บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 17
ในเวลาเดียวกัน สามคนหารือกันเครียดอยู่ภายในห้องทำงานของปานรุ้ง ที่ชั้นล่างบ้านสมุทรเทวา วาสุเทพนั้นถึงกับมองปานรุ้งด้วยอาการตะลึงตะไล
“รุ้งพูดว่ายังไงนะ”
“นายโดมเป็นลูกชายของกติยาค่ะ”
วาสุเทพชะงัก หวนคิดถึงคืนที่เจอโดมครั้งแรกหน้ารั้วบ้านสมุทรเทวานี่เอง
เวลานั้นวาสุเทพมองจ้องโดม “เธอเป็นใคร ชื่ออะไร”
“ผมชื่อโดมครับ เป็นเพื่อนกับวาด”
“แล้วพ่อแม่เธออยู่ไหน ทำไมถึงปล่อยลูกให้มาปีนบ้านคนอื่นอย่างนี้ บอกฉันมาสิว่าพ่อแม่ชื่ออะไร”
“เอ่อ พ่อผมเสียแล้วครับ”
วาสุเทพดึงตัวเองออกมา นิ่งคิด รู้สึกสังหรณ์ในใจโดยประหลาด
“นี่ยาแต่งงานใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาอย่างนี้ พี่จะไปคุยกับยาเอง”
ปานรุ้งดึงแขนไว้ “อย่าค่ะ ขืนยาเห็นพี่เทพ เดี๋ยวจะยิ่งบ้าไปกว่านี้ตอนนี้พี่เทพกับเกื้อต้องช่วยฉันหาปานวาดให้เจอ ก่อนชีวิตวาดจะพังเพราะลูกชายกติยา”
ส่วนสองบ่าวสาวอยู่ในห้องหอ ซึ่งเป็นห้องนอนเก่าของปรกนั่นเอง นิชานั่งปลดตุ้มหูและเครื่องประดับอยู่หน้ากระจก พอจะปลดตะขอสร้อยด้านหลังคอ แต่ปลดไม่ถึง
“คุณปรก คุณช่วยปลดตะขอสร้อยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”
ปรกยืนมองเหตุการณ์ข้างล่างจากทางหน้าต่าง นิชาไม่ได้ยินเสียงตอบรับของปรก จึงหันไปหา
“คุณปรก”
ปรกพูดพึมพำพร้อมกับมองไปข้างล่างดังเดิม “ผมว่าข้างล่างต้องเกิดเรื่อง”
นิชาเดินไปหามองลงไปเบื้องล่างทางหน้าต่าง
“ดูสิ ทั้งพ่อเกื้อ ทั้งคุณพ่อ รีบร้อนออกไปข้างนอกอย่างนี้ อาจเกี่ยวกับวาด”
ปรกร้อนใจจะเดินไปที่ประตู เพื่อออกจากห้อง
นิชารีบดึงแขนสามีไว้ “คุณจะไปไหน”
“ผมจะไปถามให้รู้เรื่อง”
“แต่เราเพิ่งถูกส่งตัวนะคะ โบราณเขาว่าไว้ว่าคืนส่งตัว ห้ามเจ้าบ่าว เจ้าสาวออกจากห้อง”
ปรกมองแล้วยิ้มกริ่มจับมือนิชามากุม ”อย่างคุณเนี่ยนะเชื่อโบราณ คุณอาบน้ำพักผ่อนไปก่อน ขอผมไปดูนายแม่แป๊บนึง เดี๋ยวผมมา”
ปรกจะเดินไปแล้วหยุดกึก หันกลับมาโขมยหอมแก้มนิชาหนึ่งฟอด
“มัดจำไว้ก่อน คุณจะได้เชื่อว่าคืนนี้ผมไม่หนีไปไหน”
ปรกเดิมยิ้มออกไป นิชามองตามแล้วถอนใจ อดกังวลไม่ได้ที่เห็นปรกห่วงครอบครัวมากขนาดนี้
ปรกลงบันไดมา มองหาคนในบ้านเพื่อสอบถาม จนเห็นว่าปกรณ์นั่งหน้าเครียดอยู่เงียบๆ ลำพัง จึงเดินเข้าไปหาน้องชาย
“ปกรณ์”
“อ้าว พี่ปรก ออกมาทำไม ส่งตัวเข้าห้องหอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้พี่เห็นคุณพ่อกับพ่อเกื้อรีบออกไปข้างนอกกัน ท่านไปไหน”
ปกรณ์หน้าเครียดลง “คุณพ่อกับคุณอาเกื้อออกไปสั่งคนตามหาพี่วาดน่ะพี่”
“ตกลงหาวาดไม่เจอเหรอ”
ปกรณ์ส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่วาดจะเป็นยังไงบ้าง”
รถกติยาที่โดมขับชะลอความเร็วลง จนจอดนิ่งริมถนนก่อนจะเข้าตัวเมืองพัทยา โดมลงรถ ปานวาดลงตาม แล้วเดินมาหาโดม
“ไหนพี่โดมบอกจะพาวาดไปบ้านเพื่อนพี่โดมไง แล้วทำไมถึงจอดรถตรงนี้ล่ะ”
โดมมองปานวาดอย่างกังวล “พี่ไม่อยากพาวาดหนีมาอย่างนี้ พี่เคยรับปากกับพ่อของวาดว่าพี่จะเข้าบ้านวาดอย่างถูกต้อง เรากลับกรุงเทพฯเถอะ”
“เรากลับกรุงเทพฯแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” สาวหน้าใสใจแตกบอก
“แต่วาดรู้ไหมว่าทำอย่างนี้ วาดมีแต่เสียกับเสีย”
“แปลว่าพี่โดมไม่อยากเสี่ยงที่จะรักวาดแล้ว”
โดมจับมือปานวาดมาทาบอก “ไม่เลย เพราะพี่รัก พี่ถึงไม่อยากให้วาดเสียหาย”
“ที่วาดทำก็เพราะรักพี่โดมเหมือนกัน วาดอยากทำให้นายแม่เห็นว่า นายแม่อาจจะคิดถูกหลายอย่าง แต่บางอย่างนายแม่ก็คิดผิด พี่โดมไม่ใช่คนอย่างที่นายแม่คิด วาดจะทำให้นายแม่เห็นว่าวาดเลือกคนไม่ผิด”
โดมมองอย่างซาบซึ้งใจ “วาด” เขาเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ คล้ายจะจูบปากปานวาด
ส่วนปานรุ้งนั่งอยู่บนเตียงนอนปานวาดด้วยความรู้สึกสับสน โกรธที่ลูกทำแบบนี้ แต่ก็คิดถึง และเป็นห่วงลูกสาวจับใจ ยอดหญิงนักธุรกิจภาวนาจิตกับวิญญาณคมขวัญ
“แม่คะ คุ้มครองวาดด้วย เวรกรรมอะไรที่รุ้งเคยทำ ขอให้มาลงที่รุ้ง อย่าให้วาดเป็นอย่างที่กติยามันหวัง ได้โปรด ดลใจวาดให้กลับบ้านด้วย”
ปรกเปิดประตูห้อง แล้วเดินเข้าห้องมาพร้อมปกรณ์
“นายแม่”
ปานรุ้งพยายามหันมา ฝืนยิ้มให้ลูกทั้งสอง
“ไม่ต้องห่วงนะลูก ปานวาดต้องไม่เป็นอะไร”
ปกรณ์เดินเข้าไปกอดปลอบใจและให้กำลังใจคุณหญิงมารดา ปรกมองปานรุ้งอย่างเห็นใจ แล้วคิดถึงปานวาดว่าอยู่ที่ไหน
วิภาวีแอบดูปานรุ้งอยู่หน้าห้องครู่หนึ่ง หันกลับมายิ้มเยาะอย่างสะใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะนายแม่ ป่านนี้ลูกสาวนายแม่ขึ้นสวรรค์วิมานไปแล้ว”
โดมจะจูบปานวาด ริมฝีปากชิดกับปากอิ่มของปานวาด แต่แล้วเขาหยุดชะงักเหมือนคิดบางอย่างได้ ไม่ยอมจูบ เคลื่อนหน้าห่างจากปานวาด
“พี่จะไม่ทำให้วาดผิดหวัง ว่าวาดเลือกไม่ผิดคน”
ปานวาดยิ้มชื่น แล้วสวมกอดโดมเต็มรัก
เช้าวันต่อมา ปานรุ้งนั่งที่โต๊ะอาหาร มีปานเทพ วิภาวี ปรก นิชา ปกรณ์นั่งร่วมโต๊ะ ปานรุ้งหน้าเศร้าเมื่อมองไปยังเก้าอี้ประจำของปานวาดที่เวลานี้ว่างเปล่า
นิชาอดเห็นใจไม่ได้ จึงเลื่อนแก้วนมอุ่นให้ปานรุ้ง
“เดี๋ยวน้องปานวาดก็มา นายแม่ดื่มนมรักษาสุขภาพหน่อยนะคะ”
วิภาวีรีบพูดน้ำเสียงเยาะ “นายแม่ไม่ดื่มนมหรอกจ้ะน้องนิชา นายแม่ดื่มแต่กาแฟ”
ปานรุ้งปรายหางตามองวิภาวี แล้วรับแก้วนมจากนิชา
“ขอบใจนะ”
ปานรุ้งยกแก้วนมมาดื่ม
วิภาวีข่มความไม่พอใจไว้ รู้ว่าปานรุ้งจงใจหักหน้าตัวเอง จงใจพูดเหน็บนิชา
“เมื่อคืนน้องนิชาคงนอนหลับสบายนะจ้ะ พี่เห็นกว่าคุณปรกจะกลับเข้าห้องก็เกือบเช้ามืดเชียว”
นิชาย้อน “พี่ปานเทพก็คงหลับสบายนะคะ เพราะกว่าคุณวิจะนอนก็คงหลังจากดูคนอื่นเสร็จ”
วิภาวีมองนิชาอย่างไม่พอใจ ตั้งท่าจะด่ากลับ แต่ปานรุ้งพูดแทรกเสียงเข้ม
“นี่โต๊ะกินข้าว ใช้ปากไว้กินข้าว ถ้าจะใช้ทำอย่างอื่น ออกไปข้างนอก”
วิภาวีหงุดหงิดมาก
วาสุเทพเพิ่งกลับมาถึง เดินเข้ามาในห้องทานอาหาร ปานรุ้งรีบลุกไปหาทันที
“พี่เทพ ได้เรื่องปานวาดไหม”
วาสุเทพหน้าเครียด “ยัง แต่เพื่อนพี่ที่เป็นอธิบดีกรมตำรวจ สั่งลูกน้องให้ตรวจถนนทุกสาย เช็คกล้องวงจรปิดทุกที่ที่ติดตั้งกล้องแล้ว ไม่นานคงรู้ว่าวาดอยู่ที่ไหน”
ปานรุ้งรู้สึกผิดหวัง ปานเทพรีบเข้าไปกอดปลอบ
“ผมว่าวันนี้นายแม่นอนพักที่บ้านเถอะครับ ส่วนเรื่องงาน เดี๋ยวผมดูแลให้เอง” ปานเทพว่า
ธันวาเดินหน้าเครียดจัดเข้ามา
“คุณหญิงครับ”
ปานรุ้งหันไปมองเลขาคู่ใจ
“มีอะไรธันวา”
ธันวามองปานรุ้ง แล้วหันไปทางปานเทพ
ไม่นานต่อมา ปานรุ้งวางแฟ้มเอกสารสัญญาซื้อเครื่องบินของปานเทพลงบนโต๊ะทำงานที่บ้านอย่างแรง ปานเทพนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้น
“ซื้อเครื่องบินราคาแพงขนาดนี้ได้ยังไงปานเทพ ทำไมจะทำอะไรถึงไม่ปรึกษาแม่ก่อน”
“ผมทราบว่าราคาเครื่องบินนี่แพงกว่ารุ่นอื่น แต่มันเป็นเครื่องบินใหม่บริษัทผมเปิดใหม่ ถ้าไปซื้อเครื่องบินราคาถูก ลูกค้าที่ไหนจะเชื่อถือล่ะครับ”
“แต่มันไม่จำเป็นต้องแพงกว่าราคาตลาดถึง 2 เท่าแบบนี้” ปานรุ้งพยายามใจเย็น “เอาเถอะ แม่ผิดเอง ที่ไม่ทันคิดว่าลูกเพิ่งเรียนจบมา ยังไม่มี ประสบการณ์ เอาเป็นว่า แม่จะให้คุณลุงวาสุเทพช่วยลูกดูแล บริษัทก่อน”
ปานเทพพูดสวนออกมา “แต่ผมไม่ต้องการคุณลุง”
“แต่ปานเทพต้องมีคนที่รู้เรื่องธุรกิจการบินคอยดูแล แนะนำ”
“ผมมีคนมาช่วยดูแล แนะนำแล้วครับ”
“ใคร” ปานรุ้งมองฉงน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ชูนามรับฟังที่วิภาวีมารายงานถึงมุมกาแฟภายในสนามไดรฟ์กอล์ฟ แล้วถึงกับหัวเราะขำปานรุ้งออกมา อย่างสะใจ
“ปานรุ้งผู้คิดว่าตัวเองเก่งและฉลาด แต่ก็คิดช้ากว่านายชูนามทุกที”
“แล้วตกลงคุณนวรัตน์จะส่งให้มาช่วยปานเทพคะคุณพ่อ”
สิ้นเสียงของวิภาวี นวรัตน์เดินเข้ามาพร้อมธีรพงษ์
“ที่ปรึกษาคนนึงของฉันเองค่ะ” พลางหันมาแนะนำกับชูนาม “คุณชูนาม นี่ธีรพงษ์ อะไหล่สำคัญที่ทำให้สายการบินของรัตน์ เติบโตถึงทุกวันนี้”
วิภาวีชะงัก เมื่อมองธีรพงษ์ แต่รีบเก็บอาการแอบปิ๊ง
ชูนามเข้าไปเชคแฮนด์ธีรพงษ์ นวรัตน์ยืนยิ้มพอใจอยู่ข้างๆ
