เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 6
มนสิชากรีดร้องลั่นบ้านเมื่อรู้เรื่องคณินกับแพน เป้งกับหลินเอามือปิดหู
“หนูไม่ยอม หนูต่างหากที่ต้องเป็นเมียคุณคิ้ม ไม่ใช่นังแพน”
มนชิตยืนกอดอกอยู่มุมหนึ่ง นิ่ง เงียบ สงบ สีหน้าแววตาเย็นชา เขาเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน เป้งเหนื่อยใจ
“แต่ลื้อต้องยอม เพราะลื้อจะมีผัวคนเดียวกับพี่สาวลื้อไม่ได้”
“พี่สาวชั่วๆ น่ะสิ สันดานงูพิษ ชอบแย่งของๆ คนอื่น”
หลินเย้ยหยันเหมือนรู้เช่นเห็นชาติ
“เชื้อแม่แรงก็งี้ ไวไฟตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้า ดีไม่ดี ท้องป่องแล้วก็ไม่รู้”
แพนเดินออกมาจากหลังบ้าน ได้ยินหลินพาดพิงถึงแม่ก็ไม่พอใจ แต่พยายามระงับอารมณ์ มนสิชาเดินจ้ำเข้าหาแพน หวังจะกระชากตบสักทีสองทีให้หายแค้น แต่แพนจับข้อมือน้องสาวไว้ทัน
“แก แกยั่วคู่หมั้นฉัน แพศยา”
แพนยันตัวมนสิชาออกจนปะทะกับหลินที่รี่เข้ามาหวังจะช่วยลูก แล้วเซล้มไปทั้งคู่ เป้ง มนชิต ยืนดูอย่างอิดหนาระอาใจ หลินชี้หน้าแพน
“นัง นัง นัง นัง”
แพนช่วยพูดต่อให้
“หยำฉ่า บ้าผู้ชาย ใจง่าย เนรคุณ ครบยัง”
“หน้าด้าน ไร้ยางอาย” มนสิชาด่าต่อ
“ด่าตัวเองทำไม”
“อ๊าย ฉันจะตบแก”
“พอ เลิกกัดกันเหมือนหมาซะที หนวกหู”
เป้งตวาดลั่น แพนจะตอบโต้พ่อ แต่มนชิตเดินมาดึงแพนออกจากบ้านไปถึงถนนหน้าบ้าน แพนสะบัดมือหลุด
“ฉันไม่ให้เธอแต่ง”
“เฮียมีสิทธิ์อะไร นี่มันชีวิตฉัน”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ อย่าลืมสิ ที่อยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ เพราะใคร”
แพนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนเธออายุ 5 ขวบ เป้งยืนจับมือเด็กหญิงแพนที่ประตูหน้าบ้าน สีหน้าเป้งไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ แพนเห็นหลินท้องโตใกล้คลอดยืนมองตาเขียวปัดอยู่ตรงหน้า ข้างๆ มีมนชิต วัย 6 ขวบ ยืนอยู่ด้วย
“แม่อีตายแล้ว อั๊วไม่อยากทิ้งอีไว้ที่โรงน้ำชา ให้อีมาอยู่ด้วยเถอะนะ”
“ไม่ อั๊วไม่เลี้ยงลูกเมียน้อย ถ้าให้อั๊วเลี้ยงมัน อั๊วเลี้ยงลูกหมาดีกว่า”
“โธ่อาหลิน ลูกหมาช่วยลื้อซักผ้า ล้างจานได้มั้ย ไม่ได้แน่ๆ คิดดูให้ดี ลื้อกำลังท้อง กำลังไส้ มีเด็กไว้ใช้สักคนจะได้สบายไง”
หลินมองหน้าแพนอย่างรังเกียจ แพนจ้องกลับสู้สายตา
“ไม่จำเป็น อั๊วมีมนชิตอยู่แล้วทั้งคน เรื่องอะไรจะต้องมาทนเห็นหน้ามัน หน้าเหมือนแม่ยังกะอะไร มาทางไหน ไปทางนั้น”
มนชิตจ้องแพนไม่ละสายตา รู้สึกถูกชะตาเด็กผู้หญิงคนนี้ จึงพูดโพล่งขึ้น
“ผมจะไม่ช่วยงานม้าแล้ว ผมเบื่อ ขี้เกียจ เหนื่อย อยากไปเที่ยวเล่นบ้าง”
“อามนชิต”
“อาแพนอีทำได้ทุกอย่างนะ ให้อีอยู่เถอะ”
“ไม่”
อยู่ๆ หลินก็เจ็บท้อง เป้งตกใจเข้ามาประคองหลิน
“ละ ลื้อ ลื้อจะคลอดแล้ว”
เป้งหอบหิ้วหลินออกจากบ้านไป เสียงร้องลั่นของหลินดังโหวกเหวกไปทั้งซอย มนชิตยังยืนอยู่ที่เดิม ยังคงจ้องแพน
“เธอชื่อแพนเหรอ”
แพนพยักหน้า
“ฉันชื่อมนชิต ฉันอนุญาตให้เธออยู่ที่นี่ได้”
แพนมองมนชิตด้วยความไม่เข้าใจ
มนชิตจ้องแพนหน้าเข้มดุ เคียดแค้น
“เธอเป็นของฉันตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่ เพราะฉะนั้น ใครหน้าไหนก็มาแย่งเธอไปไม่ได้”
“ใครหน้าไหนที่เฮียพูดถึง เขาเป็นหัวหน้าแก๊งเชียวนะ”
“ถุย หัวหน้าแก๊งแล้วไง คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่ามันเหรอ”
แพนตกใจ แต่ไม่ตื่นตระหนก
“กล้าสิ เฮียเลวพอจะทำเรื่องชั่วๆ ได้อยู่แล้ว แต่คนอย่างเขาก็ไม่ใช่หมูที่ใครจะเชือดได้ง่ายๆ ฝีมือเขาน่ากลัวขนาดไหน เฮียก็เคยเห็น”
“ต่อให้มีไอ้คิ้มสิบคนฉันก็ไม่กลัวหรอก ฉันจะเชือดมันให้เธอดูเป็นบุญตา”
“เอาสิ ถ้าวันไหนเขาตายเพราะฝีมือเฮีย วันนั้นจะเป็นวันตายของฉันเหมือนกัน”
มนชิตช็อค ไม่คิดว่าแพนจะรักคณินขนาดนั้น ก่อนหัวเราะลั่นเพื่อกลบเกลื่อนความสะเทือนใจ
“คงรักมันมากสินะ ถึงกับเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก”
“ที่ยอมแลก เพราะไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครตาย”
“แล้วถ้าเป็นฉันซะเองล่ะ ที่ตาย”
“ถ้าเฮียเป็นฝ่ายโดนเชือดซะเอง ฉันจะไม่ไปเหยียบงานศพเฮียแม้แต่คืนเดียว”
มนชิตเสียใจมาก
“ความรักของฉันมันไร้ค่าในสายตาเธอ แต่เชื่อเถอะ ว่ารักของฉัน มันมากกว่าที่ไอ้คิ้มรักเธอแน่นอน”
มนชิตหันหลังให้แพน แพนเจ็บปวดกับประโยคทิ้งท้ายของมนชิตไม่น้อย
คณินสีหน้าดุดัน บอกซกเค็งด้วยน้ำเสียงจริงจังมั่นใจ
“แต่งพรุ่งนี้เลยครับ”
ซกเค็งกับวิภาดามองหน้ากัน
“ดูลื้อไม่ค่อยรีบเลยนะ”
“ผู้หญิงเขาเสียหายน่ะม้า สงสาร เป็นขี้ปากชาวบ้านไปทั่ว ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ ผูกคอตายขึ้นมาจะทำไง”
“เฮียเลยต้องรีบสละความหนุ่ม เอ๊ย ความโสด เพื่อปกป้องชื่อเสียงของผู้หญิง ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ”
"ถูกต้อง เลือดสุภาพบุรุษมันฝังอยู่ในจิตวิญญาณ ป๊าม้าสอนมาดี"
"ลูกผู้ชาย หน้าที่และความรับผิดชอบต้องมาก่อนความสุขส่วนตัว"
เส็งเข็นรถเข้ามา หน้าตาบึ้งตึง
“อั๊วไม่ยอม อาแพนเป็นของอั๊ว ล้มเลิกความคิดซะ”
“ลื้อนั่นแหละ แก่แล้วไม่เจียม แรงจะเดินยังไม่มี แรงจะฉี่ยังไม่ไหว”
“นังขี้อิจฉา ไม่สวยแล้วยังจะปากมากอีก ใครได้ลื้อไปเป็นเมีย ซวยฉิบหาย”
“เฮีย”
เส็งกับซกเค็งฮึ่มใส่กัน
“ป๊าม้าใจเย็นๆ บ้านเรากำลังจะมีงานมงคล อย่าทำให้เสียฤกษ์เลยนะ”
“อย่าห้ามสิวิ ปล่อยให้ทะเลาะกันแบบนี้แหละ ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา เดี๋ยวเราได้เลี้ยงตี๋น้อยหรือไม่ก็หมวยเล็กอีกคนแน่ๆ”
“ไม่มีทาง”
ทั้งเส็งและซกเค็งยืนยันพร้อมกัน
“งั้นสงบศึกชั่วคราว ม้า หาฤกษ์แต่งให้เร็วที่สุด ถ้าฤกษ์ดีไม่ได้ เอาฤกษ์สะดวก”
คณินเร่งรัดอย่างมีความสุข
คณินคุยโทรศัพท์กับธามอารมณ์ดี
“แกก็รู้ว่าฉันหวงชีวิตโสดแค่ไหน ที่แต่งเนี่ย เพราะความจำเป็นจริงๆ”
แพนเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร หยุดยืนหน้าโต๊ะทำงาน ฟังเงียบๆ
“เพื่อปกป้องผู้หญิง แกมันสุภาพบุรุษของแท้ น่านับถือมาก”
“ใครๆ ก็ว่าอย่างงั้น แต่ไม่ได้จัดใหญ่โตอะไรหรอกนะ แค่พิธีเล็กๆ ในครอบครัว”
“แล้วแกไม่รักเขาสักนิดเลยเหรอ”
“รักอะไรวะ ไร้สาระ ก็แค่ความสงสาร”
แพนพูดแทรกขึ้นทันที
“กรุณายกเลิกงานแต่งเถอะค่ะ”
คณินตกใจ หันมาเห็นแพนยืนอยู่ตรงหน้า ธามได้ยินถามทันที
“เสียงใคร”
“แพน”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำเพื่อฉันขนาดนั้น ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีค่าพอให้คุณจะลดตัวลงมา ยกเลิกเถอะ”
“ไม่ได้ ยกเลิกได้ไง ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว”
“ไม่รักเขา ก็ปล่อยเขาไปเถอะ” ธามพูดในสาย
“ไม่ได้” คณินย้ำกับธาม
“ยกเลิก”
“โน”
“อะไรของแกวะไอ้คิ้ม เขาเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว สรุป รักรึไม่รักวะ”
“ถึงไม่รักก็ต้องแต่ง เพื่อรักษาหน้าวงศ์ตระกูล ฉันกำลังทำหน้าที่ลูกกตัญญูอยู่โว้ย เธอก็เหมือนกัน หัดเป็นลูกที่ดีเสียบ้าง”
“ค่ะ ฉันจะทำหน้าที่ลูกกตัญญูสักครั้ง แม้ต้องกล้ำกลืนฝืนใจ แต่ในฐานะภรรยา ฉันไม่รับปากว่าจะเป็นได้ดีแค่ไหน ฉันมันคนไว้ใจไม่ได้เสียด้วยสิ”
แพนวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป คณินตะโกนตามหลัง
“เดี๋ยวหัดให้ไม่ต้องห่วง”
“ดูเหมือนชีวิตคู่ของแกจะเริ่มต้นได้ดีนะ”
“หวานชื่นเลยล่ะ เอาเป็นว่า ถ้าแกมาไม่ได้ ก็ส่งตัวแทนมาละกัน”
“ได้ ถ้าไม่ว่างจริงๆ จะให้เฉียงไป”
“ไม่ใช่ หมายถึง ทอง หลายเส้นเลยจะดีมาก เฮ้ย ต้องมาให้ได้นะเพื่อน”
คณินหัวเราะอารมณ์ดี กลบเกลื่อนความเครียดตามสไตล์
แพนเดินอารมณ์เสียเข้ามาในบริเวณโรงสี คนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ไทโกยข้าวเปลือกลงถัง หันมองแพน สายตาแอบละห้อยนิดๆ แพนเดินมา บ่นกับตัวเอง
“ไม่รักก็ต้องแต่งงั้นเหรอ”
ไททิ้งงานในมือ เดินเข้ามาหา
“ยินดีด้วยนะแพน ต่อไปต้องเรียกแพนว่าเถ้าแก่เนี้ย”
“ก็ลองเรียกดูสิ จะไม่หันให้หรอก”
“อ้าว แล้วให้เรียกว่าอะไร”
“เรียกเหมือนเดิม ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่”
“ได้เหรอ กลัวคุณคิ้มเตะเอา เออ แพน ถามอะไรหน่อยสิ แพนเคยเห็นเหรียญ”
แพนตั้งใจฟัง แต่มนสิชาเดินรี่เข้ามาเสียก่อน โดยมีกิตติตามติดพยายามกันไว้
“อย่ามาขวาง ฉันจะมาหาคุณคิ้ม ใครหน้าไหนก็แยกเราสองคนไม่ได้”
“คุณคิ้มไม่ว่าง กลับไปก่อน” กิตติขวาง
“ไม่กลับ ระริกระรี้เหลือเกิน ได้เลื่อนขั้นจากนางบำเรอเป็นเมียเข้าหน่อย”
“หยุดด่าได้แล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์ ไปบอกคู่หมั้นเธอสิว่าให้ยกเลิก”
“จะไม่มีการยกเลิกเด็ดขาด”
คณินเดินเข้ามา แสร้งทำเป็นหน้าเครียด
“ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกัน”
“แล้วฉันล่ะคะ”
“เธอเป็นได้แค่ น้องเมียของฉัน”
“พอเถอะคุณคิ้ม อย่าเอาความรับผิดชอบมา”
คณินเดินเข้ามาหาแพน คว้าแพนไปจูบดูดดื่ม ต่อหน้าทุกคน ทุกคนตกใจ ตาค้าง มนสิชา อ้าปากค้าง แพนได้สติ มองคณินโมโห คณินยิ้มกวน
“ไม่ว่าจะเพราะอะไร เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกแพน”
แพนเงื้อมือขึ้นจะตบ คณินจับข้อมือหญิงสาวไว้ แล้วดึงเข้าหาตัว แนบชิด
“ตาต่ำที่สุด”
มนสิชาเดินออกไปอย่างหัวเสีย
“ตบสิ มีซ้ำแน่”
กิตติภูมิใจตัวเจ้านาย ไทหน้านิ่ง หันหลังกลับไปทำงาน แพนทำหน้าแทบไม่ถูก ทั้งอายทั้งโกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้
บนระเบียงบ่อน มนชิตดื่มเหล้าอย่างหนัก โกรธจัด
