เจ้านาง ตอนที่ 9
ภายในห้องรุ้งแก้ว อัปสรนอนหลับอยู่บนเตียง ฉัตรนอนไม่หลับ
เสียงประตูเปิดดังเข้ามา ฉัตรเงี่ยหูฟัง ลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัย นึกถึงคำพูดของโฉม
“เมียพี่ฉัตรเป็นปอบ”
ฉัตรอึ้งไป หน้าเจื่อน เขาเดินมาตามทางถนนเปลี่ยว เห็นแสงตะเกียงอยู่ที่ริมน้ำ เสียงคนหาปลาร้องขึ้น
“โอ๊ย”
ตะเกียงหล่นลงไปในน้ำ คนหาปลาหันมาตาเหลือก ละอองคำใช้นิ้วจ้วงแทงไปที่ท้อง ฉัตรตัวสั่น แฝงตัวกับต้นไม้ใหญ่ ผะอืดผะอม ร่างของคนหาปลาล้มลง ละอองคำนั่งลงแล้วจ้วงไปที่ท้อง ฉัตรเอามือปิดปากกลัวว่าจะร้องออกมา แล้วเดินผละไป ตัวสั่น ละอองคำนั่งกินไส้อยู่ ฉัตรเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ตื่นตกใจ นั่งลงที่เตียงตัวสั่น
“ไม่ ไม่จริง ไม่จริง”
อัปสรลืมตาตื่น
“พ่อขา พ่อเป็นอะไรคะ”
ฉัตรหันมองลูก เริ่มได้สติ กอดลูกสาวแน่น
“พ่ออย่ากลัวนะคะ โอ๋ๆ อัปสรอยู่นี่แล้ว”
“จ้ะๆ พ่อ พ่อไม่กลัว ไม่กลัว”
สองพ่อลูกกอดกันแน่น น่าเวทนา
ตอนเช้า ฉัตรค่อยๆ เปิดประตูห้องออกมา หันซ้ายแลขวา ทั่วทั้งบ้านว่างเปล่า เขาจูงอัปสรออกมาอย่างระแวดระวัง ละอองคำนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ โบกพัดช้าๆ อย่างสบายใจ ฉัตรสะดุ้งเมื่อเห็นละอองคำ รีบเอาลูกหลบไว้ข้างหลัง
“จะพาลูกไปไหน”
“เอ่อ”
อัปสรมองหน้าพ่อแม่สลับกัน ไม่เข้าใจ จึงตอบแม่เสียเอง
“คุณพ่อจะพาหนูไปทำงานด้วยค่ะ คุณแม่”
“ฉันไม่ให้ไป มาหาแม่ อัปสร”
อัปสรไม่รู้เรื่อง จะเดินไปหาแม่ แต่ฉัตรคว้าตัวมากอดไว้อย่างปกป้อง
“ไม่”
“ปล่อยลูกเดี๋ยวนี้ ฉัตร”
“ไม่ ไม่ปล่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ หนูอยู่บ้านกับคุณแม่ก็ได้ หนูไม่อยากให้คุณแม่โกรธ”“ไม่ได้ อัปสร หนูอยู่กับพ่อหนูจะปลอดภัย”
“คุณกำลังตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฉัน”
“ปล่อยลูกไปกับผมเถอะ คุณละอองคำ”
“ไม่ อัปสรต้องอยู่กับฉัน ถ้าไม่เพราะฉันห้ามไว้ ป่านนี้คุณคงกลายเป็นอาหารผีไปแล้ว อย่ามาอวดดีกับฉัน ปล่อยลูกเดี๋ยวนี้ มาหาแม่ อัปสร”
อัปสรมองหน้าพ่อ ละล้าละลัง ฉัตรจะคว้าลูกไว้ แต่ก็หมดแรงเอาดื้อๆ อัปสรตกใจ“คุณแม่ คุณพ่อเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไร อยู่กับแม่นะ อย่าไป”
“ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่”
“ไม่ต้องสนใจพ่อเขาหรอก ไปข้างบนกับแม่เถอะ”
ละอองคำจูงลูก ปรายตามองฉัตรหยันๆ เดินผ่านไปอย่างไม่ไยดี ฉัตรมองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ละอองคำเปิดกำปั่นสมบัติ มีเพชรนิลจินดาและเครื่องประดับต่างๆ มากมาย
“สวยมั้ยอัปสร”
“สวยค่ะ คุณแม่รวยจัง”
“ทั้งหมดนี้เป็นของลูก แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรเหรอคะคุณแม่”
ละอองคำหยิบกรวยดอกไม้มายื่นให้
“หนูต้องรับนี่ไปก่อน แล้วหนูจะได้สมบัติทั้งหมดของแม่”
“ไม่ หนูไม่เอา หนูไม่ชอบ หนูไม่เอาค่ะคุณแม่”
ละอองคำวางกรวยดอกไม้ไว้บนหิ้งผีเหมือนเดิม
“จองหองนัก เหมือนพ่อแกไม่มีผิด ไป มานี่”
ละอองคำกระชากตัวอัปสรมาแล้วพาออกไปนอกห้อง
“โอ๊ย คุณแม่ขา คุณแม่อย่าทำอะไรหนู หนูกลัว”
ละอองคำผลักอัปสรเข้าไปในห้องรุ้งแก้ว
“อยู่ในนี้แหละ อย่าออกมานะ นังเด็กไม่รักดี”
ละอองคำกระชากประตูปิดดังปัง อัปสรร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฉัตรนั่งใจลอยอยู่ที่บริษัท พรเทพเห็นผิดสังเกต จึงเดินมาหา
“ฉัตร เป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางเหมือนไม่สบาย”
ฉัตรมองหน้าพรเทพ พูดด้วยความลำบากใจ
“คุณพรเทพ รับปากผมได้มั้ย ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณช่วยดูแลอัปสรลูกสาวผมที”
พรเทพหัวเราะ
“เฮ้ย พูดอะไรอย่างนั้น นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หา นายบอกเราได้นะ”
“รับปากผมก่อนสิ”
“ลูกสาวคุณก็เหมือนลูกสาวผม ผมรับปาก ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมจะเลี้ยงแกให้เหมือนลูกสาวผมเลย”
ฉัตรยิ้ม ยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
กลางคืน อัปสรนอนหลับสนิท ฉัตรนอนข้างลูก มือก่ายหน้าผาก คิดไม่ตก ทั้งกลัวทั้งกังวล ห่วงลูก หันมองอัปสรเป็นระยะ สุดท้ายก็ลุกขึ้นนั่ง ลูบผมลูกสาวอย่างแสนรัก เสียงเปิดประตูดังขึ้น ฉัตรหันขวับไปทางห้องละอองคำ
“คุณละอองคำ”
ฉัตรลุกไปเปิดประตู ละอองคำยืนอยู่หน้าห้อง ฉัตรเดินมาช้าๆ
“ผมไม่อยากเชื่อว่าคุณจะเป็น เป็นแบบที่ใครๆ พูดกัน”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”
“มันต้องมีทางแก้ ที่จะทำให้คุณเป็นคนปกติ เพราะตอนกลางวันผมก็เห็นคุณปกติดี”
“คุณจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย”
ละอองคำเดินออกไป ฉัตรรีบเข้าขวาง
“คุณจะไปไหน”
ละอองคำดวงตาแข็งกร้าวจ้องฉัตร
“ฉันหิว”
“หิว หิวคุณก็กินข้าวสิ หรือคุณอยากกินของสดๆ พวกไส้หรืออะไรก็ได้ ผมจะซื้อมาให้คุณเอง”
“คุณไม่เข้าใจฉัน ฉันต้องการของสดกว่านั้น”
ฉัตรคว้ามือละอองคำมาจับไว้อย่างแสนรัก พยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวเห็นดีด้วย
“มันบาป ชีวิตทั้งชีวิตนะคุณ”
“พอได้แล้ว ฉันหิว หลีกไป”
“ไม่ ผมรักคุณนะ ละอองคำ ลูกอีกล่ะ แกจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าคุณเป็นแบบนี้”
ละอองคำหัวเราะหยัน
“แกจะไม่รู้สึกอะไรหรอกฉัตร เพราะลูกจะต้องสืบทอดอำนาจของฉัน อัปสรจะต้องเลี้ยงผีที่ฉันเลี้ยงไว้”
“อะไรนะ”
ละอองคำผลักฉัตรให้พ้นทาง
“หลีกไป ฉันหิว”
ฉัตรวิ่งตามมากอดละอองคำไว้ ไม่ยอมให้ออกประตูไป
“ไม่นะ ละอองคำ คุณต้องห้ามใจไว้ให้ได้ คิดถึงพระสินึกในทางที่ดี คุณจะต้องเอาชนะมันได้แน่ๆ ผมรักคุณ ผมขอล่ะ”
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นอะไรคุณยังรักฉันลงอยู่อีกรึ”
“ผมรักคุณ อย่าฆ่าใครอีกเลยนะ ผมไม่อยากให้คุณทำบาปอีก”
“แต่ผีของฉันหิว คุณจะให้ฉันทำยังไง”
“คุณห้ามผีไม่ได้จริงๆ หรือ”
“ไม่ได้ ผีของฉันมากมาย อีกอย่าง ผีของฉันกินความรักไม่ได้ ฉะนั้น ปล่อยฉันไปตามทางของฉันดีกว่า”
ละอองคำแกะแขนฉัตรออกจากตัว เดินออกไปอย่างไม่ไยดีต่อความรู้สึกของเขา
ฉัตรหมดแรง
“เดี๋ยวก่อน”
ละอองคำหันมา ต่อว่าฉัตรอย่างฉุนเฉียว
“อย่าทำให้ฉันเสียเวลา”
“งั้น คุณก็กินผมเพื่อประทังความหิวเถอะ”
ละอองคำมองหน้าฉัตรด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินเข้าหา ฉัตรเริ่มหวาดกลัว เครียด แต่เพราะความรัก จึงยอมสละชีวิตให้
“ผมไม่อยากให้คุณฆ่าใครอีกถ้าผีคุณหิวก็กินผมเสียเถอะ”
“คุณนึกว่ามันสนุกนักหรือไง”
“ผมรู้ว่าต้องเจ็บปวด แต่เพื่อคุณ ละอองคำ ผมจะทน”
ละอองคำมองฉัตรอย่างประเมิน พูดเสียงเบาเหมือนรำพึง แว่บหนึ่งเกิดห่วงใยฉัตรขึ้นมา
“คุณจะเจ็บ”
“ไม่เป็นไร”
“คุณนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือไง ดี ฉันจะทำให้คุณเจ็บน้อยที่สุด”
ละอองคำเดินเข้าประชิดฉัตร เล็บจิกท้อง
“โอ๊ย”
ฉัตรหน้าซีด เหงื่อแตก ละอองคำยิ้มเหี้ยม
“เจ็บใช่มั้ยล่ะ”
“เพื่อคุณ ผมทนได้”
“บอกสิ ว่าคุณรักฉัน ไม่ว่าจะยังไงคุณก็ยังรักฉัน”
ฉัตรเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็นเพราะเจ็บมาก
“ผม รักคุณ ละอองคำ โอ๊ย”
เสียงหัวเราะของผีเจ้าดังมาดูน่ากลัว ฉัตรผงะทั้งที่เจ็บปวดสุดชีวิต มือละอองคำสาวไส้ฉัตรออกมา ฉัตรเจ็บปวดสุดขีด เค้นคำพูดออกมา เหงื่อซึมทั่วหน้า
“ผม รัก คุณ โอ๊ย”
ฉัตรนอนซม หน้าซีด มีผ้าพันแผลที่ท้อง อัปสรวิ่งเข้ามาดูพ่อด้วยความห่วงใย
“คุณพ่อขา วันนี้คุณพ่อไม่ไปทำงานหรือคะ”
ฉัตรพยายามยันตัวขึ้น
“ไปสิลูก”
ฉัตรลุกขึ้นยังไม่ทันเสร็จ ก็ล้มตัวนอน เจ็บปวด
“คุณพ่อ คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ”
“ไม่เป็นไรลูก พ่อไม่เป็นอะไร”
“คุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้”
“อัปสร อย่ากวนพ่อสิลูก”
“แต่คุณพ่อไม่สบาย คุณแม่ขา พาคุณพ่อไปหาโรงพยาบาลนะคะ”
“พ่อไม่เป็นไรมากหรอกลูก”
อัปสรแตะหน้าผากฉัตรอย่างห่วงใย ฉัตรน้ำตาคลอ ไม่กล้ามองสบตาละอองคำ จ้องแต่หน้าลูก
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยจ๊ะ คุณพ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลแค่นิดเดียวไปทานข้าวเถอะลูก แม่ทำข้าวต้มไว้ให้ กำลังร้อนๆ เชียว”
“คุณพ่อขา ทานข้าวต้มกันนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงพ่อเขาหรอก พ่อเขาต้องทานอาหารบำรุงเลือด บำรุงไส้”
ละอองคำมองเยาะแล้วพาอัปสรออกไป ฉัตรครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี
ซ่อนกลิ่นก้มกราบหลวงพ่อ แล้วถามทันที
“มีอะไรหรือคะ ถึงให้เด็กไปตาม”
“ได้เจอลูกบ้างหรือเปล่า”
ซ่อนกลิ่นทำหน้างงๆ
“มีอะไรหรือคะ”
“ดวงชะตาของเจ้าฉัตร”
ซ่อนกลิ่นหน้าเสียไป
“ชะตาขาดหรือคะ เกี่ยวกับเมียของเขาหรือเปล่า เมื่อวันก่อนก็เอาพระที่ท่านให้ไปคืน เมียไม่ยอมให้เอาเข้าบ้าน”
