xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 20

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 20

เวลานั้นปานรุ้งเดินร้อนใจผ่านประตูบริษัท พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ตรงเข้าล็อบบี้มา และกำลังจะไปขึ้นลิฟท์ ปานเทพเดินออกจากลิฟท์เห็นปานรุ้ง ก็แกล้งทำท่าแปลกใจที่เจอมารดา

“นายแม่ กลับมาจากภูเก็ตตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ นายแม่เจอปานวาดแล้วเหรอครับ”
“ยังลูก”
“อ้าว”
“แต่แม่ต้องรีบกลับมาก่อนเพราะบริษัทมีเรื่องด่วน”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
ธันวาเดินออกจากลิฟท์คนละตัวกับที่ปานเทพลงมา ตรงมาหาปานรุ้ง
“คุณหญิงครับ”
“สืบได้รึยัง ว่าเงินที่หาย มันไปเข้าบัญชีไหนบ้าง”
ธันวามองปานรุ้งท่าทีกระอึกกระอัก
ปานเทพมองธันวา แล้วลอบยิ้มสีหน้าเจ้าเล่ห์

ปรกขับรถมาจอดหน้าตึกใหญ่ สามคนลงจากรถ
ปานเทพเดินออกจากในบ้าน พุ่งตรงเข้ามาต่อว่านิชาอย่างรุนแรงในท่าทีคุกคาม
“คุณทำอย่างนี้กับบริษัทนายแม่ได้ยังไงนิชา”
ปรก นิชา และปกรณ์ต่างงุนงง
ปรกรีบเอาตัวบังปกป้องนิชาไว้ “นี่มันอะไรกันพี่ปานเทพ”
“นี่นายยังไม่รู้ตัวสินะว่านายมีเมียเป็นโจร”
ปรกโมโห “โจรบ้าอะไร”
“พี่ปานเทพพูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ปกรณ์ยัวะ
ปานเทพหันมามองปกรณ์ตาขุ่น “นายไม่เกี่ยว ไม่ต้องมายุ่ง” แล้วหันมาหาปรก “ก็เมียนายยักยอกเงิน บริษัทนายแม่ไปไง”
ปรกกับนิชาชะงัก สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
“อะไรนะ”
นิชาเถียงทันที “ไม่จริง ฉันไม่ได้เอาไป”
ปานรุ้งเดินออกมา พร้อมธันวา
“แล้วเงินที่เพิ่งเข้าบัญชีเธอวันนี้ 100 ล้าน มันเงินจากไหน”
ปรกชะงักหันไปมองนิชา เพราะรู้ว่ามีเงินเข้าบัญชีนิชา 100 ล้าน จริง
“นิชาไม่รู้เรื่องจริงๆ นะคะนายแม่ นิชาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเงิน 100 ล้าน เข้าบัญชีนิชาได้ยังไง”
“ผู้จัดการฝ่ายการเงินรายงานว่าคุณนิชาเอาแฟ้มบัญชีที่มีลายเซ็นคุณหญิงไปวางบนโต๊ะซึ่งแฟ้มนั้นคุณหญิงยังไม่ได้เซ็น และหลังจากนั้นพนักงานธนาคารบอกว่าคุณนิชาเอาเช็คไปฝากขึ้นเงิน”
ปานรุ้งเสริมจากธันวาว่า “ซึ่งหมายความว่าเธอปลอมลายเซ็นฉันเพื่อเมกตัวเลขบัญชีปลอม และปลอมลายเซ็นฉันเซ็นเช็คเบิกเงินบริษัท”
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ทำ” นิชาเสียงแข็ง
ปรกมองนิชาอย่างเครียด

นิชาเดินเข้าห้องนอนมาด้วยสีหน้าเครียดจัด ปรกเดินตามเข้ามา
“ฉันโดนใส่ร้าย ฉันยืนยันได้เลยว่าฉันโดนใส่ร้าย ถ้าไม่เป็นฝีมือพี่ชายคุณ ก็ต้องเป็นฝีมือนายแม่คุณ เห็นครอบครัวฉันกำลังเป็นหนี้ เลยเอาเรื่องเงินมาโยนความผิดใส่ฉัน ถ้าอยากกำจัดฉัน บอกมาตรงๆ ไม่ต้องมาใช้วิธีสกปรกอย่างนี้ มันทุเรศสิ้นดี”
นิชาเห็นปรกเงียบไป จึงหันไปมอง
“คุณปรก ทำไมคุณถึงเงียบไป หรือว่าคุณเชื่อว่าฉันโกงเงินจริงๆ”
ปรกมองนิชาอย่างลังเลนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูด
“คุณแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรผิดพลาด”
นิชาชะงัก “แปลว่าคุณไม่เชื่อฉัน”
“ผมเชื่อคุณ แต่ผมแค่อยากถามให้มั่นใจ”
“นั่นแหละค่ะ แปลว่าคุณไม่เชื่อฉัน”
“นิชา”
“คุณรู้ไหม สิ่งที่นายแม่คุณทำกับแม่ฉัน มันทำให้ฉันรู้ว่าแม่คุณร้ายกาจขนาดไหน”
ปรกปราม “นิชา”
นิชาพูดต่อ “แต่ฉันก็ยังเสี่ยงที่จะแต่งงานกับคุณ ยังบ้าเลือกมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับนายแม่คุณ ทั้งๆที่รู้ว่านายแม่คุณไม่ได้ปลื้มลูกสะใภ้ที่มีแต่หนี้อย่างฉัน เพราะอะไรรู้ไหม”
ปรกมองนิชาอึ้งไปเลย
นิชาน้ำตารื้นมองสามีอย่างเจ็บปวด “เพราะฉันเชื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณจะปกป้องฉัน เข้าข้างฉัน เข้าใจฉัน”
“ผมก็กำลังปกป้องคุณอยู่”
นิชาพยายามกลั้นน้ำตา “อย่าลำบากเลยค่ะ เพราะสุดท้าย ยังไงคุณก็เลือกอยู่ข้างนายแม่อยู่ดี”
นิชาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมากางออก แล้วหยิบเสื้อผ้าออกจากตู้
ปรกตกใจ “คุณจะทำอะไรนิชา”
“ในเมื่อคนที่นี่อยากกำจัดฉัน ฉันก็จะไป”
นิชาเดินมาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานในห้อง หยิบสมุดบัญชีวางลงบนโต๊ะอย่างแรง
“นี่คือบัญชีที่มีเงิน 100 ล้าน คุณเอาไปเบิกคืนนายแม่ได้เลย แต่ถ้ายังคิดว่าฉันยังโกงอะไรอีก ก็แจ้งตำรวจไปจับฉันได้เลย”
นิชามองหน้าปรกแววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ

