ปริศนา ตอนที่ 11
ประวิชเดินมาทางห้องนอนตัวเองในวังศิลาขาว ใส่ชุดทำงานเพิ่งเลิกงานกลับมา หน้าตาของเขาเนือยๆไร้ความสุข สนเดินมาจากทางห้องของท่านชาย เห็นประวิชเดินผ่านมาก็คำนับ
“คุณประวิชขอรับ มีจดหมายถึงคุณ อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้อง”
“ขอบใจ เดี๋ยวฝากเตรียมน้ำชาให้ฉันเหมือนเคยนะ วันนี้คงไม่ออกไปไหน”
“ขอรับ”
สนก้มหัวรับคำสั่งแล้วเดินเลยไป
ประวิชเปิดประตูเข้าไปในห้องเขาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีจดหมายอยู่ 2-3 ฉบับ ตอนแรก ประวิช เหมือนจะเขี่ยๆดู คืออยากรู้ว่ามีใครเขียนมาบ้าง แต่ก็มาสะดุดอยู่ที่ฉบับที่ซ้อนอยู่ตรงกลาง เป็นลายมือที่เขาจำได้ว่าเป็นของปริศนา
“ปริศนา!”
ประวิชรีบยกจดหมายขึ้นดู แล้วเอามีดตัดจดหมาย ตัดออกอย่างเรียกได้ว่ามือไม้สั่น เขาคลี่กระดาษที่ถูกพับไว้ออกมา เป็นการ์ตูนที่ปริศนาเขียนมาให้ประวิช
ประวิชหัวเราะก๊ากออกมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ประวิชไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดเทนนิสสีขาวออกมาทันที
ประวิชอารมณ์ดี รื่นเริงลงจากรถ เดินไปที่หน้าบ้านซึ่งจำเนียรยืนรอรับอยู่
“จำเนียร คุณปริศนาอยู่ไหม”
“คุณพาคุณนายกับคุณสิรี และคุณอนงค์ไปซื้อของค่ะ ไปตั้งแต่บ่าย ประเดี๋ยวคงจะกลับมา เห็นบอกว่าไม่ต้องทำกับข้าวเย็น คุณนายจะซื้อมาฝากจากข้างนอก”
“งั้นฉันจะรอ”
จำเนียรทำท่าผายมือ จะเชิญประวิชเข้าไปในห้องรับแขก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร
เสียงแตรรถของปริศนาก็ดังขึ้น
“แน่ะ กลับมากันแล้วค่ะคุณ” จำเนียรบอก
ตาช่วงที่อยู่แถวนั้น ทิ้งงานทำสวนไปเปิดประตูให้อีกครั้ง ประวิชเดินกลับมายืนเท้าสะเอวยิ้มรับใกล้ที่ปริศนาจอดรถ คุณนายสมรลงมาจากรถ
"ไง พ่อประวิช หายไปเสียนาน"
ประวิชยิ้มให้สมรอย่างเสียไม่ได้ และเขาพยายามมองปริศนา แต่ปริศนาดูสนใจแต่ยกของลงจากรถ ส่งให้จำเนียร อนงค์ และ สิรีช่วยถือ จนประวิชต้องยื่นมือมาจะช่วยถือ ปริศนาไม่ส่งของให้
อนงค์จึงยื่นของในมือ แบ่งให้ประวิชถือถุงหนึ่ง
"ขึ้นบ้านเถอะคุณ"
อนงค์เดินนำไปและประวิชเดินตามไป
อนงค์เลือกถุงที่เป็นอาหารสองสามถุง แล้วเดินไปทางครัวกับจำเนียร ส่วนสมรเรียกประวิชให้นั่งลงที่ชุดรับแขกในห้องโถง
"จำเนียร ขอน้ำให้คุณประวิชก่อนนะ ฉันเองก็เหนื่อยเต็มที"
"ได้ของมาเยอะนะ ขอรับ"
"ไปกันที ก็ต้องได้ของมาให้ครบทุกคน ปริศนา ก็จะเปิดเทอมอยู่แล้ว"
ปริศนาเดินเข้ามานั่งใกล้ประวิช
ปริศนาถามเสียงเรียบ
"ได้รับจดหมายแล้วหรือ"
ประวิชกระตือรือร้น
"ได้รับแล้ว เมื่อกี้นี้เองขอบใจมาก"
สิรีที่นั่งใกล้ๆสมรเมินหน้าไป เพราะกริยาดีใจของประวิชทำให้สะเทือนใจอย่างแรง เมื่อเปรียบเทียบความรักของตนกับเสมอ
"บ้า!"
"ใครบ้า"
"ประวิชน่ะสิบ้า! อยู่ๆก็มาโกรธ ไม่เห็นมีเรื่อง นึกหรือว่าปริศนาจะประกวดนางงามจริงๆ"
"ไม่รู้หรือ เห็นทำหน้าตาขึงขัง ลองไปประกวดสิ ฉันเลิกคบหล่อนจริงๆด้วย"
"แล้วฉันไปประกวดแล้วหรือยะ อยู่ๆก็มาโกรธล่วงหน้า เปิ่น... ทั้งเปิ่น ทั้งบ้า"
สมรปราม
"ปริศนา!"
ปริศนาลดเสียงลง
"ก็จริงนี่คะ ประวิชไม่ชอบนางงามหรอกหรือ ปริศนาไม่เชื่อหรอก"
"ชอบ.... แต่ไม่ชอบให้ปริศนาเป็น"
"แล้วนึกว่าปริศนาอยากจะเป็นหรือ ไม่ใช่ว่านางงามหรูเกินตัวปริศนา หรือปริศนาจะไม่ชื่นชมคนประกวดนางงาม แต่ปริศนารู้ว่าบ้านเรา ไม่ชอบการแข่งขัน อย่างเทนนิสที่ ปริศนาชนะแน่นอน แม่ก็ไม่ให้ลงแข่ง"
"การแข่งขันเดี๋ยวนี้ มุ่งแต่แพ้ ชนะ ทุ่มเทกัน เอาที่ผลแพ้ชนะแต่ถ่ายเดียว อีกหน่อย จะต้องให้เด็กคิดเรื่องแพ้ ชนะมาแต่เกิดหรอก พวกเราน่าจะใช้ชีวิตที่มีความสุขแบบคนธรรมดาดีกว่า แพ้กันเล่นๆ ชนะกันเล่นๆ แบบเล่นกีฬากัน สนุกกว่า" สมรบอก
"นี่แปลว่า ปริศนาพูดเล่นๆใช่ไหม ปริศนาไม่คิดจะประกวดนางงามจริงๆ ใช่ไหม"
"อย่างนั้นล่ะสิ ประวิชนี่ sense of humor หายไปไหนหมดหา.... มาโกรธเค้าจริงๆจังๆ... มาดีกันดีกว่ามั้ย"
ปริศนามานั่งใกล้ประวิชแล้วยื่นมือออก ประวิชจับมือปริศนาเขย่า ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กันอย่างมิตรที่ดี
สิรีมองทั้ง 2 คนนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ย้อนคิดเมื่อทั้งคู่ยืนอยู่หน้าตู้ไปรษณีย์ด้วยกัน และผลัดกันหย่อนจดหมายลงในตู้
สิรีจะเขียนถึงเสมอ ที่บ้านรองเมือง
ปริศนา จะเขียนถึง ประวิชที่วังศิลาขาว
"ดูซิว่าของใครจะได้รับตอบก่อนกัน" สิรีบอก
"นั่นสิ"
สิรีสุดจะทนดูความสุข ความเข้าใจของคนอื่น สิรีลุกขึ้นเงียบๆ เดินออกไปเพื่อจะขึ้นไปชั้นบน พอดีจำเนียรเดินออกมาจากห้องอาหาร สิรีเฉียดเข้าไปใกล้
"จำเนียร วันนี้มีจดหมายหรือมีใครมาหาฉันไหม"
"ไม่มีค่ะ"
สิรีหน้าเสียเข้าไปอีก เดินขึ้นไปข้างบนทันที
ทางเดินขึ้นบ้านบ้านเช่าของเสมอที่รองเมือง เย็นเวลาเดียวกัน เสมอเดินเข้าบ้านมา และขึ้นไปนั่งถอดรองเท้าสวมอยู่ที่ระเบียงบ้าน สายสร้อยซึ่งเป็นน้องสาวของเสมอตามเข้ามา พร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง
"พี่เสมอ จดหมายแน่ะ ไม่รู้ว่าสุดที่รักพี่เขียนมาอีกหรือเปล่า"
เสมอรับจดหมายมาดู
"ของสิรีจริงๆ ฉบับที่ 3 แล้ว"
"หมั่นเกี้ยวจริงนะคะ ผู้หญิงคนนี้"
เสมอ ฉีกจดหมายออกอ่านลวกๆ
"เขาว่ายังไงอีกคะคราวนี้"
สายชะโงกหน้ามาถาม
"เอ้า เอาไปอ่านเลย"
เสมอส่งจดหมายให้สาย แล้วลุกเดินเข้าไปด้านใน
เสมอเข้ามาถึงก็รินน้ำจากขวดแก้วที่วางไว้หลายขวดบนโต๊ะดื่ม พร้อมทั้งพับแขนเสื้อ
สายสร้อยเดินเข้ามา
"พี่เสมอ ผู้หญิงคนนี้มันไร้ยางอายทีเดียว พี่ฟังนะ" สายสร้อยอ่านจดหมาย "ถ้า
ได้รับจดหมายฉบับนี้แล้ว คุณจงตอบให้ทราบด้วย และอธิบายเหตุผลถึงการเงียบหายของคุณให้เข้าใจเสียบ้าง ดิฉันจะขอขอบใจอย่างยิ่งทีเดียว"
เสมอถอนหายใจดังมากๆ
"พี่ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา ถึงไม่ตอบจดหมาย"
"ถ้าไม่ตอบ ก็เขียนมาซ้ำซากอย่างนี้อีกนั่นแหละ ไม่ยอมเลิกรา พ่อกับแม่คิดถูกทีเดียว คบคนจนๆก็อย่างนี้ มุ่งแต่จะมัดมือมัดเท้าเราให้เป็นของหล่อนเรื่อยไป น้องเห็นว่าพี่เสมอคิดถูกเชื่อตามพ่อแม่ ผู้หญิงคนเดียวไม่มีอะไรดี เป็นแค่ช่างตัดเสื้อ"
"ผู้ใหญ่ย่อมเห็นอะไรชัดเจนกว่าเราเสมอ สายสร้อย พี่ก็ไม่คิดว่าสิรีจะเป็นพวกเกาะติดถึงเพียงนี้ แกไม่ได้รักพี่มากกว่าสมบัติของพี่ นึกแล้ว แสนจะขยักแขยง"
สายสร้อย ไปค้นชั้นใกล้ๆ หยิบกระดาษสมุดฉีกเล่มโต ออกมาวางให้เสมอ
"น้องเห็นว่าพี่เสมอควรจะเขียนจดหมายไปตัดขาดเสียวันนี้ อย่าให้ยายสิรี แกทึกทัก อ้างได้อีกว่า คุณพี่ไปหลงละเมอรักใคร่แก และควรจะเลิกหวัง เลิกคิดได้แล้ว"
เสมอหยิบปากกาหมึกซึม ออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มต้นเขียนลงบนกระดาษที่สายสร้อยเอามาวางไว้
"ถนนรองเมือง 9 พฤษภาคม 2484 คุณสิรี ขอบใจคุณมากที่อุตส่าห์เขียนจดหมายถึงผม ผมได้รับแล้วทั้ง 3 ฉบับ แต่ที่ผมไม่ได้ตอบ และไม่ได้ไปหาคุณ ก็เพราะผมมีเหตุผลที่จะบรรยายต่อไป"