“ผมขอบคุณคุณมาก ที่ยอมสละตำแหน่งที่ปรึกษาของคุณนวรัตน์ มาเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชายผม”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะคุณชูนาม อย่าลืมสิคะ ว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าไม่ช่วยเหลือกัน แล้วจะช่วยใคร”
ชูนามหันไปหาวิภาวี “เป็นยังไงวิภาวี หน่วยสนับสนุนคนใหม่ ถูกใจไหม”
วิภาวียิ้มให้ชูนาม แล้วมองจ้องธีรพงษ์นิ่ง
วิภาวีเดินออกมายืนเหมือนรอใครอยู่ตรงมุมด้านนอก ใกล้ลานจอดรถ จนธีรพงษ์เดินมุ่งมายังรถยนต์
วิภาวีเห็น จึงวิภาวีจงใจปลดซิปกระโปรงด้านหลังลงมาครึ่งหนึ่ง เกือบเห็นกางเกงใน ตั้งใจมาอ่อยเหยื่อ แล้วเดินสวนกับธีรพงษ์
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคะคุณธี”
“ครับ แล้วเจอกันนะครับ”
ขณะธีรพงษ์จะเดินไป วิภาวีแกล้งเดินนวยนาดเยื้องตัวอย่างมีจริต เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าซิปกระโปรงตัวเองหลุด
ธีรพงษ์เห็นก็เอ่ยขึ้น “คุณวิครับ”
วิภาวีลอบยิ้ม แล้วหันมาถามธีรพงษ์ด้วยสีหน้าซื่อใสไม่รู้เรื่อง “อะไรคะ”
“เอ่อ ซิปกระโปรงคุณหลุดน่ะครับ”
“อุ๊ย จริงเหรอคะ” วิภาวีแกล้งตกใจแล้วรีบเอามือคลำที่กระโปรงด้านหลัง จะดึงซิปรูดขึ้น แต่ทำทีเป็นรูดไม่ได้ “คุณธีช่วยวิหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”
ธีรพงษ์เดินเข้ามาใกล้ วิภาวีจงใจถอยหลัง ให้บั้นท้ายใกล้เป้ากางเกงผู้ช่วยสามีมากขึ้น ธีรพงษ์มองบั้นท้ายดินระเบิดตรงหน้า แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปใช้มือหนึ่งดึงซิป อีกมือทำเป็นจับชายกระโปรงเพื่อรั้งตัวให้รูดถนัด
วิภาวีใช้มือทำทีเหมือนคลำหาซิป แล้ววางทับมือของธีรพงษ์ ข้างที่จับชายกระโปรงอยู่
นั่นทำให้มือของธีรพงษ์สัมผัสสะโพกวิภาวีเต็มมือมากขึ้น
วิภาวีปรายตามองมาอย่างลึกล้ำ ธีรพงษ์สบตาคู่นั้นอย่างรู้ทันกัน ค่อยๆ รูดซิปขึ้นให้ แล้วก้มหน้ามาชิดที่ริมใบหูวิภาวี
“เรียบร้อยแล้วครับ”
วิภาวีมองธีรพงษ์ ขณะขยับตัวห่างออกมา ใส่จริตดีดดิ้นเล่นตัวนิดๆ แล้วหันไปยิ้มให้ธีรพงษ์
“เพื่อเป็นการขอบคุณ วิจะเตือนเรื่องนายแม่ไว้หน่อยนะคะ นายแม่เป็นคนขี้หวงลูก คงไม่ไว้ใจใครให้อยู่ใกล้ลูกเขาง่ายๆ ไม่แน่ ป่านนี้คุณอาจถูกสืบประวัติแล้วก็ได้”
“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าผมเตรียมตัวไม่ดีพอ ผมคงไม่ยืนตรงนี้”
คุณหญิงปานรุ้ง รับรู้เรื่องผู้ช่วยลูกชายแล้ว เวลานี้ลงนั่งบนเก้าอี้ห้องทำงานบริษัท พร้อมกับถามธันวาที่ให้ไปสอบประวัติธีรพงษ์ทันที
“นายธีรพงษ์ไม่มีประวัติอะไรน่าสงสัยเลยเหรอ”
“ไม่มีครับ มีแต่เป็นที่ปรึกษาอิสระของสายการบินต่างประเทศ ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับสายการบินของไทย โดยเฉพาะสายการบินของคุณนวรัตน์”
“จับตาดูนวรัตน์ให้ดีๆ สัญญาการซื้อเครื่องบิน มาจากตัวแทนที่นวรัตน์เคยมีข่าวว่าจะทำธุรกิจด้วย ฉันไม่ไว้ใจ”
“ได้ครับคุณหญิง”
“และที่สำคัญ ให้คนคอยดูชูนามกับร้อยกรองด้วย ได้ข่าวว่าหลังจากชูนามออกจากคุก ร้อยกรองล่ำซำขึ้นผิดหูผิดตา ฉันสังหรณ์ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายเครื่องบินนี่ด้วย”
“นอกจากให้ตามดูคนนอก คุณหญิงให้ตามดูคนในด้วยไหมครับ”
“หมายถึงวิภาวีน่ะเหรอ ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้มันบ้ากัดกับคู่แข่งใหม่ของมันไป เดี๋ยวมันก็ตายเพราะความอิจฉาของมัน”
ปานรุ้งหมายถึง นิชา สะใภ้รองคนสวยนั่นเอง
จริงดังที่ปานรุ้งคาดการณ์ไว้ จำปีถือถาดใส่กาน้ำชาและคุ้กกี้ราคาแพง จะมาวางที่โต๊ะโซฟาในห้องโถง วิภาวีกลับกลางข้างนอก เดินเข้ามา มองจำปีวางกาน้ำชาบนโต๊ะ
“นั่นอะไร คนกลับมาเหนื่อยๆ ไปเอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟสิ ไม่ใช่น้ำชา”
“เอ่อ หนูไม่ได้เอามาเสิร์ฟคุณวิค่ะ น้ำชานี่ของคุณนิชา”
วิภาวีชะงัก นิชาเดินคุยกับน้อย ออกมาจากทางห้องครัว
“ตอนนิชาอยู่บ้าน บ่ายๆ นิจะดื่มชากับคุณแม่”
“น้าน้อยเคยได้ยินคุณหญิงพูดว่าดื่มชาตอนบ่าย เป็นวัฒนธรรมของฝรั่งใช่ไหมคะ”
วิภาวีลอบมองอย่างหมั่นไส้ พูดกับจำปีจงใจกระทบนิชา
“จำปี ไปซื้อส้มตำ น้ำตก หมูย่างให้ฉันสิ ฉันมันคนไทย ขนาดฉันไปเรียนอยู่เมืองนอกตั้งหลายปี ฉันยังสำเหนียกว่าโคตรเหง้าไม่ได้เป็นฝรั่ง จะให้ทำตัวแบบฝรั่งคงไม่ไหว กะแดะ”
นิชาย้อนนิ่มนิ่ง แต่เจ็บ “แล้วที่เมื่อเช้าคุณวิสั่งให้จำปีเสิร์ฟ ไข่ดาว แฮม เป็นอาหารเช้า นิก็เพิ่งรู้ว่าโคตรเหง้าคุณวิเรียกนั่นว่าอาหารไทย”
วิภาวีโกรธ “นี่เธอด่าโคตรเหง้าฉันเหรอ”
“แล้วที่คุณวิพูดถึงโคตรเหง้านิเมื่อกี้ ด่ารึเปล่าล่ะคะ ถ้าด่า ก็ด่าค่ะ”
น้อยสะใจนัก พึมพำออกมา “เงิบเลยสิ”
“ฉันก็แค่พูดอย่างที่คิด เห็นว่าเป็นสะใภ้ด้วยกัน แทนที่จะเอาเวลามานั่งดื่มชา ไปทำงานหาเงินช่วยแม่ใช้หนี้ดีกว่าไหม”
“เรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องห่วงเลยค่ะ บังเอิญนิเป็นหุ้นส่วนคอนโดใหม่ที่นายแม่กำลังสร้าง ถึงนิไม่ทำงาน ก็มีเงินให้แม่ ไม่ต้องหวังพึ่งเงินจากสามีอย่างใคร”
น้อยเผลอตัวหัวเราะอย่างสะใจ รีบแก้ตัว แต่ไม่วายแดกดัน “ขอโทษค่ะ เผอิญคิดถึงละครฉากที่นาง อิจฉาถูกนางเอกด่า เลยขำขึ้นมา”
“นิขอตัวไปดื่มน้ำชาก่อนนะคะ ขอให้คุณวิกินส้มตำให้อร่อย แล้วอย่าลืมล้างปากล้างกลิ่นปลาร้านะคะ เดี๋ยวพี่ปานเทพจะได้กลิ่น แต่คนเป็นผัวเมียกัน ก็คงชินกับกลิ่นปากปลาร้าของเมียอยู่แล้วนะคะ”
นิชาเดินออกไปเลย วิภาวีมองตามตาถลน แค้นแทบกระอัก คำรามในลำคอ
“แกจะเปิดสงครามกับฉันอีกคนใช่ไหม ชีวิตแกได้เดือดร้อนเหมือนแม่ผัวแกแน่”
กติยากินก๋วยเตี๋ยวน้ำเสร็จ ดรุณียื่นแก้วยาพร้อมแก้วน้ำให้ลูก
“กินยาซะลูก”
กติยาจับมือดรุณีมากุม “แม่รักยาไหม”
ดรุณีชะงัก มองกติยา “ไม่มีแม่ที่ไหนไม่รักลูกหรอกลูก”
“ถ้าแม่รักยา อย่าเอาเรื่องโดมเป็นลูกพี่เทพไปบอกพี่เทพ แม่สัญญากับยาได้ไหม”
“ยา”
“แม่จำได้ไหม 20 กว่าปีที่ยามีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ยาอุ้มท้องโดมท่ามกลางเสียงชาวบ้านนินทาว่าท้องไม่มีพ่อ ทั้งๆที่ลูกยามีพ่อแต่สองคนนั้นหักหลังยา โดมต้องมีชีวิตอยู่กับคำถามว่าพ่อผมไปไหน แต่ยาก็บอกไม่ได้ว่าพ่อไม่รักเราสองคนแม่ลูก เขาทิ้งเราไปอยู่กับผู้หญิงสารเลว สองคนนั้นขโมยความสุขของยากับโดมไป สองคนนั้นต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม”
ดรุณีพยายามไม่ตอบโต้ “แม่เข้าใจ กินยาแล้วนอนพักซะ เดี๋ยวแม่ลงไปทำกับข้าวเย็นก่อน”
ดรุณีถือถาดใส่ชามก๋วยเตี๋ยว แล้วหันไปมองว่ากติยากินยาไหม มองจนเห็นว่ากติยาเอายาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม จึงออกจากห้องไป
พอคล้อยหลังแม่ กติยาก็คายยาทิ้งใส่ถังขยะไป เหมือนทุกครั้ง
“ยาไม่ยอมให้แม่ไปหาพี่เทพง่ายๆ หรอก”
ดรุณีเดินไป เดินมาอยู่ในห้องรับแขก รอเวลาให้กติยาหลับ มีสาวใช้นั่งอยู่ในนั้นด้วย
“หนูว่าคุณยาต้องรู้แน่ๆ ว่ายาที่คุณนายให้เป็นยานอนหลับ”
“ฉันรู้ว่ายารู้ แต่ฉันก็มีวิธีที่ทำให้ยาคิดไม่ถึง”
ได้ยินเสียงแก้วน้ำตกพื้นแตก เสียงดังจากห้องนอนของกติยา ดรุณีรีบขึ้นบันไดไปดู
กติยานอนหลับพับอยู่มือพาดขอบเตียง ข้างๆ มีแก้วตกแตกที่พื้น อาการดูออกว่ากติยาดื่มน้ำจนหมดแก้ว แล้วผล็อยหลับไป จนปล่อยแก้วหลุดมือตกแตกข้างเตียง
สองนายบ่าวเดินเข้ามาในห้อง ดรุณีเดินไปดูที่ถังขยะ พบเม็ดยาถูกทิ้งในนั้น ก่อนจะมองไปทางแก้วน้ำที่แตกบนพื้น สาวใช้สงสัย
“คุณนายทำยังไงให้คุณยาหลับได้คะ”
“เขาอาจไม่กินยาได้ แต่เขาคงคิดไม่ถึง ว่าฉันจะผสมยาในน้ำด้วย เก็บกวาดเศษแก้วซะ เธอเรียกแท็กซี่ให้ฉันแล้วใช่ไหม”
ดรุณีถามด้วยสีหน้ามาดหมาย
ปานรุ้งเดินออกจากลิฟท์ในชั้นล็อบบี้ พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ มาพร้อมวาสุเทพ
“พี่เทพไปคุยกับลูกค้าที่โรงแรมแทนรุ้งนะคะ รุ้งไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งนั้น รุ้งอยากไปหาเกื้อ อยากรู้ว่าเกื้อตามเรื่องวาดถึงไหนแล้ว”
“ได้ เชื่อพี่ เราเลี้ยงลูกด้วยความรัก ลูกต้องไม่ทำให้เราเสียใจ” วาสุเทพได้แต่ปลอบปานรุ้ง
“รุ้งก็ภาวนาอย่างนั้นค่ะ”
ปานรุ้งกับวาสุเทพเดินตรงไปที่ประตู
รถแท็กซี่คันหนึ่งจอดเทียบตรงริมฟุตบาทด้านนอกรั้วบริษัทพีแอนด์เอสที ดรุณีลงจากรถแท็กซี่คันนั้น มองตึกบริษัทอันยิ่งใหญ่ แล้วรีบเดินเข้าไป