หลวงพ่อหน้าเจื่อนไป
“ถ้าเคยทำกรรมกันไว้ ก็ต้องชดใช้ โยมก็ต้องระวังตัวเองไว้บ้างนะ”
ซ่อนกลิ่นหน้าซีดเผือด น้ำตาคลอ
“เจ้าค่ะ”
ฉัตรนั่งที่โต๊ะ เขียนจดหมาย เขียนไปหยุดนึกไปว่าจะใช้คำพูดแบบไหนดี สุดท้าย วางปากกา แล้วอ่านทวน
“หลวงพ่อครับ ช่วยหลานด้วย ช่วยติดต่อเพื่อนผม พรเทพ ผมยินดียกอัปสรให้เป็นลูกของพรเทพ ขอเพียงให้เขาส่งยายหนูไปต่างประเทศ และอย่าให้กลับมาที่นี่อีก บ้านไม่ปลอดภัยสำหรับยายหนูอีกแล้ว”
ฉัตรพับจดหมาย ลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสืออย่างยากลำบาก หน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด อัปสรเปิดประตูเข้ามา ฉัตรฝืนยิ้ม นั่งลงกอดลูกสาว จูบแก้มอย่างแสนรัก อาลัยอาวรณ์
“แม่ล่ะลูก”
“หลับอยู่ค่ะ”
ฉัตรยัดจดหมายใส่มือลูก
“หนูเอาจดหมายนี่ไปให้หลวงปู่ แล้วอยู่กับหลวงปู่ หลวงปู่กับอาพรเทพจะดูแลหนูเองไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะคะ”
“หนูรักพ่อใช่มั้ยลูก”
“รักค่ะ”
“พ่อก็รักหนู หนูเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ อัปสร หนูต้องเชื่อพ่อ รีบไปจากที่นี่ แล้วอย่ากลับมาอีก”
ฉัตรกอดลูก จูบลาแล้วค่อยพาลูกเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆ ระแวดระวัง
ซ่อนกลิ่นน้ำตาคลอ แล้วหยาดไหล ป้ายน้ำตา เดินมาตามทางภายในวัด
“โธ่ ฉัตรลูกแม่ แม่จะไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไร”
ซ่อนกลิ่นรีบเดินอย่างเร่งรีบ เรียกรถแล้วขึ้นไปนั่ง
ละอองคำนอนบนตั่งในห้องนั่งเล่น ลืมตาตื่น
หันไปทางฉัตรที่เดินอย่างยากเย็น เห็นอัปสรวิ่งผ่านหน้าออกไปข้างนอก
“อัปสร”
ละอองคำลุกขึ้น ฉัตรถลาไปขวางประตูไว้ อัปสรละล้าละลังหันมา
“อัปสรจะไปไหน”
“อัปสร รีบไป เร็วๆ ไปสิ”
ละอองคำผลัก ฉัตรเซไป แต่ก็ยังขวางทางอยู่
“หลีกไป คุณกำลังทำอะไร”
“ผมขอร้อง คุณจะทำอะไรผมก็ได้ อย่าทำอะไรลูก”
“ฉันก็รักลูกไม่ต่างจากคุณ ฉันจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ยายหนู”
“ด้วยการให้ยายหนูสืบทอดการเลี้ยงผีของคุณงั้นหรือ คุณกำลังจะทำให้ลูกทรมานไปจนวันตาย คุณเองก็รู้ เป็นทาสผีไม่มีอะไรดี”
“ทำไมจะไม่มี ไอ้ที่ฉันมีชีวิตสุขสบายไม่ใช่เพราะผีช่วยหรอกรึ”
“แต่คุณก็ต้องทำบาป ต้องฆ่าคนเซ่นผี”
“ฉันจะไม่เสียเวลากับคุณอีกแล้ว ฉัตร ถ้าคุณยังขวางฉันอยู่แบบนี้ เห็นทีฉันจะปล่อยคุณไว้ไม่ได้”
ฉัตรมองหน้าละอองคำอย่างผิดหวังมาก
“คุณจะฆ่าผมงั้นหรือ”
“ใช่”
ละอองคำย่างเข้าไปประชิดฉัตร ดวงตาแดงฉาน เวลาเดียวกันนั้น ซ่อนกลิ่นนั่งรถใกล้จะมาถึงบ้านละอองคำ อัปสรวิ่งถือจดหมายไป
“อัปสรจะไปไหนลูก จอดๆๆ”
ซ่อนกลิ่นกอดอัปสรไว้
“เป็นอะไรทำไมหน้าตาตื่นอย่างนี้”
“คุณย่า”
ซ่อนกลิ่นกอดอัปสร ละล่ำละลักถาม น้ำตาไหลพราก คิดไปในทางร้าย
“เกิดอะไรขึ้น หา บอกย่าสิ”
อัปสรชี้ไปที่บ้าน
“ช่วยคุณพ่อด้วย ช่วยด้วย”
“หา”
ฉัตรหน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บปวด ร่างอ่อนแรง เลือดไหลมาตามลำตัว ที่ขา ละอองคำสะใจ
“เมื่อคืนยังเจ็บไม่พอใช่มั้ย”
ฉัตรเข่าอ่อน ค่อยๆ ทรุดตัวลงกองกับพื้น
“ฆ่าผม ฆ่าผมเป็นคนสุดท้าย อย่าสร้างเวรสร้างกรรมอีกเลย ลูกไม่รู้อะไรด้วย ปล่อยยายหนูไป”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
ฉัตรล้มลงกับพื้น
“ผม รัก คุณ”
ซ่อนกลิ่นกับอัปสรโผล่เข้าประตูมา ตกใจกับภาพที่เห็น
“พ่อ”
อัปสรจะเข้าไปหา ซ่อนกลิ่นได้สติ คว้าตัวหลานไว้ได้ เธอกรีดร้อง พูดอะไรไม่ออก ละอองคำตาแดงฉาน ขยับตัวเข้าหาซ่อนกลิ่น ซ่อนกลิ่นขยับจะพาอัปสรหนี แต่ละอองคำปราดเข้ามาถึงตัว แล้วคว้าคอซ่อนกลิ่นไว้
“อย่า อย่า นี่แม่นะ คุณละอองคำ”
อัปสรตกใจ รีบวิ่งออกจากบ้านไปอย่างไม่คิดชีวิต ละอองคำบีบคอซ่อนกลิ่น ซ่อนกลิ่นตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด สะดุ้งสุดตัว ร้องออกมาได้เพียงสั้นๆ
“โอ๊ย”
ละอองคำหัวเราะซ้อนเสียงร้องโหยหวนของซ่อนกลิ่น
เจ้านาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
15 ปี ผ่านไป ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
อัปสรในวัยสาว เปิดประตูเข้ามา พรวุฒิเดินตาม มองสำรวจห้องของอัปสร เห็นว่าห้องค่อนข้างใหญ่ โอ่โถง ข้าวของตกแต่งห้องดูค่อนข้างมีราคา บ่งบอกให้รู้ว่าอัปสรมีชีวิตสุขสบายอย่างที่พรเทพรับปากฉัตรไว้จริงๆ
“เชิญนั่งก่อนสิคะ”
“ห้องคุณอัปสรกว้างขวาง สบายจังครับ ไม่อุดอู้เหมือนหอผม”
อัปสรมองไปรอบๆ ยิ้มๆ
“ปกติอยู่กันหลายคนค่ะ คุณอาพรเทพเพิ่งกลับไปเมืองไทย”
“เรียนจบแล้ว คุณอัปสรวางแผนไว้หรือยังครับ ว่าจะกลับเมืองไทยเลย หรือจะอยู่เที่ยวต่อสักพัก”
“ดิฉันคงไม่กลับไปเมืองไทยหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ เอ่อ ผมหมายถึง ไม่เป็นห่วงครอบครัวที่เมืองไทยหรือครับ”
“ดิฉันไม่มีญาติที่เมืองไทยค่ะ”
พรวุฒิยิ่งสงสัย ขยับจะถาม
“ดิฉันหมายถึงว่า คุณอาพรเทพก็ไปๆ มาๆ อยู่แล้วล่ะค่ะ”
“คุณพ่อคุณแม่คุณอัปสรล่ะครับ”
“เอ่อ”
อัปสรไม่รู้จะตอบอย่างไร รีบตัดบท
“ขอตัวสักครู่นะคะ”
อัปสรลุกเดินหนีไป พรวุฒิมองตาม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอัปสรที่เคยร่าเริงสดใสถึงเคร่งขรึมลงทันที
อัปสรยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงความโหดร้ายของละอองคำที่ฆ่าซ่อนกลิ่น โดยมีศพพ่อนอนอยู่ข้างๆ อัปสรน้ำตาไหลพราก พรวุฒิตามเข้ามา
“ถ้าผมพูดอะไรให้คุณอัปสรไม่สบายใจ ผมขอโทษด้วย”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงญาติๆ ที่ล่วงลับไปแล้วน่ะค่ะ”
“ทำไมคุณไม่กลับไปหาพวกเขา”
“เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้วค่ะ ส่วนที่อยู่ฉันก็ไม่สนิท ขออยู่กับคุณอาที่อังกฤษนี่ดีกว่า”
พรวุฒิหน้าเสียไป
“ขอโทษด้วยทีทำให้คุณต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆ ถ้าอดีตทำให้คุณไม่สบายใจก็พยายามลืมมันเถอะนะครับ”
อัปสรยิ้ม สบตาพรวุฒิ มองเห็นความจริงใจที่พรวุฒิมีให้แก่ตน
“ขอบคุณค่ะ”
กลางคืน อัปสรนั่งพิงหมอนหัวเตียง อ่านหนังสือหรือนิตยสาร จู่ๆ ก็มีเงาผีวูบผ่านไป อัปสรหันมองซ้ายขวา ก็ไม่พบความผิดปกติ ก้มอ่านนิตยสารต่อไป แต่เริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา จึงมองไปรอบๆ ห้องนอน แล้วขนลุก รีบออกจากห้องไป เงาจางๆ ของละอองคำ ซึ่งแก่ ทรุดโทรม ยืนมองอัปสรอยู่ตรงปลายเตียงด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ขณะเดียวกัน อัปสรกดโทรศัพท์อย่างร้อนรน ไม่นาน พรวุฒิก็รับสาย
“คุณช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
อัปสรหันมองไปรอบๆ ห้อง หวาดกลัว
“นะคะ คุณพรวุฒิ รีบมานะคะ”
“ครับ ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เวลาต่อมา อัปสรจิบชาร้อนๆ พรวุฒิเฝ้ามองด้วยความห่วงใย
“คุณอัปสรไม่เคยอยู่คนเดียวก็เป็นแบบนี้ อีกหน่อยก็ชินไปเอง”
อัปสรอึดอัด ไม่กล้าบอกเล่าสิ่งที่กังวล พรวุฒิเห็นว่าอัปสรยังกังวล และหวาดกลัว
จึงรีบชวนไปเที่ยวนอกเมือง เพื่อเอาใจคนรัก
“ช่วงนี้คุณไม่มีเรียน เราไปพักผ่อนนอกเมืองสักสองสามวัน ดีมั้ยครับ”
“ดีค่ะ”
อัปสรรู้สึกสบายใจขึ้นทันที สบตากัน หวานซึ้ง
บรรยากาศสบายๆ ดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ ท้องฟ้าแจ่มใส อัปสรยืนอยู่ในอ้อมกอดของพรวุฒิ เบิกบานมีความสุข
“สวยจังเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่พาฉันมาเที่ยว”
พรวุฒิมองอัปสรด้วยสายตาแสนรัก ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากหญิงสาว
“ถ้าคุณไม่อยากกลับเมืองไทย เรียนจบแล้วผมจะหางานทำที่นี่”
“จริงๆ นะคะ”
พรวุฒิพยักหน้า มองอัปสรสายตาหวานเชื่อม แล้วมองไปรอบๆ บริเวณที่เป็นเนินเขาเขียวขจี มีหมอกเมืองหนาว
“เห็นบรรยากาศแบบนี้แล้ว คิดถึงบ้านเรานะครับ คิดถึงท้องไร่ท้องนา คิดถึงวัวควาย คิดถึงบ้านริมคลองที่สงบสุข”
อัปสรเครียดขึงลงทันที นึกถึงบ้านริมคลองของละอองคำ ซึ่งอยู่แบบทึบทึม อัปสรอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“บ้านริมคลองไม่ได้สงบสุขเสมอไปหรอกค่ะ บางทีอาจซ่อนความน่ากลัวไว้ก็ได้”
พรวุฒิเห็นเป็นเรื่องขัน
“ความน่ากลัว เช่นอะไรล่ะครับ”
“ไม่รู้สิคะ การฆาตกรรม ผี มั้งคะ”
อัปสรนึกถึงภาพฉัตรและซ่อนกลิ่นตายต่อหน้าต่อตา เธอขยาด หวาดกลัว จนพรวุฒิสังเกตเห็น
“สงสัยคุณจะอ่านหนังสือฆาตกรรมมากเกินไป ถึงได้เก็บเอามากลัวขนาดเห็นเงาผีในห้องนอน”
อัปสรฝืนยิ้ม
“ดิฉันเองก็อยากให้เป็นแค่จินตนาการจากหนังสือค่ะ”
อัปสรทอดมองไปไกล หน้าเศร้า พรวุฒิเห็นหน้าหญิงคนรักไม่สู้ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เราเดินไปด้านโน้นกันดีกว่าครับ ดูท่าวิวจะสวยกว่าตรงนี้เสียอีก”
ทั้งสองพากันเดินไป กระหนุงกระหนิง
กลางคืน พรวุฒิและอัปสรสบตากันหน้าเตาผิง
อัปสรเขินอาย ขอตัวไปนอน พรวุฒิลุกมาส่ง จุมพิตที่หน้าผากหญิงสาว