“แกได้ทุกอย่างที่ควรเป็นของฉันไปหมด ไอ้คิ้ม ฉันไม่ขออยู่ร่วมโลกกับแก”
เวลาเดียวกัน บุ๊งดื่มเหล้าที่โรงน้ำชารวดเดียวหมดแก้ว ยิ้มเหี้ยม
“หัวหน้าแก๊งแต่งงานทั้งที อั๊วควรจะมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้อี”
สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดง 4 คน นั่งร่วมโต๊ะดื่มกินฟรีอย่างมีความสุข
“ใจกว้างจริงๆ เฮียจะให้อะไรคุณคิ้มรึ”
“ของดี อั๊วเตรียมไว้แล้ว”
บุ๊งยิ้มมีเลศนัย
รถกระบะคันใหญ่ของโรงสีคณินขับมาจอดบริเวณหน้าบ้านแพน คณินเป็นคนขับ มีแพนนั่งอยู่ข้างๆ
“ไปอยู่กับผมแหละดีแล้ว”
“ดีตรงไหน”
“ดีกว่าอยู่บ้านคุณแล้วกัน”
“คนไม่มีค่าอย่างฉัน ไปอยู่ตรงไหน มันก็ไร้ค่า ไร้ราคาอยู่ดี”
“คุณจะมีค่าขึ้น เมื่อได้เป็นเมียผม”
“เป็นบุญของฉันเหลือเกิน ที่ได้เป็นเมียคุณ”
“ใช่ มาเป็นคนของผมเถอะแพน”
“ด้วยการแต่งงาน ร่างกายฉันอาจเป็นของคุณ แต่ไม่ใช่ใจฉัน คุณครอบครองฉันได้แค่ตัว แต่คุณไม่มีวันได้ใจฉันไป”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ปล้ำคุณ ถ้าไม่เต็มใจ ถึงจะมีสิทธิ์ก็ไม่แตะต้อง เพราะสาวๆ สวยๆ อวบๆ ที่โรงน้ำชามีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องง้อไม้กระดาน”
แพนมองหน้าคณินนึกชัง สะบัดหน้างอนๆ แล้วลงจากรถไป
“แต่ถ้าคุณอยากจะปล้ำผมล่ะก็ ได้ทุกส่วนนะแพน ผมอนุญาต”
คณินทำหน้าหื่น อยากตามลงไปขย้ำแพนใจแทบขาด
ตอนค่ำ คณินขับรถมาอย่างหงุดหงิด โอชินใส่ชุดสวย เห็นรถคณินพุ่งออกจากซอย เลี้ยวออกมา จึง
ตัดสินใจเดินออกไปกลางถนน แล้วแกล้งเป็นลม คณินเบรกรถอย่างแรง ก่อนถึงตัวโอชินนิดเดียว เขาลงจากรถ วิ่งมาหาหญิงสาว ช่วยประคอง
“คุณ เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
โอชินทำเป็นเมา กระโจนเข้ากอดคณิน
“ผัวจ๋า ผัวอย่าทิ้งเมียไปนะ อยู่กับเมียเถอะ”
“ไม่ใช่ครับ ตั้งสติหน่อย ผมไม่ใช่”
คณินจับบ่าของโอชินไว้ แล้วเขย่า โอชินแหงนหน้ามองชายหนุ่ม ร้องไห้โฮ
“ผัวฉันหาย ไปตามผัวให้ฉันหน่อยสิ”
“เวร คุณเป็นใครผมยังไม่รู้เลย แล้วผมจะรู้มั้ยว่าผัวคุณเป็นใคร อยู่ที่อยู่ไหน”
“ฉันอยากตาย ฉันอยากตาย”
“อย่ารีบ ยังสาวยังสวย ถ้าผัวมันชั่วมันทิ้งไป ก็หาผัวใหม่สิ”
“งั้นคุณเป็นผัวฉันมั้ย”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“ฉันอยู่โรงน้ำชา ไปส่งฉันหน่อยสิ”
“แต่”
โอชินกลัวคณินปฏิเสธ เลยแกล้งเป็นลมใส่โดยที่เขาตั้งตัวไม่ทัน
“เฮ้ย”
กิตติยื่นจดหมายให้หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่า
“สาส์นจากคุณคิ้ม อ่านซะ แล้วทำลายทิ้งทันที”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่ารับไปเปิดอ่าน พอเห็นข้อความในจดหมายก็ตาเหลือก
“ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติในงานวิวาห์”
กิตติตกใจ กระชากจดหมายกลับ
“โทษทีเฮีย อันนี้ของจริง”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่ารับฉบับใหม่มาเปิดอ่าน
“ระวังตัว ไม่ปลอดภัย ใคร”
“ใครสักคนที่หวังจะทำลายพวกเราทั้งสี่แก๊งให้พังพินาศ”
“แล้วอั๊วจะเชื่อคุณคิ้มได้แค่ไหน ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าหมาลอบกัดตัวนั้นเป็นใคร”
“คุณคิ้มไม่ได้บอกให้เชื่อ แค่ต้องการจะบอกเฮียว่า ห้ามตายเด็ดขาด จนกว่าความจริงจะเปิดเผย”
“ได้ ไปบอกคุณคิ้มว่า อั๊วจะไม่ยอมตายเหมือนเฮียจั๊วแน่”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่ากังวล แต่ไร้ความหวาดกลัวใดๆ สมกับเป็นหัวหน้าแก๊ง
คณินหอบร่างโอชินที่แสร้งเมามายเข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอ
บนชั้นสองของโรงน้ำชา ห้องติดกับที่บุ๊งและแก๊งเหยี่ยวแดงกำลังสังสรรค์กันอยู่
“ห้องนี้เหรอ”
“ใช่ค่ะ นี่แหละ สวรรค์ของเรา”
มนชิตยืนแอบอยู่หลังผ้าม่าน มือกำมีดแน่น เตรียมเชือด คณินวางโอชินลงบนฟูกอย่างทุลักทุเล เพราะโอชินพยายามจะกอดปล้ำเขาตลอด แต่เขาก็ผละจากโอชินมาได้ในที่สุด
“พักผ่อนซะ แล้วก็อย่าออกไปข้างนอกในสภาพแบบนี้อีกล่ะ มันอันตราย”
โอชินจะถอดเสื้อผ้า
“อย่า”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่าฉันสวยไม่พอ”
“คุณสวยพอ แต่สติคุณไม่พอ หายเมาแล้ว ค่อยคุยกัน”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ ฉันจะรินเหล้าให้คุณนะคะ”
โอชินลุกนั่ง แล้วคลานมาที่โต๊ะเล็กๆ กลางห้อง
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน”
“นะคะ คุณอุตส่าห์แบกฉันมาส่งถึงนี่ ให้ฉันตอบแทนคุณสักหน่อย”
โอชินรินเหล้าใส่ถ้วย นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่คุยกับมนชิต มนชิตยื่นซองใส่ยาขนาดเล็กให้โอชิน
“เอาผสมใส่เหล้าให้มันกิน ยาชนิดนี้จะทำให้ร่างกายทุกส่วนของมันหยุดทำงาน เว้นแต่สติและความรู้สึกที่ยังรับรู้ได้”
“น่าสนุก แล้วคุณจะฆ่ามันยังไง”
“ค่อยๆ แล่เนื้อมันทีละส่วน ให้มันเห็นความตายของตัวเองทีละนิด”
“คุณนี่โหดพอๆ กับเสี่ยเล้งเลยนะ”
“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับเขา แต่ถ้าเธอทำงานไม่สำเร็จ ฉันจะแล่เนื้อเธอแทน”
โอชินยิ้มเหี้ยม มองยาในมือด้วยสายตาเย็นชา
มนชิตกำมีดแน่น สะใจ โอชินยื่นเหล้าให้คณิน คณินรับไปถือไว้
“ดื่มสิจ๊ะ”
“เธอชื่ออะไรนะ”
“โมจิจ้ะ”
“ชื่อแปลกดี มาอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอ”
โฮชินพยายามยิ้มอย่างใจเย็น ทั้งที่ในใจลุ้นให้คณินดื่ม
“ไม่นานจ้ะ แต่ก่อนอยู่เยาวราชกับผัว แต่ผัวถูกส่งมาทำงานที่นี่แล้วหายไป ฉันเลยมาตามหาผัว แต่ไม่มีวี่แววเลย”
“ผัวเธอชื่ออะไร”
“อย่าไปสนใจเลยจ้ะ ในเมื่อมันทิ้งฉันไปแล้ว ฉันจะลืมมันให้ได้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“ในโรงน้ำชานี่เหรอ”
“ฉันไม่มีทางเลือกนักหรอกค่ะ คุณยังไม่ดื่มเลยนะคะ ดื่มสิคะ”
คณินจะดื่ม แต่ชะงัก
“ชู่ มีคนแอบฟังเรา”
คณินหยิบขวดเหล้า ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ มาทางผ้าม่านที่มนชิตแอบอยู่ โอชินตกใจ มือล้วงเข้าไปในเสื้อ จับมีดที่ซ่อนไว้ มนชิตกำลังจะขยับเท้า เพื่อต่อสู้กับคณิน อยู่ๆ คณินชะงักฝีเท้า แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปเลย มนชิตเลิกผ้าม่านออกมาอย่างร้อนใจ แปลกใจ งงงัน
“มันไปไหน”
โอชินส่ายหน้า งงไม่แพ้กัน
บุ๊งและสมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงเอาหูแนบกับผนังด้านหนึ่งของห้องเพื่อแอบฟังคณินกับโอชินคุยกัน
“ใช่แน่ อั๊วจำเสียงอีได้ จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังมาปล่อยผีที่นี่ สงสารเจ้าสาวอีจริงๆ ต้องแต่งงานกับคนกะล่อนหลายใจ”
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ตอนเฮียเส็งหนุ่มๆ ก็ไม่ใช่เล่นนะ”
คณินเปิดประตูเข้ามา ส่งสัญญาณบอกสองสาวที่เห็นเขาไม่ให้ส่งเสียง ขณะที่บุ๊งและแก๊งยังไม่รู้ตัว
“เรื่องกะล่อนไม่แพ้กัน แต่เรื่องการทำโรงสี อั๊วว่าห่างชั้นกันลิบลับ”
“ทำไมไม่ได้ยินเสียงแล้วล่ะ”
“ผมจะทำโรงสีให้ดีกว่าโรงสีเสี่ยบุ๊งแน่นอน”
คณินพูดแทรก แต่บุ๊งและพวกยังไม่รู้ตัว คุยต่อ
“นั่นไง อีโม้ให้สาวๆ ฟัง พวกดีแต่ปาก”
“ขออย่างเดียว ให้สู้กันแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่าแทงข้างหลังกันพอ”
“อั๊วมันก็นักเลงโว้ย ไม่เคยลอบกัดใคร”
“ให้มันจริงเหอะ”
“จริงสิวะ”
“งั้นมาดื่มสาบานกัน”
คณินนั่งลงที่โต๊ะ แล้ววางเหล้าลงกลางโต๊ะ บุ๊งและสมาชิกแก๊งตกใจผงะ หันกลับมาเห็นคณินนั่งอยู่ ก็อึ้งกันเป็นแถว
“อ้ายหยา”
คณินยิ้มกริ่ม
“เชิญครับ”
กลางคืน แพนเดินออกมาจากหลังบ้าน หอบตะกร้าใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งเก็บเสร็จเข้ามาเพื่อพับเก็บ มนสิชากำลังรีดผ้าอยู่อย่างอารมณ์เสีย มองแพนแล้วเชิดใส่ ก่อนมองเตารีดในมือ แล้วความคิดร้ายก็แว่บเข้ามาในหัว
“มีชุดแต่งงานรึยัง”
“ว่าไงนะ”
“ถ้ายังไม่มี”
มนสิชายกเตารีดขึ้นจากเสื้อที่รีดอยู่
“นี่เป็นชุดที่ฉันตั้งใจจะใส่ในวันแต่งงานของฉัน ในเมื่อฉันไม่มีสิทธิ์แล้ว ฉันขอยกให้เธอ”
“อย่าเลย เธอเก็บไว้ใส่ตอนเธอแต่งเถอะ สำหรับฉัน แค่ชุดธรรมดาๆ ก็พอแล้ว”
“ไม่ได้นะแพน คนที่เธอจะแต่งงานด้วยคือคุณคิ้มนะ เธอต้องสวยให้สมกับเป็นเมียหัวหน้าแก๊งสิ ชุดแต่งงานนี่เหมาะกับเธอมาก มาดูใกล้ๆ สิ”
“เธอมีสติดีใช่มั้ย ไม่ได้ละเมอนะ”
มนสิชาแสร้งทำเป็นยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันทำใจได้แล้วล่ะ”
“คืนเดียวเนี่ยนะ”
“ฉันต้องยอมรับความจริง ฉันกับคุณคิ้มไม่ใช่เนื้อคู่กัน คุณคิ้มรักเธอ”
มนสิชาแกล้งทำเป็นร้องไห้โฮ
“เขาแต่งงานกับฉันเพราะความจำเป็นต่างหาก”
แพนเข้าไปหามนสิชา แล้วกอดปลอบ
“อย่าเสียใจไปเลย ยังมีผู้ชายที่ดีกว่าเขาอีกมาก ที่พร้อมจะรักเธออย่างจริงใจ”
มนสิชาหรี่ตาร้าย แอบเอื้อมหยิบเตารีดขึ้นมา หวังจะนาบหน้าแพน แพนผละออกเพื่อจะได้คุยกับมนสิชา หางตาจึงเห็นมือของมนสิชายกเตารีดขึ้น เธอถอยออกอย่างเร็ว มนสิชาเสียหลัก ทำให้เตารีดหลุดจากมือแล้วโดนเท้าของตัวเองอย่างไม่คาดฝัน
“อ๊าย”
หลิน เป้งวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
“ต๊าย นังแพนทำอะไรลูกอั๊ว”
“ช่วยด้วย หนูต้องเสียโฉมแน่”
“นั่นตีน ไม่ใช่หน้า” เป้งท้วง
แพนช็อค แต่ตั้งสติ
“รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
หลินตวาด เป้งกับหลินชวยกันประคองมนสิชาออกจากบ้านไป เสียงร้องของมนสิชาลั่นไปทั้งซอย
แพนหน้าเสีย เมื่อนึกว่ามนสิชาจะทำอะไรตัวเอง
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 6 (ต่อ)