สิรี นั่งอ่านจดหมายของเสมอบนเตียงนอน ความต่อไป
"คุณก็ทราบแล้วว่า ผมไปลำปาง ครั้งนี้ เพื่อไปบอกคุณพ่อเรื่องคุณ แต่ผิดหวังอย่างยิ่ง ท่านได้หาผู้หญิงไว้ให้ผมแล้ว และไม่ยอมฟังเสียงผมเลย กลับว่า ถ้าผมไปยุ่งกับคนอื่น จะตัดผมเสียจากมรดก ผมไม่ว่า แต่ผมนึกถึงคุณ ผมจะยอมให้คุณลำบากกับผมได้อย่างไร ผมจึงได้สัญญากับท่านแล้วว่าจะไม่ติดต่อกับคุณอีก เพราะฉะนั้น จดหมายฉบับนี้จึงจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้าย จนกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง"
สิรีกรีดร้องในคอ เป็นการเปล่งเสียงแสดงความเจ็บปวดที่สุด และน้ำตาไหลรินลงมา
"ทุกๆสิ่งที่ผ่านมาคิดเสียว่าเป็นความฝันก็แล้วกัน คุณจงเผาจดหมายของผมเสียให้หมด ผมก็จะเผาของคุณเสียให้หมดเหมือนกัน จะได้เลิกแล้วต่อกัน ไม่มีอะไรต่อกันไปอีก"
สิรีขยำจดหมายของเสมอ แล้วขว้างทิ้งออกไป ก้อนจดหมายลิ่วไปตกลงไปใต้เตียง แล้วสิรีก็ทุ่มตัวลง ร้องไห้โฮ ซบหมอน
อนงค์เดินมาจะเข้าห้องนอนตัวเอง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดลึกราวกับสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเสียงร้องไห้ที่ต่างจากเสียงร้องไห้ปกติ
อนงค์หยุดยืนฟังอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็จับได้ว่า เสียงนั้นดังมาจากทางห้องนอนของสิรี
อนงค์จึงเดินเข้าไปในห้อง
อนงค์ยืนอยู่หน้าประตู
"สิรี....สิรี เป็นอะไร"
อนงค์ลองผลักประตูแล้วก็รู้ว่าไม่ได้ล็อก เข้าไปเห็นสิรี กำลังทุบ จิก หมอน ผ้าปูที่นอนอย่างคั่งแค้นเต็มที่
อนงค์ทรุดตัวลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปลูบแขนสิรีอย่างปลอบโยน
"สิรี เป็นอะไรไป บอกหน่อยได้ไหม ใครทำอะไรสิรี"
สิรียิ่งร้องไห้ดังขึ้น อนงค์เริ่มจะวางตัวไม่ถูก ลุกขึ้นยืนถอยออกมา แต่ยังมองดูสิรีอยู่
สิรีพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลนองหน้า
"ผ้าเช็ดหน้า"
สิรีชี้ไปทางตู้เสื้อผ้า อนงค์เดินไปเปิดตู้ เลือกผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่แบบผู้ชาย เดินเอามาส่งให้สิรี สิรีเช็ดน้ำตาไปสักพัก ก็เอาผ้า โปะหน้า แล้วร้องไห้ออกมาอีก
อนงค์นั่งลงข้างเตียง
"สิรีเป็นอะไร บอกหน่อยได้ไหม"
สิรีกัดปากอย่างเจ็บใจ เหมือนเสียงสะอื้นจะหายไป แล้วชี้ไปที่จดหมายที่ถูกขย้ำ ปาลงไปใต้เตียงเมื่อสักครู่
อนงค์ก้มลงดู และลงไปหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วคลี่ออก ทำให้กระดาษเรียบเพื่ออ่าน
"จดหมายจากนายเสมอ นี่มาเมื่อไหร่กัน"
"เมื่อกี๊นี้"
อนงค์ไม่กล้าอ่านต่อ
"เขาว่าอย่างไร"
"อ่านดู"
อนงค์ยกจดหมายขึ้นอ่าน ซึ่งเป็นย่อหน้าที่ 2
"ผมกลับมาจากลำปาง ตั้งแต่วันที่ 1 ดังที่บอกคุณไว้แต่แรก และผมคิดถึงคุณเสมอ ตั้งใจไว้ว่า สงบสติอารมณ์ได้เมื่อไรจะไปหาคุณด้วยตนเอง เพราะมีเรื่องที่จะพูดกันให้รู้เรื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่จะพูดกันง่ายๆ แต่นี่คุณเขียนมายุยงผมเอง ผมจึงจำต้องเขียนมาบอกคุณ ทั้งๆที่รู้ว่า จะต้องทำให้คุณเจ็บแค้นอย่างยิ่ง"
อนงค์เงยหน้าจากจดหมายมองดูสิรี
"ไง ตลกไหม เรื่องนี้ต้องบอกพี่ เพราะพี่เป็นคนทำให้เขาต้องบอก"
อนงค์ก้มหน้าอ่านจดหมายอีกครั้ง กวาดสายตาอย่างคร่าวๆ
"เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมอยู่ๆ ก็มาตัดรอนกันอย่างนี้"
สิรีหัวเราะทั้งน้ำตา
"ดูมันว่า .... ขอให้นึกว่าเป็นความฝันล่ะ .... ถ้าพี่ไม่ยกโทษให้มัน มันจะไม่มีความสุขต่อไปล่ะ สุดวิสัยที่จะลืมพี่ล่ะ น่าหัวเราะ"
สิรีหัวเราะ แล้วก็เปลี่ยนเป็นร้องไห้อย่างเจ็บปวดอีกครั้ง อนงค์ได้แต่มองสิรี ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ตกใจมาก
แล้วสิรีก็ย้อนคิด เหตุการณ์ครั้งอยู่ที่บ้านเช่าที่หัวหิน เธอและเขาปูเสื่อนั่งใต้ร่มไม้ริมทะเล สิรีนั่งอยู่บนเสื่อ เสมอนั่งครึ่งนอนครึ่งอย่างสบายอารมณ์ มีหมอนอิง จานมะม่วงน้ำปลาหวาน และถั่วต้มวางใกล้ๆ รวมทั้งตะกร้าน้ำ สิรีดูแลเสมอเป็นอย่างดี
เสมอมองหน้าสิรีอย่างซาบซึ้ง
"คุณสิรีรู้ไหม ผมมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่ใกล้คุณ ผมถึงทนอยู่พระนครไม่ไหว ต้องมาหาคุณที่นี่ แล้วนี่จะต้องกลับไปอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อย่างไรเลย"
ในห้องนอน สิรียังคงนั่งอยู่บนเตียง กรีดเสียงร้องอยู่ในอกอย่างเจ็บปวด
"สิรี....สิรีเป็นอะไร"
แล้วสิรีก็เริ่มหัวเราะอย่างเหี้ยมโหด เจ็บแค้น
"โง่.... มันเห็นฉันเป็นตัวโง่ใช่ไหม โง่จริงๆ ชั้นมันโง่.... โง่ให้มันหัวเราะเยาะ"
สิรีหัวเราะ อาฆาต ลุกขึ้นมากระชากจดหมายฉีกขาดครึ่ง แล้วขว้างทิ้ง อนงค์ ผงะถอยไปอย่างตกใจ
"สิรี"
สิรีเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อความเจ็บแผ่ซ่านขึ้นมา
"ใช่ โง่ จริงๆ หลงเชื่อว่าจริง หลงให้มันหลอก ไม่น่าเลย"
สิรีร้องไห้อย่างเจ็บใจอีกครั้ง ก่อนจะโซเซไปทุ่มตัวลงบนเตียงซบหน้าลงไปกับหมอน มือทุบเตียงอย่างเจ็บใจ
ขณะนั้น...เสียงรถเข้ามาในบ้าน อนงค์ก้มลงเก็บจดหมายที่ถูกสิรีฉีกขาดเป็น 2 ชิ้น แล้วถอยออกไปนอกห้องทันที
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ปริศนาและประวิชแต่งชุดเทนนิส เดินเข้ามาจากด้านนอกสู่ห้องโถง ปริศนาถือไม้เทนนิสมาด้วย อนงค์ถือกระดาษจดหมายของเสมอ ที่ขาดเป็น 2 ชิ้น โดยขยุ้มมาในมือลงมาด้วย
อนงค์ตระหนก กังวลใจ และป้ายน้ำตาที่กำลังไหลออกมา ปริศนาและประวิชหันไปมองอนงค์
"อนงค์ เป็นอะไรไป"
"คุณอนงค์ เป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ทำไม"
อนงค์เข้ามาจับมือปริศนาไว้อย่างต้องการหาที่พึ่ง
"สิรี สิรี"
แล้วอนงค์ก็ยื่นจดหมายของเสมอให้ปริศนา
"อะไรนี่"
"อ่านดูเอง"
ปริศนารับมาแล้วกางอ่านกับโต๊ะ พยายามจับตรงที่ขาดให้อ่านต่อกันได้ แล้วเอาอะไรทับไว้ให้อยู่อย่างนั้น ระหว่างอ่านสีหน้าของปริศนา ขรึม และซีเรียสมากขึ้น ส่วนประวิชผายมือให้อนงค์ลงนั่งพักก่อน
"อนงค์นั่งก่อนเถอะ"
อนงค์นั่งลงและเช็ดน้ำตา ทำให้ประวิชรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอึดอัด พอดีจำเนียรเอาน้ำมา 2 แก้วเพื่อรับแขก ประวิช จึงเอาน้ำส่งให้อนงค์แทนที่จะให้ปริศนา แล้วตนเองก็ดื่มน้ำไปด้วย
"ดื่มน้ำก่อน อนงค์"
อนงค์ไม่ได้ต้องการดื่มน้ำ แต่ยกแก้วดื่มตามคำแนะนำของประวิชไปอย่างนั้นเอง เขามองดูปริศนาที่ตั้งใจอ่านจดหมายจนจบ ส่วนอนงค์ เช็ดน้ำตาและรอฟังปฏิกิริยาของปริศนา
ปริศนาเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย แค้นใจและเจ็บใจแทนสิรี
"มีอะไรหรือปริศนา นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ปริศนาลุกขึ้นแล้วพยักหน้าให้ประวิชมานั่งแทนที่ตน
"มาอ่านดูเองซี ประวิช นายเสมอเขียนจดหมายมาตัดขาดกับสิรีแล้ว"
"หา!"