“หลับให้สบายนะครับ ผมจะปกป้องคุณเอง”
อัปสรสบตาพรวุฒิ ยิ้ม มีความสุข ค่อยๆ ล้มตัวลงนอน พรวุฒิห่มผ้าให้ แล้วผละออกไปนอนโซฟา อัปสรพลิกตัวไปอีกด้าน ยิ้มคนเดียว ดีใจที่พรวุฒิเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ล่วงเกินเธอ แล้วหลับตาลงอย่างอุ่นใจ
อัปสรเริ่มกระสับกระส่าย ฝันถึงเรือนปั้นหยาของละอองคำ เก่า ทรุดโทรม ต้นไม้รกครึ้มราวบ้านร้าง ประตูรั้วเปิดอ้า อัปสรยืนอยู่ตรงประตูรั้วหน้าบ้าน มองไปรอบๆ ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปด้านในบ้าน ตกใจ เมื่อเห็นละอองคำนอนซมอยู่บนเตียง ผอม ผมขาว น่าเกลียด อัปสรผงะ ถอยหลังช้าๆ ละอองคำค่อยๆ หันมา หน้าตาน่าเกลียด
“แม่”
“อัปสร มาหาแม่ ช่วยแม่ด้วย”
“ไม่”
“แม่ทรมานเหลือเกิน อัปสร กลับมาหาแม่ ช่วยแม่ด้วย”
ละอองคำยื่นมือมาหาอัปสร อัปสรส่ายหน้า
“ไม่”
อัปสรนอนหลับกระสับกระส่าย ตะโกนเรียกละอองคำสุดเสียง
“แม่”
พรวุฒิสะดุ้ง รีบพุ่งมาหาอัปสรที่เตียง อัปสรหายใจหอบโยน
“เป็นอะไรไปครับ”
“ฉัน ฉันฝัน”
“ฝันถึงแม่เหรอครับ”
อัปสรไม่ตอบ ไม่มองหน้าพรวุฒิ ได้แต่ครุ่นคิดถึงความฝัน เธอนอนลืมตาในความมืด สับสน วุ่นวายใจ
เรือนปั้นหยาของละอองคำ ทรุดโทรม ต้นไม้รกครึ้ม เด็กทโมนสามคนเกาะรั้วสอดส่ายสายตามองเข้ามาในบ้าน
“นี่ไง บ้านปอบ”
“ปอบ ปอบที่กินไส้น่ะเหรอ”
“น่ากลัวจัง ไปเล่นที่อื่นกันเถอะ”
“ไม่เอาโว้ย อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงนี่ พวกเอ็งไม่อยากเจอปอบหรือไง”
“บรื๋อ ไม่เอาด้วยหรอก”
“เหอะน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าอยากเห็นปอบว่ะ เขาว่ามันมีฤทธิ์เฉพาะตอนกลางคืน กลางวันแบบนี้มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“ถ้างั้นเราช่วยกันเอาหินขว้างมันสิ ผีปอบมันจะได้ออกมา”
เด็กทั้งสามต่างช่วยกันปาหินเข้าไปในบ้าน แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ เด็กๆ จึงย่ามใจ
“เราเข้าไปในบ้านมันกันเถอะ”
“จะดีเหรอ”
“ดีสิวะ ไปเร็วไอ้อ้วน”
เด็กทั้งสามตรงไปที่เรือน เด็ก 2 คน สำรวจโน่นนี่ ส่วนเด็กอ้วนตามมาอย่างขลาดๆ แล้วนั่งลงที่หน้ามุข
“ลมเย็นสบายดีจัง น่านอนเล่นว่ะ”
เด็กทั้งสามนั่งเล่นกันอย่างสบายอารมณ์ จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตู เด็กๆ ตกใจ ละอองคำค่อยๆ โผล่หน้าออกมา แสยะยิ้ม
“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ข้าจะจับกินให้หมด คอยดู”
เด็กทั้งสามตกตะลึง
“ผีปอบ ตัวใครตัวมันโว้ย”
เด็ก 2 คน ลุกแล้ววิ่งลงเรือนอย่างรวดเร็ว ส่วนเด็กอ้วนก้าวขาไม่ออก ยืนตัวสั่น ละอองคำเดินเข้าไปถึงตัว แลบลิ้น
“ข้าหิว มาให้ข้ากินซะดีๆ ไอ้อ้วน”
“อย่านะ อย่ากินหนูเลย เนื้อหนูไม่อร่อยหรอก”
ละอองคำหัวเราะเสียงแหบๆ คว้าคอเด็กอ้วนไว้ เด็กยกมือไหว้อ้อนวอน“สงสารหนูเถอะ อย่าทำอะไรหนูเลย”
“ไม่ต้องพูดมาก ไอ้อ้วน ข้าจะกินเอ็งไม่ให้เหลือเลยล่ะ ฮ่าๆๆ”
“อย่า อย่า”
จู่ๆ ก็มีก้อนหินขว้างมาถูกละอองคำ ละอองคำมองด้วยความโกรธ ชาวบ้านหลายคนช่วยกันขว้างปาก้อนหินเข้ามา
“โอ๊ย”
ละอองคำยกมือป้อง ล้มลง เด็กอ้วนรีบวิ่งหนีออกมายืนหลังชาวบ้าน
“ขว้างมันเข้าไป เอาให้มันตายไปเลย”
“ลูกผัวมันยังฆ่าได้ นับประสาอะไรกับพวกเรา ดีนะที่พวกเรารู้ทัน มันเลยหมดทางหากิน เลยจะกินเด็ก ร้ายนัก อีปอบ”
“อย่าไปสงสารมัน ขว้างมันเข้าไป ข้าว่า จุดไฟเผามันทั้งเป็นเลยดีกว่า มันจะได้ไม่ก่อกรรมทำเข็ญให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน”
“ดีๆ เอ้าเลยพวกเรา เผาบ้านมันให้วอดวาย เผามันให้ตายทั้งเป็น”
“เฮ้ยๆ พวกเอ็งใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ได้ไปกินข้าวแดงในคุกหรอก เอาแค่เบาะๆ ให้มันหลาบจำก็พอ เอ้า พวกเราขว้างเข้าไป อย่าได้เบามือ”
ชาวบ้านต่างร้องก่นด่า พร้อมขว้างก้อนหินเข้าใส่ละอองคำ หินก้อนหนึ่ง ขว้างถูกศีรษะละอองคำ
“โอ๊ย”
ละอองคำทรุดลงไป ใบหน้าชุ่มไปด้วยเลือด จึงหลบเข้ามาในบ้าน เสียงด่าทอของชาวบ้านดังเข้ามา ละอองคำบาดเจ็บ ทรมาน ตะโกนเสียงแหบๆ
“ทำไมผีเจ้าไม่ช่วยข้า ไม่เห็นหรือว่าไอ้พวกชาวบ้านมันจะฆ่าข้า”
ผีเจ้าปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าเลี้ยงข้าไม่ดี เจ้าปล่อยให้ข้าหิวโหย ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว”
“แต่ข้าออกไปไม่ได้ พวกชาวบ้านมันคอยจะทำร้ายข้า”
“เมื่อเจ้าไม่มีปัญญาเลี้ยงดูข้า เจ้าต้องรีบหาทายาทมาสืบทอดผีข้า เจ้ารู้มั้ยว่าไม่ใช่แค่ข้าผู้เดียวที่หิว แต่บริวารของข้าก็หิวด้วย”
“ลูกสาวข้ายังไม่กลับมา ถ้าอัปสรกลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะให้อัปสรรับสืบทอด”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ละอองคำ ข้าหิว ได้ยินมั้ยว่าข้าหิว”
ลมพายุปั่นป่วนในห้อง ละอองคำซวนเซไป เงาผีนับสิบ พุ่งเข้าใส่ละอองคำ เธอดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด เพราะผีเข้าไปกัดกินตับไตไส้พุง
“อย่าทำข้า อย่า ข้าเจ็บ โอ๊ย”
ละอองคำดิ้นรน ท้องโย้ไปเย้มา ร้องโหยหวนด้วยความทรมาน คลานเข้าห้อง เนื้อตัวเกรอะกรังไปด้วยเลือด น้ำตานองหน้า มองกรวยดอกไม้เก่าๆ อย่างโกรธแค้น ค่อยๆ คลานขึ้นเตียง
“อัปสร อัปสรช่วยแม่ด้วย กลับมาหาแม่ กลับมา”
ละอองคำยื่นมือ เหมือนจะไขว่คว้าเอาอัปสรกลับคืน
มืออัปสรป่ายไปมา เธอฝันร้าย สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจ
“แม่”
อัปสรพยายามข่มตานอน แต่นอนไม่หลับ ค่อยๆ พลิกตัวไปอีกด้าน ละอองคำนั่งพับเพียบอยู่ปลายเตียง ร่างกายทรุดโทรม ผมขาว ใบหน้าเกรอะกรังด้วยเลือด อัปสรสะดุ้ง ตกใจ ลุกพรวดจากเตียง
“ไม่ ไม่จริง ไม่จริง”
“อัปสร อัปสรลูกแม่”
อัปสรถอยหนี
“ช่วยแม่ด้วย อัปสร แม่เจ็บ เจ็บเหลือเกิน”
“แม่”
“หนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยแม่ได้ มาหาแม่สิลูก มาหาแม่”
อัปสรใจอ่อนเพราะสงสารแม่ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าละอองคำเป็นปอบ
“ไม่ แม่ไม่ใช่คน แม่เป็นปอบ”
“แม่เป็นแม่ของหนูนะลูก หนูจะปล่อยให้แม่ทรมานอยู่แบบนี้หรือ อัปสร ลูกคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยแม่ได้”
“ไม่ หนูไม่เชื่อ”
“มาหาแม่เถอะ หนูจะมีแต่ความสุขสบาย หนูจะมีทุกสิ่งที่หนูอยากได้เชื่อแม่เถอะ อัปสร กลับมาหาแม่”
ละอองคำปวดบิดอยู่ในท้อง หน้าตาเหยเก
“แม่ทรมานเหลือเกิน หนูไม่สงสารแม่หรือลูก หนูต้องช่วยแม่ อัปสรช่วยแม่ด้วยโอ๊ย”
อัปสรเอามืออุดหู ส่ายหน้า ไม่อยากรับรู้
“ไม่”
อัปสรสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย หอบโยน มองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างปกติ ไม่มีละอองคำ
ตอนเช้า อัปสรยกน้ำมาให้พรวุฒิที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก หน้าตาชื่นมื่นด้วยกันทั้งคู่
“ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ”
“ข่าวดี ข่าวดีอะไรคะ”
“เรื่องของเราไงครับ ผมคุยกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว ท่านไม่ว่าอะไร”
“หมายความว่า”
พรวุฒิกอดอัปสรแนบอกด้วยความยินดี
“ท่านทั้งสองยินดีที่เราจะตั้งรกราก สร้างครอบครัวอยู่ที่อังกฤษนี่”
“จริงหรือคะ”
“จริงสิครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดี ผมจะสร้างครอบครัวของเราให้มีความสุขที่สุด”
อัปสรมองพรวุฒิปลาบปลื้ม
“ขอบคุณนะคะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลคุณให้ดีที่สุดเหมือนกันค่ะ”
พรวุฒิยิ้ม ขโมยจูบแก้มอัปสร
“แล้วคุณก็ต้องมีเจ้าตัวเล็กให้ผมไวๆ”
อัปสรยิ้มเอียงอาย พรวุฒิรั้งตัวอัปสรเข้าอ้อมกอด หอมแก้มอย่างแสนรัก
ห้องนอนละอองคำ ปิดหน้าต่างไว้ทุกบาน บรรยากาศมืดทึบทึม ละอองคำถูกเหวี่ยงล้มลงไปกองกับพื้น หมดเรี่ยวแรง
“โอ๊ย”
กรวยดอกไม้เก่าๆ ลอยวนอยู่ตรงหน้า
“เจ้าเลี้ยงข้าไม่ดี เจ้าปล่อยให้ข้าหิว ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง”
“เห็นใจข้าเถอะ ผีเจ้า ข้าสัญญา ข้าจะออกไปหาอาหารให้ท่าน”
“ข้าไม่เชื่อน้ำหน้าเจ้าอีกแล้ว ละอองคำเหย วิญญาณของเจ้าต้องชดใช้ วิญญาณของเจ้าจะต้องเป็นทาสรับใช้ข้าตลอดไป”
“ไม่นะ ผีเจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ ถ้าข้าตาย ท่านจะไม่มีใครเลี้ยงผี”
ผีเจ้าปรากฏกายต่อหน้าละอองคำ ตวาดเสียงดังลั่น
“สู่รู้ ข้ารู้ดีว่าจะต้องทำยังไง เตรียมตัวตายได้แล้วละอองคำเหย”
ผีเจ้าหัวเราะน่ากลัว ละอองคำหวาดกลัวมาก
“ไม่ ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้ ยังไม่มีใครมาสืบต่อผีเจ้า ลูกข้ายังไม่กลับมา รอลูกข้าก่อน ถ้าลูกข้ากลับมา ข้าจะให้มารับสืบทอดผีเจ้า”
ผีเจ้ากลายเป็นกรวยดอกไม้เก่าๆ ลอยผ่านหน้าละอองคำไปมา ละอองคำพยายามจะลุกขึ้นต้องล้มกลิ้งลงไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่ ข้าไม่รออีกแล้ว ละอองคำ เจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว”
