย์นั่งอยู่บนเตียง พนมมือไหว้พระ
“ขอคุณพระคุ้มครองคุณแม่อัปสรให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด” มนต์ทิพย์กราบหมอน ที่นอกหน้าต่าง เงาผีละอองคำค่อนข้างชัดเจน แต่มนต์ทิพย์มองไม่เห็น ล้มตัวลงนอน ปอบละอองคำในรูปกายน่าเกลียด ค่อยๆ เปลี่ยนรูปเป็นละอองคำในชุดเจ้านาง มองมาที่มนต์ทิพย์ เวลาเดียวกันนั้น บุญสลักนั่งอ่านหนังสือ จิบชาอุ่นๆ อยู่ พักตร์พริ้งเข้ามาหา
“แม่นั่นหอบผ้าหอบผ่อนมาค้างบ้านเรา อาหวังว่ามัน เอ๊ย เขาคงไม่ได้ยึดบ้านเราเป็นที่อยู่ถาวรหรอกนะ”
“นึกว่าทิพย์เป็นแขกของผมสิครับ คุณอา ทิพย์อยู่ห้องพักแขก ไม่ได้รบกวนใคร เราอยู่กันคนละห้อง ไม่มีใครเสียหาย”
“อุ๊ย พูดเข้า ผู้หญิงที่แล่นมาอยู่บ้านผู้ชายแบบนี้ ยังจะรักษาเกียรติมันอีกเหรอ ส่งกลิ่นเหม็น ล้างกี่น้ำก็ยังไม่หมดกลิ่นคาว รู้ไว้นะบุญสลักผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำกันหรอก เว้นแต่ผู้หญิงหน้าด้านเท่านั้น”
บุญสลักถอนใจ ไม่อยากฟัง พวงครามออกมาจากข้างใน
“อะไรกันเหรอจ๊ะคุณพักตร์”
“พักตร์กำลังอบรมหลานบุญสลักอยู่ค่ะ ถ้าขืนซื่อแล้วก็มองโลกในแง่ดีอย่างนี้ ไม่มีวันรู้ทันนังมนต์ทิพย์หรอกค่ะ”
พักตร์พริ้งยังพูดไม่จบ เสียงกรีดร้องของมนต์ทิพย์ก็ดังมา
“ว้าย ช่วยด้วย ช่วยด้วย อ๊าย”
“ทิพย์”
บุญสลักพรวดพราดขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว นมผ่อง แหวน แช่ม ปีบ วิ่งเข้ามาที่ห้องโถง
“ขึ้นไปดูสิคะ เดี๋ยวมันก็ควักไส้หลานบุญสลักกินล่ะ แย่เลย”
พวงครามวิ่งนำหน้าไป พักตร์พริ้งตามไปติดๆ ปีบตามไป แหวน แช่ม ดึงตัวปีบไว้“นังปีบ เจ้านายแกเป็นปอบจริงๆ เหรอ”
“อยากรู้ก็ควักไส้ให้คุณทิพย์สิ ดูซิว่าเธอจะกินมั้ย”
ปีบวิ่งตามขึ้นไป นมผ่องตามไปติดๆ แหวนกับแช่มมองหน้ากัน
“เอาไงดีนังแช่ม”
“ป้าแหวน เราไม่รู้สักเรื่องคงไม่เป็นไรหรอก จริงมั้ย”
มนต์ทิพย์กรีดร้อง เมื่อเห็นละอองคำในชุดเจ้านางเดินผ่านไป แล้วหันกลับมามองหน้า ดวงตากร้าว มนต์ทิพย์ผงะ กระถดหนี พลางหวีดร้อง บุญสลักเปิดประตูเข้ามา ร่างของละอองคำหายไป
“ทิพย์ ทิพย์”
มนต์ทิพย์ผวากอดบุญสลัก ตัวสั่น ปีบ พักตร์พริ้ง พวงคราม นมผ่อง ตามเข้ามาติดๆ
“ทิพย์ เกิดอะไรขึ้น”
“ผี ผีค่ะ ผีหลอก”
ทุกคนตกใจ ปีบมองไปรอบๆ ห้อง พวงครามค้านทันที
“จะเป็นไปได้ยังไง บ้านนี้ไม่เคยมีผีสางที่ไหน”
นมผ่องพูดด้วยความเห็นใจ
“คุณทิพย์คงกลุ้มใจเรื่องคุณแม่ก็เลยตาฝาดหรือเปล่าคะ”
“แต่ทิพย์เห็นจริงๆ นะคะ ผู้หญิงแต่งตัวโบราณ น่ากลัวเหลือเกินค่ะ”
“ดัดจริต มารยา ลูกไม้ตื้นๆ ทำเป็นกลัวผี นอนคนเดียวไม่ได้ คิดจะล่อให้หลานฉันมานอนด้วยล่ะสิ เชอะ”
มนต์ทิพย์เชิดหน้า ขืนตัวออกจากอ้อมกอดบุญสลัก
“ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจ คุณกลับไปได้แล้วค่ะ ทิพย์อยู่ได้”
“ปีบจะอยู่กับคุณทิพย์เองค่ะ”
“ไปสิคะ”
มนต์ทิพย์มองตากร้าว กราดไปที่ทุกคน ทุกคนเดินออกไป แต่บุญสลักไม่ยอมออก
“คุณด้วยค่ะ วันพรุ่งนี้เราค่อยพูดธุระกันให้รู้เรื่อง”
บุญสลักลงมา พักตร์พริ้งพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งงานกัน มันก็กล้าออกคำสั่งกับเราแล้วนะคะคุณพี่ ฮึ ถ้าได้มาเป็นสะใภ้จริงๆ ล่ะก็ จะแค่ไหน”
แหวนกับแช่มพยักหน้ากันเห็นด้วย นมผ่องปรามทั้งสองด้วยสายตา
“ทิพย์ไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกครับ คุณอา”
“นั่นไง ยังไม่ทันไรก็เข้าข้างกันแล้ว พักตร์เสียใจค่ะคุณพี่ ในเมื่อหลานไม่เห็นความสำคัญของอา อากลับบ้านดีกว่า”
พักตร์พริ้งแกล้งปาดน้ำตา เดินไป
“บุญสลัก ที่อาพักตร์พูดไว้ ก็น่าคิดนะ ยังไงก็เตือนแฟนเราด้วยว่าให้เห็นหัวผู้ใหญ่บ้าง”
บุญสลักอึ้งไป ถอนใจ
จบตอนที่ 10