เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 5
เส็งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียง หันมองรอบห้องด้วยความระแวง จนไปหยุดที่คณิน
คณินยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง จ้องเส็งนิ่ง ใช้ความคิด
“ลื้อบอกว่าลื้อเป็นลูกชายของอั๊ว”
“ไม่เอาน่าป๊า เลิกล้อเล่นได้แล้ว ตอนนี้เราอยู่กันสองต่อสอง ผมให้โอกาสป๊าสารภาพ”
“ไอ้บ้า คนบ้าอย่างลื้อ ไม่น่าจะเป็นลูกชายของอั๊วได้ อั๊วไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“ลื้อบอกว่าลื้อจะเปิดโรงสีเหรอ”
“นั่นแน่”
“อั๊วแค่จะบอกว่า โหงวเฮ้งอย่างลื้อ สติปัญญาอย่างลื้อ ไม่น่าจะทำการค้าได้”
“อ้าว ยังไม่ได้เริ่มก็ให้พรกันซะแล้ว”
“กิจการของลื้อไปไม่รอดหรอก อั๊วขอทำนาย”
“ถ้าไม่ใช่ป๊านะ โดนละ”
“ใครป๊าลื้อ”
“ยังอีกๆ”
เวลาต่อมา คณินลงมาที่ห้องโถง พูดต่อหน้าทุกคนในบ้าน
“ต้องมีคนดูแลป๊าอย่างใกล้ชิด”
คณินหันมองแพนอย่างใช้ความคิด ถ้าแพนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายพ่อของเขา เขาจะจับแพนให้ได้คาหนังคาเขา แต่ถ้าไม่ใช่ แพนจะได้พิสูจน์ตัวเอง
“ฉันกับม้าจะดูแลป๊าเอง เฮียไม่ต้องห่วง”
ซกเค็งงอน
“แต่เฮียเขาไม่อยากเห็นหน้าอั๊ว เพ้อหาแต่คนรักเก่า หาว่าอั๊วหยำฉ่า พยายามให้ท่า อยากเป็นเมียอีจนตัวสั่น”
ซกเค็งแค้นเคือง แต่ทุกคนกลับขำ
“โธ่ม้า จะเอาอะไรกะป๊าตอนนี้”
“คิดซะว่าเพิ่งเจอกัน เพิ่งจีบกัน ต่อไปนี้ ม้าก็สู้หน่อย” คณินให้กำลังใจ
“ตอนอั๊วสาวๆ อีมาจีบอั๊วก่อน แต่พอแก่ อั๊วต้องเป็นฝ่ายจีบเหรอ อั๊วรับไม่ได้”
“ผมถึงต้องให้แพนมาช่วยดูแลป๊าไง”
แพนตกใจ หันมองคณิน ทุกคนก็มองคณินเช่นกัน
“ไม่ใช่ความคิดผม”
คณินนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ตามลำพังกับเส็งสองคนในห้อง เขาตกใจมากเมื่อฟังสิ่งที่เส็งต้องการ
“ว่าไงนะ”
“อั๊วต้องการเด็กสาวคนนั้นคนเดียว”
“พูดจริงหรือป๊า”
“อั๊วบอกกี่ครั้งแล้วว่าอั๊วไม่ใช่ป๊าลื้อ ใช่ เด็กสาวคนนั้น อั๊วต้องการให้อีมาดูแลอั๊ว”
“แต่แพนเป็นเสมียนที่โรงสี”
“แต่อีเป็นของอั๊ว อีเป็นคนแรกที่อั๊วเห็นหน้า และอั๊วมั่นใจว่าอีคือคนรักตัวจริงของอั๊ว ไม่ใช่นังแก่หนังเหี่ยวนั่น”
คณินกลุ้มใจ ซกเค็งกำหมัดแน่นเมื่อฟังสิ่งที่คณินเล่า
“นังแก่หนังเหี่ยว อีพูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ อั๊วอยากจะฆ่า”
“ทำไมเฮียต้องเล่าหมดทุกประโยคด้วย ม้าช้ำใจกันพอดี”
“หมดที่ไหน มีเยอะกว่านี้อีก ไม่อยากพูด”
“บอกมาให้หมด”
แพนเห็นซกเค็งใกล้ระเบิด เลยรีบตอบรับคำขอของเส็ง
