ปริศนา ตอนที่ 17
ปริศนายืนอยู่ข้างโต๊ะ ไหว้ท่านชายกับรตี หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชารับไหว้ รตีรับไหว้อย่างเสียไม่ได้
"ท่านชายเพคะ ปริศนามีเรื่องด่วน จะทูลท่านชาย ท่านจะกรุณาให้ปริศนากับนพ เฝ้าได้สักเมื่อไหร่เพคะ"
"ถ้าเป็นเรื่องด่วนก็คงไม่นาน ใช่ไหม ส่งรตีกลับแล้วฉันจะมาคุยด้วย"
ปริศนาไม่เห็นสายตารตีที่ค้อนควักอย่างแค้นเคือง
"รตีว่า รตีรอท่านชายได้เพคะ จะได้ออกไปในครั้งเดียว ห่วงแต่ให้ท่านเสวยให้เรียบร้อยเสียก่อนเท่านั้น"
แล้วรตีก็ส่งสายตาเหยียดๆมาทางปริศนา เหมือนเป็นคนไม่รู้กาลเทศะ
"อย่างนั้นก็ได้ ประเดี๋ยวฉันไปหาที่โต๊ะเธอ"
พจน์พยักหน้าไปทางโต๊ะของปริศนา
"เพคะ ขอบทัย"
ปริศนา เดินกลับไป
รตี มองหมั่นไส้อยากจะพูดอะไร แต่ท่านชายเสวยเป็นปกติ ต่อไป รตีเลยต้องหุบปาก
คืนวันเดียวกัน สมรเปิดฝาชี ดูขนมทองพลุที่อยู่ในจาน แล้วก็เลื่อนจานออกให้จำเนียรยกถาดกับข้าวมาวาง ส่วนอนงค์กำลังเริ่มตักข้าว สิรีเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร
"ดูซิ ขนมทองพลุของแม่ เป็นม่ายเสียแล้ว ขนมนี่ ประวิชเคยชอบ ทำไว้เผื่อจะมา ก็ไม่มา" สมรบอก
อนงค์วางทัพพีที่ตักข้าววางจานไว้บนโต๊ะ แล้ววิ่งขึ้นไปข้างบน ทุกคนมองตาม แต่แล้วสมรก็ช่วยจำเนียร เอาของวางบนโต๊ะตามปกติ แล้วจำเนียรก็กลับออกไป
สิรีมองตาม
"โธ่ แม่คะ ไปเอ่ยถึงทำไม ยายอนงค์ยังทำใจไม่ได้"
"ทำใจได้ แล้วจะเป็นอย่างไร"
"ก็ไม่ต้อง พูดถึงสิคะแม่ ตัดให้หมด ให้เหมือนกับไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลก"
"สิรี มันไม่เหมือนกันหรอกลูก ประวิช เป็นคู่หมั้นของอนงค์ มากันถึงขั้น
นี้แล้ว จะให้ตัดกันอย่างไร ตัดแล้วจะเป็นอย่างไร"
"คนแต่งงานกัน แล้วหย่ากัน ก็มีออกถมเถค่ะแม่"
"แต่เราไม่จำเป็นจะต้องเอาอย่างใครใช่ไหม ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อไปด้วยกันไม่ได้ ก็ต่างคนต่างไปแม่รู้ แต่เรื่องอย่างนี้ ควรคิดกันให้ดี ไม่ใช่กระโจนลงมาผูกมัดประกาศตนกันไปเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สุดท้าย กลายเป็นว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เหมือนกัน นึกชั่ววูบขึ้นมา ก็ทิ้งกันไปคนละทาง"
"แล้วเราจะต้องทนกับคนอย่างนั้นหรือคะ คนไม่มียางอาย"
"ไม่จำเป็นต้องทนนะ ถ้าถึงกับต้องจำทนก็เลิกกันไปดีกว่า แต่คน 2 คน ต่างพ่อต่างแม่ มาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องปรับตัวเข้าหากันหลายอย่าง ต้องอดทนพอ และต้องมีเมตตาต่อกัน สิรีไปตามอนงค์ลงมาที บอกมากินข้าวพร้อมกัน แม่กับพี่รออยู่"
สิรีถอนใจ เพราะรู้ว่าแม่ไม่อยากให้อนงค์เลิกกับประวิช
ท่านชายพจน์ดื่มน้ำเรียบร้อย หลังเสวยขนมหวานแล้ว
"คงคุยไม่นาน สัก 5 นาทีเท่านั้น รอประเดี๋ยวนะรตี"
"รตีรอท่านได้เสมอเพคะ"
ท่านชายพจน์มองรตีอย่างเมตตา แล้วออกเดินไปที่โต๊ะของปริศนา อานนท์ และนพ ยืนขึ้นเพื่อต้อนรับท่านชาย
"ว่ายังไงปริศนา"
"นพค่ะ เขาได้เห็นประกาศว่าสถานทูตจะให้ทุนกับนักเรียนมหาวิทยาลัยไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยลอนดอน เขาเลยอยากจะสอบชิงทุน แต่อาจารย์บอกว่า ไม่ให้นักเรียนสถาปัตย์สอบ ปริศนาเลยอยากถามทางสถานทูตว่า จริงไหม ท่านชายจะสะดวกสอบถามให้ไหมเพคะ"
"เรื่องเท่านี้เองหรือ"
"ปริศนาว่า สถานทูต ไม่น่าจะจำกัดแผนกที่เรียน"
"แต่วันนี้ ผมก็เลยไม่ได้ไปสอบ แล้วนะครับ"
"อ้าว!"
นพบอก
"ปริศนา ติดใจเรื่องนี้อยู่"
"แล้วนพไม่อยากไปเรียนต่อหรือ" ปริศนาถาม
"อยากไปสิ แต่ ถ้าเขาว่า เราไม่มีสิทธิสอบ เราจะเข้าไปสอบได้อย่างไร"
"แล้วเราไม่มีสิทธิจริงหรือ"
พจน์มองปริศนาอย่างขำๆ
"อย่าเถียงกัน ปริศนาเป็นคนรักความยุติธรรมมาก ฉันก็รักความยุติธรรมเหมือนกัน ตกลงฉันรับปากจะไปถามสถานทูตให้"
ท่านชายมองดูนพ และมองดูปริศนากับอานนท์
"นี่นพเพิ่งมาจากมหาวิทยาลัยหรือ"
"กระหม่อม"
"ท่านชายจะอยู่เล่นเทนนิสด้วยไหม หรือจะกลับเลย"
"วันนี้เห็นจะต้องขอตัว ลาก่อนทุกคน"
ท่านชายลุกขึ้น อานนท์ และนพลุกส่ง ปริศนาก็ลุกขึ้นไหว้ท่านชายด้วย
ในห้องกินข้าววังศิลาขาว เวลากลางคืนเวลาเดียวกัน ประวิชนั่งกุมหัว อาหารเต็มโต๊ะ กินข้าวไม่ลง ส่วนคุณสร้อยรับประทานเรียบร้อยแล้ว มหาดเล็กกำลังทยอยเก็บจานออกไป
"คุณวิช เรื่องมันหลายวันมาแล้ว ทำไมคุณ ไม่ไปหาเขาที่บ้านบ้าง"
"กลัวไปแล้วเขาจะไม่ต้อนรับน่ะสิ"
"กลัวไปก่อน แล้วจะได้เรื่องอะไร ว่าแต่ว่าคุณยังรักเขาอยู่หรือเปล่า อยากจะแต่งงานกับเขาอยู่หรือเปล่า"
"โธ่ อยากสิป้าสร้อย ไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อน"
สร้อยมองประวิชอย่างสังเวช
"ไอ้นายพยันต์นั่นเชียว ดันมาชวนให้ไปฉลองที่จะสละโสด เสียหายกันไปหมด"
"อย่าโทษเพื่อนเลยค่ะ คุณ ตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ไปกับเขา ก็ไม่เมา ไปกับเขาไม่กินจนเมาก็ไม่เสียสติ โชคดีเหลือเกินที่ท่านชายไปพบคุณ ไม่อย่างนั้น คงจะแย่กว่านี้อีก"
"โธ่ ใครๆเขาก็กินกัน ฉันเมาอยู่คนเดียวเมื่อไร"
"แต่คุณคนเดียวที่เป็นคู่หมั้นแม่อนงค์เขาน่ะสิคะ ท่านชายก็ห่วง สั่งให้คนดูแล หายาให้"
ท่านชายเดินเข้ามาจากข้างนอก หลังกลับจากไปส่งรตี
"ป้าสร้อย มานั่งอบรมนายวิชอยู่นี่เอง ดูซิ ใครๆก็พากันเป็นห่วงนายทั้งนั้น"
"วันนั้นให้สนไปรอรับ แล้วเขาไม่มาก็รู้อยู่แล้วว่าเขาโกรธมาก ทำยังไงเขาถึงจะคืนดี"
"จะคืนดีได้ยังไง นายเคยไปง้อเขาด้วยตัวเองหรือยัง ถ้าใครๆอยากให้เขาคืนดีกับนาย โดยที่ตัวนาย ไม่ได้แสดงว่าอยากจะง้อเขา นายคิดว่า เขาจะยอมคืนดีกับนายหรือ"
"นั่นสิเพคะ คุณประวิชนี่ น่าตีเหลือเกิน"
"ทำอะไรดีล่ะ เอาดอกไม้ ไปง้อ"
"นั่นแหละค่ะ จะทำอะไรก็ได้ ต้องลงมือทำสักอย่างหนึ่งแล้ว" สร้อยบอก
ประวิชมองท่านชายอย่างขอความเห็นใจ แต่ท่านชายกลับพยักหน้า เห็นด้วยกับคุณสร้อย ประวิชรู้สึกจนมุม ต้องทำแล้ว
วันใหม่ ประวิชขับรถเข้ามาจอด ข้างๆรถของปริศนา เขาลงมาจากรถ มีช่อดอกไม้เป็นกุหลาบแดงอยู่ในมือ ประวิชสงบใจมองเข้าไปในบ้าน แล้วรวบรวมกำลังใจเดินเข้าไปขึ้นไป วันนี้เขาตั้งใจจะมาง้อขอคืนดีอนงค์
ปริศนานั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษอยู่ที่โถง แม่นั่งอยู่ด้วย ทั้งคู่ได้ยินเสียงรถเข้ามาในบ้าน ก็เงยหน้าขึ้นดูที่ประตูอยู่แล้วรอคอยว่าใครจะเดินเข้ามา
ประวิช โผล่หน้าเข้ามาในห้องอย่างขลาดๆกลัวๆ
"อ้าว พ่อประวิช หายหน้าไปเสียนาน"
ปริศนามองประวิช อย่างหมั่นไส้
ประวิชยกมือไหว้สมร
"อนงค์ไม่อยู่หรือครับ"
ปริศนาเดินออกมาถาม
"นายมาธุระอะไรหรือ"
"โธ่ ก็มาหาคู่หมั้นเขาน่ะสิ ถามได้ เอาดอกไม้มาฝากและขอพูดจาด้วยหน่อย"
ปริศนาทำหน้าย่นใส่ประวิช สมรจึงดึงแขนลูกสาวตีแขนเบาๆเป็นเชิงเตือน
"อนงค์อยู่ในห้องหรือเปล่า ปริศนา"
"ค่ะ"
"ไปตามให้หน่อยสิ ประวิช นั่งก่อนสิ"
ประวิชนั่งลง ปริศนาเดินขึ้นชั้นบนไปอย่างว่าง่าย
อนงค์นั่งสอยเสื้ออยู่ในห้องนอน แต่เหมือนจะใจลอยอยู่พอสมควร ปริศนาเปิดประตูห้องเข้ามา
"อนงค์ ประวิชมาแน่ะ"
"มาทำไมกัน"
"ก็มาหาอนงค์ไง แม่ให้มาตามลงไปคุย"
"ไม่ว่างคุยเล่นหรอก กำลังทำงานอยู่ไม่เห็นหรือ"
"ทำไมไม่ไปคุยกันให้รู้เรื่องล่ะ แม่ก็ให้ปริศนาขึ้นมาตามอนงค์"
"เอ๊ะ ก็บอกว่าทำงาน ๆ ไม่ได้ยินหรือไง"
แล้วอนงค์ก็ก้มหน้าทำงานต่อไปอย่างดื้อดึง ปริศนามองอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
"เสื้อนี่มาเย็บทีหลังก็ได้"
"ไม่... งานรีบ ไม่เห็นหรือ"
"เขารออยู่ข้างล่างนะ อย่าโกรธใครไปนานๆเลย ใจไม่สบายไปเปล่าๆ"
"ฉันไม่ได้โกรธ จะโกรธทำไม ก็แค่คนเมาเกะกะ แล้วก็ไม่มาหาฉันตั้งอาทิตย์นึง พอฉันอยากจะเย็บเสื้อให้เสร็จเร็วๆ ก็จะมาไล่ให้ฉันลงไปหา"
"แล้วอนงค์จะรีบเย็บเสื้อไปไหน"
"ว่าจะไปดูหนังคืนนี้"