“อย่าทำอะไรข้าเลยนะ รอลูกข้ากลับมาก่อน ไม่งั้นใครจะสืบทอดการเลี้ยงผี”
“ข้าเตรียมผู้สืบทอดของข้าไว้แล้ว”
แมวดำโดดเข้ามาข้างละอองคำ ละอองคำตกใจกลัว
“ไม่ได้ ผีเจ้าจะทำกับข้าแบบนี้ไม่ได้ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม”
ผีเจ้าปรากฏร่าง น่าเกลียด ดุร้าย ชี้หน้าละอองคำ
“เจ้าอย่ามาอวดดีกับข้า เจ้าให้ข้านำทางชีวิต เมื่อข้าให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย”
ลมพายุพัดเข้ามาในห้อง ข้าวของปลิวกระจัดกระจาย ละอองคำล้มกลิ้งน่าสมเพช“ไม่นะ ผีเจ้า ไม่”
ผีเจ้ากลายร่างเป็นกรวยดอกไม้เก่าๆ กรวยขยายใหญ่ขึ้น ละอองคำตกใจกลัว ดวงตาเบิกโพลง ลุกขึ้นยืน กรวยดอกไม้พุ่งเข้าร่างละอองคำแล้วหายวับไป ละอองคำสะดุ้งเฮือก ยืนนิ่ง ตาโปน ร่างบิดเบี้ยว โย้ไปมา
“โอ๊ย”
ละอองคำล้มลงดิ้น เลือดออกปาก จมูก ตา ดวงตาเหลือกลาน สิ้นลม แมวดำกระโดดมายืนบนร่างละอองคำ เลียเลือดละอองคำกินอย่างเอร็ดอร่อย
เวลาเดียวกันนั้น แม่ชีรุ้งแก้วนั่งสมาธินิ่ง จู่ๆ ก็สะดุ้ง ลืมตาตื่น ถอนจากสมาธิ
“เจ้าพี่”
รุ้งแก้วรู้ว่าละอองคำสิ้นใจตายแล้ว
“ขอให้วิญญาณของเจ้าพี่ไปสู่สุขคติโดยไวนะเจ้าคะ”
รุ้งแก้วลุกขึ้น หันไปทางโต๊ะหมู่บูชา แล้วก้มกราบพระ อุทิศบุญให้ละอองคำ
25 ปีผ่านไป รุ้งแก้ว อายุใกล้ 70 ปี พูดเบาๆ ด้วยความเศร้าที่ละอองคำยังต้องใช้กรรม“เจ้าพี่”
ที่บ้านหลังใหม่ของอัปสรและพรวุฒิที่อังกฤษ
อัปสรในวัยใกล้ห้าสิบปีกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว เสร็จแล้วยกมาวางที่โต๊ะอาหาร พรวุฒิในวัยห้าสิบปีเดินเข้ามา
“ทานอาหารเช้าก่อนนะคะ”
อัปสรกุลีกุจอนำอาหารเช้ามาวาง จัดโต๊ะอาหารสวยๆ ตามแบบผู้ดีอังกฤษ
“คุณรู้มั้ย ผมเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีภรรยาที่แสนดี มีลูกสาวที่น่ารัก”
อัปสรยิ้มมีความสุข
“ฉันเองก็เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกค่ะ ขอบคุณนะคะที่คุณไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฉัน”
“หนูจะโชคดีเหมือนพ่อกับแม่หรือเปล่าน้า”
ทั้งสองหันไปมองลูกสาว มนต์ทิพย์เข้าประตูห้องครัวมา หอมแก้มพ่อ
“มอร์นนิ่งค่ะ”
มนต์ทิพย์เดินเข้าไปกอดอัปสร หอมแก้มซ้ายขวา
“แม่ หอมจังเลย ท้องหนูร้องจ๊อกๆ แล้วล่ะค่ะ”
“ท้องร้องก็กินสิจ๊ะ ทานพร้อมๆ กันนี่แหละ”
“นั่นสิ จะรีบไปไหน”
อัปสรหันไปจัดแจงอาหารเช้าให้ลูก เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น อัปสรรีบวางทัพพี
“หนูทานเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปเปิดให้เอง”
“หนูไปเปิดเองค่ะแม่”
อัปสรและพรวุฒิมองสบตากันยิ้มๆ
“ผมว่านายบุญสลักนี่ก็ไม่เลวนะคุณ”
“ฉันแล้วแต่ลูกค่ะ ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่”
มนต์ทิพย์เดินนำบุญสลักเข้ามา
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่”
“นั่งก่อนสิจ๊ะ ทานอาหารเช้าด้วยกัน”
บุญสลักนั่งลง มนต์ทิพย์ดูเวลา
“หนูสายแล้วค่ะแม่”
บุญสลักส่ายหน้า
“แต่ผมหิวนี่ครับ”
บุญสลักสบตามนต์ทิพย์หวานเชื่อม
ที่มุมสวนสาธารณะ ในมหาวิทยาลัยมนต์ทิพย์นั่งอ่านหนังสือข้างๆ บุญสลัก มีตะกร้าใส่ของกินเป็นเสบียงสำหรับทานระหว่างอ่านหนังสือ บุญสลักเอาแต่นั่งมองมนต์ทิพย์ไม่วางตา
“ไม่ตั้งใจเรียนระวังจะสอบตก”
บุญสลักไม่สนใจ
“เมื่อไหร่ทิพย์จะยอมรับรักผมสักที”
“ตั้งใจเรียนก่อนเถอะค่ะ เรียนจบแล้วค่อยว่ากัน”
“ทิพย์พูดแบบนี้ทุกที ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี จนนี่จะจบปริญญาโท ผมจะขาดใจตายอยู่แล้วนะครับ”
มนต์ทิพย์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก้มอ่านหนังสือ
“ไม่รู้ล่ะ พอเรียนจบปุ๊บ เราต้องแต่งงานกันทันที”
มนต์ทิพย์ยิ้ม ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป บุญสลักเห็นท่าทางของหญิงสาวก็พอจะรู้คำตอบ
“ผมจะขยันมากๆ จะได้เรียนจบพร้อมทิพย์ แล้วเราจะได้แต่งงานกัน”
บุญสลักกุลีกุจอคว้าตำรามาอ่านบ้าง มนทิพย์ลอบยิ้ม
กลางคืน อัปสรถือแก้วนมมาให้ลูกสาว มนต์ทิพย์คร่ำเคร่งกับการอ่านตำราเรียน
จู่ๆ อัปสรก็เห็นภาพละอองคำซ้อนทับมนต์ทิพย์ หันมายิ้มให้ อัปสรตกใจมาก ทำแก้วนมหลุดมือ
“ว้าย”
มนต์ทิพย์หันมาตามเสียง รีบลุกขึ้นมาหาแม่ ก้มเก็บแก้วนมที่แตกเกลื่อน
“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ช่างเหมือนกันเหลือเกิน”
มนต์ทิพย์มองหน้าแม่ งงๆ แต่ก็ไม่ถามต่อ ก้มเก็บเศษแก้วต่อไป อัปสรได้สติ รีบช่วยลูก
อัปสรยืนมองกระจกในห้องน้ำ มือหนึ่งกุมหน้าอก ยังไม่หายตกใจ นึกถึงภาพละอองคำที่ทรุดโทรมในความฝัน
“เราคงคิดมากไปเอง”
อัปสรเปิดประตูห้องน้ำไป
อัปสรถือถ้วยชามาให้พรวุฒิซึ่งนั่งหน้าเครียด เขารีบขยับทำหน้ามีความสุข
อัปสรรู้ทัน
“คุณดูเครียดๆ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ”
อัปสรเกาะแขนสามี
“เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายี่สิบกว่าปีแล้วนะคะ คุณมีเรื่องไม่สบายใจ ทำไมฉันจะดูไม่ออก ปัญหาที่ทำงานหรือเปล่าคะ”
“ใช่ ก็โปรเจ็คที่ผมเสนอไปล่าสุดนี่แหละ ถูกปฏิเสธ”
อัปสรตกใจไม่อยากเชื่อ
“แต่นั่นเป็นไอเดียที่ดีแล้วก็มีประโยชน์มากนะคะ”
“ก็ไอ้พวกฝรั่งมันหาว่าผมไปลอกคนอื่นมา พลเมืองชั้นสองอย่างผมไม่มีปัญญาคิดอะไรดีๆ แบบนี้ได้หรอก ดูถูกกันชัดๆ”
อัปสรส่ายหน้า
“อย่าท้อนะคะ ลองพยายามดูอีกที”
พรวุฒิส่ายหน้า ถอนใจ
“นี่เป็นครั้งที่สามที่ผมถูกปฏิเสธ ตอนนี้ผมอยากจะนำโครงการนี้กลับไปทำที่เมืองไทยมากกว่า”
อัปสรหน้าซีด พรวุฒิเข้าใจภรรยาทันทีว่าไม่อยากกลับไปเมืองไทย โอบอัปสรไว้
“ผมมั่นใจว่ามันจะทำประโยชน์ให้ประเทศของเราได้มหาศาล”
“ขอเวลาฉันคิดสักหน่อยนะคะ”
อัปสรถอนใจ
“ผ่านมาตั้งสี่สิบปี คุณยังฝันร้ายเกี่ยวกับญาติๆ คุณอีกเหรอ”
พรวุฒิจูบภรรยา
“แต่ถ้าคุณไม่อยากกลับ ผมจะไม่บังคับคุณให้ต้องลำบากใจ”
อัปสรซบไหล่สามี กังวล
เจ้านาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
บุญสลักชูมือดีใจ ร้องออกมาดังๆ มนต์ทิพย์หันมองรอบๆ
อายนักศึกษาที่เดินผ่านไปมา บุญสลักดีใจเสร็จ ยังหันมาคาดคั้นมนต์ทิพย์
“ทิพย์ไม่ได้หลอกให้ผมดีใจใช่มั้ย”
“คุณแม่เพิ่งบอกเมื่อคืนว่าตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย”
บุญสลักคว้ามือมนต์ทิพย์ไปกุมไว้
“ทันทีที่กลับถึงเมืองไทย เราจะแต่งงานกันเลยนะทิพย์”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบ บุญสลักดีใจมาก มีความสุขที่จะได้แต่งงานกับมนต์ทิพย์
กระเป๋าเดินทางหลายใบจัดเตรียมไว้สำหรับเดินทางกลับเมืองไทย อัปสรมองดูกระเป๋า หน้าเศร้า พรวุฒิเข้ามากอดภรรยา
“คุณอย่ากังวลไปเลย ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าเราตัดสินใจไม่ผิด ที่กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองไทย”
“ฉันเชื่อมั่นคุณค่ะพรวุฒิ”
“เชื่อมั่นแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
“ฉันกังวลเรื่องอื่นน่ะค่ะ”
“บอกผมได้มั้ย คุณกังวลเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องญาติๆ มันก็ผ่านมานานมากแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ”
อัปสรนิ่งเงียบ นึกถึงภาพละอองคำควักไส้ฉัตรออกมากิน
“ค่ะฉันก็หวังอย่างนั้น”
มนต์ทิพย์นั่งอยู่กับบุญสลัก ดูหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทย
“บ้านเรือนไทยริมน้ำ สวยจังเลยค่ะ”
“ขอผมทำงานเก็บเงินสักพัก แล้วผมจะซื้อเรือนไทยริมน้ำให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเรานะครับ”
บุญสลักมองมนต์ทิพย์ด้วยแววตาหวานซึ้ง มนต์ทิพย์ยิ้มเขิน อัปสรฟังลูกสาวพูดถึงบ้านเรือนไทย แล้วใจคอไม่ดี ถอนใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ลึกๆ ก็กังวลอย่างบอกไม่ถูก
รถลีมูซีนแล่นมาจอดหน้าบ้านทรงสมัยใหม่ของพรวุฒิที่เตรียมปลูกไว้ ประตูรถเปิดออก มนต์ทิพย์มองไปรอบๆ ยิ้มพอใจ
“สวย ร่มรื่นจังค่ะพ่อ”
พรวุฒิกอดอัปสรอย่างแสนรัก
“คุณชอบมั้ย ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกของคุณย่าผมสั่งให้ปลูกแบบสมัยใหม่เพราะรู้ว่าคุณไม่ค่อยชอบเรือนไทย”
อัปสรกวาดตาไปรอบๆ ยิ้มปลื้ม น้ำตาคลอ ซบอกสามี
“ขอบคุณนะคะ”
มนต์ทิพย์กับบุญสลักช่วยกันขนกระเป๋า
“บ้านทิพย์น่าอยู่จังครับ ขอผมมาอยู่ด้วยคนนะ”
มนต์ทิพย์ยิ้มเขิน ไม่พูด เดินนำเข้าบ้านไป ทั้งหมดยิ้มมีความสุข
ที่หน้าบ้านบุญสลัก ใหญ่โต โอ่อา พื้นที่กว้างขวาง บุญสลักกดออดซ้ำๆ ติดๆ กันหลายครั้งเหมือนจะแกล้งยั่วโมโห ป้าแหวนและแจ๋วต่างวิ่งมากันคนละทาง ชนกันจนล้มกลิ้ง
“โอ๊ย”
“โอ๊ย นังแจ๋ว ทำไมวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ ฮึ”
ทั้งสองต่างค่อยๆ ลุกขึ้น แจ๋วเข้ามาช่วยประคอง แต่ยังต่อปากต่อคำ
“ใครจะไปรู้ล่ะ ไอ้ฉันก็รีบ แล้วเห็นฉันทำไมไม่หลบล่ะจ๊ะ หือ เจ๊แหวนแขนอ่อน”