“ฉันตกลงค่ะ”
ซกเค็งหยุด วิภาดาเอายาดมจ่อจมูกให้
“ขอบใจนะอาแพน”
“เถ้าแก่มีบุญคุณกับฉันมาก ฉันอยากตอบแทนท่านเท่าที่จะทำได้ค่ะ”
“ครึ่งวันเช้าไปทำงานที่โรงสี ครึ่งวันบ่ายค่อยมาที่นี่”
“ให้วิไปช่วยทำบัญชีแทนแพนก็ได้ แพนเคยสอนวิแล้วล่ะ วิมั่นใจว่าวิไหว”
“แล้วใครจะช่วยอั๊วทำอาหาร”
“ก็แพนไงม้า ม้ามีสูตรอาหารเยอะแยะเลย ถ้าแพนอยากได้ความรู้ล่ะก็”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องอาหารในบ้านก็ให้วิดูแลเหมือนเดิม เธอไม่ต้องไปยุ่งในครัวฎ
แพนรู้สึกได้ว่าคณินมองเธอแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยไว้ใจ
“ส่วนอั๊ว จะไม่ขอเข้าไปยุ่งในห้องของ ผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด”
แพนสบตาคณินอย่างไม่เข้าใจ
ตอนเย็น แพนนั่งเบาะหน้าของรถบรรทุกข้าว คู่กับกิตติซึ่งเป็นคนขับรถ
“ตกลงเราจะไปไหนกันครับ”
แพนเหลียวหน้ามองคณินที่นั่งเบาะหลัง
“ไปทวงหนี้”
คำพูดของคณินทำให้แพนแปลกใจ
“ได้เลยครับ เริ่มจากเจ้าไหนครับ”
“บ้านเสี่ยเป้ง”
แพนหันขวับไปมองคณิน เขายักคิ้วหลิ่วตาใส่
“ฉันทำงานขัดดอกให้คุณอยู่ทุกเดือนนะ”
“แล้วใครบอกไม่ใช่ล่ะ”
แพนไม่ค่อยสบายใจ
ลูกน้องบุ๊งมาที่บ้านบ้านเป้ง เจอกันมนสิชา
“ลูกสาวเป้งใช่ไหม”
“ใช่”
ลูกน้องบุ๊งลากมนสิชาออกจากบ้าน มนสิชากรีดร้องลั่น หลินตามจิกตบตีลูกน้องบุ๊ง
“ปล่อยลูกสาวอั๊วนะ ไอ้เลว”
“ม้าช่วยด้วย ไอ้บ้า ปล่อยนะ”
ลูกน้องบุ๊งผลักหลินไปจนล้มก้นกระแทกพื้น
“อูย พวกลื้ออยากตายใช่มั้ย ถ้าลูกชายอั๊วรู้ พวกลื้อตายแน่”
“แต่เผอิญไม่รู้”
“ถ้าป๊าฉันรู้นะ”
“ไม่กลัว”
“พวกแกมันเลว รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้”
“เราแค่ทำตามคำสั่งของนาย ป้าอย่าขวางเลย ถึงยังไง ลูกสาวของป้าก็ไม่รอดหรอก”
“หมายความว่าไงวะ”
“ไว้รอถามผัวป้าเองก็แล้วกัน”
ลูกน้องบุ๊งลากมนสิชาขึ้นรถ มนสิชากรีดร้อง ดีดดิ้น โวยวาย หลินตามทุบรถที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไป รถคณินขับเข้ามาเกือบจะชนหลิน
“น้าหลิน”
แพนลงจากรถก่อน เข้ามาหาหลินซึ่งยืนร้องไห้โฮ
“เป็นอะไรน้า”
“ช่วยด้วย พวกนักเลงมันเอาตัวอาสิไปแล้ว”
คณินตามแพนมา ได้ยินก็ตกใจไปด้วย
“ตามไปช่วยน้องสาวลื้อเร็วเข้า”
“รถที่เพิ่งออกไปใช่มั้ย”
“ใช่”
คณินหันมาบอกแพน
“รออยู่เนี่ย เดี๋ยวจัดการให้”
คณินกลับไปขึ้นรถ รถแล่นออกไปอย่างเร็ว หลินทรุดลงนั่งกองกับพื้น ตีอกชกตัว ร้องไห้พลางก่นด่าสามีไม่หยุด
“ไอ้ผัวชั่ว ไอ้ผัวเฮงซวย”
แพนกังวล
กิตติขับรถตามจี้รถคันหน้าซึ่งเป็นรถของบุ๊งอย่างเร็ว