บริเวณทางเดินหน้าประตูห้องชั้นสองของโรงน้ำชา มนชิตกับโอชินในชุดเกอิชายืนคุยกันอยู่ในมุมอับ
“ก็ดี ถือโอกาส ล้างบาง”
“คุณจัดการไอ้คิ้ม ที่เหลือฉันเหมาหมด”
“ฆ่าพวกมันได้ตามสบาย แต่เว้นไอ้คิ้มไว้คนหนึ่ง”
ขณะเสียงเฮฮาสังสรรค์ของคนในห้องยังดังไม่ขาดสาย
“ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อมีโอกาสฆ่ามันแล้ว จะรออะไรอีก”
“มาคิดดูแล้ว ตายแบบนี้ไม่สะใจ ฉันจะส่งมันเข้าคุก ข้อหาฆ่าคนตาย ทำให้ตระกูลมันอับอาย ไม่มีแผ่นดินอยู่”
โอชินไม่พอใจ เพราะยังไม่เห็นด้วยกับมนชิตอยู่ดี
คณินรินเหล้าส่งให้บุ๊งเป็นคนแรก บุ๊งหรี่ตามองคณินอย่างไม่ไว้ใจ
“ลื้อต้องดื่มก่อนรึเปล่าวะ”
คณินหยิบถ้วยเหล้ามาดื่มเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ แต่ไม่ได้ดื่มจริง เพราะไม่อยากเมา จึงแอบเทไปด้านหลัง โดยไม่มีใครจับได้ แล้วแกล้งชื่นชมบุ๊ง
“รอบคอบสมกับที่อยู่วงการนี้มานาน ผมจะเรียนรู้ไว้”
“พูดมาตรงๆ ว่าลื้อต้องการอะไร”
“สงบศึก ที่ผ่านมา ผมอาจจะก้าวร้าวไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใคร กลับเคารพนับถือทุกท่านเหมือนญาติพี่น้องตลอดมา”
“ขนาดนับถือนะ อั๊วโดนถอนหงอกไปไม่รู้กี่เส้น”
“ผู้อาวุโสไม่ควรถือสาผู้ด้อยประสบการณ์”
คณินรินเหล้าให้ทุกคน ทุกคนเคลิ้ม แอบลังเล แต่ก็หยิบเหล้าขึ้นดื่ม
“ตั้งแต่กลับมา ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากทุกท่าน มันทำให้ผมโตขึ้นและคิดได้ว่า ความเก่งและความสามารถไม่อาจสู้ผู้มากประสบการณ์ได้ ผมจึงอยากได้คำแนะนำดีๆ และความคิดเห็นที่มีประโยชน์จากทุกท่าน เพื่อนำมาจัดการกับระบบแก๊งของเราให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าภายในเราแข็งแกร่ง ใครหน้าไหนก็ทำลายไม่ได้”
“ก่อนจะจัดการแก๊ง จัดการตัวเองให้รอดก่อนเหอะ”
“และคิดไว้ว่าถ้าโรงสีไปได้ดี ผมจะให้พวกเฮียมาเป็นหุ้นส่วนด้วย”
สมาชิกเหยี่ยวแดงคนหนึ่งตาโต
“จริงเหรอคุณคิ้ม”
“ใครเชื่อก็หมาแล้ว” บุ๊งขัด
“จริงสิครับ เพียงแต่ทุกท่านต้องสนับสนุนงานของผม”
“ลื้อกำลังติดสินบนอยู่รึเปล่าวะ”
“ผมไม่ได้ติดสินบน แต่มันเป็นค่าตอบแทนในฐานะที่ปรึกษา ถ้าทุกท่านยินดีจะช่วย”
คณินรินเหล้าให้ทุกคนอีก
“ผมขอเวลาสามเดือน ในการบริหารโรงสี หากเกินกว่านั้นแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมจะขอลงจากตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง”
“จำคำพูดลื้อไว้นะ”
บุ๊งยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างลืมตัว
“ถ้าลื้อพิสูจน์ได้ว่าลื้อมีความสามารถจริงๆ เมื่อถึงวันนั้น อั๊วจะยอมก้มหัวให้”
“ทุกท่าน จำคำพูดของเสี่ยบุ๊งไว้ด้วยนะครับ ขอให้เหล้าแก้วนี้เป็นพยาน”
ทุกคนชูแก้วเหล้าในมือ แต่สมาชิกคนหนึ่งฟุบหน้าลงแล้วนอนตาแข็ง ตามมาด้วยอีกคน บุ๊งท้วง“เฮ้ย จะมาง่วงอะไรกันตอนนี้วะ ลุกๆ”
สมาชิกอีกสองคนฟุบลง นอนตาแข็ง แต่ยังรู้สติ คณินตกใจไม่น้อย ทำไมอยู่ๆ ทุกคนถึงนอนแน่นิ่ง ตาแข็ง แม้แต่สองสาวที่นอนเหยียดยาวลงไป บุ๊งมองหน้าคณิน แล้วชี้หน้า
“ลื้อ”
คณินส่ายหน้า ไม่รู้เรื่อง เลยแกล้งทำเป็นสลบไปอีกคน บุ๊งตกใจ ตาค้าง
“อ้าว มันก็สลบด้วย”
บุ๊งเกิดอาการเป็นคนสุดท้าย ก่อนทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาว คว่ำหน้า ตาแข็ง มีความรู้สึก แต่ขยับตัวไม่ได้ คณินหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย เพื่อมองว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนดึก วิภาดาเดินออกมาจากในบ้าน ชะเง้อมองที่ประตูรั้ว เห็นกิตติเดินเข้ามา
“เฮียล่ะ”
“ไม่ได้ไปด้วยกันครับ ผมไปทำธุระให้คุณคิ้มมา ส่วนคุณคิ้มไปส่งแพนที่บ้าน”
“ไปตั้งแต่เย็น ป่านนี้ยังไม่กลับ มัวไปทำอะไรอยู่”
“สงสัยจะคุยกันเพลินครับ ข้าวใหม่ปลามันก็งี้”
“เฮียนี่จริงๆ เลย จะแต่งงานอยู่แล้ว อดใจหน่อยก็ไม่ได้ แล้วจะไม่ให้แพนเสียหายได้ไง ไปลากหัว เอ๊ย ไปตามเฮียกลับบ้านหน่อย ฉันจะให้ลองชุดแต่งงาน เผื่อมีปัญหา จะได้แก้ทัน”
วิภาดาหน้ายุ่ง
เป้งเข้ามาในห้องนอนแพน ยื่นถุงผ้าเล็กๆ ที่ใส่กำไลหยกให้ เป็นสิ่งเดียวที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้ก่อนตาย แพนรับถุงมาเปิดดู เห็นกำไลหยกเลยหยิบขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าพ่อจะมอบสิ่งมีค่าให้
“แม่ลื้อฝากไว้ให้ อีอยากให้ลื้อสวมวันแต่งงาน”
แพนยิ้มบางๆ อย่างยินดี อบอุ่นใจ เป้งหันหลังจะเดินออกไป
“พ่อ”
“อือ”
“ขอบคุณที่เลี้ยงดูฉันมานะ”
“อั๊วทำตามหน้าที่”
“ฉันรู้”
“ลื้อไปอยู่บ้านโน้น ทำตัวดีๆ ละกัน อย่าทำอะไรให้อายมาถึงอั๊วได้”
“จะพยายาม พ่อก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ กินข้าวให้ครบสามมื้อด้วย”
“อือ”
เป้งเดินออกไป แพนรับรู้ได้ว่าพ่อก็รักตนและแม่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงขายกำไรเข้าบ่อนไปแล้ว
โอชินแต่งตัวแบบเกอิชา แต่ปิดหน้าเหลือแค่ดวงตาไว้ มือถือดาบพร้อมฟาดฟัน เดินเข้ามาในห้องของโรงน้ำชา คณินหรี่ตามอง ตกใจ โอชินตรงเข้าจะฟาดบุ๊งที่นอนคว่ำหน้าให้ขาดสองท่อน คณินแสร้งทำเป็นเมา ถีบบุ๊งออกไปอย่างแรง โอชินเจ็บใจ แต่ยังใจเย็น ย่างเท้าเข้าหาบุ๊งใหม่ เงื้อดาบขึ้นจะฟันอีก คณินเหวี่ยงตัวถีบบุ๊งซ้ำจนพ้นทางดาบ บุ๊งเจ็บมาก ที่ถูกถีบสองครั้งอย่างแรง แต่เคลื่อนไหวตัวไม่ได้
โอชินเจ็บใจ หันไปหาเหยื่อรายใหม่ ได้จังหวะ เงื้อดาบจะฟันลงไป คณินขัดขาโอชินจนล้มคะมำ โอชินเจ็บใจหนัก ลุกขึ้น ตรงเข้าจะฟันคณิน ด้วยอยากจะแก้แค้นเป็นทุนเดิม คณินลุกพรวดขึ้นยืนจังก้า แล้วต่อสู้กับโอชิน ทั้งสองต่อสู้กันบนร่างของเหล่าสมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงที่นอนเกลือกกลิ้งทั่วห้อง โดยคณินพยายามป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกทำร้าย มากกว่าจะป้องกันตัวเอง
“ใครส่งแกมายัยนมโต”
คณินสู้กับโอชินจนเกือบจะดึงผ้าคาดหน้าออกจากใบหน้าเธอได้ ประตูเปิดผลัวะออก มนชิตเดินเข้ามา แล้วทำเป็นตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคุณคิ้ม”
คณินหันมองมนชิต โอชินได้จังหวะวิ่งออกทางระเบียง กระโดดหนีไป คณินตกใจ
“เฮ้ย”
“ผมตามเอง”
มนชิตวิ่งออกไปที่ระเบียงแล้วกระโดดตามโอชินไป
ลูกน้องบุ๊ง 4 คน กรูกันเข้ามาในห้อง คุ้ยหาเจ้านายกันใหญ่ คณินมองดูเหล่ามาเฟียทั้งหลายที่นอนหมดสภาพ เพราะถูกเหยียบ และโดนลูกหลงจนสะบักสะบอมคนละมุม เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดู นึกเอะใจถึงผู้หญิงที่ชื่อโมจิ อยู่ๆ โอชินในสภาพเสื้อผ้าหน้าผมเหมือนเดิม ก็โผล่เข้ามาทางประตูหน้า ทำเป็นตกใจหวาดกลัว
“กะ เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมเละเทะแบบนี้”
“ไม่มีอะไรหรอก หัดรำมวยจีนกันน่ะ ฝึกการจี้จุด เข้าชาญ”
“อย่างนี้นี่เอง ฉันตกใจหมดตอนได้ยินเสียงตุบตับๆ กลัวคุณจะมีอันตราย”
“ไม่ต้องห่วง หนังเหนียว เคี้ยวยาก”
คณินสงสัยโอชิน แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
มนชิตยืนรอบริเวณถนนมืดๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ ไทเดินเหนื่อยหอบเข้ามา สายตาล่อกแลก
“แผนแรกพลาดไป แต่ยังไงคืนนี้ก็ต้องฆ่ามันให้ได้”
“ผมตัดสายเบรกรถมันแล้ว”
“แค่ตัดสายเบรกไม่พอ เอาระเบิดไปซุกในรถมันด้วย ไป”
ไทพยักหน้าแล้วเดินกลับไปทางเดิม มนชิตกัดฟันกรอด เจ็บใจที่คณินรอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เวลาเดียวกันนั้น กิตติยืนคุยกับแพนหน้าบ้าน
“กลับไปนานแล้วเหรอ”
“ใช่ ทำไม ยังไม่ถึงบ้านเหรอ”
“ยัง ไปไหนของเขานะ”
แพนสงสัยว่าคณินอาจจะไปเที่ยวโรงน้ำชาตามที่เขาพูดทิ้งท้ายไว้
“คนแบบนั้น ไม่ลองไปหาที่โรงน้ำชาดูล่ะ”
กิตติพยักหน้า เพราะคิดแบบเดียวกับแพน
ไทมองดูลาดเลาที่รถคณิน พอไม่เห็นใครจับสังเกตตนก็เดินเรียบๆ เคียงๆ เข้าไป แพนกับกิตติเดินเข้ามาจากทางหนึ่ง แพนชี้ไปที่รถ
“นี่ไง อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“สงสัยมาทำธุระ พวกค้าข้าวรายย่อยชอบมาสังสรรค์ที่นี่”
ไทกระโดดหลบหลังรถอีกด้าน มือกำระเบิดไว้แน่น มนชิตขยับเท้าออกจากที่ซ่อน เห็นแพนกับกิตติยืนด้วยกันข้างๆ รถคณิน คณินกับโอชินเดินออกมาจากโรงน้ำชาด้วยกัน พอเห็นแพน คณินอึ้งไป แพนโกรธ
“ท่าทางจะเจรจาการค้าสำเร็จเสร็จสม”
โอชินได้โอกาส ทำให้คณินกับแพนแตกคอกัน เลยหอมแก้มคณินฟอดใหญ่
“ขอบคุณนะคะเสี่ยคิ้ม หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะคะ”
โอชินขยิบตาเย้ายั่ว ก่อนเดินกลับเข้าโรงน้ำชาไป แพนมองหน้าคณิน โกรธมาก หึงมาก แต่ยังปั้นหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร หันไปพูดกับกิตติ
“หมดเรื่องแล้ว งั้นฉันกลับก่อนนะ”
ไทตัดสินใจจะหย่อนระเบิดลงไปในกระบะหลัง แพนจะเดินไป คณินคว้าแขนไว้
“ขึ้นรถ”
“ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้”
“ถ้าไม่ขึ้นดีๆ อุ้มนะ”
คณินตั้งท่าจะอุ้มแพน ไทชะงักมือไว้
“อย่ามาแตะต้องฉันนะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ผมเป็นว่าที่สามีคุณนะ”
“แล้วไง ว่าที่ แต่ยังไม่เป็น เพราะฉะนั้น ยังถือว่าไม่มีสิทธิ์ ถอยไป”
ไทตัดสินใจวางระเบิดลงไป
“ถ้าพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้ สงสัยต้องจูบว่าที่เมียโชว์ขี้เมาแถวนี้ซะแล้ว”
“อย่านะ”
คณินทำท่าจะจูบ แพนรีบวิ่งขึ้นรถอย่างเร็ว ไทเก็บระเบิดคืนอย่างหัวเสีย แล้วค่อยๆ คลานออกไปเงียบๆ กิตติเห็นอะไรดำๆ คลานอยู่บริเวณล้อรถแว่บๆ จึงร้องขึ้น
“ชิ่วๆ ไปเยี่ยวที่คันอื่นไป ไอ้หมาพวกนี้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