ดรุณีเห็นวาสุเทพกำลังขึ้นรถตู้ จึงร้องเรียกวาสุเทพ
“พ่อเทพ”
รถแวนหรูของวาสุเทพเคลื่อนตัวออกจากตึก ดรุณีวิ่งตามพยายามร้องเรียก
“พ่อเทพ พ่อเทพ”
รถของวาสุเทพออกจากประตูรั้ว แล้วขับข้ามไปอีกเลนหนึ่ง ดรุณีมองตาม แล้วรีบวิ่งออกประตูรั้ว ไปยืนที่ริมฟุตบาท มองรถของวาสุเทพที่แล่นออกไปอีกเลนดรุณีไม่รอช้า รีบมองซ้ายมองขวาข้ามถนน
ยินเสียงแตรรถดังสนั่น ดรุณีวิ่งตัดหน้ารถคันนั้นไปยืนกลางถนนได้ แล้วหันหลังมามองรถที่บีบแตรไล่ อย่างใจหายใจคว่ำ ที่เกือบโดนรถชนเอา ดรุณีหันหน้าจะเดินข้ามถนนต่อ จู่ๆ มีรถอีกคันขับมาด้วยความเร็วสูง ชนร่างดรุณีเต็มๆ โดยไม่ทันตั้งตัว
ความลับที่กติยาอยากเก็บไว้ ยังคงเป็นความลับต่อไป เพราะ ดรุณีตายคาที่
วาสุเทพหันหลังไปดู พบว่ามีอุบัติเหตุรถชนคน โดยไม่รู้ว่าคนที่ถูกรถชนคือดรุณี วาสุเทพทำท่าจะลงไปให้ความช่วยเหลือ
“จอดรถก่อน” วาสุเทพจะเปิดประตูรถลงไป
“ท่านจะไปไหนครับ”
“จะไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
มือถือของวาสุเทพดังขึ้น นายพลเรือโทนอกราชการดูหน้าจอ เห็นว่าเป็นปานวาดโทรมา จึงไม่ลงจากรถ รีบกดรับสายอย่างตื่นเต้น
“วาด วาดอยู่ไหน รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วง บอกพ่อสิลูก เดี๋ยวพ่อไปรับ”
ปานวาดยืนคุยมือถือกับวาสุเทพอยู่มุมหนึ่งของตลาดในพัทยา
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงวาดนะคะ วาดพักอยู่กับเพื่อนพี่โดมสบายดี”
ในรถที่แล่นมา วาสุเทพคุยสายกับลูกสาวใจแตกด้วยความกังวล
“แต่ลูกเป็นผู้หญิง ไปอยู่กับผู้ชายอย่างนั้นไม่ได้ พ่อไม่ยอม”
“วาดปลอดภัยดีค่ะ พี่โดมให้เกียรติวาด วาดรู้ว่าวาดทำให้คุณพ่อเป็นห่วง แต่ที่วาดต้องทำ เพราะวาดอยากทำให้นายแม่เลิกบังคับวาดสักที แล้วยอมให้วาดคบกับพี่โดม อีกสองสามวันวาดก็กลับบ้าน แล้วค่ะ”
ปานวาดพูดมือถือ จนหันหลังมาเห็นโดมเดินมากับแฮคและเจ เดินตรงมาหา
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณพ่อ ไว้วาดจะโทรหาใหม่ สวัสดีค่ะ”
ปานวาดกดปิดเครื่องไปเลย
“โทร.หาพ่อเรียบร้อยแล้วเหรอวาด”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” คุณหนูไฮโซมองไปทางเจ “เพื่อนพี่เหรอคะ”
โดมแนะนำสองฝ่าย “นั่นเจ เพื่อนของไอ้แฮคน่ะ เพิ่งมาจากเชียงใหม่ นี่ปานวาดแฟนเรา”
เจมองปานวาดด้วยสายตายิ้มๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
โดมหันมาถามปานวาด “หิวรึยัง ..ไอ้แฮคบอกว่าอาหารทะเลร้านนั้นอร่อย เราไปกินกันไหม”
ปานวาดรีบพยักหน้า โดมพาปานวาดเดินไป
เจมองตามปานวาดไม่วางตา แฮคเห็นอาการ จึงรีบเตือน
“เฮ้ย เก็บอาการหน่อย อย่าลืมดิว่าที่แกต้องหนีจากเชียงใหม่เพราะ ไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน จนโดนผัวเขาไล่ยิงมา”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันก็แค่เห็นน้องเขาน่ารักดีเท่านั้นเอง”
เจนั้นลอบมองปานวาดด้วยสายตาหื่นกระหาย ดูไม่น่าไว้ใจเอาเลย
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 17 (ต่อ)
ฝ่ายปกรณ์มานั่งแกร่วอยู่แถวที่จอดรถมอเตอร์ไซค์คณะ รอวิรินทร์ ด้วยสีหน้ากังวลปนห่วงใยพี่สาวที่หนีตามโดมไป จนกระทั่งเห็นวิรินทร์เดินตรงมา ปกรณ์วิ่งเข้าไปหา
“รินทร์ เธอไปอยู่ไหนมา เราไปหาเธอที่คลาสก็ไม่เจอ เราถามเพื่อนเธอเขาก็บอกเธอย้ายเวลาเรียน”
วิรินทร์มองปกรณ์อย่างไม่พอใจ “ใครใช้ให้นายไปยุ่งกับเพื่อนเรา”
“ก็เราโทร.หาเธอ เธอก็ไม่รับ ไลน์หา เธอก็ไม่ตอบ เราอยากหาคนคุยด้วย เรื่องพี่สาวเรา”
“เรื่องของคนในครอบครัวนาย ไม่เกี่ยวกับเรานี่” วิรินทร์จะเดินหนี
ปกรณ์ยืนขวางทางไว้ “เธอเป็นอะไร โกรธเราเรื่องอะไร”
“หลบ”
“ไม่” ปกรณ์ยืนกราน
“หลบ”
“ไม่ ตอบมาก่อนว่าเป็นอะไร”
“เป็นตัวเชื้อโรค พอใจไหม” วิรินทร์ผลักปกรณ์ออกไปทันที “แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับเชื้อโรคอย่างเราอีก”
วิรินทร์เดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่อง แล้วขี่หนีไปดื้อๆ ปกรณ์มองตามงงๆ แล้วตัดสินใจวิ่งตามรถวิรินทร์ไป
วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนในมหา’ลัยโดยไม่หันมองปกรณ์ที่วิ่งตาม
“รินทร์ รินทร์”
วิรินทร์ที่ได้ยินเสียงเรียกของปกรณ์ ก็ชะงักนิดๆ อยากจะหยุดรถ แต่พอนึกถึงคำพูดของปานรุ้ง ก็ตัดสินใจบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างเร็วและแรง
ปกรณ์วิ่งตามมองเตอร์ไซค์วิรินทร์ จนเริ่มหอบเพราะเหนื่อย สุดท้ายหนุ่มน้อยขี้โรคทรุดลงไปกองกับพื้น
ปรกกับนิชาเดินเข้ามาด้วยกัน สองคนมารับปกรณ์แทนปานรุ้ง
นิชาหันไปเห็นปกรณ์ที่ทรุดนั่งกับพื้นตรงกลางถนนก็ชะงัก
“คุณปรก นั่นปกรณ์หรือเปล่า”
ปรกหันไปมองตาม เห็นน้องนั่งหอบอยู่ที่พื้นถนนก็ตกใจ รีบวิ่งไปหาทันที นิชาวิ่งตาม
“ปกรณ์ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แล้วยาอยู่ไหน”
ปกรณ์หอบอยู่ ชี้ไปกระเป๋าแบรนด์หรู ปรกเปิดกระเป๋าหายาจนเจอ หยิบออกมายื่นให้น้อง ปกรณ์รีบพ่นยาใส่ปากทันที
ปกรณ์มองตามวิรินทร์ ด้วยความเสียใจใหญ่หลวง ที่คราวนี้วิรินทร์ไม่ยอมจอดรถลงมาช่วยเขาเหมือนคราวก่อน
นิชาเดินถือน้ำเข้ามาแล้วยื่นให้สองหนุ่มที่นั่งรออยู่ด้วยกันตรงริมสนามบอล ปกรณ์รับน้ำมาดื่ม
“ดีขึ้นหรือยัง” ปรกถามอาการน้องชาย
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“แล้วคิดยังไงไปวิ่งตามมอเตอร์ไซค์สาวเค้าแบบนั้น ดีนะ ที่นายแม่โทร.ให้พี่มารับปกรณ์แทน ถ้านายแม่มาเอง แล้วเห็นปกรณ์หอบอย่างนี้ มีหวัง นายแม่จับปกรณ์เข้าห้อง ไอ ซี ยู แน่”
“ก็เพื่อนผมน่ะสิ ไม่รู้โกรธอะไรผม ผมเลยจะวิ่งตามไปเคลียร์” ปกรณ์หน้าเครียด
นิชาแกล้งแซว “วิ่งแบบนี้ พี่ว่าไม่น่าใช่เพื่อนธรรมดาแล้วมั้ง”
“พูดถูกใจ มาหอมแก้มให้รางวัลที”
ปรกจะหอมแก้ม นิชาเอามือยันหน้าเขาไว้
“ไม่ต้องมาทำหื่น ทีคืนส่งตัวล่ะทิ้งฉัน”
“อ้าว เข้าตัวซะงั้น”
นิชาหันมาถามปกรณ์ขึ้นว่า “พี่จำหน้าน้องผู้หญิงคนนั้นได้นะ คนที่ปกรณ์คุยในงานแต่งของพี่ใช่ไหม”
“ครับ คืนนั้นก็ยังคุยกันดีๆ พอหลังจากนายแม่ไปส่งเขา เขาก็ไม่ยอมคุยกับผมอีก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”
“หลังจากนายแม่ไปส่งเขา เขาก็ไม่พูดกับปกรณ์เลยเหรอ” นิชาครุ่นคิด
“ครับ”
นิชามองหน้าปรก “บางที ที่เพื่อนปกรณ์เปลี่ยนไป นายแม่อาจจะให้ คำตอบได้นะ”
ปกรณ์มองหน้านิชาแล้วคิดถึงปานรุ้งขึ้นมาครามครัน
เย็นจวนค่ำ กติยานอนหลับอยู่บนเตียง จนมีมือของดรุณีค่อยๆ เอื้อมมือลูบผมอย่างรักใคร่ กติยาลืมตาตื่นมองแม่
“ยา ยารักแม่ไหม”
กติยาจูบมือแม่ “รักสิคะ ยารักแม่ที่สุด ถ้าชีวิตยาไม่มีแม่ ยาไม่รู้จะอยู่ยังไง”
“งั้นแม่ขออะไรยาสักอย่าง ยาทำให้แม่ได้ไหม”
“แม่อยากให้ยาทำอะไรคะ”
“อภัย ลืมความแค้น ความเจ็บปวดในอดีตไปซะ ให้อภัยกับทุกคน”
กติยาโดนจี้ใจดำจนปรี๊ดขึ้นมา “ทั้งๆ ที่พวกมันเหยียบย่ำจิตใจ พังชีวิตยา ขโมยความสุข
จากยา จากโดมไปน่ะเหรอคะแม่”
“ไม่มีใครทำลายชีวิตยา ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากยากับโดม ที่ชีวิตยาพัง ที่ชีวิตยากับโดมไม่มีความสุข เป็นเพราะยาทำให้ชีวิตตัวเองจมอยู่กับความทุกข์เพราะความแค้น เพียงแค่ยาอภัยและลืมทุกอย่าง วันนั้นแหละ ชีวิตยากับโดมจะมีความสุข”
กติยาเสียงดังแทบเป็นตวาด “ไม่”
“อภัยเถอะลูก เชื่อแม่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
กติยาคลั่ง ตะโกนใส่หน้าแม่ “ไม่ ยาไม่มีวันให้อภัย ยาจะจองล้างจองผลาญ รอดูวันที่มันเจ็บ ได้ยินไหมแม่ ยาไม่มีวันอภัย…”
กติยาสะดุ้งตื่นจากความฝัน
“ไม่มีวัน”
สิ้นเสียงละเมอ กติยามองไปรอบๆ ห้อง ไม่มีดรุณีอยู่ในนี้ กติยาหายใจหอบ ตั้งสติจนรู้ว่าตัวเองฝันไป พอมองสภาพจึงคิดได้ว่าตัวเองหลับไปแน่ กติยาตะโกนหาแม่ เพราะกลัวดรุณีจะไปหาวาสุเทพ
“แม่...แม่...”
สาวใช้วิ่งเข้ามาหากติยาด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ
“คุณยาคะ”
“แม่ฉันล่ะ แม่ฉันอยู่ไหน”
สาวใช้พูดเสียงสั่นจะร้องไห้ “คุณนายโดนรถชนเสียชีวิตแล้วค่ะ”
“อะไรนะ” กติยาช็อคตาตั้ง ทั้งรับไม่ได้ และไม่อยากเชื่อ
กรีดร้องเรียกแม่เสียงดังโหยหวน “ไม่จริง...แม่...”