“เอ๊ นังนี่ อย่ามาเรียกข้าว่าเจ๊นะ บอกให้เรียกคุณแหวน คุณแหวน”
“ป้า เรามันก็ไอ้ขี้ข้าเหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวก็ขี้กลากขึ้นหัวร้อก”
“หนอย ปากดีนัก นังนี่ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“แหมๆ จะให้เรียกคุณแหวน พูดจาแต่คำละงี้”
“เอ๊ะ นังแหวน มันจะมากไปแล้วนะ”
บุญสลักเฝ้ามองคนใช้ตอบโต้กันด้วยรอยยิ้ม แล้วกดออดซ้ำๆ ถี่ๆ สองคนทำท่าตกใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะต้องไปเปิดประตู จึงรีบไปที่ประตูใหญ่ ขณะเสียงออดยังดังไปเรื่อยๆ
“โอ๊ย ใครกัน กดอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่เกรงใจกันเลย”
“นั่นสิป้า มันตั้งใจจะกวนประสาทเราแน่ๆ”
“รู้แล้วค่า มาแล้วๆ รอเดี๋ยวนะคะ”
พอสองคนวิ่งไปถึงหน้าประตู บุญสลักก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน สองคนร้องกรี้ดกร๊าดด้วยความดีใจ
“ทูนหัวของแหวน”
“คุณหนูของแจ๋ว”
บุญสลักหัวเราะชอบใจ
“ไหน ไหน ใครว่าฉันกวนประสาท บอกมาซะดีๆ”
“อุ้ย นั่งแจ๋วล่ะสิคะ”
“ป้านั่นแหละ หาว่าคุณหนูไม่มีความเกรงใจ”
“เอ๊ นั่งแจ๋วนี่ มันใส่ความป้าค่ะ คุณหนู”
“เอาล่ะๆ พอได้แล้ว”
บุญสลักเข้าไปหอมแก้มแหวน
“นี่แน่ะ”
ทั้งหมดหัวเราะ มีความสุข แล้วพากันเดินเข้าบ้าน พวงครามแม่ของบุญสลัก กำลังนั่งส่องเครื่องเพชรอย่างมีความสุข บุญสลักเข้ามา ตรงเข้าไปกอดแม่ หอมแก้มซ้ายขวา
พวงครามตกใจ ดีใจมาก
“จะมาทำไมไม่บอกแม่ จะได้ไปรับที่สนามบิน”
“ผมกลับเองได้ครับ คุณแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“แหวนเองก็แทบไม่เชื่อสายตาเลยค่ะ คุณผู้หญิง ก็คุณหนูเล่นมาไม่ทันให้ตั้งตัว”
“แจ๋วก็เหมือนกันค่ะ คุณผู้หญิง”
พวงครามลูบหน้าลูบตาลูกชายอย่างแสนรัก
“ไม่เอานะลูก คราวหน้าต้องบอกให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่าทำแบบนี้อีก”
“ไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะครับ เพราะผมเรียนจบแล้ว”
“นี่หมายความว่าลูกจะไม่กลับไปอีกใช่ไหม โอ แม่ดีใจเหลือเกิน”
พวงครามจูบลูกชายที่แก้มซ้ายขวา แจ๋วกับป้าแหวนมองดูด้วยความปลาบปลื้ม
ตอนค่ำ พวงครามนั่งหัวโต๊ะอาหาร อาหารวางเรียงรายหลายอย่าง แจ๋วกับป้าแหวนคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง
“บ้านเงียบจังนะครับ”
“นี่ถ้ารู้ล่วงหน้า แม่คงจะเชิญอาพักตร์พริ้งให้มาทานข้าวด้วยกัน”
“คุณแม่ ผมขอโทษนะครับที่ทิ้งให้คุณแม่เหงาเสียหลายปี”
“ลูกก็อย่าทิ้งให้แม่เหงาอยู่บ้านคนเดียวสิจ๊ะ”
“ครับ ผมว่าจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ด้วย”
พวงครามสบตาลูกชาย สงสัย
“ก็มนต์ทิพย์ที่ผมเล่าให้คุณแม่ฟังไงครับ ตอนนี้ครอบครัวของทิพย์ย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้วครับคุณแม่”
บุญสลักพูดถึงมนต์ทิพย์ หน้าตายิ้มแย้ม มีความสุขมากจนพวงครามสังเกตเห็น
“อยากรู้จังว่าหนูมนต์ทิพย์นี่หน้าตาเป็นยังไง ลูกของแม่ถึงมีความสุขมากขนาดนี้”
“ทิพย์เป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆ ครับ ถ้าคุณแม่ได้พบจะ ต้องชอบเธอแน่ๆ”
พวงครามลอบสบตาป้าแหวน แล้วหันมาพูดกับลูกชาย
“ลูกยังเด็ก ยังมีเวลาอีกมาก แม่อยากให้ดูๆ กันไปก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ”
บุญสลักยิ้ม ไม่ทันเอะใจกับสีหน้าและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของมารดา
พรวุฒิขับรถมาจอดหน้าบ้านละอองคำ สภาพทรุดโทรม เก่าผุพัง อัปสรมองด้วยใบหน้าหม่นเศร้า
“บ้านใครหรือคุณ”
“คนรู้จักน่ะค่ะ คงจะย้ายออกไปเสียนานแล้วเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“ขนาดผมกลับมาทุกปี ผมก็ยังว่าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเร็วมาก”
อัปสรไม่พูดอะไร กวาดตามองบ้านอย่างเศร้าๆ
“น่าเสียดายนะคุณ บ้านหลังนี้ในอดีตคงจะสวยมากทีเดียว อยู่ริมน้ำเสียด้วย มนต์ทิพย์เห็นต้องหลงรักแน่ๆ”
“เราไปกันเถอะค่ะ”
“จะไม่ลงไปดูเสียหน่อยหรือ”
“อย่าดีกว่าค่ะ เรารีบไปกันเถอะ”
พรวุฒิไม่ขัดข้อง กำลังจะออกรถ จู่ๆ ก็มีแมวดำกระโดดขึ้นมาที่หน้ากระโปรงรถ แล้วจ้องอัปสรเขม็ง อัปสรตกใจมาก แมวดำเริ่มขู่น่ากลัว อัปสรตัวสั่น พรวุฒิไม่ทันสังเกต
“แมวที่ไหนกัน ขู่คุณอยู่ได้ เดี๋ยวผมจะไล่มันเอง”
“อย่าค่ะ มันไม่ใช่แมวธรรมดา”
พรวุฒิไม่ได้ยินเสียงห้ามของอัปสร โบกมือไล่แมว แมวดำกระโดดกัดแขนพรวุฒิเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย ไอ้แมวบ้า”
แมวดำกระโดดหายไปแล้ว อัปสรตกใจวิ่งลงจากรถไปดูแขนสามี
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ แผลนิดเดียว มันคงตกใจที่ผมไปไล่มันน่ะ ขึ้นรถเถอะคุณ”
อัปสรตกใจ เห็นเลือดไหลมาก
“หาหมอดีกว่าค่ะคุณ ทำไมเลือดไหลไม่หยุด”
“ไม่นึกว่าเขี้ยวมันจะคมขนาดนี้”
อัปสรกลับขึ้นรถ กังวลมาก
มนต์ทิพย์นั่งอ่านหนังสือ ดูรูปบ้านเรือนไทยริมคลอง พรวุฒิกับอัปสรเดินเข้ามา
“นั่นแขนคุณพ่อไปโดนอะไรมาคะ”
“แมวกัดเอาน่ะ”
“แมว อะไรกันคะแม่”
อัปสรไม่ตอบ เป็นทุกข์
“พ่อพาแม่เขาไปเยี่ยมญาติ แต่ดูท่าจะย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นกันหมดแล้ว เหลือแต่แมวดำไอ้ตัวที่กัดพ่อนี่แหละ มันคงอยู่ที่บ้านร้างนั่น”
“แมวดำกับบ้านร้าง แหม เหมือนในหนังผีเลยนะคะ”
อัปสรหน้าซีด ตกใจ กลัวว่าผีปอบจะกลับมาทำร้ายตัว ถึงกับเป็นลมล้มลง
“คุณ”
พรวุฒิตกใจมาก รีบเข้าประคอง
“คุณแม่คะ แม่ แม่”
มนต์ทิพย์วิ่งหายาหอมยาดมมาให้
อัปสรมาที่บ้านละอองคำ ลังเลอยู่หน้าบ้าน สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปละอองคำนั่งอยู่บนตั่ง ปล่อยผมขาวยาวสยาย น่ากลัว ผ่ายผอม แต่งชุดไทลื้อ มองตาขวาง
“มาแล้วรึ”
“แม่”
“ยังจำได้อยู่รึ ว่าแกมีแม่”
“ทำไมแม่แต่งตัวแบบนี้”
“ก็เพราะแกไม่สืบต่อทายาทผีของข้า ข้าถึงต้องทรมานแบบนี้”
“แต่แม่เลี้ยงผีปอบ”
“ก็เพราะผีปอบ แกถึงมีชีวิตสุขสบาย แกต้องช่วยแม่”
“ไม่ ลูกช่วยไม่ได้ ไม่”
“เลือกเอา แกจะรับเลี้ยงผีต่อจากข้า หรือจะยอมให้ผัวของเจ้าตาย”
“ไม่ ลูกทำไม่ได้”
“อวดดี ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ฤทธิ์เดชของผีเจ้า คนที่ไม่นำพาต่อผีเจ้า มันจะต้องมีอันเป็นไปทุกคน”
ละอองคำกลายเป็นแมวดำ ขู่ฟ่อ ตาวาวแดงก่ำน่ากลัว อัปสรนอนกระสับกระส่าย ร้องไห้ มนต์ทิพย์กับพรวุฒิเฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง
“ไม่”
“คุณ คุณ เป็นอะไรไป”
“แม่คะ แม่”
อัปสรลืมตา เห็นหน้าลูกและสามีก็ร้องไห้ โผเข้ากอดพรวุฒิ พรวุฒิกอดปลอบ ทั้งที่ไม่รู้สาเหตุ
อัปสรนั่งมองฝ่าความมืดไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงความฝัน ถอนใจเป็นระยะ ได้ยินเสียงครางของพรวุฒิ หันไปมอง เห็นพรวุฒินอนกระสับกระส่าย
“คุณคะ คุณ เป็นอะไรคะ”
“หนาว ผมหนาว”
อัปสรรีบห่มผ้าให้พรวุฒิที่นอนตัวสั่น ครางฮือๆ เธอหวั่นใจ เริ่มร้องไห้ เพราะคิดว่าต้องเป็นผีแน่ๆ
“คุณคะ เป็นยังไงบ้าง พูดกับฉันสิคะ คุณ”
พรวุฒิทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง ตาขวาง
“กูจะกินให้หมด กูหิวมานานแล้ว”
อัปสรถอยกรูด ตกใจสุดขีด พอได้สติก็รีบเข้าไปจับแขนสามีเขย่า
“คุณ คุณเป็นอะไร คุณคะ”
พรวุฒิหัวเราะเป็นเสียงผี ปากเริ่มเคี้ยวจับๆ เลือดสดๆ ไหลออกจากปาก
“ไม่นะ คุณคะ”
“ในเมื่อเจ้าไม่รับเลี้ยงผี เจ้าก็จะไม่มีวันสงบสุข”
พรวุฒิเคี้ยวไปหัวเราะไป ผีเจ้าน่าเกลียดน่ากลัวซ้อนอยู่ที่หน้าพรวุฒิ อัปสรร้องไห้ฟูมฟาย
“อย่านะ แม่อย่าทำอะไรเขานะ ได้โปรด”
“ในเมื่อไม่นับถือข้า ข้าก็จะกินผัวเจ้าให้หมดไส้หมดพุง”
มือพรวุฒิชูขึ้น แล้วจ้วงแทงท้องตัวเอง ควักไส้สดๆ ออกมา อัปสรกรีดร้องสุดเสียง
อ่านต่อตอนต่อไป
รถยนต์ของบุญสลักแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูรั้วใหญ่บ้านบุญสลัก มนต์ทิพย์ไม่สบายใจ ทั้งสองสบตากัน
“ทิพย์อยากให้รอไปอีกสักพักค่ะ”
มนต์ทิพย์นึกถึงเหตุการณ์ที่เธอกับอัปสรกอดร่างไร้วิญญาณของพรวุฒิ บรรยากาศโศกเศร้าที่เสียพ่อไป มนต์ทิพย์ปาดน้ำตา บุญสลักมองคนรักอย่างเห็นใจ
“ทิพย์ครับ คุณพ่อคุณ ท่านไปสบายแล้วนะครับ”
มนต์ทิพย์พยักหน้าเข้าใจ พยายามยิ้ม เห็นถึงความห่วงใยของบุญสลัก
“ขอบคุณนะคะ”
ป้าแหวนกับแช่มวิ่งมาเปิดประตู รถบุญสลักเคลื่อนเข้าไปจอดหน้าตึกใหญ่ แช่มกับป้าแหวนยืนยิ้ม ชื่นชมมนต์ทิพย์ซึ่งยิ้มให้คนรับใช้ทั้งสองอย่างเป็นมิตร
“ทิพย์ครับ ป้าแหวนกับพี่แช่ม ป้าแหวนนี่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเล็ก”
“แช่มก็ช่วยป้าแหวนเลี้ยงคุณบุญสลักค่ะ”
“สวัสดีค่ะ ป้าแหวน พี่แช่ม”
ทั้งสองตกใจ ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“อุ้ย ไม่ต้องไหว้ป้าหรอกค่ะคุณ”
“นั่นสิคะ แช่มเป็นคนรับใช้นะคะ”
“ทิพย์ยังเด็ก เด็กก็ต้องมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสกว่าสิคะ”