คณินกระซิบกระซาบกิตติ
“เรื่องที่ให้ไปทำ เรียบร้อยดีใช่มั้ย”
“คนอย่างผม ไม่เคยทำงานพลาด”
คณินพยักหน้าพอใจ เดินไปขึ้นรถนั่งกับแพนที่เบาะหลัง กิตติขึ้นตำแหน่งคนขับ รถของคณินขับออกจากหน้าโรงน้ำชาไป มนชิตเจ็บใจเลือดขึ้นหน้า ที่ไม่สามารถเอาชีวิตคณินได้สักที
กิตติขับรถพลาง มองกระจกส่องหลังพลางอย่างสอดรู้เจ้านาย คณินเหล่มองแพน ที่นั่งนิ่งเหมือนหุ่น มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว เลยพูดลอยๆ
“ไม่มีอะไรสึกหรอหรอกน่า ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเดิม”
กิตติตกใจมาก
“อะไรนะครับ คุณคิ้มยัง”
คณินตกใจ เผลอหลุดปาก รีบแก้ตัว
“หมายถึงยังใช้การได้ดี เต็มสมรรถภาพ แม้จะใช้งานหนักไปหน่อย ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“อ๋อ ครับ ดีครับคุณคิ้ม ใช้งานหนัก ดีกว่าไม่ใช้ เดี๋ยวขึ้นสนิม”
แพนรำคาญ
“รีบขับหน่อยกิตติ ฉันง่วงแล้ว”
“ขอบใจนะแพน อุตส่าห์ออกมาตาม เป็นห่วงมากใช่มั้ย”
“ทำไมฉันต้องห่วงคุณ ฉันแค่จะมาดูให้เห็นกับตาว่ามองคนไม่ผิด เวลาบอกกับผู้ใหญ่เรื่องยกเลิกงานแต่ง จะได้ไม่ต้องหาเหตุให้วุ่นวาย”
“ทำหน้าบูด พูดซะยาว สรุปให้สั้นลงนิดนึง”
“ก็ในเมื่อคุณยังอยากสนุกกับชีวิตโสดอยู่ และฉันยังไม่ได้ท้องไม่มีพ่อ มันยังไม่สายเกินไปหรอกนะ ถ้าเราจะยกเลิก”
“ใครบอกไม่สาย สายไปแล้ว เลี้ยวรถ เข้าซอย”
“อะไรกันคุณ จะพาฉันไปไหน”
“โรงแรม”
“นายคิ้ม”
“ตรงไปที่โรงแรมนั้นล่ะ”
แพนตบหน้าคณิน หน้าหัน กิตติเบรกรถทันที
“นี่มันยังน้อยไปสำหรับคนอย่างคุณ”
คณินอึ้งไปอึดใจหนึ่ง
“ก็แค่ พาเข้าทางลัด จะได้ถึงบ้านเร็วๆ”
“อ้าว ช่วยไม่ได้ อยากปากเสียเอง”
“นี่ผมต้องขอโทษคุณใช่มั้ย ผู้หญิงอะไร มือหนักฉิบเป๋ง ฟันหน้าโยกเลยอ่ะ”
แพนอมยิ้มนิดๆ สะใจที่ได้ตบหน้าคนเจ้าชู้
ที่โรงน้ำชาในตอนเช้า เสียงบุ๊งร้องลั่นด้วยความเจ็บใจ
บุ๊งและทุกคนตื่นขึ้นมาในสภาพที่มีรอยเท้าเต็มหน้า เต็มตัว เสื้อผ้าฉีกขาดเป็นริ้ว
“ไอ้คิ้ม ไอ้กะล่อน”
บุ๊งจับที่แก้มตัวเอง แล้วลูบรอยเท้าออกจากใบหน้า อย่างเจ็บปวด
“มันวางยาพวกเรา แล้วมันก็เล่นงานพวกเราอย่างไร้ความปราณี”
“แต่อั๊วว่า อั๊วเห็นคุณคิ้มอีต่อยตีกับคนร้ายอีกคนนะ”
“ใช่ อั๊วรู้สึกได้ว่า มี 4 ตีนแน่นอน”
“ตาลายน่ะสิ มันทั้งแตะ ทั้งต่อย ทั้งถีบ ทั้งกระแทก สารพัด อูย ถ้านี่คือวิธีการสงบศึกของมันล่ะก็ ได้ ,ต่อไปนี้ งานของอั๊วคือ ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มันเจ๊ง”
บุ๊งร้องลั่นด้วยความเจ็บใจ
วิภาดาแต่งหน้าให้แพนที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เสียงเคาะประตูดังขึ้น วิภาดาผละจากแพน เดินไปเปิดประตู คณินใส่ชุดเจ้าบ่าว ยื่นชุดเจ้าสาวที่ธามส่งมาให้ ให้วิภาดา พลางชะเง้อมองเจ้าสาว
“ไปได้แล้วเฮีย”
วิภาดาปิดประตูใส่หน้า คณินมองประตูแล้วยิ้ม แม้ใจยังกังขาเรื่องแพนอาจเป็นหนอนบ่อนไส้ แต่เพราะรัก จึงอยากเปลี่ยนใจเธอ เส็งเข็นรถออกมาจากทางหนึ่งอย่างเงียบเชียบ แล้วหยุดมองลูกชาย คณินหันมาเจอ
“ตกใจหมดเลยป๊า”
เส็งมองคณินอย่างเอือมระอา ทั้งสองเข้ามาที่ห้องทำงานเส็ง คณินยื่นเหรียญตราเหยี่ยวแดงให้เส็ง เส็งรับมาดู แกล้งทำเป็นงง
“อะไรวะ”
“ตราตำแหน่งหัวหน้าแก๊งไงครับ”
“แล้วเอามาให้อั๊วทำไม”
“ไม่ได้ให้ แค่ให้ดูเฉยๆ ว่าได้คืนมาแล้ว”
“อ้าว มันหายไปเหรอ หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่นานมานี้”
“ลื้อนี่ไม่ได้เรื่อง ทำของสำคัญหายได้ยังไง”
คณินมองพ่อ
“ใครไม่รู้ทำหาย แต่คนที่เอาไป เอาไปก่อเหตุ ฆ่าคนตาย แล้วป้ายความผิดให้เรา ถ้าไม่ได้คืนมาซะก่อน สงสัยจะอีกหลายคดี ที่เราต้องเป็นแพะ”
“แล้วได้คืนมายังไง”
คณินนึกถึงแพน เหตุการณ์ที่ได้ตราจากแพน แว่บเข้ามาในหัว
“ได้มาจากคนๆ หนึ่ง ที่ผมไม่เคยคิดว่าเขาเป็นศัตรู”
“ลื้อไม่คิด แล้วเขาคิดรึเปล่า”
“ไม่รู้สิ แต่ผมตั้งใจจะทำให้เขายืนอยู่ข้างผมให้ได้”
“การซื้อใจคน ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ จุดอ่อนของคนก็ไม่เหมือนกันอีก ถ้าลื้ออยากให้เขายืนอยู่ข้างลื้อ ลื้อต้องไปยืนอยู่ในใจเขาก่อน”
“ขอบคุณนะป๊า ที่ชี้ทางสว่างให้ ผมจะต้องเอาชนะใจคนๆ นั้นให้ได้”
คณินแน่วแน่จริงจังที่จะพิชิตใจแพน
คณินกับแพนในชุดบ่าวสาว ยกน้ำชาให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย เส็ง ซกเค็งรับน้ำชา เป้งนั่งรวมอยู่ด้วย คณินมีความสุขมาก เหล่มองเจ้าสาวแสนสวยตลอดเวลา แพนทำหน้าเรียบเฉย แต่แอบมีความสุข มนชิตวิ่งเข้ามาหยุดที่ประตูอย่างร้อนรน หอบเหนื่อย กัดฟันกรอด
“เปลี่ยนฤกษ์ก็ไม่บอก ผมเกือบมาไม่ทันร่วมยินดี”
มนสิชาวิ่งเขย่งตามมาจนชนหลังมนชิตอย่างจัง เท้ายังพันผ้าพันแผล
“ไม่ทันแล้วใช่มั้ย”
หลินวิ่งเข้ามาเป็นคนสุดท้าย หอบลิ้นห้อยหันไปพูดกับเป้ง
“สินสอดต้องแบ่งอั๊วด้วยนะ อย่าคิดจะฮุบไว้คนเดียวสิ ยังไงอั๊วก็เลี้ยงมันมา อั๊วมีบุญคุณท่วมหัว”
แพนอับอายขายขี้หน้า คณินถือโอกาสที่แพนเผลอ หอมแก้มเธออย่างถือวิสาสะ
“อุ๊ย”
“อยากเอาคืนก็ไม่ว่านะ”
แพนทำหน้ายุ่งใส่คณิน ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข มนชิตกับมนสิชาเซ็งสุดขีด คณินกับแพนมองหน้ากัน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
ภายในห้องหอบ้านคณิน ซกเค็งกอดคณินแน่น ร้องไห้ด้วยความดีใจ
“ในที่สุด ลื้อก็เป็นฝั่งเป็นฝา ความฝันของม้าเป็นจริง ม้าจะได้อุ้มหลานแล้ว”
“ผมจะไม่ทำให้ม้าผิดหวัง”
เส็งดูถูก “จะมีน้ำยาเร้อ”
“ของแบบนี้ พูดมากก็หาว่าโม้ เอาเป็นว่ารอชมผลงานดีกว่าครับ”
แพนอายหน้าแดงก่ำ ทำหน้าแทบไม่ถูก
“ฝากแพนด้วยนะคุณคิ้ม” เป้งบอก
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเธออย่างดี แบบไม่ให้คลาดสายตาเลย”
คณินยักคิ้วให้แพนอย่างเย้ายั่ว
“มีความสุขมากๆ นะเฮีย ซ้อด้วยนะ”
“ขอบใจจ๊ะวิ”
“เตรียมตั้งชื่อหลานได้เลยวิ ลูกชายคนโตของเฮียมาแน่ ไม่นานนี้”
ทุกคนเฮฮา ดูมีความสุข แพนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกอายจนอยากจะหนี
หลังส่งตัวเข้าหอแล้ว คณินถอดเสื้อผ้าแล้วขว้างทิ้ง แพนตกใจ รีบเดินหนีไปยืนอยู่มุมไกลๆ
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”
“ก็ไหนคุณสัญญาแล้วไงว่าจะไม่แตะต้องฉัน”
“หึๆ อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย คิดว่าคนเลวๆ อย่างฉันจะทำตามที่พูดเหรอ”
“ไม่นะ อย่าเข้ามา ไม่”
แพนนั่งบนเตียง หลับตาแน่น มือไม้ปัดป้องคณินให้ออกไป จากการจินตนาการไปเอง
“ไม่ อย่าเข้ามานะ ไม่”
คณินกำลังปูที่นอนบนพื้นห้องอย่างเซ็งๆ หันมองแพนที่นั่งอยู่บนเตียงงงๆ
“อะไรอีกแม่คุณ แค่นี้ยังไม่พอเหรอ”
แพนลืมตาพรึ่บ
“เอ่อ”
“ต้องให้ไปนอนในห้องน้ำมั้ย”
“คือฉัน แค่ ตรงนั้นก็ได้”
“เหมาะเนอะ หัวหน้าแก๊ง เจ้าคนนายคน นอนบนพื้น ใกล้พรมเช็ดเท้า นี่ใครมาเห็นเข้า เคารพนับถือตายเลย ว่ามั้ย”
“ก็คุณสัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่”
“จ้ะ ไม่ต้องย้ำมากก็ได้ ความจำดี นอนเถอะ”
แพนยังลังเล คณินยิ่งย้ำ
“ลูกผู้ชาย พูดคำไหนคำนั้น ไม่ต้องกลัว”
แพนลากเอาผ้าห่มคลุมตัวจนมิดชิด คณินพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมชีวิตกูอาภัพอย่างนี้วะ”
คืนนั้น บุ๊งตกใจตาลุก เมื่อคนขายปืนซึ่งมีสภาพร่างกายสะบักสบอม หน้าฟกช้ำ เข้ามาเล่าให้ฟัง
“โดนปล้น”
“ครับ ผมโดนปล้นแถวๆ โรงสีใกล้ท่าน้ำน่ะครับ พวกมันคุยกันว่า เสี่ยคณินสั่งให้ทำครับ”
“ไอ้คิ้ม มันเอาไปได้เท่าไหร่”
“ยกลังเลยครับ ไม่เหลือแม้แต่กระบอกเดียว”
“ไม่เหลือเลยหรือวะ มันคิดจะเปิดศึกกับอั๊วจริงๆ สินะ”
“เสี่ยจะแจ้งความมั้ยครับ”
“แจ้งทำ...แกเหรอ เดี๋ยวได้โดนข้อหาขนปืนเถื่อนสิโว้ย”
“จริงด้วย ผมลืมไป ว่าแต่เรื่องค่าใช้จ่ายล่ะครับ”
“เรื่องอื่นลืม แต่เรื่องเงินนี่จำแม่นเลยนะ”
บุ๊งเจ็บใจเลือดขึ้นหน้า ต้องแก้แค้นคณินให้ได้
เวลาต่อมา มนชิตยืนอยู่ข้างกำแพงบ้านบุ๊ง ยื่นเงินให้คนขายปืน
“เงินถึงแบบนี้ น่าทำการค้าด้วยหน่อย”
“มีลูกค้าอีกราย อยากแนะนำให้รู้จัก”
“ใครเหรอ”
“โน่น”
ไทเดินเข้ามาจ้วงแทงคนขายปืนจนมีดมิดด้าม
“ยมบาลไง”
ไทดึงมีดออก ถีบร่างคนขายปืนลงบนพื้น
“พามันไปทิ้งแถวโรงสีไอ้คิ้ม”
ไทพยักหน้า
แพนนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง เพราะนอนไม่หลับ คณินนอนไม่หลับเหมือนกัน แต่เห็นแพนไม่ยอมนอน เลยแสร้งทำเป็นกรนเสียงดัง แพนผงกหัวมองคณินเห็นว่าหลับอยู่ เลยลุกจากเตียง หันมองรอบๆ ห้องอย่างสนใจ ด้วยอยากเห็นชีวิตของคณินให้มากขึ้นกว่าเดิม จึงเดินสำรวจสิ่งของต่างๆ ภายในห้องอย่างเพลิดเพลิน แต่สำหรับคณินกลับคิดว่าแพนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง แพนหยิบจับของต่างๆ ขึ้นมองอย่างสนใจ จนเจอปิ่นอันเดิมที่เธอใช้แทงคณินจนเกิดเรื่อง
“ปิ่น”
คณินลุกจากที่นอน ย่างสามขุมเข้าหาแพน แล้วรวบกอดแพนจากด้านหลัง คว้าจับมือข้างที่ถือปิ่นไว้ ปิ่นหลุดจากมือ กระเด็นไปอยู่ใต้โต๊ะ แพนตกใจกรีดร้อง
“หาอะไรมิทราบ”
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ ยังจะปฏิเสธอีก”
“ฉันแค่นอนไม่หลับ เลย”
“อย่ามาแก้ตัว บอกมาว่าต้องการอะไร”
“ปล่อยฉันก่อน แล้วฉันจะบอก”
“ไม่ปล่อย บอกมาเดี๋ยวนี้”
“ฉันแค่จะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น กิตติตะโกนเข้ามา
“คุณคิ้มครับ เกิดเรื่องแล้วครับ”
คณินหันมองประตู เสียงของกิตติบ่งบอกว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 6 (ต่อ)
