บัลลังเมฆ ตอนที่ 23
ภายในห้องทำงานบ้านสมุทรเทวา ปานรุ้งคุยกับวาสุเทพอยู่ในนั้น ด้วยสีหน้าร้อนใจเหลือคณานับ
“คนของเกื้อบอกว่ายังไงนะคะพี่เทพ”
“คนของเกื้อบอกว่า เห็นผู้ชายคล้ายโดมขึ้นรถกลับกรุงเทพฯแล้ว”
“แล้วปานวาดล่ะคะ”
“คนของเกื้อไม่เห็น”
“ปานวาดต้องอยู่กับมัน ไอ้เลวนั่นรู้ว่าเรากำลังตามหามันกับปานวาด มันเลยพาปานวาดหนีเรา ถ้ามันกลับกรุงเทพฯ กติยาก็ต้องรู้เรื่อง”
กติยากับโดมลงจากรถที่จอดเทียบริมรั้ว แม่ลูกมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านสมุทรเทวา อันโอ่อ่า กติยามองคฤหาสน์ที่คุ้นเคยด้วยสายตาสะใจ ต่างจากโดมที่มองด้วยสายตาเจ็บปวด หวนคิดถึงปานวาดขึ้นมาอีก
“แม่รอเวลานี้มานาน วันที่ปานรุ้งได้รู้ว่าการสูญเสียคนที่มันรัก มันทรมานยังไง”
โดมสะดุดหูกับคำพูดนั้น เหลียวมองกติยาด้วยสายตาแปลกใจ
ปานรุ้งกับวาสุเทพออกจากห้องทำงาน เดินลงบันไดมายังโถงชั้นล่างอย่างร้อนใจ ปานรุ้งตะโกนเรียกหาน้อย
“น้อย สั่งคนเอารถออกเดี๋ยวนี้”
ปรกเดินเข้ามาเจอปานรุ้งกับวาสุเทพพอดี
“นายแม่จะไปไหนครับ”
“แม่จะไปหาแม่ไอ้โดม จะไปถามเรื่องปานวาดให้รู้เรื่อง”
จำปีซึ่งเป็นคนเปิดประตูเล็กหน้าบ้านให้ และเดินนำกติยาและโดมเข้ามาในห้องโถงพอดี
“ฉันอยู่นี่แล้วจ้ะรุ้ง”
ปานรุ้ง วาสุเทพ และปรก มองกติยาด้วยอาการชะงัก !!
“ยา” ปานรุ้งพุ่งทะยานไปหาโดมทันที “แกเอาลูกสาวฉันไปไว้ไหน”
กติยากระชากตัวปานรุ้ง แล้วผลักออกจากโดมสุดแรง วาสุเทพกับปรกช่วยกันประคองตัวปานรุ้งไว้
“ฉันมาที่นี่ เพื่อจะบอกว่าลูกสาวแกไม่ได้อยู่กับลูกฉัน” กติยาพูดใส่หน้า
วาสุเทพหันมาหาถามดีๆ กับโดม “โดม ถ้าวาดไม่ได้อยู่กับโดม แล้ววาดอยู่ไหน”
โดมมองวาสุเทพนิ่ง กติยาพูดกับวาสุเทพด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งเห็นปานรุ้งกับวาสุเทพทุรนทุราย ยิ่งมีความสุข
“ถ้าไม่อยากเสียคนที่รัก ก็อ้อนวอนสิคะพี่เทพ อ้อนวอนกราบกรานเหมือนอย่างที่ยาเลยทำ ตอนที่ยาขอร้องไม่ให้พี่เทพทิ้งยาไปหา นังปานรุ้ง”
โดมมองกติยาด้วยสายตาสงสัยมากขึ้น
“ทิ้ง”
กติยาไม่สนใจท่าทีโดม ยังคงพูดใส่ปานรุ้งกับวาสุเทพ
“เข้าใจรึยัง ว่าการต้องมองคนที่ตัวเองรักจากไป โดยที่ตัวเองรั้งเอาไว้ไม่ได้ มันเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดไหน”
วาสุเทพมองกติยาอย่างรู้สึกผิด
“แกจะแค้นบ้าแค้นบออะไรก็เรื่องของแก แต่ลูกฉันไม่เกี่ยว ถ้าจะแก้แค้น มาทำที่ฉันนี่”
“ฉันก็ทำอยู่นี่ไง แกทำให้ฉันตายทั้งเป็น ฉันก็กำลังทำให้แกตายทั้งเป็น” กติยาเดินมาเผชิญหน้ากับปานรุ้ง “ฉันยอมทนอุ้มท้องลูกฉัน อดทนเลี้ยงดูมาคนเดียว ก็เพื่อวันนี้ วันที่ให้ลูกของฉันล่อลูกแกไป และเป็นโชคดีของฉันที่ลูกแกมันร่านเหมือนแม่ มันยอมทิ้งพ่อทิ้งแม่ หนีตามผู้ชายเหมือนที่แม่มันทำ”
โดมรับฟังกติยาระบายเหตุผลที่เลี้ยงดูเขามา เพื่อเป็นเครื่องมือแก้แค้น ด้วยความเจ็บปวด
“ฉันสวดมนต์สาปแช่งแกทุกวัน ขอให้แกต้องเจอกับความทุกข์เหมือนอย่างที่ฉันเจอ แล้ววันนี้ฉันก็ทำสำเร็จ ลูกแกกำลังลงนรกไปพร้อมๆ กับอนาคตของมันไง” ปานรุ้งชะงัก กติยายิ้มสะใจ “กรรม มันกำลังตามสนองแกแล้วนังปานรุ้ง”
“ไม่ ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันต้องรับกรรมแทนฉัน”
ปานรุ้งพุ่งเข้าไปกระชากตัวกติยามาเค้นถาม
“บอกมานะว่าลูกฉันอยู่ไหน”
ยิ่งเห็นปานรุ้งสติแตก กติยายิ่งมีความสุข หัวเราะอย่างสะใจ
“อยากรู้ก็กราบฉันสิ กราบตีนฉัน”
วาสุเทพตะโกนก้อง อย่างเหลืออด “พอเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพราะพี่ พี่ผิดเอง”
ขาดคำ วาสุเทพคุกเข่าลงตรงหน้ากติยา
“คนที่ควรรับผิดชอบความผิดทั้งหมดควรเป็นพี่” วาสุเทพเงยหน้าสบตากับกติยาจังๆ “พี่ไม่คิดว่าสิ่งที่พี่ทำ มันจะทำร้ายยาและสร้างความโกรธแค้นให้ยาขนาดนี้ ถ้ายาอยากให้พี่กราบ พี่ก็จะกราบ ขอแค่บอกว่าลูกพี่อยู่ไหน อย่าเอาชีวิตลูกมาทรมานเพื่อแก้แค้นอย่างนี้เลย พี่ขอร้อง”
วาสุเทพพนมมือ ทำท่าเกือบจะก้มลงกราบกติยา ปานรุ้งทนดูไม่ได้ รีบห้าม
“ไม่ต้องค่ะพี่เทพ” ปานรุ้งแววตามองกติยาอย่างเจ็บปวด “เรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ้งกับกติยา”
เห็นปานรุ้งยอมคุกเข่าลง วาสุเทพ กับ ปรกชะงัก โดมมองปานรุ้งอย่างอึ้งๆ
“รุ้ง”
“นายแม่”
กติยามองปานรุ้งด้วยความสะใจ
“ถ้ามันจะช่วยลูกฉันได้ ฉันจะกราบเธอเอง”
ปานรุ้งก้มจะกราบ วาสุเทพ และปรกพยายามร้องทัดทาน
“รุ้ง”
“นายแม่”
โดมมองปานรุ้งที่ยอมกราบแม่เพื่อปานวาด ในขณะที่กติยาหัวเราะอย่างสะใจ โดมทนไม่ไหวแล้ว รีบพูดขึ้นก่อนที่ปานรุ้งจะกราบเท้ากติยา
“วาดยังอยู่ภูเก็ต”
ปานรุ้งชะงัก กติยาเหลียวขวับมามองโดมอย่างไม่พอใจ
“โดม”
โดมพูดต่อโดยไม่สนใจกติยา “เขาไม่ต้องการกลับมาที่นี่ เขามีความสุขที่นั่น มีคนมากมายคอยดูแลเขา เขาไม่ต้องการใครไปยุ่งกับเขาแล้ว แม้แต่ผม ถ้าท่านอยากให้เขามีความสุข ก็ปล่อยเขาไปเหมือนที่ผมทำ”
