บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 18
ปรกส่งปานรุ้งเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว จึงเดินหิ้วกล่องใส่ขนมปลาไส้ถั่วแดง ที่กำลังฮิต เข้ามาในห้องนอน ตั้งใจซื้อมาง้อเมียรัก
“นิชา ดูสิว่าผมซื้ออะไรมาฝาก”
ปรกไม่เห็นนิชาในห้อง จึงเดินไปทางห้องน้ำ
“มันคือขนมปลาไส้ถั่วแดงที่คุณบ่นอยากกินไง นี่ผมต่อคิวเป็นร้อยเพื่อคุณเลยนะ”
ปรกเปิดประตูห้องน้ำ แต่ไม่เห็นนิชา มองสำรวจไปทั่วห้องอย่างกังวลใจ
“นิชาไปไหน”
ปรกเอากล่องขนมไปวางที่โต๊ะ แล้วเห็นกระดาษโน้ต
“คุณแม่ไม่ค่อยสบาย ฉันขอกลับไปนอนเป็นเพื่อนท่าน”
ปรกชะงัก
นิรมลซึ่งอยู่ในห้องทำงานที่โรงแรม และไม่มีท่าทางเจ็บป่วยแม้แต่น้อย กำลังเก็บของเตรียมจะกลับบ้าน ส่วนนิชาเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างตั้งแต่มาถึง จนมารดาแปลกใจ
“นิชามีอะไรรึเปล่าลูก”
“นิชาแค่เบื่อๆ หลังจากลาออกจากงาน นิชาก็อยู่แต่ในบ้าน อยากจะออกไปข้างนอกบ้าง คุณปรกก็ไม่ว่าง”
“ก็ตอนนี้ที่บ้านนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องหนูวาดอยู่นี่ลูก คุณปรกก็คงวุ่นๆ กับการตามหาน้อง”
“นิชาทราบค่ะ คืนนี้นิชาขอค้างกับคุณแม่นะคะ”
“แม่ว่ามันจะไม่ดีมั้ง ลูกแต่งงานแล้วนะ เดี๋ยวคุณปรกจะมาว่าแม่ได้ว่าให้ลูกสาวไปแล้ว แต่ดันเอาลูกสาวคืน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเขาอยากให้นิชากลับ เขาก็คงมารับนิชาเอง”
นิชาคิดถึงปรกครามครัน อยากรู้ว่าเขาจะแคร์เธอไหม?
ปรกเดินออกจากบ้านตั้งใจจะตามไปรับนิชากลับบ้าน แต่ชนกับปกรณ์ก้มหน้าก้มตารีบร้อนเดินเข้าบ้านเช่นกัน
ปกรณ์เผลอเงยหน้ามองปรก
“พี่ปรกเป็นอะไรรึเปล่า ผมขอโทษ”
ปรกมองน้องชาย เห็นสภาพใบหน้าปกรณ์เขียวช้ำเพราะถูกเข้มต่อยมาก็ตกใจ
“เฮ้ย พี่ต้องถามนายมากกว่าว่าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าถึงเป็นรอยช้ำอย่างนั้น”
ปกรณ์รีบจุ๊ปาก “อย่าเสียงดังสิพี่ เดี๋ยวนายแม่ได้ยิน”
ปรกเสียงเบาลง “ไปโดนอะไรมา”
ปกรณ์หน้าเศร้า “โดนแฟนรินทร์ต่อยมา”
สรุปว่าปรกไม่ได้ไปตามนิชา ต้องเอาน้ำแข็งปะคบรอยเขียวช้ำให้ปกรณ์
“โอ้ย”
ปรกรีบเอามือปิดปาก “เดี๋ยวนายแม่ก็ได้ยินหรอก เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อวานเย็นถึงไม่ยอมลงไปกินข้าว”
ปกรณ์พยักหน้าอย่างจ๋อยๆ “ขืนให้นายแม่เห็น ผมตายแน่เลย”
“สมน้ำหน้า จีบสาวไม่เช็คก่อนว่าเขามีแฟนรึเปล่า” ปรกแกล้งปะคบแรงๆ ปกรณ์จะอ้าปากร้อง แต่ต้องกลั้นไว้ “เอาน่า คิดว่าเป็นโชคดีของเรา ไม่ต้องเจอผู้หญิงจับปลาสองมือ”
“ผมไม่เชื่อว่ารินทร์จะเป็นคนอย่างนั้น”
“จะใช่หรือไม่ใช่ เขาก็มีแฟนแล้ว”
ปกรณ์หน้าจ๋อย “ต่อให้เขามีแฟน ใช่ว่าผมจะห้ามใจได้นี่”
“อย่าบอกนะว่านายจะตื้อเขาต่อน่ะ”
“ผมไม่ได้ตื้อ แต่ผมแค่สงสัย รินทร์เป็นคนตรงๆ อะไรที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งถ้าเขามีแฟนแล้ว เขาต้องบอกผม แต่นี่อยู่ๆเพิ่งมาบอก ผมว่ามันแปลกๆ”
“เขาแปลกๆ หรือปกรณ์ไม่ยอมรับความจริงกันแน่ เอาอย่างนี้นะ ถ้าแฟนเขาทำให้ปกรณ์ห้ามไม่ได้ งั้นก็คิดถึงนายแม่สิ จะได้ห้ามใจได้”
“นายแม่ดูแลชีวิตผมได้ แต่เรื่องความรัก นายแม่ควบคุมหัวใจผมไม่ได้หรอกพี่ปรก”
ปรกอึ้ง “ปกรณ์”
“ถ้าพี่ตัดใจได้อย่างที่นายแม่ต้องการ งั้นพี่ก็คงตัดใจจากพี่นิชาไปแล้ว จริงไหม”
ปรกชะงักเถียงน้องไม่ออก
ปรกออกจากห้องปกรณ์มา หยิบมือถือจะโทร.หานิชา จนปานรุ้งเดินเข้ามาทางด้านหลังเรียกขึ้น
“ปรก”
ปรกรีบกดปิดมือถือ แล้วหันไปหาปานรุ้ง
“ครับนายแม่”
“ว่างไหม แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ปรกมองมือถือ คิดถึงนิชานิดๆ แล้วจึงบอกปานรุ้งว่า
“ว่างครับนายแม่”
นิชาออกมายืนสงบอารมณ์อยู่ริมแม่น้ำบรรยากาศสวยงามยามค่ำคืน หญิงสาวคอยมองมือถืออย่างรอคอยว่าปรกจะโทร.มาหา แต่สุดท้ายปรกก็ไม่โทร.มา นิชาน้อยใจ
สองแม่ลูกคุยกันอยู่ในห้องโถงบ้านสมุทรเทวา ปรกชะงัก มองปานรุ้งอย่างประหลาดใจ
“นายแม่จะให้ผมทำอะไรนะครับ”
“แม่จะให้ปรกลาออก แล้วไปช่วยพี่ปานเทพทำงาน”
“แต่ผมไม่รู้เรื่องการบริหารเลยนะครับนายแม่”
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องงานบริหารแม่มีธันวาดูแลอยู่แล้ว ปรกแค่คอยตามประกบปานเทพ คอยดูว่าคุยหรือติดต่อกับใคร แล้วมารายงานแม่”
ปรกอึดอัดใจ “แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ เรื่องนี้แม่ซีเรียส ปรกต้องทำตามที่แม่สั่ง”
ปรกคิดบางอย่างได้
“แต่ผมต้องใช้เวลาเคลียร์งาน ส่งมอบงานให้เรียบร้อยก่อนลาออก ยังไงระหว่างผมจัดการเรื่องงาน ให้นิชาไปช่วยงานพี่ปานเทพแทนได้ไหมครับ นิชาอยู่บ้านเฉยๆ จะได้มีอะไรทำให้นายแม่”
ปานรุ้งมองปรกด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ทั้งคู่ไม่รู้ว่า มีวิภาวียืนร่วมรับฟังอยู่ที่ระเบียงบันไดชั้นบน
เช้าวันนี้ ปานเทพอยู่ในห้องทำงานที่ออฟฟิศ กำลังโมโหสุดขีด ถึงกับปัดแฟ้มงานบนโต๊ะทิ้งอย่างไม่พอใจ เมื่อรู้เรื่องจากวิภาวี
“นายแม่ย้ายบริษัทผมมารวมกับบริษัทของนายแม่ยังไม่พอ ยังจะให้ไอ้ปรกมาตามผมอีกเหรอ”
วิภาวียุส่ง “ดูคุณปรกก็อยากช่วยคุณทำงานด้วยนะคะ แถมยังขอนายแม่ให้นังนิชามาช่วยด้วย”
ปานเทพยิ่งหงุดหงิด “นี่มันคิดจะขึ้นมาเทียบผมให้ได้สินะ
“นายแม่เองก็ทำไม่ถูก ทำอย่างนี้ เหมือนกับไว้ใจคุณปรกกับนังนิชามากกว่าคุณนะคะ”
ปานเทพของขึ้นหันมาตวาด “ผมรู้แล้ว ไม่ต้องมาพูดย้ำ”
วิภาวีพยายามพูดดี เข้าไปกอดออเซาะ “ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งโมโหนะคะ ยังไงคุณก็ยังมีพ่อชูนามอยู่ พ่อชูนามต้องช่วยคุณฮุบบริษัทแม่คุณ ได้แน่”
“ฮุบเหรอ ทำเครื่องบินผมตกรันเวย์ บอกว่าทำเพราะมีแผน ป่านนี้ ยังไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมคงรอใครไม่ได้แล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องคิดเอง ทำเองสักที”
ปานเทพจะเดินออกจากห้อง
“คุณจะไปไหนคะ ไหนวันนี้สัญญาว่าจะพาวิไปช็อปปิ้งไง”
“เกิดเรื่องบ้าบออย่างนี้ คิดว่าผมยังมีอารมณ์ช็อปปิ้งอีกเหรอ” ปานเทพควักกระเป๋าตังค์ออกมาหยิบเงินในนั้นโยนใส่หน้าวิภาวี “อยากซื้ออะไร ก็ไปซื้อเองเลย”
ปานเทพเดินหุนหันออกไปเลย วิภาวีมองตามแล้วก้มมองเงินที่ตกพื้นเงินขึ้นมาทีละใบ แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจและน้อยใจ
จู่ๆ ธีรพงษ์ก้มลงมาเก็บเงินใบเดียวกับวิภาวี สองคนสบตากัน
“ขอโทษครับ พอดีผมจะเอาเอกสารมาให้คุณปานเทพ แล้วบังเอิญเห็นคุณ...”