ปรกมองสบตานิชา หน้าเครียดจัด

ปานรุ้งอยู่ที่โต๊ะในห้องทำงานที่บ้าน กำลังคุยประชุมคอนเฟอเร้นซ์ กับ บอร์ดผู้บริหารผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค

ปานเทพนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย ส่วนธันวายืนเยื้องมาทางด้านหลังปานรุ้งอีกนิด
“เรื่องนี้แจ้งความไม่ได้ ฉันไม่ได้ปกป้องลูกสะใภ้ แต่ฉันกำลังปกป้องบริษัท ถ้ามีข่าวว่าบริษัทเราถูกยักยอกเงิน ต่างชาติจะเชื่อถือบริษัทเราไหม”
ปานเทพทักท้วง “แต่ถ้านายแม่ไม่จัดการ แล้วเงินที่เราเสียไปล่ะครับ”
ปรกเดินถือสมุดบัญชีของนิชาเข้ามาในห้อง
“นิชาคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้นายแม่ครับ”
ปานเทพมองปรกด้วยสายตายิ้มเยาะ
“มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ ถ้าขโมยเงินไป แล้วเอามาคืน เรื่องจบ ในโลกนี้จะมีกฎหมายไว้ทำไม” ปานเทพบอกกับปานรุ้งว่า “ต่อให้เป็นคนในครอบครัว ผมว่านายแม่ต้องลงโทษให้เป็นตัวอย่างครับ ไม่อย่างนั้น พนักงานคนอื่นจะคิดกับนายแม่ยังไง”
“ถ้านายแม่จะเอาเรื่องนิชา ขอให้นายแม่เอาเรื่องผมแทน เพราะผมเป็นคนแนะนำนิชาให้เข้าไปทำงาน” ปรกออกรับแทน
ปานเทพมองหยัน “อ้อ ทำงานกันเป็นแก๊ง”
ปรกมองปานเทพอย่างไม่พอใจ ปานเทพมองปรกอย่างท้าทาย
ปานรุ้งเครียดตวาด “พอได้แล้ว ต่อให้นิชาเอาเงิน 100 ล้านมาคืน ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเงินมันไม่ได้หายแค่ 100 ล้าน แต่มันหายไปพันล้าน”
ปานเทพกับปรกชะงัก

ถัดมาไม่นานนัก ชูนามกับร้อยกรองอยู่ในห้องรับแรกที่บ้าน รับรู้เรื่องเงินพันล้านจากปากปานเทพจบลง ด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
“พันล้าน ก็ไหนลูกบอกว่าลูกปลอมลายเซ็น เซ็นเช็คเบิกเงินบริษัท 100 ล้านไง”
ปานเทพนั่งหน้าเครียด
“ใช่ครับ ผมจำได้ว่าเซ็นเช็คไปแค่ 100 ล้าน แล้วทำไมเงินมันหายไปจากบริษัทพันล้าน”
ร้อยกรองใช้ความคิด “เอาแล้วไง นังนวรัตน์มันตุกติกเรารึเปล่าชูนาม”
ชูนามไม่รอช้า รีบหยิบมือถือโทรหานวรัตน์

ภายในห้องรับแขกบ้านนวรัตน์ เย็นนั้น หน้าจอมือถือ เห็นเบอร์ชูนามโทร.เข้ามา นวรัตน์หยิบมาดู แล้วโยนทิ้งบนโต๊ะอย่างไม่แยแส
“คิดว่าฉันจะช่วยให้พวกแกครอบครองบริษัทปานรุ้งเหรอ ฉันต่างหากที่ต้องครอบครอง”
ธีรพงษ์เดินเข้ามาในห้อง พร้อมบอดี้การ์ด 2 คน
“รถพร้อมไปสนามบินแล้วครับ”
“ดี ไปเที่ยวชาร์ตแบตสักหน่อย กลับมาอาจต้องบริหาร 2 บริษัท น่าสงสารปานรุ้งนะ ตอนสาวๆก็ล่มจมเพราะผัวอย่างชูนาม ตอนแก่ต้องมาล่มจมเพราะลูกชายอย่างปานเทพ ไม่รู้จะเรียกว่า ซวย หรือ กรรม”
นวรัตน์ลุกเดินหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนจะหันไปบอกบอดี้การ์ด
“จับตาไอ้สองพ่อลูกนั่นไว้ด้วย”
บอดี้การ์ด 2 คนรับคำพร้อมกัน “ครับ”
นวรัตน์เดินออกไปพร้อมกับธีรพงษ์ หนีไปกบดานที่เมืองนอกรอให้เรื่องซา

เช้าวันถัดมา ปานเทพโวยวายเอากับชูนามและร้อยกรอง
“วันนี้ฝ่ายบุคคลบอกว่าไอ้ธีรพงษ์มันลาออกไปแล้ว แบบนี้แปลว่ามันต้องสมรู้ร่วมคิดกับนวรัตน์โกงบริษัทนายแม่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันคง ไม่หนีพร้อมกับนวรัตน์อย่างนี้ เราจะทำยังไงดีครับพ่อ”
ชูนามหน้าเครียด “มันไม่รับผิดชอบได้ เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันสิเราอยู่เงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าเราร่วมกันโกงบริษัทปานรุ้ง ก็ไม่มีใครจับเราได้”
วิภาวีเดินนวยนาดเข้ามา
“แต่ฉันรู้”

ปานเทพกับชูนามและร้อยกรองมองวิภาวีอย่างคาดไม่ถึง

ปานเทพลากวิภาวีออกจากบ้าน แล้วเหวี่ยงร่างวิภาวีจนล้มลงกับพื้น ชูนามเดินตามมาดูห่างๆ