คณินลองพลิกศพดูหน้าคนตายซึ่งยังยิ้มค้างอยู่ ก่อนสำรวจแผลที่หน้าท้องของศพ
“อารมณ์ดีก่อนตายซะด้วย ดูจากสภาพแผล น่าจะเพิ่งตายได้ไม่นาน”
คณินหันไปถามไท
“เมื่อคืนนายอยู่ยามโรงสี ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยรึ”
“ไม่ครับ นอกจากเสียงหมาเห่าหมาหอนเหมือนทุกคืน ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย แต่เพราะหมามันยังเห่าไม่เลิกจนเช้า ผมเลยมาดู”
คณินมองสำรวจบริเวณที่พบศพก็รู้ได้ทันทีว่าถูกฆ่ามาจากที่อื่นแน่นอน แต่ไม่พูดอะไร กิตติจ้องมองใบหน้าของศพแล้วครุ่นคิดอย่างกังวล
“ผมว่าผมเคยเห็นหน้ามันนะ คุ้นๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
“อาอิก น้องชายอั๊วเอง”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าเดินเข้ามา หน้าเข้มเครียด คณินกับกิตติมองหน้าอย่างรู้กันว่ายุ่งแน่
“มันมาตายอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่เป็นเขตพื้นที่ของลื้อใช่มั้ย”
ไทลอบยิ้ม สะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คณินยิ้มไม่ออก เคร่งเครียดเล็กน้อย
แพนกับวิภาดายืนอยู่ด้วยกันที่หน้าบ้าน แพนร้อนใจและกังวล ส่วนวิภาดาเฉยๆ
“คงไม่มีอะไรหรอกแพน คนงานทะเลาะกันมั้ง”
“แต่สีหน้ากิตติดูกังวลมากนะวิ อาจจะเป็นเรื่องร้ายแรงก็ได้”
“จะไปเอาอะไรกับกิตติ คนนั้นกระต่ายตื่นตูมเป็นอาชีพ วิกับม้าชินซะแล้ว อีกหน่อยแพนก็ชิน”
แพนเห็นลูกน้องสองคนช่วยกันหิ้วลังใบใหญ่เข้ามา
“ขนอะไรกันมาน่ะ”
“นั่นสิ ลังใหญ่ใช่เล่น อะไรน่ะ”
ลูกน้องวางลังลงตรงหน้าแพนและวิภาดา
“ไม่ทราบครับ คนมาส่งบอกว่าคุณคิ้มสั่งไว้ เอาไว้ไหนดีครับ”
“ของเฮียน่ะเอง งั้นเอาเข้าข้างในเลย”
“เดี๋ยว ขอดูของข้างในก่อน” แพนสงสัย
“ไม่ได้ครับ คนส่งของบอกว่า คุณคิ้มกำชับไว้ ห้ามใครเปิดดูเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นคุณคิ้มจะไม่ไว้หน้าครับ”
“อื้อหือ แสดงว่าของสำคัญมาก สงสัยจะเป็นของขวัญแต่งงานซะล่ะมั้ง เฮียคงอยากเซอร์ไพรส์”
แพนไม่ตื่นเต้นเหมือนวิภาดา แต่กลับสงสัยว่าของในลังอาจไม่ใช่ของดี
บุ๊งตกใจ กลืนน้ำลาย ต่อหน้าคนส่งข่าว
“อีซี้แล้วเหรอ ต้องเป็นฝีมือไอ้คิ้มแน่ ลื้อไปตามเรื่องนี้ต่อ สืบให้รู้ว่ามันเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน ได้ความยังไงรีบมารายงาน”
“ครับเสี่ย”
“ระวังตัวด้วย อย่ารีบตายล่ะ”
กริชเดินเข้ามา บุ๊งรีบไล่คนส่งข่าวไป แล้วหันมองลูกชาย ถือโอกาสเหน็บ
“วันนี้วันอะไรวะ ลื้อถึงกลับบ้านได้”
“ป๊าไม่รู้จริงๆ หรือว่าวันอะไร ช่างเหอะ ได้ข่าวว่าป๊าโดนวางยาที่โรงน้ำชา แต่ท่าทางไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”
“สภาพภายนอกอั๊วอาจดูดี เพราะหล่อเป็นทุนเดิม แต่ภายในนี่สิที่มันบอบช้ำ รอยตีนของไอ้คิ้มที่มันเหยียบย่ำหัวใจดวงน้อยๆ ของอั๊ว ลบเท่าไหร่มันก็ไม่หาย ลื้อเลิกเชิดสิงโต แล้วกลับมาช่วยอั๊วบริหารโรงสีเต็มตัว ตอนนี้ เราต้องต่อสู้กับไอ้คิ้มแบบตายกันไปข้างหนึ่ง”
“ไม่เอา ผมไม่สู้กับใครทั้งนั้น ยังไม่อยากตาย อยากมีชีวิตสงบสุข”
“ลื้อจะสุขได้ไง ถ้าอั๊วไม่สุขด้วย ลื้อนี่มันลูกแบบไหนวะ”
“แล้วป๊าจะหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ร้อนทำไม ทำมาหากินไป ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน”
“แต่ไอ้คิ้มมันกำลังเล่นงานเราอยู่ มันจะฆ่าเราสองคนพ่อลูกให้พ้นทางมัน”
“ไร้สาระ ถ้าเขาจะฆ่าผม เขาฆ่าตั้งแต่วันก่อนแล้ว วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของม้า ผมจะไปหาม้า จะไปด้วยกันรึเปล่า”
“เออ อั๊วลืมไปเลย ทำไมลื้อไม่เตือนอั๊วแต่เนิ่นๆ วะ ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้ มัวแต่เชิดสิงโต สักวัน ลื้อจะได้สิงโตเป็นเมีย”
กริชส่ายหน้าระอาใจ
มนชิตตักข้าวต้มเข้าปาก เคี้ยวพลางหัวเราะอย่างมีความสุข เป้ง หลิน มนสิชามองมนชิตเป็นตาเดียวด้วยความงง และไม่เข้าใจ ว่าอารมณ์ดีมาจากไหนแต่เช้า มนชิตเคี้ยวข้าวราวกับกำลังเคี้ยวศัตรู ดวงตาเต็มไปด้วยความสะใจ
ตำรวจยศผู้กองเดินนำหน้าตำรวจอีก 4 นายเข้ามาในเขตบ้านของคณิน วิภาดาออกมาจากบ้านเป็นคนแรก พอเห็นกลุ่มตำรวจก็แปลกใจ ตามด้วยซกเค็งที่เข็นรถเส็งออกมา เส็งรู้ชัดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน ซกเค็งแปลกใจ
“ตำรวจมากันทำไมเยอะแยะวะ”
ลูกน้องที่เฝ้าประตู เร่งฝีเท้าแซงกลุ่มตำรวจเข้ามารายงานสถานการณ์ให้เส็งรับรู้
“ตำรวจบอกว่ามีหมายค้นมาครับเถ้าแก่”
“บอกเจ้าของบ้าน ว่ามีญาติผู้ใหญ่มาเยี่ยม”
ลูกน้องค้อมศีรษะรับคำสั่ง หันหลังเดินออกไป ผู้กองเดินเข้ามาหยุดต่อหน้าเส็ง ซกเค็ง และวิภาดา
“ต้องขอโทษที่รบกวนแต่เช้าครับเสี่ย แต่เป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เราจำเป็นต้องค้นบ้านหลังนี้ ตามที่ได้รับแจ้งเรื่องของผิดกฎหมาย”
“ไม่ยกโทษให้ คอยดู อั๊วจะแจ้งความจับพวกลื้อ โทษฐานที่ทำให้อั๊วกินอาหารเช้าไม่ตรงเวลา ทำให้โรคกระเพาะกำเริบ ไหนอั๊วขอดูหมายคุ้ยหน่อยสิ”
ตำรวจเหรอหรา หันมองหน้ากัน
“หมายค้นครับ ไม่ใช่หมายคุ้ย ชัดมั้ยครับ เราใช้เวลาไม่นานหรอกครับ รับรองโรคกระเพาะไม่ทันกำเริบ”
“ขอโทษแทนป๊าด้วยค่ะ พอดีป๊าไม่ค่อยสบาย ว่าแต่ของผิดกฎหมายที่คุณตำรวจบอกมา มันคืออะไรหรือคะ ฉันไม่เข้าใจ”
“นั่นสิ บ้านอั๊วทำมาหากินสุจริต ไม่เคยคดโกงใครและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับของเถื่อน ของผิดกฎหมาย หมาตัวไหนไปแจ้งความใส่ร้ายบ้านอั๊ว”
ซกเค็งอารมณ์เสีย เส็งแอบกังวล เพราะไม่รู้ว่าของผิดกฎหมายที่ว่านั่นอยู่ในบ้านจริงหรือไม่
คณินพยายามอธิบายเรื่องราวการตายของอิกให้หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าฟัง
“ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฆ่าเขา เขาเป็นใครผมยังไม่รู้เลย ผมเห็นศพเขาก่อนเฮียไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ น้องชายของเฮียถูกฆ่ามาจากที่อื่น แล้วนำมาโยนไว้ที่นี่”
“มีใครบางคนตั้งใจจะใส่ร้ายคุณคิ้ม เพื่อให้เฮียกับคุณคิ้มหมางใจกัน ซึ่งมันก็คงจะได้ผลไม่น้อย เพราะดูจากสีหน้าของเฮียแล้ว บึ้งเหมือนถูกแตนต่อย” กิตติแสดงความเห็น
“อั๊วหน้าอย่างนี้มาตลอดชีวิต ใครบางคนที่ว่านั่นมันคงจะอาจหาญไม่น้อย เพราะกล้าเข้ามาแหยมในเขตเหยี่ยวแดง อั๊วไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าไม่ใช่พวกเหยี่ยวแดง ก็อาจเป็นคนงานในโรงสีของลื้อ”
“ก็ถ้าฆาตกรเป็นคนของผมจริง มันต้องได้รับโทษอย่างสาสม ผมจะไม่ปล่อยให้มันทำเรื่องชั่วๆ ได้อีก”
ไทเดินเข้ามาทันได้ยินคณินพูดจึงมีแววกังวลเล็กน้อย ก่อนจะปั้นหน้านิ่ง รายงานข่าวคณินด้วยเสียงดังกว่าปกติ
“คุณคิ้มครับ คนจากที่บ้านมาส่งข่าวเรื่องตำรวจมีหมายค้นมาที่บ้านครับ”
ทุกคนหันมองไทเป็นตาเดียวว่าทำไมต้องพูดเสียงดังขนาดนั้น
“หมายค้น จะค้นอะไรวะ บ้านโล่งขนาดนั้น” คณินเปรย
“มีคนแจ้งเรื่องปืนเถื่อนครับ”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าหันขวับ มองหน้าคณินอย่างสงสัย
“น้องชายอั๊วมันขายปืน มันถูกฆ่าตายใกล้โรงสีของลื้อ ตำรวจเข้าตรวจเรื่องปืนเถื่อนที่บ้านลื้อ ดูเหมือนลื้อจะหาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้วนะว่าทำไมต้อง”
ตำรวจ 2 นายตรงเข้ามาหาคณิน กำลังจะพูด
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นครับ ผมกำลังจะไปพอดี”
คณินเดินนำตำรวจและกิตติไป หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าเดินตาม ไทมองตามคณินไปอย่างสะใจ
ตำรวจสองนายวางลังไม้ลงต่อหน้าทุกคน วิภาดา เส็งและซกเค็ง กังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ของลังนี้เพิ่งส่งมาเมื่อเช้านี้เองนะคะ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในมีอะไร จริงมั้ยซ้อแพน อ้าว ซ้อไปไหนอ่ะม้า”
“อีจะไปไหนก็ช่างอี แต่ตอนนี้พี่ชายลื้ออยู่ที่ไหน”
ผู้กองย่อตัวลงนั่งต่อหน้าลัง ขึงขัง มั่นใจ
“ถ้าในลังนี้มีปืนเถื่อนตามที่ได้รับแจ้งมาจริง ข้อหาแรกที่คุณคิ้มจะได้รับก็คือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา”
“ฆ่าคนตาย”
สองแม่ลูกอุทานพร้อมกัน
“ซี้ซั้วต่า ลูกชายอั๊วจะฆ่าคนตายได้ยังไง เมื่อคืนอีอยู่ห้องหอทั้งคืนโว้ย”
“ถึงไม่ลงมือฆ่าเอง แต่ถ้าเป็นคนสั่งการ ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ”
“ทำไมถึงมั่นใจนักคะ ในเมื่อยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด”
“ก็ถ้าของในลังเป็นปืนจริง คุณคิ้มจะกลายเป็นผู้ต้องหาทันที เมื่อคืนนี้มีพ่อค้าปืนถูกปล้นฆ่าแถวโรงสีเถ้าแก่เส็งน่ะครับ ตอนนี้คุณคิ้มคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”
เส็งแสร้งทำเป็นหัวเราะขบขันกับเรื่องเคร่งเครียดของทุกคน
“น่าเสียดาย อั๊วน่าจะเป็นคนปล้นเอง เพราะอั๊วจะเอาศพมันไปทิ้งที่บ้านผู้กอง ไม่ทำอะไรโง่ๆ เหมือนไอ้คุณคิ้มนี่หรอก”
“ใครบ่นถึงผมคร้าบ”
คณินเดินเข้ามา พร้อมด้วยกิตติ และหัวหน้าแก๊งกระต่ายป่า และตำรวจ 2 นาย
“ผู้กองนี่เอง ไม่ทราบมีอะไรให้รับใช้ครับ”
“อย่าเรียกว่ารับใช้เลยครับ เรียกว่าขอความร่วมมือจะดีกว่า พอดีว่ามีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสเรื่องพ่อค้าปืนถูกปล้นฆ่าเมื่อคืนนี้ และพลเมืองดีอีกเช่นเคยที่เห็นว่ามีการขนย้ายอาวุธปืนเข้ามาที่บ้านหลังนี้ครับ”
“พลเมืองดีคนนี้เป็นใครนะ ชักอยากจะเห็นหน้า ทางการน่าจะมอบโล่ยกย่องความดีนะครับ นี่ใช่มั้ยครับ หลักฐานที่ผู้กองกำลังตามหา”