“ช่างเถอะ” วิภาวีตัดบท พร้อมกับเช็ดน้ำตา
ธีรพงษ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“คุณวิภาวีอยากไปช็อปปิ้งเหรอครับ ถ้าไม่รังเกียจ ผมไปเป็นเพื่อนก็ได้นะครับ”
“วิไม่อยากรบกวนคุณ”
ธีรพงษ์จับมือวิภาวีมารับผ้าเช็ดหน้า วิภาวีค่อยๆ เงยหน้ามองธีรพงษ์ที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
“อะไรที่เป็นความสุขของคุณวิ ผมอยากทำให้ครับ”
วิภาวีมองสบตาธีรพงษ์อย่างลึกซึ้ง รู้ทันว่าเขาคิดอะไร
อีกฟากหนึ่ง สาหิ้วตะกร้าผ้าเดินออกมาจากแฟลตด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เงยหน้ามองแดดจ้าที่สาดส่องลง ก่อนจะเอาผ้าใส่ตะกร้ามอเตอร์ไซค์ แต่แล้วรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนหัว ร่างเซเหมือนจะล้ม แต่โชคดีที่เกาะมอเตอร์ไซค์ไว้ทัน
สาฝืนใจจะขึ้นมอเตอร์ไซค์ แต่จังหวะก้าวขึ้นรถเกิดหน้ามืดจนซวนเซล้มลงทันที ตะกร้าผ้าล้มกระจาย
ปกรณ์โผล่มาจากทางไหนไม่รู้ วิ่งเข้ามาดูอาการสา
“คุณน้าครับ คุณน้า”
ปกรณ์มองซ้ายมองขวาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จนเห็นแท็กซี่ขับผ่านมาคันหนึ่ง จึงตะโกนเรียก
“แท็กซี่...แท็กซี่...แท็กซี่”
แท็กซี่ไม่ได้ยิน และมองไม่เห็นขับผ่านเลยไป
ปกรณ์เครียด ไม่รู้ว่าจะทำยังไง สุดท้ายนึกได้ ควักมือถือขึ้นมาจะกดโทร.ออก แต่แบตดันหมดอีก
“แบตมาหมดอะไรตอนนี้เนี่ย”
ปกรณ์มองสาที่เป็นลมอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง คิดว่าจะเอายังไงดี
ปกรณ์แบกร่างสาขึ้นหลังแล้ววิ่งออกมา คอยมองสาที่สลบอยู่ตลอดเวลา จนวิ่งมาหยุดริมถนนปกรณ์พยายามเรียกรถแท็กซี่อย่างทุลักทุเล เพราะแบกสาไว้ด้วย
มีแท็กซี่ที่ขับผ่านหลายคัน แต่ไม่มีคันไหนว่างรับเลยสักคัน
ปกรณ์ไม่รู้จะทำยังไง หันมามองสาที่สลบอยู่บนหลัง เด็กหนุ่มตัดสินใจแบกสาวิ่งไปโรงพยาบาลทันที
ปกรณ์แบกสาวิ่งมาตามทาง ต้อยคอยหยุดพักเพื่อหายใจ ก่อนออกวิ่งต่อ เวลาผ่านไปปกรณ์เริ่มเหนื่อยหนัก และเริ่มหอบเหมือนอาการโรคหอบจะกำเริบ แต่ก็พยายามกัดฟันเพื่อวิ่งไปเรื่อยๆ
ขาเริ่มล้า ปกรณ์วิ่งช้าลง ท่าทางของปกรณ์เหนื่อยหนัก หอบก็กำเริบ แต่เขายังกัดฟันทนวิ่งต่อไป ทั้งๆ ที่ขาล้าเหลือเกิน
เวลาผ่านไป วิรินทร์วิ่งหน้าตาตื่นเข้าห้องพักฟื้นมาหยุดข้างเตียงแม่ที่นอนพักอยู่
“แม่ แม่เป็นยังไงบ้าง”
“แม่ไม่เป็นไรแล้วรินทร์”
“รินทร์บอกแม่แล้วไงให้นอนพักอยู่เฉยๆ แม่ออกมาส่งผ้าเองทำไม”
“รินทร์อย่าเพิ่งบ่นแม่ได้ไหม แม่ว่ารินทร์ไปดูคนที่พาแม่มาส่งโรงพยาบาลก่อนดีกว่า”
วิรินทร์ทำหน้างงว่าใครกันเป็นคนพาแม่เธอมาส่งโรงพยาบาล
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ปกรณ์นอนหลับ โดยมีเครื่องพ่นยาครอบจมูกอยู่ในห้องฉุกเฉิน วิรินทร์เดินเข้ามาในห้องนั้นมองปกรณ์ที่นอนหลับอยู่อึ้งๆ นึกถึงคำพูดแม่ก่อนหน้านี้
“พยาบาลมาบอกแม่ว่าปกรณ์เป็นคนแบกแม่มาส่งที่โรงพยาบาล ท่าทางจะวิ่งมาไกลมาก เพราะปกรณ์หอบขึ้นจนน่ากลัว แถมไม่ยอมไปให้หมอตรวจ จนกว่าจะรู้ว่าแม่จะปลอดภัย”
วิรินทร์เดินไปนั่งลงข้างๆ เตียง น้ำตาร่วง ไม่คิดว่าปกรณ์จะทำเพื่อแม่ตัวเองขนาดนี้
ปกรณ์รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆ จึงลืมตาขึ้น พอเห็นว่าเป็นวิรินทร์ก็ดีใจ
“รินทร์”
วิรินทร์ตีแขนดุปกรณ์ “ทำไมนายทำอย่างนี้ ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง ก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นหอบ ถ้านายเป็นอะไรไปแล้วแม่นายจะรู้สึกยังไง”
ปกรณ์จับมือวิรินทร์กุมไว้ แล้วดึงที่ครอบจมูกออก “แล้วรินทร์ล่ะ ถ้าเราเป็นอะไร รินทร์จะรู้สึกยังไง”
วิรินทร์โวยวาย “เอาออกทำไม ใส่ไว้”
ปกรณ์ยิ้มหน้าเซียว “เราไม่เป็นอะไรแล้ว”
วิรินทร์อึ้ง “นายทำแบบนี้ทำไม”
ปกรณ์แล้วรินทร์จะให้เราทำยังไง? ปล่อยแม่รินทร์ทิ้งไว้แบบนั้นเหรอ?
“แม่นายพูดถูก เราจะทำให้นายเดือดร้อน แล้วดูสิ นายเดือดร้อนเพราะเราจริงๆด้วย”
“เราไม่ได้เดือนร้อนเพราะรินทร์เลยนะ...” ปกรณ์จับมือวิรินทร์มาพูดอย่างจริงจัง “เราโตพอที่จะรู้ว่าใครที่ทำให้เราเดือดร้อน และใครที่ทำให้เรามีความสุข เราไม่รู้หรอกนะว่าวันนั้นนายแม่พูดอะไรกับรินทร์บ้าง แต่เราอยากบอกให้รินทร์รู้ไว้ว่าทุกอย่างที่เราทำให้รินทร์ ทุกครั้งที่เราตามตอแยรินทร์ เป็นเพราะเราชอบรินทร์ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ชอบ แต่เรารักรินทร์เลยล่ะ”
วิรินทร์อึ้งๆ
“เป็นแฟนกับเรานะรินทร์” วิรินทร์ยังนิ่งไม่ยอมตอบ “นะ” วิรินทร์ไม่ตอบอีก ปกรณ์อ้อนใหญ่ “นะ...นะๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เห็นวิรินทร์ยังไม่ตอบ ปกรณ์แกล้งทำเป็นหอบขึ้นมา วิรินทร์ตกใจหยิบที่ครอบยามาให้
“ใส่นี่ไว้ก่อน”
ปกรณ์พูดไป หอบไป “ไม่ รินทร์ตอบเราก่อน”
“ก็ได้ เราจะยอมเป็นแฟนกับนาย”
ปกรณ์หยุดหอบทันทีแล้วยิ้มร่า “ขอบคุณนะรินทร์”
วิรินทร์มองงๆ “นี่นาย” แล้วนึกได้ ง้างมือจะทุบ
ปกรณ์รีบอ้อน “อย่าทำเรา เราไม่ฉะบาย”
สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน
เย็นวันนั้น โดมล้างจานอยู่หลังผับของเจ๊กุชชี่ ส่วนปานวาดในชุดเด็กเสิร์ฟยกจานที่เก็บมาส่งให้โดมล้าง โดมมองปานวาดยิ้มๆ
“เหนื่อยไหม เดี๋ยวผมล้างแทนเอง”
“ไม่เป็นไร คุณนั่นแหละเหนื่อยไหม ทำงานยังไม่ได้กินข้าวเลยไปกินข้าวก่อนเถอะ”
“แค่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็อิ่มแล้ว”
“บ้า ไปกินข้าวไป”
โดมขำๆ ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อให้ ปานวาดยิ้มชื่น โดมมองปานวาดอย่างมีความสุข
กุชชี่กับเต้แอบมองสองคนอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ท่านชอบวาดมากนะเจ๊ ฝากบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ ส่งไปให้ท่านได้ทันที” เต้บอก
“บอกท่านว่ารอหน่อยละกัน ขอเวลาให้ผัวเมียเค้ามีความสุขกันก่อน”
กุซชี่มองโดมกับปานวาดยิ้มร้ายเต็มหน้า
โดม กับ ปานวาดนั่งพักกินข้าวกันอยู่หลังร้าน ปานวาดเขี่ยผักในจานออก โดมมองแล้วตักหมูในจานของตัวเองให้ เอาผักจากปานวาดมากินเอง
“กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ”
ปานวาดยิ้มๆ
เจ๊กุซชี่เดินถือกระบอกน้ำออกมา 2 กระบอก
“เอ้า น้ำ จะได้ไม่ติดคอ” กุชชี่ยื่นกระบอกหนึ่งให้ปานวาด ส่วนอีกกระบอกให้โดม
“ขอบคุณมากครับเจ๊”
“แล้วเป็นไงทำงาน ไหวไหม”
“ไหวค่ะเจ๊”
“ไหวก็ดี ไว้เจ๊มีงานเสริมอะไร จะมาเรียกไปทำแล้วกัน”
เจ๊กุซชี่เดินกลับเข้าไปในร้าน เต้โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง
“แกใส่ยาเยอะหรือเปล่าไอ้เต้”
“ไม่เยอะ”
“อ้าว...ทำไมไม่ใส่เยอะๆ!”