"ไปกับใคร"
"ว่าจะชวนคุณนนท์ กับนพไป"
ปริศนาอึ้งไป
เสียงเคาะประตูดังเข้ามา
"ใครอีกล่ะ"
จำเนียร โผล่เข้ามาพร้อมช่อดอกไม้ แล้วเดินมาคุกเข่าตรงหน้าอนงค์ยื่นส่งให้
อนงค์ทำไม่รู้
"เอ้า นี่อะไรของใครอีกล่ะ"
"คุณประวิชให้เอาขึ้นมาให้คุณค่ะ"
"ตาย เอามาให้ฉันทำไมกัน ดอกไม้ดอกไร่ ฉันไม่ต้องการ แกไปบอกเขาว่าขอบใจ แล้วคืนเขาไปเสีย"
จำเนียรงง หันมามองปริศนาเชิงปรึกษา ฝ่ายปริศนาก็ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะว่ายังไง
จำเนียรจึงตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน
อนงค์เสียงห้วนผิดปกติ
"บอกให้เอาลงไปคืนไง ไม่ได้ยินหรือ แล้วถ้าเผื่อเขาให้อะไรมาอีกก็ไม่ต้องรับไว้ ไปเร็วสิ แล้วบอกเขาด้วยนะว่าให้กลับไปเสียก่อน ฉันไม่ลงไปพบหรอกวันนี้ ต่อให้นั่งรอจนสองยาม ฉันกำลังมีงานยุ่ง"
จำเนียรจึงลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องเหมือนโดนดุเสียเอง ปริศนายักไหล่แบบช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็เดินไปที่หน้าต่างห้อง มองลงไปข้างล่าง
เสียงสตาร์ทรถ และแล่นออกไป ปริศนาหมุนตัวกลับมามองอนงค์
"ประวิชไปแล้ว"
อนงค์ซึ่งตอนแรกเหมือนระแวดระวัง สงสัยอยู่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ก็รู้สึกว่า ประวิชตัดใจทิ้งไปได้จริงๆ มือที่สอยเสื้ออยู่หยุดชะงัก ปากสั่นระริก ด้วยอาการกลั้นน้ำตา แต่แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อไปเหมือนปริศนาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ปริศนาจึงเดินมาทิ้งตัว นอนบนที่นอนแบบช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
ณ โรงแรม ทร็อกกาเดโร บ่ายวันเดียวกัน ประวิชนั่งหน้ากลุ้มอยู่ตรงข้ามรตี มีชุดน้ำชาอยู่ตรงหน้า ซึ่งกินกันไปจวนจะเสร็จแล้ว
"ผมแทบไม่เป็นอันจะทำอะไร ท่านชายแนะให้ไปขอโทษ ผมก็ไปแล้ว แต่อนงค์ก็ยังไม่ลงมาพบ อยากรู้จริงว่าจะทำยังไงดี ผู้หญิงถึงจะหายโกรธ"
"จะทำอะไรได้ ประวิช นอกจากจะงอนง้อไปเรื่อยๆ ตอนเกี้ยวผู้หญิง ไม่เห็นนายมาปรึกษาฉันอย่างนี้เลย"
"โธ่เอ๋ย มันไม่สิ้นหวังเหมือนครั้งนี้นี่นา คุณรตี"
รตีหยั่งเชิงเรื่องปริศนา
"นายสนิทกับน้องสาวเขาไม่ใช่หรือ ไม่ขอความช่วยเหลือจากน้องเขาล่ะ"
"โอย ขานั้นหรือ เข้าใจยากกว่าอนงค์เสียอีก"
"ทางเราก็ช่วยได้แต่ตัวประวิช จะเข้าไปหาทางโน้นก็ขวางไปหมด ต้องให้คนในบ้านเข้าช่วยบ้างสิ"
"คนในบ้านเขา ใครกันล่ะ"
อนงค์ กับอานนท์ เดินเข้ามาพอดี อนงค์ใส่ชุดที่สอยเมื่อตอนกลางวัน เหมือนกับอนงค์จะเห็นประวิชด้วย เลยชี้ให้อานนท์ไปนั่งอีกทางหนึ่ง
ประวิชกัดฟันกรอด
"นายอานนท์"
รตีไม่ได้เห็นอานนท์ จึงไม่เข้าใจ
"ว่าอะไรนะ"
"ไม่มีอะไร กลับกันรึยังคุณรตี"
"หมดเรื่องของนายแล้วหรือ"
"หมด"
รตีพยักหน้า ประวิชยกมือเรียกบ๋อยเก็บเงิน
ที่โต๊ะของอนงค์ และอานนท์
"กินอะไรนิดหน่อยก่อนไปดูหนัง เลิกแล้วกลับบ้านเลยจะได้ไม่ดึกเกินไป"
อนงค์มองเห็นประวิชเดินออกไปกับรตี หลังจากควักเงิน ออกมาวางบนโต๊ะแล้ว
"อนงค์จะกินอะไรดี"
อนงค์รู้สึกเหมือนผิด และกำลังจะกินอะไรไม่ลง
"เป็นอะไรไปน่ะคุณ ไม่หิวหรือ"
"ไม่ค่อยหิวค่ะ"
"ท่าทางคุณดูเบื่อโลก"
"เบื่อจริงๆค่ะ"
อานนท์เป็นฝ่ายที่งงบ้าง
แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า ในเช้าวันใหม่ ประวิชในชุดนอน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ริมหน้าต่าง ขาพาดไว้กับเก้าอี้วางขา ประวิชคิดเรื่องของอนงค์ไม่ตกเลยมาตลอดคืน เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว ประวิชจึงลุกขึ้นอย่างตัดสินใจเต็มที่ เขาคว้าเสื้อคลุมใส่พลาง เดินออกไปนอกห้อง
ท่านชายพจน์บรรทมอยู่บนเตียง กำลังหลับอยู่ แสงจากภาพนอก พาดมาบางๆตามรอย ของผ้าม่าน
เสียงทุบประตูดัง
ท่านชายเริ่มได้ยินเสียง และผวาลุกขึ้นอย่างเร็ว เพราะคิดว่ามีเรื่องอะไรด่วน ท่านชายรีบไปเปิดประตูห้อง ประวิชนั่นเองยืนอยู่ที่หน้าประตู
"อะไรกันประวิช เกิดอะไรขึ้นแต่เช้ามืด"
"เช้ามืดอะไรกัน ตะวันรุ่งแล้ว"
ประวิชไปรูดม่านหน้าต่าง แสงสีทอง ฉายเข้ามาในห้อง ท่านชายเดินไปสวมเสื้อคลุม
"ทำไมแกเกิดตื่นเช้าอย่างนี้"
ท่านชายพจน์เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำพลาง
"ตื่นเช้าอะไรกัน หม่อมไม่ได้นอนตลอดคืน"
"อ้อ"
"อ้อ...หม่อมนอนไม่หลับตลอดคืน แล้วฝ่าบาทว่า อ้อ" ประวิชประชด
"เช้าๆอย่างนี้ หากพูดเบาๆ ไม่ได้ยิน ก็เชิญไปเสียก่อน สายๆค่อยมาพูดกันใหม่"
ท่านชายเดินกลับมาที่เตียง ดูนาฬิกาปลุก แล้วนั่งลงบนเตียง
ประวิชเดินไปมายังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานเย็น ในที่สุด ก็มายืนที่ปลายเตียงของท่านชาย
"หม่อมจะถอนหมั้น"
ท่านชายเริ่มสนใจประวิชใหม่อีกครั้ง ท่านชายเดินลงมา
"ทำไมล่ะ เขาทำผิดอะไร"
"เขามีชู้"
"แกบ้าไปแล้วประวิช"
"ไม่บ้า เขาหมั้นกับหม่อมแล้ว และไปเที่ยวสองต่อสองกับผู้ชายอื่น อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีชู้หรือ"
"เขาไปกับใคร"
"นายอานนท์"
"เพื่อนบ้านเขานี่ เขาก็ไปไหนมาไหนกับปริศนาบ่อยๆเหมือนกัน อะไรกัน ถึงกับจะถอนหมั้น แกเลิกรักเขาแล้วหรือ"
ประวิชเดินไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เอาหัวชนขอบหน้าต่าง คิดสักพักก็หันกลับมา
"ไม่เลิก แต่เขาทำอย่างนี้หม่อมทนไม่ได้ ถ้าไม่รัก จะหึงอย่างนี้หรือ"
"เขาไม่เกลียดแกหรอกประวิช"
"ไม่เกลียดแต่ทำทุกอย่างที่หม่อมไม่ชอบ"
"แล้วแกคิดว่าเขาจะชอบที่แกทำอย่างงั้นหรือ มิหนำซ้ำ แกยังหลบหน้าเขา เขายังไม่มาขอถอนหมั้นแก แกเห็นแค่นี้ แกคิดจะถอนหมั้นเขาแล้ว แกคิดว่าทำแล้วจะมีความสุขหรือ"
ประวิชอึ้ง คอตก
"อย่าทำตัวให้สิ้นหวัง พยายามเรียกความรัก ความไว้ใจกลับมา อย่าลืมสิ แกรักเขา เขารักแก ถอยให้กันคนละก้าว ยอมให้กันคนละครั้งได้ไหม แล้วแกนั่นแหละ ต้องถอยก่อน"
ประวิชซึมสักพัก เดินคอตกออกจากห้องไป ปิดประตู
ท่านชาย ยกศอกเท้ากับกรอบหน้าต่าง แขนพาดไว้ที่หน้าผาก มองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงความรักของท่านกับปริศนา
บริเวณสนามหน้าโรงเรียนสิกขาลัย ปริศนาขับรถเข้ามาจอด ดับเครื่อง และหันไปหยิบกระเป๋า โดยจัดของให้อยู่ครบ ในส่วนของหนังสือที่ล้มไปบ้างจากการขับรถ แล้วเอื้อมมือจะเปิดประตูรถจากด้านใน
มือปริศนาที่เอื้อมเกือบจะถึงประตูอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าประตูถูกเปิดออกไป เธอแปลกใจ จึงมองออกมานอกรถ
ท่านชายพจน์เปิดประตูรถให้ปริศนา และท่านชายเท้ารถปริศนาอยู่ชนิดที่หากปริศนาก้าวลงไปจากรถจะต้องยืน เผชิญหน้ากับท่านชาย หรือเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดท่านชายนั่นเอง ปริศนาจึงหยุดนิ่ง ทั้งๆที่ถือกระเป๋าและของพะรุงพรังไว้ในมือ
"ไง แม่ครู"
"ขอประทานโทษเพคะ ปริศนาจะไปทำงาน"
ท่านชายรู้ได้ว่า สภาพที่อยู่อาจดูไม่งาม จึงถอยห่างออกมา ปริศนา ลงมาจากรถแล้วปิดล็อคประตูรถ
"เรื่องนพฉันไปถามทางสถานทูตให้แล้ว เขาบอกว่า เขาให้ทุนทุกสาขา สถาปัตย์ก็มี น่าเสียดายที่นพไม่ได้ไปสอบ หากเข้าสอบตามตาราง และคะแนนเขาเข้าเกณฑ์ ก็มีสิทธิที่จะได้รับทุน"
"ขอบทัยเพคะ น่าสงสารนพจริงๆ ที่ไปงุนงงเพราะคำพูดคน จึงหมดโอกาสที่จะได้ไปเมืองนอก"
"อีกเรื่องนึง เรื่องของอนงค์กับประวิช"
"ขอให้เป็นเรื่องของเขา 2 คนดีกว่าเพคะ อย่าให้ปริศนาเข้าไปเกี่ยวด้วย ขอประทานอภัย ปริศนาต้องไปสอนเช้านี้แล้ว"
ปริศนายกมือไหว้ท่านชายแล้วเดินห่างออกไป ท่านชายขุ่นใจขึ้นมาเป็นริ้ว
ท่านหญิงรัตน์เดินมาตามระเบียง สงสัยอยู่ว่าใครมาหาเธอวันนี้ และเลี้ยวเข้าไปในห้องรับแขกของตึกอำนวยการโรงเรียน
ในห้องรับแขก ท่านชายพจน์นั่งรออยู่ พร้อมถุงกระดาษใบโต ใส่ขนม
"เจ้าพี่!"