พูดจบ โดมก็เดินออกไปทันที
“โดม”
กติยาขัดใจรีบเดินตามลูกชายไป ปานรุ้งฟังโดมอย่างไม่อยากเชื่อ
โดมเดินหนีมาที่รถด้วยหัวใจอันปวดร้าวกับความจริงเรื่องแม่ลูกดูตนเพียงเพื่อมาแก้แค้นปานรุ้งกับวาสุเทพเท่านั้น กติยาเดินตามโดมมาด้วยท่าทางพร้อมจะคลั่ง ที่โดมไปบอกเรื่องปานวาดกับปานรุ้ง
“หยุดนะโดม”
โดมหยุดกึก หันมาหา “พ่อของปานวาดเป็นอะไรกับแม่”
กติยาชะงัก
“เขาเป็นคนที่แม่รัก แม่เจอเขาก่อนที่ปานรุ้งจะเจอ แม่แต่งงานกับเขาก่อนที่ปานรุ้งจะแต่งกับเขา ปานรุ้งแย่งเขาไปจากแม่”
“เพราะอย่างนี้ แม่ถึงให้ผมคบกับวาด เพื่อแก้แค้นเขา”
“มันไม่ใช่การแก้แค้นให้แม่คนเดียว แต่มันเป็นการแก้แค้นให้โดมด้วย นังปานรุ้งไม่ใช่แค่แย่งผัวแม่ไป แต่มันยังแย่งพ่อของลูกไปด้วย”
โดมชะงัก อึ้งหนัก อุทานออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“พ่อ”
ปานรุ้งกับวาสุเทพตามเข้ามา ทันได้ยินพอดี
“อะไรนะยา” วาสุเทพช็อก ตัวชา
กติยาหันมามองวาสุเทพ พอเห็นเขาเจ็บปวด เธอยิ่งมีความสุข พรั่งพรูบอกความจริงทั้งหมด
“ผู้ชายคนนี้คือพ่อของโดม” แล้วมองเลยไปทางปานรุ้งด้วยสายตาเกลียดชัง “นังปานรุ้งมันแย่งพ่อไป แม่ต้องเลี้ยงโดมมาคนเดียว โดมต้องกลายเป็นคนไม่มีพ่อ”
ได้ยินชัดๆ ทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ปานรุ้ง วาสุเทพ และ โดม ต่างคนต่างช็อก มองจ้องกติยาในท่าทีตะลึงตะไล
โดมระเบิดออกมา “ไม่จริง”
กติยาหันมาพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน “ลูกเคยบอกแม่ใช่มั้ยว่าอยากเห็นหน้าพ่อ” แล้วบอกกับวาสุเทพว่า “พี่เทพคะ นี่โดม ลูกของเราสองคนค่ะ” จากนั้นหันกลับมาหาโดม “กราบพ่อเค้าสิลูก”
โดนช็อก อึ้ง ตกตะลึงพรึงเพริด หันไปจ้องหน้าวาสุเทพช้าๆ
เช่นเดียวกันวาสุเทพมองหน้าโดม ในอาการช็อกสุดขีด
“แปลว่าแม่รู้ว่าผมกับวาดเป็นพี่น้องกัน แล้วแม่ก็ให้กับวาด…รักกันอย่างชู้สาว” โดมเจ็บปวดเหลือเกิน ไม่คิดว่าแม่แท้ๆจะใช้ตัวเองเป็น เครื่องมือแบบนี้ “แม่ทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไง”
“ก็เพื่อความสะใจไง โดมไม่สาแกใจเหรอ ที่เห็นผู้ชายที่ทิ้งเรากำลัง จะแดดิ้นตายอยู่ตรงหน้า ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“คนที่กำลังจะตายตรงหน้าแม่ ไม่ได้มีแค่เค้า แต่มันรวมถึงผมด้วย” โดมหันตัวจะเดินหนีไปทันที
“โดมจะไปไหนลูก”
โดมดุ่มเดินออกไป พูดโดยไม่หันมามอง
“อย่าตามผมมาครับแม่ ผมไม่มีความหมายอะไรสำหรับแม่อีกแล้ว ที่ผ่านมาแม่เลี้ยงผมเพราะต้องการใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นเค้ากับคุณปานรุ้ง ถือซะว่าผมทดแทนพระคุณที่แม่เลี้ยงผมมาหมดแล้วนะครับ”
“ไม่ลูก แม่รักลูกนะโดม อย่าทิ้งแม่ไป”
“แม่ไม่ได้รักผมหรอกครับ แม่รักความแค้นของแม่ต่างหาก” โดมวิ่งหนีไปทันที
“โดม กลับมาหาแม่...โดม”
กติยาจะวิ่งตามโดมไป แต่ถูกปานรุ้งกระชากไว้ไม่ให้ไป
“บอกฉันมานะว่าลูกฉันอยู่ไหน เธอทำได้ยังไงยา เธอเอาชีวิตลูกมาทำลายอย่างนี้ได้ยังไง”
กติยาหันไปหาปานรุ้ง ด่าด้วยสีหน้าสะใจ “แกโทษชั้นไม่ได้นะ ต้องโทษตัวแกที่สร้างบาปกรรมไว้ แล้วลูกก็รับผลกรรมนั้น ฉันเคยบอกแกแล้วว่าแกต้องเจ็บเพราะ คนที่แกรัก วันนี้แกก็เจ็บเพราะมีลูกใจแตก หนีตามผู้ชายไปขายตัว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ปานรุ้งสุดจะทนแล้ว
“ฉันจะฆ่าแก”
ปานรุ้งจะถลันเข้าไปทำร้ายกติยา วาสุเทพกับปรกเข้าไปห้าม รั้งตัวไว้
“อย่ารุ้ง”
ปานรุ้งไม่หยุด กระโจนเข้าไปจัดการกติยา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ สู้ตาย สองคน อดีตเพื่อนรัก ยื้อยุดฉุดกระชากตบตีถีบถองกันเป็นที่พัลวัน อย่างเอาเป็นเอาตาย
วาสุเทพกับปรกพยายามห้าม ปรกรั้งตัวปานรุ้งไว้ ส่วนวาสุเทพเข้าไปดึงตัวกติยาออกมา แต่กติยากำลังคลั่งถึงขีดสุด เรี่ยวแรงมหาศาล เธอหันไปผลักตัววาสุเทพออกอย่างรุนแรง จนวาสุเทพเสียหลัก เซถลาหงายหลังล้มลง ศีรษะวาสุเทพไปฟาดขั้นบันไดห้องโถง เต็มแรง น็อคสลบคาที่
ปรกตกใจสุดขีด “คุณพ่อ”
“พี่เทพ”
ปานรุ้งถลาเข้าไปประคองตัววาสุเทพ กติยามองวาสุเทพด้วยแววตาตื่นตระหนกตกใจ
ปานรุ้งรีบบอกปรก “ปรก รีบพาคุณพ่อไปโรงพยาบาลเร็ว”
“ยาไม่ได้ทำอะไรพี่ พี่ทำตัวพี่เอง”
กติยาละล่ำละลัก แล้วรีบวิ่งหนีตามโดมออกไป
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังเมฆ ตอนที่ 23 (ต่อ)
ภายในรถที่แล่นมาตามถนน สีหน้าของโดมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อน้องสาวคนละแม่ เขาขับรถมาด้วยความเร็วและแรงราวกับจะบิน ยิ่งคิดถึงปานวาดก็ยิ่งปวดร้าว
“วาด ผมขอโทษ ผมคือคนทำร้ายชีวิตคุณ รอผมก่อน ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
กติยานั่งรถแท็กซี่ตามมา แต่นั่งไม่ติดที่แล้ว เร่งคนขับรถแท็กซี่อย่างร้อนใจ
“ขับเร็วๆกว่านี้ไม่ได้รึไง”