“ฉันไว้ชีวิตเธอ เธอกล้ามาขู่แบล็คเมล์ฉันอีกเหรอ”
วิภาวีค่อยๆ ลุกขึ้น ยิ้มด้วยท่าทางยียวน มองเยาะปานเทพ
“ทำไมฉันจะไม่กล้า ในเมื่อฉันรู้ทุกอย่าง ถ้าไม่อยากให้นายแม่รู้ว่าคนที่ทรยศคือลูกชายสุดที่รักล่ะก้อ จ่ายฉันมา 10 ล้าน”
“ฉันมีแค่ลูกปืนให้เธอเท่านั้นแหละ”
“แล้วคิดว่าฉันไม่มีเหรอ” วิภาวีชักปืนจากกระเป๋ามาจ่อหน้าปานเทพโดยเร็ว ปานเทพชะงัก ไม่คิดว่าอดีตภรรยาจะเล่นรุนแรงอย่างนี้
ชูนามจะเข้าไปช่วยปานเทพ
“เฮ้ย หนูวิ เล่นแรงไปรึเปล่า...”
ชูนามไม่ทันพูดจบ ก็มีชายฉกรรจ์ 3 คนโผล่เข้ามาล็อคตัวไว้ หนึ่งในนั้นถือปืนขู่ชูนาม
ไว้ สองพ่อลูกชะงักมองกลุ่มชายฉกรรจ์และวิภาวี
ปานเทพมองวิภาวีอย่างแค้นใจ “เล่นอย่างนี้เหรอ”
“คนอย่างฉัน ยอมอยู่ใต้ตีนคนแค่ครั้งเดียว ในเมื่อคุณไม่เหลือความรักให้ฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเหลือความรักให้คุณ ฉันต้องการเงิน 10 ล้านภายในคืนนี้ ไม่อย่างนั้น นายแม่คุณได้เจอฉันแน่”
วิภาวีเดินออกไปพร้อมชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คน

ถัดมา ปานเทพระเบิดใส่ชูนามอย่างหงุดหงิด
“ทำไมพ่อต้องให้ผมจ่ายเงินให้วิภาวีด้วย”
“เพราะตอนนี้เรากำลังเสียเปรียบ ลูกก็เห็นว่าสถานการณ์บริษัทแม่ของลูกกำลังแย่ ถ้ามีใครรู้ว่าเราโกง เราจะเป็นแพะรับบาปชดใช้เงินที่เราไม่ได้เอาไป เพราะฉะนั้น เสีย 10 ล้าน จบ”
ปานเทพแค้นไม่หาย “ขอให้จบจริงๆ เถอะ”

เวลาผ่านไปอีกหลายสัปดาห์ จนล่วงเข้าสู่ต้นเดือน กลุ่มพนักงาน บริษัท พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ราว 60 คน ยืนประท้วงเรื่องค่าแรงอยู่เต็มพื้นที่หน้าตึกทำการบริษัท โดยมีนักข่าวสายเศรษฐกิจทุกสำนักมาทำข่าวกันอย่างคึกคัก

อนิจจา สถานการณ์ที่ คมขวัญ สมุทรเทวา เคยพบเจอ ได้หวนกลับมาเยือนชีวิต ปานรุ้ง ไม่ต่างกันแม้นสักน้อย ด้วยภายในห้องประชุมบริษัทเวลานี้ ปานรุ้งกำลังถูกบอร์ดคณะผู้บริหารรุมขย้ำกับปัญหาที่กำลัง
“พนักงานยื่นข้อเสนอว่าถ้าบริษัทไม่ให้เงินเดือนที่ค้างภายใน 3 วัน แอร์โฮสเตสและกัปตันจะนัดหยุดงานครับ” ธันวารายงาน
บอร์ดบริหาร 1 เอ่ยขึ้น “เราต้องหาเงินมาอุดรูรั่ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้วนะครับคุณหญิง”
“ฉันกำลังคุยกับธนาคารอยู่ วันนี้คงได้คำตอบ”
บอร์ดบริหาร 2 แย้ง “แล้วถ้าธนาคารไม่อนุมัติล่ะครับ เงินมันเยอะนะครับคุณหญิง ตอนนี้
สถานการณ์การบินของประเทศเราก็มีปัญหา เราหาทางอื่นสำรองไหมครับ”
“ถ้าคุณหมายถึงขายหุ้นบริษัทล่ะก้อ ลืมมันไปได้เลย” ปานรุ้งลุกขึ้น “ฉันสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาเพื่อให้ลูกๆ ของฉัน ไม่ใช่ให้คนอื่นเข้ามาครอบครอง เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ถ้าฉันไม่ตาย ฉันจะหามาพยุงบริษัทเอง”

ปานรุ้งเดินออกจากห้อง โดยมีธันวาเดินตาม

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 20 (ต่อ)

ออกจากห้องประชุม ปานรุ้งเดินเข้ามานั่งลงเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน ธันวาเดินตามเข้ามา

“คุณหญิงครับ”
“เอาที่ดินทั้งหมดที่ฉันมี ไปขายให้หมด”
ธันวาตกใจ “คุณหญิง”
“ถ้าขายไม่ทัน ก็เอาโฉนดไปเข้าธนาคารก็ได้ ทำยังไงก็ได้ให้มีเงินมาจ่าย เงินเดือนให้พนักงานครบทุกคน”
“ครับคุณหญิง”
ธันวาเดินออกไป ปานรุ้งนั่งพิงเก้าอี้เหนื่อยแทบขาดใจ น้ำตาเจียนจะไหล แต่ต้องฝืนกลั้นน้ำตาไว้
“นายแม่ วันที่รุ้งสร้างปัญหา รุ้งทำให้นายแม่เหนื่อยจนร้องไห้ไม่ออกอย่างนี้ใช่ไหม”
มือถือดังขึ้น ปานรุ้งมองจอมือถือ เห็นเป็นเบอร์ของวาสุเทพ ก็รีบกดรับอย่างดีใจ
“ฮัลโหลพี่เทพ เจอปานวาดรึยังคะ”