ท่านหญิงรัตนาวดียกมือไหว้
"น้องหญิงโทรศัพท์ไปหาพี่ มีธุระอะไรหรือ"
"จะทูลเจ้าพี่ว่า วันพุธนี้วันเกิดป้าสร้อย หญิงอยากกลับไปตอนเย็น วันเกิดป้าสร้อย แกจะทำอาหารอร่อยๆ เลี้ยงหญิงเสมอ แล้วเช้าวันพฤหัสค่อยกลับมาโรงเรียน ได้ไหมเพคะ"
"วิมลล่ะ"
"กลับด้วยกันเพคะ ได้ไหม"
"ตกลง น้องหญิงกลับศิลาขาว พุธที่จะถึงนี้ ทันทีที่เลิกเรียน"
ท่านหญิงยิ้ม พอใจมากยกมือไหว้ท่านชายอีกที
"ขอบพระทัยเพคะ"
"พี่ เอาขนมมาฝาก แบ่งให้วิมลบ้าง แล้วอย่าแอบเอาไปเหวยในห้องเรียนนะคะ จะถูกทำโทษ"
ท่านชายยกถุงใบใหญ่ ใส่กล่องขนม หลายอย่างส่งให้ท่านหญิง
"เจ้าพี่เพคะ เราชวนครูปริศนาด้วยได้ไหม หลังๆนี่ ที่พี่แกมีเรื่อง แกขรึมจัง"
"ได้สิคะ ได้การเลยทีเดียว"
วันใหม่ สร้อยนั่งคุยอยู่กับสมรที่ห้องโถงบ้านสุทธากุล
"ท่านชายรับสั่งว่า เป็นแซยิด เลยจะประทานเลี้ยงให้ ญาติทางฝ่ายฉันก็ไม่มีใคร เลยอยากจะชวนแม่สมรกับลูกๆ ไปกินเลี้ยงกันสักหน่อย"
"เมื่อไหร่นะคะ"
"พุธหน้ามื้อเย็น ท่านหญิงรัตน์ ก็จะขอออกจากโรงเรียนมาด้วย พร้อมหน้าพร้อมตา และฉันก็ชวนครูสงวนไว้แล้วด้วย"
"ดีจังคุณสร้อย ขอบคุณเหลือเกินที่ให้เกียรติมาเชิญครอบครัวเรา ตกลงว่าเราจะไปกันทั้งสี่คนเลยทีเดียว"
"ขอบใจเหลือเกิน สมร ที่ให้เกียรติฉัน"
ห้องนอน เวลาเย็น ต่อเนื่องมา
"ลูกไม่ไปได้ไหมคะ" อนงค์ว่า
"ตายจริง... ทำไมอนงค์ทำท่าอย่างนั้นล่ะลูก คราวนี้เป็นแซยิดของคุณสร้อยนะ"
ปริศนากับสิรีมองหน้ากัน รู้สึกผิดปกติ สมรอธิบายต่อ
"ตลอดงานศพคุณยาย อนงค์ กับปริศนา ก็บอกกับแม่เองว่า คุณสร้อย คุมคนที่วังศิลาขาวมาช่วยงานทั้งที่บ้านที่วัด คุณสร้อยแกเห็นเราเป็นญาติ จึงทำให้เต็มที่ เราก็ควรมีน้ำใจ
ไปร่วมอวยพร"
ทั้ง 3 สาว นิ่งไป
"แม่ตอบไปแล้วล่ะ ว่าเราจะไปกันทั้ง 4 คน"
อนงค์ต่อต้านอยู่ลึกๆในใจทันที ส่วนปริศนากับสิรีมองหน้ากัน รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่าง
นพนั่งอยู่ที่เก้าอี้สนาม เล่นเกาพุงกับวูปี้อยู่ ปริศนาเดินลงมาจากบ้าน
"นพ มานานแล้วหรือ"
"มาได้สักพักแล้ว จำเนียรว่าคุยกันอยู่ข้างบน"
"อือ คุณสร้อยมาชวนไปงาน วันเกิด วันพุธหน้า"
"แม่ก็โทรศัพท์มาบอกให้ไปเหมือนกัน มีผมกับพี่นงลักษณ์ไป คุณนนท์เขาไม่ว่าง"
"งานใหญ่เชียวหรือ"
"ไม่ใหญ่หรอก มีกัน 3 บ้านนี้แค่นั้น"
"จริงหรือ"
"จริง ผมเลยว่า ท่านชายต้องวางแผนให้พี่อนงค์คืนดีกับคุณประวิช แน่นอน"
ปริศนาอึ้งไป
"นพ ท่านชายส่งข่าวมาแล้วนะ ว่าสถานทูตเขาเปิดให้สอบ ทุกคณะ รวมทั้งสถาปัตย์ด้วย เสียดายเหลือเกินที่นพไม่ไปสอบ"
"ช่างมันเถอะปริศนา มันผ่านไปแล้ว ผมเสียดายเวลาที่ทุ่มเทอ่านหนังสือ ตรวจร่างกาย แต่ถ้าสอบ ก็จะต้องพบกับการสัมภาษณ์คัดเลือกอีก ไม่ใช่ว่าเขาจะให้ผมเลยเสียเมื่อไหร่ ... มา วูปี้มาเล่นลูกบอล กันดีกว่า"
นพหยิบลูกบอลในสนาม ไปขว้างเล่นกับวูปี้ ปริศนามองนพอย่างเห็นใจ เพราะรู้ว่านพต้องพยายามกลบเกลื่อนความเสียใจ
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 17 (ต่อ)
ท่านหญิงรัตน์และวิมลแต่งชุดนักเรียน ลงจากรถที่มีคนขับของวังไปรับมา และเดินเข้ามาด้านใน ทั้งคู่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดชั้นบน
ท่านชายพจน์เสด็จมาจากด้านหลัง ท่านหญิงรัตน์และวิมล ไหว้ท่านชาย ท่านยังใส่ชุดไปโรงพยาบาลอยู่ แต่กริยาท่านชายรื่นเริงมาก ประสบความสำเร็จในการทำอะไรบางอย่าง
"เจ้าพี่เด็จไหนมาเพคะ"
"ไปตำหนักน้ำมา ดูความเรียบร้อย เดี๋ยวแขกมาก็ชิมขนมเบื้องไทยกันก่อน แล้วก็กินเลี้ยงที่นั่นทั้งหมด แล้วค่อยมากินไอศกรีม กับเซเรเนดที่นี่ ดีไหม"
วิมลฟังอย่างตื่นเต้น
"เจ้าพี่ทรงผ้าไทย หรือชุดฝรั่ง"
"ว่าจะนุ่งผ้า เหมือนประวิช"
ท่านหญิงรัตน์ เบะปาก
"ทรงกางเกงเถอะเพคะ ผ้าไทยกับเซเรเนด ไม่เข้ากัน"
ท่านชายยิ้มให้พยักหน้า
"จ้ะ งานนี้ต้องเป็นไปตามที่น้องหญิงวางแผนไว้ทั้งหมด"
"ไป วิมล ไปแต่งตัวกัน"
ทั้ง 2 คนเดินขึ้น บันไดไปด้วยกัน
บ่ายวันเดียวกัน ปริศนาขับรถกลับมาจากทำงาน และหยิบกระเป๋าลงจากรถ เดินเข้ามาหานพที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้สนาม มีวูปี้วิ่งเล่นไปมาอยู่ข้างๆ
หน้าตาของนพ ยินดีมาก ดูมีความสุข และตื่นเต้นมาก
"นพ! มานั่งทำอะไรตรงนี้"
"ก็มารอปริศนาไง"
"ที่จะไปงานคืนวันนี้น่ะหรือ"
"เปล่า เรื่องอื่น"
"เรื่องอะไร"
"ปริศนา เอาของไปเก็บก่อนได้ไหม แล้วไปที่ใต้ต้นไม้"
ปริศนามองนพ อย่างสงสัยมาก
ปริศนาผลัดผ้าเป็นกางเกง และเสื้ออยู่บ้าน เดินเข้ามาหานพ ที่นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
"ว่ายังไง นพ มีอะไรจะบอกหรือ นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
"กลับมาจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เที่ยงแล้ว ไปหาพ่อ แล้วก็มารอปริศนานี่แหละ"
"มีข่าวดีอะไรหรือนพ"
นพแทบสำลักความดีใจ
"ผมจะได้ไปเมืองนอกเร็วๆนี้ล่ะ"
"ฮ้า...ว่าอะไรนะ"
"ตกใจหรือปริศนา ที่ผมจะได้ไปเมืองนอก"
ปริศนาได้สติ นั่งลง เขย่าแขนนพ
"ว่าไง นพ ไปไงมาไง เล่ามาเร็วเข้า"
"วันนี้ท่านชายเสด็จไปหาผมถึงที่มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ช่วงเที่ยง"
"ท่านชายพจน์น่ะหรือ"
"หม่อมเจ้าพจนปรีชาน่ะสิ เสด็จไปหาผมที่มหาวิทยาลัย บอกว่าจะประทานเงินส่งผมไปเรียนเมืองนอก"
"แล้วคุณนพ เอาหรือ"
"ฟังผมก่อนนะปริศนา ผมเอาแน่นอน เพราะหากไม่เอา ก็ไม่ได้ไปเมืองนอก แต่ผมไม่ได้รับท่านเฉยๆอย่างจ๋อง ผมขอยืมท่านเท่านั้น พอเรียนสำเร็จ กลับมา ผมจะหาเงิน
มาใช้ท่านให้ครบ จะได้ไม่ต้องติดบุญติดคุณกันมากนัก"
"เงินมากอยู่ นพจะต้องเป็นหนี้สักเท่าไร"
"ถ้าผม ขอพ่อให้ส่งไป พ่อก็คงไปกู้เขามาเหมือนกัน นี่ผมจะเซ็นเป็นผู้กู้เอง ท่านว่า จะไม่เอาดอกเบี้ยเพราะคนกันเอง แต่ผมไม่ยอม ท่านก็ว่าตามใจ ท่านอยากส่งเสริมคนอย่างผม"
ปริศนารู้สึกแทบจะหมดแรง นี่เธอเข้าใจท่านชายผิดหมดตลอด
"ปริศนายินดี ยินดีด้วยจริงๆ ที่นพจะได้ไปเมืองนอกสมใจ"
"ยังมีอีกนะ ปริศนา ท่านได้โทรเลขไปหาผู้ดูแลนักเรียนไทย ให้จัดการเรื่องหามหาวิทยาลัยให้ผม ท่านส่งโทรเลขไปสักสองอาทิตย์แล้วล่ะ คงจะได้คำตอบในไม่ช้านี่ล่ะ"
ปริศนารู้สึกตัวเองว่าเข้าใจผิดท่านชายมาตลอด
"โอ... ท่านชายพจน์ นพ ปริศนาไปแต่งตัวก่อนนะ เดี๋ยว พี่นงลักษณ์กับสิรีกลับมาเขาจะเร่งไปกัน"
นพพยักหน้า
"ไปกันปริศนา"
นพกับปริศนา เดินออกไปคนละทาง
บริเวณหน้าตำหนักน้ำ เวลากลางคืนวันเดียวกัน ข้าหลวงคนหนึ่งกำลังละเลงขนมเบื้องอยู่ และมีมหาดเล็กเอาไปเสิร์ฟให้แขกที่มาในงานรับประทาน
ปริศนาเดินเข้ามาที่เตาขนม และมองดูข้าหลวงทำ โดยท่านหญิงรัตน์ และวิมลเดินมากับปริศนา
"น่าลองทำจัง ให้ปริศนาลองดูได้ไหมคะ"
ข้าหลวงส่ง กระจ่าให้ปริศนา ลองละเลง
"โอ๊ย ดูเขาทำง่ายเหลือเกิน แต่พอทำเองนี่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง"
"หญิงทำให้ดูค่ะครู"
ท่านหญิงรัตน์ ไปนั่งทำ จนออกมาพอดูได้ แล้วท่านหญิงรัตน์ ก็วางไว้
"ขนมเบื้องแผ่นนี้หญิงให้ครูนะคะ"
ท่านชายเดินเข้ามา หาท่านหญิงรัตน์
"น้องหญิงคะ พาป้าสร้อยไปนั่งโต๊ะได้แล้ว จะสองทุ่มแล้วค่ะ"
ท่านชายพจน์ยื่นแขนให้ ท่านหญิงรัตน์เกาะแขนท่านชายไป
สร้อยที่นั่งคุยอยู่กับ สงวน พลรามฯ และสมร อนงค์ ให้พาไปที่โต๊ะอาหาร
อนงค์จะเกาะแม่ติดมาก ประวิชที่ยืนคุยกับนพไกลๆ ได้แต่ส่งสายตามาให้ แต่อนงค์ก็ไม่สนใจ
นงลักษณ์กับสิรี เดินมาที่โต๊ะอาหาร ปริศนา และ วิมลก็เดินตามไป
"อาหารวันนี้เป็นอาหารไทย เป็นรายการอาหารที่ป้าสร้อย เป็นผู้เลือกเอง และยังคุมทำอาหารด้วยตัวเองอีกนะ" ท่านชายพจน์บอก
"ต้องอร่อยมากๆทีเดียว เป็นมื้อที่จะต้องจำไปตลอดแน่นอน" สงวนบอก
"ต้องลองชิมก่อนค่ะ ว่าเป็นอย่างไร"
ท่านชายเดินไปให้สัญญาณกับนายสน มหาดเล็ก ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ
ประวิชเดินไปหาท่านชาย
"แย่จริง ท่านชาย อนงค์ ไม่ยอมพูดกับกระหม่อมเลย"
"อย่าเพิ่งท้อสิประวิช ค่อยๆดูจังหวะที่จะเข้าไปพูดกับเขา ไปดูแลแขกผู้ใหญ่กันเถอะ"
ประวิชเดินตามท่านชายมาที่โต๊ะอาหาร สิรีมองดูประวิชอย่างหมั่นไส้ ส่วนอนงค์มองแต่จานข้างหน้า
มหาดเล็กจุดไฟใต้ที่หัวเรือ ทั้ง 2 ลำ ท่านหญิงรัตน์เดินเข้ามา ปริศนาเดินตาม
"พายเรือเล่นกันไหมคะครู"
"เอาสิ ลมเย็นสบายเหลือเกิน"
"แต่ อย่าไปไกลนะคะ น้องหญิงควรนอนตอนสี่ทุ่ม" ท่านชายบอก
"เพคะ ใครจะไปกับหญิงบ้าง"
"หม่อมฉันเพคะ"
ปริศนามองท่านชาย กำลังจะเอ่ยปาก นพก็เดินเข้ามาทางด้านหลัง
"จะพายเรือเล่นกันหรือ ผมขอไปด้วย"
ชุดของรัตนาวดี ปริศนา วิมล และ นพลงเรือไปลำหนึ่ง โดยมหาดเล็กจับเรือให้
นงลักษณ์ สิรี และอนงค์เดินตามนพเข้ามา ท่านชายจึงหันไปถามสาวๆ
"อยากลงเรือกันไหมสาวๆ"
"อยากลงเพคะ แต่เราพายเรือไม่เป็น" สิรีบอก
"ฉันพายให้ ประวิชล่ะ ไปไหม"