ประวิชไปอ่านจดหมายอย่างสนใจ ปริศนาเดินเข้ามาหาอนงค์ที่ยังคงง่วนเช็ดน้ำตาอยู่
"แล้วอนงค์เป็นอะไรไปด้วยเล่า"
"สงสารสิรีน่ะซี .... เวลานี้อยู่ข้างบน เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ พี่ทำอะไรไม่ถูกละ"
"อนงค์ขึ้นไปเป็นเพื่อนเขาก่อน พูดดีๆ แล้วอย่าร้องไห้ไปอีกคน ปริศนาไม่อยากขึ้นไปเจอเขาตอนนี้ ประเดี๋ยวอดโมโหแทนไม่ได้ เอ็ดตะโรเข้าไปจะยิ่งแย่"
ประวิชเงยหน้ามองปริศนา แล้วหันมาหาอนงค์
"ปริศนาพูดถูก เวลานี้สิรีต้องมีคนอยู่ด้วย"
อนงค์ปาดน้ำตา แล้วหันกลับขึ้นบันไดไปทันที
ปริศนาลงนั่งข้างประวิช และทำท่าครุ่นคิดเหมือนๆกัน
"ไอ้บ้า... คนบ้า ไอ้บ้าผีทะเล" ปริศนาระเบิดออกมา ก่อนเก็บจดหมายพับอย่างดี " เดี๋ยวจะต้องให้แม่ดู"
"ระยำหมา อยากเตะจริงๆ ไอ้นี่มันหลอกลวงผู้หญิง มีหรือหากรักกันจริง พ่อแม่บอกให้เลิกแล้วไม่มีเถียงสักคำ"
"ใช่... ถ้าเป็นปริศนา ไม่ร้องไห้ให้กับคนอย่างนี้หรอก ต้องดีใจที่รู้นิสัยก่อนจะถลำไปมากกว่านี้"
"อ้างพ่อ อ้างแม่ ยังกับตัวเองเป็นเด็กน้อย"
"สิรีไม่เห็นมีอะไรเสียหาย สวยก็สวย ดีก็ดี ทำอะไรก็เก่ง จะอ้างแต่ว่าเราจน แล้วมาดูถูกเรา เจ็บใจนัก"
"เรื่องพวกหลังเขา ปริศนา อย่าไปสนใจ"
"เรื่องนี้เรื่องเดียวประวิช หลายครั้งแล้ว มันจะมีคนจำพวกหนึ่ง ที่จำเพาะต้องมาเหยียดหยามเรา เพราะว่าเราจน ไม่มั่งมีเหมือนคนอื่นเขา"
ปริศนาโกรธตาวาว
แต่ประวิชรู้สึกชื่นชมปริศนาเหลือเกิน
ปริศนาเดินไปที่ประตู มองออกไปข้างนอกอย่างอึดอัดขัดใจ ประวิชได้แต่มองตาม
ห้องอาหารบ้านปริศนา กลางคืนวันเดียวกัน ปริศนาและอนงค์นั่งอยู่ตรงกันข้ามกัน ท่าทางเหมือนจะกินกันไม่ลง มีจานข้าวของ สมร และ สิรี ตักแล้ววางอยู่ด้วย
สมรเดินลงมาจากชั้นบน
"อ้าวยังไม่เริ่มกินข้าวกันอีกหรือ"
"คอยแม่ค่ะ แล้วสิรีล่ะคะ"
"ประเดี๋ยวแม่เอาข้าวขึ้นไปให้สิรีเอง"
"แม่กินข้าวก่อนสิคะ" อนงค์ว่า
"สิรี เป็นยังไงบ้างแม่" ปริศนาว่า
แม่มองปริศนา แล้วถอนหายใจ
"ทำอะไรไม่ได้มากกว่าอยู่เป็นเพื่อน เวลานี้น้ำตาท่วมใจ ท่วมไปหมดทุกอย่าง จะพูดอย่างไร เขาก็ยังรับฟังไม่ได้"
"แล้วหยุดร้องไห้หรือยังคะ" ปริศนาถาม
สมรส่ายหน้า
"โธ่... เจ็บใจนัก สิรี ทำไมหนอ ต้องไปทุ่มเทใจให้คนพรรค์นี้" ปริศนาว่า
"พรุ่งนี้เช้า อนงค์ออกไปโทรศัพท์ ถึงแม่นงลักษณ์หน่อยนะ ขอลางานให้สิรี คงจะไปทำงานไม่ได้"
"Oh, my god! สิรี สิรี สิรี แม่จ๋า ปริศนาไม่อยากเห็นสิรีเป็นไปถึงเพียงนี้เลย"
"ยั้งใจไม่ทัน กระทันหันเกินไป เอาเถอะ เรากินข้าวกัน ยังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ อย่าเศร้าตามสิรีกันทั้งบ้านเลย เอาแรงไว้ประคับประคองกันดีกว่า"
แล้วสมรก็เริ่มต้นกินข้าว แต่งกริยาให้ปกติ อนงค์พยักหน้าให้ปริศนากินข้าว ทั้งหมดฝืนกินข้าวไป
สิรียังอยู่ในชุดเดิมเมื่อกลางวัน เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มาอย่างหนัก เธอลงมานั่งกับพื้น แล้วเอาหน้าซบกับที่นอน ยังร้องไห้เสียงดังอยู่
สมรเข้ามาในห้อง ถือจานข้าว มีถ้วยแกงและราดกับมาอย่างหนึ่ง กับแก้วน้ำ เอามาวางไว้ที่หัวเตียง
"สิรี มากินข้าวหน่อยลูก แม่กับน้องกินกันหมดแล้ว"
สิรีส่ายหน้ายังคงร้องไห้ต่อไป
สมรเดินไปลูบหลังสิรี
"สิรี มากินข้าวกินปลาก่อนไป แม่เอาข้าวมาให้แล้ว นะลูกนะ"
สิรียังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไป
สมรเสียงแข็งขึ้น
"สิรี... จะมัวเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนี้ไม่ได้นะ ดูแลตัวเองบ้าง จะปล่อยตัวให้เจ็บให้ไข้ไป เพราะคนไม่มีค่าและไม่เห็นค่าของเราได้ยังไง"
สิรีเงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตาพยุงตัวขึ้นนั่งบนเตียงอีกครั้งและยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ระมัดระวังตัวน้ำกระฉอกหก แต่สิรีไม่สนใจ เธอยกมือปาดน้ำตา ใช้ผ้าเช็ดหน้าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีก ก่อนจะซบลงกับหมอน
สมรได้แต่ยืนดูอย่างสงสาร นั่งลงข้างเตียง ลูบหัวสิรีอย่างปลอบโยน
ปริศนานั่งมองรูปท่านชายอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ อนงค์เดินไปเดินมา มีเสียงสิรีร้องไห้ไกลๆ ลอดเข้ามา
"วันนี้จะได้นอนไหม" อนงค์ว่า
"นอนไม่หลับแน่นอนเลย เจ็บใจแทนจริงๆ ไปรักทำไม ผู้ชายเลวๆแบบนี้"
"ก็ตอนที่รักยังไม่ได้เห็นความเลวนี่ เทียวรับเทียวส่ง เอาใจสิรีจะตาย"
"แต่เห็นจดหมายนั่นก็ต้องเลิกรักได้แล้ว เลวออกอย่างนั้น ร้องไห้มาตั้งแต่เย็น จนป่านนี้ ยังไม่เลิกร้อง"
"มันยังเสียใจไม่หายนี่นา" อนงค์บอก
"เสียใจทำไม กับคนที่ไม่ดีพอสำหรับความรักของเรา ต้องตัดใจให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราเป็นบ้าตาย แล้วมันก็จะหัวเราะซ้ำเติมเราได้อีก"
ปริศนาลุกขึ้นอย่างโมโห ยืนจ้องอนงค์
"ดูสิ พี่สาวฉัน สิรีร้องไห้อยู่ครึ่งวันแล้ว ไม่หยุดเลย นี่ถ้าเป็นอนงค์ คงเก็บจดหมายบ้าๆนั่นไว้แล้วนั่งน้ำตาตกอยู่คนเดียว ไม่ยอมให้ใครเห็น ทั้งบ้านไม่ต้องรู้เรื่องด้วย จริงไหม"
อนงค์เมินหน้าหลบ เดินออกไประเบียงเพื่อหลบสายตาปริศนา
ปริศนานึกถึงตัวเอง
"แต่ถ้าเป็นปริศนา ปริศนาคงเอะอะเหมือนกัน แต่คงไม่ร้องไห้เสียใจ แต่คงจะเอะอะให้คนรู้บ้างว่า เราก็ไม่เห็นค่าของเขาเหมือนกัน ปริศนาจะหายเร็วกว่าใคร สิรีเอง ก็คงจะหายได้เหมือนกัน แต่คงช้าหน่อย แต่สำหรับอนงค์ คงเจ็บใจอยู่จนตาย แต่ว่าเงียบอยู่คนเดียว ไม่แสดงให้ใครรู้ จริงไหม คนอย่างอนงค์ พลาดรักไม่ได้ เป็นอันขาด"
อนงค์หันกลับมาทันที
"ทำไมจะไม่ได้"
"ไม่ได้"
"เหตุผล"
"เยอะมาก พูดไม่หมดหรอก ขืนพูดให้ฟัง เดี๋ยวจะไม่ได้นอนกันซักคน"
แล้วปริศนาก็เดินไปปิดไฟห้องแล้วมุดเข้ามุ้งไป อนงค์รู้สึกว่า ปริศนาคงจะพูดถูกที่สุด
อนงค์เพิ่งรู้ใจตนเอง ว่า“คงจะเจ็บจนตาย”
สิรีนอนอยู่บนเตียง หลับไปแล้ว แต่ยังนอนในท่าร้องไห้อยู่ สมรจัดท่าให้สิรีอย่างเบามือ แล้วใช้แซ่โบกยุง ก่อนเอามุ้งลงให้ สมรดูแลให้เรียบร้อย แล้วเดินไปปิดไฟเดินออกจากห้องไป
สิรีนอนอยู่ในมุ้งในความมืดเป็นเงาดุจความระทมทุกข์ของตัวเธอ
วันรุ่งขึ้น เสมอขับรถมาจอดหน้าร้านนงลักษณ์ สายสร้อยลงจากรถ
"จะไปดูซิว่ามาทำงานรึเปล่า ถ้าได้รับจดหมายของพี่เสมอแล้ว ไม่น่าที่จะเอาหน้ามาร้านได้หรอก"
"พี่คอยในรถนะ"
สายสร้อยพยักหน้า แล้วก้าวฉับๆเข้าไปในร้านนงลักษณ์
"มารับเสื้อหรือคะ คุณสาย" นงลักษณ์ถาม
"ค่ะ เที่ยวนี้เสร็จทั้ง 3 ตัวหรือยัง"
"เรียบร้อยแค่ตัวเดียวค่ะ นึกว่าคุณสายจะมาปลายอาทิตย์ มาปลายอาทิตย์ล่ะก็จะได้ครบ 3 ตัว"
"วันนี้สิรีไม่มาหรือคะ"
"วันนี้ป่วยค่ะ ไม่มา"
"อ้าว ป่วยเป็นอะไรหรือคะ"
"ไม่ทราบเหมือนกัน ค่ะ บอกแต่ว่าป่วย"
"ใครบอกคะ สิรีบอกเองหรือ"
นงลักษณ์รู้สึกแปลกๆ
"น้องสาวค่ะ"
"ว่าแล้ว...."