ปานรุ้งอยู่ในห้องทำงานที่บ้านสมุทรเทวา กำลังคุยอยู่กับวาสุเทพที่เพิ่งมาถึง ด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ปานวาดโทร.หาพี่เทพเหรอคะ เมื่อไหร่คะ”
“ตอนบ่าย”
“แล้วทำไมพี่เทพไม่รีบบอกรุ้ง ปานวาดบอกรึเปล่าว่าอยู่ไหน”
“ไม่ได้บอก แต่บอกว่าอีกสองสามวันจะกลับ”
“พี่เทพเอามือถือของพี่เทพมา รุ้งจะเอาไปให้เกื้อ คนของเกื้อต้องแกะรอยตามหาปานวาดได้แน่ รุ้งจะพาตำรวจไปจับไอ้สารเลวนั่น ที่มันกล้าพาลูกเราไป”
“รุ้ง ใจเย็นๆ ก่อน พี่ให้คนแกะรอยที่ที่ปานวาดอยู่แล้วเหมือนกัน เราต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ถ้าเราไปหาลูกตอนนี้ เรานี่แหละที่จะบีบให้ลูกเตลิดไกลเรา”
ปานรุ้งชะงัก เพราะวาสุเทพพูดถูก
ปกรณ์เดินเข้ามา
“นายแม่ครับ”
“มีอะไรปกรณ์”
ปกรณ์อึกอักอยู่ชั่วขณะ แล้วตัดสินใจถาม “ผมจะมาถามนายแม่ว่าคืนวันที่นายแม่ ส่งรินทร์ที่บ้าน ตอนผมออกมาแล้ว นายแม่พูดอะไรกับรินทร์ครับ”
ปานรุ้งเครียดเรื่องปานวาดอยู่แล้ว พอได้ยินปกรณ์ถามเรื่องวิรินทร์ เลยยิ่งปรี๊ด
“แม่บอกว่าแม่ต้องการให้ปกรณ์ตั้งใจเรียน แม่ยังไม่อยากให้ปกรณ์สนใจเรื่องอื่นโดยเฉพาะเรื่องความรัก”
“แต่นายแม่ครับ”
“ปกรณ์เห็นสิ่งที่พี่วาดทำมั้ย ปกรณ์เห็นไหมว่าแม่เป็นทุกข์ขนาดไหน ปกรณ์อยากให้แม่ต้องเสียใจเพราะปกรณ์อีกคนเหรอ”
วาสุเทพเตือน “รุ้ง พี่รู้ว่ารุ้งห่วงลูก แต่อย่าเอาอารมณ์มาลงกับลูกแบบนี้”
ปานรุ้งเก็บอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงไม่ไหว จึงเดินหนีออกจากห้องไป
วาสุเทพเข้าไปปลอบปกรณ์
“อย่าโกรธแม่เลยนะปกรณ์ ที่แม่เขาทำเพราะห่วงลูกจริงๆ ปกรณ์ไปคุยกับเพื่อนให้เข้าใจซะ”
ปกรณ์มองวาสุเทพ
ถึงเช้าวันใหม่ ปกรณ์พาตัวเองมาแอบด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าบันไดแฟลตวิรินทร์ จนกระทั่งได้ยินเสียงสาพูดกับวิรินทร์
“รินทร์ ไม่ต้องพาแม่ไปโรงพยาบาลหรอก”
ปกรณ์รีบหาที่ซ่อน แอบมอง ฟังสองคนคุยกัน
สาเดินไอโขลกๆ ลงมาจากแฟลต โดยมีวิรินทร์ประคองมา
“แต่แม่ไอแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ ไข้ก็ไม่ลดสักที รินทร์ว่าไปให้ หมอตรวจหน่อยเถอะ”
“อย่าเลยลูก มันเปลืองเงิน”
“แม่ไม่ต้องห่วง รินทร์พอมีเงินอยู่”
“รินทร์อย่ามาโกหกแม่ แม่เปิดดูกระเป๋าเงินรินทร์แล้ว”
วิรินทร์อึ้งแล้วจึงแถให้แม่สบายใจ “รินทร์มีจริงๆ แม่ เมื่อวานลูกค้าสั่งของ เดี๋ยวเค้าจะโอนเงิน มาให้รินทร์วันนี้อีกแม่ไปโรงพยาบาลเถอะ”
สามองไม่เชื่อ “จริงเหรอ” วิรินทร์พยักหน้า “ไปก็ไป”
วิรินทร์ยิ้มแข็งขัน พาแม่เดินออกไป
ปกรณ์มองตามวิรินทร์ไปอย่างเป็นห่วง อยากช่วยเหลือเกิน จนคิดบางอย่างออก เด็กหนุ่มหยิบมือถือมาโทร.ออกหาแก๊บ รอจนเพื่อนสายรับ
“ฮัลโหล ไอ้แก๊บเหรอ ช่วยอะไรเราหน่อยสิ”
ปานรุ้งเข้าออฟฟิศแต่เช้า กำลังคุยงานอยู่กับธันวา จนได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วเห็นปานเทพเปิดประตูเข้ามาพร้อมแฟ้มงานในมือ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มีอะไรเหรอปานเทพ”
ปานเทพยื่นแฟ้มวางตรงหน้ามารดา “รายชื่อลูกค้าจองเครื่องบินบริษัทผมเต็ม ตั้งแต่เดือนนี้จนถึงสิ้นปีหน้าครับ”
ปานรุ้งมองปานเทพ แล้วหันมามองธันวา ก่อนจะเปิดแฟ้มดูรายชื่อลูกค้า
“คราวนี้นายแม่ก็มั่นใจได้แล้วนะครับว่า ถึงผมไม่มีประสบการณ์ ผมก็ดูแลบริษัทของผมรอด ไม่ต้องส่งใครมาช่วยดูแล”
“แต่ลูกก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะเท่านี้ มันยังหาทุนคืนค่าเครื่องบินที่ลูกเสียไปไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงครับ ทีมงานของผมอย่างคุณธีรพงษ์ มีแผนขยายตลาดที่จะเรียกต้นทุนคืนภายใน1 ปี ที่เหลือก็จะเป็นกำไร”
ปานรุ้งไม่เชื่อ “1 ปี! ไม่มีทางเป็นไปได้”
“งั้นนายแม่ก็รอดูแล้วกันนะครับ ผมไปล่ะครับ”
ปานเทพเดินออกไป ปานรุ้งมองตามลูกชายอย่างกังวล
ชูนามทานอาหารเที่ยง ในร้านหรู พร้อมคุยงานอยู่กับนวรัตน์
“ผมขอบคุณที่คุณช่วยหาลูกค้าให้บริษัทปานเทพจนคิวเต็มยาวเหยียด”
“เอาอีกแล้ว เมื่อไหร่คุณจะเลิกขอบคุณฉันสักที ฉันบอกแล้วไงว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ก็ต้องช่วยกัน”
“ผมเข้าใจนะว่าคุณพยายามช่วยบริษัทปานเทพให้รุ่งเรือง แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ถ้าบริษัทปานเทพเจริญแบบนี้ เราจะเข้าไปทำลายบริษัทของปานรุ้งให้ย่อยยับได้ยังไง”
“ไม่ยากหรอกค่ะ แค่คุณรอดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ชูนามมองอย่างสงสัย นวรัตน์ยิ้มให้อย่างคนมีแผนการบางอย่าง
ด้านปกรณ์กำลังถอดเสื้อเชิ้ตออก จะใส่เสื้อยืดเล่นฟุตบอล จนเห็นเห็นแก๊บเดินมาหายื่นถุงของให้ปกรณ์
“เอาไปเลยคุณชาย ฉันเหมาซื้อของจากร้านแฟนนายตามที่นายสั่งแล้ว”
“ขอบใจมากนะเว้ย” ปกรณ์ยื่นแผ่นเกมให้เพื่อน “อ่ะ เกมใหม่ตามสัญญา”
“แต๊งกิ้ว แล้วทำไมแกไม่สั่งเองวะ หรือของร้านแฟนขายไม่ออก เลยทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเหมาซื้อช่วยแฟน” แก๊บมองเหล่
“เออน่า เรื่องของฉัน แล้วอย่าลืมล่ะ ห้ามบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด”
แก๊บเดินออกไปแล้ว ปกรณ์มองถุงของ ดีใจที่ตัวเองได้ช่วยวิรินทร์
ฝ่ายวิรินทร์เดินตามหาแก๊บท่าทางร้อนใจ จนเห็นกำลังจะเดินผ่านหน้า วิรินทร์รีบวิ่งไปหา
“แก๊บ แก๊บ พอดีเราให้ของนายสลับกับของลูกค้าอีกคน ขอเราดูถุงของหน่อยได้ไหม”
แก๊บอึกอัก “เอ่อ ถุงของไม่ได้อยู่กับเราแล้วอ่ะ”
“อ้าว แล้วอยู่ไหนล่ะ เราเพิ่งให้ถุงของนายเมื่อกี้นี้เองนี่”
แก๊บคิดปราด “เราเอาไปให้แฟนเราแล้ว”
แฟนแก๊บดันเดินเข้ามาพอดี๊พอดี แก๊บเห็นแฟนก็ชะงัก
วิรินทร์มองแฟนแก๊บ “นั่นไง แฟนนายมาแล้ว” แล้วรีบถาม “เราขอดูถุงของที่แก๊บให้เธอหน่อยได้ไหม”
แฟนแก๊บงง “ของอะไร แก๊บยังไม่ได้ให้อะไรเราเลย”
วิรินทร์มองแก๊บ “ก็ไหนนายบอกเอาของให้แฟนไง”
แฟนแก๊บเท้าสะเอวมองแก๊บอย่างเอาเรื่อง “หรือว่าเอาไปให้คนอื่น”
แก๊บรีบพูดบอกอย่างคนกลัวแฟน “เปล่า เราเอาไปให้ปกรณ์”
วิรินทร์ชะงัก “อะไรนะ”
ขณะที่ ปกรณ์กำลังเตะบอลอยู่ในสนามกับเพื่อนๆ จู่ๆ วิรินทร์เดินลุยเข้ามาในสนามฟุตบอล หน้าตาเอาเรื่อง ปกรณ์และเพื่อนๆ ที่เตะบอลอยู่ต่างหยุดเล่นชั่วขณะ
“รินทร์”
วิรินทร์หยิบเงินที่ปกรณ์ให้แก๊บเหมาซื้อของ ปาใส่หน้าปกรณ์
“นายก็ไม่ต่างจากแม่นาย คิดว่าคนอื่นหวังจะเอาเงิน”
ปกรณ์พยายามจะอธิบาย “รินทร์...”
วิรินทร์เดินเข้ามาหา พูดไป ผลักอกปกรณ์ไปอย่างแรง
“ออกไปจากชีวิตฉันสักที...ไม่ต้องเอาเงิน ของนายมาช่วย...ฉันไม่ต้องการ...ฉันยอมอดตายดีกว่าเอาเงินของนาย...เลิกยุ่งกับฉันสักที”
ปกรณ์จับมือวิรินทร์ไว้ “จะให้ทำยังไง ก็เราเลิกยุ่งกับเธอไม่ได้”
“เลิกไม่ได้ใช่ไหม”
วิรินทร์ถอดรองเท้าคู่ที่ปกรณ์ซื้อให้ ปาใส่หน้าเขา รองเท้ากระแทกปากปกรณ์แตกเลือดซึมออกจากปาก
ปกรณ์เช็ดเลือด แล้วมองวิรินทร์อย่างตะลึงตะไล
“ทีนี้นายเลิกยุ่งกับเราได้รึยัง”
“รินทร์”
วิรินทร์เดินออกไปจากสนามทันที ปกรณ์มองตามด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
ปกรณ์นั่งซึมเศร้าอยู่คนเดียวบนอัฒจันทร์ มองรองเท้าที่ซื้อให้วิรินทร์อย่างเสียใจ ปกรณ์หยิบมือถือมากดโทร.หาปานวาด หวังจะปรึกษา แต่ปานวาดไม่รับสาย ปกรณ์กดวางสาย
“ถ้าพี่วาดอยู่ ก็คงจะดี”
คืนนั้นปานวาดเอาเสื้อผ้าชุดเก่าและชุดใหม่ ใส่รถของโดมบริเวณหน้าผับในพัทยา
“พี่โดมแน่ใจนะว่าพร้อมจะกลับไปเจอแม่วาดแล้ว”
“วาดก็เห็น เราหนีมาอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์” โดมจับมือปานวาดมากุม “เรากลับไปพิสูจน์ให้แม่วาดเห็นดีกว่าว่าเรารักกันจริง”
แฮคเดินเข้ามาหาโดม
“เฮ้ย โดม อย่าเพิ่งกลับได้ไหม ฉันมีเรื่องให้แกช่วยหน่อยว่ะ”
โดมมองว่าแฮคมีเรื่องอะไร
ปานรุ้งนั่งคุยงานกับวาสุเทพอยู่ที่ห้องทำงานในบ้าน จนเห็นเกื้อเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนใจ
“คุณหนูครับ”
“ว่ายังไงเกื้อ”
“ผมรู้แล้วครับว่าหนูวาดอยู่ที่ไหน”
โดม กับปานวาดนั่งคุยอยู่กับแฮคและเจ ภายในผับของแฮค ในบรรยากาศของผับที่กำลังเตรียมตัวจะเปิดบริการ พนักงานกำลังช่วยกันจัดโต๊ะ เก้าอี้ ทำความสะอาดในร้าน
“พอดีดีเจฉันลากะทันหัน นายขึ้นเวทีโชว์ให้สักชั่วโมงสิ”
“ฉันก็อยากช่วยนะ แต่ฉันต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่โดม พี่แฮคอุตส่าห์หาที่พักให้เรา พี่ช่วยพี่แฮคเหอะ ค่ำๆ เราค่อยกลับกรุงเทพฯ ก็ได้”
แฮคดีใจ “วีซ่าจากน้องวาดผ่านแล้ว เชิญดีเจพี่โดมเตรียมตัวทางนี้เลยครับ”
โดมหันมาทางปานวาด “งั้นวาดกลับไปรอพี่ที่ห้องไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววาดนั่งรอพี่ตรงนี้แหละ”
“ไม่ต้องห่วง ถ้ามีใครมาจีบ เราจัดการให้เอง” เจบอก
ปานวาดยิ้มให้โดม
แฮคกอดคอลากโดมออกไป เหลือแค่ปานวาดกับเจที่นั่งอยู่ด้วยกัน
เจมองปานวาดยิ้มอย่างเป็นมิตรให้
โดมสแครชแผ่นอยู่บนบูธดีเจ ผับเปิดเพียงไม่นาน โต๊ะในร้านเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนต่างเต้นไปตามจังหวะเพลงที่โดมเปิด ปานวาดนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่ง มองโดมสแครชแผ่นยิ้มปลื้ม
ส่วนที่มุมบาร์เครื่องดื่ม เห็นเจยืนรอเครื่องดื่มอยู่ สักครู่บาร์เทนเดอร์เทค็อกเทลสีสวยใส่แก้วแล้วยื่นให้ เจรับมามองแก้วก่อนหันไปมองปานวาดยิ้มเจ้าเล่ห์
เจหยิบซองยาเสพติดดูไม่ชัดว่าเป็นประเภทไหน ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยิ้มชั่วออกมา
อ่านต่อตอนต่อไป
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 17 (ต่อ)
ระหว่างนี้ มีตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย เดินถือรูปถ่ายปานวาดกับโดม พร้อมกับมองหาสองหนุ่มสาวท่ามกลางผู้คนที่เดินอยู่บริเวณหน้าผับว่าใช่ปานวาดกับโดมหรือเปล่า
ตำรวจ 1 เดินเข้าไปหาพนักงานหน้าผับ แล้วยื่นรูปของปานวาดให้พนักงานดู เห็นพนักงานส่ายหน้า
ตำรวจพากันเดินต่อจนมาหยุดที่หน้าผับ
โดมสแครชแผ่นอยู่บนบูธดีเจอย่างต่อเนื่อง มาดอย่างเท่สักครู่เห็นแฮคเดินขึ้นมาหา กระซิบบางอย่าง โดมชะงักไป ก่อนจะพยักหน้าไปทางดีเจอีกคน ให้มาเปิดแผ่นแทนตน โดมถอดหูฟังแล้วเดินลงบูธตามแฮคไปทันที
ในจังหวะที่โดมเดินลงจากเวทีนั้น ที่มุมหน้าร้านเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 คนเดินเข้ามาพอดี เฉียดกับโดมไปเพียงเส้นยาแดง
ถัดมาโดมกดโทรศัพท์หาปานวาดอยู่อย่างร้อนใจ แต่ปานวาดไม่ยอมรับสายสักที จนแฮคเดินเข้ามา
“น้องวาดรับโทรศัพท์เปล่าวะ”
“ไม่รับว่ะ ไปไหนของเค้านะ” โดมกดโทรศัพท์หาปานวาดต่ออย่างร้อนใจ
ปานวาดเริ่มมึนยา และถูกเจประคองเดินมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งชั้นสองของผับ เจเปิดประตูเข้าไป พบว่าเป็นห้องเชือดดีๆ นี่เอง
“ไหนล่ะพี่โดม ไม่เห็นมีพี่โดมเลย” ปานวานมึนๆ งงๆ
“รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่โดมก็มา”
เจประคองปานวาดมานั่งลงที่เตียง แล้วเดินไปกดล็อคประตูห้อง