“ฉุดผู้หญิงกันกลางวันแสกๆ ไม่ไว้หน้าใครเลย”
“น้องสาวของแพน ก็คู่หมั้นของคุณไงครับ”
“อ้อ เด็กคนนั้นเองเหรอ ชนท้ายรถเลย”
“แรงพิศวาสนี่มันร้อนแรงจริงๆ นะครับ ได้ครับ ผมจะเสยให้ก้นขวิดเลย”
กิตติขับรถพุ่งเข้าใส่ท้ายรถคันหน้าอย่างจัง จนรถคันนั้นเบรกอย่างแรง มนสิชากรีดร้อง พวกลูกน้องบุ๊งลงไปจัดการ มนสิชาพยายามจะเปิดประตูรถ แต่โดนลูกน้องบุ๊งล็อกตัวไว้ทัน
“ปล่อยนะไอ้บ้า”
คณินลงจากรถ เผชิญหน้ากับลูกน้องบุ๊ง 3 คน
“ปล่อยผู้หญิงซะ”
“คุณอย่ายุ่งดีกว่า นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านายผมกับลูกหนี้”
“ลูกหนี้”
“เสี่ยเป้งต้องชดใช้หนี้ให้เสี่ยบุ๊งตามสัญญาที่ตกลงกันไว้”
คณินนิ่วหน้า เหลือบตามองมนสิชาในรถ มนสิชาเห็นหน้าคณินแล้วสะดุดตา
“เสี่ยเป้งเป็นหนี้ ก็ให้เสี่ยเป้งชดใช้เอง ส่งผู้หญิงคนนั้นมา”
ลูกน้องบุ๊ง 3 คน ลังเล แต่ก็กลัว เพราะรู้จักคณิน
“พวกเรากลับไปโดยไม่มีลูกสาวเสี่ยเป้งไม่ได้หรอกครับ”
“ได้สิ”
คณินจัดการลูกน้องบุ๊งจนน่วม ภายในเวลาเพียงเล็กน้อย มนสิชา ลูกน้องบุ๊งอีกคน อ้าปากค้าง มนสิชาสนใจคณินขึ้นมาทันที
“ใครน่ะ”
ลูกน้องบุ๊งอุทานลั่นรถ
“นายคิ้ม ซวยแล้ว”
“นายคิ้ม ลูกชายเสี่ยเส็งใช่มั้ย”
คณินเปิดประตูรถออก มนสิชาหันกลับไปจ้องเขาในระยะประชิด ตาหวานเชื่อม คณินจ้องตอบ
“อย่าบังสิ”
มนสิชายิ้มแหย ขยับตัวหลีก จนเห็นลูกน้องบุ๊งชัดๆ
“ถ้าไม่อยากโดนนายแกด่า ก็ต่อยหน้าตัวเองสักสิบหมัดนะ”
คณินจับข้อมือมนสิชาแล้วลากลงจากรถไป ลูกน้องบุ๊งตบปากตัวเอง ต่อยหน้าตัวเองจนเลือดไหลทะลักออกจากปาก
คณินลากตัวมนสิชามาถึงรถ มนสิชาแสร้งสะบัดสะบิ้ง
“ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้”
คณินปล่อยทันที มนสิชาหน้าเหวอ
“ขึ้นรถ”
“จะพาฉันไปไหน แล้วนายเป็นใคร”
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ฉันจะพาเธอไปส่งบ้าน เร็ว”
คณินเปิดประตูรถให้ มนสิชายังทำเป็นลังเล
“ถึงนายจะช่วยฉันไว้ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะต้องขึ้นรถไปกับนาย”
“ตามสบาย งั้นก็เดินไปเองแล้วกัน”
มนสิชาอึ้ง ไม่เคยเจอใครที่เย็นชากับเธอเท่านี้มาก่อน เธอรีบแทรกตัวขึ้นไปนั่งในรถทันที คณินส่ายหน้า ก่อนเข้าตามไปนั่งที่เบาะหลัง กิตติถามเสียงเข้ม
“เรียบร้อยนะครับนาย”
มนสิชาเห็นกิตติแล้วตาโต คนที่ทำให้เธออาเจียนจนหมดไส้หมดพุงเมื่อวันก่อน เธอทวนคำของกิตติ
“นาย”
“ไปได้”
มนสิชาเหลียวหน้ามองคณิน สายตาหวานฉ่ำ เขาทั้งหล่อและเร้าใจ