ที่ภูเก็ต วาสุเทพเดินคุยมือถือกับปานรุ้งออกจากโรงแรมด้วยท่าทีรีบร้อน
“คนของเกื้อได้ข่าวแล้วว่าวาดอยู่ที่ไหน นี่พี่กำลังจะไปตามลูกกับเกื้อ ถ้าเจอลูกแล้ว พี่จะรีบโทร.บอกนะ”
เกื้อยืนรอวาสุเทพอยู่ที่รถของโรงแรมแล้ว ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง วาสุเทพเดินยิ้มดีใจมาหา
“คนของเกื้อเจอวาดที่ไหน”
เกื้ออึกอัก “คุณวาสุเทพครับ ทำใจดีๆ นะครับ”
วาสุเทพชะงักมองเกื้อ
“ทำไมต้องทำใจ มีเรื่องอะไร หรือว่าหาวาดไม่เจออีก”
“เจอครับ แต่ที่ที่ผมจะพาคุณวาสุเทพไป มัน...”
“มันอะไร” วาสุเทพมองเกื้อใจร้อนเป็นไฟ
เกื้อพูดไม่ออก

ปานวาดนั่งตาปรือเหมือนคนเมายาอยู่ตรงมุมในร้าน กุชชี่เข้ามาสะกิดเรียกอย่างแรง
“ลุกได้แล้ว แขกมาแล้ว รีบไปรับแขกเลย”
ปานวาดไม่ยอมลุกเพราะยังเบลอยา
“ฉันไม่ไป ฉันเหนื่อย เจ๊ ขอยาอีกหลอดได้ไหม”
“ได้”
ปานวาดรีบตะครุบตัวกุชชี่ไว้อย่างดีใจ “ไหนล่ะยา เอามาสิ”
กุชชี่ผลักหัวปานวาดออก “แกต้องไปรับแขกคนนี้ก่อน แล้วฉันถึงจะให้ยา รีบไปเลย แขกคนนี้ท่าทางกระเป๋าหนัก ออเซาะให้เยอะๆ เผื่อแกได้ทิปมาซื้อยาเพิ่ม” กุชชี่หันไปสั่งเต้ “เอาตัวมันไปห้องเบอร์ 2”
เต้หิ้วปีกพาปานวาดออกไป

นักเลงลูกน้องกุชชี่เดินนำวาสุเทพกับเกื้อมาที่หน้าห้องเบอร์ 2 ท่าทางนอบน้อม วาสุเทพมองสภาพห้องด้วยหัวใจที่ไม่อยากเชื่อ
“เด็กรอในห้องแล้ว พี่เข้าไปลุยได้เลย คนนี้เด็กใหม่ รับรองสด”
ลูกน้องกุชชี่เดินออกไป เกื้อมองวาสุเทพโดยไม่อยากเชื่ออยู่ดี
“มันใช่ที่นี่จริงๆเหรอเกื้อ”
“ผมก็ภาวนาว่าไม่ใช่”
วาสุเทพมองประตูห้อง ภาวนาขอให้ผู้หญิงที่อยู่ในห้องเป็นคนอื่น ไม่ใช่ปานวาด

วาสุเทพตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปช้าๆ ใจเต้นระทึก

วาสุเทพกับเกื้อเดินเข้ามาในห้องหมายเลข 2 พบว่าบรรยากาศในห้องมืดสนิท มองไม่เห็นคนในห้อง จนได้ยินเสียงพูดขึ้น

“พี่หาหนูอยู่เหรอคะ”
วาสุเทพได้ยินเสียงแล้วใจหล่นวูบ จำได้ในทันทีว่าเป็นเสียงปานวาด หัวใจผู้เป็นพ่อเต้นระรัว สวิตช์ไฟในห้องถูกเปิด ทั้งห้องสว่าง เผยให้เห็นปานวาดในชุดวาบหวิว นั่งท่าทางยั่งยวนอยู่บนเตียง ค่อยๆ หันมาทางวาสุเทพ
“หนูอยู่...“
ปานวาดเห็นวาสุเทพกับเกื้อแล้วอึ้งตะลึงตะไล
วาสุเทพแทบล้มทั้งยืน เกื้อต้องดันตัวไว้
“วาด”
ปานวาดรีบหยิบผ้าห่มใกล้มือมาคลุมตัวเองด้วยความอับอาย สาวใจแตกเสียงสั่นสะท้าน ร้องไห้ออกมา
“คุณพ่อ”
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ ทำไมถึงไม่กลับไปหาพ่อ”
ปานวาดมองวาสุเทพด้วยความรู้สึกเจ็บปวด อยากจะเข้าไปกอด แต่ไม่กล้าเพราะคิดว่าตัวเองสกปรกและน่ารังเกียจ
“วาดขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก ลูกไม่ผิด พ่อกับแม่เองที่ผิด ที่รักและห่วงลูกมากเกินไป จนทำให้สิ่งที่คิดว่าเป็นรั้วปกป้องลูก กลายเป็นคุกขังลูกทำให้ลูกต้องหนีออกมา ถ้าพ่อกับแม่ปล่อยลูกบ้าง ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าชีวิตมีทั้งด้านดีงามและเลวทราม ชีวิตของเราคงไม่ต้องเป็นอย่างนี้”
“ไม่หรอกค่ะ วาดผิดเองที่อยากเอาชนะ อวดเก่ง คิดว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจอะไรใหม่ๆ พ่อแม่เชื่อแต่เรื่องเก่าๆ เลยดื้อรั้นจะพิสูจน์ว่าตัวเองคิดถูก สุดท้าย กว่าจะรู้ว่าคิดผิด ก็สายเกินไป”
“ไม่สายหรอกลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกตั้งแต่กินไม่ได้ เดินไม่เป็นจนลูกกินเป็น เดินเป็น ถ้าลูกจะล้มจะพลาด พ่อแม่ก็พร้อมจะหัดให้ลูกเดินถูกทางอีกครั้ง”
วาสุเทพเป็นคนเดินเข้ามาหาลูก ค่อยๆเอื้อมมือไปลูบผมปานวาด ปานวาดก้มหน้าหนี
“คุณพ่ออย่าแตะต้องวาดเลย วาดสกปรก”
วาสุเทพนั่งลงข้างๆ แล้วกอดลูกเต็มรัก ให้เห็นว่าไม่ว่าลูกเป็นอะไร ลูกคือลูกของพ่อ
“ไม่ลูก ไม่ว่าลูกเป็นอะไร ลูกก็คือลูกของพ่อ กลับบ้านเรานะลูก”