ปานวาดทิ้งตัวลงเตียงหัวหนักอึ้ง เจยิ้มหื่นมองมา ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ ปานวาดมองเจงงๆ
“พี่เจ จะทำอะไรวาด”
เจกดร่างปานวาดลงกับเตียงแล้วเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของปานวาดออก
ปานวาดพยายามปัดมือเจออก แต่ด้วยความเมา ทำให้ปัดผิดปัดถูก
“อยู่เฉยๆ สิวาด”
“ปล่อยวาดนะ ปล่อย” ปานวาดพยายามดิ้นหนีแต่ไม่มีแรง
เจจับมือปานวาดกดลงกับเตียง ขึ้นค่อมร่าง แล้วก้มลงไปจะจูบปานวาด
ทันใดนั้นเองประตูห้องถูกถีบดังปัง คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือโดมกับแฮค โดมเห็นเจกำลังจะข่มขืนปานวาดก็โกรธสุดขีด เดินไปลากเจที่อยู่บนตัวปานวาดออกมาแล้วต่อยเจไม่ยั้ง
ปานวาดมึนๆ ยา มองโดมกับเจที่ต่อยกันงงๆ
โดมกับเจต่อยกันชุลมุน แฮครีบเข้าไปช่วยปานวาด พยายามเรียกวาดให้มีสติ
โดมโดนเจต่อยคว่ำ โดมโมโหลุกขึ้นมา แล้วถีบเจล้ม เจโมโหดึงมีดพกออกมาทันที
เจเดินเข้ามาทำท่าจะแทงโดม โดมหันซ้ายหันขวาหันไปเห็นโถแก้วใบหนึ่งตั้งอยู่
โดมหันไปหยิบแล้วใช้โถแก้วฟาดหัวเจเต็มแรง
โถแก้วแตกกระจาย เจทรุดลงกับพื้นนอนจบกองเลือด โดมชะงักตกใจ
แฮคเห็นเจนอนหมดสติจมกองเลือดก็ตกใจสุดขีด “ไอ้เจ”
โดมเองก็ตกใจ ไม่รู้จะทำยังไง รีบเข้าไปพยุงปานวาดพาออกไปทันที
โดมประคองปานวาดออกมาจากผับอย่างรีบร้อน ตรงไปยังรถที่จอดไว้ จังหวะนั้นเห็นเองตำรวจนอกเครื่องแบบเดินออกมาจากในผับพอดี
ตำรวจ 1 หันไปเห็นโดมกับปานวาดที่กำลังจะเดินไปที่รถ ก็ชะงัก หันไปเรียกตำรวจ 2 แล้วชี้ให้ดู
ตำรวจ 2 คนมองภายถ่ายในมือ ก่อนจะหันมองโดมกับปานวาดตัวจริง แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาทันที ตำรวจ 1 ตะโกนบอก
“เฮ้ย หยุดนะ”
โดมชะงัก หันมามองทางเสียง แต่พอเห็นป้ายที่แขวนคอว่าเป็นตำรวจก็ตกใจ รีบประคองปานวาดวิ่งไปที่รถทันที
“วาด วิ่ง”
โดมจูงปานวาดวิ่งไปที่รถ ปานวาดพยายามวิ่ง แต่ยังมึนยาอยู่ ตำรวจ 2 นายวิ่งตามสองคนมา
โดมกับปานวาดวิ่งไปจนถึงรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ สองคนรีบขึ้นรถไป ตำรวจวิ่งตามมาทัน โดมกดล็อครถทันที ตำรวจพยายามเปิดรถแต่เปิดไม่ได้
โดมสตาร์ตรถแล้วรีบขับรถหนีตำรวจไปทันที
ตำรวจหยิบ วอ ออกมาแล้วรีบรายงานกัน
“ตั้งด่านสกัดกับ รถเลขทะเบียน กท0987”
โดมจอดรถข้างทางสาย พัทยา - กรุงเทพฯ รีบลงจากรถ วิ่งมาเปิดประตูฝั่งปานวาดนั่ง ดึงมือเด็กสาวให้ออกจากรถ
“เดี๋ยวพี่เรียกรถรับจ้างให้ไปส่งวาดที่ท่ารถตู้ วาดรีบกลับกรุงเทพฯ ไปนะ”
“แล้วพี่โดมล่ะ”
“พี่กลับกรุงเทพฯไม่ได้ พี่เพิ่งฆ่าคนตาย พี่ต้องหนี พี่ไม่อยากพาวาดไป ลำบากด้วย ยังไงพี่ฝากวาดดูแลแม่แทนพี่ด้วยนะ”
ปานวาดกอดโดมแน่น “วาดไม่ทิ้งพี่โดม พี่โดมเป็นอย่างนี้ก็เพราะวาด ถ้าพี่ลำบากวาดก็จะไปลำบากด้วย”
มอเตอร์ไซค์ตำรวจขับนำรถของปานรุ้งมาจอดห่างจากรถของโดมไม่มากนัก สามคนรีบลงจากรถ ปานรุ้ง วาสุเทพ เกื้อและเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 คน ตรงเข้ามาหาปานวาดกับโดม
“ปานวาด” ปานรุ้งร้องเรียก
ปานวาด กะ โดม พากันชะงักมองปานรุ้ง วาสุเทพ และ เกื้ออย่างอึ้งๆ
“นายแม่”
ฝ่ายชูนามกับนวรัตน์นั่งดื่มไวน์อยู่ด้วยกันในร้านอาหารหรู ธีรพงษ์เดินเข้ามาหาสองคน
“คุณรัตน์ครับ เรื่องเครื่องบินของบริษัทคุณปานเทพที่จะพาคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นไปภูเก็ต ผมเตรียมเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี พรุ่งนี้เช้าจัดการได้เลย” นวรัตน์ว่า
“มันไม่รุนแรงไปหน่อยเหรอครับ”
“เหตุการณ์พรุ่งนี้อาจจะรุนแรง แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง” นวรัตน์บอก
ชูนามชูแก้วไวน์
“ถ้าคุณว่าคุ้ม ผมก็ว่าคุ้ม เพื่อความพินาศของพีแอนด์เอสที”
นวรัตน์กับชูนาม ชนแก้วฉลองกันด้วยสีหน้าสาสมใจ
ทางด้านปานวาดมองนายแม่ของเธออย่างอึ้งๆ ความกลัวแล่นลิ่วเข้าสู่หัวใจ ปานรุ้งมองโดมอย่างโกรธแค้นชิงชังสุดจะประมาณ รีบหันไปบอกตำรวจ
“คุณตำรวจ จับไอ้หมอนั่นเลยค่ะ มันล่อลวง ลูกสาวดิฉันมา เอามันเข้าคุกเลย”
ปานวาดได้สติ รีบดึงมือโดมให้ไปขึ้นรถ
“หนีเร็ว”
สองหนุ่มสาวหนีขึ้นรถได้ โดมรีบสตาร์ตเครื่องขับรถออกไปโดยเร็ว
“วาด กลับมา ปานวาด” ปานรุ้งใจหายใจคว่ำ หันไปบอกตำรวจ “คุณตำรวจ ตามไปเร็วค่ะ” แล้วหันมาทางวาสุเทพและเกื้อ “พี่เทพ เกื้อ ตามไปเอา ตัวปานวาดให้ได้ เร็ว”
ในรถที่แล่นมา โดมขับรถด้วยสีหน้าเครียดจัด ปานวาดคอยมองข้างหลังอย่างหวาดกลัว
เห็นรถตำรวจขับตามไม่ห่าง จึงเร่งโดมใหญ่
“ตำรวจตามมาแล้ว พี่โดมรีบขับเร็วๆๆๆ”
ปานรุ้งมองตามรถโดมด้วยท่าทางร้อนรนใจสุดขีด เร่งคนขับรถ
“ขับให้เร็วกว่านี้ได้ไหม” ปานรุ้งหันไปทางวาสุเทพกับเกื้อ “ทำยังไงดี วาดจะหนีไปแล้ว”
เกื้อได้แต่ “คุณหนูใจเย็นๆ นะครับ คุณวาดหนีเราไม่พ้นหรอกครับ”
รถแล่นมาสักระยะ พอมองออกไปข้างหน้าโดมต้องชะงัก เมื่อเห็นด่านตำรวจปิดทางอยู่ โดมถึงกับต้องเหยียบเบรกกะทันหัน จนหัวปานวาดแทบกระแทกกับคอนโซลรถ
ด่านตำรวจดักอยู่ด้านหน้า และยังมีรถตำรวจและรถของปานรุ้งมาจอดดัก ด้านหลังรถอีก
โดมเครียดหนักมองไปทางข้างหน้าที ข้างหลังที ในที่สุดตัดสินใจเลี้ยวไปทางสะพานปลา
รถปานรุ้งและรถตำรวจขับตามรถของโดมไม่ลดละ
โดมขับรถมาจนสุดทางสะพานปลา ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว รถปานรุ้งและรถตำรวจขับตามมาปิดทางออก ไม่ให้โดมขับหนีออกไปได้
ปานรุ้งรีบลงจากรถ โดยมีวาสุเทพ และเกื้อลงตามมา
ปานรุ้งหันไปสั่งตำรวจ “พังประตูลากไอ้สารเลวนั่นออกมาเลยค่ะ คุณตำรวจ”
วาสุเทพปราม “ใจเย็นๆ ก่อนรุ้ง”
“ไม่” ปานรุ้งไม่ฟังใครแล้ว หันไปแผดเสียงตะโกนใส่โดม “เห็นไหมว่าตำรวจล้อมแกไว้หมดแล้วแกไม่มีทางรอด ปล่อยตัวลูกสาวฉันออกมาเดี๋ยวนี้” พลางจะเข้าไปทุบรถ “ได้ยินไหม”
วาสุเทพกอดตัวปานรุ้งไว้ทั้งตัว ไม่อยากให้ทำอะไรรุนแรงยิ่งกว่านี้ แต่ปานรุ้งยังพยายามจะเข้าไปทุบรถให้ได้
ภายในรถโดมรั้งปานวาดมากอดไว้แนบอก
“เราหนีไม่รอดแล้วล่ะวาด วาดกลับไปหาแม่ซะ ผมทำอะไรไว้ ผมก็จะไปรับกรรมของผมเอง”
“ไม่ ถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับนายแม่ชนะ แล้วต่อไปเราจะไม่มีวันได้เจอกันอีก นายแม่จะส่งฉันไปเมืองนอก หาผู้ชายอื่นมาให้แล้วบังคับให้ฉันแต่งงานเหมือนที่เคยบังคับพี่ปานเทพ คุณยอมได้ใช่ไหม”
โดมรู้ว่าเขาเห็นปานวาดไปเป็นของคนอื่นไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจเด็ดขาด
“ถ้ายอม ผมคงไม่ฆ่าไอ้เจอย่างนั้น” เขาคว้ามือปานวาดจับไว้มั่น “ไป ไม่ว่าใครก็แยกเราสองคนไม่ได้”
โดมกับปานวาดลงจากรถไปในทันที
สองหนุ่มสาวจูงมือกันวิ่งหนีไปสุดทางสะพานปลา ปานรุ้งมองตามโดมที่พาปานวาดหนีไปซึ่งๆ หน้า ยิ่งโกรธยิ่งแค้น
“หยุดนะ วาด แม่บอกให้หยุด”
ปานรุ้งจะวิ่งตาม ถูกวาสุเทพห้ามไว้
“พี่ว่ารุ้งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า อารมณ์วาดกำลังร้อน รุ้งก็กำลังเป็นไฟ ถ้าเจอกันจะยิ่งไปกันใหญ่ พี่คุยกับลูกเอง”
“แต่ว่า”
วาสุเทพพูดเสียงดังและจริงจังกว่าทุกครั้ง “เชื่อพี่” พลางหันไปทางเกื้อ “ไปเถอะเกื้อ”
สองคนรีบตามไป ปานรุ้งมองตามอย่างเครียด
ปานวาด กับ โดมวิ่งหนีมาจนสุดทางสะพานปลา เบื้องหน้าเห็นแต่ท้องทะเล ไม่มีทางหนีอีกแล้ว วาสุเทพ เกื้อ และกองกำลังตำรวจตามเข้ามาด้านหลัง
วาสุเทพตะโกนเรียก “วาด”
“คุณพ่ออย่าเข้ามานะคะ ไม่อย่างนั้นวาดกระโดดจริงๆ ด้วย”
“แล้ววาดคิดว่าทำอย่างนั้น จะทำให้อะไรดีขึ้นเหรอ จำได้ไหมว่าพ่อเคยสอนวาดว่ายังไง ถึงวาดจะเป็นผู้หญิง แต่วาดเป็นลูกทหารเรือต้องกล้าหาญ ลูกของพ่อกล้าหาญเสมอ ครั้งนี้ลูกก็ต้องกล้าหาญที่จะสู้สิลูก”
ปานวาดตัดพ้อ “คุณพ่อก็รู้ว่าสู้กับนายแม่ ยังไงก็ไม่มีวันชนะ”
“แต่ตอนนี้วาดกับโดมมีพ่ออยู่ด้วย พ่อเคยบอกโดมแล้วไงว่าพ่อ ไม่ขัดขวางเรื่องความรักของลูก แต่ขอให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ขอให้โดมให้เกียรติวาด พ่อก็พร้อมให้โอกาสโดม” วาสุเทพหันมาทางโดม “ฉันพูดกับเธออย่างนั้น ใช่ไหม”
“ครับ”
“ตอนนี้คือเวลาที่เธอจะพิสูจน์แล้ว ถ้าเธอรักปานวาด พากันกลับบ้าน”
โดมกับปานวาดมองหน้ากัน
ปานวาดถามย้ำกับวาสุเทพว่า “คุณพ่อจะช่วยวาดกับพี่โดมจริงๆ นะคะ”
“วาดเคยเห็นพ่อรับปากอะไรกับลูกแล้ว พ่อเคยทำไม่ได้เหรอ”
“ถ้าวาดกับพี่โดมกลับ เรื่องที่เกิดขึ้น พี่โดมต้องไม่มีความผิดนะคะ”
“เรื่องที่ผ่านมา พ่อจะถือว่าเป็นความผิดพลาด ต่อไปต้องไม่เกิดขึ้นอีก ตกลงไหม”
ปานวาดกับโดมมองหน้ากัน วาสุเทพค่อยๆ เดินเข้าไปหาทั้งคู่
สองหนุ่มสาวตัดสินใจเดินเข้าไปหาวาสุเทพ
วาสุเทพกอดปานวาดไว้เต็มรัก โดมยกมือไหว้ขอโทษ
“ผมขอโทษครับ”
จู่ๆ กำลังตำรวจ 2-3 นาย ซึ่งไม่ได้อยู่ตอนวาสุเทพพูดกล่อมปานวาดก็วิ่งเข้าไปล็อคตัวโดมทันที วาสุเทพ เกื้อ และ ปานวาดต่างชะงัก
ปานรุ้งเดินหน้าตึงเข้ามา โกรธสุดขีด
“พามันไปเข้าคุกเลยค่ะ”
วาสุเทพโกรธ “รุ้ง ทำไมถึงทำอย่างนี้”
ตำรวจจะพาโดมไป ปานวาดใจหาย รีบเข้าไปยื้อยึดดึงตัวโดมไว้
“ไม่ วาดไม่ให้โดมไป”
ปานรุ้งเข้าไปดึงปานวาด “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะวาด”
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อย”
ปานวาดดันตัวปานรุ้งออกสุดแรงเกิด จนร่างปานรุ้งเซไปชนกับตำรวจที่จับโดมอยู่ ตำรวจรีบหันมาประคองช่วยปานรุ้ง
โดมใช้ช่วงที่ชุลมุนวุ่นวาย ผลักตำรวจออก ปานวาดวิ่งเข้าไปกอดโดมไว้
ปานรุ้งมองปานวาดอย่างเจ็บปวด
“วาด ทำไมถึงโง่อย่างนี้ ผู้ชายคนนั้น มันไม่ได้รักวาด มันก็แค่หวังในตัววาด พอมันเบื่อ มันก็ทิ้งวาด”
“ไม่จริง ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ผมรักวาด” โดมเถียง
“ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้ว่าแม่เสี้ยมอะไรแกบ้าง ฉันจะไม่ยอมให้แกทำลายลูกสาวฉัน” ปานรุ้งถลันจะเข้าไปดึงตัวปานวาดมา “วาดมาหาแม่”
ปานวาดกับโดมถอยหนีปานรุ้ง ไปยืนอยู่ริมสะพาน
“นายแม่อย่าเข้ามานะ ถ้านายแม่เข้ามา วาดจะโดด”
ปานรุ้งมองลูกอย่างแม่ที่หัวใจสลาย
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ ยังไม่เห็นอีกเหรอว่าถ้าวาดอยู่กับมัน วาดต้องลำบากแบบนี้”
“ไม่จริง ที่วาดต้องลำบาก ไม่ใช่เพราะโดม แต่เพราะนายแม่นั่นแหละ” สาวใจแตกที่ความรักบังตาจนมิดตะโกนใส่หน้าแม่
“ไม่จริง แม่กำลังช่วยลูก ที่แม่ทำก็เพราะรัก มาหาแม่ ไม่มีใครรักลูกเท่าแม่”
“ที่นายแม่ทำ ไม่ใช่เพราะรักวาดหรอก นายแม่ทำเพราะรักตัวเอง นายแม่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง นายแม่ต้องการให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นายแม่ไม่เคยฟังคนอื่นเลยว่าเขาต้องการอะไร”
“วาด”
“นายแม่พูดแต่ว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้จะทำให้ลูกเป็นทุกข์ นายแม่นั่นแหละ ที่ทำให้วาดเป็นทุกข์ ที่ต้องแบกความหวังที่นายแม่ยัดเยียดให้”
ปานรุ้งพยายามจะค้าน “ไม่จริง แม่...”