แพนเดินไปเดินมาหน้าบ้าน หลินยังนั่งร้องไห้ มนสิชาเดินเข้ามาอย่างมีความสุข เหลียวมองด้านหลังเป็นระยะ แพนเห็นมนสิชาก็รีบเข้าไปหาด้วยความห่วงใย
“สิ เป็นยังไงบ้าง”
หลินเงยหน้ามอง เห็นลูกสาวกลับมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปกอดจนมนสิชาแน่น
“ลื้อไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรม้า ปล่อยสิ หายใจไม่ออกแล้วนะม้า”
“คอยดูนะ อั๊วจะฆ่าป๊าลื้อให้ไม่เหลือแม้แต่วิญญาณ”
“โชคดีที่มีคนไปช่วยฉันไว้ทัน เขาน่ะ ทั้งเก่ง ทั้งกล้า เท่อย่าบอกใครเลย”
“แล้วเขากลับไปแล้วเหรอ” แพนถาม
“ใช่ คู่หมั้นฉันกลับไปแล้ว”
“คู่หมั้นที่ไหน ตอนนี้ลื้อกับอาคุณคิมตกยากนั่นไม่ได้เป็นคู่หมั้นกันแล้ว”
“ไม่รู้ล่ะ เขาเสี่ยงตายช่วยชีวิตฉัน ตอนนี้ ชีวิตของฉันเป็นของเขาแล้วล่ะม้า”
มนสิชามีความสุข วิ่งเข้าบ้านไป
“ไม่ได้นะอาสิ ลื้ออยากกัดก้อนเกลือกินรึไง”
แพนโล่งใจที่มนสิชารอดมาได้ แต่กลับกลุ้มใจเรื่องหนี้ใหม่ของพ่อแทน
เป้งยังนั่งเล่นไฮโลแบบไม่รู้คืนรู้วัน แพ้จนเหลือเหรียญสุดท้ายในมือ
“อะไรกันวะ พวกลื้อโกงรึเปล่า”
หลินเข้ามายืนข้างหลังเป้ง อยากจะฆ่าสามีให้ตายกับมือจริงๆ นักพนันต่างโวยวายเป้ง
“แพ้แล้วอย่าพาลสิ”
“ถ้าต่อก็วางเงินลง ถ้าไม่ก็หลีก มีคนจะนั่งต่อ นั่งเลยเจ้”
หลินกัดฟันกรอด
“ไม่ๆ อั๊วจะเล่นต่อ คอยดู อั๊วจะเอาเงินคืนจากกระเป๋าพวกลื้อให้หมด”
เป้งวางเหรียญสุดท้ายลงบนโต๊ะ หลินคว้าเหรียญนั่นไป เป้งหันขวับ ไม่ทันตั้งตัว หลินตบหน้าฉาดใหญ่
มนชิตนั่งตรงข้ามกับเล้ง ทั้งคู่กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ในโรงน้ำชา มนชิตเงียบสงบ แต่นัยน์ตาร้อนรน แอบนึกถึงเรื่องแพน เพราะครบ 3 วันที่ต้องใช้หนี้แล้ว แต่ไปไหนไม่ได้ ถัดจากมนชิต โอชินนั่งนิ่งยิ่งกว่าหุ่น นัยน์ตาเย็นชา ควันจากปลายมวนฝิ่นคละคลุ้งไปทั่ว
“ลื้อไม่มีสมาธิ”
เล้งเคาะหมากรุกลงไป จัดการหมากของมนชิตสำเร็จไปหนึ่ง
“ผมแค่”
เล้งเดินหมากต่ออย่างใจเย็น
“หลงทาง มัวแต่คิดเรื่องอื่น”
“ผมจะฆ่ามันด้วยมือของผม”
“ได้ อั๊วยกมันให้ลื้อ”
“ผมจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อไหร่ที่ลื้อคุมทั้งสี่แก๊งในปากน้ำโพได้แบบเบ็ดเสร็จ วันนั้น ลื้อจะได้เจอพ่อที่แท้จริงของลื้อ”
“ผมจะทำให้ได้”
“อย่าดีแต่พูดล่ะ อั๊วอยากเห็นศพมันนอนตายอย่างโดดเดี่ยวเร็วๆ”
มนชิตสายตาแน่วแน่
เส็งนอนหลับ กรนเสียงดังลั่น คณินยืนคุยกับกิตติ
“เฮียจั๊วไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ไม่รู้ไปเหยียบตาปลาใครเข้า”
“คนที่ฆ่าเขา เป็นศัตรูกับเราต่างหากเล่า ไม่เห็นรึไง ตราบนหน้าผาก”