นงลักษณ์มองสายสร้อย แล้วก็ไม่ต่อปากต่อคำ หันไปหยิบเสื้อที่ตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วจากตู้แขวน ลงมาจัดใส่ห่อให้
สายสร้อยพูดต่อ
"จะมาได้ยังไง ป่านนี้คงนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่กับบ้าน"
นงลักษณ์เงยหน้ามองเหมือนเตือนว่าไม่อยากฟัง
"น่าหัวเราะจริง ผู้หญิงอะไรรักผู้ชายอยู่ข้างเดียว ดึงดันจะเอาตัวเขาให้ได้"
นงลักษณ์เสียงเข้ม
"พูดถึงใครกันคะ"
"อ๊าว! ก็สิรีน่ะสิ ต๊าย นี่ไม่รู้หรอกรึว่าเขาเป็นอะไร ไปหัวหินด้วยกันไม่ใช่หรือคะ กลับจากหัวหิน สิรีก็บังคับให้พี่เสมอขึ้นไปลำปาง ไปขอให้พ่อแม่สู่ขอ"
คนในร้านมองตากัน
"แต่พ่อรู้ทันไม่ยอม บอกว่าคนจนๆจะเอาไปทำไมกัน เป็นเพียง ช่างตัดเสื้อ"
ช่างในร้านมองหน้ากัน ลมออกหูกันทั่วถ้วน
"อย่างพี่เสมอ ต้อง ได้ผู้หญิงรวยไม่น้อยกว่าคุณรตี หาไม่แล้ว พ่อจะตัดพี่เสมอ
ออกจากกองมรดก ยกให้พี่สันต์ไปแทน พี่เสมอเป็นลูกที่ดี ก็ว่าจะเลิกแล้ว แต่ยังไม่ได้ทันได้ติดต่อบอกเขาไป สิรีนี่แหละเขียนจดหมายมาทวง มาตาม 3 ฉบับ ....3 ฉบับเชียวนะคะ"
สายสร้อยส่ายหัวอย่างระอาเต็มทน
"ไร้ยางอายจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ นึกไม่ออกเลยเชียวหรือ ว่าผู้ชายน่ะเขาไม่เอาตัวแล้ว พี่เสมอถึงกับหัวเสีย ต้องเขียนจดหมายไปบอกเลิก สม..ป่านนี้น่าจะรู้สึกตัวได้แล้ว แต่คงจะเสียใจนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่แหละ ถึงได้ไม่มีแรงมาทำงาน"
นงลักษณ์ยืนนิ่ง ใจรุมๆอยากจะวิ่งไปหาสิรีเดี๋ยวนั้น
นิภาน้องของนงลักษณ์ที่เย็บเสื้ออยู่ในร้านด้วย หยิบเสื้อที่ทำค้างอยู่ แล้วดึงที่พับไว้ ยังเย็บต่อกันไม่เสร็จ แล้วเดินมาเอาห่อที่นงลักษณ์กำลังห่อค้างอยู่ เอามาวางข้างหน้าสายสร้อย
"นี่เสื้อของคุณ 3 ตัว ช่วยเอาไปเย็บต่อที่อื่นเถิดนะ ร้านเราไม่รับตัดเสื้อให้คุณแล้ว" นิภาบอก
พูดจบนิภากลับไปที่เดิม
สายสร้อยผงะไป แล้วหันขวับไปมองหน้านงลักษณ์
"ไม่รับทำให้แล้วค่ะ ขอเชิญไปร้านอื่นเลยค่ะ"
สายสร้อยสะบัดหน้า คว้ากองเสื้อเดินฉับๆออกไป นงลักษณ์ถลาไปที่โต๊ะทำงาน แล้วหยิบกระเป๋าออกมา
"ดูร้านต่อให้หน่อยนะ ฉันจะไปหาสิรีเดี๋ยวนี้เลย"
ทุกคนพยักหน้า
"พี่นงลักษณ์ ให้มันไปก่อน แล้วพี่ค่อยออกไป"
ทั้งหมดไปยืนดูที่หน้าร้าน รถของเสมอแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว โดยสายสร้อยนั่งหน้าเชิดไปด้วย
ภายในห้องโถงบ้านสุทธากุล ปริศนาอ้าปากค้าง ตกใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้าน เมื่อนงลักษณ์มาเล่าให้ฟัง
"ฮ้า... อะไรนะ ทำกันถึงอย่างนี้เชียวหรือ" ปริศนาว่า
อนงค์หน้าซีด สมรกลุ้มใจมาก และนงลักษณ์วิตกมาก
"เพราะอย่างนี้แหละค่ะ พอเขาไปแล้ว พี่ก็รีบเก็บของออกจากร้านมาเลย"
"ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะมีคนอย่างนี้อยู่ในโลก ทำความเดือดร้อนเจ็บปวดให้เขาแล้วยังไม่พอใจ ยังเอามาเที่ยวประจานอีก" อนงค์บอก
"ดีที่นิภาไหวทัน เอาเสื้อผ้าคืนไปหมดแล้ว เราไม่รับตัดเสื้อให้ยายคนนี้อีกแล้ว"
"อีตาเสมอจะว่ายังไง" ปริศนาว่า
"เขาเป็นคนขับรถพาน้องสาวมาที่ร้าน ปริศนาจะว่ายังไง"
"Oh! ระยำหมา น่าเตะจริง!"