อนงค์ก้มหน้างุด กลัวประวิชจะลงมาด้วย
ประวิชส่ายหน้า
"หม่อมกลัวเมาเรือ"
"เอ้า พวกเราลงเรือ"
มหาดเล็กจับเรือให้ สาวๆลงเรือกัน ท่านชายลงไปถือท้าย แล้วท่านชายก็พายเรือออกไป
เรือ 2 ลำแล่นตามกันมาเอื่อยๆ ในน้ำ อารมณ์ โรแมนติก
เสียงผิวปาก เพลง yolga boatman
ที่เรือลำของปริศนา นพนั่งอยู่หลังปริศนาถาม
"ใครนั่นผิวปาก"
"ท่านชายค่ะ ท่านโปรดเพลงนี้มาก เวลาพายเรือเล่นกลางคืน"
"บางทีท่านร้องก้องด้วยซ้ำไป เวลาท่านเฟื่องขึ้นมา วันนี้ผิวโอษฐ์เท่านั้นเฟื่องน้อย" ท่านหญิงบอก
"ไม่ยักรู้ว่าท่านชาย ทำอย่างนี้เป็น หม่อมนึกว่าท่านขรึม"
"เจ้าพี่น่ะหรือขรึม แหม บางทีท่านซนออกค่ะ ทำอะไรแผลงๆที่เรานึกไม่ถึงบ่อย"
วิมลบอก
"แต่บางทีเวลาท่านไม่พอทัยอะไร ขึ้นมา ท่านทำไม่รู้ไม่ชี้ น่ากลัวออก เรากลัวลานทีเดียว"
ปริศนาเห็นด้วยกับวิมลพูด เธอครุ่นคิดจนลืมพาย
"ปริศนาใจลอยไปไหนนะ ลืมพายทีเดียว"
"เจ้าพี่ แซงไปแล้วค่ะครู"
ปริศนาหันไปทางแสงสว่างวิบวับที่อยู่ใกล้ๆ ท่านชายกำลังจะผ่านเรือของปริศนาไป
แล้วหันมามอง แสงไต้วิบวับ เหมือนท่านชายจะยิ้มอย่างเมตตาให้กับปริศนา เธอมองตอบอย่างแสนรัก
เรือทั้งสองลำ ลอยตามกันไปในน้ำ
เรือของท่านชายเข้ามาจอดก่อน ท่านชายขึ้นจากเรือโดยมหาดเล็กจับเรือให้ แล้วท่านชายก็ส่งมือให้ผู้หญิง จับขึ้นมาทีละคน พอหมดแล้วมหาดเล็กอีกคนก็ดึงเรือหลบไปให้เรือของปริศนามาเข้าท่า ท่านหญิงรัตน์ขึ้นมาก่อน นพขึ้นมาเอง และปริศนาขึ้นมาหลังที่สุด
ท่านชายที่ยื่นหัตถ์ให้ปริศนา ท่านชายดึงขึ้นมา คนอื่นๆขึ้นและเดินไปที่อื่นหมดแล้ว เหมือนเหลือกันอยู่ 2 คน
"หนาวหรือปริศนา มือเย็นเชียว"
ปริศนาหันไปจะคุยด้วย แต่ท่านชายพจน์ แตะหลังปริศนาขึ้นบกเรียบร้อยแล้ว ก็เร่งฝีเท้าไปเดินนำกลุ่ม
"ไปรับประทานไอศกรีมกันบนตึก น้องหญิง มีรายการพิเศษสำหรับทุกท่าน"
ท่านหญิงรัตน์ เดินมาดึงตัวป้าสร้อยให้ลุกขึ้น สงวน สมรตามกันไป สิรีกับนงลักษณ์ เดินเข้ามาหยิบกระเป๋าของตนที่ที่นั่ง แล้วรีบตามออกไป
อนงค์ตามมา แล้วมองหากระเป๋า ที่ๆนั่งของตนแต่หาไม่เจอ เธอแปลกใจ เดินดูว่ากระเป๋าไปตกอยู่ตรงไหน รวมทั้งก้มลงมาใต้โต๊ะ
อนงค์เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะชักกลุ้มใจว่า กระเป๋าหายไปไหน แล้วก็ต้องตกใจอย่างมากที่
ประวิชมายืนดูอยู่ตรงหน้า
"หาอะไรหรืออนงค์"
อนงค์ตั้งตัวไม่ทัน เพราะประวิชมายืนอยู่ตรงหน้า อย่างไม่ได้คาดคิด
"หากระเป๋าคิดว่าวางไว้ที่เก้าอี้ แต่ไม่อยู่แล้ว"
"ผมช่วยหา"
ประวิชดึงเก้าอี้ทุกตัว ออกมาดู จึงพบ ตัวที่อยู่ท้ายสุดใกล้ทางออกไปลงเรือ
"ใบนี้ใช่ไหม อนงค์"
"ใช่ค่ะ ขอบคุณมาก"
อนงค์เอื้อมมือออกไปจะรับกระเป๋าจากประวิช แต่ประวิชกลับจับมือเอาไว้ทั้งมือทั้งกระเป๋า
"คุณโกรธประวิชหรือ"
"เปล่า....เปล่านี่คะ"
"หายโกรธ แล้วหรือ"
อนงค์นิ่งไปสักครู่ หลังจากรู้แล้วว่า จะหนีความรู้สึกของตนเองไปไม่พ้น อนงค์จึงพยักหน้าช้าๆ ดึงมือออกจากประวิช
ประวิชยิ้มให้ แล้วเดินตามอนงค์ แทบประคอง ไปยังตึกใหญ่
บริเวณโถง ปริศนานั่งคุยกับวิมล นพกลุ่มหนึ่ง สิรีกับนงลักษณ์อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
ท่านชายยืนอยู่ใกล้ๆท่านหญิงที่เปียโนกำลังดีดเพลง Liebesfreude ของ Liszt อยู่
ท่านชายช่วยเปิดโน้ตเพลงให้ ทุกคนมีถ้วยไอศกรีมอยู่ข้างหน้า ประวิชและอนงค์เดินเข้ามา อนงค์มองหาที่ว่าง มีแต่โต๊ะเล็กกับเก้าอี้ยาว อนงค์จึงนั่งแปะลงตรงนั้น ส่วนประวิชเลยลอย ไม่รู้จะข้ากลุ่มไหนดี
ท่านชายพจน์ หันไปมองสน แล้วพยักหน้าให้สัญญาณ
สนจึงหยิบถ้วยไอศกรีม 2 ถ้วย ใส่ถาด แล้วเอาไปเสิร์ฟให้ อนงค์ แล้วก็วางอีกถ้วยไว้ที่โต๊ะเดียวกัน ประวิชเห็นเช่นนั้นเลยไปนั่ง เก้าอี้เดียวกับกับอนงค์
ท่านชายยิ้มอย่างสมใจ
ในห้องกินข้าวบ้านราชพรรลภ เวลากลางคืนเวลาเดียวกัน รตีแต่งตัวอย่างไปนอกบ้านมา เดินพรวดๆเข้ามา ชื่นกำลังลุกจากโต๊ะ อิ่มข้าวพอดี
"รตี กินข้าวแล้วหรือยังลูก"
"กินมาแล้วค่ะแม่"
รตีมองไปเห็นผินกำลังเก็บโต๊ะอยู่ จึงเดินเข้าไปดึงแขนชื่น
"แม่ขึ้นมากับรตีหน่อย"
ชื่นตามรตีไปอย่างงงๆ
ที่ระเบียงหลังห้องรตี ชื่นถามลูกสาว
"มีอะไรรึ รตี วันนี้ไปงานแต่งงานเพื่อนไม่ใช่หรือ"
"เพื่อนของเพื่อนค่ะ จริงๆแล้วจะไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ แต่เจ้าบ่าวเขาเป็นเพื่อนสนิทของอานนท์"
"อานนท์?"
"พี่ชายคนโตของร้านตัดเสื้อ นงลักษณ์นั่งไงคะ"
"อ้อ"
"เขาบอกว่า วันนี้ครอบครัวเขา แม่ ยายนงลักษณ์กับน้องชายสุดท้อง ไปงานแซยิดคุณสร้อยที่วังศิลาขาว"
ชื่นไม่รู้ว่า ลูกสาวมาเล่าให้ฟังทำไม
"อย่างนั้นหรือ"
"พวกเขา ไปกับบ้านนั้น กับท่านหญิงเองนะคะแม่"
"งานคุณสร้อย ปกติก็ไม่ได้มีอะไรนี่นา คงไม่ใช่งานใหญ่โต"
"รตีว่า คงเป็นเรื่องนายประวิชกับคู่หมั้น ที่มีเรื่องผิดใจกันอยู่"
"ท่านชายนี่ก็ ทุ่มเทให้นายประวิชเหลือเกิน"
"แม่คะ รตีเป็นคนคอยเตือนให้ท่านดูแล ให้สองคนนั่นคืนดีกัน แต่พอท่านชายจะจัดงานให้สองคนนั่นมาเจอกัน ทำไมท่านไม่เชิญรตีไปงานละคะ"
ชื่นชักเอะใจ
"พูดได้เลยว่า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ขนาดเมื่อเช้า แวะไปเอาชุดที่ร้านนงลักษณ์ ก็ไม่มีใครแพร่งพราย เรื่องนี้ให้รตีรู้เลย"
"อือม์"
"คนพวกนี้ จงใจปิดบังรตีหรือเปล่าคะแม่ เสียแรงทำดี หวังดีกับทุกคน แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนเป็นอย่างนี้หรือคะ แม้แต่ท่านชาย ก็ทำเหมือนกับรตีไม่มีตัวตน รตีไม่ยอมค่ะ
ไม่ยอมเด็ดขาด แม่คะ ตายเป็นตาย รตีไม่ยอมให้นังเด็กนั่น มาเยาะเย้ยรตีเป็นอันขาด"
รตียืนหอบดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ชื่นหวั่นใจ เอื้อมมือแตะแขนรตีอย่างปลอบใจ แต่รตีไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย
ท่านชายกำลังร้องเพลง Serenade ของ Schubert ปริศนาลุกจากเก้าอี้มายืนดู ณ จุดที่เห็นพักตร์ท่านชายได้ชัดที่สุด สิรีและนงลักษณ์ หยุดคุยหันไปฟังเพลงอย่างต้องมนต์
เหล่าผู้อาวุโส มองดูท่านชายอย่างชื่นชม
ประวิชที่นั่งห่างจากอนงค์ ก็เริ่มมองตากัน แล้วก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้กัน และ
ประวิชจับมืออนงค์ ตั้งอกตั้งใจฟังเพลงด้วยกัน ประวิชถึงขนาดฮัมเพลงตามท่านชาย แสดงความอินต่อลำนำที่แสนหวาน
อนงค์จึงรู้ได้ว่าประวิชมีความอ่อนไหวและมีความรักเธอ เพลงจบ ประวิชจับมืออนงค์ไว้และยกขึ้นจูบ
อนงค์ ลืมไปหมดแล้วว่าประวิชเคยทำอะไรบ้าง มีแต่ความรักที่ไหลรินออกมาท่วมท้น
จนเพลงจบ ทุกคนปรบมือ แบบปลื้มมาก ประวิชยืนปรบมือ
สงวน/สร้อย ยืนขึ้นร้องบอก
"encore encore"
ท่านชายพจน์สั่นเศียร
"ของดีไม่มีมาก จริงไหมคะน้องหญิง"
ท่านหญิงรัตน์ ลุกขึ้นมาควงแขนท่านชายพจน์ แล้วถอนสายบัว (Courtesy) พร้อมๆกับที่ท่านชายโค้ง ทุกคนปรบมือให้อีกครั้ง
"น้องหญิงขึ้นนอนได้แล้วค่ะ 5 ทุ่มแล้ว อย่าดื้อ"
ท่านหญิงรัตน์ถอนสายบัวอย่างน่ารักให้ท่านชายอีกครั้ง
สงวน สมร และพลรามก็เริ่มลาคุณสร้อยกลับ คนอื่นๆก็ทยอยเดินไปหาครอบครัวของตน
ประวิชยังอ้อยอิ่งอยู่กับอนงค์
"พรุ่งนี้จะไปหานะที่รัก"
อนงค์พยักหน้าอย่างเอียงอาย ทั้งหมดทยอยเดินออกไปจากห้อง
ท่านชายพจน์เดินขึ้นบันไดมา ประวิชเดินตามเยื้องมาทางด้านหลัง ประวิช ผิวปาก
"สบายใจจริง แหม อ้ายเซเรเนดของฝ่าบาทนี่ วิเศษจริงๆให้ตายสิ"
"ไม่ใช่ของฉันหรอก ของน้องหญิง เขาเกิดโรแมนติกขึ้นมา หวังว่าอ้ายเพลงนี้ คงไม่ทำให้คนอื่นโรแมนติกไปด้วย"
"ว่าไม่ได้ .....ว่าไม่ได้"
แล้วประวิชก็เลี้ยวเข้าห้องไป เมื่อท่านชายอยู่คนเดียวก็นึกย้อน เห็นปริศนาเหมือนต้องมนต์ เดินเข้ามาดูท่านชายร้องเพลง นึกภาพนั้น ท่านชายยิ้ม ผิวปาก แล้วเดินเข้าห้องนอนไป
ทั้ง 4 คนเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงแซยิด ป้าสร้อย ทั้งหมดเดินเข้ามาแล้วมาถอดรองเท้าบริเวณหน้าห้อง จำเนียรมาเปิดประตูบ้านให้
"น่าเอ็นดูเหลือเกิน เจ้าน้องดีดเปียโน เจ้าพี่ร้องเพลง แม่ล่ะ ติดใจไม่หายเลย" สมรบอก
"ลูกติดใจเสียท่านชายค่ะ ท่าทางเวลาท่านร้อง นี่เก๋จัง ราวกับดาราฮอลีวู้ด"
อนงค์ยิ้มอย่างมีความสุข
ส่วนปริศนาวิ่งแซงทุกคนขึ้นบันไดไป ทุกคนมองตามปริศนาอย่างแปลกใจ
อนงค์นอนหลับอยู่ในมุ้ง ห้องปิดไฟมืดแล้ว ส่วนปริศนาเปิดไฟอ่านหนังสือที่โต๊ะ และกำลังเขียนจดหมายถึงคุณอา
"อาที่รัก พริสรักท่านชายจะคลั่งอยู่แล้ว ท่านยั่วพริสเสียเหลือเกิน ท่านร้องเพลง serenade แล้วมองดูพริสอย่างแปลกๆ พริสรู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต...."
แล้วปริศนาก็นั่งเหม่อ แล้วก็รู้สึกว่าเขียนไม่ได้ดังใจ จึงฉีกจดหมายทิ้ง แล้วก็เริ่มเขียนใหม่
"I am mad about him. But he pretends not to care for me, When I know perfectly well that he does."