“ไอ้เลวนั่น ต้องการให้เหยี่ยวกับพังพอนกัดกัน เป็นไปได้มั้ยครับ แก๊งกระต่ายป่า”
“ก็เป็นไปได้ทั้งหมด มาเกิดเรื่องตอนที่เราต้องการแรงสนับสนุนซะด้วยสิ”
เส็งขยับตัวนิดหน่อย แล้วกรนต่อ
“คุณทรงกลดขึ้นเป็นนายกสมาคมแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ แต่นโยบายมันมีปัญหา มีบางพวกไม่เห็นด้วย”
“แล้วจะทำยังไงครับ”
“ทำยังไงก็ได้ ให้เราชนะ”
คณินแน่วแน่
เป้งลากหลินออกมาทุ่มหน้าบ่อน หลินกระโดดเข้าทุบตีเขาไม่หยุด
“ไอ้ผัวเฮงซวย ไอ้ผัวริยำ”
“พอได้แล้ว กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เป้งจับข้อมือทั้งสองข้างของหลินไว้ แล้วพยายามลากถูลู่ถูกังไป มนชิตเข้ามาขวาง แล้วแยกพ่อกับแม่ไปคนละมุม
“มาตีกันที่นี่ได้ไง ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็ป๊าลื้อน่ะสิ มันขายลูก”
เป้งนึกได้
“ครบ 3 วันแล้วเรอะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
บุ๊งเดินนำลูกน้องเข้ามา หน้าตาถมึงทึง
“ลื้อควรจะทำตามสัญญาได้แล้วนะ”
“ไอ้บุ๊ง ไอ้ตัณหากลับ”
เป้งรีบปิดปากหลิน
“อั๊วลืมไปเลย ขอเวลาอีกวันได้ไหม”
“เสียใจด้วย ส่งตัวอาแพนไปที่บ้านอั๊วเดี๋ยวนี้”
“เสี่ยครับ” มนชิตจะค้าน
“ลื้อไม่ต้องพูด เพราะลื้อเป็นแค่ลูกจ้างอั๊ว ถ้าไม่ส่งอาแพนมา อั๊วยึดบ้านลื้อ”
“อยากได้นังแพน แล้วทำไมส่งลูกน้องไปฉุดลูกสาวอั๊ววะ”
“ลื้อพูดอะไร อั๊วส่งคนไปรับอาแพน ไม่ได้ส่งไป”
บุ๊งเหลียวหน้ามองลูกน้อง ลูกน้องหัวหด รู้ว่าฉุดคนผิด
“ผมทุ่มเททั้งชีวิตทำงานให้เสี่ย เงินห้าพันที่ป๊ายืมไป ให้ผมทำงานชดใช้เถอะ”
“อั๊วไม่ได้ต้องการลื้อ”
แพนนอนคิดถึงเรื่องที่คณินจะประกาศแต่งงานในวันเปิดโรงสีใหม่
“จะแต่งงานจริงๆเหรอ”
แพนกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา อยู่ๆ มีเสียงดังจากหน้าบ้านเหมือนคนทะเลาะกัน ตามมาด้วยเสียงเป้ง หลิน ถกเถียงกันอย่างหนัก
“ม่าย อั๊วไม่ยอม”
แพนลุกนั่งด้วยความตกใจ แปลกใจ และอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงวิ่งไปแนบหูฟังที่ประตู หลินตบตีเป้งไม่ยั้ง มนชิตพยายามห้าม แต่กลับโดนลูกหลงไปด้วย
“อั๊วจำเป็นจริงๆ”
“ไม่ ถ้าลื้อให้มันยึดบ้าน แล้วอั๊วกับลูกจะไปอยู่ที่ไหน”
“ไปอยู่ที่ไหนก่อนก็ได้ ศาลเจ้าวัดวาอารามเยอะแยะไป”
“ทุเรศ แค่บ้านหลังเล็กเท่ารูหนู อั๊วก็อายเข้าจะแย่อยู่แล้ว นี่ลื้อจะให้อั๊วไปอยู่วัด”
“ม้าใจเย็นๆ พูดเสียงดังอายชาวบ้านเปล่าๆ”
“อั๊วไม่เย็น อั๊วไม่ยอม ลื้อให้นังแพนไป”
“แต่มันจะเอาลูกอั๊วไปเป็นทาสรับใช้”