“มันเปลืองไงเจ๊” กุชชี่ง้างมือจะตีผัว “เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ใส่น่ะดีแล้ว ให้ความอยากของไอ้โดมมันมากขึ้นเรื่อยๆ เองดีกว่า ทีนี้นะรับรองเรียกหาน้ำพลังม้าของผมไม่หยุดแน่”
สองผัวเมียยิ้มชั่วให้กัน
ส่วนที่กรุงเทพฯ ปานรุ้ง วาสุเทพ ปรก ปกรณ์ วิภาวี นั่งร่วมโต๊ะอาหารเย็น น้อยกับจำปีคอยดูแล ปานรุ้งมองเก้าอี้ของปานวาดสีหน้าหมอง และมาหยุดสายตาที่โต๊ะปานเทพซึ่งว่างเปล่า
“ทำไมปานเทพไม่มากินข้าวเย็น”
“ปานเทพติดงานค่ะ” วิภาวีบอก
“ปรก บอกนิชาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวานรึยัง”
“เดี๋ยวคืนนี้นิชากลับจากบ้านคุณแม่ ผมจะบอกเขาครับนายแม่”
“ดี จะบอกอะไรก็รีบบอก จะได้รีบตามไปดูแลพี่ปานเทพเร็วๆ”
วิภาวีมองปรกกับปานรุ้ง แล้วแอบยิ้มเยาะ พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ไม่ทันแล้วมั้ง”
เวลาเดียวกัน ปานเทพคุยธุระอยู่กับชูนาม และ นวรัตน์ อยู่ภายในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
“ปานรุ้งนี่กัดเราไม่ปล่อยจริงๆ ตัวเองออกตัวทำอะไรไม่ได้ ก็ส่งไอ้ลูกคนขับรถมาเกาะลูกชายฉันแทน”
ปานเทพยิ้มเหมือนมีแผนบางอย่าง
“ผมว่านายแม่ส่งไอ้ปรกกับเมียมันมายุ่งเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ชูนามกับนวรัตน์มองปานเทพอย่างสงสัย
“คุณปานเทพมีแผนอะไรเหรอคะ”
“ผมจะทำให้นายแม่เห็นว่าไอ้ปรกมันเป็นลูกที่ไม่มีค่ายังไง มันก็ไม่มีค่าอย่างนั้น นายแม่หวังจะพึ่งมัน แต่ผมจะทำให้มันนำความซวยไปให้บริษัทนายแม่แทน”
ชูนามมองปานเทพแล้วหัวเราะสะใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิลูกพ่อ แล้วลูกคิดรึยังว่าจะทำอะไร”
ปานเทพคิดถึงหน้าปรก แล้วยิ้มชั่วออกมา
“ผมจะปลอมลายเซ็นนายแม่ แล้วโยนความผิดให้ไอ้ปรกกับเมียมัน”
นิชานั่งแกร่วอยู่ในห้องทำงานของมารดาที่โรงแรม ด้วยสีหน้าเหม่อลอย ตลอดเวลาเธอคอยหยิบมือถือมากดดูว่าปรกโทร.มาง้อไหม แต่พอไม่เห็น มิส คอลล์ใดๆ สุดท้ายนิชาจึงโยนมือถือใส่กระเป๋าอย่างเซ็งๆ จนกระทั่งเห็นนิรมลเดินเข้ามาในห้อง
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะคุณแม่ ตกลงธนาคารให้เรากู้เงินไหมคะ”
นิรมลถอนใจ สีหน้าเครียด “ไม่ยอม”
“แล้วเราจะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้งวดต่อไปล่ะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง แม่ขายโรงแรมสาขาหาดใหญ่แล้ว คงมีเงินจ่ายหนี้ได้เกือบหมด”
“งั้นก็แปลว่าตอนนี้เราเหลือแค่โรงแรมในกรุงเทพฯ นี้เท่านั้น” นิชามองออกไปทางหน้าต่าง “นี่สินะคะที่เขาบอกชีวิตมันไม่มีอะไร แน่นอน เมื่อปีที่แล้ว เรายังมีโรงแรมแทบทุกภาคของประเทศ แต่วันนี้ เราเหลือแค่ที่นี่”
นิรมลเข้าไปกอดปลอบลูกสาว
“อย่าเสียดายเลยลูก เสียดายในสิ่งที่มันไม่มีวันได้ มันก็จะทำให้เราเป็นทุกข์ สู้รักษาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ดีกว่า ว่าแต่ลูกเถอะ เมื่อไหร่จะกลับบ้านสมุทรเทวา แม่บอกก่อนนะว่าคืนนี้ไม่ให้ค้างด้วยแล้ว”
“แต่แม่คะ”
“แม่ไม่อยากให้คุณปานรุ้งคิดไม่ดีกับลูก ลูกควรกลับไปอยู่ข้างๆ คุณปรก”
เลขาเคาะประตูห้อง แล้วเปิดประตูห้องเข้ามา พร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาให้นิชา
“มีคนฝากดอกไม้มาให้คุณนิชาค่ะ”
นิชารับช่อดอกไม้มา รีบหาการ์ด อ่านเสียงดัง “ไม่โทร.หา ไม่ได้แปลว่าไม่คิดถึง”
ปรกเปิดประตูเข้ามา ได้ยินที่นิชาอ่านพอดี เขามองนิชาอย่างรู้สึกผิด นิรมลกระซิบลูก
“คุณปรกมารับแล้ว เลิกงอนได้แล้วน้า”
นิชาหันมามองปรก แล้วผินหน้าหนี ให้รู้ว่า ฉันงอนอยู่นะ
ไม่นานถัดจากนั้น ปรกเดินนำมายังโต๊ะ ซึ่งอยู่ตรงจุดชมวิวที่ดีที่สุด เลื่อนเก้าอี้ให้นิชา
“ผมจองโต๊ะที่ติดวิวดีที่สุดของร้านไว้เลยนะ” ปรกนั่งข้างๆ นิชา “และที่สำคัญ ร้านนี้ทำกั้งทอดกระเทียมกับหอยเป๋าฮือน้ำแดง อร่อยมาก เขาจะทำขาย 20 จานต่อวันเท่านั้น ผมรู้ว่าคุณชอบกั้ง กับหอยเป๋าฮือ ผมเลยโทร.จองให้คุณ เผื่อกินแล้วคุณจะได้อารมณ์ดี”
นิชาค้อนควัก “คุณเห็นฉันเป็นเด็กรึไง เอาของกินมาล่อให้อารมณ์ดี”
“แต่มันก็ได้ผลนะ อย่างน้อยผมก็เห็นคุณยิ้ม”
นิชาเฉไฉ “แค่นี้ทำให้ฉันยิ้มไม่ได้หรอก”
ปรกยื่นมือไปจับมือนิชามากุม ยกขึ้นมาจูบเบาๆ
“อย่าโกรธผมเลยนะนิชา ผมขอโทษนะนิชา ที่ผมใส่ใจคุณน้อยเกินไป แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมรักคุณ”
นิชามองจ้อง เห็นปรกมองมาด้วยสีหน้าจริงใจ
“ถ้าคุณอยากให้ฉันยิ้ม ฉันมีอย่างหนึ่งที่อยากทำร่วมกับคุณ คุณทำให้ ฉันได้ไหมล่ะ”
“ทำร่วมกับผม” ปรกแกล้งทำหน้าหื่น “เรื่องนั้น ผมว่าเราทำกันตรงนี้ไม่ได้มั้ง คงต้องทำที่บ้าน”
นิชาตีแขนปรกอย่างแรง “คุณปรก ทะลึ่ง คิดอะไรเนี่ย ฉันหมายถึงฉันอยากชวนคุณไปเต้นรำต่างหาก”
ปรกงง “เต้นรำ”
“ใช่ ถัดจากร้านนี้ มีผับของเพื่อนฉัน เพื่อนบอกว่าค็อกเทลเริดมาก เราไปลองกันไหมคะ”
ปรกคิดปราดเดียว “คือ ผมไม่อยากให้คุณกลับบ้านดึก ผมกลัวพรุ่งนี้คุณจะไปทำงานกับนายแม่ไม่ไหว”
นิชาชะงัก มองสามีสีหน้าฉงน “ทำงาน”
ขณะเดียวกัน ปานรุ้งคุยกับปานเทพอยู่ในห้องทำงานที่บ้านสมุทรเทวา เรื่องที่จะให้นิชาไปช่วยงานที่บริษัท
“ถ้านายแม่อยากให้นิชาไปช่วยงานผม ผมก็ไม่ว่าหรอกครับ ดีซะอีกจะได้มีญาติพี่น้องมาช่วยกันพัฒนาบริษัทนายแม่ให้ดีขึ้น”
“ปานเทพไม่คิดว่าแม่ไม่ไว้ใจลูกใช่ไหมลูก” ปานรุ้งดักคอ
“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอกครับนายแม่ ผมรู้ว่าที่นายแม่ทำ เพราะรักผม” ปานเทพกอดประจบปานรุ้ง “ผมคือลูกที่นายแม่รักที่สุด”
ปานเทพกอดแม่ แล้วยิ้มร้าย คิดถึงแผนที่จะจัดการปรก
ปานรุ้งหลงเชื่อกอดตอบลูกอย่างดีใจ “แม่ดีใจที่ลูกเข้าใจแม่ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ขอให้ปานเทพรู้ไว้ว่าทุกอย่างที่แม่ทำ แม่ทำเพื่อลูกจริงๆ”
“ผมเชื่อว่านายแม่ทำเพื่อผม แต่คนอื่นล่ะครับ เขายอมทำให้เราเพื่ออะไร ผมไม่ได้พูดให้นายแม่ระแวงนิชานะครับ ผมแค่ห่วงบริษัทเรา นายแม่ก็รู้ว่าปัญหาครอบครัวของนิชาเป็นยังไง”
ปานเทพเขี่ยไฟ เพราะรู้ว่าปานรุ้งไม่พอใจความอวดดีของนิชาเป็นทุนเดิม
นิชาเดินหนีออกมาจากร้านอาหาร ปรกเดินตามมาอธิบาย
“นิชา ฟังผมก่อน”
“ตกลงที่คุณพาฉันมาทานข้าว อุตส่าห์ซื้อดอกไม้มาให้ทั้งๆ ที่คุณไม่เคยทำมาก่อน เพื่อให้ฉันไปทำงานกับพี่ชายคุณอย่างนั้นเหรอคะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะนิชา ที่ผมทำเพราะแคร์คุณจริงๆ”
“ถ้าแคร์ฉัน งั้นถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ทำงานกับพี่ชายคุณ คุณจะยอมไหม”
ปรกอ่อนอกอ่อนใจ “ก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากทำ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการเรื่องลาออกแล้วมาช่วยพี่ปานเทพเอง”
นิชามองปรกด้วยอารมณ์ขัดใจเหลือเกิน
“แต่ฉันไม่อยากให้คุณไปยุ่ง ฉันรู้ว่าบริษัท P&ST เป็นบริษัทครอบครัวคุณ แต่คุณไม่เห็นเหรอว่าพี่ชายคุณหวงงาน หวงนายแม่ อย่างกับหมาหวงก้าง”
ปรกอึ้งไปเลย “นิชา...”