ปานวาดร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดซึ้ง

วาสุเทพ และเกื้อพาปานวาดออกจากห้อง

“รถมารอรับแล้ว เราไปกันเลยนะครับ”
วาสุเทพประคองพาลูกเดินไป ปานวาดขืนตัวชะงักกึก
“คุณพ่อคะ วาดขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมคะ”
“เดี๋ยวไปเข้าที่โรงแรมที่พ่อพักก็ได้นะลูก”
“วาดขอเข้าที่นี่เถอะนะคะ วาดอยากล้างหน้าวาดไม่อยากออกไปสภาพแบบนี้”
“อ๋อ ได้ลูก”
ปานวาดสวมกอดวาสุเทพอีกครั้ง กอดแนบแน่นๆ เหมือนจะกอดเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าวาสุเทพรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง แต่ไม่เอะใจ
“วาดไปนะคะ”
ปานวาดพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ฝืนยิ้มให้วาสุเทพ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำไป วาสุเทพมองตาม แล้วขยับมานั่งรอที่เตียงพร้อมกับเกื้อ

ปานวาดปิดประตูห้องน้ำลง รีบเอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบขาดใจ
“คุณพ่อ วาดอยากกลับบ้านเหลือเกิน แต่ลูกคนนี้สกปรกเกินไปที่จะกลับไปเป็นลูกของคุณพ่อกับนายแม่อีกต่อไปแล้ว”
ปานวาดค่อยๆ คุกเข่าลงนั่ง แล้วก้มลงกราบกับพื้นห้องน้ำ ราวกับจะกราบลาวาสุเทพ
“ชาตินี้ลูกคนนี้คงไม่มีบุญได้ดูแลกับคุณพ่อ นายแม่อีกแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะคะ วาดรักนายแม่ วาดรักคุณพ่อค่ะ”

วาสุเทพกับเกื้อรอปานวาดนานแล้ว จนอดทนไม่ไหว
“ฉันว่าปานวาดเข้าห้องน้ำนานเกินไปแล้ว”
“ผมก็เห็นด้วยครับ”
วาสุเทพเดินมายืนหน้าห้องน้ำเคาะประตู พร้อมกับตะโกนเรียก
“วาด...วาด”
มีเพียงเสียงน้ำไหลจากในห้อง ไม่มีเสียงตอบ วาสุเทพเครียด
“พังประตูเลยดีกว่าครับ” เกื้อสังหรณ์ใจ
วาสุเทพถีบประตูห้องน้ำโครม
นักเลงได้ยินวิ่งเข้ามาดู “เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ”
วาสุเทพกับเกื้อเข้าไปดูในห้องน้ำ

วาสุเทพกรากตามองสำรวจในห้องน้ำแล้วอึ้งตะลึงตะไล ด้วยในห้องน้ำไม่มีแม้เงาปานวาด
หน้าต่างช่องระบายลมของห้องน้ำเปิดอยู่ กว้างพอที่ร่างแบบบางของปานวาดจะปีนออกไปได้
วาสุเทพแทบล้มทั้งยืน ครวญครางออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น

“วาด...ลูกพ่อ”

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 20 (ต่อ)

เย็นวันนั้น ที่ห้องทำงานในบ้านสมุทรเทวา ปานรุ้งรับฟังข่าวปานวาดขายตัวและหนีไปอีกแล้ว ถึงกับน้ำตาตกในหัวใจสลาย

“วาด...วาด...ลูกแม่”

ปานรุ้งพาตัวเองมานั่งมองโกศกระดูกคมขวัญอยู่ในห้องพระ ด้วยหัวใจอันปวดร้าว
“นายแม่ รุ้งจะทำยังไงดี ลูกของรุ้งทำไมเป็นแบบนี้ หัวใจรุ้งมันแทบจะสลาย รุ้งเลี้ยงลูกผิดตรงไหน อะไรที่รุ้งขาด รุ้งก็เติมให้เขา แต่ลูกกลับไม่เข้าใจรุ้ง รุ้งเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่รุ้งเคยทำกับนายแม่ มันทำให้นายแม่ต้องเจ็บปวดแค่ไหน ตอนนี้รุ้งกำลังเจอกับมัน มันเลวร้ายเหลือเกิน นี่คือกรรมใช่ไหมคะนายแม่”
ปานรุ้งร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“แล้วรุ้งยังต้องเจออะไรอีก”
ปกรณ์มองปานรุ้งอยู่ที่ประตู ก่อนจะหันตัวเดินออกไปเงียบๆ

ปกรณ์นั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่โต๊ะอาหารคนเดียว น้อยเสิร์ฟอาหารเย็นให้ ปกรณ์มองโต๊ะที่ว่างเปล่าไม่มีใคร
“น้าน้อยครับ”
“ขา คุณปกรณ์จะรับอะไรเพิ่มคะ”
“ผมอยากได้เพื่อนครับ”
น้อยมองอย่างเห็นใจ “โถ คุณปกรณ์”
“ตั้งแต่มีเรื่อง ไม่มีใครกินข้าวเลยนะครับ”
“ทุกคนคงยุ่ง แต่อย่างน้อยคุณปกรณ์ก็ยังมีน้าน้อยเป็นเพื่อนนะคะ”
“ตอนคุณยายทิ้งนายแม่ทานข้าวคนเดียว น้าน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนนายแม่ ใช่ไหมครับ”
น้อยมองคุณหนูเล็กอย่างสงสารและเห็นใจ ปกรณ์กินข้าวอยู่คนเดียวเงียบๆ เหงาๆ