แช่มซาบซึ้ง
“โถ แม่คุณ ไหนว่าอยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งแต่เกิดไงคะ”
“นั่นสิ มือไม้อ่อน สมกับเป็นกุลสตรี”
บุญสลักยิ้มดีใจที่แหวนกับแช่มรักใคร่มนต์ทิพย์ มั่นใจว่าพวงครามต้องชอบมนต์ทิพย์เหมือนกัน
“คุณผู้หญิงกับคุณพักตร์รออยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ คุณหนู”
“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
บุญสลักจูงมือมนต์ทิพย์เข้าบ้าน แช่มกับป้าแหวนมองหน้ากัน ปลาบปลื้ม
“ฉันน่ะไม่ห่วงแล้วล่ะนังแช่มเอ๊ย คุณมนต์ทิพย์เหมาะสมกับคุณหนู ทุกอย่าง”
“ใช่ป้า คุณบุญสลักเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ดีใจแทนคุณผู้หญิงนะป้านะ”
“ไปๆ ไปดูซิว่าคุณผู้หญิงจะว่ายังไง”
“จะว่ายังไง ก็ต้องดีใจซี เออ ป้านี่ จะต้องมาถามทำไม แก่แล้วแก่เลยนะพูดแบบเนี้ย”
ป้าแหวนทำท่าจะเขกหัวแช่ม แต่ยิ้มมีความสุข
พวงครามนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีนมผ่องนั่งอยู่ด้วย พักตร์พริ้งแหวกม่านดู หันมาพยักพเยิดกับพวงครามเป็นบางครั้ง พอเห็นบุญสลักจูงมือมนต์ทิพย์เข้าบ้าน ก็รีบกลับวิ่งมานั่งโซฟาข้างพวงคราม
“มากันแล้วล่ะค่ะ คุณพี่”
พวงครามพยักหน้า นมผ่องส่ายหน้าอย่างระอาในพฤติกรรมของพักตร์พริ้ง บุญสลักพามนต์ทิพย์เข้ามาในห้องรับแขก มนต์ทิพย์ยกมือไหว้พวงครามและนมผ่อง ทั้งสองสีหน้าแช่มชื่น มนต์ทิพย์ไหว้พักตร์พริ้ง
“คุณอาพักตร์พริ้งเป็นน้องสาวคนเดียวของคุณพ่อ มนต์ทิพย์ คนรักของผมครับ คุณอา”
“แหม เรียกว่าคนรักได้เต็มปากเชียวนะ พ่อบุญสลัก”
บุญสลักยิ้มให้กำลังใจมนต์ทิพย์ แล้วหันไปตอบพักตร์พริ้งอย่างมั่นใจ
“ครับคุณอา เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”
พักตร์พริ้งสบตาพวงครามโดยไม่นัดหมาย พวงครามรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ตอนงานศพคุณพ่อหนูก็วุ่นๆ เลยไม่ค่อยได้คุยกัน”
พักตร์พริ้ง รีบแทรก
“จริงสิ คุณพ่อเธอเพิ่งเสียไม่กี่วัน ไม่คิดจะไว้ทุกข์กันเลยเหรอ”
พักตร์พริ้งมองมนต์ทิพย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แช่มยกน้ำมาเสิร์ฟ ป้าแหวนยกของว่างมาพร้อมกัน
“หรือว่าพวกเมืองนอกเขาหัวสมัยใหม่ ไม่เห็นความสำคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีไทย”
แช่มกับป้าแหวนวางถาดบนโต๊ะ มองหน้ากัน รู้ว่ามนต์ทิพย์กำลังถูกพักตร์พริ้งเล่นงาน ทั้งสองมองมนต์ทิพย์อย่างเห็นใจ บุญสลักรีบแก้ตัวแทน
“คืออย่างนี้ครับคุณอา”
พักตร์พริ้งยกมือห้าม
“อาอยากฟังคำตอบจากคนที่เธอรักมากว่าจ้ะ”
“เอ่อ คือ คุณอาครับ”
“คุณพักตร์คะ คุณหนูกับคุณมนต์ทิพย์เธอมาเหนื่อยๆ อิฉันว่า”
“นมผ่อง นมผ่องอยู่เฉยๆ ดีกว่า”
พวงครามพยักหน้าให้นมผ่องนิ่งเสีย ไม่อยากขัดใจพักตร์พริ้ง มนต์ทิพย์ยิ้มให้นมผ่อง แล้วสบตาบุญสลัก ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“ว่ายังไงล่ะ นี่คงจะติดธรรมเนียมฝรั่ง พวกนี้น่ะไม่ค่อยเห็นความสำคัญของพ่อแม่หรอกค่ะ คุณพี่ พอปีกกล้าขาแข็งหน่อยก็แยกไป พ่อแม่จะกินจะอยู่ยังไงก็ไม่เคยสนใจ เธอเองก็เกิดที่โน่น เพิ่งจะมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกนี่ ใช่มั้ย”
“ค่ะ ดิฉันจะตอบคำถามได้หรือยังคะ หรือถ้าคุณพักตร์พริ้งยังมีคำถามอื่นอีก ก็เชิญนะคะ ดิฉันขออนุญาตนั่งรอแล้วค่อยตอบทีเดียว”
มนต์ทิพย์นั่งโซฟาตรงข้ามพักตร์พริ้ง ทุกคนตกใจที่มนต์ทิพย์กล้าย้อน พักตร์พริ้งหน้าชา
“ก็ ก็ตอบมาสิ”
บุญสลักรีบนั่งลงใกล้มนต์ทิพย์ จับมือหญิงสาวเป็นเชิงให้ใจเย็นๆ มนต์ทิพย์ยิ้มให้บุญสลัก เอามือคนรักออก
“ข้อแรก ที่ดิฉันไม่ไว้ทุกข์ ไม่ใช่เพราะตามอย่างพวกฝรั่ง แต่เพราะดิฉันสงสารคุณแม่ ท่านเสียใจ ท่านร้องไห้ ท่านทุกข์มามากพอแล้ว ดิฉันอยากให้ท่านผ่อนคลายลงบ้าง เพราะไหนๆ ก็เผาคุณพ่อไปแล้ว”
“แต่ก็ไม่มีธรรมเนียมที่ไหนเขาทำกัน พ่อแม่ตาย ลูกก็ต้องไว้ทุกข์”
"ค่ะ ขนมธรรมเนียมประเพณีไทยนั้น ดิฉันทราบดี คุณพ่อคุณแม่ท่าน อบรมสั่งสอนอยู่เสมอ แต่ดิฉันให้ความสำคัญกับคนเป็นมากกว่าคนที่ตายไปแล้วค่ะ"
"ถึงดิฉันจะนุ่งขาวห่มดำ ยังไง คุณพ่อก็ไม่ฟื้นขึ้นมาได้ ใช่มั้ยคะ"
ทุกคนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พักตร์พริ้งเดินมาหามนต์ทิพย์ สะกดอารมณ์โกรธ แสดงออกอย่างผู้ดี
“ต้องขอชมว่าเธอตอบได้ฉลาด แต่ฉันว่า ที่เธอไม่ยอมไว้ทุกข์ก็เพราะ อยากจะแต่งงานกับหลานฉันให้เร็วที่สุดมากกว่า อุตส่าห์บินข้ามฟ้า ข้ามทะเลมาตั้งไกล จะคว้าน้ำเหลวได้ยังไง จริงมั้ยจ๊ะ”
มนต์ทิพย์มองหน้าบุญสลัก เอาเรื่อง บุญสลักหน้าเจื่อนไป พวงครามเห็นท่าไม่ดี นมผ่องรีบแก้สถานการณ์
“อย่าไปถือคุณพักตร์พริ้งเธอเลยนะคะ คุณทิพย์”
“ใช่จ้ะ คุณอาก็เป็นอย่างนี้เอง ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เอ่อ หนูมนต์ทิพย์จ๊ะ แล้วตอนนี้คุณแม่หนูทำใจได้บ้างหรือยัง”
“คุณแม่จะย้ายกลับไปอยู่อังกฤษค่ะ”
ทุกคนตกใจ พวงครามสบตานมผ่อง บุญสลักมองมนต์ทิพย์อย่างไม่เชื่อหู
รถยนต์บุญสลักแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมนต์ทิพย์
“คุณจะกลับไปอังกฤษกับคุณน้าจริงๆ หรือทิพย์”
บุญสลักจับมือมนต์ทิพย์ เธอดึงมือออก โกรธ
“ค่ะ”
มนต์ทิพย์เปิดประตูลงมาเอง บุญสลักรีบลงรถ วิ่งอ้อมมาดักหน้า
“แต่เราจะแต่งงานกัน”
มนต์ทิพย์ไม่ตอบ มองเมินไปอีกทาง
“เรารักกันไม่ใช่หรือทิพย์”
“ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคหรอกค่ะ ถ้าคุณรักทิพย์จริง”
“แต่ว่า”
บุญสลักวิ่งตามมนต์ทิพย์เข้าบ้านไป
พวงครามชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้าห้องนั่งเล่น นมผ่องนั่งข้างกัน พักตร์พริ้งเดินเข้ามา
“ตาบุญสลักยังไม่กลับหรือคะคุณพี่”
“ยังเลยค่ะ”
“ดูซิ ค่ำมืด ไม่คิดจะห่วงแม่ห่วงอา หลงคนรักจนโงหัวไม่ขึ้น”
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งคะ คุณพักตร์”
“นี่คุณพี่ไม่เห็นจริงๆ หรือคะ เด็กคนนี้ไม่ไหวจริงๆ นะคะคุณพี่ หัวแข็ง ไม่มีสัมมาคารวะ ขืนยอมรับมันมาเป็นสะใภ้ มันได้ขึ้นขี่ทั้งหัวน้องหัวคุณพี่ล่ะค่ะ”
พวงครามมองหน้าพักตร์พริ้ง หนักใจ
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณพักตร์ ดูๆ แล้ว คุณทิพย์เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
“แหม คุณนมผ่อง ยังไม่ทันไรก็หลงเสน่ห์มันซะแล้ว เชื่อน้อง ตัดไฟเสียแต่ต้นล เถอะค่ะ คุณพี่”
พวงครามถอนใจ เริ่มเห็นด้วยกับพักตร์พริ้ง ไม่ชอบมนต์ทิพย์
แฟรรงค์กำลังตรวจแบบงาน ขะมักเขม้น บุญสลักเดินเข้ามา หน้าบอกบุญไม่รับ
“นายจะขยันไปถึงไหนฮึ แฟรงค์ ระวังเงินจะทับตาย”
“หาเงินแต่งเมียน่ะทำไงได้ ผู้หญิงเขารวย นายเถอะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น หรือว่าทะเลาะกับไอ้ทิพย์มา”
บุญสลักพยักหน้า
“ก็เพื่อนรักนายน่ะสิ ไม่ยอมแต่งงาน จะกลับไปอังกฤษกับคุณน้าท่าเดียว”
แฟรงค์ตกใจ มองหน้าเพื่อน
“เฮ้ย ก็ไหนว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วไง ไอ้ทิพย์มันไม่ใช่คนเหลวไหล ว่าแต่ นายไปทำอะไรให้ไอ้ทิพย์มันโกรธบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นอาพักตร์”
“โดนอานายเล่นงานมาแล้วสิ หวงหลานชายว่างั้น”
บุญสลักเซ็งๆ
“คุณอาพักตร์ไม่ชอบทิพย์เท่าไหร่ ทิพย์เองก็ไม่ยอมอ่อนข้อ”
“ถ้าไม่ผิด ไอ้ทิพย์มันยอมหัก ไม่ยอมงอ ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เลยเพื่อน ยิ่งทำตัวเป็นจงอางหวงไข่ ไอ้ทิพย์ไม่ยอมลงให้อาพักตร์ของนายง่ายๆ แน่”
เขมิกาเดินเข้ามา เห็นว่าแฟรงค์มีแขก ตกใจที่ตัวเองถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
“อุ้ย ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณมีแขก”
แฟรงค์รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ โอบหลังเขมิกาเข้ามา
“แขกที่ไหน เพื่อนกันทั้งนั้น นี่บุญสลัก แฟนไอ้ทิพย์มัน คุณเขม แฟนฉัน”
“พูดจาน่าเกลียด ใครเป็นแฟนคุณคะ”
แฟรงค์ทำหน้าตากวนๆ ไม่สนใจ ตีขลุมว่าเขมิกาเป็นแฟน
“สวัสดีครับ คุณเขม”
เขมิกาเห็นหน้าบุญสลักเต็มๆ พอใจลึกๆ ยื่นมือให้จับอย่างไม่ถือตัว สบตาชายหนุ่มอย่างท้าทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“โทษทีว่ะเพื่อน ไม่รู้ว่านายมีนัด ฉันคงต้องกลับเสียที”
“ฉันจะพาคุณเขมไปฟังเพลง ไปด้วยกันสิ คนกันเองทั้งนั้น”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ ฉันกลับก่อนดีกว่า ขอตัวนะครับ”
เขมิกามองบุญสลักตาเป็นประกาย แฟรงค์มองหึงๆ
“นี่คุณ สายตาแบบนี้ผมอนุญาตให้เอาไว้มองผมคนเดียว เข้าใจมั้ยว่าผมหึง”
เขมิกาส่ายหน้ายิ้มๆ
“ว่าแต่ คุณบุญสลักเพื่อนคุณเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรียนจบทางด้านไหนมาหรือคะ”
แฟรงค์แสร้งทำท่าไม่พอใจ
“ผมจะไม่พูดถึงคนอื่น เข้าใจมั้ยครับคุณเขม ผมหึง”
เขมิกาส่ายหน้า ไม่จริงจัง
“จะไปกันได้หรือยังคะ”
แฟรงค์รีบตามออกไป เอาใจคนรักเต็มที่