“ถุย จะทาสรับใช้หรือนางบำเรอ อั๊วไม่สน”
เป้งตบหน้าหลินไปฉาดใหญ่ แพนแอบฟังอยู่ ตกใจมาก หลินมองเป้งด้วยความแค้น เจ็บใจ
“ถ้าลื้อไม่ให้นังแพนไป อั๊วกะลูกจะไปเอง”
หลินวิ่งเข้าห้องนอน ปิดประตูโครม เป้งคอตก ก่อนตีอกชกตัวด้วยความเจ็บแค้นตัวเองที่ทำเรื่องแย่ๆ ลงไป มนชิตมองเป้งด้วยความเวทนา แต่ไม่พูดอะไร เพราะโกรธไม่น้อยเช่นกัน เดินเข้าห้องไปอีกคน เป้งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โฮ
เป้งนั่งกลุ้มเพียงลำพังที่โต๊ะทำงาน คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี แพนยื่นเงินต่อหน้าเป้ง เป้งเงยหน้ามองก็ตกใจ
“อาแพน”
“ฉันมีอยู่เท่านี้”
“ลื้อไปเอาเงินมาจากไหน”
“งานพิเศษที่โรงน้ำชา”
“เก็บเงินของลื้อไว้เถอะ อั๊วจะหาทางออกเอง”
แพนวางเงินลงตรงหน้าเป้ง
“หนูแค่ต้องการไถ่ตัวเองเท่านั้น พ่อเอาเงินนี่ไปจ่ายคืนเสี่ยบุ๊งซะ”
แพนพูดจบก็เดินจากไปอีกคน เป้งมองตาม รู้สึกผิดอย่างมาก
เช้าวันใหม่ เสียงปะทัดดังรัวขึ้นนับเป็นร้อยครั้ง ควันขาวกระจายไปทั่วบริเวณ ทุกคนมองไปยังโรงสีหลังใหม่ แม้ไม่ใหญ่เท่าของเดิม แต่แข็งแรงและทนทาน ชื่อโรงสีกิจเกริกไกร เส็งมองโรงสีหลังใหม่อย่างมีความหมาย เขานั่งรถเข็น โดยมีกิตติเป็นคนเข็นให้ คณินหันไปมองเส็ง เส็งรู้ว่าคณินหันมา จึงแกล้งทำเป็นไม่ยี่หระ ไม่ชื่นชม ไม่สน คณินไปยืนด้านหน้าทุกคนที่มาแสดงความยินดี
“ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ ทั้งที่เชิญ”
คณินมองสมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดง ทรง พล จิ๋น และหัวหน้าแก๊งกระต่ายป่า
“และที่ไม่ได้เชิญ”
คณินหันไปมองเป้ง และสมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงที่เหลือที่เข้าข้างบุ๊ง ทุกคนยิ้มไม่เต็มปาก
“ซึ่งผมอยากจะเชิญทุกท่านมาร่วมฉลองเปิดโรงสีใหม่อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลา”
ไทยืนรวมกลุ่มกับคนงาน 5 คน
“โรงสีที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ ไมใช่โรงสีของผมคนเดียว แต่เป็นของ ทุกคน”
สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงพากันปรบมือ
“ทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยและสู้มาด้วยกัน และพร้อมจะสู้ไปด้วยกันอีกนานๆ”
สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงหน้าเสีย
“ผมขอสู้ด้วยคน ยินดีด้วยครับ คุณคิม”
มนชิตเดินเข้ามา มือถือขวดเหล้านอก พร้อมมนสิชาที่แต่งตัวสวยพริ้ง เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนแพน มนสิชาคว้าขวดเหล้าจากมือมนชิตนำไปมอบให้คณิน สะบัดสะบิ้ง ส่งสายตาให้คณินอย่างเปิดเผย