“มันจะไปเร็วยังไงล่ะคุณ คุณไม่เห็นเหรอว่ามีรถมันชนกันข้างหน้า” คนขับมองไปข้างหน้า “รถเก๋งถูกรถสิบล้อชนอัดขนาดนั้น ท่าทางจะไม่รอด”
กติยามองไปข้างหน้าอย่างขัดใจ ควักเงินออกมาโยนให้คนขับ แล้วรีบลงจากรถทันที
รถติดเป็นแพบนท้องถนนเวลานี้ กติยาลงเดินตามถนน ชะเง้อมองหารถคันที่โดมขับหนีมา
“โดม”
มีรถหน่วยกู้ภัยวิ่งตัดหน้าไป กติยามองตามรถคันนั้น แล้วต้องชะงักกึก เมื่อเห็นรถยนต์คันที่ถูกรถสิบล้อชน เหมือนรถคันของตัวเอง
“ไม่จริง ไม่ใช่โดม”
กติยารีบเดินเข้าไปดู พยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่โดมหรอก
“ไม่ ต้องไม่ใช่โดม”
หน่วยกู้ภัยกำลังช่วยกันงัดร่างโดมออกมาจากซากรถ
กติยาเบียดไทยมุง เข้าไปดูคนที่ถูกชน
หน่วยกู้ภัยงัดร่างโดมออกมาจากซากรถได้พอดี กติยามองร่างโดมที่เต็มไปด้วยเลือดในอาการตกตะลึง และช็อค แต่ยังพยายามโกหกตัวเอง
“ไม่จริง ไม่ใช่โดม มันต้องไม่ใช่โดม” กติยากรีดร้องสุดเสียง “ไม่ใช่โดม...ไม่ใช่...”
กติยาผ่าไทยมุง ทะยานเข้าไปประคองร่างโดมมากอดแนบอก
“โดม...โดมต้องไม่เป็นอะไร โดมต้องอยู่กับแม่”
ในสภาพเลือดโทรมกาย ลมหายใจของโดมอ่อนล้าลงทุกที และขาดหายเป็นห้วงๆ แต่ชายหนุ่มยังพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี ขืนลืมตาเฮือกสุดท้ายมองกติยา
“แม่ แม่รักผมไหม”
“รักสิลูก แม่รักโดมที่สุด” กติการ้องไห้สะอึกสะอื้น
“ถ้ารักผม หยุดโกรธ หยุดเกลียดพ่อนะ”
“แต่พวกมันทำให้เราเจ็บ”
“คนที่ทำให้แม่เจ็บ คือตัวแม่เอง”
โดมพูดจบก็กระอักเลือดออกปาก
“โดม”
แววตาของโดมจดจ้องใบหน้ากติยาราวกับจารจำไปตลอดกาล แล้วสิ้นใจตายคาอ้อมกอดแม่ไป
กติยาใจจะขาดรอนๆ เขย่าตัวเรียกลูกเสียงดังโหยหวน “โดม อย่าทิ้งแม่ไป โดม”
หน่วยกู้ภัยจะเข้ามานำร่างโดมไปขึ้นรถ แต่กติยาไม่ยอมให้ ตวาดแว้ดใส่
“อย่ามาแตะต้องลูกฉัน ไม่เห็นเหรอว่าลูกฉันหลับอยู่” กติยากอดโดมไว้ “โดม โดมเจ็บตรงไหน เดี๋ยวแม่เป่าให้นะ” กติยาเป่าที่หัวโดมเบาๆ “เป็นยังไง ดีขึ้นแล้วใช่ไหมลูก” หัวเราะชอบใจ แล้วกอดโดมไว้ “โดมนอนไปนะ เดี๋ยวแม่ร้องเพลงกล่อมให้”
กติยาฮัมเพลงกล่อมโดมพร้อมกับกอดและโยกตัวโดมไปพร้อมจังหวะเพลง
รถพยาบาลที่เพิ่งออกมาจากบ้านสมุทรเทวา กำลังเคลื่อนผ่านจุดเกิดเหตุ
ภายในรถที่ปานรุ้งนั่งมาเคียงข้างวาสุเทพที่นอนหมดสติอยู่บนเปล ปรกนั่งข้างๆ กัน
ปานรุ้งมองออกไปทางหน้าต่างรถ แลเห็นกติยานั่งกอดศพโดมอยู่ก็ยิ่งสะเทือนใจ ที่เกิดการสูญเสียใหญ่หลวงมากมายขนาดนี้
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ปานรุ้งยังนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด โดยมีปรกนั่งข้างๆ แม่ นิชานั่งใกล้ๆ จนกระทั่งหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ปานรุ้งรีบลุกไปหา
“หมอคะ สามีดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ เขาปลอดภัยใช่ไหมคะ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ”
ปานรุ้ง ปรก และนิชายิ้มอย่างดีใจ
“แต่ว่า...” หมอมีสีหน้าลำบากใจมาก
ปานรุ้งชะงัก “แต่อะไรคะคุณหมอ”
ไม่นานต่อมาปานรุ้งเดินลิ่วเข้ามาในห้องผ่าตัด มองร่างวาสุเทพที่นอนแบบอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร ปรก นิชา ปกรณ์ และวิรินทร์ ที่ตามมาสมทบ เดินตามกันเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้า
ปานรุ้งเข้ามายืนข้างๆ เตียง ยื่นมือไปจับมือวาสุเทพมากุมไว้ พร้อมกับคิดถึงคำพูดของหมอ
“เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เนื้อสมองบางส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายตายไปและหยุดสั่งงาน ส่งผลให้คนไข้เป็นอัมพาตครับ”
ปานรุ้งบีบกระชับมือวาสุเทพไว้
“ไม่เป็นไรนะคะพี่เทพ รุ้งจะดูแลพี่เทพ ให้พี่เทพกลับมาหายดีเอง”
เกื้อเปิดประตูเข้ามา
ปรกหันไปมอง “พ่อ”
ปานรุ้งได้ยินจึงหันไปมอง เกื้อมองมายังปานรุ้งด้วยสีหน้าเห็นใจ
“คุณหนูครับ ผมได้ข่าวคุณชูนามแล้วครับ”
ปานรุ้งสนใจขึ้นมาทันที “ชูนามอยู่ไหน”
“คุณชูนามตายแล้วครับ”
ปานรุ้งอึ้ง นิ่งงันไปเลย
อีกฟากหนึ่ง ปานวาดในรูปลักษณ์ทรุดโทรมสุดขีด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหมือนคนบ้า กำลังเอาหมอนมาตั้งเรียงที่เตียงนอนคุยกับหมอนเหล่านั้น
“เดี๋ยวน้องๆ ทำตามพี่นะคะ”
ปานวาดเดินออกมายืนตรงหน้าเตียง ทำท่าเตรียมพร้อมเต้นท่าเชียร์ลีดเดอร์
“สาม...สี่”
ปานวาดเต้นท่าเชียร์ลีดเดอร์ตามสเต็ปอย่างสวยงาม พอเต้นเสร็จก็วิ่งกลับไปที่หมอนแล้วคุยกับหมอนต่อ
“คุณพ่อ นายแม่คะ วาดเต้นสวยไหม” สาวใจแตกยิ้มเศร้า “สวยใช่ไหม”
สีหน้าปานวาดค่อยๆ สลดลง ขณะก้มมอง แหวนแต่งงาน ที่นิ้วตัวเอง แล้วร้องไห้คิดถึงโดม
“โดม คุณทิ้งฉันไปแล้ว ต่อไปฉันจะสร้างครอบครัวกับใคร”
ระหว่างนี้ที่หน้าประตูห้อง เห็นกุชชี่แง้มประตูแอบดูอยู่กับเต้
“เจ๊ มันบ้าแบบนี้ ผมว่ารับแขกไม่ได้แล้วล่ะ”