คณินผายมือไปที่ลัง แพนเหงื่อโทรมเล็กน้อยเดินเข้ามา พยายามปั้นหน้า ไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมตำรวจเต็มบ้าน มีใครเป็นอะไรรึเปล่า”
ซกเค็งชี้แพน
“นั่นไง ลูกสะใภ้อั๊ว ถามอีดูสิ ว่าอีกับอาคิ้มอยู่ด้วยกันทั้งคืนรึเปล่า”
“ใช่ค่ะ เราอยู่ด้วยกันทั้งคืน เขาไม่ยอมออกจากห้องเลย”
คณินขยิบตาให้แพน
“เมียจ๋า”
แพนหมั่นไส้คณินแต่ฝืนยิ้มหวานให้
“แล้วนี่ขนลังออกมาทำไมคะ”
ผู้กองพยักหน้าให้ลูกน้อง ตำรวจสองนาย เข้ามาจัดการงัดเปิดฝาลัง คณินและแพนมองลุ้น
มนชิตกับไทคุยกันใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้สุสานของตระกูลบุ๊ง
“คราวนี้มึงไม่รอดแน่ไอ้คิ้ม”
“ก็แค่ติดคุก อีกไม่นานมันก็ออกมาเป็นเสี้ยนหนามของคุณได้อีก”
“ลื้อคิดว่าศัตรูของมันจะยอมให้มันติดคุกเหรอ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เราที่อยากจะเอาชีวิตมัน ทั้งแก๊งพังพอน กระต่ายป่า และอีกไม่นาน ทุกแก๊งในปากน้ำโพจะหันปืนไปทางมัน”
“จริงสิ ตอนนี้มันแทบไม่เหลือใครแล้ว”
“แล้วทำไมต้องให้มืออั๊วเปื้อนเลือดวะ คนที่จะฆ่ามันแทนอั๊วมีเยอะแยะเต็มเมือง”
มนชิตเห็นกริชกับบุ๊งเดินเข้ามาที่สุสานด้วยกัน โดยมีลูกน้องตามหลัง 2 คน มนชิตกับไทขยับบังตัวหลังต้นไม้ใหญ่ แอบมองสองพ่อลูกคุยกันหน้าสุสานแม่ของกริช
“ม้าสบายใจได้ ผมจะสืบสานการเชิดสิงโตตามที่ม้าสั่งอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับแก๊งเหยี่ยวแดงเป็นอันขาด”
“ทำไมลื้อสั่งสอนลูกลื้อแบบนี้วะ สอนให้คิดอะไรโง่ๆ สอนให้ไม่รู้จักสู้คน”
“ม้าไม่ต้องห่วงนะ เพราะถึงผมไม่คิดจะสู้กับใคร แต่ถ้าใครมารังแกครอบครัวของเรา ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“ลื้อพูดจริงเหรอ อั๊วหูฝาดไปแน่ๆ เวลาลื้อทำอะไรจริงจัง ลื้อมีส่วนคล้ายอั๊วมาก”
กริชก้มลงคับนับหน้าฮวงซุ้ยมารดา
“ผมสัญญาว่าจะปกป้องครอบครัวของเราให้ดีที่สุด โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”
มนชิตยิ้มกริ่มพึมพำ
“มันก็อีกคน ที่จะตามล่าหัวไอ้คิ้มไม่ปล่อย คอยดูไปเถอะ”
ไทงง ว่าคนอย่างกริชจะฆ่าใครได้
คณินและแพนเดินมาส่งผู้กองและลูกน้องที่หน้ารั้วบ้าน
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน จนทำให้เสียเวลาไปมาก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ทุกคนล้วนมีหน้าที่และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้น บ้านเมืองจะสงบสุขได้ยังไง”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ หวังว่าจะได้เจอกันบ่อยๆ นะครับคุณคิ้ม”
ผู้กองและตำรวจลูกน้องกล่าวลาแล้วขึ้นรถจากไป คณินโบกมือส่ง
“ไม่ต้องมาอีกนะครับ ผมไม่ค่อยว่าง”
“นี่คือเช้าแรกของการแต่งงาน ฉันโชคดีหรือโชคร้ายกันนะที่มีสามีเป็นหัวหน้าแก๊งหัวหน้ากลุ่มพวกนักเลงอันธพาล เกือบได้เป็นหม้ายตั้งแต่วันแรก เพราะสามีติดคุก”
“โชคดีอย่างแน่นอนเมียรัก ชีวิตเมียจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ จะมีเรื่องทุกวี่ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ แต่เมียก็ต้องเข้าใจและทำใจว่าไม่อาจหลีกพ้น เพราะเราทำบุญมาด้วยกัน ต้องรับผิดชอบร่วมกันจ้ะ”
“ทำกรรมมาด้วยกันมากกว่า”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าเดินเข้ามาหาคณินและแพน แววตายังขาดความเชื่อมั่นอยู่
“อั๊วคงไม่เชิญลื้อไปงานศพน้องชายอั๊วนะ และตราบใดที่ลื้อยังหาตัวคนร้ายที่ฆ่าน้องชายอั๊วไม่ได้ อั๊วจะไม่ร่วมมือกับลื้อในทุกกรณี”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย คณินถอนหายใจเสียงดัง
“รอดคุก แต่ก็ยังไม่รอดเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี”
“รู้รสชาติของมันแล้วใช่มั้ย การถูกสงสัยโดยที่ไม่ผิด ไม่ได้ทำอะไรเลย มันเจ็บปวดแค่ไหน คุณยังโชคดีที่ยังมีโอกาสอยู่นอกคุก เพื่อสืบหาคนร้ายตัวจริง”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าคุณเชื่อผมใช่มั้ย ว่าผมไม่ได้ทำ”
“ฉันไม่ได้เชื่อคุณทั้งหมด ฉันแค่ยังไม่มั่นใจว่าความจริงมันคืออะไรกันแน่ ก็เลย”
“คุณเห็นของในลังแล้วใช่มั้ย”
แพนพยักหน้า นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ แพนกับวิภาดามองลังใบนั้นอยู่ วิภาดาเดาไปเรื่อย
“สงสัยจะเป็นของขวัญจากเฮียภรพ เฮียทรงกลด เฮียธาม หรือไม่ก็ แจ้หงส์”
“แจ้หงส์ คนรักของพี่ชายเธอเหรอ”
“เปล่านะแพน พี่น้องกัน เห็นกันมาแต่เด็ก แจ้หงส์เป็นลูกสาวของแปะสุง พี่ชายร่วมสาบานของป๊า อย่าคิดมากนะแพน ไม่มีอะไรจริงๆ เฮียรักแจ้หงส์เหมือนน้องสาวแท้ๆ”
“ไม่ได้คิดมาก แค่สงสัย เพราะเคยเห็นนายคิ้มลงไปหาผู้หญิงที่ชื่อหงส์ที่เยาวราชเมื่อไม่นานมานี้ ก็เลย”
“อ้อ ครั้งก่อนนั่น เฮียไม่ได้ไปหาแจ้หงส์หรอก แต่เฮียไปร่วมงานศพแปะสุงต่างหาก”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ วิจะไปต้มยาให้ป๊าไม่ใช่เหรอ ไปสิ เดี๋ยวฉันจะทำความสะอาดห้องรับแขกซะหน่อย”
“ไม่ต้องทำหรอก ให้คนงานทำ แพนไปทำอาหารด้วยกันดีกว่า”
“พี่ชายเธอห้ามฉันเข้าครัว จำไม่ได้เหรอ ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับเขาตั้งแต่เริ่มต้นหรอกนะ”
วิภาดายิ้มไม่เต็มปาก ก่อนเดินออกไป แพนมองลังด้วยความสงสัยอย่างมาก จึงตัดสินใจเปิดออกดู เห็นปืนในลังนับสิบกระบอก
“ปืน เอามาทำไมเยอะแยะ”
เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น แพนรีบปิดฝาลัง
เมื่อตำรวจไปหมดแล้ว ทุกคนต่างมาดูของในลังที่กลายเป็นข้าวสารแทนปืน วิภาดางง
“ก็แค่ข้าวสาร ทำไมต้องกำชับห้ามเปิดดูด้วยเฮีย”
คณินใช้ฝ่ามือคนข้าวสารในลังแล้วกำขึ้นดู
“ข้าวในถังบ้านเราเอง แต่ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ข้าวสาร”
“อ้าว แล้วมันเป็นอะไร” ซกเค็งแปลกใจ
“มันเป็น ข้าวเปลือก”
ทุกคนโมโหคณิน
“น้องสาวที่น่ารักจ๊ะ ช่วยเอาข้าวสารนี่ไปทำให้เป็นข้าวสุก แล้วก็ทำอาหารเช้าอร่อยๆ ให้ด้วยนะ เดี๋ยวเฮียกลับมาโซ้ย เอาล่ะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แยกย้าย ทางใครทางมันครับ”
คณินคว้าข้อมือแพนดึงตัวออกจากบ้านไป
“จนถึงตอนนี้ อั๊วก็ยิ่งมั่นใจว่านายคณินคนนี้ ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของอั๊วอย่างแน่นอน เพราะลูกชายของอั๊ว มันต้องฉลาดและเฉลียวกว่านี้ เหมือนอั๊ว ผู้มีปัญญามากกว่าขงเบ้งร้อยเท่า”
ทุกคนส่ายหน้าระอา เส็งไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว
คณินพาแพนเข้ามาในสวนบริเวณบ่อน้ำ จ้องหน้าหญิงสาวอย่างจริงจัง
“จะบอกได้รึยังว่าเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน ทำไมตำรวจค้นทั้งบ้านแล้วยังหาไม่เจอ”
“บอกมาก่อน ว่าคุณขนปืนมาเยอะขนาดนั้นเพื่ออะไร คุณจะเอาไปถล่มใคร”
“ตกลงมันเป็นปืนจริงๆ ใช่มั้ย โชคดีที่มีเมียฉลาด ถึงได้รอดคุกรอดตะรางมาได้ ต้องหอมแก้มเป็นรางวัลซะหน่อย”
แพนขยับตัวถอยห่าง ทำสีหน้ารังเกียจคณิน ทั้งที่ไม่ได้รังเกียจจริง
“ว่าไงคะ คุณจะเอามันไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใคร”
“ถ้าผมบอกคุณว่า มันไม่ใช่ของๆ ผม มันถูกส่งมาจากใครสักคนที่คิดร้ายกับครอบครัวของเรา คุณจะเชื่อผมมั้ยแพน”
“ความเชื่อใจกันมันเป็นสิ่งมีค่าในวันที่เราดูเลวในสายตาของใครเสมอ ฉันยังไม่เคยได้รับสิ่งนั้นจากคุณเลย แต่คุณกลับต้องการสิ่งนั้นจากฉัน มันไม่เป็นการเอาเปรียบไปหน่อยหรือคะ”
“ไม่เอาเปรียบเลย เมื่อก่อนเรายังเป็นแค่คนอื่นต่อกัน แต่ตอนนี้เราเป็นผัวเมียกันแล้ว ถึงแม้ว่ายังไม่ แต่เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว สิ่งที่คุณทำในวันนี้ มันคือสิ่งที่คนในครอบครัวทำให้กัน ของอยู่ไหนจ๊ะเมีย ผมต้องใช้มันในการสืบหาตัวคนร้าย”
แพนพยักพเยิดไปที่บ่อน้ำ
“โน่นไง”
“หา นี่คุณเอาปืนทั้งหมดโยนลงบ่อเหรอ ไม่จริง”
คณินไปที่บ่อ ชะโงกดูก้นบ่อก็เห็นแต่น้ำดำมืด
“ฉันก็แค่ตัดไฟแต่ต้นลม ของร้อนแบบนี้ อยู่ในมือคนเมื่อไหร่ก็มีแต่เรื่องเลวร้ายเท่านั้น คุณสืบหาตัวคนร้ายด้วยวิธีอื่นเถอะ เว้นแต่ฉลาดไม่พอ”
คณินอยากจะเอาหัวโขกขอบบ่อ ก่อนหันมองแพนอย่างขัดใจ แพนยิ้มกริ่มกับสิ่งที่ทำลงไป
บุ๊งหัวเสีย ตบโต๊ะปัง ระหว่างที่คุยกับมนชิต
“มันไม่ได้โดนจับเหรอ ไอ้บ้านี่ห้อยพระอะไรวะ”
“ตำรวจไม่พบของกลางครับ ส่วนเรื่องคนตายก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะสาวไปถึงตัวมันได้”
“ไม่มีหลักฐาน ไม่พบของกลาง ไหนลื้อบอกว่าคนของลื้อเห็นมันขนลังปืนเข้าบ้านไง แล้วทำไมตำรวจไม่เจอสักกระบอกวะ ซี้ซั้วนี่หว่า”
"ผมคิดว่ามันไหวตัวทันมากกว่า แต่ของทั้งหมดยังอยู่กับมันแน่นอน”
“อยู่ที่ไหนก็ช่าง แต่อั๊วต้องการคืนทั้งหมด”
มนชิตแค้นใจคณิน
คณินคุยกับกิตติอย่างเคร่งเครียดที่โต๊ะทำงาน
“คุณคิ้มสงสัยใครเหรอครับ”
“ทุกคน”
“แต่ผมว่า ไม่มีใครน่าสงสัยเท่าเสี่ยบุ๊งอีกแล้วนะครับ ตาแก่นั่นแหละ คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องเลวร้ายทั้งหมด”
“อย่าเพิ่งปรักปรำใคร เรายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด เอาไว้จับได้คาหนังคาเขาเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ปล่อยให้มันเหิมเกริมอยู่แบบนี้แน่”
“แล้วเราจะหาหลักฐานจากที่ไหน”
“ฉันอาจต้องเป็นเป้าให้มันโจมตีอีกครั้ง ล่อให้ไอ้นักฆ่านั่นออกมาให้ได้”
“มันจะอันตรายเกินไปรึเปล่าครับ ถ้าคุณพลาดท่าเสียทีจะทำยังไง ลูกเต้าก็ยังไม่มี แถมเมียก็เพิ่งจะมีแค่คนเดียว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แพนเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร กิตติหุบปากทันที