“ขอโทษนะที่ฉันพูดตรงๆ แต่พี่ชายคุณเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันไม่อยากให้คุณไปยุ่ง หรือคุณอยากเข้าไปบริหารแทนพี่ชายคุณ”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยคิด”
“แล้วจะเอาตัวเองไปให้พี่ชายคุณเอามีดฟันทำไม” นิชาจับมือปรกมากุม “หรือที่คุณต้องทำ เพราะเรายังอยู่ในบ้านนายแม่ เราถึงต้องทำตาม คำสั่งนายแม่ งั้นเราย้ายออกมากันเถอะ หาบ้านเล็กๆ สักหลัง สร้างครอบครัวของเรา ไม่ต้องไปสู้รบกับใคร นะคุณปรก”
ปรกจับมือนิชาบีบเบาๆ
“ผมก็มีความฝันอย่างนั้นนะนิชา”
นิชายิ้ม มีความหวัง
“แต่ผมยังทำตอนนี้ไม่ได้”
นิชาคลายยิ้มลง
ปรกพยายามเอาใจเมีย “ผมจะไม่ฝืนใจคุณเรื่องงาน ผมจะบอกนายแม่ ว่าคุณไม่ถนัดทำงานนี้ ผมไปช่วยพี่ปานเทพเอง”
นิชากลอกตา ถอนใจเฮือกใหญ่ เซ็งกับการเป็นลูกที่แสนดีเกินไปของสามี
“ก็ได้ ฉันจะทำ แต่ที่ฉันทำ ไม่ใช่เพื่อนายแม่หรือพี่ชายคุณนะ แต่ฉันทำเพื่อคุณ”
ปรกยิ้มชื่น “ขอบคุณนะนิชา”
“ถ้าวันนึง ฉันขอให้คุณทำเพื่อฉันบ้าง ฉันหวังว่าคุณจะทำเหมือนกัน”
นิชามองปรก แล้วเดินนำไปขึ้นรถ ปรกมองตามด้วยสีหน้ากังวล
เช้านี้ สมาชิกบ้านสมุทรเทวาทุกคนนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้า ยกเว้นเก้าอี้ของปานวาดยังว่างเปล่า
ปานรุ้งมองเก้าอี้ตัวนั้น แล้วสะท้อนในอก ห่วงหาลูกสาวคนเดียว วาสุเทพมองอย่างเข้าใจ เอื้อมมือไปจับมือปลอบปานรุ้ง
“พี่กับเกื้อคุยกับพรรคพวกให้ช่วยกันตามหาปานวาดแล้ว อีกไม่นานเราต้องเจอลูก”
ปานเทพมองวาสุเทพ แล้วเอื้อมมือไปจับมืออีกข้างของปานรุ้ง
“พ่อชูนามฝากบอกว่าปานวาดหนีไปแบบนี้ คงไม่โง่ให้ตำรวจเจอตัวง่ายๆ ถ้าจะมีใครรู้ข่าวปานวาด ก็ต้องเป็นคนในท้องถิ่น พ่อชูนาม มีเพื่อนเป็นพวกกว้างขวางแทบทุกจังหวัด ถ้าคนอื่นตามหาน้องไม่เจอ นายแม่ให้พ่อชูนามช่วยดีกว่าครับ”
ปกรณ์ขัดหู รู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่ปานเทพพูดเหน็บวาสุเทพ
“ถ้าพ่อพี่ปานเทพอยากจะช่วยจริง ก็น่าจะช่วยเลยนะครับ ไม่ต้องรอให้ใครขอหรอก”
ปานเทพมองเยาะปกรณ์อย่างไม่พอใจ
“เก็บปากนายไว้กินนมเถอะปกรณ์”
ปกรณ์มองปานเทพอย่างขุ่นเคืองใจ ปรกเอ่ยขัดขึ้น
“น้องแค่พูดดีๆ พี่ไม่เห็นต้องพูดอย่างนี้กับน้องนี่”
วิภาวีสอด “ปานเทพหมายถึงปกรณ์เป็นเด็ก อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่น่ะค่ะคุณปรก”
ปกรณ์ฉุน วางแก้วนมปัง
“ผมไม่ใช่เด็ก”
ปานรุ้งเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ปกรณ์ จำได้ไหมลูก เมื่อคืนก่อนแม่สอนการวางตัวเป็นผู้ดีให้ ปกรณ์ ใครพูดอะไรไม่ดี ก็ไม่ต้องไปตอบให้ปกรณ์ยึดคำสุภาษิต อะไรไว้นะลูก”
ปกรณ์ตอบมารดาแต่มองหน้าวิภาวี “อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือครับ”
“และยังมีอีกสุภาษิตนึงนะลูก อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง”
วิภาวีขัดขึ้น “แหม วิก็แค่แปลเจตนาของปานเทพให้น้องปกรณ์ฟัง”
“แปลเจตนากับการเสี้ยม มันต่างกันนะ”
วิภาวีโกรธ “นายแม่”
ปานรุ้งไม่สนท่าทีสะใภ้แสบ หันไปพูดกับนิชาข้ามหัววิภาวี
“ขอบใจนะนิชาที่ไปช่วยปานเทพทำงาน อย่างน้อยก็ทำตัวคุ้มค่าสมกับเป็นสะใภ้ที่ฉันเลือกไม่ใช่สะใภ้อุบัติเหตุที่ฉันต้องจำยอมรับ”
วิภาวีกำช้อนแน่น ข่มความโกรธไว้
น้อยเดินเข้ามา
“คุณหญิงคะ คุณเกื้อมาขอพบค่ะ”
ปานเทพกำลังจะเดินไปห้องทำงานปานรุ้ง เพราะอยากรู้ว่าเกื้อมาพูดอะไรบ้าง วิภาวีเดินเข้ามาดึงแขนสามีไว้
“ฉันโดนนายแม่คุณด่าแทบเละเป็นโจ๊ก ใจคอคุณจะไม่ช่วยออกตัวปกป้องอะไรเลยเหรอคะ”
ปานเทพสะบัดมือวิภาวีออกไปอย่างรำคาญ
“ก็คุณพูดเองทำไมล่ะ อยู่เงียบๆ เฉยๆ ก็ไม่มีเรื่องแล้ว”
“ที่วิพูด เพราะช่วยคุณนะ”
“ถ้าคุณอยากช่วย งั้นก็ช่วยหุบปาก” ปานเทพชี้ไปทางห้องทำงานปานรุ้ง “เห็นไหม ไอ้ปรกกับพ่อมันพยายามเอาหน้านายแม่ อย่าให้ปากคุณทำผมเสียคะแนนไปมากกว่านี้”
ปานเทพเดินออกไปอย่างไม่แยแส วิภาวีมองตามอย่างเจ็บใจ
“คนอย่างอีวิ ถ้าใครรักก็รักตอบ แต่ถ้าใครไม่รัก ก็อย่ามาว่ากันทีหลัง”
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ปานรุ้งคุยกับเกื้ออยู่ในห้องทำงานสีหน้าเครียด มีวาสุเทพนั่งร่วมฟังอยู่ด้วย
“ทางเจ้าหน้าที่ที่พัทยายืนยันมาว่า 99 % คุณปานวาดกับโดมน่าจะปลอดภัย และออกจากพัทยาแล้ว”
“แล้วประวัติของนายโดมที่ฉันขอให้เธอสืบล่ะ มันพอจะมีญาติพี่น้องที่ไหนที่มันจะพาวาดไปอยู่ด้วยได้ไหม”
“ผมให้คนของผมสืบแล้ว อย่างที่คุณหนูทราบ คุณกติยาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พอคุณดรุณีเสีย โดมก็เหลือแค่คุณกติยาคนเดียว”
“แล้วญาติทางฝ่ายพ่อนายโดมล่ะ” ปานรุ้งซักไซร้
วาสุเทพได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อโดม วาสุเทพมองเกื้ออย่างสนใจ
“ในเอกสารใบเกิด ระบุว่าไม่ปรากฏบิดาครับ”
วาสุเทพฟังแล้วชะงัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะที่เกื้อออกจากห้องทำงานปานรุ้ง วาสุเทพเดินตามออกมาเรียกไว้
“เกื้อ”
“ครับคุณวาสุเทพ”
“เธอพอจะรู้ไหมว่าโดมอายุเท่าไร เกิดวันไหน ปีไหน”
เกื้อมองอย่างรู้ทันว่าวาสุเทพกำลังสงสัยอะไร
“โดมอายุมากกว่าคุณวาด 2 ปีครับ”
วาสุเทพชะงัก สีหน้ายังไม่วางในนัก
“ผมรู้ว่าคุณวาสุเทพคิดอะไร ผมเชื่อว่าถ้าโดมเกี่ยวข้องกับคุณวาสุเทพ คุณกติยาจะไม่มีวันให้เรื่องตอนนี้เกิดขึ้น” เกื้อว่า
“ฉันก็อยากคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันทำกับกติยา มันทำให้ฉันกลัว”
เกื้อมองอย่างเข้าใจ วาสุเทพใช้ความคิดหนักว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง
ในความมืดของบ้าน หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ผ้าม่านปิดหมดทุกจุด กติยานั่งนิ่งอยู่ในห้องรับแขกนั้น กำลังคุยมือถือกับโดมที่โทร.มาหา
“ตอนนี้หนีไปอยู่ภูเก็ตกับปานวาดเหรอลูก ดีแล้ว ดูแลกันให้ดี ไม่ต้องห่วงแม่ แค่แม่รู้ว่าโดมกับปานวาดรักกันอย่างมีความสุข แม่ก็มีความสุขแล้ว แล้วอย่าลืมโทร.มาส่งข่าวแม่ อีกนะลูก”
กติยาวางสาย แล้วละสายตามองไปทางรูปของดรุณี พร้อมกับยิ้มเหี้ยมเกรียม
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหลานนะคะ ลูกของพี่เทพทั้งสองคน รักกันดีค่ะ” กติยาทำเหมือนได้ยินเสียงดรุณีพูดตอบมา “อะไรนะคะ ทำแบบนี้มันผิด ไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะยาไม่ได้ให้โดมรักนังปานวาดทั้งชีวิตนี่คะ เมื่อถึงเวลา ยาจะเรียกโดมกลับมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ไม่นานถัดมา ภายในโบสถ์ของวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในภูเก็ต โดมจูงมือปานวาดเข้ามาในโบสถ์นั้น สองคนพากันนั่งลงต่อหน้าพระพุทธรูป