กุชชี่หันมาตบเต้สุดแรง “เพราะแกคนเดียวเลย ใครใช้ให้อัดยาให้มันเยอะ แบบนี้ เสียของหมดเลย”
“ผมขอโทษเจ๊”
กุชชี่มองปานวาดอย่างหงุดหงิด
“แล้วจะเอายังไงกับมันดีล่ะเจ๊”
“ของมันเสีย ก็เอาไปทิ้งสิวะ”
ถัดจากนั้น เต้ขับรถเข้ามาจอดที่ริมถนนสายเปลี่ยวนอกเมืองภูเก็ต มันเปิดประตูลงรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูอีกฝั่ง ซึ่งปานวาดนั่งอยู่ในรถท่าทางเพ้อๆ ไม่ได้สติ เต้ดึงร่างปานวาดลงจากรถโดยไม่ปรานีปราศรัย
“ไป ลงไปได้แล้ว”
เต้ผลักปานวาดทิ้งลงข้างถนนอย่างไม่แยแส ปานวาดล้มลงกองคาพื้น เต้รีบขึ้นรถแล้วขับหนีไปทันที
ถนนสายนั้นทั้งมืดและเปลี่ยว ร่างปานวาดกองอยู่ที่พื้นไม่ต่างจากขยะริมทาง
ปานวาดในอาการสะลึมสะลือ ค่อยๆ ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาดู แหวนเงิน ที่โดมสวมให้แทนใจ ในสติที่ยังพอหลงเหลือ สาวใจแตกมองจ้องแหวนวงนั้นแล้วร้องไห้ออกด้วยความคิดถึงโดม
จู่ๆ เหมือนมีเท้าของใครคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าปานวาดนิ่งนาน ปานวาดค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับ คลำรองเท้า แล้วแหงนเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าปานวาด คือ โดม
“โดม”
ปานวาดร้องไห้อย่างดีใจที่โดมกลับมาหา
“โดม คุณกลับมาหาฉันแล้ว”
โดมนั่งลงข้างๆ ยื่นมือซ้ายที่ใส่แหวนแต่งงานเหมือนกัน มาจับมือซ้ายของปานวาดไว้ ใช้มืออีกข้างลูบไล้แก้มปานวาด เช็ดรอยเปื้อนที่ใบหน้าให้
“ปานวาด ลุกขึ้น”
“โดม ฉันลุกไม่ไหว ฉันเจ็บเหลือเกิน”
โดมมองปานวาดด้วยสายตาเศร้า ทั้งสงสาร และห่วงเหลือแสน
“วาดของผมเป็นคนเก่ง วาดต้องลุกได้สิ ลุกขึ้นนะ แล้วกลับบ้านกัน”
ปานวาดพูดเพ้อทวนคำพูดโดม “กลับบ้านเหรอ”
“ใช่ กลับบ้าน ผมรอคุณอยู่ที่บ้าน”
“กลับบ้าน วาดอยากกลับบ้าน”
ปานวาดค่อยๆ ลุกขึ้นในอาการสะลึมสะลือ แต่ตรงหน้าของเธอไม่มีโดมแล้ว ปานวาดพยายามประคองกายเดินโซเซออกไปที่กลางถนนโดยไม่รู้ตัว
แสงไฟจากรถคันหนึ่งส่องสาดมาที่ร่างปานวาดในจังหวะที่เธอเดินมาหยุดที่กลางถนน แล้วล้มลงพอดี รถที่ขับมาเบรก เอี๊ยด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
คนขับรถรีบลงมาดูปานวาดที่นอนกองอยู่กลางถนน
“หนู เป็นอะไรหรือเปล่า”
“กลับบ้าน วาดจะกลับบ้าน”
คนขับรถพยุงปานวาดขึ้นรถ ปานวาดหันมามองทางริมถนน เห็นโดมยังยืนมองส่งเธออยู่
“จำไว้นะ ผมไม่เคยทิ้งคุณไปไหน ผมยังอยู่ข้างๆ คุณเสมอ ปานวาด”
ปานวาดมองจนร่างโดมกลืนหายไปในความมืดมิดของถนน และค่อยๆ หมดสติไปในที่สุด
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังเมฆ ตอนที่ 23 (ต่อ)
ปานรุ้งนั่งฟุบหลับอยู่ข้างๆ เตียงสามี จนกระทั่งวาสุเทพค่อยๆ ฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาตอนสายๆ และพยายามจะขยับตัว แต่กลับพบว่าขยับยกขึ้นไม่ได้
วาสุเทพรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่กลอกตามองสภาพตัวเองอย่างขมขื่น ที่บัดนี้ร่างกายไม่เหมือนเดิมแล้ว วาสุเทพมองปานรุ้งที่หลับอยู่ใกล้ๆ พยายามเรียกปลุก
“รุ้ง”
ปานรุ้งสะดุ้งตื่น วาสุเทพมองมายังปานรุ้งด้วยแววตาแสนปวดร้าว
“พี่”
ปานรุ้งมองอย่างเข้าใจ จับมือสามีมากุมไว้พลางปลอบ
“ไม่เป็นไรนะคะพี่เทพ รุ้งคุยกับหมอแล้ว รุ้งจะหาหมอเก่งๆ มา รักษาพี่เทพ อีกไม่นานพี่เทพต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะคะ”
วาสุเทพบีบมือปานรุ้ง เหมือนต้องการกำลังใจ ขณะขยับปากถาม
“ยา...โดม”
ปานรุ้งมีสีหน้ากระอึกกระอัก ไม่รู้จะพูดยังไงดี สุดท้ายตัดสินใจพูดความจริง
“โดมตายแล้วค่ะ”
วาสุเทพอึ้ง
“ส่วนยา รับไม่ได้ที่โดมต้องตาย จนเป็นบ้า ตอนนี้หมอให้อยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ะ”
วาสุเทพยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิด ที่ความอ่อนแอของตน ทำให้ชีวิตคนมากมายต้องพังไม่เป็นชิ้นดี วาสุเทพน้ำตารินเป็นสาย ยอมรับชะตากรรมว่า สมควรแล้วที่ตัวเองต้องเป็นอย่างนี้
“พี่เทพไม่ต้องคิดมากนะคะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่เทพ ทุกอย่างเป็นความผิดของรุ้งเอง รุ้งเป็นคนทำให้ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ รุ้งทำให้ทุกคนต้องมีแต่สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นยา และลูกของเรา”
วาสุเทพมองปานรุ้ง อยากจะกอดปลอบ และให้กำลังใจอย่างเคย แต่ทำไม่ได้
“เข้ม...แข็ง”
ปานรุ้งโผกอดวาสุเทพ
“ค่ะ รุ้งจะเข้มแข็ง รุ้งต้องเข้มแข็งเพื่อพี่เทพ เพื่อลูก เราต้องหาลูกของเราเจอ ทั้งปานวาดและปานเทพ”
อีกฟาก ร้อยกรองกลับจากปราจีนบุรี หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาหยุดที่หน้าบ้านในกรุงเทพ มองเข้าไปในบ้านเห็นแสงวอมแวม ไม่สว่างมากนักจากโคมไฟที่เปิดอยู่ ร้อยกรองยิ้มดีใจ นึกว่าชูนามกลับมาแล้ว!