สมรและอนงค์สะดุ้งเฮือก
"ตายแล้ว ปริศนา พูดจาหยาบคายจริง นี่ไปจำมาจากไหน"
"จากประวิชไงแม่"
"พอ พอแล้ว... เดี๋ยวแม่ขึ้นไปดูให้ ถ้าสิรีตื่นแล้วจะให้นงลักษณ์ขึ้นไปเยี่ยมนะ"
สมรลุกขึ้นไปข้างบน
ปริศนาบอก
"วันนี้เขาดีขึ้นค่ะ นอนซึมน้ำตาไหลอยู่เฉยๆ เมื่อคืนร้องไห้โฮ จนพวกเรานอนกันไม่ได้"
"โธ่เอ๊ย...สิรี" นงลักษณ์อุทาน
สิรีลุกขึ้นจากเตียง หน้าตาหม่นหมอง เสื้อผ้าและผมเผ้าดูยับเยิน ไม่ได้ดูแลตัวเอง
เธอเดินผ่านหน้าแม่และนงลักษณ์ไปนั่งดูสภาพตัวเองที่หน้ากระจก
"ไม่เป็นไรหรอก นงลักษณ์ เราไม่ได้เป็นอะไร พรุ่งนี้ จะกลับไปทำงานเหมือนเดิม อะไรที่เกิดขึ้น ฉันจะลืมมันให้หมด"
"ถึงฉันจะห่วงงาน แต่ห่วงสิรีมากกว่า ไว้สบายใจดีเมื่อไหร่ค่อยกลับไปทำงานก็ได้"
สิรีจับมือนงลักษณ์อย่างขอร้อง
"นงลักษณ์ อย่าให้ฉันว่างนักเลย พรุ่งนี้แหละที่จะกลับไปทำงาน ฉันสัญญา"
นงลักษณ์มองสมรอย่างหารือ
"ไปทำงานก็ดี ชีวิตเราจะได้ดำเนินไปอย่างปกติ อย่าต้องมาสะดุดอะไรเลย สิรีอยากไปทำงานแม่ก็สนับสนุน"
"ตกลง สิรี กลับไปทำงาน"
นงลักษณ์ตบหลังมือสิรีอย่างซึ้งในสปิริต
เช้าวันใหม่ ปริศนาขับรถมาจอดที่หน้าร้านเพื่อส่งสิรีทำงาน สิรียังมีหน้าตาซีดเซียว จากการร้องไห้หนักมา 2 วันเต็มๆ
ปริศนาลงจากรถมาเปิดประตูรถฝั่งสิรีอย่างเอาใจ
"ขอให้สิรีเข้มแข็ง และตั้งใจทำงานนะ"
"ขอบใจ ปริศนา มารับตอนเย็นเหมือนเคยนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชีวิตพี่ได้"
"จริง สิรี เราต้องก้าวต่อไปข้างหน้า ชีวิตของเราเป็นของเรา เราต้องดูแลมันให้ดี อย่ายอมให้เสียหายไปเพราะคนอื่น"
"โดยเฉพาะ คนที่ไม่เห็นค่าของเรา"
สิรีน้ำตารื้นขึ้นมาอีก แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้นอย่างทระนง
"ไม่มีวัน"
ปริศนาจับแขนสิรีอย่างให้กำลังใจ
"อย่ายอมแพ้ สิรี"
"ขอบใจ ปริศนา"
สิรีหมุนตัวเดินเข้าไปสู่ร้าน
ปริศนาพึมพำเบาๆ
"ขอให้โชคดี สีรี"
แล้วปริศนาก็เดินไปที่นั่งคนขับ ขับรถออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภายในร้านนงลักษณ์ เวลาต่อเนื่องมา
"สิรี มาแล้วหรือ"
"งานที่ค้างอยู่ อยู่ไหนแล้ว"
"ให้นิภา กับนภา ต่อจนจบไปแล้ว สิรีตั้งต้นใหม่ของคุณหญิงประสพฯ เลย"
นงลักษณ์ไปรื้อผ้า ที่กลัดกระดาษ แบบ จากในตู้มาส่งให้สิรี
สิรีหยิบเล่มวัดตัวมาเปิดดูอย่างชำนาญ แล้วเอาผ้าคลี่ลงบนโต๊ะ พอสิรีเงยหน้าขึ้นก็สะดุ้งเหมือนเข็มแทงใจ เพราะเห็นเสมอ และสายสร้อยกำลังลงจากรถ และเดินก้าวเข้าบนฟุตปาธ
สิรีตกใจมากหวาดหวั่นว่า ทั้งคู่จะเข้ามาในร้าน เธอหันหลังให้ประตูร้านทันที แล้วยืนพิงโต๊ะตัดผ้าเอาไว้ เกรงว่าตัวเองจะล้มลงไป คนในร้านรู้สึกได้ถึงกริยาของสิรี ก็หันมามองตาเดียวกัน
"สิรี สิรี เป็นอะไรไปหรือเปล่า" สิรีถาม
สิรีก้มหน้ากลัวว่า เสมอจะเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วตัวเองจะกรี๊ดเอากรรไกรเสียบอกเขา จึงตัวสั่นกับความคิดของตน
สิรีสั่นหัว ไม่กล้ามองไปทางหน้าร้าน
นงลักษณ์เข้ามาจับตัวสิรี จึงเห็นภาพของเสมอที่ยืนอยู่หน้าร้าน เขาหัวเราะกับน้องสาว แล้วเดินเฉียงไปทางอื่น
นงลักษณ์กอดสิรีเอาไว้
"สิรี ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ ไอ้นั่น มันไม่กล้าเข้ามาหรอก ไม่มีอะไรต่อกันแล้ว"
สิรีส่ายหน้า ทรุดตัวลงนั่งกุมหัว น้ำตารินออกมาอีก
"ฉันเจ็บใจตัวเอง ฉันว่าจะเข้มแข็งแล้ว จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรได้แล้ว แต่..."
"ไม่เป็นไรแล้วสิรี"
"ถ้าเขาเข้ามา นงลักษณ์ ฉันเห็นตัวเองหยิบกรรไกรเข้าไปแทงเขา"
ทั้งร้านอึ้งตกใจกับความคิดของสิรี
"ไม่จ้ะ สิรี ไม่ ฉันไม่ยอมให้ใครที่หวังทำร้ายเรา เข้ามาใกล้สิรีเป็นอันขาด"
แต่สิรีน้ำตายังรินลงมาไม่ได้ขาด
เวลาต่อมา ที่บ้านสุทธากุล สิรีทำท่ารื่นเริง แต่ในใจยังเจ็บปวด และเศร้าสร้อยอยู่
"ขอตัวไปผลัดเสื้อผ้านะ เดี๋ยวจะพานงลักษณ์ไปดูบ้านข้างหลังนี่"
"จ้ะ"
"แล้วอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ นงลักษณ์"
"ดีจริง อีกหน่อย ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว คงต้องผูกปิ่นโตกับคุณน้า แน่นอน"
"เอาสิ"
สิรีเดินขึ้นไปข้างบนแล้ว นงลักษณ์หันมาหาสมร
"คุณน้าขา....หลานเป็นห่วงสิรีจริงๆ"
"สิรีทำงานเสียหายหรือจ๊ะ"
"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นเรื่องจิตใจของสิรีเอง"
"สิรีทำท่าเหมือนมีความสุข แต่ข้างในไม่มีความสุขเลย" ปริศนาบอก
"ใช่"
"สิรีบอกว่าอยู่บ้านไม่ได้ อยากไปทำงานจะได้สบายใจขึ้น" สมรบอก
"แต่...ทางโน้นค่ะ มันเลวเหลือเกิน"
"มันทำอะไร สิรีหรือคะนงลักษณ์" ปริศนาถาม
"ไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ แค่กรายไปมาหน้าร้านทั้งพี่ทั้งน้อง พี่ว่ามันตั้งใจ มากวนใจสิรี"
"แล้วสิรีเป็นยังไงบ้างคะ"
นงลักษณ์ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
"เหมือนเขารู้ว่าสิรีเป็นคนยังไง รู้ว่าแค่เดินผ่านมายั่วก็ทำให้สิรีแทบคลั่ง"
ทั้งปริศนา และสมรคาดไม่ถึง
"มันขยันมาเสียด้วยค่ะ มาไม่เลือกเวลา แล้วต้องทำท่ากรายมาแถวหน้าร้าน มันกล้าเข้ามาหรอกค่ะ หลานรู้ แต่มันกวนโมโหยั่วประสาทสิรีได้ตลอดเวลา"
"มาบ่อยไหมคะ"
"อาทิตย์นี้ มา 3 ครั้งแล้วค่ะ จะต้องเอารถมาจอดแถวหน้าร้าน ลงมาแล้วสิรี ก็จะต้องคอยว่า เมื่อไหร่มันจะผ่านกลับมา เส้นกระตุกตลอดเวลา"
"ตายจริง… ถึงอย่างนั้นเชียวหรือ ทำกันจนเป็นอย่างนี้ยังไม่พอใจอีกหรือ จะทำให้ถึงไหนกัน"
"อีตาบ้า... ให้ปริศนาพบสักทีเถิด จะว่าให้เจ็บทีเดียว เกลียดจริง ไอ้ผีทะเล ขอให้ตกนรก"
สมรมองปริศนาอย่างตำหนิ
"ปริศนา! นี่ก็จำประวิชมาอีกแล้วสิ"
"โอย! คนอย่างนั้นอย่าไปยุ่งด้วยเลยปริศนา ห่างไปไกลๆเลยจะดีกว่า ต้องไปให้ไกลที่สุดเลย ไม่ต้องเห็นกันได้จะยิ่งดี"
"นงลักษณ์ หมายถึงสิรีใช่ไหมจ๊ะ"
"เห็นอยู่ว่ามันเล่นกวนประสาท อย่างนี้สิรีก็ตัดขาดยากมาก แต่หากไม่ต้องเห็นเลย จนตัดใจได้แล้ว เห็นว่ามันจะทำอะไรสิรีไม่ได้อีกต่อไป"
"จริง"
"ต้องไปจากกรุงเทพฯ เสียเลยทีเดียวค่ะ"
"จะไปหัวหินอีกรึ... ก็เพิ่งกลับมา ปริศนาก็กำลังจะเปิดเทอมอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว"
"แม่ ... ให้สิรีไปอยู่กับอุบล ที่เมืองจันทร์สิ เผื่อจะได้ช่วยดูแลอุบลด้วยที่เขาจะมีลูกคนใหม่"
"จริงสินะ ไปที่เมืองจันทร์ก็ดีอยู่อย่าง ไม่ต้องมีกำหนดกลับ สบายใจเมื่อไหร่ค่อยกลับมา"
"ดีค่ะ แล้วไปอยู่กับพี่น้อง มีเรื่องต้องช่วยกัน ต้องช่วยเลี้ยงหลาน คุณศักดิ์เองก็เป็นคนมีอารมณ์ขัน คงช่วยสิรีได้"
"เดี๋ยวจะต้องบอกสิรีให้เตรียมตัว แล้วจะได้จัดการเรื่องเดินทาง แล้วโทรเลขบอกอุบล อุบลคงแปลกใจพิลึก" สมรบอก
"แต่อุบล และคุณศักดิ์คงเข้าใจได้ และพร้อมที่จะช่วยสิรีนะคะแม่"
บริเวณที่นั่งเล่นในสวนหลังบ้าน ยามเย็น อนงค์จัดเป็นโต๊ะน้ำชาเล็กๆ แบบบุฟเฟต์ และมีโต๊ะที่นั่งรับประทานใกล้ๆกัน
สิรีเพิ่งได้รับการแจ้งจากมารดา เรื่องจะให้ไปเมืองจันท์ ขณะที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะขนม
"ไม่เอาค่ะแม่ ไปทำไมคะ เมืองจันท์ ตั้งไกล"
"ไปพักผ่อนให้สบายใจไงสิรี ถือว่าไปเที่ยว อยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับมา" สมรบอก