“ลูกค้ารายใหญ่ของโรงสีเกินกว่าครึ่ง ปฏิเสธขายข้าวให้เรา เหลือแค่รายย่อยสองสามเจ้า ยังไงก็ไม่พอส่งตามรายการสั่งอยู่ดี คุณจะทำยังไง”
“ผมจะไปลองเจรจากับพวกเขาดูอีกสักครั้ง ยังไงเราก็ต้องส่งข้าวล็อตแรกให้ครบตามจำนวนให้ได้”
“คุณคิ้มจะไปเมื่อไหร่ครับ”
“พรุ่งนี้เลย”
แพนมองคณินด้วยความเป็นห่วง ไทยืนอยู่ตรงประตูห้องทำงานคณิน เพื่อฟังคนข้างในคุยกัน แพนเปิดประตูออกมา ไทตกใจ จะหลบออกไป แต่ก็ไม่ทัน
“ไท มีอะไรหรือเปล่า”
ไทจำเป็นต้องหยุด หันกลับมาเผชิญหน้ากับแพน
“คือ”
กิตติเดินออกจากห้องมาอีกคน
“เฮ้ยนาย พอดีเลย คุณคิ้มเรียก”
“เรียกทำไมครับ”
“นั่นสิ อยากรู้ก็เข้าไปถามสิ”
ไททำท่าเจียมตัว แล้วเดินตามกิตติเข้าไปในห้องทำงานคณิน แพนมองไทด้วยความสงสัยว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่
วิภาดาเดินจ่ายตลาด โดยมีลูกน้องเดินตามหลังเหมือนเคย กริชเดินผ่านหน้าวิภาดาไป ดูเศร้า ใจลอย หาทางออกให้กับชีวิตไม่เจอ วิภาดามองตามกริชอย่างเห็นใจ คิดว่ากริชกำลังเศร้าเรื่องที่แพนแต่งงาน กริชยืนอยู่ริมน้ำด้วยความกังวล
“ทำไมไม่กล้าวะ ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ สารภาพไปสิ ว่าคิดยังไงกับเขา”
กริชตบปากตัวเองเพื่อลงโทษ วิภาดาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เพราะคิดว่ากริชจะฆ่าตัวตาย
“นายกริช”
กริชตกใจ หันขวับ ทำให้เสียหลักจนเซ แล้วตกลงไปในน้ำ วิภาดาตกใจ กระโจนลงไปช่วยกริชอย่างไม่ห่วงชีวิต ควานหากริชในน้ำ ก่อนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ตะโกนลั่น
“นายกริช อยู่ไหน หา นายกริช”
วิภาดาดำลงไปในน้ำอีกครั้ง ขณะกริชโผล่ขึ้นมา
“แว่วๆ เหมือนคนเรียก แต่ไม่เห็นมีใครเลย”
ทันใดนั้น วิภาดาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วตะเกียกตะกายขอความช่วยเหลือ เพราะตะคริวกินขา
“ช่วยด้วย”
“วิ”
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 6 (ต่อ)
กริชตกใจกระโจนตรงไปยังจุดที่วิภาดาจมหายไป
แล้วมุดน้ำควานหาตัววิภาดาจนเจอ แล้วพาวิภาดาขึ้นเหนือผิวน้ำ ลากขึ้นมานั่งริมตลิ่ง สภาพเหนื่อยหอบทั้งคู่ กริชถอดเสื้อตัวเองให้วิภาดาสวมใส่อีกชั้นเพราะเสื้อวิภาดาแนบเนื้อเกินไป วิภาดารับมาคลุมตัวไว้ด้วยความจำเป็น
“เล่นอะไรวิ อยู่ดีๆ กระโดดลงไปทำไม”
“ก็นายนั่นแหละ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตาย ใครฆ่าตัวตาย”
“คนอ่อนแอ ใจเสาะ ทำไมไม่คิดถึงป๊าของนายบ้าง นายเป็นลูกชายคนเดียวของเขานะ ยังไงแพนก็แต่งงานไปแล้ว ทำใจซะเถอะ”
“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง”
กริชยิ้มกรุ้มกริ่ม ลอบมองวิภาดาด้วยสายตาหวานซึ้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินคุยกันมาที่สะพานริมน้ำ
“คราวหลัง วิอย่าทำอย่างนี้อีกนะ มันอันตราย”
“ไม่มีคราวหลังแน่นอน เพราะถ้าเราเห็นนายพยายามฆ่าตัวตายอีกล่ะก็ เราจะยืนมองดูเฉยๆ ปล่อยให้นายตายสมใจอยาก”
“วิจะใจจืดใจดำ ยืนมองเฉยๆ ได้จริงเหรอ”
“จะลองพิสูจน์มั้ยล่ะ”
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยววิกระโดดตามลงไปอีก เพราะเรารู้ว่าวิยืนไม่ติดแน่ วิเป็นคนดีเกินกว่าจะทนเห็นใครตายต่อหน้าได้”
“ก็ถ้านายไม่อยากให้คนอื่นต้องมาพลอยลำบากเพราะความคิดโง่ๆ ของนาย นายก็ควรรักตัวเองให้มากๆและทำใจให้ได้”
“ทำไมเราต้องทำใจ”
“หรือนายอยากจะจมทุกข์ไปตลอดชีวิตกันล่ะ”
“จมทุกข์เรื่องอะไร”
“เราเตือนด้วยความหวังดี ถ้านายยังหวังว่าแพนกับเฮียจะเลิกกันล่ะก็ มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”
กริชยิ้ม
“อะไรทำให้วิมั่นใจขนาดนั้น”
“พวกเขารักกัน แค่ตอนนี้ยังไม่รู้ใจตัวเองเท่านั้น”
ลูกน้องที่ดูแลวิภาดาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณหนูอยู่นี่เอง ไหนบอกจะรออยู่หน้าร้านครับ ผมตามหาซะทั่ว แล้วนี่ ทำไมเปียกมะล่อกมะแล่กอย่างนั้นล่ะครับ”
“ไม่มีอะไร ฉันกำลังจะกลับพอดี รีบไปกันเถอะ”
วิภาดาจะเดินไป กริชจามตามหลังเสียงดัง ทำให้วิภาดาหันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง
“เอาเป็นว่า โทษนายที่ยังเหลือครึ่งหนึ่ง เรายกให้ ตอบแทนที่นายช่วยเราไว้”
“งั้นเราก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้วใช่มั้ย”
วิภาดาไม่ตอบ รีบเดินออกไป กริชโบกมือลาพร้อมจามต่อไม่หยุด ยิ้มดีใจ รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นในไม่ช้า
ที่โต๊ะกินข้าว ซกเค็งตักอาหารให้แพนจนเต็มจาน
“กินเยอะๆ นะอาแพน ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น อั๊วคัดสรรวัตถุดิบมาเองกับมือ เพื่อลื้อโดยเฉพาะ สุขภาพของลื้อจะได้ดีๆ ไงล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ สงสัยหนูจะอ้วนก็คราวนี้”
วิภาดายิ้ม เพราะรู้ว่าแม่มีจุดประสงค์อะไร
“ม้าโปะซะเต็มจาน ไม่เหลือพื้นที่จานให้ผมตักเอาใจเมียเลย ผมก็เลยต้องป้อน”
คณินตักอาหารแล้วยื่นไปจ่อที่ปากแพน แพนเหล่มองตาเขียว
“ลื้อก็อย่ามัวแต่ป้อนเมียซี่ นี่ ซดให้หมดถ้วย อย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียว”
คณินยังไม่ยอมแพ้ จนแพนต้องยอมกิน เส็งมองสงสัย
“ใส่ยาพิษรึเปล่าวะ นังขี้อิจฉาอย่างลื้อ ไว้ใจไม่ได้”
ซกเค็งมองเส็งตาขวาง
“ขนาดปากไม่ว่าง ก็ยังกวนไม่เลิก”
เส็งทุบโต๊ะปัง วิภาดาเห็นท่าไม่ดี รีบตักอาหารให้พ่อ
“นี่ค่ะป๊า ของโปรดของป๊าทั้งนั้น หนูทำสุดฝีมือเลย มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยบำรุงสมองและฟื้นฟูความจำด้วยนะคะ”
“นี่ลื้อหาว่าอั๊วสมองไม่ดีเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
“อาแพนกินเข้าไป ไม่ต้องสนใจใคร อาคิมซด”
แพนรีบกินอาหารตามคำสั่งของซกเค็งเพราะกลัวซกเค็งความดันขึ้น
“หมดนี่ฉี่ทั้งคืนแน่ ครับๆ”
ซกเค็งมองคณินยกถ้วยซุปขึ้นซดจนหมดอย่างพอใจ เพราะอยากอุ้มหลานเร็วๆ
กลางคืน คณินเข็นรถเส็งถึงเตียงนอน แล้วช่วยประคองขึ้นนอนบนเตียง
เส็งลอบมองลูกชายอย่างนึกเห็นใจกับภาระหนักหนาที่เขาได้รับในทุกวันนี้ พอคณินหันมอง เส็งก็แสร้งทำเป็นเมินไปทางอื่น
“จำอะไรได้บ้างรึยังป๊า”
“ยังเลยว่ะ จำได้แค่ว่า อั๊วเคยเหนื่อยมาก กลัวมาก หิวมาก เจ็บมาก และอั๊วก็ต้องอดทนมากถึงมากที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในหัวของอั๊ว”
“ผมมีความคิดจะพาป๊าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯนะ ให้ป๊าได้กลับไปอยู่ในสถานที่เดิมๆ ที่เคยใช้ชีวิต ได้พูดคุยกับพี่ๆ น้องๆ ที่ลำบากร่วมกันมา”
“พี่สุง อั๊วจำพี่สุงได้”
“แปะสุงไปสวรรค์แล้ว ไม่ว่างคุยกับป๊าแล้ว “
“งั้นอั๊วไม่ไปไหนทั้งนั้น ลื้อไม่ต้องกล่อมอั๊วให้เสียเวลา ยังไงอั๊วก็จะอยู่ที่บ้านหลังนี้ อั๊วรู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”
“แต่ผมเหนื่อยมากเลยป๊า มีเรื่องได้ไม่หยุดไม่หย่อน โรงสีก็มีปัญหา คนก็มีปัญหา เราเลิกทุกอย่างแล้วย้ายกลับไปอยู่เยาวราชไม่ดีกว่าหรือ”
“ความอดทนต่ำขนาดนี้ อย่ามาซี้ซั้วเรียกอั๊วว่าป๊าอีกนะ”
คณินหัวเราะ
“เวลาโกรธแบบนี้ ถึงจะเหมือนหลีเส็งคนเดิมหน่อย”
“ไร้สาระ ไสหัวไปได้แล้ว อั๊วง่วง อั๊วจะนอน”
เส็งพลิกตัวหันหลังให้คณิน ชายหนุ่มจับผ้าห่มขึ้นคลุมร่างบิดาที่แสร้งทำเป็นหลับตา
“อีกยี่สิบปีข้างหน้า ผมเองก็อยากจะบอกลูกของผมเหมือนกันว่า ป๊าเคยเหนื่อยมาก กลัวมาก หิวมาก เจ็บมาก แต่ป๊าก็ต้องอดทนมากถึงมากที่สุด เพื่อปกป้องครอบครัวและคนที่ป๊ารัก ลูกของผมคงจะภูมิใจในตัวผมมาก อดทนๆๆๆๆ ท่องเอาไว้”
เส็งลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่อมั่นในตัวลูกชาย คณินยิ้มให้กำลังใจตัวเอง
แพนกับวิภาดาช่วยกันล้างจาน ซกเค็งเดินผ่านประตูครัวเข้ามา พอเห็นก็ร้องโหวกเหวกโวยวาย
“อาแพน ลื้อมาทำอะไรในครัว ใครบอกให้ลื้อล้างจาน ไปๆ ขึ้นห้องไปได้แล้ว”
“แต่ยังล้างไม่เสร็จเลยค่ะ”
“ไม่มีแต่ ปล่อยจานลงเดี๋ยวนี้ ลื้อมีหน้าที่สำคัญกว่านั้น”
“แต่”
“ไปเถอะอาซ้อ เดี๋ยวที่เหลือวิจัดการเอง”
ซกเค็งทำหน้าถมึงทึง วิภาดาดันหลังแพนให้ออกไป แพนงง แต่ก็ยอมออกไปโดยดี ซกเค็งยิ้มมั่นใจ หมายมั่นปั้นมือเต็มที่
“หลานคนแรกของตระกูลเราจะต้องมาเกิดในคืนนี้แน่นอน”
“นึกแล้วเชียว ม้าทำอะไรให้เฮียกับแพนกิน”
แพนเดินวกกลับมาถึงประตูห้องครัว แล้วชะงักฝีเท้าเพราะเสียงคุยสองแม่ลูก จึงแอบฟัง
“ก็ไม่มีอะไร แค่ซุปสูตรยาสมุนไพรโบราณ ที่ช่วยเพิ่มความคึกคัก ซู่ซ่า บำรุงช่วงล่างให้ปึ๋งปั๋ง ช่วยให้มีบุตรเร็วทันใจ”
แพนเบิกตากว้าง
“อีกประเดี๋ยวยาก็ออกฤทธิ์แล้ว อาแพนอีจะเริ่มร้อน ขนจะลุกซู่ตั้งแต่หัวจดปลายเท้า”
แพนเริ่มรู้สึกร้อนจริงๆ
“แล้วเฮียล่ะม้า”
ซกเค็งหัวเราะชอบใจ
“ม้าจัดสูตรแรงไปให้ คาดว่าอาคิม อีจะไม่ยอมออกจากห้องถึงสามวันสามคืน”
แพนช็อค รีบเดินออกไปเหมือนคนไม่มีสติ
แพนนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนอน ทั้งกังวลทั้งกลัว จนเหงื่อผุดเต็มตัว แล้วลุกนั่ง มองประตูห้อง ตัดสินใจเด็ดขาด
“กันไว้ดีกว่าแก้ คืนนี้นอนกันคนละห้องเถอะ”
แพนลงจากเตียงเดินไปที่ประตู จับกลอนประตูเตรียมเลื่อน แต่เสียงจากหน้าประตูดังขึ้นเสียก่อน
“คุณคิ้มครับ”
เสียงของกิตติทำให้แพนชะงัก คณินกำลังจะเคาะประตูพอดี จึงหยุด หันกลับไปมองลูกน้องคนสนิท
“ว่าไง”
แพนเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟังคณินกับกิตติคุยกัน
“ตอนนี้คุณหยกมณีเดินทางมาถึงปากน้ำโพ และอยู่ที่ภัตตาคารแล้วครับ กำลังจะขึ้นร้องเพลง นี่เป็นเบอร์ห้องพักที่โรงแรมของเธอ คณินรับกระดาษมาอ่าน ก่อนขยำใส่ถังขยะข้างประตู