“ชูนาม ชูนามมารับแม่แล้ว”
ร้อยกรองรีบเปิดประตูรั้วเข้าบ้านไปทันที
แต่พอร้อยกรองเดินเข้ามาในห้องรับแขก ก็ต้องแปลกใจในสภาพบ้านที่สกปรกรกเรื้อ เละเทะ ข้าวของกระจัดกระจาดเกลื่อนกล่นไปทั่ว
“ชูนาม”
ปานเทพนั่งหลบอยู่ตรงมุมห้อง พอเห็นเป็นร้อยกรองก็รีบโผเข้ามาหาทันที
“ย่า...ย่าจ๋า”
ร้อยกรองถลาไปกอดปานเทพด้วยความดีใจ
“ปานเทพ ย่านึกว่าปานเทพกับชูนามจะทิ้งย่าไปซะแล้ว รู้ไหมว่าพวกนังนวรัตน์มันตามไประรานย่าถึงบ้านญาติ มันต้องการเจอชูนามกับปานเทพ พอย่าไม่บอก มันตบย่าช้ำไปหมด จนไม่มีญาติคนไหนอยากให้ย่าอยู่ด้วยแล้ว ชูนามกับปานเทพ มารับย่าไปอยู่ด้วยแล้วใช่ไหม ย่าดีใจที่สุดเลย”
ปานเทพหน้าเสีย ใจหาย พูดไม่ออก เพราะตัวเองก็ไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว
“ย่า...”
“แล้วชูนามไปไหน ทำไมถึงไม่มาด้วย” ร้อยกรองคิดปราด “อ๋อ คงกลัวใครเห็นใช่ไหม เลยให้ปานเทพมารับย่าคนเดียว”
ร้อยกรองจะลุกไปชั้นบน ปานเทพจับมือย่าไว้
“ย่า” ปานเทพสุดจะกลั้นไหว ร้องไห้โฮออกมา “พ่อตายแล้ว”
ร้อยกรองชะงัก “อะไรนะ”
“พ่อตายแล้วย่า พวกนังนวรัตน์มันยิงพ่อ”
ร้อยกรองช็อค ตะลึงตะไล จานข้าวที่เพิ่งแกะออกจะกินในมือหลุด ตกแตก เพล้ง !!
“ไม่จริง”
“จริงย่า พ่อโดนยิงเพราะช่วยผม”
ร้อยกรองฟังปานเทพเล่าด้วยหัวใจของแม่ที่แตกสลาย กรีดร้องเสียงดังโหยหวนรับความจริงนี้ไม่ได้
“ชูนามลูกแม่ โธ่ ชูนาม ลูก ทำไมถึงทิ้งแม่ไป ชูนาม...”
ปานเทพกอดร้อยกรองหวังยึดเป็นที่พึ่ง
“ย่า ช่วยผมด้วย ผมกลัว ผมไม่รู้จะไปไหน ย่าช่วยผมด้วยนะ”
ร้อยกรองมองปานเทพ แล้วผลักเขาออกไปเต็มแรง ด้วยความแค้น แถมตะเพิดส่ง
“ออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน”
ปานเทพอึ้ง คาดไม่ถึง “ย่า”
ไม่เท่านั้นร้อยกรองยังลุกขึ้น หยิบของใกล้มือปาใส่ปานเทพที่ต้องคอยหลบพัลวัน
“แกมันตัวซวยเหมือนแม่แก แม่แกทำลูกกูติดคุก ส่วนแกทำลูกกูตายออกไปจากบ้านกูเลยนะ ไม่อย่างนั้น ..กูจะฆ่ามึงให้ตายตามลูกกู”
ปานเทพร้องไห้อ้อนวอน “ย่า”
ร้อยกรองไม่สน ปาของใส่หัวปานเทพไม่หยุด
“กูบอกให้ออกไป”
ร้อยกรองเข้าไปถีบปานเทพให้ออกจากบ้านอย่างบ้าคลั่ง จนปานเทพทนไม่ไหว จำใจต้องเดินออกจากบ้าน
ร้อยกรองค่อยๆ ทรุดตัวนั่งร้องไห้อย่างสติแตก
“ชูนาม ชูนามลูกแม่”
ปานเทพมองร้อยกรองที่ร่ำไห้ แล้วมองสภาพตัวเองในกระจกอย่างเจ็บปวดกับชีวิตที่ ตกต่ำยิ่งกว่าหมาของตนยามนี้
ทางด้านปานรุ้งนั่งประชุมร่วมกับคณะผู้บริหาร ในห้องประชุม พีแอนด์เอสทีแอร์ไลน์ มาสักระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างนี้ ธันวาเป็นผู้ดำเนินการประชุม โดยสรุปสถานการณ์บริษัทต่อบอร์ดบริหารอยู่
“สรุปสถานการณ์บริษัทตอนนี้ บริษัทยังติดค้างจ่ายค่าจ้างให้พนักงาน 500 คน ยังมีเที่ยวบินที่ถูกยกเลิกเนื่องจากไม่มีกัปตันและพนักงานอีก 16 เที่ยวบิน คุณหญิงหาเงินมาช่วยหนุนในบริษัทได้จำนวนหนึ่ง รวมเบ็ดเส็จบริษัทยังมีหนี้ค้างอีก 560 ล้าน”
ผู้บริหาร 1 เอ่ยขึ้น “ดังนั้นพวกผมมีข่าวแจ้งให้คุณหญิงทราบว่า พวกเราได้ประชุมกัน
นอกรอบ และลงมติกันว่าบริษัทพีแอนด์เอสที ควรมีการขายหุ้นเพื่อพยุงบริษัท”
ปานรุ้งบอกทันที “ฉันก็คิดว่าฉันจะขาย”
คณะผู้บริหารฮือฮา ตกใจที่ปานรุ้งยอมขายหุ้นง่ายๆ
ผู้บริหาร 2 ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “งั้นก็ดีเลย เพราะผมนัดคนที่สนใจอยากซื้อหุ้นของบริษัทมาร่วมคุยด้วย”
ผู้บริหาร 2 ลุกเดินไปเปิดประตู พาใครคนหนึ่งเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณหญิง”
ปานรุ้งเหลียวไปมอง เห็นเป็นนวรัตน์ยิ่งเจ็บแค้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงคนนี้มีส่วนทำให้ปานเทพลุกขึ้นมาหักหลังตนและโกงบริษัท
ที่ปานรุ้งทำ คือส่งรอยยิ้มหยันไปให้ “คิดอยู่แล้วว่าเบอร์หนึ่งที่อยากได้บริษัทฉัน คือคุณ”
“อย่าเรียกว่าอยากได้เลยค่ะ เรียกว่าอยากร่วมงานกับผู้หญิงเก่งอย่างคุณหญิงดีกว่า คุณหญิงจะขายหุ้นราคาเท่าไร ว่ามาเลยค่ะ ดิฉันพร้อมจะจ่ายไม่อั้น”
“ฉันก็อยากขายหุ้นให้คุณนะคะ แต่บังเอิญ มีคนมาติดต่อซื้อหุ้นบริษัทจากดิฉันไว้แล้ว”
นวรัตน์ที่เพิ่งลงนั่งถึงกับชะงัก
“อะไรนะ”
ปรกเปิดประตูพาเกื้อเข้ามา ปานรุ้งแนะนำ
“ทุกคนคงรู้จักคุณเกื้อดีนะคะ”
“อย่าบอกนะคะว่าท่านจะซื้อหุ้นบริษัทนี้”
“ถ้าผมมีเงิน ก็ไม่ผิดที่ผมจะซื้อหุ้นไม่ใช่เหรอครับ” เกื้อว่า
นวรัตน์ย้อนแย้ง “แต่ดิฉันว่าถ้าท่านซื้อหุ้นในขณะที่ท่านมีตำแหน่งทางการเมือง มันจะไม่เหมาะนะคะ”
“คุณพ่อลาออกจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วครับ” ปรกบอก
นวรัตน์ชะงัก