ปานวาดมองฉงน “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
โดมจับมือปานวาดมานาบอกเขา ให้คำสัญญา
“เป็นเพราะผม ถึงทำให้ชีวิตที่เคยสุขสบายของคุณ ต้องมาตกระกำลำบากอย่างนี้ ถ้าคุณเชื่อฟังนายแม่ของคุณ ป่านนี้คุณอาจเจอผู้ชายที่ดี รักกับเขา และได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตให้สมเกียรติคุณ”
“ถ้าจะพามาพูดเรื่องเดิมๆอย่างนี้ ฉันกลับละ” ปานวาดจะลุกขึ้น
โดมดึงมือปานวาดให้นั่งลงอีก “เดี๋ยวสิ ใจร้อนขี้หงุดหงิดเป็นยายแก่ไปได้”
“นี่”
“เมื่อกี้ผมแค่พูดเกริ่น ต่อไปนี้จะพูดจริงแล้วนะ”
โดมยิ้มขำ พลางหยิบแหวนเงินราคาไม่แพงจากกระเป๋าเสื้อออกมา ปานวาดชะงักมองแหวนนั้น
“แหวนวงนี้ มันไม่มีราคาอะไร แต่ผมก็อยากซื้อมาเพื่อสวมให้คุณ”
“โดม”
“ผมเคยสัญญากับพ่อคุณ ว่าถ้ารักคุณ ผมจะให้เกียรติคุณ” โดมหันไปพูดต่อหน้าพระพุทธรูป “ผมขอสาบาน ว่านับจากวินาทีนี้ไป ผมจะให้เกียรติ เทิดทูนปานวาดเป็นรักเดียว เมียเดียว ผมขอใช้ทั้งหมดของชีวิตผมไว้เพื่อดูแล ปกป้อง และอยู่เคียงข้างปานวาดไปจนวันตาย หากผมผิดคำสาบาน ขอให้ผมมีอันเป็นไป”
“โดม”
“แต่งงานกับผมนะวาด”
ปานวาดมองโดมอย่างซาบซึ้งใจ
“ค่ะ ฉันเต็มใจแต่งงานกับคุณ”
โดมค่อยๆ บรรจงสวมแหวนเงินที่นิ้วนางปานวาด สาวไฮโซใจแตกผวากอดสามีเต็มรัก
ฉับพลันนั้นเองได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง! โดยไม่มีเค้าลางใดๆ โดมกับปานวาดต่างผวาตกใจ
“สวรรค์คงส่งเสียงยินดีให้กับเรา”
โดมปลอบ ปานวาดมองออกไปทางหน้าต่างโบสถ์ รู้สึกไม่สบายใจเอาเลย
ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรณ ครืนครัน แล้วผ่าเปรี้ยงอย่างน่ากลัวอีกครั้ง
ปานวาดสะดุ้งสุดตัว คิดถึงปานรุ้งขึ้นมาจับจิตโดยบอกไม่ถูก
อีกฟาก ทองฟ้าเหนือตึกสูงตระหง่านของบริษัท P&ST ที่กรุงเทพฯ มืดครึ้มไม่ต่างกัน ฟ้าคะนองเป็นระลอก ฟ้าคำรณคำรามอีกครั้ง แล้วฝ่าเปรี้ยง เสมือนจะเตือนสติคนที่คิดทำชั่วให้สำเหนียก
ภายในห้องทำงานปานเทพยามนี้ แลเห็นปานเทพยืนมองผู้ชายที่กำลังซ้อมเซ็นลายเซ็น ของปานรุ้งบนกระดาษ แล้วยื่นกระดาษนั้นให้ปานเทพดูเทียบกับลายเซ็นต้นฉบับ มีธีรพงษ์ยืนอยู่ด้วยข้างๆ
ปานเทพดูลายเซ็นปลอมกับลายเซ็นจริงแล้วทึ่ง “เหมือนมาก จนแทบแยกไม่ออก”
ธีรพงษ์เอ่ยขึ้น “นี่คือเอกสารแสดงจำนวนเงินหมุนเวียนเข้า ออก ทางผู้จัดการ ฝ่ายบัญชีบอกว่าคุณหญิงปานรุ้งต้องเป็นคนตรวจสอบและเซ็นอนุมัติคนเดียว ถ้าคุณปานเทพปลอมลายเซ็นคุณหญิงแล้วเซ็นอนุมัติแทน”
ปานเทพพูดต่อ “ฝ่ายบริหารจะเห็นจำนวนเงินที่ไหลเวียนเข้าบริษัทตามปกติ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเรายักยอกเงินจากบริษัทไป 100 ล้าน”
“ใช่ครับ”
ปานเทพเอาแฟ้มเอกสารจากธีรพงษ์ ไปยื่นให้ผู้ชายคนนั้น
“เซ็นลายเซ็นนายแม่ซะ”
ชายผู้นั้นรับแฟ้มเอกสารจากปานเทพ แล้วจ่อปากกาจะเซ็น
จู่ๆ เกิดฟ้าร้องคำรณคำรามอีกครั้ง แล้วผ่าเปรี้ยงอย่างรุนแรง จนทำให้รูปของคมขวัญที่ประดับผนังอยู่ ตกแตก
ปานเทพชะงัก มองรูปที่แตกอย่างตกใจ ธีรพงษ์มองอาการปานเทพออก
“ถ้าเป็นคนไทย คงพูดแบบงมงายว่าเป็นลาง แต่สำหรับนักเรียนนอก คิดการณ์ไกลอย่างคุณปานเทพ คงไม่คิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ”
ปานเทพรู้สึกเหมือนโดนธีรพงษ์ดูถูก จึงพูดสวนกลับไป
“อย่าว่าแต่รูปตก ต่อให้พระพุทธรูปตกตรงหน้า ฉันก็ไม่แคร์” ปานเทพสั่งการกับผู้ชายคนนั้น “เซ็น”
ชายคนนั้นจรดปากกาปลอมลายเซ็นปานรุ้ง
ปานเทพหยิบแฟ้มเอกสารมาตรวจดู ธีรพงษ์มองแฟ้ม แล้วลอบยิ้มเจ้าเล่ห์
ปานเทพส่งแฟ้มให้ธีรพงษ์ “ให้นิชาเอาแฟ้มนี่ไปวางในห้องผู้จัดการฝ่าย การเงิน แล้วสั่งคนให้เก็บภาพวงจรปิดตอนนิชาถือแฟ้มนี่ไว้ รอเวลาเงินไหลเข้าบัญชีนิชา แล้วค่อยเอาหลักฐานไปให้นายแม่”
“ครับคุณปานเทพ”
ธีรพงษ์ถือแฟ้มเรื่องเงินซ้อนกับแฟ้มงานอื่น แล้วเดินออกจากห้องด้วยสีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์
ธีรพงษ์ถือแฟ้มเอกสารออกจากห้องปานเทพ ขณะนิชาเดินมาพอดี
“คุณนิชาครับ คุณปานเทพสั่งให้คุณเอาแฟ้มพวกนี้ไปไว้ในห้องผู้จัดการฝ่ายเงินครับ”
“ได้ค่ะ”
นิชารับแฟ้มมาหลายแฟ้ม มองหน้าแฟ้มอย่างรอบคอบ แต่พอเห็นว่าเป็นบัญชีของ P-JET บริษัทของปานเทพ จึงไม่ได้เอะใจอะไร
ธีรพงษ์หยอดคำหวาน “ขอบคุณสำหรับความใจดีของคุณนิชานะครับ”
นิชายิ้มเจื่อนๆ ให้ แล้วถือแฟ้มออกไป ธีรพงษ์มองตามโดยไม่รู้ว่าวิภาวีเดินเข้ามายืนด้านหลังนานแล้ว
“สิ่งที่คุณทำกับฉัน คงไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่มันเป็นสันดานคุณนี่เอง”
ธีรพงษ์หันมามอง “คุณวิ” แล้วรีบเดินตามวิภาวีที่เดินหนีไป
วิภาวีเดินหงุดหงิดมาที่รถ ธีรพงษ์วิ่งตามมา แล้วใช้มือทั้งสองข้างยันรถกักตัววิภาวีไว้ในวงแขน
“ปล่อย”
“คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะ ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณนิชาเลย ที่ผมทำอย่างนั้น ก็แค่ทำตามแผน”
“แต่ถ้ามันอ่อนระทวยใส่มือคุณ คุณก็กินเหมือนกันใช่ไหม”
ธีรพงษ์ขยับตัวแนบชิดใกล้ตัววิภาวี
“ผมจะไปกินปลาแห้งทำไม ในเมื่อผมมีกวางน้อยอยู่ตรงหน้าทั้งคน”
วิภาวีแสร้งผลักอกธีรพงษ์
“อย่ามาพูดเลย ผู้ชายมันก็เหมือนกันหมด เวลาอยากได้ ก็พูดดีพอไม่มีค่า พูดไม่ต่างจากหมาเห่า”
“พูดแบบนี้แปลว่าทะเลาะกับคุณปานเทพ”
“อย่าพูดชื่อนั้นได้ไหม เซ็ง”
“ถ้าเซ็ง แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” ธีรพงษ์มองวิภาวีตาเยิ้ม “แปลว่าคุณไม่ได้มาหาคุณปานเทพ แต่มาที่นี่เพื่อมาหาผม”
“แต่คุณคงไม่ว่างสินะ ต้องทำภารกิจสำคัญให้ปานเทพนี่”
“ทำงานผมใช้มือ ไม่ได้ใช้ปากทำ”
ธีรพงษ์ยื่นหน้าเข้าไปจูบวิภาวี
รถแวนคันหรูจอดซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งนานแล้ว กระจกรถถูกลดลง
เผยให้เห็นปานรุ้งที่หันหน้ามามองทางวิภาวีกับธีรพงษ์ แล้วใช้มือถือถ่ายรูป และ คลิปวิดีโอไว้ อย่างสะใจ
ขณะที่ปานเทพนั่งทำงานอยู่ในห้อง พอเห็นปานรุ้งเดินเข้ามาหาก็สะดุ้ง มองคุณหญิงมารดาอย่างหวั่นกลัวว่าจะจับได้เรื่องปลอมลายเซ็น
“อ้าวนายแม่ มาถึงห้องทำงานผม มีอะไรเหรอครับ”
“แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกลูก”
ปานเทพชะงัก ระแวงว่าเรื่องสำคัญคืออะไร
“เรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”
ปานรุ้งยื่นมือถือตัวเอง ที่เปิดรูปวิภาวีจูบกับธีรพงษ์ไว้ ให้ปานเทพดู
ปานเทพมองรูปแล้วชะงัก นัยน์ตาวาวโรจน์
สากำลังทำไข่เจียวอยู่ วิรินทร์รีบเดินเข้ามาห้ามแม่
“แม่ รินทร์บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำ เดี๋ยวรินทำเอง แม่ไปนอนพักเถอะ”
“แค่ทอดไข่เจียวเอง ไม่ได้หนักหนาที่แม่ทำไม่ได้หรอกน่ารินทร์”