“ดี หวังว่าจะได้เรื่องนะ”
คณินหันมองประตูอย่างเสียดาย อยากจะเข้าไปหาแพนใจจะขาด แต่จำต้องไปทำธุระสำคัญก่อน แพนหน้าหงิกหน้างอ หึงโดยไม่รู้ตัว
“หยกมณี”
แพนล็อกประตูด้วยความโกรธ แล้วเดินมาขึ้นเตียง เลิกผ้าห่มขึ้นนอนคลุมโปง
หยกมณีร้องเพลงอยู่บนเวที น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู สะกดคนทั้งภัตตาคารให้เคลิบเคลิ้ม หลงใหล แขกแน่นร้าน หนึ่งในนั้นคือโต๊ะที่บุ๊งและแก๊งเหยี่ยวแดงอีก 4 คนนั่งอยู่ บุ๊งมองหยกมณีตาค้าง หวานเชื่อม
“นางฟ้าที่อั๊วฝันถึงมาตลอด อาหยกมณีแห่งฉั่วเทียนเหลา ครั้งใดที่อั๊วไปเยาวราช อั๊วไม่เคยลืมแวะไปฟังอีร้องเพลง”
“เคยได้ยินแต่ชื่อ ในที่สุดก็ได้เห็นตัวจริงซะที เสียงหวานแบบนี้บุญของหูที่ได้ฟัง”
“แล้วอีมาร้องเพลงที่นี่ได้ยังไง ใครจ้างอีมา”
หยกมณีร้องจบเพลง โค้งศีรษะเล็กน้อย แล้วเสียงปรบมือก็ดังลั่นไปทั้งร้าน
“ขอบพระคุณแขกทุกท่านที่ให้เกียรติมาฟังหยกร้องเพลงค่ะ”
หยกมณีผายมือทางโต๊ะเสี่ยบุ๊ง
“ดูจากสง่าราศีแล้ว น่าจะเป็นเศรษฐีของเมืองนี้ใช่มั้ยคะ”
บุ๊งยิ้มพอใจ
“ตาถึง”
“แม้จะมีโอกาสร้องเพลงที่นี่แค่สามวัน แต่หยกจะทำให้ทุกท่านมีความสุขที่สุขค่ะ ถ้ายังไง หวังว่าทุกท่านจะเมตตามาเจอกันทุกคืนนะคะ หยกขอฝากตัวด้วยค่ะ”
“ยินดีรับฝากเป็นอย่างยิ่ง”
บุ๊งถูกใจมาก แขกสองสามคนที่คณินจ้างมา ถอดสร้อยทองแล้วนำไปคล้องให้หยกมณี บุ๊งกลัวน้อยหน้า ถอดสร้อยทองของตัวเอง แล้วเดินไปที่หน้าเวทีทันที หยกมณีย่อตัวลง ยื่นหน้าเข้าใกล้หน้าบุ๊งอย่างตั้งใจ บุ๊งกระซิบสายตาหื่น
“ลื้อสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะเสี่ย”
บุ๊งสวมสร้อยทองให้หยกมณีอย่างเต็มใจและหวังผล หยกมณีรินเหล้าให้บุ๊งและแก๊งเหยี่ยวแดงที่โต๊ะ ทั้งร้านเหลือลูกค้าอยู่เพียงโต๊ะเดียว บุ๊งและแก๊งเหยี่ยวเมามายกันไปพอสมควร มองหยกมณีตาหวานเชื่อม
“อยากฟังเพลงอะไรบอกได้นะคะ หยกยินดีรับใช้ทั้งคืนค่ะ”
หยกมณีแอบส่งสายตาให้บุ๊ง บุ๊งดื่มไม่หยุด ด้วยใจฮึกเหิม คิดไปเองว่าหยกมณีพึงพอใจในตัวเขา
หยกมณีแสร้งทำเป็นเอียงอายต่อสายตาของบุ๊งที่มองมาอย่างเปิดเผยว่าต้องการอะไร
คณินเปิดประตูห้องโรงแรมให้หยกมณีเข้ามา แล้วปิดประตู ล็อกห้อง
“เป็นไง ได้เรื่องยังไงบ้าง”
“แหมเฮียคิ้ม ใจร้อนจัง ไม่คิดจะทักทายหยกสักคำก่อนรึ เห็นหยกเป็นลูกน้องตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“สาบานเลย ไม่เคยเห็นหยกเป็นลูกน้อง แม้แต่ครั้งเดียว แต่เห็นเป็น เมียของเพื่อนเสมอ อรรณพสบายดีมั้ย”
“ถามถึงคนอื่นทำไม เสียบรรยากาศ”
“งั้นมาเจรจาเกี่ยวกับธุรกิจของเรากันดีกว่า”
คณินผายมือเชิญให้หยกมณีไปนั่งคุยกันที่โซฟามุมห้อง กิตตินำน้ำมาเสิร์ฟหยกมณี หญิงสาวยกดื่มเล็กน้อย
“ว่าไง คนพวกนั้นเป็นมิตรหรือศัตรูกับครอบครัวของเฮียกันแน่”
“ให้ล้วงข้อมูลจากงูเฒ่าทั้งฝูง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด”
“เฮียถึงขอให้หยกช่วยไง”
“คนที่เฮียคิ้มต้องระวังมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ คนในเงามืดที่มาเฟียเฒ่าพวกนั้นพูดถึงต่างหาก”
“หมายความว่าไง คนในเงามืด”
“ถ้าเดาไม่ผิด คนพวกนั้นกำลังสงสัยว่ามีนักฆ่าที่มีฝีมือเฉียบขาด แฝงตัวเข้ามาทำงานให้ใครบางคนที่นี่”
“คนพวกนั้นสงสัยใคร”
“คนพวกนั้นไม่ได้สงสัยเฮีย แต่คนพวกนั้นกำลังกังวลและกริ่งเกรงในอำนาจของเฮียต่างหาก ว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้มั้ย ตอนนี้ มาเฟียเฒ่าพวกนั้นก็เลยไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูของเฮีย”
คณินยิ้มอย่างเข้าใจและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างลึกล้ำว่าจะทำให้คนพวกนั้นกลายเป็นมิตรอย่างแท้จริงในเร็ววันนี้ให้ได้
ตอนเช้า แพนแต่งตัวหน้ากระจกอารมณ์ไม่ดี เพราะคณินไม่ยอมกลับบ้านจนถึงเช้า
“สงสัยบ้านนี้จะได้หลานจากลูกสะใภ้อีกคน”
แพนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ออกอาการหึงโดยไม่รู้ตัว เธอเดินหน้ามุ่ยออกมาจากบ้าน จนเกือบจะชนกับวิภาดาที่เดินมาอย่างร่าเริง ในมือถือถุงกระดาษสองใบ โดยใบหนึ่งใส่เสื้อของกริช ส่วนอีกใบใส่ขวดซุปไก่สำหรับคนป่วย
“อ้าววิ จะไปไหนแต่เช้า แล้วนั่นถุงอะไร”
วิภาดาหน้าเหรอหรา รีบเบี่ยงถุงกระดาษไว้ด้านหลัง
“ถุงเสื้อน่ะจ้ะ ว่าจะเอาไปให้ช่างที่ตลาดเปลี่ยนซิบให้ แล้วซ้อล่ะ”
“ฉันจะไปโรงสีน่ะ”
ทั้งคู่เดินคุยกันมา
“เวลาอยู่กันลำพัง ไม่ต้องเรียกเราว่าซ้อก็ได้ ไม่ใช่วิไม่รู้นี่ว่าเรากับเฮียของวิแต่งงานกันเพราะอะไร เอาไว้รอเรียกเจ้าของตำแหน่งที่แท้จริงจะดีกว่า”
“ซ้อพูดเหมือนจะเลิกกับเฮียเลย ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า”
แพนเศร้าเล็กน้อย
“ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แค่พูดความจริง”
“อาแพน”
แพนและวิภาดาหันไปมองตามเสียงเรียก เห็นเป้งยืนรออยู่ข้างกำแพงห่างออกไปเล็กน้อย
“ป๊าซ้อมาหาแน่ะ งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ”
แพนกับวิภาดาโบกมือลากัน แล้ววิภาดาก็เดินแยกไปอีกทาง แพนเดินมาหาเป้ง ที่มีสีหน้ากังวลร้อนใจ ชะเง้อชะโงกเข้าไปในบ้าน ประชดประชัน
“ไม่กลับไปเยี่ยมบ้านเลยนะ ลื้อคงอยู่สุขสบายล่ะสิ”
“ก็ตามอัตภาพ ว่าแต่พ่อเถอะ มานี่แต่เช้า คงมีธุระสำคัญใช่มั้ย”
“ลื้อมีเงินให้อั๊วใช้สักพันสองพันมั้ย ช่วงนี้อั๊วหมุนเงินไม่ค่อยทัน”
“เงินสินสอดล่ะ ได้ไปตั้งเยอะ”
“เยอะที่ไหนวะ อั๊วเอาไปเล่น เอ๊ย อั๊วเอาไปลงทุนค้าขายกับเพื่อนจนหมดแล้ว แล้วก็ดันซวย ถูกเพื่อนโกงไปหมดเลย คิดแล้วมันช้ำใจนะ ขอเพิ่มอีกสักก้อน จะเอาไปต่อทุน”
“ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาให้พ่อ ทุกวันนี้ฉันก็อาศัยเขาอยู่”
“อาศัยอยู่อะไรวะ ลื้อเป็นเมียนะโว้ย เงินของผัวก็เหมือนเงินของเมียนั่นแหละ ถ้าไม่มีก็ไปขอผัวลื้อมา”
“ไม่ ฉันจะไม่ขอเงินจากใครทั้งนั้น ถ้าพ่ออยากได้เงินก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินได้แล้ว ไม่ใช่วันๆ ขลุกอยู่แต่ที่บ่อน”
แพนผละจากพ่อ เป้งตะโกนตามหลัง
“นังลูกเนรคุณ”
“ฉันเป็นลูกเนรคุณแน่ ถ้าให้เงินพ่อตัวเองไปเล่นการพนัน”
แพนลำบากใจ แต่ก็ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีอีก เป้งฟึดฟัดขัดใจ
คณินยืนต่อหน้าคนงานทุกคนในโรงสี มีไทและกิตติยืนอยู่ด้วย
“นับแต่นี้ไป นายไทคือหัวหน้าคนงานของโรงสีกิจเกริกไกร”
ไทอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มรับกับตำแหน่งที่คณินมอบให้
“เขาจะดูแลทุกคน และจะปกป้องโรงสีด้วยชีวิต ใช่มั้ยไท”
“ครับ ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่คุณคิ้มไว้วางใจ”
“และถ้าเกิดมีปัญหาอะไร เขาจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด”
กิตติปรบมือนำ คนงานทุกคนช่วยปรบจนดังไปทั้งโรงสี ไทยิ้มไม่เต็มปาก
“แน่นอนครับ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ฉันเชื่อว่าต่อไปนี้ โรงสีของเราจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว ในเมื่อเราได้คนเก่งและซื่อสัตย์อย่างนายไทมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง นับจากนี้มันจะมีก็แค่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น จริงมั้ยทุกคน”
คนงานทุกคนตอบรับ เห็นด้วยกับนาย เว้นแต่ไทที่เห็นด้วยเพราะเลี่ยงไม่ได้ แพนเดินหน้าตึงเข้ามา แล้วเดินเชิดหน้าผ่านคณินและกลุ่มคนงานไปทางห้องทำงาน ผลักประตูเข้ามาในห้องทำงานของคณิน เห็นกองเอกสารวางเกลื่อนเต็มโต๊ะ เธอแปลกใจ หันไปมองโซฟายาว เห็นผ้าห่มกองอยู่ แพนกำลังจะเดินไปเก็บ แต่กิตติโผล่เข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงเสียก่อน
“คุณแพนครับ”
“ตกใจหมดเลย มีอะไร”
“คุณคิ้มบอกว่าจะรออยู่ที่รถครับ”
“รอทำไม อยากจะไปไหนก็เชิญ ฉันไม่ไปด้วย ฉันจะทำงาน”
“ทำไมคุณคิ้มรู้ว่าคุณจะพูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณคิ้มรู้ใจคุณที่สุด คุณคิ้มบอกว่าถึงคุณไม่อยากไปก็ต้องไปครับ เพราะไม่ได้พาไปในฐานะเมีย แต่พาไปในฐานะเสมียนโรงสีครับ”
“อ้อ จริงสิ ฉันลืมไปได้ไงว่าเป็นแค่ลูกจ้างของเขา”
แพนไม่ค่อยพอใจ
บริเวณทางเข้าคณะเชิดสิงโต วิภาดายื่นถุงกระดาษทั้งสองใบให้กริช กริชรับถุงมาถือไว้ด้วยใจที่ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก วิภาดาแอบเขิน แต่แก้ตัว
“นายป่วยเพราะเรา เราก็เลยทำซุปไก่ตุ๋นยาจีนมาให้”
“นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“กินให้หมดล่ะ ไปนะ”
วิภาดาเดินห่างออกมา กริชกลั้นใจเรียก
“วิ”
วิภาดาหันกลับมามองกริช แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงดนตรีจากคณะเชิดสิงโตดังขึ้น จนกลบเสียงของกริชหมดสิ้น กริชกลั้นใจบอกความรู้สึก
“เราชอบวิ”
เสียงดนตรีหยุด
“ว่าไงนะ”
“เปล่า กลับบ้านดีๆ นะ”
วิภาดาพยักหน้าแล้วเดินออกไป กริชโมโห อยากจะเข้าไปไล่เตะลูกน้องที่ซ้อมเล่นดนตรีไม่รู้จักเวล่ำเวลา
คณินขับรถพลางเหล่แพนซึ่งนั่งข้างๆ ที่ยังไม่อารมณ์ไม่ดี เขาแกล้งพูดเรื่องงาน
“ผมจะเอาลูกค้ารายใหญ่ๆ ที่ปฏิเสธไม่ขายข้าวให้เรากลับคืนมาให้หมด”
“ถ้าทำได้ก็ดีค่ะ โรงสีจะได้เดินหน้าต่อได้”
“ทำได้แน่นอน ถ้าเราสองคนช่วยกัน”
“ฉันมันคนเรียนน้อย คงช่วยงานคุณได้ไม่เยอะหรอก”
“แล้วใครบอกว่าให้ช่วยงาน”
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไร”
คณินหันมองแพนด้วยสายตาจริงจัง
“ช่วยอยู่ข้างๆ กันก็พอ”
แพนอึ้ง ซึ้งใจ
จบตอนที่ 6