ปริศนากระแทก ปากกา เขียนไม่ออก กุมหัว แล้วในที่สุดปิดไฟแล้วเดินเข้ามุ้งไป
วันใหม่ ที่โต๊ะทำงานท่านชาย หูโทรศัพท์ถูกวางอยู่บนโต๊ะ ท่านชายเดินมาจากด้านนอก มีหูฟังคล้องคออยู่ ท่านเดินมาอย่างรวดเร็ว เพื่อรับโทรศัพท์
"ฮัลโหล ใครพูด"
"ท่านหลานหรือ เพคะ"
"อ้อ น้าชื่นหรือ รอนานไหมจ๊ะ"
ชื่นอยู่ที่โทรศัพท์ตรงห้องโถงบ้านราชพรรลภ
"นานเพคะ น้าต่อไปที่วังหนหนึ่งแล้ว เขาว่าไม่เด็จอยู่ เลยต่อมาที่นี่อีก"
"มีธุระอะไรหรือจ๊ะ"
"เพคะ เวลานี้ ท่านหลานว่างไหม"
"ไม่ว่างจ้ะ กำลังยุ่งทีเดียว เอาเถอะจ้ะ เย็นๆเลิกงานแล้วฉันจะแวะไปหา"
เย็นต่อเนื่องมา ผินคลานเข่าเข้ามา เอาของว่าง น้ำชา และน้ำดื่ม ถวายให้ท่านชายพจน์ในห้องรับแขก
"คุณน้าล่ะ"
"กำลังจะออกมาค่ะ ท่านนวดอยู่"
ผินคลานออกไป ชื่นเดินกระย่อง กระแย่งออกมาจากด้านใน
"เต็มทีเพคะ ท่านหลาน น้านี่นับวันจะแก่เฒ่าลงไปทุกวัน"
"น้าคงนั่งแกร่วทั้งวัน กระมังจ๊ะ ควรจะออกไป เดินยืดแข้งยืดขาเสมอๆ อ้ายที่ปวดๆ จะได้หาย"
"โอ้ย น้าน่ะ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะตายก็นอนตาไม่หลับ ห่วงลูกเสียเหลือเกิน มีอยู่กับเขาคนเดียวแล้วก็เป็นผู้หญิง พ่อแม่ตาย ใครเขาจะดูดำดูดี"
"น้าชื่นไม่ต้องเป็นห่วง แม่รตีก็เป็นเหมือนน้องสาวของฉัน ฉันก็จะช่วยดูแลได้อย่างเต็มที่"
"อะไร เหมือนน้อง ถ้าท่านจะเลี้ยงแม่รตีอย่างน้อง น้าจะนอนตายตาหลับ
ได้อย่างไร ท่านหลานก็โปรดแม่รตี ทำไมไม่... เออ ตั้งแต่แม่รตียังเด็ก พี่ช้อยเคยบอกว่าโตขึ้นอยากให้แต่งงานกับท่านหลาน น้าก็เห็นดี มีคนมาขอแม่รตีเป็นกอง น้าสู้ไม่ให้ ตั้งใจไว้ว่าจะถวายท่านหลาน"
ท่านชายแปลกใจตกใจ รู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก
"ฉันไม่เคยคิด"
"อาไร้ ไม่เคยคิด ท่านหลานแสดงท่ากับแม่รตีต่างๆ จนแม่รตีเข้าใจผิด และใครๆลือกันทั่วไป ท่านไม่เคยคิดได้อย่างไร"
"ไม่เคยคิด... ฉันเสียใจ ที่รตีเข้าใจผิดไป"
ชื่นโวย
"ท่านหลาน! ไม่ได้การละเพคะ ทำให้ลูกหม่อมฉันเสียชื่อเสียง"
"น้าชื่น ค่อยๆหน่อยก็ได้ ฉันนั่งตรงนี้เอง ... รตี จะเสียชื่อเสียงได้อย่างไร ฉันไม่ได้ไปทำอะไรลูกน้าสักที"
"พาไปเที่ยวเอย พาไปเต้นรำเอย แค่นี้ไม่พอหรือเพคะ"
"น้าบอกให้ฉันพารตีไปเอง อย่าลืมเสียสิ"
ชื่นอึ้งไปสักครู่
"ถ้าเผื่อผู้หญิงเขาจงรักภักดีต่อท่านหลานล่ะ เพคะ"
"ฉันก็ขอบใจเขามาก ถ้าเขามีความรู้สึกเช่นนั้นต่อคนอย่างฉัน"
"ตกลงท่านหลานจะไม่ช่วยเหลืออะไรน้าเลย"
"ช่วยสิจ๊ะ น้าต้องการจะให้ฉันทำอะไร ฉันจะทำทั้งสิ้น นอกจากเรื่องนี้
ฉันเสียใจที่น้าไม่พอใจฉัน รตีก็เป็นคนดี ฉันไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรเขา
กลับหวังดีกับเขาเสมอ แต่ฉันไม่สามารถที่จะ.. ทำอย่างที่น้าต้องการได้"
ชื่นจ้องอย่างต้องการหาคำตอบ
"ท่านหลานคิดจะแต่งงานกับคนอื่น อย่างนั้นหรือ"
ท่านชายนิ่งไป
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 17 (ต่อ)
อานนท์ เท้าสะเอวยืนดูนพที่เก็บหีบเหล็ก มาตากบริเวณสนาม
"ใช้ได้ดีมาก นายจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ หีบพวกนี้ก็ซื้อจากเมืองนอกทั้งนั้น"
"ผมว่าของผม ใช้ใบเล็ก 2 ใบก็พอ"
"ที่ควรเอาไปคือหนังสือภาษาไทย เพราะหาไม่มี เสื้อผ้า เอาไปแต่พอใช้ในเรือ ไปถึงที่โน่นหาของที่เหมาะกับอากาศทางโน้นจะดีกว่า"
"ผมจะเอาขึ้นไปจัดของแล้ว"
นพจะยกหีบเล็กเข้าไปในบ้าน แต่อานนท์เรียกไว้ก่อน
"วันนี้ นายจะไปหาปริศนาไหม"
"ทำไมหรือ"
"ว่าจะชวนปริศนา ไปตีเทนนิสอีก เพื่อนนายคนนี้สวยมาก เก่ง หากนายไปเมืองนอกแล้ว พี่ว่าเราน่าจะยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม"
นพมองอานนท์อย่างค้นหา
"พี่นนท์ รักคุณปริศนาหรือ"
อานนท์คิดจริงจัง
"ท่าจะยัง... แต่หากปริศนารักฉัน บางทีฉันอาจจะรักเขาก็ได้"
นพตอบทันที
"ปริศนา ไม่รักพี่นนท์หรอก"
"อ้าว ทำไมล่ะ"
"ตอนแรก ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่งานเมื่อคืนนี้ ผมแน่ใจละว่าปริศนารักใคร และใครรักปริศนา"
อานนท์สนใจทันที เดินเข้ามาแทบจะเขย่าคอนพ
"ไหน ปริศนารักใคร ใครรักปริศนา"
"ท่านชายพจน์ไง พี่นนท์ ที่ท่านชายพจน์มาช่วยผม เพราะปริศนาเป็นคนไปขอร้องให้ท่านช่วย"
อานนท์อึ้งไป เพิ่งนึกออก
"ลำพังเรา จะเข้าถึงองค์ท่านก็ยังไม่มีโอกาส แต่ปริศนาเดินไปขอท่านให้มาฟังเราพูด"
"แต่ท่านก็ชอบช่วยคนอื่นเรื่องการเรียนเสมอไม่ใช่หรือ"
"ก็จริง แต่ผมพูดถึงโอกาสที่ท่านจะได้รับรู้และช่วยเหลือ เสียดายที่พี่นนท์ไม่ได้ไปงานเมื่อคืนนี้ไม่ได้ฟัง เซเรเนดของชูเบิร์ต และไม่ได้เห็นสายตาของท่านชาย กับปริศนา"
นพยิ้ม เมื่อนึกถึง ท่านชายกำลังร้องเพลง Serenade ของ Schubert แล้วปริศนาลุกจากเก้าอี้มายืนดู ในจุดที่เห็นพักตร์ท่านชายได้ชัดที่สุด ปริศนาแสดงความชื่นชม ยกย่องและหลงรักอย่างเต็มเปี่ยม ท่านชายมองปริศนาอย่างแสนหวานด้วยเช่นกัน
"ถ้าพี่นนท์ ได้เห็น พี่นนท์จะคิดเหมือนผม ปริศนาคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากท่านชายพจน์"
อานนท์พยักหน้าพลางคิด
ปริศนาแต่งชุดเล่นเทนนิส เหมือนกับอานนท์ พนักงานเสิร์ฟเอา soft drink มาเสริฟ์ให้ทั้ง 2 คน
อานนท์ดื่มน้ำ และมองดูปริศนา ที่ยังจิตใจไม่แจ่มใสอยู่
"Have you ever been in love?"
"อือ... คงจะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ด้วยมั้ง อานนท์ล่ะ"
"บ่อยเลยล่ะ .... ถ้าปริศนากำลัง in love ทำไมทำหน้าตา เหมือนคนอกหักอย่างนี้ล่ะ"
"คนไม่รักจะอกหักได้หรือ ก็ต้องรักสิ มันถึงจะอกหักได้ ถ้าคนที่เรารักเขาไม่รักเราจริง มันไม่มีอะไรที่จะเศร้าเสียใจไปกว่านี้อีกแล้ว"
"หา.... อกหักแล้วหรือ ถ้าปริศนาอกหัก ก็รักอานนท์เสียจะได้ไหม"
ปริศนาได้ความคิดอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
"รักจริงๆ คงทำไม่ได้ แต่ให้ทำเป็นรัก ก็คงพอจะได้อยู่หรอก แล้วคนอื่นเขาจะคิดไหม ว่าเรารักกันจริงหรือเปล่า"
"ลองดูไหม"
ปริศนาพยักหน้า
อานนท์ยื่นมือมา shake hand แล้วยกมือปริศนาขึ้นจูบ จังหวะนี้ ท่านชายพจน์เดินเข้ามาพอดี รู้สึกแปลกใจและความเจ็บปวดเป็นริ้ว ก่อนหันกลับเดินออกไป โดยปริศนาและอานนท์ไม่รู้ตัว
ปริศนาหัวเราะออกมากับกริยาของอานนท์
"ทำได้เหมือนจริงมากเลย อานนท์"
"มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยนี่นา ปริศนา"
อานนท์ยิ้มให้ด้วยสายตาเจ้าชู้
นอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืดและมีดวงจันทร์ส่องสว่าง ท่านชายพจน์ใส่เสื้อคลุมนอน มีกองเอกสารและจดหมายอยู่ตรงหน้า แต่ท่านชายดูเหม่อลอย
เสียงเคาะประตู ท่านชายพจน์รู้สึกตัว
"เข้ามา"
ประวิชเดินเข้ามาหน้าบาน
"ท่านชาย ... หม่อมจะแต่งงานจริงๆแล้ว แต่งให้เร็วที่สุดเลย"
"จะแต่งงานก็หาฤกษ์ยามเข้าสิ บ้านนั่นไปดูหรือยัง ฝรั่งเขาจะย้ายออก
ในสองสามวันนี่แล้ว รีบไปแต่งเรือนหอเข้า"
"วันเสาร์ หม่อมจะพาอนงค์มาดู ขาดเหลืออะไรจะทูลฝ่าบาท"
ท่านชายพจน์พยักหน้า
"รีบบอกมาในอาทิตย์หน้าเลยนะ หลังจากนั้น ฉันอาจจะไม่อยู่ สักระยะหนึ่ง"
ท่านชายพจน์ เซ็นชื่อในจดหมายที่อยู่ตรงหน้า แล้วพับใส่ซอง
"อ้าว จะเด็จไหนล่ะ ฝ่าบาท"
"ท่านชวาลาขอให้ไปช่วยงาน ทางใต้สักหน่อย ทางโน้นขาดคนจริงๆ"
"ท่านเป็นหมอผ่าตัด เครื่องไม้เครื่องมือ พอทำงานได้หรือฝ่าบาท"
"ฉันยังไม่เคยเห็นที่นั่น หากท่านทำได้และขอให้เราไปช่วยในส่วนของเราก็ต้องช่วยกัน เรื่องช่วยชีวิตคน รอให้พร้อมก่อนคงไม่ได้"
ประวิชมองท่านชาย อยากจะค้านแต่ เห็นท่าขรึมๆของท่านชายก็เลยเกรง ไม่พูดอะไร
"หม่อมจะรีบทูลให้ทรงทราบ ขอบทัยฝ่าบาท"
ประวิชเดินออกจากห้องไป ท่านชายลุกเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปไกลๆ
เวลากลางคืนอีกวันหนึ่ง ปริศนาถือไฟฉาย และอุปกรณ์การทำอาหารบางอย่างใส่ตะกร้ามา จำเนียรช่วยถือ แล้วเดินออกประตูบ้านไป
นพนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้แล้ว มีตะเกียงเจ้าพายุอยู่ กำลังก่อไฟ เตาถ่าน ปริศนาเดินนำจำเนียรเข้ามา วางของปิกนิกลงกับพื้น
"ขอบใจจำเนียร"
จำเนียรเดินกลับไป
"บ้านเธอยังไม่กลับมากันหรือ"
"ยัง ... สงสัยว่าบ้าน เรือนหอของอนงค์ คงจะต้องปรับปรุงมากมาย"
"ทุกคนกำลังเริ่มชีวิตใหม่"
ปริศนาหน้าจืดไปทันที
"ใช่ นพ ก็จะก้าวสู่โลกใหม่เหมือนกัน"
"ปริศนาก็เหมือนกันใช่ไหม"
"ปริศนาก็ใหม่มาปีกว่าๆแล้วไง การกลับมาเมืองไทยนี่เป็นก้าวใหม่ของชีวิต ตอนนี้ปริศนาก็เป็นคนไทยเต็มตัวแล้ว"
"เราผัดกระทะหนึ่ง แล้วแบ่งกันกินนะ"
"ฮื่อ"
นพเร่งไฟ แล้วผัดซีอิ๊ว เนื้อ ไป 1 กระทะ
ตอนใกล้จะเสร็จ นพหยิบไข่ในตะกร้าของปริศนามาตอก ปรากฏว่าเป็น
ไข่ต้ม
"อ้าวนี่เป็นไข่สุกหรือ"
"ใช่ เห็นอยู่ในครัว เลยหยิบมา"
"แล้วจะมาทำอะไร"
"ทำของหวานได้ไหม"
"ทำยังไงล่ะ"
"จิ้มน้ำตาล"
นพแบะปาก
"เฮ้ย... จะกินได้ยังไง ไม่ไหวล่ะ ทำแบบไข่หวานดีกว่า เรามีน้ำตาล มีขิง ต้มแล้วใส่ไข่ลงไป ปริศนาปอกไข่สิ"
"แล้วจะต้มด้วยอะไร กระทะนี่น่ะหรือ เหม็นแย่"
"ต้องไปเอากระทะทองมาต้ม แล้วต้องใส่ขิงด้วย ปริศนาผัดต่อที ผมจะไปเอาของ"
นพเดินออกไป ปริศนาผัดต่อ
ห้องอาหารวังศิลาขาวเวลากลางคืนเวลาเดียวกัน บนโต๊ะอาหารเป็นของหวานกับน้ำชากาแฟ ท่านชายพจน์ ดูในกระดาษสมุดที่จดฤกษ์แต่งงานของประวิชมา
"ประวิชคงจะอยากแต่งงานในฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด"
ประวิชยิ้มรับ
"กระหม่อม"
"เตรียมจัดงานกันทันไหม ถ้าคนไม่มากก็จัดงานเสียที่นี่ บอกป้าสร้อย เชิญแต่ญาติ"
"ทางเราไม่มีใคร มีแต่ญาติเท่านั้น" สมรบอก
"แล้วเรือนหอ จะตกแต่งเสร็จเมื่อไหร่"
"ปรับปรุงหลักๆ เรื่องทำความสะอาด ทาสี ส่วนเรื่องตกแต่ง อนงค์ว่าจะ
ค่อยๆทำไป อยู่ไปทำไป เขาอยู่บ้านทุกวัน ฝ่าบาท" ประวิชบอก
"ดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัว เรื่องเสื้อผ้าแต่งงาน ก็ไม่ต้องห่วง สิรีอยู่ทั้งคน ตัดให้งดงามทันไหม"
"เตรียมผ้าไว้พร้อมแล้วเพคะ เหลือแต่ตัด ที่หนักก็คือ จะต้องตัดชุดคนมางานด้วย ต้องมีชุดใส่บาตรเช้า และชุดเลี้ยงตอนเย็น" สิรีบอก
"อย่างไรเสีย ก็ขอให้เจ้าสาวสวยที่สุดก็แล้วกัน"
ทุกคนยิ้ม หัวเราะกัน
เตาอั้งโล่ ถ่านมอดลงไปมากแล้ว มีกาต้มน้ำชงกาแฟ วางอยู่บนเตา กระทะผัดก๋วยเตี๋ยว วางไว้ข้างๆ กระทะทองเหลือง ใส่ไข่ต้มน้ำตาล 4 ฟอง วางอยู่คู่กับชามใส่ก๋วยเตี๋ยวผัด
"มาเริ่มต้น midnight fest ของเรา" ปริศนาว่า