“เคลียร์นะคะคุณนวรัตน์ ดิฉันต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้ความพยายามอยากได้บริษัทดิฉันไม่สำเร็จ เชิญกลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่มีหุ้นให้คุณ สิ่งเดียวที่คุณจะได้รับจากฉัน คือหมายศาล” ปานรุ้งว่า
นวรัตน์แหวใส่ “หมายศาลอะไร”
“คดีฆ่าชูนามไงครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่รู้จักชูนาม” เกื้อบอก
นวรัตน์มองปานรุ้ง เกื้อ ปรก และทุกคนในห้องที่ต่างมองมายังตนด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะลุกออกจากห้องไปด้วยความเจ็บแค้น!
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังเมฆ ตอนที่ 23 (ต่อ)
ถัดจากนั้นปานรุ้งนั่งคุยอยู่กับเกื้อ ภายในห้องทำงานที่บริษัท
“ขอบใจนะเกื้อที่เธอยอมลาออกจากตำแหน่งเพื่อช่วยบริษัทฉัน”
เกื้อยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณหนูก็รู้จักผมดี เรื่องตำแหน่งการงาน มันไม่ได้มีความสำคัญในชีวิตผมอยู่แล้ว แต่ที่ผมพยายามมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพื่อคุณหนูกับลูก”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างซาบซึ้ง
“หลังจากที่คุณหนูพาลูกไป ผมไม่เคยโกรธคุณหนูเลย แต่ผมโกรธตัวเอง ที่ผมทำให้คุณหนูผิดหวัง ผมทำให้คุณหนูมีความสุขอย่างที่ผมสัญญาไม่ได้ หลังจากนั้นผมถึงเรียนต่อ และบอกกับตัวเองว่า ต่อไปผมต้องเป็นที่พึ่งให้คุณหนูกับลูกได้”
“และวันนี้เธอก็ทำได้ ขอบใจนะเกื้อที่เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อฉันกับลูกมาตลอด แต่ต่อไป เธอไม่ต้องทำเพื่อฉันแล้ว แต่ขอให้เธอทำเพื่อลูก”
เกื้อมองฉงน “คุณหนูหมายความว่ายังไงครับ”
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะยกบริษัทนี้ให้ปรกกับนิชาเป็นคนดูแลต่อ แต่ปรกกับนิชายังใหม่ พวกเขาคงต้องพึ่งเธอ”
“แล้วคุณหนู”
“ฉันทำผิดพลาดมาครึ่งค่อนชีวิตแล้วเกื้อ ต่อไปนี้ อยากใช้เวลารักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ไม่ทำให้ผิดพลาดอีก”
“คุณหนู”
“ฉันจะไปดูแลพี่เทพและปกรณ์ และรอปานวาดกับปานเทพกลับบ้าน ฉันพึ่งเธอมามากแล้ว ต่อไปขอแค่เธอเป็นที่พึ่งของลูกก็พอ”
เกื้อมองปานรุ้งอย่างเป็นห่วง ไม่รู้คุณหนูของเขาคิดอะไรอยู่
บ้านสมุทรเทวาวุ่นวายแต่เช้า ด้วยวันนี้หมออนุญาตให้วาสุเทพกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว ปานรุ้งสั่งทำห้องนอนใหม่ บนชั้นสองของบ้าน เพื่อจะได้สะดวกในการดูแล
แหละตอนนี้ปานรุ้ง กำลังประคองตัววาสุเทพลงนอนบนเตียง
ปกรณ์ ปรก นิชา วิรินทร์ ยืนต้อนรับวาสุเทพด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ปกรณ์เข้ามาสวมกอดพ่อ “ขอต้อนรับคุณพ่อกลับบ้านนะครับ ต่อไปผมจะ เป็นคนดูแลคุณพ่อเอง คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะครับ”
ปรกไม่อยากให้บรรยากาศหม่นเศร้านัก แกล้งแหย่น้อง
“เฮ้ย ใครบอก พี่ดูแลคุณพ่อเอง ส่วนนายไป ดูแลลูกโน้น”
“ผมดูแลได้ทั้งคุณพ่อและลูกนั่นแหละพี่ปรก เพราะผมเก่ง ไม่อย่างนั้น” ว่าที่คุณพ่อวัยใสแกล้งปรกเอาคืน “ผมคงไม่ทำลูกแซงพี่ได้หรอก”
วิรินทร์เขินแอบหยิกปกรณ์
“พูดแบบนี้ เดี๋ยวคืนนี้ ลูกพี่มาเลย” ปรกหันมายิ้มเยิ้ม พยักพเยิดกับนิชา “เนอะนิชา”
นิชาหมั่นไส้หยิบปรกไปเหมือนกัน
ตลอดเวลา วาสุเทพกลอกตามองลูกๆ ใบหน้าดูออกว่าพยายามยิ้ม เช่นเดียวกับปานรุ้งที่พอยิ้มได้บ้าง
“พอๆ ให้คุณพ่อพักผ่อนได้แล้ว”
ปรกยังไม่เลิก แกล้งออกตัวดูแลวาสุเทพ ยียวนปกรณ์เล่นอีก
“งั้นเดี๋ยวผมดูแลคุณพ่อเองครับ ปกรณ์คงไม่มีเวลา ต้องดูแลวิรินทร์ กับลูก”
ปกรณ์แย่งปรก “ใครบอก ผมดูแลคุณพ่อด้วยก็ได้ เดี๋ยวผมกับวิรินทร์จะดูแลคุณพ่อเองนะครับ เดี๋ยวผมจะอ่านหนังสือที่คุณพ่อชอบให้ฟัง นายแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“แม่ฝากคุณพ่อด้วยนะลูก”
ปานรุ้งกอดปกรณ์ แล้วจับมือวาสุเทพบีบเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพร้อมปรก และ นิชา
พอพ้นห้องวาสุเทพออกมาได้ ทุกคนเปลี่ยนจากสีหน้าจากยิ้มแย้ม เป็นเคร่งเครียด ที่แท้ปานรุ้งและปรกพยายามทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น
“ตกลงได้ข่าวพี่ปานเทพบ้างไหมปรก”
ปรกมองปานรุ้งด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ที่จนป่านนี้ยังหาปานเทพไม่เจอ
ค่ำคืนนั้น ปานเทพในสภาพทรุดโทรม เดินหลบๆ ซ่อนๆ หาที่นอนในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เดินๆ อยู่สายตาปานเทพเห็นถุงแฮมเบอร์เกอร์วางทิ้งไว้บนเก้าอี้ ปานเทพรีบวิ่งเข้าไปเก็บถุง แล้วค้นหาแฮมเบอร์เกอร์ แต่กลับไม่มี !!