วิรินทร์ไม่ยอม พาแม่ไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว
“นั่นแหละจ้ะ หมอสั่งนักสั่งหนาว่าให้แม่พักเยอะๆ แม่จำไม่ได้เหร”
“งั้นรินทร์ไปทอดไข่ เดี๋ยวแม่ตักข้าวให้เอง”
สาเอื้อมมือไปหยิบทัพพี เข้มถือถุงกับข้าว วิ่งพรวดเข้ามาแย่งทัพพีไป
“ฉันตักให้เองจ้ะน้าสา รินทร์ไม่ต้องซื้อกับข้าวนะ พี่ซื้อกับข้าวมาให้แล้ว”
วิรินทร์มองแกงที่เข้มซื้อมา มีหลายถุงมาก
“โอ้โห ทำไมพี่ซื้อมาเยอะขนาดนี้”
“ให้น้าสากินเยอะๆ น้าสาจะได้แข็งแรง คนอื่นจะได้ไม่ต้องฉวยโอกาส แกล้งทำดีพาน้าสาไปโรงพยาบาลอีก”
วิรินทร์ชะงัก รู้ว่าเข้มจงใจพูดกระทบปกรณ์
“ปกรณ์เขาทำด้วยใจ ไม่ใช่ฉวยโอกาสนะพี่เข้ม”
เข้มเห็นวิรินทร์ปกป้องปกรณ์ก็ยิ่งไม่พอใจ
สารีบพูดแทรก “ยังไงแม่ก็ฝากรินทร์ขอบใจปกรณ์ด้วย แต่ถ้าให้ดี อย่าให้ปกรณ์มาบ้านเราเลย แม่ไม่อยากให้เขาเดือดร้อนเพราะเรา”
“จ้ะแม่”
วิรินทร์หันหน้าไปทอดไข่ สีหน้าเครียดลงที่รู้ว่าแม่ไม่อยากให้ยุ่งกับปกรณ์ เข้มมองวิรินทร์อย่างสงสัยในท่าที
วิรินทร์เดินมาที่มอเตอร์ไซค์เตรียมจะไปเรียน เข้มเดินมาขวางหน้ารถ
“ถ้าไอ้หน้าอ่อนยังไม่ยอมเลิกยุ่งกับรินทร์ ให้พี่จัดการให้ไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรินทร์จัดการเอง”
“รินทร์จะใจแข็งพอเหรอ” เข้มเหน็บ
“พี่เข้มหมายความว่ายังไง”
“รินทร์รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ว่าพี่หมายความว่ายังไง”
วิรินทร์ฉุน “ใช่ รินทร์ใจอ่อน รินทร์ชอบปกรณ์ พอใจรึยังพี่เข้ม”
เข้มมองวิรินทร์อย่างชะงักอึ้ง
“แต่แม่มันไม่ชอบรินทร์นะ”
“รินทร์รู้ แต่คิดแล้วว่ารินทร์ไม่ได้คบกับแม่ปกรณ์ รินทร์คบกับปกรณ์”
เข้มอึ้งหนัก “คบเหรอ นี่ตกลงรินทร์เป็นแฟนกับมันเหรอ ไหนบอกว่าฐานะต่างกัน รินทร์ไม่มีวันไปชอบมันไง สุดท้ายเงินก็ชนะทุกอย่างสินะ”
วิรินทร์โกรธ “พี่เข้ม”
“แล้วรินทร์จะรู้ว่ารินทร์คิดผิด”
เข้มเดินออกไปอย่างหงุดหงิด เตะข้าวของที่ขวางหน้ากระจัดกระจาย
วิรินทร์มองตามเข้มหน้าเครียด เพราะใจหนึ่งก็หวั่นไหวว่าจะไปกันไม่รอดเพราะปานรุ้ง แต่ใจหนึ่งก็อยากพยายามให้ถึงที่สุด
วิรินทร์ในชุดนักศึกษาถือกระเป๋าลงมาที่มอเตอร์ไซค์เตรียมไปเรียน วิรินทร์ขึ้นนั่งรถ ขณะจะเสียบกุญแจ สายตาแลเห็นว่าตรงคอนโซลมีโพสต์ อิท แปะไว้ พร้อมข้อความเขียนว่า
“กรุณาคิดถึงแฟน ก่อนสตาร์ตทุกครั้ง”
วิรินทร์อ่านข้อความแล้วยิ้มออกมาทันที
“กรณ์ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
ปกรณ์เดินออกมาจากมุมหนึ่ง ยิ้มๆให้วิรินทร์
“ไหนว่ามีเรียนเช้า ทำไมมาอยู่ที่นี่ อย่าบอกนะว่าโดด”
“ไม่ได้โดดนะ แต่อาจารย์แคนเซิล คลาส เราก็เลยแวะมารับรินทร์ก่อน ขอไปมหา’ลัยด้วยคนนะ”
“ไม่ให้ไป”
“ไม่ให้ไปก็จะไป”
ปกรณ์กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วกอดเอววิรินทร์หมับทันที
“เฮ้ย! ปล่อยเรานะ”
“ไม่ปล่อย”
วิรินทร์ศอกใส่ท้องปกรณ์จังๆ หนุ่มหน้าใสจุกจนต้องยอมปล่อยมือออก
“โอ๊ย”
วิรินทร์ขำ ทำท่าจะสตาร์ตรถ ปกรณ์เรียกไว้
“เดี๋ยว” วิรินทร์ชะงัก “ก่อนสตาร์ตคิดถึงแฟนยัง”
วิรินทร์หมั่นไส้ หันไปดึงโพสต์ อิท นั้น ออกแล้วแปะหน้าปกรณ์
“พูดมากเดี๋ยวไม่ให้ไปด้วยเลย”
“แต่เราคิดถึงรินทร์ทุกวันนะ”
วิรินทร์ทำหน้าเซ็งกับมุกเสี่ยวๆ ของปกรณ์ แต่พอหันหน้ากลับมาแล้วยิ้มเขิน
วิรินทร์สตาร์ตรถ ปกรณ์กอดเอววิรินทร์แน่น
ป้าแววแม่ค้าหมูปิ้งที่พักอยู่แฟลตเดียวกันเข็นรถหมูปิ้งออกมา ทันเห็นตอนปกรณ์โขมยหอมแก้มวิรินทร์พอดี
“จะไปเรียนเหรอไอ้รินทร์”
วิรินทร์หันไปเห็นป้าแววก็ตกใจ รีบดึงมือปกรณ์ออกจากเอวตัวเอง
“ป้าแวว”
ป้าแววมองปกรณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหันไปพูดกับวิรินทร์
“เมื่อก่อนไปเรียนคนเดียว เดี๋ยวนี้มีเพื่อนผู้ชายมารับ ก็ดีเนอะ จะได้ปลอดภัย ป้าไปละ”
ป้าแววเดินออกไป วิรินทร์มองตามเซ็งๆ
ปกรณ์จ๋อยที่ทำให้วิรินทร์ถูกคนมองไม่ดี
วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในมหา’ลัยโดยมีปกรณ์ซ้อนท้าย จนขับเข้ามาจอดตรงที่จอดรถของนักศึกษา
ปกรณ์ลงจากรถ วิรินทร์ถอดหมวกกันน็อคออก
“รินทร์ไม่ต้องสนใจที่ป้าคนเมื่อกี้พูดนะ ถ้าใครว่ารินทร์เสียๆ หายๆ เราจะไปเคลียร์ให้เอง”
“ช่างเถอะ ปากคนมันห้ามกันไม่ได้หรอก ขนาดเราขายของหาเงินช่วยแม่ เขายังเอาเราไปพูดไม่ดี แค่เรารู้ว่าเราทำอะไรก็พอ” วิรินทร์มองปกรณ์ที่ยังไม่ยอมถอดหมวกกันน็อคสักที “เอ้า!เมื่อไหร่จะถอดหมวกล่ะ”
ปกรณ์อ้อนใหญ่ “รินทร์ ถอดหมวกให้หน่อยจิ”
“แล้วถอดเองไม่ได้รึไง เป็นง่อยเหรอ”
“ไม่ได้เป็นง่อย แต่เป็นแฟนรินทร์ เลยอยากให้รินทร์ถอดอ่ะจิ”
“แหวะ อ่ะจิ” วิรินทร์เบ้ปากจะอ้วก แต่ก็หันไปแกะหมวกกันน็อคออกให้ปกรณ์โดยดี
ปกรณ์มองวิรินทร์ที่แกะหมวกกันน็อคออกให้อย่างมีความสุข ฟินสุดๆ วิรินทร์แกะหมวกเก็บไว้ที่รถ แล้วเดินนำไป ปกรณ์เดินตาม แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือวิรินทร์มากุม จูงเดินไปด้วยกัน
วิรินทร์ชะงักนิดๆ เพราะไม่ชินหันมามองปกรณ์เขินๆ
“เราว่าไม่ต้องจับมือก็ได้มั้ง”
“ทำไมล่ะ คนเป็นแฟนกัน เขาก็ต้องจับมือกันสิ”
วิรินทร์อึดอัด ลำบากใจ “แต่เราไม่ชิน”
“งั้นเราต้องจับมือกันตลอด จะได้ชิน”
ปกรณ์ยิ้มทะเล้นใส่ แล้วจูงมือวิรินทร์เดินไป
วิรินทร์มองมือตัวเองที่ถูกจูง ด้วยความรู้สึกอึดอัด
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น วิภาวีเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างสบายใจ โดยไม่ทันสังเกตว่าปานเทพนั่งหน้าบึ้งรออยู่ที่โซฟา
“ไปไหนมา”
วิภาวีหันไปเห็นปานเทพแล้วสะดุ้ง
“อ้าว คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไหนเมื่อเช้าบอกว่าวันนี้จะไปทานข้าวกับพ่อคุณ”
“ผมไปมาแล้ว และผมก็ได้ของขวัญชิ้นใหม่จากพ่อ คุณอยากดูไหมว่าพ่อชูนามให้อะไรผม”
“วิเหนื่อย ขอวิอาบน้ำก่อนนะคะ”
วิภาวีจะเดินหนี แต่ปานเทพรีบวิ่งเข้ามากระชากแขนไว้
“แต่ผมอยากให้คุณดู”
วิภาวีโมโห เจ็บแขนมาก “ปานเทพ ปล่อย ฉันเจ็บนะ”
ปานเทพลากวิภาวีมาที่โต๊ะทำงานในห้อง แล้วหยิบปืนมาจ่อใส่หน้าวิภาวี ทำเอาวิภาวีใจหายวาบ ตกตะลึงพรึงเพริด
“คุณเอาปืนมาทำไม”
“พ่อบอกว่าปืนมันจะขลัง ต้องเซ่นชีวิตให้ปืน 1 ศพ”
ปานเทพหันกระบอกปืนไปทางเมียรัก วิภาวีเข่าอ่อน โวยวายใส่ปานเทพ พร้อมกับพยายามปัดกระบอกปืนออกไป
“คุณเล่นบ้าอะไรปานเทพ”
ปานเทพจับคางวิภาวีแน่น ให้หันหน้ามามองตัวเอง
“ผมดูเหมือนคนโง่ไหมวิ”
“คุณพูดบ้าอะไร”
ปานเทพตบหน้าวิภาวีเต็มแรง จนร่างวิภาวีเซไปชนกับโต๊ะล้มลง เหลียวขวับมามองอย่างโกรธแค้น
“คุณตบฉันทำไม”
ปานเทพเข้ามากระชากแขนวิภาวีให้ลุกขึ้น
“แค่นี้ยังน้อยไปกับสิ่งที่คุณทำกับผม”
“ฉันไปทำอะไร”
ปานเทพหยิบมือถือที่มีรูปวิภาวีจูบธีรพงษ์ปาใส่วิภาวี