"รับรองว่า มิตรภาพของเราจะเป็นที่จดจำไม่ลืมเลย"
นพหัวเราะ และตักก๋วยเตี๋ยวใส่จานส่งให้ปริศนา แล้วทั้งสองก็เริ่มกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน
"ไม่รู้ว่าไปครั้งนี้จะนานสักกี่ปีนะ กลับมา ปริศนา แต่งงานมีลูกมีเต้าโตๆแล้วหรือเปล่า"
"ปริศนา ก็ยังเป็นปริศนาอย่างนี้ล่ะ นพน่ะสิ จบกลับมาคงได้ทำงานดีๆเป็นใหญ่เป็นโต"
"ท่านชายพจน์ล่ะ พรุ่งนี้ ท่านจะเด็จไปส่งนพด้วยนะ เพราะปริศนา นพถึงได้ไปเรียนเมืองนอก ท่านมีบุญมีคุณกับนพจริงๆ"
"น้ำเดือดหรือยังนพ เดี๋ยวจะได้ชงกาแฟ ปริศนาเอาถ้วยกาแฟสวยๆมาจากอเมริกาด้วยนะ"
"ปริศนาไปส่งนพด้วยนะ ที่รถไฟ นึกแล้วก็ใจหาย ไม่เคยเดินทางไกลๆคนเดียว"
"ไม่ยากหรอกนพ ทำตัวเป็นมิตรแต่อย่าสนิทใจ คุณอาสอนไว้ พวกป้ายต่างๆ ต้องคอยดู อ่านคำอธิบาย ถ้าไม่รู้จริงๆให้ถามเจ้าหน้าที่ อย่าอวดเก่ง"
"ขอบใจ ปริศนา ขอบใจ"
ปริศนายิ้ม
2 คนกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยกัน เป็นภาพที่น่าประทับใจ
บ้านที่เป็นเรือนหอของประวิชกับอนงค์ ทั้งคู่ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน กลุ่ม ปริศนา สิรี และสมรยืนอยู่ฝั่งอนงค์
ท่านชายยืนอยู่ฝั่งประวิช มีรตียืนกระหนาบข้างอยู่ แทบจะควงแขน ท่านชายหน้าตาไม่แจ่มใส ปริศนาก็ไม่มองท่านชายเลย
"ขอให้ลูกของแม่ มีแต่ความสุข ความเข้าใจและดูแลรักษากันให้ดีนะ พ่อประวิช ฝากน้องด้วย" สมรบอก
ประวิช ยกมือไหว้สมร
สมรกอดอนงค์ ปริศนาและสิรีก็เข้าไปกอดอนงค์ด้วย ท่านชายแกะมือตัวเองออกจากแขนรตี และเดินเข้าไปหาประวิช
"ประวิช ดูแลครอบครัวของนายให้ดีนะ คุณอนงค์ เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เธอเหมือนแก้วมณีมีค่า นายคว้าได้แล้ว รักษาให้ดี อนงค์ ขอให้มีความสุข และหากมีอะไรให้ฉันช่วยเหลือ ก็ยินดีทุกอย่าง"
อนงค์ตื้นตัน
"เพคะ"
ประวิชจูงอนงค์เข้าไปในบ้าน แล้วหันมายิ้มอย่างมีความสุข
ท่านชายเดินเข้ามาที่ตำหนักศิลาขาว รตีเดินมาติดๆ แต่ ท่านชายไม่ค่อยจะสนใจรตีสักเท่าไหร่ ซึ่งรตีจะเดินลำบาก เนื่องจากแต่งชุดสวยเต็มยศ
"สน ของเอาขึ้นรถเรียบร้อยแล้วหรือ"
"เรียบร้อย แล้วฝ่าบาท เอกสารต่างๆ กระหม่อมก็วางไว้ในรถแล้ว"
พจน์พยักหน้า
"สนดูแลส่งคุณรตีด้วยนะ รตี ฉันต้องขอลาไปก่อนนะ จะต้องรีบไป"
"ท่านชายจะเด็จไหนเพคะ"
รตีงง
ท่านชายถอดสูทให้สน สนเปิดประตูรถให้ ท่านชายขึ้นนั่งในรถ สมบูรณ์เคลื่อนรถออกไป รตียืนงง
"นายสน ท่านชายเด็จไหนน่ะ"
"เด็จไปพบท่านชวาลา ขอรับ"
"ท่านชวาลา ไม่ยักได้ข่าวว่าท่านขึ้นมากรุงเทพฯ พบที่ไหนหรือ สโมสรหรือ"
"กระผมไม่ทราบขอรับ คุณรตี จะดื่มน้ำหรือรับของว่างไหม กระผมจะได้ไปจัดให้"
"เสิร์ฟของว่างก็แล้วกัน ฉันจะไปคอยในห้องอาหาร"
นายสนผายมือไปด้านใน
"เชิญคุณรตีทางนี้ขอรับ"
แล้วนายสนก็เดินนำไป รตีเดินเชิดหน้า คล้ายคุณนายของบ้านตามไป
ห้องนอนเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะเหลือเตียงของปริศนาอยู่เพียงเตียงเดียว ข้าวของของอนงค์ถูกเก็บหายไปหมดแล้ว ห้องถูกจัดใหม่ ทำให้ ปริศนามีข้าวของเต็มห้องมากขึ้น
ปริศนานั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิม ในห้องมีชั้นวางหนังสือของปริศนาเพิ่มขึ้นมา ปริศนากำลังเขียนจดหมายถึงอาอยู่
"คุณอาคะ อนงค์แต่งงานไปแล้ว ห้องของอนงค์ เลยกลายเป็นห้องของปริศนาคนเดียว ดูมี privacyมาก แต่ก็เหงา เพราะเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ใคร"
"จำเนียรเองค่ะ"
"เข้ามา"
"คุณคะ คุณอานนท์มาค่ะ คุณนายให้จำเนียรมาตามคุณลงไปพบ"
ปริศนาแปลกใจว่าอานนท์มาทำไม
"เดี๋ยวฉันตามลงไป"
ปริศนาลุกขึ้น เอาหนังสือทับกระดาษเขียนจดหมายที่เขียนค้างไว้
อานนท์ ยืนเท้าสะเอวมองดูปริศนา มีแก้วน้ำต้อนรับที่โต๊ะใกล้ๆ
"ผมพบท่านชายที่สถานีรถไฟ เมื่อสักครู่นี่เอง"
"ท่านชายไปทำอะไรที่สถานีรถไฟ"
"พรรคพวกหมอที่ไปส่ง บอกว่าท่านชายจะไปทำงานที่ปักษ์ใต้ รักษาคนไข้ ไม่มีกำหนดกลับ"
"อะไรนะ"
ปริศนาตกใจ นั่งลงกับเก้าอี้
"นั่นไงว่าแล้ว เธอต้องไม่รู้เรื่อง"
"ปริศนา ยังไม่ได้พูดกับท่านชายเลย"
"เธออาจจะต้องรอวันที่ท่านกลับมา ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่"
"ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่"
น้ำตาปริศนาเริ่มไหลริน
"ทำไมท่านไม่บอกใครเลย ปริศนาไม่รู้เรื่องเลย ประวิช ก็ไม่เห็นบอก ราวกับท่านต้องการจะหนี หนีไปเฉยๆ โธ่..."
"ปริศนา เสียใจมากหรือ"
ปริศนาพยักหน้า ร้องไห้โฮ อานนท์จึงกอดปริศนาไว้อย่างปลอบใจ
สมร กับสิรี ที่เดินออกมาจะมาหาอานนท์ และปริศนา หยุดชะงักอย่างตกใจ แล้วเลยยืนดูเฉยอยู่ตรงนั้นไม่เข้ามาใกล้
"ถ้าอย่างนั้น นพ ก็พูดถูก"
ปริศนาปาดน้ำตา พยายามกลั้นน้ำตา
"พูดว่าอะไร"
"เขาบอกว่าพริส รักท่านชายจริงไหม ที่พริสบอกว่า มีความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย นั่นคือท่านชายพจน์ใช่ไหม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจกันหรือ แล้วผมมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไหม"
ปริศนาส่ายหน้า
"ปริศนาไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ แต่ท่านชาย ท่านชายบอกว่า ครั้งต่อไป ปริศนาต้องเป็นคนพูดก่อน แต่....ปริศนาไม่ได้มีโอกาสพูดเลย"
ปริศนาร้องไห้อีก
"ถ้าพริสรักอานนท์ได้ก็จะดี"
ปริศนาส่ายหน้า
"เรื่องของความรัก มันอยู่ที่จังหวะและโอกาส หากถือดีมาก เราอาจจะเจ็บปวด อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปเพราะหัวใจของเราอาจลอยออกไปนอกหน้าต่าง เราต้องจับมัน วางไว้ในมือของคนที่เรารัก ให้จงได้" อานนท์บอก
อานนท์ เหมือนจับหัวใจตัวเองใส่ลงในมือของปริศนา แต่ปริศนาสนใจแต่เรื่องท่านชาย
"ขอบใจ ขอบใจมากอานนท์... ขอบใจจริงๆ"
สมรเคาะประตูห้องนอน แล้วผลักเข้ามา ปริศนาหันไปดูแม่
"ปริศนา แม่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"ถามว่าอะไรคะ"
"ลูกรักคุณอานนท์เขาหรือ"
"รักสิคะ รักอย่างเพื่อน"
"เหมือนประวิชน่ะหรือ"
"ไม่เหมือนค่ะ"
"ลูกคิดจะแต่งงานกับเขาหรือเปล่า แม่ได้ยินใครๆพูดถึงปริศนากับอานนท์เยอะมาก ไปสโมสรด้วยกันบ่อยๆ ไปเที่ยวกัน จับมือถือแขน"
"โธ่... แม่ เราก็เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเท่านั้น"
"แล้วเขาจะไม่ทึกทักเข้าใจผิดเหมือนรายประวิชอีกเหมือนกันนะ"
"ไม่ค่ะ ปริศนารับรองได้"
"นี่ก็แปลว่า"
"ไม่แปลค่ะ ไม่มีคำแปล ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ปริศนาจะบอกแม่เอง เวลานี้ปริศนาไม่มีอะไรจะพูด"
สมรได้แต่ถอนใจ แล้วสมรมองไปที่รูปท่านชาย ที่อยู่บนโต๊ะของปริศนา
แล้วหันมามองปริศนา แต่ปริศนาไม่ตอบ หันไปเขียนจดหมายต่อ
สมรจึงรู้สึกว่าจะเข้าไปในความคิดของปริศนาไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกไป
เย็นอีกวันหนึ่ง ปริศนาขับรถมาจอดหน้าร้านตัดเสื้ออย่างเนือยๆ แล้วนั่งอย่างเซ็งๆ รออยู่ภายในรถ สิรี และนงลักษณ์ เดินลงมาจากร้าน
"ปริศนา เป็นอะไรหรือเปล่า หมู่นี้ หน้าบึ้งจังเลย" นงลักษณ์ถาม
"ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ สบายดี"
"วันนี้จะไปตีเทนนิสกับอานนท์หรือเปล่า"
"วันนี้อานนท์ ไปปาร์ตี้วันเกิดใครสักคน ไม่ทราบ"
นงลักษณ์พยักหน้า
"ปริศนารู้เรื่องคุณอานนท์ ดีกว่านงลักษณ์เสียอีก" สิรีบอก
"นั่นสิ อยู่บ้านเดียวกัน แต่พี่ชายเราไปไหนต่อไหนกับปริศนามากกว่าเราเสียอีก"
นงลักษณ์มองปริศนาอย่างมีนัย สิรีหัวเราะ
ภายในห้องโถงบ้านนงลักษณ์ กลางวันอีกวันหนึ่ง อานนท์นั่งอ่านจดหมายอยู่ที่ระเบียง นงลักษณ์เดินออกมาเห็น
"อ้าว วันนี้ คุณนนท์ ไม่ไปไหนหรือคะ"
"ยังไม่มีแผนจะออกไปไหน"
"ปริศนาจะมาที่นี่หรือคะ"
"เปล่า... ไม่ได้นัดกัน ต้องเป็นพรุ่งนี้ ถึงจะนัดเล่นเทนนิสกัน"
"คุณนนท์ เคยพูดเรื่องแต่งงานกับปริศนาหรือเปล่าคะ"
"เรื่องที่พี่จะแต่งงานกับปริศนาน่ะหรือ เฮ้ย.. บ้า เป็นไปไม่ได้ เปล่า ไม่ได้พูดเรื่องนี้กันเลย"
"อ้าว ก็ใครๆเขาก็ลือกัน เรื่อง คุณนนท์ กับปริศนา"
"ช่างมัน... ลือเลอะเทอะ จะบอกให้นะ ถ้าพี่จะแต่งงาน ไม่แต่งกับปริศนาแน่ และถ้าปริศนาแต่งงาน ก็จะแต่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่"
"แล้วกัน แล้วคุณนนท์ว่าปริศนาสวยไหม"
"สวยสิ"
"แล้วสิรีล่ะคะ"
"ไม่เห็นเขาจะชอบใครนี่ คนนี้ทำท่าปึ่งทุกวัน"
"ก็มีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับความรัก ก็เลยไม่อยากจะรักใคร"
"อกหักว่างั้นเหอะ"
"ก็ไม่เชิง มีอุปสรรคสำคัญมากกว่า ... เขาก็เลยต้องระวังตัวในการที่จะคบหากับผู้ชาย"
"ใครเหรอ ดีนักหนาแค่ไหน"
"ก็นายเสมอนั่นไงคะ พ่อแม่เค้า ว่าสิรีรวยน้อยไป ต้องรวยขนาดรตีถึงจะเหมาะกับลูกเขา"
"โอ้ว เวรกรรม ใครได้ไปล่ะ ปวดประสาทตาย น่ากลัวออก"
"เอ๊า ก็เขากำลังจะแต่งงานกับท่านชายพจน์ ไปว่าเขาอย่างนั้นได้ยังไง"
"โอ้ย....ใครเขาจะเอา เอ้อ ... ท่านพจน์น่ะรักคนอื่น ..เอ๊ย อย่าไปพูดเรื่องคนอื่นเลย เล่าเรื่องสิรีมาดีกว่า น้องคิดยังไงกับเพื่อนของน้อง จะเป็นแม่สื่อให้รึ"
"ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ แล้วแต่พี่นนท์ต่างหาก สิรีเองเขาก็ชื่นชมพี่นนท์อยู่ ว่าโก้ดี แต่ไม่รู้ว่า เขาจะเปลี่ยนเป็นความรักได้ไหม"
"นั่นแน่ะ"
"วันนี้พี่นนท์พาน้องไปดูหนังนะคะ"
"ได้"
"ดีจัง นัดสิรีไว้แล้ว ค่ำๆเขาจะมา"
อานนท์กระแอมติดคอขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 17 (ต่อ)
บริเวณที่ซักผ้า หลังบ้าน ปริศนา กับสิรี กำลังนั่งซักผ้าในกาละมังเคลือบสีขาวใบโตอยู่ โดยเอาไม้รองกาละมังเคลือบกันขีดข่วนกับพื้น ปล่อยน้ำประปาที่ไหลน้อยๆจากก๊อกลงตุ่ม และตัดน้ำจากตุ่มมาใส่กาละมัง
ปริศนา ซักผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอน และ ผ้าเช็ดตัว โดยมีกาละมังแช่ผงซักฟอก 1 ใบ กาละมัง ซักน้ำ 2 ใบ ปริศนากับสิรี นั่งบนเก้าอี้เตี้ย กำลังซักผ้ากันคนละกาละมัง ทั้งคู่แต่งตัวพร้อมเปียก
"มาสิรี ช่วยบิดน้ำหน่อย"
ปริศนาส่งชายผ้าให้สิรีจับ แล้วตัวเองยืนจับชายผ้าปูที่นอนอีกด้านหนึ่ง
"ทำไมแทนที่ผ้าจะน้อยลง กลับเพิ่มมากขึ้นล่ะ"
"ก็คนซักเหลือ 2 คนนี่ ของอนงค์เราไม่ต้องซักอยู่แล้วแต่ของแม่ เคยหาร 3 ตอนนี้ หาร 2 ก็เยอะสิ"
อนงค์โผล่เข้ามา นุ่งผ้าถุงใส่เสื้ออยู่บ้านของสิรี
"ให้พี่ช่วยอะไรไหมปริศนา"
ปริศนาหันไปดู
"อนงค์!"