บ่ายวันหนึ่ง ปกรณ์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในร้านไอศกรีมชื่อดัง สีหน้าเหม่อลอย เครียดกับเรื่องสถานการณ์ที่บ้าน วิรินทร์เดินเข้ามาหา มองข่าวที่ปกรณ์อ่าน แล้วจับไหล่ปลอบ
“โอเคไหม”
ปกรณ์หันไปยิ้มให้วิรินทร์
“ก็คงโอเคมั้ง”
“พูดแบบนี้แปลว่าไม่โอเค”
ปกรณ์จับมือวิรินทร์ “เราไปเดินเล่นที่อื่นต่อได้ไหม”
“กรณ์ไม่รีบกลับบ้านเหรอ”
ปกรณ์หน้าจ๋อยลง “กลับไปก็ไม่มีใคร ทุกคนดูมีเรื่องยุ่งไปหมด”
“งั้นไปเดินเล่นตลาดไหม รินทร์ว่าจะซื้อของให้แม่ด้วย”
ปกรณ์รีบพยักหน้า

ปกรณ์เดินจูงมือวิรินทร์มาในตลาดแห่งนั้น มือข้างหนึ่งช่วยถือถุงกระสอบของวิรินทร์เพื่อเตรียมกลับบ้าน
สองคนเดินผ่านร้านขายกับข้าว ขนม ผลไม้ต่างๆ
“เดี๋ยวซื้อผลไม้ไปฝากแม่รินทร์ด้วยดีกว่า เห็นวันก่อนบ่นว่าอยากกินเงาะ”
“เอาสิ”
ปกรณ์เดินไปหยุดที่ร้านขายผลไม้สด
“เอาเท่าไหร่ดีรินทร์”
“โลนึงก็พอ”
“เอาเงาะโลนึงครับ”
แม่ค้าหยิบเงาะใส่ถุงชั่งให้
วิรินทร์หันไปมองร้านข้างๆ เห็นว่าเป็นร้านขายผลไม้ดอง ทั้ง มะม่วง มะดัน มะกอก และผลไม้ดองสารพัด
วิรินทร์มองแล้วเปรี้ยวปากอยากกิน เดินไปหยุดดูที่หน้าร้าน ปกรณ์รับเงาะจากแม่ค้า จ่ายเงินแล้วเดินมาหาวิรินทร์
“อยากกินเหรอรินทร์”
“อือ เห็นแล้วเปรี้ยวปาก”
“ปกติเราไม่เห็นรินทร์กินเลย”

วิรินทร์ชะงักกับคำพูดนั้น แล้วฉุกคิดว่าปกติตัวเองไม่เคยอยากกินของดองเลย

ขณะที่สากำลังผัดผักง่วนอยู่ทางครัว วิรินทร์เปิดประตูเข้ามา สาหันมาเห็น

“กลับมาแล้วเหรอลูก พอดีเลย แม่ทำกับข้าวจะเสร็จแล้ว”
“แม่จ๋า วันนี้มีคนมาขอกินข้าวด้วยคนนะ”
สางงๆ “ใครเหรอ”
ปกรณ์โผล่หน้าเข้ามาในห้อง ถือถุงกับข้าวสองสามอย่างมาด้วย
“ผมเองครับ” เขายกมือไหว้สา “สวัสดีครับคุณน้า”
สาชะงักคิดไม่ถึง วิรินทร์มองมาพยายามยิ้มอ้อนแม่

สาพาวิรินทร์ออกมาคุยที่หน้าห้อง
“รินทร์พาเขามาทำไม”
“ปกรณ์เขาอยากมาหาแม่”
“รินทร์รู้ไหมว่ารินทร์ทำอย่างนี้ สุดท้ายรินทร์นั่นแหละจะเสียใจเอง”
ปกรณ์เดินตามออกมา
“ผมจะไม่มีวันทำให้รินทร์เสียใจหรอกครับคุณน้า”
สามองปกรณ์ด้วยสายตาเหมือนผู้ใหญ่ผ่านโลกมามาก มองเด็กโลกสวย
“คุณไม่เข้าใจเหรอว่าแม่คุณไม่ชอบเรา”
“แต่นี่มันชีวิตผม หัวใจผมนะครับ ถ้าผมเลือกที่จะรักรินทร์ แม่ก็บังคับผมไม่ได้”
“คุณเพิ่งอายุเท่าไร รินทร์อายุเท่าไร สองคนยังเด็กอยู่เลยยังต้องเจออะไรอีกเยอะ ที่คิดว่าเป็นความรัก มันอาจไม่ใช่ก็ได้ เชื่อน้า ถ้าจะคบกันเป็นเพื่อน น้าไม่ว่า แต่อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นเลย เอาเวลาไปตั้งใจเรียนเถอะ” สาจะเดินหนีเข้าห้อง ปกรณ์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงจริงจัง
“ผมจริงใจกับรินทร์จริงๆ นะครับคุณน้า ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่ผมมีกับรินทร์คือความรัก ถ้าคุณน้าไม่เชื่อ งั้นผมขอโอกาสคบกับรินทร์ เพื่อพิสูจน์ว่าผมจะมีรินทร์คนเดียว ไม่มีวันรักคนอื่น”
สาหันมามองปกรณ์
“ให้โอกาสปกรณ์เถอะนะคะแม่”
สาหันมามองลูกสาว
“รินทร์รู้ใช่ไหมว่าถ้าคบกับปกรณ์ ต่อไปรินทร์ต้องเจออะไร”
“จ้ะแม่ แล้วรินทร์ก็พร้อมจะสู้กับมัน”
ปกรณ์มองจ้องวิรินทร์ วิรินทร์ก็มองปกรณ์