“นายแม่รักใครไม่เป็น นอกจากตัวเอง นายแม่เห็นแก่ตัว”
เกื้อทนฟังไม่ไหว ส่งเสียงปรามปานวาด “คุณปานวาด”
วาสุเทพเองก็โกรธ “อย่าพูดอย่างนั้นกับแม่น”
“วาดขอโทษนะคะคุณพ่อที่วาดเป็นลูกที่ดีไม่ได้”
ปานรุ้งใจหายใจคว่ำ “วาด”
“นายแม่เป็นคนทำให้วาดเลือกแบบนี้เอง ลาก่อนค่ะ”
ปานวาดหันไปมองหน้าโดม
“เราจะไม่ปล่อยมือกันใช่ไหม”
โดมกระชับมือปานวาดแน่นเป็นคำตอบ สองคนตัดสินใจกระโดดน้ำลงไปทันควัน
ปานรุ้งรีบวิ่งเข้าไป หวังจะเหนี่ยวรั้งลูกไว้ แต่ไม่ทัน ได้แต่กรีดร้องสุดเสียง
“วาด...”
ปานรุ้งจะกระโดดตามลงไป เกื้อและวาสุเทพดึงตัวเอาไว้ ปานรุ้งมองผืนน้ำ หวังจะเห็นปานวาดรอดปลอดภัย
แต่กลับเห็นแต่ผืนน้ำเวิ้งว้างว่างเปล่า ไร้ร่างปานวาดและโดมลอยขึ้นมา
ปานรุ้งนั่งอยู่ริมชายหาดจนเช้า จดสายตามองไปที่ท้องทะเล คำพูดประโยคแล้วประโยคเล่าของปานวาดยังก้องในหู
“ที่นายแม่ทำ ไม่ใช่เพราะรักวาดหรอก นายแม่ทำเพราะรักตัวเอง นายแม่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง นายแม่ต้องการให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นายแม่ไม่เคยฟังคนอื่นเลยว่าเขาต้องการอะไร”
“นายแม่พูดแต่ว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้จะทำให้ลูกเป็นทุกข์ นายแม่นั่นแหละที่ทำให้วาดเป็นทุกข์ ที่ต้องแบกความหวังที่นายแม่ยัดเยียดให้”
“นายแม่รักใครไม่เป็น นอกจากตัวเอง นายแม่เห็นแก่ตัว”
“นายแม่เป็นคนทำให้วาดเลือกแบบนี้เอง ลาก่อนค่ะ”
ยิ่งคิดปานรุ้งก็ยิ่งเจ็บปวด
“ไม่จริง” ปานรุ้งไม่อาจรับได้ลุกพรวดขึ้น ค่อยๆ เดินลงทะเลไป “แม่ไม่เคยคิดทำร้ายลูก แม่ทำเพราะรักลูก กลับมาหาแม่เถอะวาด”
ปานรุ้งเดินลุยลงไปในน้ำจนลึกถึงคอ แทบจะหายไปกับน้ำทะเล
วาสุเทพกับเกื้อเดินเข้ามาเห็น
“รุ้ง” / “คุณหนู”
สองคนรีบกระโจนลงน้ำไปพาตัวปานรุ้งขึ้นฝั่ง ปานรุ้งพยายามดิ้นจะลงไปหาลูก
“ปล่อยรุ้ง รุ้งจะไปหาลูก”
วาสุเทพกับเกื้อต่างช่วยกันอุ้มร่างปานรุ้งขึ้นมาบนฝั่ง ปานรุ้งพยายามจะลุกขึ้นวิ่งลงน้ำอีก
วาสุเทพจับตัวปานรุ้งไว้ “ใจเย็นๆ ก่อนรุ้ง ตำรวจกำลังช่วยกันงมหาวาดอยู่ รุ้งทำอย่างนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“รุ้งจะไปหาลูก พี่เทพปล่อย” ปานรุ้งตะโกนเรียกปานวาดสุดเสียง “วาด...”
ปานรุ้งเป็นลมพับในอ้อมแขนของวาสุเทพ
“รุ้ง”
“คุณวาสุเทพพาคุณหนูกลับกรุงเทพฯ ก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเรื่องหาคุณปานวาด ผมจะอยู่ดูแลเอง”
อีกฟาก ปรกนั่งหลับอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกจนเช้า นิชาเดินลงบันไดมาเห็น มองสามีอย่างอ่อนใจ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ยื่นหน้าไปเรียกปลุก
“คุณปรก ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะค่ะ”
ปรกสะดุ้งตื่นพูดถามในอาการละเมอ
“นายแม่กลับมาแล้วเหรอ”
ปรกผงกหัวขึ้นมาอย่างแรง จนหัวชนกับปากของนิชาเต็มๆ นิชาสะดุ้งโหยงเพราะความเจ็บ
“โอ๊ย” นิชารีบเอามือปิดปากไว้
“ผมขอโทษ คุณเป็นอะไรรึเปล่านิชา”
นิชาพูดทั้งๆ ที่ยังปิดปาก “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นิชาแค่จะปลุกให้ขึ้นไป นอนบนห้อง”
พอเอามือออก พบว่าปากนิชามีเลือดซึมออกมา
ปรกตกใจรีบประคองหน้านิชามาดู “เลือดคุณออก คุณเจ็บมากไหม ขอโทษ”
นิชามองซึ้งที่ปรกตกใจและดูเป็นห่วงตัวเองมาก
“ใจคอคุณจะปล่อยให้เลือดฉันไหลออกหมดตัวก่อนรึไง ถึงจะหาอะไร มาเช็ดได้”
“เอ้อ” ปรกรีบหยิบทิชชูมาเช็ดเลือดให้นิชา “ปากคุณเริ่มบวมแล้ว เดี๋ยวผมไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้นะ”
ปรกจะเดินไปทางครัว เห็นวาสุเทพอุ้มปานรุ้งที่หลับอย่างอ่อนแรงเข้ามาก็ตกใจ จนลืมเรื่องนิชา รีบเดินไปหาวาสุเทพทันที
“นายแม่ นายแม่เป็นอะไรครับคุณพ่อ”
“ขึ้นห้องก่อน เดี๋ยวพ่อเล่าให้ฟัง”
วาสุเทพรีบอุ้มปานรุ้งเดินขึ้นบันไดไป ปรกเดินตามไปเลย
นิชามองตามทุกคนที่วิ่งวุ่นผ่านหน้าไป เอามือออกจากปากที่เริ่มห้อเลือด
ความรู้สึกน้อยใจก่อตัวขึ้นในใจสะใภ้รองเงียบๆ
อ่านต่อตอนต่อไป
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 17 (ต่อ)
สายมากแล้ว ปานรุ้งนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงในห้องนอน มีปานเทพ ปรก ปกรณ์ และ นิชายืนข้างๆ เตียง ทุกคนต่างมองปานรุ้งด้วยความห่วงใย มีเพียงวิภาวีที่มองด้วยความสะใจ
วาสุเทพลงนั่งริมเตียงข้างๆ ปานรุ้ง
ปกรณ์นั้นเป็นห่วงพี่สาวเหลือเกิน “ไม่มีใครพบพี่วาดเลยเหรอครับคุณพ่อ”
วาสุเทพหันไปดึงปกรณ์มากอดปลอบลูก
“ตอนนี้ไม่เจอ แต่เดี๋ยวก็เจอ ปานวาดเป็นคนเก่ง พ่อรู้ว่าทะเลแค่นั้นทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
ปานรุ้งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองรอบๆ ห้อง
ร้องเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบโหย “วาด”
ปกรณ์จับมือแม่กุมแน่น
“นายแม่ครับ”
ปานรุ้งไล่สายตามองทีละคนคล้ายทวนเรื่องราว จนสายตามาหยุดมองสายน้ำเกลือ ก่อนจะนึกได้ หันขวับกลับมาทางวาสุเทพ
“พี่เทพพารุ้งกลับมาทำไม” ปานรุ้งทำท่าจะลุก “คุณพี่เจอวาดรึยัง รุ้งจะไปหาวาด”
ปรกจะเข้าไปประคองตัวปานรุ้ง แต่ปานเทพเบียดเข้าไปหาก่อน
“แต่คุณหมอบอกให้นายแม่พักผ่อนก่อนนะครับ”
“แล้ววาดล่ะ” ปานรุ้งไล่สายตาถามวาสุเทพ “ตกลงมีใครเจอตัววาดรึยัง” แล้วมาหยุดที่ปรก “ปรก พ่อเกื้อโทรมาบอกเรื่องน้องบ้างไหม”
ปกรณ์ตอบ สีหน้าจ๋อยสนิท “ยังไม่มีใครเจอพี่วาดเลยครับ”
ปานเทพหันพูดใส่ปรกอย่างมีอารมณ์ “ไหนพ่อนายมีคนเยอะไง แค่วาดคนเดียว ทำไมถึงพามาไม่ได้ พ่อนายก็อย่างเนี้ย ดีแต่พูดให้ความหวัง แต่ไม่เคยทำได้เลย”
ปรกชักไม่พอใจ “แต่อย่างน้อยพ่อก็ทำ ดีกว่าคนอื่น ที่น้องหายไปแท้ๆ แต่ไม่ทำอะไร ดีแต่วิจารณ์”
วิภาวีโกรธ “คุณปรกว่าปานเทพเหรอคะ”
ปานรุ้งพูดสวนใส่หน้าวิภาวี “พี่น้องเขาคุยกัน คนอื่นไม่เกี่ยว”
วิภาวีชะงักกึก หน้าม้านไปเลย
ธันวาเดินหน้าตาเครียดเข้ามาพอดี
“คุณหญิงครับ เกิดเรื่องแล้วครับ”
จอทีวีในห้องโถงโรงพยาบาล มีรายงานข่าวด่วน
“เมื่อเวลา 8.00 น. เกิดเหตุคณะนักธุรกิจชาวสวีเดนที่ทำการเช่าเครื่องบิน เหมาลำของบริษัท P JET ภายใต้การบริหารของ ปานเทพ สมุทรเทวา ลูกชายคนโตของปานรุ้ง นทีพิทักษ์ ตกรันเวย์ขณะนำเครื่องเตรียมบิน จนเกิดไฟไหม้ช่วงท้ายของลำ มีผลให้นักธุรกิจชาวสวีเดนบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังรอสอบสวน หัวหน้ากัปตันว่าเกิดจากสาเหตุใด”
ใครคนหนึ่งเดินไปทางห้องฉุกเฉินคุยมือถือไปด้วย
“มีแค่กัปตันที่รู้เรื่องแผนของเราใช่ไหม โอเค ผมจัดการเอง”
ขณะที่บุรุษพยาบาล 1 เข็นรถเข็นที่มีกัปตันนอนหลับอยู่ เพื่อนำไปส่งยังห้องพักฟื้น
ชูนามใส่ชุดบุรุษพยาบาล มีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งหน้าพรางตัว เดินเข้ามาหาบุรุษพยาบาลคนนั้น
“เดี๋ยวผมเข็นให้เอง”
บุรุษพยาบาล 1 มองชูนามอย่างฉงนฉงาย
“นายเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“ผมเพิ่งเข้ามาใหม่ เมื่อกี้เห็นหัวหน้าถามหานาย เห็นว่าจะคุยเรื่องขึ้นเงินเดือน”
“จริงเหรอ งั้นฝากด้วยนะ”
บุรุษพยาบาลดีใจจนลืมความสงสัย รีบเดินออกไป
ชูนามเข็นรถกัปตันที่นอนนิ่งอยู่มาตรงทางลาดชันในโรงพยาบาล
“ขอบคุณนะกัปตัน ผมซึ้งในน้ำใจที่กัปตัน ร่วมมือขับเครื่องบินตกรันเวย์ให้ แต่กัปตันรู้มากเกินไป หลับให้สบายนะกัปตัน”
ชูนามมองรถบรรทุกของที่มาส่งร้านค้าในโรงพยาบาล กำลังขับผ่านทางลาด
ชูนามรอจังหวะให้รถบรรทุกขับมาใกล้ทางลาด จึงปล่อยรถเข็นไหลไปตามทางลาดอย่างรวดเร็ว