"อนงค์ มายังไงเนี่ย นี่ทำไมเอาเสื้อพี่มาใส่" สิรีถาม
อนงค์ เดินไปเอาเก้าอี้ที่เคยเป็นของเธอมาวาง
"คิดถึงบ้าน เลยให้คุณประวิชมาส่ง ให้เขามารับเย็นๆ กินข้าวด้วยกันแล้วกลับ ส่วนเสื้อนี่ ขึ้นไปเปลี่ยนเอาที่ห้องสิรี เพราะรู้ว่ากำลังซักผ้าอยู่น่ะสิ"
3 คนพี่น้องหัวเราะให้กัน
อนงค์ดึงผ้าปูที่นอนที่สิรี ช่วยปริศนาบิด มาบิดให้ แทน และลงนั่งซักผ้า
"อยู่บ้านโน้น อนงค์ไม่ต้องซักผ้าหรือ"
อนงค์ส่ายหน้า
"มีคนทำงานบ้านให้ และมีคนครัว ป้าสร้อยให้มา เลยคิดถึงงานบ้านยังไงล่ะ อยากมาช่วยทำบ้าง"
"แล้วได้ข่าวท่านชายบ้างไหม ที่เสด็จปักษ์ใต้"
"มีสิ ได้รับโทรเลขว่า ท่านชายจะเด็จกลับค่ำนี้ ให้ประวิชไปรับด้วย"
ปริศนา ดีใจมากแต่ไม่พูดอะไร
ค่ำวันเดียวกัน ปริศนากับอนงค์แต่งชุดออกนอกบ้าน ขับรถเข้ามาในบ้าน แต่รถของประวิช จอดรออยู่แล้ว เมื่อทั้ง 2 คนลงมาจากรถก็ถือห่อของลงมาด้วยมากมาย เป็นอาหารและของใช้ประจำบ้าน
สมร และประวิช ออกมายืนที่หน้าบ้าน
"แม่คะ วันนี้ ซื้อเป็ดมาด้วย ประวิชกินข้าวมาหรือยัง กินเป็ดด้วยกันไหม" ปริศนาว่า
ประวิชไม่ได้ตอบคำปริศนา แต่เข้าไปดึงของจากมืออนงค์ แล้วมาวางไว้ที่หน้าห้องโถง
"มาอนงค์รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย มัวไปโน่นไปนี่ มารอตั้งนานแล้ว"
อนงค์งง แต่ก็เดินตามประวิชไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย ปริศนามองตามอย่างงงๆ
สมรช่วยยกของที่ประวิชวางไว้ หน้าบันไดเข้าเรือนไป
ปริศนา และสมร ช่วยกันยกของเข้ามาในห้อง ปริศนาเอาอาหารไปวางบนโต๊ะอาหาร
"แม่จะกินข้าวเลยไหมคะ"
"ตอนแรกเตรียมไว้เผื่ออนงค์ด้วย ปริศนาจะไปล้างหน้าล้างตาก่อนไหม แม่จะจัดโต๊ะให้"
"ค่ะ... แล้วประวิชพาอนงค์รีบไปไหน เขาบอกแม่หรือเปล่าคะ"
"ก็ท่านชายเสด็จกลับมาแล้วยังไงล่ะ"
"อ้อ จะพาอนงค์ไปเฝ้าท่านชาย"
ปริศนาเดินไปจะขึ้นบันได สมรจัดโต๊ะ รื้อของไปด้วย
"ไม่ใช่หรอก ท่านชายประชวรมาก"
ปริศนาแทบจะตกบันได ยึดราวบันไดไว้ได้ก่อนที่จะทรุดลงมา
สิรีแต่งชุดสวยกลับจากดูหนังกับอานนท์เข้ามาในบ้าน ตรงเข้ามาถาม ทำ
ให้สมรหันไปสนใจสิรี จนลืมดูปริศนา
สิรีตื่นเต้นตกใจ
"แม่คะ แม่ แม่รู้เรื่อง ท่านชายพจน์หรือยังคะ"
"ทราบบ้างจ้ะ สิรี รู้ว่ายังไง"
"รู้ว่าท่านประชวรน่ะสิคะ แหม รถพยาบาลไปรับถึงสถานี ต้องหามกันลงมาจากรถไฟแน่ะค่ะ"
ปริศนานั่งลงกับบันไดฟังสิรีเล่าเรื่อง
"ทำไมลูกรู้ล่ะจ๊ะ สิรี"
"ก็ลูกผ่านสถานีรถไฟมาน่ะสิคะ จะไปส่งป้าแนบผ่านสถานี คุณป้าขอแวะไปรับท่านชายก็เลยได้เห็น แหม ลูกเกือบจำท่านไม่ได้ ซีดราวกับอะไร ดูเหมือนไม่รู้สึกองค์ เขาว่ามาเลเรียกำลังขึ้นสมอง ท่าจะไม่รอดเสียแล้ว"
ปริศนาซึ่งฟังมาตลอด กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วยกมืออุดหู ลุกขึ้นวิ่งไปข้างบน
สมร และสิรี หันมามองตามปริศนาอย่างตกใจ
"ปริศนาเป็นอะไรน่ะ"
สิรียังอยากจะเล่าต่อ
"ตอนแรกเห็นรถพยาบาลก็ไม่รู้ว่ามีอะไร คุณประวิชเองก็ไม่รู้ แต่ที่ไหนได้ หมอและพยาบาลมาคอยรับเต็มทีเดียว ได้ความว่า ได้รับโทรเลขจากท่านชวาลา ว่าท่านชายพจน์ประชวรหนัก ให้เอารถไปคอยรับ"
"ถึงอย่างนั้นเชียว สิรีจะกินข้าวไหมลูก"
"อิ่มมาแล้วค่ะ แล้วอนงค์กลับไปแล้วหรือ"
"ประวิชมารับ เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง สิรีไปตามจำเนียรมาจัดโต๊ะต่อที แม่จะขึ้นไปดูปริศนาหน่อย"
แล้วสมรก็เช็ดมือกับผ้า หมาดๆที่วางไว้บนโต๊ะ
ปริศนานั่งอยู่บนเตียงในห้อง อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี รู้สึกว่าตนเอง อาจมีส่วนในการประชวรของท่านชายและคิดว่าบางทีอาจจะสูญเสียท่านชายไปโดยไม่มีโอกาสแก้ไข ความเจ็บปวด บีบทั้งหัวใจและสมองของปริศนา จนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
สมรเปิดประตูเข้ามาเบาๆ
แต่ปริศนาไม่ได้หันไปดู ไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ ในสมองอื้ออึงแต่คำพูดของสิรีว่า ไม่รู้ว่าท่านชายจะรอดหรือไม่
สมร เข้ามาใกล้ปริศนา และโอบตัวปริศนาไว้ อย่างเมตตา
"ลูก... เป็นอะไร ปริศนา"
ปริศนาขืนตัวไว้นิดหนึ่ง เหมือนไม่อยากให้ใครมายุ่ง แต่แล้วความต้องการที่พึ่งทำให้ปริศนากอดแม่ไว้แน่น สมรนั่งลงกอดปริศนาไว้ ปริศนาร้องไห้กับบ่าแม่อย่างสุดจะกลั้น
"แม่... แม่จ๋า แม่ช่วยปริศนาด้วย"
"ปริศนาจะให้แม่ช่วยอะไร ปริศนาบอกแม่มาลูก"
"แม่คะ...จะมีใครช่วยได้ ถ้า...ถ้าท่านชายจะตาย"
ปริศนาปล่อยโฮออกมา แล้วซบลงไปกับเตียง
"โธ่ปริศนา ท่านยังไม่ตายหรอก... ถึงมือหมอแล้ว"
"ท่านอยู่โรงพยาบาลหรือคะ"
"ไม่ได้อยู่จ้ะ ท่านอยู่ที่วัง ประวิชถึงรีบกลับไปเฝ้า"
"ท่านเป็นอะไรแน่คะ"
"ไข้ป่าจ้ะ"
"จะรอดไหมคะ"
สมรอึ้งไป ปริศนาเค้นหัวเราะประชดประชันทั้งน้ำตา
"แม่ยังไม่กล้าตอบเลย บอกมาเถอะแม่ ถ้าจะบอกว่าท่านชายสิ้นชนม์เสียแล้ว ปริศนาก็คงจะเศร้าเสียใจไปมากกว่านี้ไม่ได้ ประวิชเขาบอกแม่ไหม"
สมรพยักหน้า
"เป็นตายเท่ากัน ประวิชถึงเดือดร้อนที่จะกลับไปเฝ้าโดยเร็ว"
ปริศนาน้ำตาพรูลงมาอีก
"ถ้าไข้ขึ้นสมองก็ไม่พ้นคืนนี้ แต่ถ้ารอดพ้นคืนนี้ไปได้ ก็มีหวัง"
ปริศนา นิ่งไปคิดถึงความรักที่ท่านชายมีต่อตน และที่ตนมีต่อท่านชาย
"แม่คะ ถ้าท่านชายสิ้นชนม์ ปริศนาก็จะตายด้วย ปริศนาทนอยู่ต่อไปไม่ได้แน่นอน"
สมรอึ้ง ตกใจกับความคิดนี้
"แม่คะ ปริศนารักท่านชายค่ะ"
สมรยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีกเพราะไม่เคยคิดมาก่อน
"อะไรนะ"
"ปริศนารักท่านชาย และท่านชายก็รักปริศนา เรารักกันมานานแล้ว แต่มันมีเรื่องที่ ทำให้เราต้องมีปัญหากันเสมอ"
"ปริศนาก็เลยไม่บอกแม่ แม่ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย"
"ปริศนาจะบอกแม่ ไม่ใช่หนเดียวหลายหนแล้ว แต่แม่ไม่สนใจ ปริศนาก็เลยไม่เล่า"
"ตายจริง... อย่างนั้นหรือ"
สมรนึกท่าที่ปริศนาอยากเล่าได้
"แม่เสียใจจริง ปริศนา เล่าให้แม่ฟังที"
ปริศนาเล่าเรื่องของตนกับท่านชาย ภาพต่างๆในอดีตลำดับต่อเนื่องเข้ามา
ท่านชายกับปริศนาวาดรูปริมหาดหัวหิน, นั่งเรือด้วยกัน, ที่งานหมั้นอนงค์, วันที่ปริศนาไปรับมาดูคุณยาย ท่านชายพูดเรื่องความรัก...
สมรพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลูบหัวปริศนาอย่างสงสารและเห็นใจ
ผ่านเวลา ... ภายนอกเห็นท้องฟ้า และดวงดาว พระจันทร์ที่อยู่หลังเมฆ ในห้อง ไฟสว่างแต่ไฟหัวเตียงและไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ปริศนาในชุดนอนเดินไปมาอย่างกลัดกลุ้ม และในที่สุดก็ลากเก้าอี้เขียนหนังสือ มานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง
นาฬิกาปลุกบอกเวลาตี 3 แล้ว แต่ปริศนายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
ในห้องนอนท่านชายที่วังศิลาขาว เวลากลางคืนเวลาเดียวกัน ท่านชายพจน์นอนบนเตียง ประวิชนั่งบนเก้าอี้หน้าเตียง
ประวิชใส่เสื้อตัวเดียวกับที่มารับอนงค์ แต่ดูหลุดลุ่ยเพราะไม่ได้นอน บนโต๊ะในห้องจะมีกาน้ำชา และถ้วยอยู่ สำหรับประวิช และพยาบาล พยาบาลจะนั่งห่างออกมาอยู่แถวโต๊ะ และมีโต๊ะเล็ก ที่วางอย่างน้ำ และผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนูอยู่ใกล้ๆ
ประวิชมองท่านชายอย่างเป็นกังวล คุณสร้อย จองเก้าอี้อีกตัว อีกข้างหนึ่งของเตียง หลับๆตื่นๆอยู่ ท่านชายขยับตัว เหมือนปวดหัวอย่างแรง ประวิช จับตัวท่านชาย รับรู้ได้ว่าวรกายร้อนมากเป็นไข้สูง ประวิชหันมาเรียกพยาบาล คุณสร้อยลุกขึ้นมา ช่วยพยาบาลเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้า ที่วางบนหน้าผาก
ประวิชจับมือท่านชายไว้ พยายามเรียกชื่อ แต่เหมือนท่านชายจะไม่ได้ยิน พยายามจะยื้ออย่างที่สุด
ในห้องนอน ปริศนานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นในท่าอธิษฐาน
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดช่วยท่านชายให้พ้นคืนนี้ไปด้วยเถิด ท่านชายเป็นคนดี ท่านทำความดีมากกว่าความชั่ว ท่านเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด ปริศนาวอนขอ ขอให้ท่านชายได้ทรงมีพระชนม์ชีพต่อไปด้วยเถิด"
แล้วปริศนา ก้มศรีษะลง
เปลี่ยนผ่านสู่วันใหม่ พระอาทิตย์ขึ้นบนฟากฟ้าในบรรยากาศท้องทุ่งธรรมชาติ นกกาเริ่มบินออกหาอาหาร ร้านค้าเริ่มเปิดทำงาน เป็นเวลาประมาณ 6.30 โมง
อาวิรัชของปริศนาเคยตอบจดหมายด้วยลายมือว่า
"พริสอย่าลืมว่า ชีวิตของคนเรานั้นมันอยู่ที่โชคชะตา ถ้าโชคชะตากำหนดไว้ว่า พริส จะไม่ได้แต่งงานกับท่านชายพจน์ จึงมีอันเป็นไปเช่นนี้ พริสจงอย่าเสียใจ เพราะพริสคงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าโชคชะตากำหนดไว้ตรงกันข้ามแล้ว พริสก็ไม่ต้องทำอะไรอีก เพราะอย่างไรก็ดีทุกๆสิ่ง จะเป็นไปเองอย่างเรียบร้อย"
ปริศนานั่งมองนาฬิกาที่เคลื่อนมาที่ 6.30 นาฬิกาในตอนเช้า ปริศนาลุกขึ้นในทันใด คว้าเสื้อคลุมมาสวม และหยิบกระเป๋าสตางค์ และสมุดเล็กๆจดเบอร์โทรศัพท์ วิ่งออกจากห้องนอนไป
ปริศนาลงจากรถเดินเข้ามาที่ร้านค้าของชำที่มีโทรศัพท์ เจ้าของร้านกำลังกวาดหน้าร้านและจัดหน้าร้านอยู่ เห็นว่าร้านเพิ่งจะเปิด
"ขอโทรศัพท์ หน่อยนะจ๊ะ เถ้าแก่"
เจ้าของร้านมองการแต่งตัวปริศนาอย่างแปลกใจ เพราะใส่ชุดนอนสวมเสื้อคลุม เข้าใจเอาเองว่าคงมีเรื่องด่วน
"เชิญๆ"
ปริศนาวิ่งเข้าไปในร้าน เปิดสมุดโทรศัพท์ แล้วหมุนหมายเลข แล้วก็รออยู่อย่างร้อนใจ มีเสียงคนรับสายทางปลายสายด้านโน้น
"นั่นใครพูดจ๊ะ นายสนหรือ"
ณ ห้องโถงวังศิลาขาว นายสนรับโทรศัพท์
"ขอรับ"
"ท่านชายเป็นไงบ้างจ๊ะ"
"เช้านี้ค่อยยังชั่วขอรับ ไข้ลด ค่อยรู้สึกองค์ขึ้น รับสั่งค่อยเป็นเรื่องเป็นราวหมอบอกว่าพ้นอันตรายแล้ว"
ลมแห่งความสุขของปริศนาแผ่ซ่านไปทั่วตัว ปิติอย่างที่สุด จิตใจที่ทุกข์ทรมานมาตลอดคืน ที่ถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก ได้เคลื่อนออกไป ได้หายใจอย่างเต็มปอดเป็นครั้งแรก เหมือนคนจมน้ำแทบขาดใจ ได้ทะลึ่งขึ้นมาสูดอากาศเหนือท้องน้ำได้ มีน้ำตาของความปิติ
ปริศนาแทบเต้นด้วยความยินดี ละล่ำละลัก
"สาธุ สาธุ พ้นทุกข์ไปที ดีใจ ดีใจเหลือเกิน ยินดีมาก มากที่สุด"
สนรู้สึกแปลกใจมาก
สนถามอย่างเกรงใจมาก
"ประทานโทษ คุณปริศนา ใช่ไหมขอรับ"
"ใช่จ้ะ ทำไมรู้ล่ะจ๊ะ"
"ไม่ทราบหรอกขอรับ แต่เดาเอา คิดว่าคงเป็นคุณต้องการทราบอะไรอีกไหมครับ"
"เมื่อคืนท่านชายเป็นยังไงบ้างจ๊ะ"
"เต็มที่ขอรับ ไข้ขึ้นสูง ไม่รู้สึกองค์เลย หมอว่าไข้จะขึ้นสมอง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย เฝ้ากันอยู่ตลอดคืน"
"นายสนควรจะไปนอนเสียทีกระมัง ขอโทษนะจ๊ะ"
"มิเป็นไรมิได้ขอรับ ผมนอนมาตลอดคืนแล้ว เพิ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนเวรเมื่อตอนตี 5 นี่เอง คุณสร้อย นางพยาบาล และคุณวิชสิขอรับ อยู่ตลอดคืน หมอเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง ท่านค่อยยังชั่วมากแล้ว"
ปริศนาพูดคุยสนิทสนมกับสนเพราะจิตใจจดจ่อในสิ่งเดียวกัน
"ฉันดีใจด้วย นี่จะ.....ไปเยี่ยมประชวรได้ไหมจ๊ะ"
"หมอห้ามขอรับแต่ประเดี๋ยวเดียวเห็นจะไม่เป็นไร"
แล้วสนก็นึกขึ้นมาได้ ถึงความสำคัญของปริศนา เลยทำใจกล้า พูดต่อ
"ประทานโทษ ผมว่าคุณควรจะมา เพราะท่านชายท่านเคยรับสั่งถึงคุณกับผม"
"แล้วฉันจะไป... ขอบใจมากนะสน"
ปริศนายิ้มอย่างสุขใจมากวางโทรศัพท์ลงไป
ปริศนาวิ่งขึ้นบันไดมา สมรเดินออกมาจากห้อง ปริศนาวิ่งเข้าไปกอดสมร และเหวี่ยงตัวเต้นไปรอบๆตัวสมรอย่างยินดี
"แม่คะ ท่านชายพ้นอันตรายแล้ว ดีใจจริง เมื่อคืนปริศนานอนไม่ได้เลย เป็นห่วงท่าน ขอปริศนานอนแป๊บนะคะ 2 โมง แม่ปลุกปริศนาด้วยนะคะ ปริศนา ต้องไปสอน 3 โมงครึ่ง เที่ยงจะกลับ บ่ายเราไปเฝ้าท่านชายกันนะคะ"
ปริศนาหอมแก้มแม่ แล้ววิ่งเข้าห้องไป สมรมองตามไปอย่างเอ็นดู แล้วก็เดินลงไปข้างล่างต่อ
บ่ายวันเดียวกัน ปริศนาขับรถคันเก่าเข้ามาในบริเวณวังศิลาขาว สมรนั่งมาด้วย ที่นั่งด้านหลังวางตะกร้าผลไม้ซึ่งเป็นของเยี่ยม รถแล่นมาจอดหน้าตำหนัก ปริศนาในชุดสอนหนังสือ นายใจมหาดเล็ก เดินเข้ามาเปิดประตูให้ปริศนา และคุณนายสมร พร้อมทั้งช่วยยกตะกร้าผลไม้จากที่นั่งด้านหลังลงมา
"เชิญชั้นบนเลยขอรับ คุณสร้อยรออยู่แล้ว"
"จ้ะ"
"เชิญทางนี้ขอรับ"
ใจเดินนำปริศนา และสมรขึ้นไปชั้นบน
สร้อย แถบซึ่งเป็นคนของเสด็จอา และอนงค์ นั่งอยู่ด้วยกันที่เก้าอี้หมู่โถง ชั้น 2 โต๊ะรับแขกข้างหน้ามีน้ำ น้ำชา และ ผลไม้เล็กน้อยวางอยู่
นายใจถือตะกร้าผลไม้ มาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ ปริศนาไหว้คุณสร้อย และคุณแถบ สมรก็ไหว้ทักทายเหมือนกัน อนงค์ไหว้แม่ แล้วถักเสื้อต่อ
"ท่านชายเป็นยังไงบ้างคะ" สมรถาม
"แหม เมื่อคืนอาการหนักมากทีเดียวค่ะ ไม่รู้สึกองค์เลย จำหน้าใครก็ไม่ได้ องค์ร้อนราวกับไฟ ไข้ขึ้นสูงมากทีเดียว แต่ท่านไม่ยักเพ้อ หมอบอกว่าคนไข้หนักมักจะเพ้อ แต่ท่านชายไม่ได้เพ้อ เป็นแต่บ่นพึมพำอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง" สร้อยว่า
"อ้อ....อ้อ" แถบรับฟัง
"แต่ตอนนี้ท่านค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหมคะ"
"ค่ะ สักตี 4 ได้ ท่านรู้สึกองค์ รับสั่งว่า ป้าจ๊ะ ขอน้ำหน่อย แหมดิฉันดีใจแทบแย่ ร้องไห้เสียใหญ่ จนท่านถามว่าเป็นอะไร ตอบไม่ถูกเชียวเหมือนตายแล้วเกิดใหม่"
คุณสร้อยเล่าไปก็ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บเอวไว้ ออกมาซับน้ำตาที่ไหลออกมา
"โชคดีเหลือเกินที่ ทรงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว"
"ท่านไม่เคยประชวรเลยนะ สมร แต่พอเป็นแล้วหนักเหลือเกิน"
"ไข้มันแรง นี่นา"
"ก็ท่านเข้าป่าไปกับท่านชวาลา ตั้ง 2 อาทิตย์ พอประชวรถึงได้เข้าเมืองมาพักที่ตำหนักท่านชวาลา ท่านชวาลายังอยู่ป่าต่อเลยไม่รู้เรื่อง จนท่านกลับมาเห็น ท่านชายเพียบหนัก นายสนที่ลงไปพยาบาลอยู่ เห็นท่าไม่ดีตีตั๋วรถไฟ จะพาท่านกลับอยู่แล้ว ท่านชวาลาเลยโทรเลขถึงหมอ ถึงโรงพยาบาลให้เอารถไปรับที่สถานีรถไฟ โกลาหลทีเดียว"
สมรมองหน้าปริศนาที่นั่งอยู่ แต่เหมือนกับจะกระสับกระส่าย แม้จะพยายามทำท่าเรียบร้อยก็ตาม
"นี่เข้าเฝ้าได้ไหมคะ"
"เวลานี้ดูเหมือนบรรทมหลับค่ะ ถึงตื่นหมอก็ยังไม่อยากให้กวน แต่ถ้าไปแอบดูอยู่ห่างๆก็ได้ค่ะ"
ปริศนาขยับตัว เข้าไปใกล้อนงค์
ปริศนาถามเบาๆ
"ท่านชายอยู่ห้องไหน อนงค์"
"ห้องโน้นแน่ะ ต่อจากห้องนั้น" อนงค์ชี้ให้ดู "ปริศนาไปได้เลยพยาบาล และนายสน ก็อยู่ในนั้น"
ปริศนาลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากห้องนั้น เงียบๆ สมรมองตามอย่างโล่งใจ
ปริศนาเดินมาตามทางเดิน กำลังมองว่าห้องไหน เป็นห้องบรรทมของท่านชายพจน์ ก็พอดีสนเปิดประตูออกมา มือของสนถือถาดที่ใส่น้ำแกง หรือข้าวต้ม ออกมา
"นายสน... ท่านชายอยู่ในห้องนี้หรือ"
"ขอรับ ท่านบรรทมหลับอยู่ คุณเข้าไปดูท่านได้ พยาบาลออกไปพักอยู่ ประเดี๋ยวผมจะกลับมา"
ปริศนาพยักหน้า แล้วค่อยเดินเข้าไปในห้อง
ปริศนาค่อยๆเดินเข้ามาในห้องบรรทมท่านชาย เพราะกลัวว่าจะรบกวน โดยคิดเพียงว่าอยากจะเห็นท่านชายกับตาเท่านั้น ว่าท่านสบายดีขึ้นแล้ว ในห้องนั้นมีแสงสว่างเพียงแต่น้อย เพราะไม่ต้องการให้แสงสว่างจากภายนอกมารบกวน
ท่านชายที่กำลังบรรทมหลับอยู่บนเตียง โต๊ะข้างเตียงมีขวดยา และอ่างน้ำเช็ดหน้าอยู่
ท่านชายพจน์นอนหลับอยู่บนเตียง
ปริศนา เดินเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่ได้พบท่านชายพจน์มาเกือบ 1 เดือน ท่านชายดูซูบซีด และผอมลง ปริศนาเดินใกล้เข้ามา และยังยืนดูท่านชายอยู่
ปริศนามองดูท่านชายอย่างห่วงหา จนในที่สุด เธอได้ลงมานั่งที่เก้าอี้เฝ้าไข้ ข้างเตียงพักอยู่ในท่าที่ดูเป็นหญิง ละมุนละไม อ่อนโยน และมองดูท่านชายอย่างแสนรัก
ท่านชายขยับตัว เหมือนจะตื่น
ปริศนา ลุกขึ้นเพราะคิดว่าไม่เหมาะที่จะอยู่กับท่านเพียงลำพัง แต่ท่านชายพึมพำอะไรอยู่ ซึ่งได้ยินไม่ถนัด ปริศนาสงสัย และก้มลงไปฟังว่าท่านชายจะพูดว่าอะไร
จังหวะที่ปริศนาก้มลงฟัง ท่านชายก็ลืมตาขึ้น ภาพปริศนาปรากฏตรงหน้า ท่านชายพจน์กระพริบตา อีกสองสามที เพราะนึกว่าเป็นภาพฝัน
ปริศนายืดตัวขึ้นเพราะเห็นท่านชายลืมตาแล้ว
"ปริศนา ปริศนาหรือ"
ท่านชายยื่นมือออกไขว่คว้า เพราะเหมือนกับว่าปริศนาจะถอยห่างออกไป
"ปริศนา ปริศนาจริงๆหรือนี่"
ท่านชายทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง
ปริศนาจึงจับมือของท่านชายไว้ แล้วยกขึ้นมากอดแนบแก้ม น้ำตาแห่งความปิติ ไหลออกจากดวงตา
ท่านชายพจน์แน่ใจว่า นี่คือปริศนาที่ท่านคิดถึงมาตลอด เวลานี้มาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
"ปริศนา"
อ่านต่อตอนที่ 18