สามองสองหนุ่มสาวแล้วทอดถอนใจ

รถตู้บ้านสมุทรเทวาจอดรอปกรณ์อยู่ที่มุมหนึ่งหน้าแฟลต วิรินทร์เดินมาส่งปกรณ์

“แม่รินทร์ให้โอกาสเราแล้ว ต่อไปเราก็มารับ มาส่งรินทร์ที่บ้านได้แล้วสิ”
“ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เราไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน นายเห็นไหมว่าตอนเดินมาเนี่ย มีแต่คนมองเรากับนาย”
“ก็เป็นธรรมดา ใครๆ ก็อยากมองคนหล่อ”
วิรินทร์หมั่นไส้ “แหวะ”
“ถ้าเราไม่หล่อ แล้วมารักเราทำไม”
“กลับบ้านไปได้แล้ว รถบ้านนายมารอแล้ว”
“ไว้ก่อนเปิดเทอม เราไปเที่ยวกันอีกนะ”
“แม่ไม่ให้ไปหรอก เราเพิ่งจะไปสวนผึ้งกันเอง”
“เพิ่งไปที่ไหน ผ่านมาเดือนกว่าแล้วนะ” เขาอ้อนวิรินทร์ “นะๆๆ ไว้เราไป เที่ยวกันอีกนะ คราวนี้เราไปกันสองคน ไม่ต้องเอาเพื่อนไปเป็นก้าง”
“คิดดูก่อน ไปได้แล้ว”
ปกรณ์ทำท่าจะเดินไป แต่แล้วหันกลับมา
“แต่ก่อนกลับบ้าน ขอหอมทีได้ไหม”
“ไม่ได้”
ปกรณ์ทำหน้าเซ็ง ยื่นหน้ามาจะหอมแก้ม วิรินทร์รู้ทันรีบเอามือปิดแก้มตัวเอง
ปกรณ์ยิ้มเพราะวิรินทร์มัวแต่เอามือปิดแก้ม จมูกเลยมาชนกับจมูกของเขาแทน
“ทำแบบนี้แทนก็ได้” ปกรณ์ว่า
วิรินทร์เซ็ง ง้างมือจะตี ปกรณ์รีบวิ่งหนีไปขึ้นรถทันที วิรินทร์มองปกรณ์หน้าดุๆ แต่แอบยิ้ม วิรินทร์จะเดินเข้าบ้าน แล้วอยู่ๆ รู้สึกหน้ามืด เวียนหัว จนต้องหาที่ยึดไว้ ไม่ให้ล้ม
“ทำไมอยู่ๆ ถึงเวียนหัว”

วิรินทร์รู้สึกสังหรณ์บางอย่าง

อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 20 (ต่อ)

ปานเทพอยู่ในห้องรับแขกบ้านสมุทรเทวา คุยมือถือกับวิภาวีด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ว่ายังไงนะวิภาวี จะเอาเงินอีก 10 ล้าน แล้วที่ให้ไปคราวก่อนล่ะ”
วิภาวีแต่งตัวเจิดจรัสขับรถมาตามถนน คุยสายกับปานเทพผ่านบลูธูท
“ก็ใช้ไปหมดแล้วไง แหม คุณกำลังจะได้ครอบครองธุรกิจพันๆ ล้านของนายแม่คุณ เศษเงินแค่นี้อย่ามางกหน่อยเลย หรือว่าอยากให้ฉันไปขอนายแม่เอง”
ปานเทพคิดบางอย่าง
“ฉันไม่ให้แล้ว ถ้าเธออยากได้ ก็ไปไถผัวคนอื่นไป”
วิภาวีกดวางสายอย่างไม่พอใจ
“คุณบังคับให้ฉันทำอย่างนี้เองนะปานเทพ”
ปานเทพกดโทร.หา ชูนาม รอจนอีกฝ่ายรับสาย
“พ่อ พ่อว่างรึเปล่า ผมมีเรื่องอยากให้พ่อช่วย”

ส่วนที่ห้องทำงานของเกื้อ ภายในกระทรวงคมนาคม พ่อลูกคุยกันอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าเครียด
“คุณพ่อเรียกผมมา มีอะไรเหรอครับ”
“หนูนิชาเป็นยังไงบ้าง”
ปรกหน้าสลดลง “ยังอยู่บ้านแม่เขาครับ”
“บอกหนูนิชาว่าไม่ต้องห่วง เรื่องคนที่ยักยอกเงินน่ะ คนของพ่อได้เบาะแสแล้ว”
ปรกดีใจ “จริงเหรอครับ แล้วใครที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ครับ”
เกื้อมองปรกแล้วถอนใจ

ด้านวิภาวีใส่แว่นตาดำเดินนวยนาดเข้ามาในล็อบบี้ บริษัทพีแอนด์เอสทีแอร์ไลน์ แล้วถอดแว่นตาดำ มองบรรยากาศรอบๆ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

ปานรุ้งกำลังนั่งทำงานอยู่ เลขาหน้าห้องเคาะประตู แล้วเปิดประตูเข้ามา
“คุณหญิงคะ มีแขกโทร.มาขอพบค่ะ”
“ใคร”

ประตูลิฟท์เปิด เห็นวิภาวีเดินออกมา มุ่งหน้าไปทางห้องทำงานปานรุ้ง

ปานรุ้งนั่งทำงานต่อ จนเลขาหน้าห้องเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“แขกที่นัดไว้มาแล้วค่ะ”
“เชิญเข้ามาได้เลย”
เลขาหันไปผายมือให้คนที่รอหน้าห้องให้เข้ามา ปรากฏเป็นเกื้อและปรก
“อ้าว เกื้อกับปรกเองเหรอ” ปานรุ้งหันไปทางเลขา “นี่ลูกชายกับเพื่อนของฉัน ไม่ใช่แขกที่ไหนหรอก” แล้วหันมายิ้มกับเกื้อ “ขอโทษทีนะเกื้อ เลขาใหม่น่ะ”
“ครับคุณหนู”
“แล้วเธอมาหาฉัน มีเรื่องอะไร”
เกื้อกับปรกมองหน้ากัน ท่าทีลำบากใจ
“ผมมาเรื่องที่หนูนิชาถูกกล่าวหาว่าปลอมลายเซ็นยักยอกเงินบริษัทน่ะครับ”
“ทำไม”
“ผมจะมายืนยันว่าหนูนิชาไม่ได้ทำครับ”
ปานรุ้งมองค้อน เหน็บปรก “เพื่อเมีย ถึงกับต้องให้พ่อมาพูดกับแม่เลยเหรอ”
“ไม่เกี่ยวกับปรกหรอกครับ ผมสืบเรื่องนี้ให้คุณหนูเอง”
“ถ้าไม่ใช่นิชาทำ แล้วใครทำ”

เกื้อมองปานรุ้งอีกครั้ง อย่างลำบากใจ

ปานเทพล็อคตัววิภาวีมาที่รถ มีชูนามคอยช่วย สองพ่อลูกดักจับตัววิภาวีขณะจะไปหาปานรุ้ง วิภาวีพยายามสะบัดตัวออก