รถบรรทุกขับมาด้วยความเร็ว ไม่คิดว่าจะมีอะไรตัดหน้า รถเข็นที่มีร่างกัปตันพุ่งทะยานตัดหน้า โดยรถบรรทุกเบรคไม่ทัน ชนเข้ากับร่างของกัปตันเต็มแรง
ถัดจากนั้นไม่นาน นวรัตน์กำลังคุยมือถือกับชูนามผ่านบลูทูธ ในขณะที่สองมือกำลังวาดวงสวิงตีลูกกอล์ฟอยู่
“พอไม่มีกัปตัน เราก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะแบลคเมล์แผน ของเราอีก” พลางหันไปทางธีรพงษ์ “จากนี้เราก็แค่รอให้ปานรุ้งเอาบริษัทของคุณปานเทพรวมกับบริษัท P&ST เมื่อไหร่ ส่งคนของเราเข้าไปแทรกได้เลย”
นวรัตน์หวดลูกกอล์ฟ แล้วมองตามลูกกอล์ฟด้วยสีหน้าพอใจ
“และฉันมั่นใจ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ปานรุ้งเอาบริษัทลูกมารวมแน่”
ปานเทพมองคุณหญิงมารดาอย่างไม่พอใจ ปานรุ้งครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง สีหน้าเคร่งเครียด แขนยังให้น้ำเกลืออยู่
“นายแม่พูดว่าอะไรนะครับ”
“แม่จะเอาบริษัทของปานเทพ เข้ามาเป็นบริษัทลูกของ P&ST ก่อน”
“ถ้าเพราะเรื่องเครื่องบินตกรันเวย์ ผมจัดการได้ครับนายแม่”
ปานรุ้งจ้องหน้าตำหนิ “จัดการ จัดการยังไง แค่เรื่องคนเจ็บ แม่ยังไม่เห็นปานเทพไปดูเลย”
ปานเทพอึกอัก “ผมไม่ใช่หมอ ผมไปก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ผมส่งคนไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว”
“แล้วมันช่วยได้ไหม เมื่อกี้ธันวาโทร.บอกแม่ว่า ลูกค้าที่เคยจองเครื่องบินลูก ตอนนี้ขอแคนเซิล 3-4 รายแล้ว”
ปานเทพทักท้วง “แต่เอาบริษัทไปรวมกับบริษัทนายแม่ ก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ”
“ช่วยสิ อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้ใครมายุ่งกับลูกโดยที่แม่ไม่รู้ พอกันทีเพราะความย่ามใจของแม่ ทำให้แม่ต้องเสียวาดไป แม่จะไม่ยอมใครทำลายลูกคนไหนของแม่อีก”
ปกรณ์ใจแป้วมองปานรุ้งแล้วเครียด เมื่อนึกถึงเรื่องรักของตัวเอง
ปกรณ์ไม่สบายใจเอามากๆ เด็กหนุ่มพาตัวเองมานั่งไหว้พระอยู่ในห้องพระบนตึกใหญ่ หันไปพูดกับโกศกระดูกของคมขวัญ
“คุณยายครับ ช่วยคุ้มครองให้พี่วาดปลอดภัย อย่าให้พี่วาดกับพี่โดมเป็นอะไรเลย นายแม่จะได้หายป่วย หายเครียด”
ปรกถือพวงมาลัยเข้ามา เห็นน้องชายก็แปลกใจ
“อ้าว ปกรณ์”
ปกรณ์มองพวงมาลัยในมือพี่ชาย “พี่ปรกจะมาขอพรพระเหมือนกันเหรอ”
ปรกพยักหน้า “พี่มันลูกชาวบ้าน ไม่สบายใจอะไร ก็มาพึ่งพระพึ่งคุณยายตลอดแหละ” เขาตบไหล่น้องถาม “มาขอให้วาดปลอดภัยล่ะสิ”
“ห่วงพี่วาดก็ห่วง” ปกรณ์มองปรก อย่างลังเลแล้วสุดท้ายถอนใจเฮือก พูดสิ่งที่กังวลอยู่ในใจ “ผมไม่ได้เห็นแก่ตัวไปใช่ไหมพี่ปรก ที่คิดว่าถ้าพี่วาดกับพี่โดมปลอดภัย นายแม่จะเปิดใจยอมให้เราคบกับคนที่เรารักน่ะพี่”
ปรกมองน้องอย่างเข้าใจ “ตกลงที่น้องผู้หญิงคนนั้นไม่คุยกับปกรณ์ เพราะนายแม่ใช่ไหม”
“ผมคิดว่าอย่างนั้น ผมควรทำยังไงดีพี่ปรก”
“ถ้าถามพี่ รอให้เรื่องของวาดดีขึ้นกว่านี้”
“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้ารอ ผมไม่รู้ว่าวิรินทร์จะเข้าใจผมผิดขนาดไหน”
“แล้วปกรณ์จะเอายังไง”
ปกรณ์มองปรกท่าทีตรึกตรอง
บ่ายวันนั้น บริเวณโหดหินริมชายหาดแห่งนั้น มีดงต้นไม้น้ำที่ขึ้นจากทะเลแล้วพอหลบซ่อนตัวได้ ปานวาดนอนหลบอยู่หลังดงไม้นั้น คุณหนูไฮโซใจแตกอยู่ในสภาพมอมแมมและ อ่อนเพลีย
โดมในสภาพมอมแมมไม่ต่างกัน เดินหันซ้ายแลขวากลัวว่ามีใครจะเห็น ถือขวดน้ำเปล่าเข้ามาให้
“วาด ผมเอาน้ำมาให้แล้ว”
ปานวาดค่อยๆ ลุกขึ้นมารับขวดน้ำจากโดมไปดื่ม
“เราจะเอายังไงต่อดี”
“เมื่อกี้ตอนที่ผมไปขอน้ำให้วาด ผมเห็นคนของพ่อวาด ตามหาเราอยู่ เราต้องรีบหาทางไปจากที่นี่”
“แล้วเราจะไปที่ไหน”
โดมมองปานวาดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เวลาเดียวกันน้อยถือถาดใส่อาหารว่างของปานรุ้ง กำลังจะขึ้นบันไดไป นิชาเพิ่งเข้าบ้านมามองเห็น จึงตรงไปหาน้อย
“น้าน้อยคะ จะเอาไปให้นายแม่เหรอคะ เดี๋ยวนิชาเอาไปให้ก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนิชา น้าน้อยถือเองได้”
“ถ้าน้าน้อยไม่ให้ถือ งั้นก็ให้นิชาทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะ นิชาอยู่บ้านเฉยๆ จนจะเป็นง่อยอยู่แล้ว”
น้อยมองนิชาอย่างเห็นใจ
“งั้นคุณนิชายกของว่าไปให้คุณหญิงก็ได้ค่ะ”
น้อยยื่นถาดของว่างให้นิชา วิภาวีเดินลงบันไดมาเห็น มองหมั่นไส้
“ที่อยากเอาของว่างไปให้นายแม่ เพราะไม่มีอะไรทำ หรือเพราะอยากประจบนายแม่กันแน่”
“พูดอย่างกับคุณวิเคยทำเลยนะคะ” นิชาย้อน
วิภาวีถลึงตามองอย่างไม่พอใจ จังหวะที่นิชาถือถาดของว่างจะเดินผ่านไปนั้น วิภาวีแกล้งขัดขา จนนิชาล้มคะมำ ของว่างหกเต็มพื้น นิชาโกรธจัด ลุกขึ้นมองหน้าวิภาวีอย่างเอาเรื่อง
“มองทำไม ไหนๆ อยากทำหน้าที่คนรับใช้ ก็เก็บกวาดพื้นด้วยสิ”
วิภาวีเดินเชิดไป นิชาขัดขาวิภาวี จนวิภาวีล้มคะมำลงใส่ตรงกองของว่างกรีดร้องลั่น
“แอร๊ย...แก”
ปรกเดินเข้าบ้านมา เห็นจังหวะที่นิชาขัดขาวิภาวีพอดี
นิชาพูดเยาะเย้ย “ใครเป็นคนทำ คนนั้นเช็ดไปสิ”
“นิชา”
วิภาวีลุกขึ้นมาตวาดใส่ปรกอย่างไม่พอใจ “คุณปรก บอกเมียคุณให้ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันไปฟ้องนายแม่”
นิชาไม่ยอม “ไปฟ้องเลย น้าน้อยเป็นพยานให้นิชานะคะ ว่าใครหาเรื่องใครก่อน”
“ได้ค่ะ” น้อยรับคำทันที
ปรกมองนิชา และ วิภาวีอย่างกลุ้มใจ ไม่อยากให้เรื่องนี้ไปกวนใจปานรุ้ง หันมาขอโทษวิภาวีเอง
“ยังไงผมขอโทษแทนนิชาด้วยแล้ว”
นิชาฉุน “คุณปรก ฉันไม่ผิด คุณจะขอโทษทำไม”
“ผมขอร้องล่ะนิชา แค่นี้ที่บ้านก็มีเรื่องทำให้นายแม่เครียดพออยู่แล้วอะไรยอมๆ ได้ ก็ยอมๆ ไป”
“ถ้านิชาผิด นิชายอม แต่นี่นิชาไม่ผิด คุณควรเข้าข้างนิชา ไม่ใช่คนอื่น”
นิชาเดินขึ้นบันไดหนีไป วิภาวีมองสองคนทะเลาะกันอย่างสะใจ
ปรกมองตามนิชาแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหันไปถามน้อย
“น้าน้อยครับ ปกรณ์กลับมารึยัง”
บ่ายคล้อย ปกรณ์เดินเข้ามาหยุดที่หน้าแฟลตวิรินทร์ รอจนเห็นวิรินทร์เดินออกมา หนุ่มหน้าใส ยิ้มดีใจ
“รินทร์”
วิรินทร์เห็นปกรณ์ก็รีบเดินหนีไปที่มอเตอร์ไซค์ทันที ปกรณ์ตามมาจับมือเธอไว้ วิรินทร์ชะงัก พยายามดึงมือออก
“ปล่อยนะ แล้วจะไปไหนก็ไป”
“ถ้ารินทร์ไม่อยากเจอหน้าเราเพราะนายแม่สั่ง เราไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น แต่เราจะไป ก็ต่อเมื่อรินทร์ไม่อยากเจอเรา เพราะเกลียดเรา”
วิรินทร์มองปกรณ์นิ่ง ปกรณ์มองมาด้วยสายตาอ้อนวอน
“นายทำขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเราไม่อยากเจอนายเพราะอะไร นายก็รู้ว่าคนอย่างเรา ไม่มีใครสั่งได้ เราจะทำก็ต่อเมื่อเราอยากทำ”
“เราไม่เชื่อ”
วิรินทร์มองปกรณ์ด้วยสายตาจริงจัง “เราเกลียดนาย เราเกลียดคนที่ดี แต่มีเงิน แต่ไม่มีความคิด เอาเงินพ่อแม่มาอวยผู้หญิง ที่ทำนี่ใช้สมองคิดแล้วเหรอ คิดว่าเราคงปลื้มใจนายสินะเปล่าเลย นายยิ่งทำให้เรารำคาญ บอกตรงๆ อยู่กับนายแล้วอึดอัด โน้นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ วิ่งหน่อยก็หอบ เราไม่อยากคบนายให้ เป็นภาระ ได้ยินปะ นายมันตัวภาระ”
ปกรณ์อึ้ง วิรินทร์ใช้จังหวะนั้น สะบัดมือออก จะเดินหนี
“รินทร์”
ปกรณ์ไม่ยอมจับมือวิรินทร์ไว้
จู่ๆ มีมือของเข้มเข้ามาคว้าไหล่ปกรณ์จากด้านหลัง แล้วต่อยเต็มแรงจนปกรณ์ทรุดลงพื้น
วิรินทร์ตกตะลึง “เฮ้ย พี่เข้ม”
เข้มชี้หน้าปกรณ์ “มึงออกไปที่นี่เลยนะ ไม่อย่างนั้น กูจะฝากรอยเท้าไปฝากแม่มึง”
ปกรณ์รีบลุกขึ้น “คิดว่ากลัวเหรอ”
“มึงจะเอาใช่ไหม” เข้มถลันจะเข้าไปต่อยปกรณ์อีก
วิรินทร์รีบห้าม “พอได้แล้วพี่เข้ม” แล้วหันไปทางปกรณ์ “กลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก”
“แต่ว่า...”