“อยากกินแฮมเบอร์เกอร์เหรอตัวเอง”
ปานเทพหันไปมอง เห็นกลุ่มกะเทยแต่งหญิงเดินนวยนาดเข้ามาหาเขา กะเทย 1 นั่งข้างๆ มองปานเทพใกล้ๆ แล้วหันไปกรี๊ดกับเพื่อนๆ
“เห็นไหมแก ฉันบอกแล้วว่าคนนี้เป็นพ่อเงาะ ถ้าถอดรูปล่ะหล่อแน่ๆ”
ปานเทพลุกขึ้นเดินหนีกลุ่มกะเทยไปอย่างรังเกียจ แต่กะเทย1 รีบเข้าไปจับแขนปานเทพไว้
“จะรีบไปไหนล่ะตัวเอง เขาอุตส่าห์แอบมองตัวเองมาหลายวันแล้วนะ ตัวเองจะไม่บอกเขาหน่อยเหรอว่าตัวเองชื่ออะไร”
ปานเทพสะบัดแขนออกตวาดลั่น
“อย่ามายุ่งกับกู อีพวกผิดเพศ”
กะเทย 1 ยัวะ “อ้าว”
“ใครมาแตะต้องตัวกูอีก กูจะเตะสั่งสอนแทนพ่อแม่มึงแน่”
ปานเทพจะเดินหนี กลุ่มกะเทยไม่พอใจคำพูดและท่าทางรังเกียจของปานเทพ กะเทย 1 เข้าไปกระชากแขนไว้
“รังเกียจพวกกูมากใช่ไหม ลองมีเมียเป็นกะเทยอย่างพวกกูสิ มึงจะยังรังเกียจอีกไหม”
กลุ่มกะเทยเข้ามารุมล็อคตัวปานเทพทันที แต่ปานเทพไม่ยอมง่ายๆ ต่อยเตะกลุ่มกะเทยจนเกิดความชุลมุน กะเทย1 รอจังหวะ ถลันเข้าไปต่อยปานเทพสุดแรง จนปานเทพเซ กะเทย 2 ตามเข้ามาเตะท้องปานเทพจนจุก กลุ่มกะเทยเข้าไปล็อคตัวปานเทพ
“ปล่อยกู”
กะเทย 1 ต่อยท้องตัดกำลัง ปานเทพพยายามดิ้นหนี แต่อ่อนแรงลงทุกที เพราะทั้งเจ็บและจุก กะเทย 1 กระชากเสื้อปานเทพออกจนได้
ปานเทพพยายามดิ้นรน “กูบอกให้ปล่อยกู”
กะเทย 1 ก้มลง ปลดตะขอกางเกงปานเทพจนเกือบจะถอดได้ตั้งท่าจะเผด็จศึก ปานเทพขยะแขยงจนทนไม่ไหว อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายศอกใส่กะเทย 2 คนที่ล็อคแขนตัวเอง แล้วกระโดดถีบกะเทย 1 สุดแรง จากนั้นก็กระเสือกกระสนวิ่งหนีไปโดยเร็ว เท่าที่จะมีแรง
ปานเทพวิ่งหนีออกมาหน้าสวนสาธารณะ โดยมีกลุ่มกะเทยหื่นวิ่งตามไม่ลดละ ปานเทพรีบวิ่งข้ามถนนไปโดยไม่ทันมอง รถยนต์คันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนปานเทพเต็มๆ กลุ่มกะเทยชะงักกึก
กะเทย 1 มองไปด้วยสีหน้าตกใจ
“ชิบหายแล้ว ตายปะวะ รีบหนีเว้ย เดี๋ยวซวยไปด้วย”
กลุ่มกะเทยหื่นรีบวิ่งหนีหายหัวเข้าไปในสวนทันควัน
ส่วนปานเทพนอนเจ็บอยู่บนถนน มีร่องรอยถลอกตามแขน และที่หัวมีเลือดไหลอาบ สักครู่จึงเห็นเจ้าของรถใส่ชุดตำรวจลงจากรถมาดูปานเทพ
“เป็นยังไงบ้าง”
ปานเทพเงยหน้ามองเห็นเป็นตำรวจก็ชะงัก ตำรวจมองปานเทพจะถามอาการ
“คุณ...”