"ตอนที่ไปเรือกับท่านชาย เสียดายจริง สิรีไม่ได้ไป นั่งไปถึงเกาะสีชังนั่น ท่านชายรับสั่งว่า เดินทางไปอีกวันเดียวก็ถึงเมืองจันท์ที่อุบลอยู่แล้ว เที่ยวนี้สิรีไป ทางเดียวกับที่ปริศนาไปทางเรือเลย"
นงลักษณ์บอก
"ไปเถอะสิรี เมืองจันท์อากาศดี อาหารอร่อย สิรีจะได้อ้วนท้วนกลับมา"
"สิรีไม่อยากจะหนีหน้าไป ให้ใครๆมันเย้ยได้ว่า เป็นผู้แพ้"
"แพ้ไม่แพ้ ตัวเรารู้ดีลูก แต่การไปครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะ แต่เป็นเรื่องที่เราดูแลตัวเองให้ดีให้แข็งแรงต่างหาก" สมรบอก
"แล้วฝากสิรีเยี่ยมอุบล ดูแลอุบลแทนพวกเราด้วย อุบลคงดีใจที่สิรีไปเยี่ยมตอนที่เขากำลังท้องอย่างนี้"
"แล้วจะให้สิรีไปเมื่อไหร่คะ"
"เดินทางเสาร์นี้เลยจ้ะ พรุ่งนี้แม่จะไปโทรเลขถึงอุบล"
"เพราะฉะนั้น สิรีเริ่มจัดกระเป๋าได้เลย อย่าลืมเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วย"
"บ้าน่ะสิ บ้านอุบลไม่ได้อยู่ติดทะเลสักหน่อย"
ปริศนาหัวเราะ
สิรีก็เริ่มยิ้ม แม่กับนงลักษณ์สบตากัน เริ่มสบายใจ
วันใหม่ ณ สนามหน้าบ้านสุทธากุล สิรีแต่งชุดเดินทางเพื่อจะไปเมืองจันท์ ยายเตียง ก็แต่งชุดเดินทางด้วย ประวิชลงมาจากรถ ปริศนาเดินลงมารับ
"สิรี พร้อมหรือยัง" ประวิชถาม
"คอยอยู่แล้ว" ปริศนาบอก
"ปริศนาจะไปส่งสิรีด้วยไหม"
ปริศนาส่ายหน้า
"รถเต็มน่ะสิ ประวิช ไหนจะต้องขนของอีก แม่ไปส่งคนเดียวก็พอแล้ว ฝากประวิชด้วยนะ"
"ยินดีจ้ะ"
"แล้วกลับมากินข้าวด้วยกันนะคะ" อนงค์บอก
"ยินดีที่สุดเลยครับ คุณอนงค์"
จำเนียรช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบโตลงมา สิรีเองก็ถือกระเป๋าติดตัวใบใหญ่ ใส่หมวกเก๋
อนงค์ตามลงมาด้วย สมรลงมาและขึ้นรถประวิช แล้วแล่นออกไปจากบ้าน
อนงค์ และปริศนายืนโบกมืออยู่หน้าบ้าน
"ความรักนี่ให้สุขก็ได้ ให้ทุกข์อย่างแสนสาหัสก็ได้"
"ความรักแบบที่ต้องได้ดังใจ ไม่ได้ดังใจก็เสียใจ มันเป็นความรักที่แท้จริงอย่างนั้นหรืออนงค์ มันเป็นความเห็นแก่ตัวต่างหาก"
"จริง.... หากเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว เราจะต้องเสียสละ เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุขที่สุด เหมือนรักของแม่ยังไง ความสุขของแม่อยู่ที่ลูกเป็นสุข ความสุขของคนที่มีความรัก คือเห็นคนที่เรารักมีความสุข"
"รักอย่างนี้จึงจะเป็นรักที่แท้จริง ใช่ไหมอนงค์"
อนงค์พยักหน้า
"ถ้าได้รักอย่างแท้จริง ชีวิตคงไม่เป็นปัญหา"
ลุงช่วงวิ่งเหยาะๆมาหลังจากปิดประตูรั้วแล้ว
"จดหมายใครหรือ ลุงช่วง"
"ถึงคุณปริศนาขอรับ มาจากเชียงใหม่เชียว"
ลุงช่วงส่งจดหมายให้ปริศนา
"ใครอยู่เชียงใหม่หรือ" อนงค์ถาม
ปริศนามองจ่าหน้าซองจำลายมือได้ รู้สึกได้ถึงความสุขที่แผ่ซ่านไปทั่ว
"ท่านชายพจน์"
ปริศนาเดินมานั่งคนเดียว รู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับจดหมายจากหม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา
เธอค่อยๆฉีกจดหมายด้วยมือ แต่ระมัดระวังให้เรียบร้อย
ตัวหนังสือลายมือท่านชาย เขียนว่า
“เชียงใหม่
10/5/2484
ปริศนาที่รัก ฉันจะต้องออกเดินทางในครึ่งชั่วโมงนี้ เพราะฉะนั้น ไม่มีเวลาเขียนยาวๆ และเล่าเรื่องตลกๆให้ฟัง ทั้งๆที่มีเรื่องแปลกๆตลกมากมาย ฉันจะเก็บไว้เล่าให้เธอฟังเมื่อเวลาเราพบกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นในเร็ววันนี้
จดหมายนางงามสบู่ของเธอนั้น ฉันหัวเราะแทบตาย ถ้าเธอเคยเห็นหน้าตาของนายทรงชัย เศรษฐี จะยิ่งขันกว่าหลายเท่า
เรื่องของน้องหญิงนั้น เธอจงจัดการตามที่เห็นชอบ ฉันยกให้เป็นหน้าที่ของเธอนานแล้ว นึกเสียว่า แกเป็นน้องของเธอก็แล้วกัน
ฉันได้พบแอชลี่ ยังพระเอกตามเคย เดี๋ยวนี้ได้งานทำอยู่ที่ย่างกุ้ง พอรู้ว่าฉันอยู่เชียงใหม่สู้ลางานมาหา ได้อยู่ด้วยกันถึง 2 วัน เดี๋ยวนี้กลับไปแล้ว ว่ากำลังพยายามเต็มที่ที่จะให้ทางบริษัทส่งตัวมากรุงเทพฯ เพราะอยากอยู่ใกล้ๆเธอ ฟังๆดู รู้สึกคลั่งเธอเอามาก เธอไปทำอะไรเขาน่ะ ปริศนา? แล้วทำใครอีกบ้าง?
ไม่มีเวลาเขียนอีกแล้ว ลาก่อนปริศนา ฉันคิดถึงเธอเสมอ
พจน์ ปรีชา"
ปริศนาเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างมีความสุขมาก จนถึงหัวเราะออกมา แล้วบรรจงพับจดหมายเก็บใส่กระเป๋า
ปริศนานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน แล้วมองสบตากับท่านชายในกรอบรูปที่อยู่ที่โต๊ะ เธอยิ้มกับรูปของท่านชายตรงหน้า
เสียงรถประวิชเข้ามาในบ้าน
ปริศนาเอาจดหมายของท่านชายใส่กล่องโลหะ แล้วเอากล่องนั้นวางไว้หน้ารูปท่านชาย กริยาคล้ายฝากไว้
อนงค์โผล่หน้าเข้ามาในห้อง
"ปริศนา มาอยู่ข้างบนนี่ทำไม แม่กลับมาแล้วล่ะ"
"กำลังคิดอยู่ว่า จะต้องเอารูปท่านชายไปใส่กรอบแล้วน่ะสิ ท่านจะเสด็จกลับมาแล้ว"
ปริศนาวิ่งลงไปข้างล่าง
อนงค์กลับเป็นเดินตามปริศนาลงไป
ผ่านเวลาประวิช นั่งเล่นกับวูปี้อยู่ในห้องโถง ปริศนาเดินออกมาจากในครัวสวมผ้ากันเปื้อนออกมาด้วย
"ประวิช มาช่วยเช็ดจานหน่อยสิ อย่ามัวเล่นกับวูปี้อยู่"
สมรเดินตามออกมาจากในครัว
"ปริศนา เวรเราทำงาน ทำไมถึงไปใช้คุณประวิชเขาล่ะ"
"ก็เขาอยู่ว่างๆนี่คะ เล่นกับหมาอยู่เสียเวลา กินข้าวเสร็จแล้ว มาช่วยกันทำงาน หรือว่าประวิชอยากช่วยอาบน้ำวูปี้"
"เช็ดจานดีกว่า ไม่อาบน้ำวูปี้ ไม่ชอบ"
ประวิชพับแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินเข้าไปในห้องอาหาร
ปริศนายกตั้งจานชามที่ใช้กินข้าวกลางวันเมื่อสักครู่มาวาง แล้วส่งผ้าเช็ดจานให้ประวิช 1 ผืน ของตนเอง 1 ผืน แล้วช่วยกันเช็ด แล้วเอาจานที่เช็ดแห้งแล้วใส่ตั้งวางไว้ด้วยกัน
"ท่านชายจะเสด็จกลับมาพรุ่งนี้แล้ว" ประวิชบอก
"เรอะ! ท่านชายเขียนจดหมายมาบอกหรือ"
"เปล่า โทรเลขเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง คุณป้าเลยยุ่งจัดอะไรต่ออะไร ท่านหญิงก็จะเด็จโรงเรียนพรุ่งนี้ ของก็ยังจัดไม่เสร็จ ยุ่งกันนัก ประวิชรำคาญ เลยมาอยู่ที่นี่ไงล่ะ"
"ออ ดี หนีเรื่องยุ่งมา แปลว่ายังไม่กลับเร็ว แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรดี ไม่อาบน้ำวูปี้หรือ"
"ไม่ ไม่เด็ดขาด ถ้าไม่อาบน้ำวูปี้ ปริศนาจะทำอะไร"
"ก็คงอ่านหนังสือ ดูตำราสิ จะเปิดเทอมแล้วก็ต้องเตรียมสอน"
"อย่างนั้น ประวิชก็จะอ่านหนังสือเหมือนปริศนา"
"ปริศนา มี Life กับ Geographic ฉบับใหม่มา ประวิช อ่านได้"
"ตกลง"
เช็ดชามเสร็จ ปริศนาวางผ้าไว้บนโต๊ะแล้วจะถอดผ้ากันเปื้อน ประวิชก็เข้ามาช่วยถอดให้ ปริศนาเสยผมให้เข้ารูป แล้วก็ยิ้มให้ประวิช
"ขอบใจประวิชมาก"
ประวิชมองปริศนาอย่างหลงใหล
"ปริศนาสวยจัง ประวิชรักจะตายอยู่แล้ว"
"เฮ่ย อย่าบ้าน่ะ...ช่วยยกจานไปเก็บเถอะ ถือดีๆนะ ระวังแตก"
ปริศนาส่งตั้งจานให้ประวิชช่วยถือแล้วเดินนำไปใน ประวิชเงิบไป เสียใจว่าปริศนาไม่รับมุขเขาเลย ได้แต่มองตามปริศนาตาละห้อย
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 11 (ต่อ)
วันรุ่งขึ้น ภายในร้านกรอบรูป ภาพของท่านชายที่ปริศนาวาดไว้ถูกใส่กรอบเรียบร้อย เป็นกรอบไม้เรียบๆ แต่ดูดี
เจ้าของร้าน เอาผ้าปิดด้านหน้ารูปแล้ววางลงบนกระดาษสีน้ำตาล และผูกเชือกเรียบร้อย ส่งให้ปริศนาถือ
ปริศนาเดินออกจากร้านกรอบรูปไป