“ปล่อยฉันนะ”
“คิดว่าคนอย่างเธอจะไถเงินฉันได้ทั้งชีวิตรึไง”
วิภาวีพยายามสะบัดตัวออก
“แกเล่นอย่างนี้กับฉันเหรอ แกได้เจอของแข็งแน่”
“ของแข็งเหรอ ของแข็งของเธอ มันเละคาตีนคนของพ่อฉันแล้ว”
ลูกน้องชูนาม 4 คน ลากลูกน้องวิภาวี 2 คน ในสภาพสะบักสะบอม เลือดโชกทั้งตัว มาโยนกองตรงหน้าวิภาวีที่ชะงักงัน คาดไม่ถึง
ปานเทพยิ้มเยาะ “คนอย่างฉัน โง่แค่ครั้งเดียว ใครเล่นแรงมา ก็เล่นแรงกลับฉันอุตส่าห์ไว้ชีวิตเธอ ปล่อยให้เธอกลับเมืองนอก แทนที่เธอจะไปอย่างสงบ แต่กลับมาแว้งกัดฉันเหรอ”
วิภาวีรวบรวมกำลัง แล้วสะบัดสุดแรงเกิดออกจากการล็อคของปานเทพจนหลุด วิภาวีล้วงปืนในกระเป๋าตัวเองออกมาเล็งใส่ปานเทพ
“ปานเทพ ระวังลูก”
ปานเทพถลันเข้าไปแย่งปืนจากมือวิภาวี แต่วิภาวีไม่ยอมปล่อยปืน
เห็นสองคนยื้อยุดแย่งปืน ชูนามมองอย่างหวาดเสียวจะเข้าไปช่วย พอเห็นปลายกระบอกปืนหันมาทางตัวเอง ก็รีบกระโดหลบทันที
ปานเทพตะคอกวิภาวี “ปล่อยปืนเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
ปานเทพบันดาโทสะกระชากเต็มแรง “ปล่อย”
เสียงปืนดังเปรี้ยง ชูนามมองปานเทพตาเหลือกลาน
“ปานเทพ”
ปานเทพยืนอึ้ง ตะลึงตะไล ขณะที่ร่างของวิภาวีค่อยๆ ทรุดลงนอนกองกับพื้น เลือดไหลออกจากหน้าอก ปานเทพช็อก
“วิ”
ชูนามรวบสติ ได้ก่อน “ฉิบหาย”

สองพ่อลูกไม่ทันเห็นว่าที่มุมหนึ่งไม่ไกลมากนัก บอดี้การ์ดของนวรัตน์แอบซุ่มดูอยู่

และกดมือถือบันทึกเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น

รถปานเทพขับมาจอดริมแม่น้ำย่านชานเมืองอย่างเร็วและแรง ชูนามกับปานเทพลงจากรถ แล้วมองซ้าย มองขวา อย่างระแวดระวัง

ปานเทพถามชูนามอย่างลนลาน “เอายังไงต่อล่ะพ่อ”
“จะเอายังไงล่ะ รีบอุ้มศพมันไปทิ้งในน้ำเร็ว”
ปานเทพกับชูนามช่วยกันอุ้มร่างของวิภาวีออกจากรถ แล้วช่วยกันแบกร่างวิภาวีทิ้งแม่น้ำ
ปานเทพมองร่างวิภาวีที่ค่อยๆจมน้ำอย่างหวาดๆ
ชูนามปลอบขวัญลูก “ครั้งแรกที่พ่อฆ่าคน พ่อก็กลัวอย่างนี้แหละ แต่เชื่อเถอะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
“แล้วถ้ามันไม่ผ่านไปล่ะพ่อ ถ้ามีคนรู้ว่าวิภาวีหายไป ผมจะโดนสงสัยไหมพ่อ”
“ก็ลูกเป็นคนบอกพ่อเองว่าวิภาวีตัวคนเดียว ไม่มีญาติ หายตัวไปอย่างนี้ ไม่มีใครตามหรอก ถ้าเรานิ่งๆ ก็ไม่มีใครจับเราได้หรอก เชื่อพ่อ”
ที่มุมหนึ่ง บอดี้การ์ดของนวรัตน์ถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์ทุกอย่างไว้หมด

เมื่อได้ฟัง ปานรุ้งถึงกับเข่าอ่อน ปล่อยร่างลู่ลงบนเก้าอี้อย่างตะลึงตะไล วาสุเทพเข้ามาหาปานรุ้งอย่างเป็นห่วง เกื้อกับปรกมองอย่างห่วงใจสภาพจิตใจของปานรุ้ง
“ปานเทพเหรอที่ปลอมลายเซ็นฉัน” ปานรุ้งพึมพำ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ
“คนของผมได้เอาภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบริษัทไปตรวจสอบ เห็นคนแปลกหน้าเข้าห้องคุณปานเทพพร้อมนายธีรพงษ์ เดิมทีผมสงสัยนายธีรพงษ์ เพราะอยู่ๆ ก็หายตัวไปวันที่บริษัทมีข่าวถูกยักยอก ผมเลยให้คนสืบประวัติคนที่มากับนายธีรพงษ์”
วาสุเทพเสริม “แล้วนายนั่นก็คือคนรับจ้างปลอมลายเซ็นที่ตำรวจตามตัวอยู่”
เกื้อพยักหน้า “ครับ”
ปานรุ้งน้ำตาตกใน เมื่อลูกชายที่รักมากที่สุด กลับมาหักหลังทรยศแม่ได้ลงคอ
“ปานเทพ”
ปรกเข้าใจความรู้สึกของปานรุ้ง เดินเข้าไปหา
“นายแม่ครับ”
ปานรุ้งบอกกับวาสุเทพ “พี่เทพดูงานต่อจากรุ้งทีนะคะ รุ้งไม่อยากคุยกับใคร รุ้งอยากกลับบ้าน”
ปานรุ้งลุกขึ้น แล้วเดินผ่านหน้าปรกออกไป
ปรกมองตามปานรุ้ง
ในรถที่แล่นมาตามทาง ปานรุ้งนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

“ทำไมลูกทำกับแม่อย่างนี้ ปานเทพ”

อ่านต่อตอนที่ 21
กำลังโหลดความคิดเห็น