วิภาวีหลบวูบ แล้วหันมามองหน้าจอมือถือ พอเห็นรูปแล้วชะงัก
“ทำผมเป็นควายไง” ปานเทพเอาปืนจ่อหน้าผากวิภาวี “เพราะคุณ ผมต้อง เสียตำแหน่งลูกรักให้ไอ้ปรก แล้วคุณยังจะมาสวมเขาผมอีกเหรอ”
วิภาวียกมือไหว้ขอชีวิต “ได้โปรด อย่าทำอะไรฉัน อย่างน้อยก็นึกถึง ความดีที่ฉันเคยช่วยคุณบ้าง”
“ก็เพราะผมเห็นแก่ความดีที่คุณเคยทำไว้ไง ผมถึงไม่ฆ่าคุณ”
ปานเทพหันไปหยิบตั๋วเครื่องบินปาใส่หน้าวิภาวี
“เก็บของออกไปจากบ้านนี้ซะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจใช้ชีวิตคุณ เซ่นปืนใหม่ของผม”
“ไม่นะปานเทพ อย่าไล่ฉัน”
ปานเทพกระชากแขนวิภาวี แล้วเหวี่ยงออกไปนอกห้องด้วยแรงโทสะ
“ไป๊”
วิภาวีเดินออกมาตามทางหน้าตึก ด้วยสภาพสะบักสะบอม ตรงไปทางประตูรั้ว ปานรุ้งเดินมายืนขวางหน้าวิภาวี โดยมีน้อยกับธันวาเดินตามหลัง
“ไม่เสียแรงนะน้อย ที่ฉันหมั่นทำบุญ เสนียดที่เคยคิดว่ามันจะเกาะติดบ้าน บทจะกำจัดได้ ก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ” ปานรุ้งจ้องตากับวิภาวี “ไงจ๊ะ รูปที่ฉันถ่ายเธอกับธีรพงษ์ สวยไหม”
วิภาวีมองปานรุ้งอย่างแค้นคั่ง
“แกนี่เอง แก”
วิภาวีพุ่งเข้าไปจะตบ ปานรุ้งจับมือนั้นไว้ แล้วตบหน้าสวนออกไปเต็มแรง วิภาวีเซ แล้วหันมาพุ่งเข้าใส่จะตบปานรุ้งให้ได้ แต่ถูกปานรุ้งตบอย่างแรง คราวนี้ร่างวิภาวีล้มคว่ำลงกับพื้น แล้วจะลุกขึ้นสู้อีก แต่ปานรุ้งเดินเข้ามาเอาเท้าเหยียบหน้าอกวิภาวีไว้
“คงคิดสินะว่าแกแน่กว่าฉัน ทำให้ลูกชายเกลียดฉันได้ แกคิดผิด ที่ฉันปล่อยแกไว้ เพราะรอเวลาเคาะเศษที่ติดใต้รองเท้าฉันออก แล้วก็เหยียบขยี้มันอย่างนี้”
ปานรุ้งเหยียบหน้าอกวิภาวีแรงมากขึ้น บิดแล้วขยี้
“จำใส่กะโหลกหนาๆ แกไว้ คนอย่างแกไม่มีวันเอาชนะฉันได้ สุดท้ายฉันก็ได้ลูกชายของฉันคืน”
ปานรุ้งยกขาออก แล้วหันไปสั่งบอดี้การ์ด 2 คน ที่รอรับคำสั่งอยู่
“ลากมันไปส่งสนามบิน ดูจนกว่ามันจะขึ้นเครื่องบิน ฉันไม่อยากเห็นหน้ามันบนแผ่นดินนี้อีก”
“ครับคุณหญิง”
บอดี้การ์ด 2 น้อมรับคำสั่ง แล้วเข้าไปลากตัววิภาวี
วิภาวีพยายามดิ้น “ปล่อยฉัน”
ปานรุ้งเดินนำเข้าบ้านไป ธันวา และ น้อย เดินตาม
วิภาวีมองปานรุ้งอย่างอาฆาตแค้น
ปานรุ้งเดินเข้าห้องโถงมา แล้วหันมากำชับธันวา
“เดี๋ยวเธอโทร.เช็คคิวคุณหญิงรพีพรรณให้ฉันด้วยนะ ดูสิท่านว่าง วันไหน ฉันจะขอนัดท่านกินข้าว”
“ได้ครับคุณหญิง”
“และเช็คคิวลูกสาวของท่านด้วย”
“เอ่อ ลูกสาวคนโตหรือคนเล็กครับ”
“คนโตอายุไล่เลี่ยกับปานเทพใช่ไหม”
“ครับ”
“ส่วนคนเล็กก็ไล่เลี่ยกับปกรณ์ใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นนัดทั้งสองคน เรื่องของปานวาดสอนฉันให้รู้ว่าอะไรที่ฉันทำได้ ฉันควรทำทันที ไม่อย่างนั้นต้องนั่งเสียใจทีหลัง”
ปานรุ้งมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว สีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
ในรถตู้ที่แล่นมาช้าๆ บนถนน วิภาวีนั่งด้านหลังรถคนเดียว คอยมองบอดี้การ์ดที่นั่งหน้ารถ อีกคนขับรถ เพื่อหาจังหวะหนี
ถัดมาไม่นาน วิภาวีมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นรถจอดติดเป็นแพ หล่อนตัดสินใจเปิดประตู แล้ววิ่งหนีออกจากรถทันที
บอดี้การ์ด 1 ตกใจ จอดรถทิ้งกลางถนน จากนั้น 2 คน รีบลงจากรถ ตามวิภาวีไปโดยเร็ว
ริมถนนบริเวณนั้นผู้คนพลุกพล่านวิภาวีวิ่งหนีสุดชีวิต พาตัวเองเข้าไปในฝูงชนตรงริมฟุตบาทนั้น บอดี้การ์ด 2 คน วิ่งตามมาติดๆ
พอบอดี้การ์ด 2 คนวิ่งฝ่าฝูงกลุ่มคนเข้าไป แต่กลับหาวิภาวีไม่เจอ
บอดี้การ์ด 1 บอก “เดี๋ยวแกไปทางนั้น ฉันไปทางนี้เอง”
บอดี้การ์ด 2 คนแยกกันไป ซ้ายคน ขวาคน
รอจนสองคนลับตัวไป วิภาวีจึงออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่หลังรถตู้แถวนั้น นัยน์ตาวาวโรจน์เมื่อนึกถึงหน้าปานเทพ
“คิดว่าฉันจะไปมือเปล่าเหรอ ไม่มีทาง”
รุ่งเช้า ปานรุ้งอยู่ในห้องทำงานที่บ้านสมุทรเทวา กำลังระเบิดอารมณ์ใส่บอดี้การ์ด 2 คน อย่างกราดเกรี้ยว โดยมีธันวายืนอยู่ข้างๆ
“ผู้หญิงตัวเท่าหมาคนเดียว พวกแกปล่อยมันไปได้ยังไง”
บอดี้การ์ด 1 จ๋อยสนิท “พวกผมตามหาทั้งคืนแล้วนะครับคุณหญิง แต่ไม่เจอ”
“บางทีคุณวิภาวีอาจหนีไปที่อื่นแล้วก็ได้นะครับคุณหญิง” ธันวา
“เธอรู้จักคำว่าหอกข้างแคร่ไหมธันวา นังวิภาวีมันไม่ใช่คน มันเป็นงูพิษ ปล่อยมันไปได้อย่างนี้ มันต้องย้อนกลับแว้งกัดแน่”
ปานรุ้งพูดด้วยรู้เช่นเห็นชาติผู้หญิงคนนี้มากกว่าใคร
อีกฟาก ปานเทพต่อยธีรพงษ์จนล้มลงกับพื้นห้องรับแขกบ้านนวรัตน์ ธีรพงษ์พยายามยันตัวเองขึ้นมา
นวรัตน์กับชูนามยืนกอดอกมองอยู่
“คุณปานเทพฟังผมก่อน...”
ธีรพงษ์พูดไม่ทันจบคำปานเทพเดินเข้าไปเตะเสยคางเต็มแรง จนธีรพงษ์เลือดพุ่งออกปาก ร่างกลิ้งกระเด็นไปนอนซบพื้นคาเท้าของชูนาม
“มึงเป็นชู้กับเมียกู ยังต้องให้กูฟังอะไรมึงอีก”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจ คุณวิภาวีชวนผมไปดื่ม แล้วผมก็เมา”
ปานเทพยิ่งแค้น “มึงจะบอกว่าเมียกูอ่อยมึงเหรอ”
ปานเทพจะเข้าไปกระทืบธีรพงษ์ซ้ำ แต่ชูนามรีบเข้าไปห้ามปานเทพ
“ใจเย็นๆ ปานเทพ สันดานผู้หญิงที่ไม่รู้จักพอมันก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ดูอย่างแม่ลูกสิ ขนาดทำตัวเป็นผู้ดี ยังมีผัวตั้งสามคนเลย”
ปานเทพฟังแล้วโกรธ “พ่ออย่าเอาแม่มาเทียบกับผู้หญิงอย่างวินะครับ”
“พ่อขอโทษ เอาเป็นว่าอย่าให้เรื่องผู้หญิงมักมาก มาทำลายเรื่องธุรกิจของเราเลยนะ” ชูนามกระซิบหูปานเทพ “แผนเรายังไม่สำเร็จต้องใช้ ไอ้ธีรพงษ์อีกเยอะ อย่าลืมสิลูก”
ปานเทพฮึดฮัด โกรธจัด แต่ทำอะไรไม่ได้
นวรัตน์เอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่าธีรพงษ์ก็ถูกคุณปานเทพทำโทษสาสมแล้ว เรื่องนี้ขอให้จบ
กันนะคะ แล้วมาร่วมมือดำเนินแผนของเรากันต่อ”
“คุณนวรัตน์พูดถูก หลังจากปลอมลายเซ็นปานรุ้งแล้ว เงินจะไหลออกมาจากบริษัทปานรุ้งเมื่อไหร่”
“ตอนนี้คุณปานรุ้งเอาแต่ยุ่งเรื่องตามหาคุณปานวาดจนไม่มีเวลา เช็คตรวจบัญชี ผู้จัดการบอกว่าไม่เกินอาทิตย์หน้า เงินจะหายจากบัญชีบริษัท P&ST AIRLINE เข้าบัญชีคุณนิชา 100 ล้าน “ ธีรพงษ์ว่า
“ต้องขอบคุณน้องสาวปานเทพนะ ที่หนีตามผู้ชายตามรอยแม่ทำให้เรามีโอกาสทอง”
ชูนามยิ้มร้ายสะใจเป็นที่สุด
เย็นนั้น โดม และ ปานวาด ช่วยกันล้างจานอยู่ที่หลังร้าน โดมนั้นเริ่มมีท่าทางกระสับสายเหมือนคนอยากยา เขาหยิบจานขึ้นมาเพื่อจะถูน้ำยา แต่มือสั่นด้วยความอยากยา เลยเผลอทำจานหลุดมือ ปานวาดหันมองอาการโดมอย่างตกใจ
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า” รีบก้มลงไปเก็บเศษจานที่แตก
“ฉันช่วยเก็บ เดี๋ยวเจ๊มาเห็นจะโดนหักตังค์”
กุชชี่เดินเข้ามาพอดี ถือแก้วน้ำมาด้วย 2 ใบ และข้าวกล่องอีก 2 กล่อง แน่นอนว่าแก้วใบหนึ่งผสมยาน้ำพลังม้าของโดม