“ขอให้ร่ำรวย เฮงๆ นะคะคุณคิม”
ซกเค็งเห็นมนสิชาแล้วหน้าเหวอ เพราะเธอคือเด็กสาวหัวสูงที่เคยเจอที่ศาลเจ้า มนสิชาหันมาเห็นซกเค็งก็ตกใจ แพนจ้องคณินที มนสิชาที รู้สึกใจคอไม่ดี เธอละสายตา กลับไปพบสายตาของมนชิตแทน มนชิตยิ้มเยาะใส่เธออย่างเปิดเผย นั่นเพราะเขาคิดจะให้คณินกับมนสิชาแต่งงานกันตามแผนเดิมของครอบครัว
เสียงเครื่องดนตรีอึกกทึกครึกโครมนำมา เสียงการเชิดสิงโตดังเข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนหันไปมองด้วยความสนใจ ไทเห็นทุกคนหันไปสนใจขบวนสิงโต จึงได้โอกาสเดินออกจากงานไป
บุ๊งเดินนำขบวนสิงโตเข้ามา เป็นสิงโตตัวไม่ใหญ่ มีแป๊ะยิ้มร่ายรำมาด้วย ตามหลังด้วยขบวนนักดนตรี
ทุกคนปรบมือให้แก่ขบวนสิงโต คณินมองบุ๊งด้วยความขบขัน วิภาดามองสิงโตที่กำลังเชิดอย่างคึกคักสนุกสนาน เธอมั่นใจว่านั่นคือกริช สิงโตต่อตัวเชิดขึ้นกลางอากาศ
โอชินแฝงตัวเข้ามา กำลังจะชักอาวุธ แต่ไทมาจับลากออกไป ไทจับข้อมือที่ถือมีดของโอชินไว้แน่น สายตาดุดัน
“คนในโรงสีนี้ เป็นของฉัน เธอไม่มีสิทธิ์”
“งานของฉันคือฆ่า”
“แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไปซะ”
ไทผลักมือโอชินออกไป โอชินมองไทตาวาว
“ที่สำคัญ ห้ามแตะนายคิมเด็ดขาด”
โอชินยิ้มเหี้ยม
“ฉันจะฆ่าทุกคนที่เป็นเสี้ยนหนามของนาย”
“ผิดแล้ว เธอฆ่าได้ เฉพาะที่นายสั่งเท่านั้น”
โอชินสีหน้าเย็นชา หันหลังให้ไท จะก้าวออกไป
“ฉันรู้นะว่าเธอมาที่นี่เพราะจุดประสงค์อะไร ถ้าคิดจะแก้แค้นให้ผัวล่ะก็ เลิกคิดซะ มันไม่ใช่หน้าที่เธอ โมจิ”
โอชินสีหน้าเรียบเฉย แม้ในใจเดือดปุด เดินออกไปอย่างสงบ ไทมองตามด้วยสายตาเย็นชาไม่แพ้กัน
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 5 (ต่อ)
สิงโตเชิดจบไปหนึ่งยก บุ๊งเดินเข้ามาหาคณิน ซึ่งยืนอยู่ข้างเส็งที่นั่งรถเข็น
สายตาของเส็งเลื่อนลอย ไม่สนใจใคร บุ๊งเหลือบมองเส็ง ด้วยสายตาเย้ยหยันสมน้ำหน้านิดๆ
“ขอบคุณมากครับเสี่ยบุ๊งที่กรุณามาแสดงความยินดี”
“แน่นอน อั๊วต้องมาอยู่แล้ว หัวหน้าเปิดกิจการใหม่ทั้งที ที่สำคัญ อยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าพี่เส็งหนังเหนียว เอ๊ย สบายดีจริงๆ”
“ใครพี่มึง”
“อุ๊ย”
ทุกคนพากันหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่ลูกน้องของบุ๊งเอง
“พอจะรู้ว่าความจำพี่มีปัญหา แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดจำน้องรักคนนี้ไม่ได้”