แต่ปานเทพระแวง กลัวความผิด กลัวว่าตำรวจจะจำได้ว่าเป็นคนฆ่าวิภาวีตามหมายจับ เขารีบก้มหน้ายันตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งโซซัดโซเซออกไป ไม่สนเสียงตำรวจที่ตะโกนตามหลังอย่างเป็นห่วง
“แล้วนายจะไปไหน ไม่ไปโรงพยาบาลเหรอ”
ปานเทพเดินโซซัดโซเซมาตามซอยสมุทรเทวา ในสภาพคราบเลือดเกรอะกรังที่หัว จนพาสังขารมายืนเกาะประตูรั้วใหญ่ มองเข้าในบ้าน แล้วหวนคิดถึงฉากชีวิตเก่าๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากอยู่ในสลัมกับปานรุ้ง และ ปรก จนมามีความสุขในบ้านหลังนี้ ฉากแล้วฉากเล่าราวกับสายน้ำไหล
สมัยเป็นเด็ก ปานรุ้งจูงมือปานเทพและปรกกลับจากโรงเรียนพร้อมกัน
เวลากินข้าวปานรุ้งคอยตักแต่อาหารดีๆ ตักน่องเป็ดให้ปานเทพ แต่ตักเนื้ออื่นให้ปรก บ่งบอกว่าปานรุ้งรักปานเทพมากกว่า
ทุกครั้งที่มีเรื่อง ปานรุ้งจะกอดปกป้องปานเทพไม่ยอมให้ใครแตะ
ภาพชีวิตตอนปานเทพ กลับมาจากเมืองนอก มีน้องๆ ทั้ง 3 คนเข้าไปกอด ด้วยความดีใจ ปานรุ้งสวมกอดปานเทพอย่างคิดถึง
ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่สบายใจ ปานรุ้งมักกอดและตามใจปานเทพมากกว่าลูกคนไหนๆ มา
จนถึงภาพสุดท้ายที่เขาจ่อปืนจะยิงปานรุ้ง
ปานเทพดึงตัวเองกลับมา ยืนร้องไห้เกาะประตูรั้วบ้านด้วยหัวใจอันเจ็บปวดของคนสำนึกผิดเมื่อสายเกินแก้
“ผมรู้แล้วว่า คนที่รักผมมากที่สุดคือ นายแม่ครับ”
ปานเทพทรุดกายคุกเข่าลงตรงหน้าประตูบ้าน พร่ำพรรณาความเลวของตน
“ผมไม่น่าเกิดมาเป็นลูกนายแม่เลย ทั้งๆ ที่นายแม่รักผม แต่ผมกลับมองไม่เห็นความรักของนายแม่ ผมมันโง่ มีแต่ความโลภจนทำลายทุกอย่างที่นายแม่พยายามสร้างมา ผมผิดไปแล้ว ขอโทษครับนายแม่”
ปานเทพพนมมือขึ้น แล้วค่อยๆ ก้มลงกราบกับพื้นขอขมาปานรุ้ง
ระหว่างนี้เองปรกขับรถกลับบ้านมา เห็นปานเทพที่หน้าประตูบ้านก็ดีใจมาก รีบจอดรถทันที
ปานเทพหันไปมอง เห็นปรกก็ตกใจจะหนี ปรกรีบลงจากรถ วิ่งมาหาพี่ชาย
“พี่ปานเทพ”
ปานเทพวิ่งหนี ปรกวิ่งตาม
ปานเทพพยายามวิ่งหนีปรก แต่อาการบาดเจ็บทั้งจากถูกกะเทยรุม และโดนรถตำรวจชน นั่นทำให้เขาวิ่งได้ช้าลง จนปรกวิ่งตามมาทัน
“พี่ปานเทพ”
ปานเทพพะวักพะวง คอยเหลียวหลังมามองปรก จนเสียหลักสะดุดล้ม ปรกรีบกระโจนเข้าไปคว้าร่างพี่ชายเอาไว้
“พี่ปานเทพ เป็นอะไรไหมพี่” ปรกตกใจเมื่อเห็นสภาพปานเทพที่มีแต่เลือดเกรอะกรังทั้งตัว “เลือดเต็มตัวพี่ไปหมด ไปโรงพยาบาลเถอะพี่”
ปานเทพมองปรกที่มีท่าทางเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ แล้วยิ่งเสียใจ
“นายยังห่วงฉันอีกเหรอ ทั้งๆ ที่ฉันทำเลวๆ กับนาย อิจฉานาย ทำสารพัดให้ชีวิตนายกับเมียนายพัง”
“พี่จำไม่ได้เหรอ นายแม่เคยสอนเราตั้งแต่เด็ก คนอื่นจะเกลียดจะโกรธเรายังไงก็ช่าง แต่เราเป็นพี่น้องกัน ถ้ามีปัญหา เราต้องอภัยให้กัน”
ปานเทพชะงักงันด้วยความรู้สึกผิด “ปรก”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน ตั้งแต่เด็กพี่แย่งของเล่นผม ผมแย่งของเล่นพี่ สุดท้ายเราก็ดีกัน แล้วทำไมวันนี้ เราจะดีกันอีกไม่ได้”
ยิ่งได้ฟังปรกเปิดใจ ปานเทพยิ่งรู้สึกผิดที่เคยคิดร้ายกับน้อง
“ปรก ฉันขอโทษ”
ปรกเข้าไปกอดน้อง ปานเทพกอดตอบ
“เข้าบ้านนะพี่”
ปานเทพรีบปฏิเสธ “ไม่ได้ ฉันเข้าบ้านไม่ได้”
“ทำไมล่ะพี่ พี่รู้ไหมว่านายแม่เป็นห่วงพี่ขนาดไหน”
ปานเทพมองปรกด้วยสายตาเจ็บปวด “ห่วง ทั้งๆที่พี่เกือบจะยิงนายแม่น่ะเหรอ ไม่ ฉันกลับไปหานายแม่ไม่ได้ ฉันทำผิดต่อนายแม่ไว้มาก ฉันไม่มีหน้าไปสู้นายแม่”
ปานรุ้งเดินมายืนข้างหลังปานเทพ
“พี่น้องยังรู้จักอภัย แล้วทำไมคนเป็นแม่จะให้อภัยลูกไม่ได้”
ปานเทพชาวาบทั้งร่าง ค่อยๆ หันไปมองปานรุ้งอย่างช้าๆ
“นายแม่”
ปานเทพคุกเข่ากับท่าน้ำบ้านสมุทรเทวา ก้มกราบขอขมาแม่ ปานรุ้งทรุดตัวลงนั่ง แล้วกอดปานเทพอย่างห่วงหา
“ทำไมปล่อยตัวเองเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่กลับมาหาแม่ ทำไมลูก”
“เพราะผมละอายใจ ผมไม่อยากให้นายแม่มาเห็นผมในสภาพนี้ ผมอยากให้นายแม่จำผมตอนที่ผมเป็นลูกชายที่กลับจากเมืองนอก ลูกชายที่ทำให้นายแม่สมหวังทุกอย่าง ไม่ใช่ไอ้ลูกสารเลวที่ทำลาย บริษัทนายแม่ ทำต่ำทรามแม้แต่” ยิ่งพูดยิ่งเจ็บปวดใจ “ยิงนายแม่”
“ถ้าวันนึงปานเทพมีลูก ปานเทพจะรู้ว่า ต่อให้ลูกกรีดเนื้อแม่ให้ตายทั้งเป็น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่มีทางโกรธลูก แต่กลับห่วงว่าทำไมลูกถึงต้องทำกับพ่อแม่อย่างนั้น ลูกเป็นอะไร ลูกมีปัญหาเจ็บปวดตรงไหน มีอะไรที่พ่อแม่จะช่วยรักษาความเจ็บปวดของลูกได้บ้าง”
“แต่สิ่งที่ผมทำมันเกินกว่าจะให้อภัย ผมมันนักโทษหนีคดี ผมไม่อยากให้นายแม่ต้องเดือดร้อนเพราะผมอีกแล้ว”
“จำได้ไหมว่าลูกเกิดในช่วงที่ชีวิตแม่ตกต่ำไม่เหลืออะไร แต่แม่ก็ยังมีลูก ต่อให้แม่ไม่มีบ้านไม่มีข้าวกิน แม่ก็ไม่เคยทิ้งลูก แม่ยอมอดเพื่อให้ลูกได้กินอิ่ม แม่ยอมสู้จากคนไม่มีเงินสักบาท จนตอนนี้เรามีบ้าน มีบริษัทใหญ่โต มีเงินทองมากมายเพื่อลูก ทุกข์ยากยังไง แม่ไม่เคยทิ้งลูก แล้ววันนี้ที่ลูกลำบาก ลูกคิดว่าแม่จะทิ้งลูกได้ยังไง”
“นายแม่”
“แม่ให้ชีวิตลูกมา วันนี้ชีวิตลูกพัง แม่จะช่วยสร้างชีวิตใหม่ให้ลูกเอง”
ปานเทพมองปานรุ้งเต็มตา อย่างคนสำนึกผิดเต็มหัวใจ
อ่านต่อตอนที่ 24