“เห็นเจ๊เป็นคนงกขนาดนั้นเลยเหรอ”
ปานวาด กับ โดมชะงัก
“เพิ่งแตกใบแรกใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นยกให้ก่อน แต่ถ้ามีใบสอง 100 นึงนะจ๊ะ” สองคนพยักหน้ารับ “อ่ะ ข้าวกับน้ำ เพิ่มพลัง” กุชชี่ยื่นถุงข้าวกล่องกับแก้วน้ำไปตรงหน้าทั้งคู่
ปานวาดเอื้อมมือไปรับถุงข้าว แล้วจะหยิบแก้วน้ำพลังม้าของโดม
กุชชี่รีบยื่นอีกแก้วให้ปานวาดแทน
“แก้วนี้ของเธอ” แล้วยื่นน้ำพลังม้าให้โดม “ส่วนแก้วนี้ ของโดม”
โดมรีบรับไปแล้วดื่มอย่างคนกระหายน้ำมาก ปานวาดมองโดมสีหน้าฉงน กับท่าทางแปลกๆ ของเขา
กุชชี่มองโดมที่ยกน้ำขึ้นดื่มอั้กๆๆ แล้วยิ้มในสีหน้า
ดูออกว่าโดมเริ่มติดยาที่หยอดใส่ไปในน้ำดื่มแล้ว
สองคนผัวเมียอยู่ในห้องพัก ปานวาดหลับอยู่บนเตียง ส่วนโดมนอนไม่หลับกระสับกระสายอยู่ข้างๆ เหงื่อกาฬแตกเต็มหน้า พลิกไปพลิกมา เพราะอยากยา
สุดท้ายโดมลุกพรวดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แต่แล้วชะงักกึก พยายามคิดหาสาเหตุว่าตัวเองเป็นอะไร
โดมคิดไปคิดมาอยู่สักครู่ จึงนึกอะไรได้
เขานึกไปถึงตอนรับแก้วน้ำจากกุชชี่ครั้งแรก รวมทั้งตอนที่เขารับแก้วน้ำจากเต้อีก แล้วเห็นเต้ยิ้มเจ้าเล่ห์
และเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่กุชชี่เอาน้ำมาให้ตอนล้างจานอยู่
“อ่ะ ข้าวกับน้ำ เพิ่มพลัง” กุชชี่ยื่นถุงข้าวกล่องกับแก้วน้ำไปตรงหน้าทั้งคู่
ปานวาดเอื้อมมือไปรับถุงข้าว แล้วจะหยิบแก้วน้ำพลังม้าของโดม
แต่กุชชี่รีบยื่นอีกแก้วให้ปานวาดแทน
“แก้วนี้ของเธอ” จากนั้นยื่นน้ำพลังม้าให้โดม “ส่วนแก้วนี้ ของโดม”
โดมรีบรับไปแล้วดื่มอย่างคนหิวกระหายน้ำมาก
โดมดึงตัวเองกลับมา นึกทบทวนท่าทีแปลกๆ ของตัวเอง แล้วคิดออกว่า หรือตัวเองกำลังจะติดยา
“ยา”
วันถัดมา ปานวาดกับโดมหลบมายืนคุยกันอยู่ที่มุมลับตาคนหลังร้าน ปานวาดออกอาการตกใจ
“อะไรนะ เราไปหางานที่อื่นทำเหรอ”
“ใช่”
“ทำไมล่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าคุณมีปัญหากับใคร บอกฉันได้นะ”
โดมหงุดหงิด เผลอตะคอกปานวาด “อย่าถามมากได้ไหม”
เห็นปานวาดชะงัก โดมจึงได้สติ รีบจับมือปานวาดมากุม พูดปลอบ “ขอโทษนะวาด แต่เชื่อผมนะ เราต้องหนีจากที่นี่ แล้วไปหางานที่อื่นทำ”
“ได้ ฉันจะเชื่อคุณ”
“งั้นคืนนี้เลิกงานแล้ว คุณเก็บของแล้วมารอผมตรงที่ทิ้งขยะหลังร้านนะ”
ปานวาดพยักหน้า
กุชชี่แอบมองโดมกับปานวาดอยู่ที่มุมหนึ่ง ดูออกว่าสองคนคิดจะหนี รีบกดโทรศัพท์หาเต้ทันที
“ไอ้เต้ ท่าทางม้าจะแหกคอกว่ะ”
ที่ออฟฟิศ พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ นิชาเดินถือแฟ้มงานออกจากห้องปานเทพ เดินมาที่โต๊ะทำงานของเธอซึ่งอยู่แถวหน้าห้องปานเทพ แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นกระจาดใส่ลูกชุบขนาดใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ
ปรกเดินมาข้างหลัง
“เขาว่าคนทำงานหนัก ถ้ากินของหวานแล้วจะหายเหนื่อย”
“และอ้วนด้วย” นิชาต่อให้
“ก็ดีสิ กัปตัน สจ๊วตในบริษัทนายแม่จะได้ไม่มองคุณ ให้ไปมองแต่สาวๆ แอร์โน่น สวยๆเยอะแยะ”
“พูดอย่างนี้ แบบว่าคุณก็เคยมองสาวแอร์เหมือนกัน ถึงรู้ว่าสวยๆเยอะ”
ปรกพึมพำ “อ้าว งานเข้าตูเลย”
“พูดอย่างนี้แปลว่ามองจริง”
ปรกปฏิเสธพัลวัน “ไม่เคย คุณก็รู้ว่าวันๆ ถ้าผมไม่ออกป่าก็อยู่ในกรม แทบไม่เคยเข้าบริษัทนายแม่เลย”
“แล้ววันนี้มาทำไมคะ”
“ว่าจะมาชวนสาวแถวนี้ไปกินข้าวสักหน่อย ไม่รู้สาวแถวนี้จะว่างรึเปล่า”
ปานรุ้งเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นปรกก็ดีใจ
“อ้าวปรก มาพอดีเลย แม่ว่าจะโทร.หาอยู่เชียว”
ปรกยกมือไหว้ปานรุ้งพลางถาม “นายแม่มีอะไรเหรอครับ”
“แม่จะให้ปรกไปรับปกรณ์แทนแม่ ตอนนี้แม่ยุ่งบริษัทของพี่ปานเทพ กับเรื่องปานวาด แทบไม่มีเวลาดูแลปกรณ์ ปรกคอยรับส่งน้องแทนแม่หน่อยนะ”
ปรกเหลือบมองดูท่าทีนิชา ส่วนนิชาหน้านิ่งเพราะแอบคิดในใจอยู่แล้วว่าคงไม่ได้ไปกับปรก
“ครับนายแม่”
“ขอบใจมาก”
ปานรุ้งเดินออกไป
ปรกชวนนิชา “คุณไปรับปกรณ์กับผมไหม แล้วแวะหาอะไรกินกันต่อ”
“ฉันยังทำงานไม่เสร็จ คุณไปเถอะ”
“นิชา...”
“ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันเริ่มชินกับการมีสามีเป็นบุคคลสาธารณะแล้วล่ะ”
นิชาพูดจบ ก็หยิบแฟ้มงานอื่น เดินออกไป ปรกมองตามด้วยสีหน้าเซ็งปนเครียด
วิรินทร์ใส่หมวกกันน็อค ปกรณ์เดินมาถอดหมวกกันน็อคนั้นออกจากหัววิรินทร์
“ถอดหมวกเราทำไม เอาหมวกคืนมา เราจะรีบกลับบ้าน”
ปกรณ์ไม่ยอมคืนหมวกให้ “เมื่อกี้พี่ปรกโทร.มาว่า นายแม่ให้พี่ปรกคอยรับ ส่งเราแล้ว”
วิรินทร์ดึงหมวกกันน็อคจากปกรณ์
“พี่ชายนายมารับ แล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ”
ปกรณ์แย่งหมวกกันน็อคจากวิรินทร์
“อ้าว ก็เดี๋ยวเราไปส่งบ้านรินทร์เองไง พี่ปรกรู้เรื่องของเราอยู่แล้ว ถ้าเราบอกให้พี่ปรกคอยรับ ส่งรินทร์ด้วย พี่ปรกไม่ว่าอะไรแน่ๆ”
วิรินทร์ดึงหมวกกันน็อคจากปกรณ์มาจนได้
“พี่ชายนายไม่ว่า ที่คนที่บ้านเราอาจไม่ชอบก็ได้”
“ถ้านายถึงผู้ชายที่ต่อยเรา เราไม่สนใจหรอก”
“เราหมายถึงแม่เรา”
“แม่รินทร์ยิ่งไม่ว่าใหญ่ แม่รินทร์อาจจะชอบด้วยซ้ำที่เราไปส่งรินทร์ รินทร์จะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขี่มอเตอร์ไซค์อีก”
วิรินทร์มองปกรณ์ สภาพน้ำท่วมปาก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าแม่อาจไม่ปลื้มที่ตัวเองคบกับปกรณ์ก็ได้
เย็นเดียวกันนั้น แววยื่นตะกร้าผ้าที่จะรีดให้สาที่รับมายิ้มๆ
“นี่ ยายสา แกจะทำงานทำไมให้ลำบากอีก ลูกสาวแกได้แฟนรวยแล้วนะ”
สามองแววงงๆ “แฟน แฟนที่ไหนพี่แววรวยอะไร”
“อ้าว ก็ไอ้หนุ่มตัวขาวๆ หน้าตี๋ๆ ไง เมื่อวันก่อนฉันเห็นไอ้ตี๋ที่นั่ง รถตู้คันใหญ่ๆ น่ะ มารับไอ้รินทร์ แล้วก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเรียนกัน”
“อะไรนะ”
“ฉันก็ว่า ไอ้เข้มมันเทียวไปเทียวมาหาไอ้รินทร์ แต่ไอ้รินทร์ไม่สนใจ ที่แท้ไอ้รินทร์มันก็ฉลาด คิดหาผัวรวยๆ อย่างนี้นี่เอง”
สายิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบว่าอะไร
คืนนั้น วิรินทร์รีดผ้าอยู่ ส่วนสาพับผ้าอยู่ใกล้ๆ คอยมองลูกสาว แล้วตัดสินใจถามขึ้น
“รินทร์ แม่ถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้สิแม่”
“รินทร์กับปกรณ์เป็นแฟนกันหรือเปล่า”
วิรินทร์ชะงัก “ทำไมแม่ถามแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
“ที่แม่ถามก็เพราะแม่เป็นห่วง ความจริงถ้ารินทร์จะคบกับปกรณ์ แม่ก็ไม่ได้ว่าหรือรังเกียจอะไรหรอก เพราะแม่เองก็รู้ว่าท่าทางปกรณ์ จะชอบรินทร์มาก แต่แม่อยากเตือนเอาไว้หน่อย เค้ากับเรามันคนละชั้นกันนะลูก แม่ไม่อยากให้ใครมองว่ารินทร์จับคนรวยเป็นแฟน”
วิรินทร์อึ้งไป เพราะเห็นจริงในสิ่งที่แม่พูดเตือน
อ่านต่อตอนที่ 19