ปริศนาเดินถือรูปในห่อกระดาษสีน้ำตาลอย่างระมัดระวัง เดินบนฟุตปาธ จนถึงรถของตน ก็ไขกุญแจรถ เปิดประตูด้านหน้า แล้วเอารูปวางตั้งไว้ก่อน
เปิดล็อกประตูด้านหลัง แล้วเอารูปไปวางตั้งไว้อย่างทะนุถนอมที่นั่งด้านหลังคนขับ เอาห่อของพวกห่อผ้าที่วางไว้บนเบาะอยู่ก่อนแล้ว วางกั้นไม่ให้รูปล้มลงมา
พอปริศนาถอยออกมาแล้วปิดประตูรถ รถของท่านชายก็ผ่านมาจากทางด้านหลัง
ท่านชายหยุดรถตรงที่ปริศนายืนอยู่นิดนึง
"ฮัลโหล"
ปริศนาตะลึงด้วยความยินดี
ปริศนาเดินตามรถท่านชายแล้วมายืนอยู่หน้ารถของตนเอง บนฟุตปาธเมื่อเห็นท่านชายพจน์เบนรถเข้าจอด
ท่านชายพจน์ลงมาจากรถ รีบเดินมาหา ปริศนายื่นมือให้ท่านชายจับ
"มาถึงเมื่อไหร่เพคะ ท่านชาย"
"เมื่อเช้านี้เอง ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะไปหาเธออยู่ แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้"
"คอยแม่เพคะ แม่มาทำผม เอ...วันอาทิตย์ มีรถเชียงใหม่ด้วยหรือเพคะ"
"ไม่มีหรอก ฉันมาตั้งแต่เมื่อวาน ลงค้างที่อยุธยาคืนหนึ่ง และออกมายังมืดอยู่เลย มาเช้าที่กรุงเทพฯ ...ไง เธอสบายดีหรือ"
"สบายดีเพคะ ท่านชายก็ดูสบายดีเหมือนกัน อ้อ.... นี่เพคะ ปริศนาตั้งใจถวายให้ท่านชาย"
ปริศนาเดินกลับไปที่รถ หยิบห่อรูปนั้นมาส่งให้ท่านชาย
"อะไรหรือ"
"รูป... ที่วาดที่ริมทะเลหัวหินยังไงล่ะเพคะ ปริศนาเพิ่งทำกรอบใส่เสร็จ สวยมากเพคะ เพิ่งเอามาจากร้านเดี๋ยวนี้เอง"
ท่านชายพจน์รับมาถือไว้
"ฉันก็มีของมาฝากเธอเยอะแยะเหมือนกัน พรุ่งนี้จะไปหาที่บ้าน อย่าไปไหนเสียล่ะ"
ปริศนายิ้มหวานให้
"ไม่ไปไหนเพคะ กลับจากโรงเรียนแล้วจะคอยอยู่ทีเดียว"
ท่านชายพจน์มองยิ้มของปริศนาอย่างลืมตัว
"พรุ่งนี้เย็นพบกัน มีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย ลาก่อน"
ท่านชายพจน์ยกมือลา แล้วเดินถอยไปสองสามก้าวก่อนหันหลังเดินไปที่รถ
ปริศนายกมือรับ แล้วมองท่านชายเดินจากไป เหมือนใจลอยตาม แล้วหมุนตัวกลับมาที่รถ
"พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้"
ปริศนา มีความฝัน และมีความหวัง ยิ้มอย่างเป็นสุข ขึ้นมานั่งตรงที่คนขับ
เวลาต่อเนื่องมา ปริศนาขับรถเข้ามาจอดในบ้าน อนงค์และสมร ผมสวยเพิ่งเซ็ทมา ลงจากรถ ทั้งสามช่วยกันถือของลงจากรถขึ้นไปบนบ้าน โดยสมรเดินขึ้นไปก่อน ปริศนา อยู่รั้งท้ายดูแลว่าขนของขึ้นไปหมดแล้ว
พอสมรก้าวเข้าไปในบ้าน ก็โวยขึ้น
"ตายจริง ใครปล่อยวูปี้ ให้ไปเล่นโคลนเนี่ย ย่ำบ้านเลอะไปหมดแล้วปริศนา"
บนพื้นบ้าน เป็นรอยเท้าสุนัขเปื้อนดินเป็นทางยาว ปริศนามองดูรอยเท้านั้นอยู่ อนงค์เดินหลีกไป พยายามไม่เหยียบไปบนรอยนั้น แต่เอาของเข้าไปวางในห้อง ปริศนาเองก็เช่นกัน
"ไม่เป็นไรค่ะแม่ ปริศนาเช็ดเอง"
ปริศนาหันหน้าออกไปเรียกช่วงที่มายืนอยู่หน้าบ้านว่าจะช่วยอะไรได้หรือไม่ เพราะสมรโวยเสียงดัง
"ลุงช่วงไปหาเจ้าวูปี้ทีว่าอยู่ที่ไหน ผูกมันให้หน่อยประเดี๋ยวปริศนาจะไปอาบน้ำให้มัน เอง"
ช่วงรับคำแล้วกลับออกไป ปริศนาหันไปยิ้มกับสมร และอนงค์
"เปลี่ยนเสื้อแป๊บเดียวค่ะ"
แล้วปริศนาก็วิ่งขึ้นข้างบนไป
"เออ ดีนะ ไม่ต้องเตือนซ้ำ วันนี้ปริศนาน่ารักจัง เดี๋ยวจะต้องดูว่าเช็ดบ้านสะอาดไหม เป็นเจ้าของหมา ก็ต้องรับผิดชอบหมา จริงไหม" สมรบอก
"จริงค่ะ" อนงค์ว่า
"น่าเบื่อจริง ไปทำผมร้านมาแล้วต้องเข้าครัวนี่ อย่าลืมคลุมผมนะลูก"
อนงค์ยิ้มรับ
อนงค์เดินเข้าเดินออกระหว่างห้องกินข้าวกับห้องครัวเพื่อจัดโต๊ะ เปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแล้ว โพกผ้าคลุมผม ปริศนานุ่งกางเกงขาสั้นและใส่เสื้อเก่า มีถังน้ำเหล็กและผ้าขี้ริ้วหิ้วติดมือมาด้วย ส่วนสมรก็เปลี่ยนชุดอยู่กับบ้านแล้วเช่นกัน
ปริศนา เช็ดรอยเท้าหมาและซักผ้าไปเรื่อยๆ สมรมองดูอย่างทึ่ง
ช่วงเปิดประตูบ้าน รถประวิชแล่นเข้ามาจอด เขาลงจากรถอย่างอารมณ์ดีใจ อยากจะมาทำความเข้าใจกับปริศนาเสียวันนี้ แล้วเดินขึ้นบ้านไป
ปริศนาเปลี่ยนชุดแล้ว นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอนอยู่ที่โถง แต่ดูเหมือนใจลอย ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ และไม่ได้สนใจการมาของประวิช สมรโผล่ออกจากห้องกินข้าว มาต้อนรับ
"พ่อประวิช ไปไหนมา"
"ตั้งใจมาชวนปริศนาไปเดินเล่นครับ"
"แล้วกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันนะ"
"แหมดีจริง วันนี้อนงค์ทำอะไรครับ"
"ยำใหญ่ กับไก่ทอดของโปรดประวิชเลยเชียว"
"ผมอยู่กินข้าวด้วยแน่นอนเลยครับ" ก่อนหันไปหาปริศนา "ไป ปริศนาไปเดินเล่นกัน"
"โอเค"
ปริศนาปิดหนังสือ แล้วลุกขึ้นเดินตามประวิชไปอย่างว่าง่ายไม่คิดอะไร
ปริศนาเดินตามประวิชไปทางหน้าบ้าน เธอสวมรองเท้า กีฬาเพื่อให้เดินสบาย และเดินผ่านนายช่วงที่จูงวูปี้มาให้ เพราะคิดว่าปริศนาจะเอาวูปี้ไปเดินเล่นด้วย
แต่ปริศนาเหมือนใจลอยเดินผ่านไป ไม่เห็นทั้งวูปี้ทั้งช่วง ช่วงได้แต่ตบหลังวูปี้
"อ้าว คุณปริศนา ไม่เอาแกไปเที่ยวด้วยแล้วล่ะ วูปี้ อุตส่าห์อาบน้ำเสียสวยทีเดียว"
ช่วงยืนมองปริศนา
ประวิชและปริศนาเดินตามกันมาเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาแถวบ้านสุทธากุล เมื่อจวนใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน
"บ้านเมืองเรานี่อุดมสมบูรณ์จังนะ ปริศนา ดูสิ อาหาร สุดลูกหูลูกตา"
"ปริศนาชอบทุ่งนาสีเขียว เขียวสวยจริงๆ เขียวอ่อนแล้วก็เข้มขึ้นเป็นเขียวแก่แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีทอง พื้นดินนี่เหมือนกับเป็นผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่ธรรมชาติลงสีให้ทีเดียว"
ประวิชมองปริศนาอย่างซาบซึ้งในมุมมองอันโรแมนติกของเธอ
"ยืนตรงไหน ที่จะเห็นภาพงามที่สุด"
"ตรงนี้มัง มาดูสิประวิช เห็นต้นไม้ เห็นนา แล้วก็กองฟาง"
ประวิชมายืนข้างๆปริศนา มองปอย่างรู้ว่าจำเป็นต้องพูดออกไปแล้ว
"ปริศนา ที่ประวิชพูดเมื่อวานว่ารักปริศนา ประวิชพูดจริงๆนะ"
ปริศนาสะดุ้ง หันมามองประวิชอย่างประหลาดใจ
"อะไรน่ะประวิช พูดอะไรเรื่องนี้อีกแล้วหรือ"
"ปริศนา ฟังประวิชพูดนะ ประวิชรักปริศนามานานแล้ว"
ปริศนา เดินหนีทันที
"นั่นจะไปไหน ปริศนา ฟังประวิชพูดให้จบก่อนสิ"
ปริศนาปัดมือประวิชที่ยื่นเข้ามาและอุดหูตัวเองไปด้วย
"Oh no, no, please!ปริศนาไม่ชอบฟัง อย่าให้ปริศนาต้องฟังเลย อย่าพูด please"
ประวิชพยายามเดินตามมาดึงตัวปริศนา
"ไม่ได้ ปริศนายังไปไม่ได้ ต้องฟังประวิชพูดให้จบก่อน ไม่งั้นไม่ยอม ไม่ยอมได้ยินไหม"
ปริศนาพยายามสะบัดแขนจากการเกาะกุมของประวิช
"ปล่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ อย่าทำบ้าอำนาจ บอกให้ปล่อย"
ประวิชไม่ยอมปล่อย แต่กลับดึงตัวปริศนาเข้ามาใกล้
ปริศนาชักกลัว จึงยอมอ่อนลง
"ประวิช ปริศนาไม่ได้หนีไปไหนนะ ยืนอยู่ตรงนี้ ประวิชจะพูดอะไร พูดไปทำไม ไม่กลัวเสีย friendship ของเราหรือ"
ประวิชปล่อยแขนปริศนา และปริศนาก็ยังยืนอยู่หน้าประวิช
"ปริศนาฟังบ้างไหม ว่าประวิชรักปริศนาจริงๆ"
"แล้วประวิชเล่าฟังบ้างไหม ว่าปริศนาไม่นับประวิชเป็นอย่างอื่น นอกจากเพื่อน! ถ้าประวิชเป็นเพื่อนที่ดีของปริศนาไม่ได้ ประวิชก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านของปริศนาอีก"
"ปริศนา! ทำไม ล่ะ ทำไม!"