“เห็นไหม ว่านายทำให้แฟนเราไม่พอใจ” วิรินทร์เข้าไปกอดแขนเข้ม
ปกรณ์ชะงัก พูดตัดพ้อออกมาอย่างผิดหวัง
“บอกเราอย่างนี้ตั้งแต่แรก เราก็เข้าใจแล้ว”
ปกรณ์ปัดฝุ่นที่กางเกง แล้วหันหลังเดินออกไป วิรินทร์มองตามปกรณ์อย่างปวดร้าว เข้มมองเห็นแววตานั้น
“รินทร์ชอบไอ้นั่นเหรอ”
วิรินทร์นิ่งไม่ยอบตอบ
วิรินทร์เดินหนีเข้มมาอีกมุมบริเวณหน้าแฟลต เข้มเดินตามมาดึงแขนไว้
“รินทร์ชอบไอ้หน้าอ่อนนั่นใช่ไหม”
วิรินทร์ดึงมือออก “จะชอบหรือไม่ชอบมันก็ไม่มีประโยชน์ พี่เข้มก็เห็นอยู่แล้วว่าแม่ปกรณ์รังเกียจความจนของรินทร์ขนาดไหน”
“แต่ไอ้นั่นไม่รังเกียจนี่ มันตามตื้อรินทร์ สักวันรินทร์ก็ต้องใจอ่อน”
“นั่นแม่เขาทั้งคนนะพี่เข้ม แล้วรินทร์เป็นใคร ถ้าแม่รินทร์ขอร้องให้รินทร์เลิกยุ่งกับใคร รินทร์ก็จะทำ ปกรณ์ก็เหมือนกัน ถ้าแม่เขาสั่ง เขาก็ต้องเลือกแม่เขา ไม่ใช่รินทร์”
“แล้วถ้ามันเลือกรินทร์ล่ะ”
“มันไม่มีวันนั้นหรอก”
วิรินทร์เดินหนี เข้มมองตาม ถามไล่หลังไป
“แต่ถ้ามันเลือกรินทร์ รินทร์ก็จะยอมรักกับมันใช่ไหม”
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพ วิภาวี ปรก และนิชา นั่งร่วมโต๊ะกินอาหารเย็น มีน้อยกับจำปี คอยดูแลรับใช้
“ทำไมปกรณ์ไม่มากินข้าวเย็นอีก”
“คุณปกรณ์บอกว่าปวดหัว ทานข้าวทานยา นอนตั้งแต่กลับจากมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ” น้อยบอก
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกฉัน” ปานรุ้งทำท่าจะลุก “ไม่รู้เป็นอะไรมากรึเปล่า”
วาสุเทพดึงมือปานรุ้งให้นั่งลง “ปกรณ์โตแล้วนะรุ้ง ให้เขาดูแลตัวเองบ้าง ถ้าเขาไม่ไหว เดี๋ยวเขาก็บอกเราเอง”
ปานรุ้งอิดออด “แต่ว่า”
วาสุเทพเตือนสติ “เราควรเริ่มรู้จักหย่อน ก่อนที่จะตึงมากกว่านี้จะรุ้ง”
ปานรุ้งชะงัก เข้าใจว่าสามีเตือนไปถึงเรื่องปานวาด ปานรุ้งมองเก้าอี้ของปานวาดที่ว่างเปล่าด้วยความขมขื่นใจ
“ตกลงมีใครเจอวาดรึยังคะ”
“เมื่อตอนเย็นเกื้อโทร.มาบอกว่ายังไม่เจอปานวาด แต่มีชาวบ้านเห็น”
ปานรุ้งหันไปมองวาสุเทพอย่างตื่นเต้น “เห็นอะไรคะ”
“มีชาวบ้านเห็นคนเหมือนปานวาดกับโดมโบกรถไปไหนสักที่หนึ่ง”
“จริงเหรอคะ”
“ชาวบ้านก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็แปลว่าวาดปลอดภัย”
ปานรุ้งฟังเรื่องของปานวาดอย่างปวดร้าวที่ลูกเลือดที่จะหนี แทนที่จะกลับบ้าน
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพ “รุ้งอยากไปทำบุญ พรุ่งนี้พี่เทพติดอะไรรึเปล่าคะ”
ค่ำคืนนั้น รถกระบะของชาวบ้านคันหนึ่ง ขับเข้ามาจอดริมถนน โดมนั่งหลับอยู่ตอนหลัง มีปานวาดนอนหลับซบไหล่อยู่ ทั้งคู่ท่าทางมอมแมมพอกัน
คนขับเคาะรถเรียก “ไอ้น้อง ถึงภูเก็ตแล้ว”
โดมสะดุ้งตื่น แล้วหันไปเรียกปานวาดที่นอนหลับอยู่
“วาด...ถึงแล้ว”
ปานวาดลืมตาตื่นมองไปรอบๆ สองคนปีนลงจากรถกระบะ
“ขอบคุณมากนะครับพี่”
คนขับพยักหน้าแล้วขับออกไป โดมหันมองปานวาดอย่างเป็นห่วง
“ไหวไหม”
ปานวาดยิ้ม พลางพยักหน้าให้
“เราจะไปไหนกันต่อดี เงินเราก็ไม่มีสักบาท”
โดมยกมือข้างที่มีแหวนทองเล็กๆ “ผมมีแหวนที่แม่ให้ติดตัวมา เดี๋ยวเอาไปขายแล้วหาที่พักกันก่อน” เขาจับมือปานวาด “เราผ่านช่วงเวลาเป็นเวลาตายมาแล้ว ก็คงไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้แล้วละ”
โดม กับ ปานวาดเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่งในภูเก็ต ใบหน้าสวยใสของปานวาดยามนี้มีริ้วรอยเปื้อนคราบฝุ่น เธอมองสภาพโรงแรมแล้วใจไม่ดี เพราะดูทรุดโทรมเหลือเกิน
“คืนนี้อยู่ที่นี่ก่อนนะวาด ไว้พรุ่งนี้ผมขายมือได้เมื่อไหร่เราค่อยหาโรงแรมที่ดีกว่านี้”
“จริงๆ อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้นะ เพราะเงินที่ฉันเหลือติดตัวก็มีไม่กี่พัน”
โดมควักกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา พบว่าเขามีเงินอยู่ประมาณ 3 พันบาท
“ผมก็เหลือแค่ 3 พันเอง”
ปานวาดมองโดมที่ทำหน้าหนักใจ “ไม่ต้องเครียดนะ ฉันอยู่ได้ ขอแค่คุณอยู่กับฉัน”
โดมยิ้มให้ปานวาด
“เอ้าๆ ยูๆ ถ้าจะฮักก็อัพสะแตร์ไหม” โดมกับปานวาดหันไปมอง เจ้าของเสียง คือ เจ๊กุซชี่ที่เดินออกมากับเต้ผัวเด็ก ทั้งคู่มองโดมกับปานวาดอย่างพิจารณา
“ผมคนไทยครับ”
“อ้าว คนไทยเหรอ งั้นถ้าจะกอดกันก็ขึ้นห้องข้างบนไหม ห้องยังว่างนะ” กุชชี่ยิ้มท่าทางเป็นมิตร
“คิดคืนเท่าไหร่ครับ”
“500 พักไหม”
“พักครับ เอาห้องนึง”
เจ๊กุซชี่แบมือทันที โดมส่งแบงค์ 500 ให้ “อยากได้อะไรอีกบอกเจ๊กุซชี่ ได้เลยนะ ทั้งภูเก็ตเนี่ย เจ๊หาให้ได้ทุกอย่าง”
“ยกเว้นเงิน” เต้กัด
“เดี๋ยวจะโดนไอ้เต้”
“ผมอยากได้งานอ่ะครับ เจ๊พอจะรู้จักใครที่มีงานให้ผมทำไหม”
เจ๊กุซชี่ระดับเจ๊ มีอยู่แล้ว!!
ปานวาดกับโดมยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
กุซซี่มองโดมกับปานวาดยิ้มเจ้าเล่ห์
วันรุ่งขึ้น นิชาเดินออกมาส่งปรกไปทำงาน
“คุณปรก เที่ยงนี้คุณกลับมาทานข้าวกับฉันไหม”
“เที่ยงนี้ผมว่าจะขับรถไปหาเพื่อนที่พัทยา เผื่อให้มันช่วยตามหาวาด เอาอย่างนี้ วันนี้นายแม่นอนพักอยู่บ้าน คุณทานอาหารกับนายแม่นะ”
นิชาตัดพ้อเหน็บแนมในที “ฉันมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ”
“นิชา”
“คุณไปตามหาปานวาดเถอะ ฉันอยู่ได้”
นิชาจะเข้าบ้าน
วาสุเทพเดินสวนออกมาหาปรก
“ปรก เที่ยงนี้ว่างไหมลูก แม่อยากไปทำบุญ แต่พ่อมีธุระสำคัญต้องไป พ่อไม่อยากให้แม่ไปคนเดียว”
นิชาหันมามองปรก ว่าจะตอบยังไง
ปรกหลบตานิชาวูบ หันมาทางวาสุเทพ “ได้ครับคุณพ่อ”
นิชามองปรกอย่างน้อยใจ แล้วเดินเข้าบ้านไปทันที วาสุเทพมองตามอย่างแปลกใจ
“มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีครับ แล้วเที่ยงนี้คุณพ่อจะไปไหนเหรอครับ”
“ไปเรื่องเกี่ยวกับปานวาด”
วาสุเทพคิดถึงภารกิจสำคัญที่เขาจะทำนับจากนี้
วาสุเทพแบกความรู้สึกผิดในใจ พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านกติยา อย่างไรเสียวันนี้วาสุเทพต้องเจอกติยาเพื่อพูดคุยกันให้รู้เรื่อง
วาสุเทพเดินเข้ามาในห้องรับแขก อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นบรรยากาศในบ้านที่เงียบสนิทและมืดมิดด้วยผ้าม่านปิดรอบด้าน
วาสุเทพเหลียวมองหาคนในบ้าน แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นกติยาในชุดดำไว้ทุกข์นั่งกอดรูปของดรุณีอยู่พื้นมุมห้อง สภาพอันทรุดโทรมของอดีตภรรยา ทำให้เขาอดสะท้อนใจไม่ได้
“ยา”
กติยายังนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะมองวาสุเทพ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นสาย
วาสุเทพมองสภาพกติยาที่มีความทุกข์และใส่ชุดดำ “เกิดอะไรขึ้น” พลางมองรูป
ดรุณีที่กติยากอดอยู่ “หรือว่าคุณน้า”
เห็นกติยายังไม่ตอบ วาสุเทพตัดสินใจเดินเข้าใกล้ๆ
“พี่เสียใจด้วยนะ”
กติยานิ่งในท่าเดิม
“พี่เพิ่งรู้ว่ายามีลูกชาย ยาแต่งงานใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
วาสุเทพมองกติยาที่เอาแต่นิ่ง แล้วถอนใจ ก่อนเข้าจุดประสงค์หลัก
“ยาคงรู้ว่าพี่มาทำไม ยารู้ไหมว่า ลูกชายยา พาปานวาดไปที่ไหน”
สองคนที่วาสุเทพถามหากับกติยา เปิดประตูมองสภาพห้องพักที่ทรุดโทรม คร่ำคร่า และสกปรก ในห้องมีแค่เตียงกับโต๊ะเครื่องแป้งเก่าๆ ปานวาดกับโดมเดินท่าทางเหนื่อยล้าเข้ามาในนั้น ปานวาดนวดมือตัวเอง
“เพิ่งรู้ว่ารับจ้างล้างจาน มันเหนื่อยขนาดนี้”
โดมจับมือปานวาดมากุม “ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องทำ ผมทำคนเดียวได้คุณก็ไม่เชื่อผม”
“คุณ ทำไมคุณไม่สมัครเป็นดีเจล่ะ”
“ดีเจมันเป็นที่สนใจของคนเกินไป ถ้ามีคนเห็นแล้วไปแจ้งตำรวจ เราก็ต้องโดนจับ ทำงานเป็นแค่คนล้างจานในครัวไปก่อน พอเรื่องเงียบ ค่อยหางานอื่น”
“วันนี้ฉันออกไปเห็นร้านขายข้าวไข่เจียว อาหารง่ายๆ แต่ขายฝรั่งดี๊ดี ไว้เราเปิดร้านขายข้าวไข่เจียวกันนะ”
โดมมองปานวาดอย่างสงสาร “ผมว่าคุณกลับบ้านไปหาแม่กับพ่อเถอะ”
ปานวาดหงุดหงิด “พูดแบบนี้อีกและ”
“ผมพูดจริงๆ นะ ผมคงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน โทร.ไปหาแม่ ก็ไม่มีใครรับสาย อย่างน้อยคุณจะได้ดูแลแม่แทนผมได้”
ปานวาดถามอย่างจริงจัง “คุณ ถ้าวันนึงจู่ๆ ฉันเกินตาบอดขึ้นมา คุณจะยังอยู่กับฉันไหม”
โดมตอนทันที “อยู่สิ”
“แล้วถ้าฉันแขนขาด ขาขาด หรือเป็นอัมพาตล่ะ จะอยู่กับฉันไหม”
“อยู่สิ”
“เห็นไหม คุณยังไม่ทิ้งฉันเลย แล้วทำไมวันนี้ฉันถึงต้องทิ้งคุณล่ะ ที่คุณทำผิด ก็เพราะปกป้องฉันนะ คุณอยากให้ฉันทำอะไร ฉันทำให้ได้หมดทุกอย่าง ขอแค่อยากเดียว อย่าไล่ให้ฉันไปจากคุณเลย”
โดมมองปานวาดอึ้งๆ ไม่คิดว่าสาวไฮโซจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนี้
“คุณนี่ดื้อจริงๆ”
ปานวาดยิ้มหวานมองหน้าโดมที่เปื้อนคราบ
“มา...เดี๋ยวฉันเช็ดหน้าให้”
ปานวาดจูงมือโดมเข้าห้องน้ำไป
อนิจจา บางอย่างที่เป็นความผิดบาปมหันต์กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
เวลาเดียวกันนั้น ปานรุ้งเดินตรงไปที่โบสถ์ของวัดแห่งนี้ มีปรกถือเครื่องสังฆทานเดินตามหลังมา
ทันใดนั้นเอง มีแมวดำกระโดดตัดหน้าปานรุ้งไปโดยเร็ว ปานรุ้งตกใจมาก ถอยหลังหลบกะทันหัน ทำให้รองเท้าพลิก ล้มลงกับพื้น ปรกรีบเข้าไปพยุงปานรุ้ง
“นายแม่ เจ็บตรงไหมครับ”
ปานรุ้งจับข้อเท้าหน้าตาเหยเก “แม่เจ็บขา”
ปรกรีบประคองเท้าของแม่มาดูอาการ
ปานรุ้งร้องโวยวายอย่างเจ็บปวด “โอ้ยๆๆ เบาๆสิปรก”
“สงสัยเท้านายแม่จะพลิก ไปหาหมอกันเถอะครับ”
“ไม่ได้ แม่อยากทำบุญก่อน”
“แต่เท้านายแม่เดินไม่ไหว ผมว่ามาทำบุญพรุ่งนี้ก็ได้ครับ”
ปานรุ้งมองไปทางโบสถ์ ด้วยความรู้สึกใจคอไม่ดี มุ่งมั่นอยากทำบุญเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็มีมาร ทำให้ไม่ได้ทำ
ห้องน้ำในห้องพัก มีฝักบัวเก่าๆ ติดอยู่ที่กำแพง ปานวาดจับโดมนั่งลงบนฝาชักโครก เอาผ้าชุบน้ำ เช็ดหน้าให้โดมอย่างอ่อนโยน อีกฝ่ายยิ้มๆ
ปานวาดเช็ดตรงใกล้ๆตา “หลับตาซิ”
โดมหลับตาตาม จู่ๆ น้ำจากฝักบัวถูกฉีดเข้าที่หน้าของโดม
โดมลืมตาขึ้นมอง “แกล้งผมเหรอวาด”
“ก็หน้าคุณมันเปื้อนเยอะ”
ปานวาดเอาน้ำจากฝักบัวฉีดใส่ โดมยื้อแย่งฝักบัวมา ทั้งสองคนโดนที่สวมเสื้อยืดสีขาว โดนน้ำจากฝักบัวฉีดใส่ เนื้อตัวเริ่มเปียกปอนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมองเห็นรูปร่างข้างในของกันและกัน
ปานวาดมองเนื้อตัวโดมที่เปียกลู่น้ำจนเห็นกล้ามแกร่งหนั่นเนื้อแข็งแรง ส่วนโดมเองก็มองเห็นเสื้อในตัวจิ๋วที่ปิดป้องหน้าอกงาม
ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งๆ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามากัน ด้วยแรงดูดดึงจากแรงสิเน่หา
ฝ่ายกติยายังนั่งนิ่งเป็นหุ่นสลัก
“พี่รู้ว่ายาโกรธพี่ ก็ขอให้ลงโทษพี่ อย่าไปลงกับลูกเลย ลูกไม่รู้อะไรด้วยมันจะเป็นบาปกับลูกเปล่าๆ”
โดมกับปานวาดจูบกันอย่างดูดดื่ม
มือของปานวาดค่อยๆ รั้งเสื้อโดมถอดออก แล้วลูบไล้ไปตามซิกซ์แพ็คเป็นลอนของโดม
เสื้อยืดของโดมถูกทิ้งลงพื้น โดมซึ่งท่อนบนเปลือยเปล่า ช้อนร่างปานวาดจนตัวลอย อุ้มเดินไปที่เตียงทันที
อีกฟาก อยู่ๆ วาสุเทพรู้สึกเจ็บที่หัวใจจี๊ด จนถึงกับสะดุ้ง กติยาเองที่นั่งนิ่งอยู่ เหมือนมีลมพัดมาวูบหนึ่งให้กติยารับรู้ถึงบางอย่าง กติยายิ้มสาสมใจ แล้วเหลือบมองวาสุเทพ
“บาปเหรอคะ ลูกทำให้แม่มีความสุข มันไม่บาปหรอกค่ะพี่เทพ”
กติยายันตัวลุกขึ้น อุ้มกรอบรูปดรุณีแนบอก หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
“โดมทำให้แม่มีความสุข” กติยาเดินผ่านวาสุเทพไปพร้อมกับหัวเราะดังขึ้นราวกับคนบ้า “ลูกทำให้แม่มีความสุข”
วาสุเทพกุมหัวใจที่เจ็บอยู่ไม่คลาย มองตามกติยาด้วยสีหน้าเครียดจัด และสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับลูกสาวสุดที่รัก
อ่านต่อตอนที่ 18