เจ้านาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
อัปสรใส่ชุดไว้ทุกข์ นั่งมองไปนอกหน้าต่าง เศร้าหมอง คิดถึงสามี
จู่ๆ เสียงแมวก็ดังเข้ามา เธอสะดุ้ง มองไปรอบๆ พบแต่ความว่างเปล่า เริ่มกลัว แต่ก็อยากรู้ จึงเดินไปมองนอกหน้าต่าง เสียงเคาะประตูดังเข้ามา แต่อัปสรไม่ได้สนใจ เพราะมัวจ้องที่หน้าต่าง แมวดำจ้องเขม็ง อัปสรตกใจกลัว ถอยหลัง มนต์ทิพย์เปิดประตูเข้ามาเห็น รีบเข้าประคองแม่
“อุ้ย”
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หนูเคาะเรียกตั้งหลายครั้ง”
อัปสรมองหน้าต่าง รีบจูงมนต์ทิพย์กลับเข้ามานั่งในห้อง
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
“แต่คุณแม่เหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่างนะคะ”
อัปสรมองไปที่หน้าต่าง ไม่เห็นแมวดำแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปพักผ่อนเถอะ”
“คุณแม่แน่ใจนะคะว่าไม่มีอะไร”
“จ้ะ แน่ใจ งั้นเอางี้ แม่ไปนอนกับทิพย์ดีกว่า”
อัปสรเดินตามมนต์ทิพย์ออกจากห้อง สอดส่ายสายตามองหาแมวดำอย่างหวาดๆ แมวดำอยู่นอกหน้าต่าง ตาแดงก่ำ
อัปสรมองมนต์ทิพย์เดินออกจากห้องน้ำ เช็ดผม ด้วยความสงสาร
“หนูแน่ใจหรือลูกว่าจะกลับไปอังกฤษกับแม่”
“ค่ะ”
“แล้วบุญสลักล่ะ หนูจะเอาบุญสลักไปไว้ที่ไหน”
“ถ้าเขารักหนูเหมือนที่พ่อรักแม่ ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ”
“แต่มันไม่เหมือนกันนะทิพย์ บุญสลักเขามีแม่ที่ต้องดูแล”
มนต์ทิพย์สีหน้าเปลี่ยนทันทีที่พูดถึงพวงคราม
“ทิพย์ก็มีแม่คนเดียวเหมือนกัน ทิพย์ตัดสินใจแล้วค่ะแม่ ส่วนเรื่องมรดกของคุณพ่อ เราให้คุณตาศักดิ์รพีช่วยจัดการก็ได้นี่คะ”
อัปสรถอนใจ รู้แล้วว่าพวงครามกับพักตร์พริ้งไม่อยากได้มนต์ทิพย์เป็นสะใภ้
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปกราบลาคุณตากัน”
“ค่ะ ส่วนเรื่องตั๋วเครื่องบินหนูให้แฟรงค์ช่วยติดต่อแล้วนะคะ”
มนต์ทิพย์หอมแก้มแม่ ล้มตัวนอน อัปสรมองลูกด้วยความสงสาร
อัปสรถือกระเป๋าลงบันไดบ้านมา พร้อมจะเดินทางกลับอังกฤษ นั่งรอมนต์ทิพย์ที่ห้องรับแขก
“ทิพย์ เสร็จหรือยังลูก”
ไม่มีเสียงตอบ
“ทิพย์”
อัปสรลุกขึ้นไปตาม เสียงแมวร้องดัง อัปสรหันขวับไปตามเสียง ตกใจ ถอยหลังกรูด ปะทะกำแพง หมอกควันลอยคละคลุ้งทั่วบ้าน เห็นห้องรับแขกบ้านตนกลายเป็นเรือนปั้นหยาของละอองคำ อัปสรเป็นห่วงมนต์ทิพย์
“ทิพย์ ลูก ทิพย์ ทิพย์อยู่ที่ไหน”
อัปสรหมุนคว้าง หาลูกไม่เจอ สายตาปะทะตาแมว ดุ แดงก่ำ แมวย่างสามขุมเข้าหา อัปสรค่อยๆ ถอยหลัง แล้ววิ่งหาทางออก สับสน วิ่งไปอีกทาง เห็นทิพย์เข้ามา จึงโผเข้าหาทันที
“ทิพย์ ทิพย์เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
อัปสรรีบจูงมือมนต์ทิพย์ เร่งรีบ แต่มนต์ทิพย์ไม่ก้าวตาม เสียงละอองคำดังขึ้น
“คิดหรือว่าจะหนีแม่พ้น”
อัปสรหันขวับไปตามเสียง มนต์ทิพย์กลายเป็นละอองคำ
“แม่”
อัปสรหนีไม่ได้ ละอองคำจับแขนไว้แน่น
“แม่ แม่อย่าทำอะไรหนูเลย หนูกลัว”
“แม่ไม่ทำอะไรลูกหรอก แม่รักลูก อัปสร แม่รักลูกมาก แม่อยากให้ลูกสืบทอดเลี้ยงผีของแม่”
“ไม่ แม่ อย่าบังคับหนูเลย หนูกลัว แม่อย่าทำร้ายหนูเลยนะ”
“แม่จะทำร้ายลูกได้ยังไง อัปสร แม่จะนำความสุขสบาย ความร่ำรวยมาให้ลูกของแม่ เชื่อแม่สิ อัปสร รับเลี้ยงผีของแม่ ชีวิตลูกจะพบเจอแต่สิ่งดีๆ”
“ไม่แม่ หนูไม่ทำ ผีของแม่ฆ่าคน หนูทำไม่ได้”
ละอองคำกระชากอัปสรเข้าใกล้ บีบคาง จ้องหน้า
“แกต้องรับเลี้ยงผี อัปสร แกเป็นทายาทของข้า แกต้องสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
“ไม่ หนูไม่ยอม แม่อย่าทำอะไรหนูนะ หนูกลัว แม่ปล่อยหนูไปเถอะ”
“แม่จะปล่อยลูกก็ได้ แต่มีข้อแม้เดียว ลูกจะต้องมอบมนต์ทิพย์ให้แม่ มนต์ทิพย์จะต้องสืบทอดการเลี้ยงผีของแม่”
“ไม่ แม่อย่าทำอะไรลูกหนูนะ อย่านะแม่ อย่า”
เสียงร้องขอความเห็นใจของอัปสรดังแข่งกับเสียงหัวเราะของละอองคำ อัปสรนอนหลับ กระสับกระส่าย มือปะป่ายไปทั่ว
“อย่า”
มนต์ทิพย์สะดุ้ง
“แม่คะ แม่เป็นอะไรคะ”
“แม่กลัว ทิพย์ อย่าทิ้งแม่ไปนะลูก แม่กลัว”
อัปสรมองไปรอบๆ หาแมว มนต์ทิพย์มองตามสายตาอัปสร แต่ไม่พบอะไร
“แม่กลัวอะไร บอกทิพย์สิคะ แม่คะ”
อัปสรรู้สึกตัว ไม่อยากให้มนต์ทิพย์กลัว
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกลูก”
“แต่ แม่คะ”
อัปสรนอนเพื่อตัดบทสนทนาเพราะไม่อยากให้มนต์ทิพย์รู้เรื่องละอองคำ พลิกตัว หายใจแรง กลัว
“แม่ ปล่อยหนูกับลูกไปเถอะค่ะ”
อัปสรและมนตร์ทิพย์ มาหาศักดิ์รพี วัยเจ็ดสิบปี ดูภูมิฐาน อยู่บ้านไทยโบราณ
“ทิพย์ ขอแม่คุยธุระกับคุณตาสักครู่นะจ๊ะ”
มนต์ทิพย์พยักหน้าเข้าใจ
“ค่ะแม่”
“อัปสรจะกลับอังกฤษจริงๆ หรือลูก”
“แม่ยังไม่ไปไหนค่ะ คุณอา แม่รอหนูกับลูกที่บ้านหลังนั้น”
“จริงหรืออัปสร”
“ค่ะ แม่พยายามให้หนูกับลูกสืบทอดการเลี้ยงผี”
“งั้น ที่พรวุฒิ”
อัปสรปาดน้ำตา
“ค่ะ เป็นแม่จริงๆ ทีแรกหนูคิดว่าแม่ขู่ แต่ตอนนี้ หนูถึงอยากย้ายกลับไปอังกฤษโดยเร็วที่สุด แม่คงตามไปทำร้ายหนูกับลูกไม่ได้”
ศักดิ์รพีถอนใจ อัปสรเบือนหน้าเศร้าไป
หน้าบ้านศักดิ์รพี อัปสรกับมนต์ทิพย์สวมสร้อยทองกับพระเลี่ยมทองที่ศักดิ์รพีให้มา
“ทิพย์ สร้อยพระที่คุณตาให้มา หนูต้องสวมติดตัวไว้ตลอดเวลานะลูก พระท่านจะได้ปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากเภทภัยร้ายทั้งปวง”
“ค่ะแม่”
อัปสรยิ้มพอใจ มั่นใจว่าจะหนีพ้นเงื้อมมือละอองคำ
ร้านอาหารร่มรื่น แมวดำกระโดดเข้ามา ตาวาวดุร้าย ร้องเสียงดัง ที่โต๊ะของอัปสร และมนต์ทิพย์ แฟรงค์เดินเข้ามา ยื่นตั๋วเครื่องบินให้อัปสร
“ตั๋วเครื่องบินครับคุณน้า”
“ขอบใจมากนะลูก”
“ยินดีครับ คุณน้า ว่าแต่แกเถอะ ไอ้ทิพย์ แกมั่นใจแล้วหรือที่จะทิ้งบุญสลักไว้แบบนี้”
“ฉันตัดสินใจแล้ว”
“คุณน้าครับ”
“ปลูกเรือนต้องตามใจคนอยู่ น้าเคารพการตัดสินใจของทิพย์”
แฟรงค์ถอนใจ มองมนต์ทิพย์ สงสารบุญสลัก
“เอาล่ะ ถ้าแกตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็ไม่ค้าน มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกนะโว้ย ไอ้ทิพย์ ฉันยินดี”
มนต์ทิพย์ยิ้ม พยักหน้าให้แฟรงค์เป็นเชิงขอบใจ
ใกล้ค่ำ มนต์ทิพย์กับอัปสรเดินเข้าบ้าน ปิดประตู
“ทิพย์ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป”
“แม่ล่ะคะ”
“เดี๋ยวแม่ตามขึ้นไปจ้ะ”
อัปสรเดินไปตรวจดูว่าหน้าต่างปิดหมดหรือยัง
“จะให้หนูช่วยเก็บกระเป๋ามั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ทิพย์รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปสนามบินแต่เช้า”
“ค่ะแม่”
มนต์ทิพย์พยักหน้าอย่างหงอยเหงา
อัปสรจัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ปาดเหงื่อ ถอนใจโล่งอก เห็นรูปพรวุฒิแล้วน้ำตาซึม ตัดใจ นาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน จึงเดินไปรูดม่านหน้าต่างห้องนอน เห็นมนต์ทิยพ์เดินอยู่ที่สนามหญ้าบ้าน จึงรีบเปิดหน้าต่างร้องเรียก
“ทิพย์ ทิพย์”
มนต์ทิพย์เงียบ ไม่หันมา อัปสรขนลุก เสียงละอองคำดังเข้ามา
“ขอมนต์ทิพย์ให้แม่นะอัปสร”
“แม่”
อัปสรขนลุกเกรียว ห่วงลูก รีบผละจากหน้าต่างโดยไม่ระวัง ตะขอเกี่ยวสร้อยพระจนขาดตกพื้น อัปสรวิ่งออกจากบ้าน เห็นมนต์ทิพย์ยืนอยู่ไกลๆ
“ทิพย์ลูก ทิพย์ อย่าออกไป”
มนต์ทิพย์ไม่ฟังยังคงเดินออกไปที่หน้าประตูรั้ว อัปสรวิ่งไปทัน คว้ามนต์ทิพย์ แต่มนต์ทิพย์หายวับไป เธอมองหาไปทั่ว เห็นมนต์ทิพย์ยืนอยู่นอกรั้ว รีบวิ่งตามไป มนต์ทิพย์วิ่งออกมาจากในบ้าน
“แม่คะ แม่ อย่าออกไปค่ะ แม่”
อัปสรหันกลับมาที่บ้านดีใจ
“ทิพย์”
อัปสรเห็นมนต์ทิพย์ จะวิ่งกลับมา ละอองคำปรากฏกายซ้อนร่างมนต์ทิพย์ ยิ้มน่ากลัว อัปสรชะงัก
“แม่ ไม่นะ”
มนต์ทิพย์วิ่งเข้ามา แต่อัปสรกลับมองเห็นเป็นละอองคำ อัปสรหันหลังวิ่งหนี ตะโกนร้อง
“แม่อย่า แม่อย่าทำอะไรหนูเลย หนูกลัวแล้ว”
มนต์ทิพย์วิ่งตาม
“แม่คะ นี่ทิพย์เองนะคะแม่ แม่อย่าออกไปค่ะ”
อัปสรวิ่งหายไปในความมืด มนต์ทิพย์ตะโกนสุดเสียง
“แม่”
อัปสรวิ่งกระเซอะกระเซิงไปตามถนนสายเปลี่ยว มืด หันมองข้างหลังตลอดเวลา กลัวละอองคำจะตามมา ละอองคำเดินช้าๆ ไม่รีบร้อนแต่กลับตามอัปสรมาติดๆ
“อย่าแม่ อย่าทำร้ายหนู หนูกลัว”
อัปสรวิ่งไปถึงทางแยก หันรีหันขวาง ละอองคำยืนอยู่ทางหนึ่ง ร้องเรียก
“ทางนี้ อัปสร ตามแม่มา”
อัปสรส่ายหน้าทั้งน้ำตา
“ไม่ หนูไม่ไป”
“อัปสร ตามแม่มา”
อัปสรไม่ฟังเสียง จะแยกไปอีกทาง แต่แมวดำกระโดดมาขวางไว้ ตาแดงก่ำ ร้องขู่เสียงดัง
อัปสรตกใจ จะแยกไปอีกทาง ผีหลายตนมาขวางไว้ อัปสรมองไปทางละอองคำ แต่ไม่มีละอองคำแล้ว เธอรีบวิ่งไปทันที แค่ไม่กี่ก้าวก็วิ่งมาถึงหน้าเรือนปั้นหยาของละอองคำ
“ไม่นะ”
อัปสรถอยหลังช้าๆ แล้วหันหลังกลับ เห็นทั้งผี ทั้งแมวดำ ยืนเรียงหน้ากระดานขวางไว้ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว อัปสรทรุด ร้องไห้โฮ
กลางดึก บุญสลักรับโทรศัพท์ที่ห้องรับแขก นมผ่อง ป้าแหวน ยืนอยู่ข้างหลัง