"ประวิชคิดไปเอง พูดไปเอง มันไม่จริง กลับไปคิดใหม่ เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เราคุยกันได้ทุกเรื่องเล่นเทนนิสด้วยกันได้ ไปปาร์ตี้ด้วยกัน"
"ปริศนา ประวิชกำลังจะขอปริศนาแต่งงานนะ"
"ไม่.... ไม่มีวัน ประวิชไปคิดใหม่เลย อย่ามาพูดอย่างนี้อีก ถ้าจะพูดอย่างนี้อีก เราไม่ต้องพบกัน ไม่ต้องคบกัน จบ จบเลย กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกแล้ว ประวิช ปริศนาจะกลับบ้านแล้ว ไปรีบกลับบ้านเลย"
แล้วปริศนาก็หันหลังกลับไปทางเดิม และเดินเร็วๆมุ่งไปทางบ้าน ประวิชเดินตามอย่างไม่พอใจเลย
ปริศนาเดินเข้ามานั่งหน้าประตูและถอดรองเท้าที่สวมอยู่ สมรเดินออกมาจากห้องกินข้าวเพราะเตรียมอาหารให้
เสียงสตาร์ทรถ และรถแล่นออกไป
"อ้าว.... นั่นพ่อประวิชเขาจะไปไหน" สมรถาม
"กลับไปแล้วค่ะ"
"อ้าว...ก็ไหนว่าจะกินข้าวด้วยกันยังไงล่ะ"
"ไปแล้วค่ะ แล้วไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกหรือเปล่า"
สมรเริ่มซีเรียส
"เกิดอะไรขึ้นล่ะ"
ปริศนาถอนหายใจเมินหน้าไปทางอื่นสักพัก ก่อนตัดสินใจหันมาหามารดาใหม่อีกครั้ง น้ำเสียงสะกดความไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยกับกริยาของประวิช
"ปริศนาบอกว่าไม่ให้เขามาอีกค่ะ จนกว่าเขาจะเปลี่ยนใจใหม่ อยู่ๆเขาก็บอกว่ารักปริศนา และขอแต่งงานด้วย"
สมรแปลกใจในท่าทีของปริศนา
"อะไรนะ ปริศนาบอกให้ประวิชเปลี่ยนใจ ไม่ช้าไปหน่อยหรือลูก"
"อะไรช้าคะ"
"ก็ที่ลูกคบกับประวิชมา .... อย่าว่าแต่ประวิชเลยที่จะเข้าใจอย่างนั้น ใครๆก็เข้าใจเหมือนประวิชทั้งนั้น"
ปริศนาเสียงดัง
"อะไรนะคะแม่ เข้าใจว่าอะไร? โอ้ย... เป็นไปไม่ได้ ปริศนาไม่ได้คิดเรื่องจะแต่งงานกับประวิช We are friend ค่ะแม่"
สมรอึ้งไป
"ปริศนาพูดความจริง ปริศนาพูดตรงๆ ผิดด้วยหรือคะ"
"ทำไมปริศนาถึงว่า แต่งงานกับประวิชไม่ได้เป็นอันขาดล่ะจ๊ะ"
"ปริศนาไม่ได้รักประวิชค่ะเป็นข้อแรก ข้อต่อมาคือปริศนายังไงก็รักเขาไม่ได้ ข้อสามคือ เราไม่สมกัน"
"ทำไมถึงไม่สม"
"เราเป็นเพื่อนกันได้ แต่ปริศนาไม่นับถือประวิช แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร เราเป็นเพื่อนกัน ประวิชคอยมาฟังปริศนาสั่งทุกอย่าง แล้วปริศนาจะพึ่งเขาได้ยังไง"
สมรอึ้งไปอีกครั้ง
"เข้าใจผิดกันไปหมด ปริศนาผิดเองแหละค่ะ ที่ไม่ได้ระวัง เพราะเราไม่คิดก็เลยนึกว่าคนอื่นไม่คิดด้วย ต่อไปนี้ คงต้องระวังให้มากขึ้น บ้า... แย่จริง เข้าใจผิดกันไปหมดทีเดียว"
ปริศนาหัวเสีย เดินปึงๆขึ้นไปข้างบน สมรมองตามรู้สึกว่าปริศนาเป็นคนแปลกมากอยู่
กลางคืนต่อเนื่องมา อนงค์เดินมาที่หน้าห้องสมร และเคาะประตู
"ใครจ๊ะ"
"อนงค์ค่ะแม่"
"เข้ามาสิลูก"
อนงค์เปิดประตูเข้าไป
"มีอะไรหรืออนงค์"
"ลูกอยากทราบเรื่องปริศนากับคุณประวิชน่ะค่ะ ปริศนา บอกแต่ว่าประวิชจะไม่มาแล้ว"
สมรมองอนงค์นึกรู้ทันว่า คนที่แคร์ประวิชไม่มา น่าจะเป็นอนงค์มากกว่าคนอื่น
"แม่ก็ไม่รู้ว่าทางประวิช เขาจะคิดยังไง เขาจะมาหรือไม่มา แต่..."
"ปริศนา ทำไมถึงไม่ยอมรับรู้คะว่าประวิช....รักตัวเองจะตาย"
"น้อง มีเหตุผลของเขา ซึ่งแม่ก็เข้าใจว่าปริศนาคงจะรักประวิชไม่ได้"
"อ้าว... แล้วกัน คบหามากันถึงป่านนี้แล้วบอกว่ารักไม่ได้"
"เป็นเรื่องน่าประหลาดใจของทุกคน เรื่องความคิดของปริศนา แต่แม่ต้องยอมรับ ว่าความคิดของปริศนาถูกต้อง เราคิดไม่เหมือนกันกับแกเท่านั้น"
"โธ่... แล้วประวิชเล่าคะ จะเสียใจมากแค่ไหน"
"แม่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า ประวิชรักปริศนาจริงจังแค่ไหน แต่คงเสียหน้ามากอยู่เป็นแน่"
"โธ่ เอ๋ย"
"แม่ว่าปริศนาทำดีที่สุดแล้วในเรื่องนี้ และเหมาะสมที่จะบอกประวิชไปอย่างนั้น บอกด้วยความจริงใจ ปริศนาไม่ได้เกลียดประวิชหรอก ทุกวันนี้... ก็ยังรักประวิชอยู่ แต่รักอย่างเพื่อน ถ้าประวิชเข้าใจ ก็ยังเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ แต่นิสัยผู้ชายที่ชอบเอาชนะ อาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งเข้าไปอีก"
"จะเป็นอย่างไรคะ"
"แม่ไม่รู้หรอกอนงค์ เดาใจเขาไม่ถูก ขนาดลูกสาวแม่เอง แม่ยังคิดตามความคิดเขาไม่ทัน แม่เลยไม่อยากจะคาดเดาความคิดของคนอื่น แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะยึดตามความต้องการของปริศนาจนถึงที่สุด"
อนงค์ไม่สบายใจ
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชายืนอยู่หน้ารูปที่ปริศนาวาดให้ในห้องหนังสือ ซึ่งขณะนี้ รูปถูกติดไว้ที่ผนังห้องเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในมุมที่ท่านชายจะมองเห็นได้ชัดจากที่นั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ท่านชายถอยออกมามองอย่างชื่นชม
สนยืนอยู่ใกล้ห่อกระดาษสีน้ำตาล ในมือถือค้อน และมีหีบเหล็กใส่เครื่องมือช่างเล็กๆวางไว้กับพื้น
"เอาล่ะ ติดไว้ตรงนี้ดีแล้ว สนเก็บของไปได้ แล้วนี่ประวิช เขาอยู่ที่ไหน ตั้งแต่กลับมายังไม่เห็นเลย"
"คุณประวิช กลับมาตั้งแต่เย็น มาถึงก็ขึ้นไปบนห้อง ยังไม่ได้ออกมาเลย กระหม่อม"
"งั้นหรือ"
สนเก็บของ แล้วเดินออกไป
ท่านชายพจน์สงสัยเรื่องประวิช จึงเดินออกไปนอกห้องหนังสือตรงไปยังห้องนอนของประวิชห่างออกไป พอไปถึงท่านชายก็เคาะประตู
"ประวิช!"
ท่านชายเปิดประตูเข้าไป ไม่รอเสียงตอบ
อ่านต่อตอนที่ 12