“คุณว่าไงนะทิพย์ ได้ๆ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้” พวงครามเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น บุญสลัก ใครโทรมาดึกๆ ดื่นๆ”
บุญสลักหน้าเครียด นมผ่องจึงตอบเสียเอง
“คุณมนต์ทิพย์โทรมาค่ะ คุณผู้หญิง”
“คุณแม่ทิพย์วิ่งหนีออกจากบ้านไปครับ ผมต้องรีบไป”
“ทำไมไม่รอให้เช้าเสียก่อนลูก ดึกๆ ดื่นๆ อันตรายรอบด้าน”
“ไม่ได้หรอกครับแม่ ทิพย์ไม่มีใคร พี่แช่มครับ หยิบกุญแจรถให้ผมที”
แช่มวิ่งแจ้นออกไป
“ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู มีอะไรคืบหน้าโทรบอกนมด้วยนะคะ”
“ครับนม ผมไปก่อนนะครับแม่”
แช่มวิ่งกลับมา
“กุญแจกับเสื้อคลุมค่ะคุณหนู”
“เดี๋ยวแหวนไปเปิดประตูให้ค่ะ”
พวงครามหันมาบ่นกับนมผ่อง
“ถ้าตาบุญสลักเป็นอะไรไปฉันจะไล่นังสองคนนี่ออก สาระแนดีนัก”
“อุ๊ย”
แช่มหน้าเจื่อน
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณ คุณทิพย์เธอคงเดือดร้อนจริงๆ”
“เหมือนที่น้องพักตร์ว่าไว้ไม่ผิดปาก คนพวกนี้มีแต่จะนำเรื่องวุ่นวายเข้าบ้าน”
พวงครามส่ายหน้า
มนต์ทิพย์เดินวนอยู่ในบ้านด้วยความร้อนใจ
“แม่อย่าเป็นอะไรนะคะ”
มนต์ทิพย์เดินวนไปวนมา ถอนใจเป็นระยะ เสียงรถดังเข้ามา จึงรีบวิ่งไปดู บุญสลักกับแฟรงค์เปิดประตูรถออกมา มนต์ทิพย์วิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน
“พบคุณแม่มั้ยคะ”
บุญสลักส่ายหน้า มนต์ทิพย์เข่าอ่อน บุญสลักรีบเข้าประคอง
“ทิพย์ ทิพย์”
บุญสลักอุ้มมนต์ทิพย์เข้าบ้าน พยาบาลมนต์ทิพย์จนเริ่มดีขึ้น แฟรงค์คอยช่วยด้วยความเป็นห่วง มนต์ทิพย์ลืมตาขึ้น
“คุณแม่ เราจะทำยังไงกันดีคะ”
“ตอนนี้โปลิศ กระจายกำลังค้นหาคุณน้าอยู่ครับ ทิพย์วางใจเถอะ เราต้องตามหาคุณน้าให้พบ”
“ใช่ แกทำใจให้สบายเถอะ ป่วยไข้ไปอีกคนจะยิ่งลำบาก”
มนต์ทิพย์พยักหน้ารับ แต่น้ำตารื้นขึ้นมาอีก
“แต่ทิพย์รออยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกค่ะ ทิพย์จะออกไปตามหาแม่”
“ไปครับ ผมพาไป”
“ฉันขับรถให้ดีกว่า นายขับมาทั้งคืนแล้ว”
“ขอบคุณนะแฟรงค์”
“เพื่อนกันนี่ แค่นี้สบายอยู่แล้ว”
อัปสรฟุบหลับที่พื้นเรือนปั้นหยา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ค่อยๆ ขยับตัวฟื้นคืนสติ เงยหน้ามองรอบๆ ตกใจ ทั่วบ้านอึมครึม อับทึบ
“ไม่นะ ไม่จริง”
อัปสรจำได้ว่าเป็นบ้านละอองคำ รนรานรุกขึ้น โผไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันถึง ปอบละอองคำก็ปรากฏกายตรงหน้า อัปสรผงะ
“แม่ แม่ปล่อยหนูไปเถอะนะ”
“แม่บอกแล้ว ยังไงหนูก็หนีแม่ไม่พ้น รับเลี้ยงผีแม่ซะเถอะ แม่จะได้ไปผุดไปเกิด”
“ไม่ หนูไม่รับ แม่ปล่อยหนูเถอะ แล้วหนูจะทำบุญไปให้”
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ อีลูกอกตัญญู อีเนรคุณ ข้าต้องการให้เจ้าสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
“ไม่ หนูไม่เลี้ยงผี หนูจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แม่ปล่อยหนูไปเถอะ”
อัปสรได้โอกาสวิ่งไปที่ประตูอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันถึงก็ถูกแรงมหาศาลดึงไว้จนหงายหลัง
ปอบละอองคำเข้าประชิดตัว บีบคอ
“เจ้าจะต้องสืบทอดการเลี้ยงผีของข้า”
ปอบละอองคำบีบมือแน่นขึ้น อัปสรหายใจขัด แต่ก็ยังส่ายหน้า ปฏิเสธ“ไม่ ไม่ หนูไม่ยอม”
“อวดดี เหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด จำได้มั้ย พ่อเจ้ามีจุดจบยังไง ที่อวดดีกับข้า”
“แก แกไม่ใช่แม่ แกไม่ใช่แม่ฉัน”
ปอบเจ้านาง แสยะยิ้มซ้อนหน้าละอองคำ
“รู้ก็ดีแล้ว นังอัปสร ถ้าเจ้าไม่รับเลี้ยงผีของข้า ข้าจะควักไส้เจ้ากิน เหมือนที่ข้าควักไส้ไอ้ฉัตร กับอีซ่อนกลิ่น ย่าของเจ้า จำได้หรือไม่”
“ไม่ ไม่”
อัปสรฟุบลงกับพื้น ไร้สติ ปอบเจ้านางและปอบละอองคำยืนใกล้ๆ
พวงครามอ่านหนังสือ พักตร์พริ้งร้อนใจ นั่งไม่ติด ชะเง้อมองทางประตู คอยบุญสลัก ป้าแหวนกับแช่มยกของว่างกับน้ำส้มเข้ามา พักตร์พริ้งรีบถาม
“คุณบุญสลักยังไม่กลับมาอีกหรือไง”
“แช่มเห็นคุณพักตร์แทบไม่ละสายตาจากประตูรั้วเลย นี่คะ ถ้าคุณหนูกลับมา คุณพักตร์ก็ต้องเห็นก่อนใครอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ นังแช่ม ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะ”
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
ป้าแหวนตีแขนแช่ม แล้วกระซิบกระซาบให้ออกไป
“ไปเร็วๆสิ เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก”
พวงครามปิดนิตยสาร ไม่ร้อนใจเหมือนพักตร์พริ้ง
“บ้านโน้นคงจะยุ่งๆ นั่นแหละค่ะ คุณพักตร์ เห็นว่าไม่ค่อยมีญาติที่เมืองไทย”
“มันไม่ได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่นะคะคุณพี่ ไม่มีญาติหรือญาติไม่เอากันแน่คะ”
“เห็นบุญสลักว่าตายายของหนูทิพย์เสียตั้งแต่คุณอัปสรยังเล็กมาก”
“น้องว่ามันสองแม่ลูกตั้งใจจะจับตาบุญสลักน่ะสิคะ ถึงได้หาเรื่องให้ตาบุญสลักไปขลุกอยู่กับพวกมันไม่เว้นแต่ละวัน พ่อตายก็ทีนึงแล้ว นี่ยังกุเรื่องว่าแม่หายไปอีก”
“อุ้ย คงไม่ขนาดนั้นมังคะ คุณพักตร์” นมผ่องติง
“นั่นสิ ตอนที่พี่ไปงานศพ คุณอัปสรดูน่าสงสารมากนะคะ น้องพักตร์”
“คนเราจะเห็นกันก็ตอนตกทุกข์ได้ยากนี่แหละค่ะ”
“โอ๊ย พวกสิบแปดมงกุฎล่ะสินมผ่อง คุณพี่จะใจอ่อนไม่ได้นะคะ ยิ่งพวกมันเห็นว่าเราอยู่ในสังคมชั้นสูงแบบนี้ มันก็ยิ่งทำตัวให้น่าสงสาร ตาบุญสลักก็กระไร้ เรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนา แทนที่จะหางานทำให้เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล กลับทำตัวเหลวไหล”
พวงครามถอนใจ พักตร์พริ้งจี้ตรงจุด
“พี่ก็หนักใจเรื่องนี้ล่ะค่ะ”
พวงครามเริ่มกังวล
มนต์ทิพย์ บุญสลักและแฟรงค์เดินกลับเข้ามาบ้านอัปสรใบหน้าอ่อนล้า มนต์ทิพย์เสียใจมากที่หาแม่ไม่เจอ ปล่อยโฮ บุญสลักรีบเข้าประคอง
“ใจเย็นๆ นะทิพย์ ยังไง เราต้องตามหาคุณน้าให้พบ”
“เราจะตามหาคุณแม่ได้ที่ไหนคะ โปลิศเองก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า”
“บางทีคุณน้าอาจกำลังหลบหรือหนีอะไรสักอย่าง เราถึงหาท่านไม่พบ”
“หลบหรือหนี จริงสิ เมื่อคืนคุณแม่กลัว แม้กระทั่งทิพย์ ยิ่งทิพย์วิ่งตาม คุณแม่ก็ยิ่งวิ่งหนี ถึงได้วิ่งเตลิดหายไป”
“หรือว่าคุณน้าจะมีอะไรปิดบังทิพย์”
“ปิดบังเหรอคะ เมื่อคืนคุณแม่ตะโกนเรียก แม่ๆ แถมยังบอกว่ากลัวแล้ว กลัวแล้ว”
“คุณยายของทิพย์มีอะไรน่ากลัวงั้นหรือ”
บุญสลักเริ่มสนใจ มนต์ทิพย์ส่ายหน้า
“ทิพย์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณยายสักอย่าง ถามทีไรคุณแม่ก็ตอบเลี่ยงๆ ไปทุกที”
บุญสลักสบตาแฟรงค์เงียบๆ
“เอาล่ะไอ้ทิพย์ ฉันว่าแกต้องพักซะบ้าง ยังไงโปลิศเขาก็ไม่นิ่งนอนใจ”
บุญสลักพยักหน้าเห็นด้วย
“ทิพย์ไม่มีแก่ใจพักหรอกค่ะ ไม่รู้ป่านนี้คุณแม่จะเป็นยังไงบ้าง”
“ผมรู้ว่าทิพย์เป็นห่วงคุณน้ามาก แต่ทิพย์ต้องพักบ้างนะครับ ล้มป่วยไปอีกคนจะยิ่งลำบาก เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ทิพย์ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม เชื่อผมนะครับ คนดี”
“ใช่ๆ ฟังกันบ้างก็ดีนะไอ้ทิพย์ ฉันขอไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศสักเดี๋ยว แล้วจะรีบกลับมา อ้อ ฉันว่าจะให้พี่ปีบมาอยู่เป็นเพื่อนแกสักพัก”
มนต์ทิพย์น้ำตาซึม ซึ้งกับน้ำใจของเพื่อน
“ขอบคุณนะแฟรงค์”
“แค่นี้เล็กน้อยเพื่อน”
บุญสลักประคองมนต์ทิพย์ให้พักผ่อน มนต์ทิพย์ฝืนยิ้ม ยอมนอนพักเอาใจบุญสลักที่คอยเป็นห่วง
พักตร์พริ้งกระแทกตัวนั่ง พวงครามสีหน้าไม่ดี
“ไม่ไหวแล้วนะคะ คุณพี่ เย็นย่ำป่านนี้ตาบุญสลักก็ยังไม่กลับบ้าน”
“นั่นสิคะ พี่เองก็ชักร้อนใจ ลูกหนอลูก ทำไมไม่เป็นห่วงแม่บ้าง”
“ก็คงจะหลงคนรักจนลืมแม่ล่ะค่ะ ดูเอาเถอะ โทรตามผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ ก็หน้าด้านมากพอแล้วนะคะ นี่ยังจะกักตาบุญสลักไว้ทั้งคืนทั้งวันอีก ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน”
“คุณพักตร์คะ”
“นมผ่อง เข้าข้างตาบุญสลักอยู่ได้ นี่ถ้าหลานฉันเสียคนไปคงจะโทษใครไม่ได้ นอกจากนมผ่อง”
นมผ่องหน้าเจื่อนไป ถอนใจ พวงครามหนักใจ เริ่มเห็นคล้อยตามพักตร์พริ้ง
“พี่อยากจะทราบเหลือเกินค่ะว่าตาบุญสลักไปทำอะไรที่นั่น”
“น้องว่าเราต้องตามไปดูให้เห็นกับตา คุณพี่เคยไปบ้านมันนี่คะ”
“ไม่เหมาะมังคะคุณ เขาจะครหาว่าเราใจจืดใจดำ”
พวงครามอึดอัด สบตานมผ่อง แล้วหันมาทางพักตร์พริ้ง
“พี่จำทางไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่คนรถน่าจะจำได้”
พวงครามพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่เหมาะมังคะ คุณพักตร์”
พักตร์พริ้งไม่สนใจนมผ่อง ขยับมานั่งข้างพวงคราม คว้ามือ
“ช้าไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณพี่ ต้องไปดูให้เห็นกับตา”
พักตร์พริ้งจูงมือพวงครามออกไป นมผ่องส่ายหน้าระอาพักตร์พริ้ง
จบตอนที่ 9