“ทำไมอั๊วจะจำลื้อไม่ได้ นั่งเรือลำเดียวกันมาจากเมืองจีน ลื้อมันพวกชอบลักขโมยของกินบนเรือ เกือบถูกโยนลงทะเลหลายครั้ง”
ทุกคนฮือฮา บุ๊งหน้าเสีย ส่ายหน้าว่าไม่จริง
“เอาเป็นว่า เชิญทุกท่าน ดื่มกินกันอย่างมีความสุขนะครับ เต็มที่ อย่าได้เกรงใจ”
คณินพูดพลาง เห็นแพนถูกมนสิชาลากออกจากงานไป มนสิชาลากแพนมาที่มุมโรงสี หมุนตัวต่อหน้าแพน
“เป็นไง ฉันสวยมั้ย”
“อือ”
“แล้วคุณคิมจะชอบมั้ย”
“ไปถามเขาเองมั้ย”
“ถามแน่ แต่อยากแน่ใจก่อน”
“มีอะไรอีกมั้ย”
“มี เธอไม่ต้องมาทำงานที่โรงสีแล้วนะ พรุ่งนี้ ฉันจะมาทำงานขัดดอกเอง”
“ฉันหูฝาดไปรึเปล่า”
“ฉันจะทำทุกอย่างแทนเธอเอง”
แพนมองมนสิชาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“แต่งานที่นี่หนักนะ”
“ไม่เกี่ยง ขอแค่ได้อยู่ใกล้คู่หมั้นฉันก็พอ”
แพนส่ายหน้าระอาใจ หันไปเห็นไทเดินหายไปทางโกดังข้าว จะเรียกก็เรียกไม่ทัน
“ฉันจะแต่งงานกับคุณคิ้มให้ได้ และฉันจะมีลูกชายคนโตให้เขาด้วย”
แพนยังสงสัยว่าไทเข้าไปในโกดังข้าวทำไมในเวลานี้
ทุกคนกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน บุ๊งดื่มพลางมองหน้าเส็งอย่างสงสัย ว่าเส็งความจำเสื่อมจริงหรือไม่ เส็งแสร้งทำเป็นสนุกกับสิงโตที่ยังเชิดไม่จบ คณินหันไปเห็นมนสิชาเดินเข้างานมาคนเดียว จึงแปลกใจที่แพนไม่กลับออกมาด้วย มนสิชามานั่งลงข้างๆ มนชิต คณินกำลังจะเดินออกจากงาน เพื่อไปหาแพน แต่บุ๊งเดินไปขวางหน้า
“อั๊วจะรอดูว่าโรงสีของลื้อจะไปได้สักกี่น้ำ”
“ยินดีครับ”
“ถ้าลื้อเจ๊งภายในสามเดือน”
“ผมจะยกตำแหน่งหัวหน้าแก๊งให้เสี่ยเลย”
“นี่ลื้อพูดเองนะ”
“ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น”
คณินผละจากบุ๊ง เดินหายไปทางโกดังข้าว บุ๊งชักสีหน้าใส่
แพนเดินเข้ามาในโกดัง สอดสายตามองหาไท คณินเข้ามาทางด้านหลังแพน
“นัดใครไว้เหรอ”
แพนตกใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับคณินอย่างใกล้ชิด เธอรั้งตัวไว้ไม่อยู่จะร่วง คณินคว้าตัวไว้
“ว่าไง”
“เปล่า”
“ถ้างั้น ออกไปด้วยกันหน่อย ฉันจะประกาศให้ทุกคนรู้จักว่าที่เมียของฉัน”
“ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”
โอชินขยับเข้ามาด้านหลังของทั้งคู่ จ้องมองนิ่งๆ คณินก้มลงไปหาใบหน้าแพนอีก จนแพนต้องเบี่ยงหน้าหลบ
“อย่านะ”
“ก็ได้ เอาไว้แต่งงานกันก่อน”
แพนตกใจตาลุก แต่ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงปืนดังลั่นขึ้น ทุกคนหมอบลงอย่างอัตโนมัติ ก่อนเสียงลุกฮือ คนเชิดสิงโตล้มฟุบลงไป เลือดไหลนองเต็มพื้น แป๊ะยิ้มตะโกนลั่น
“มีคนถูกยิง”
คณินกอดแพนไว้แล้วทรุดหมอบลง แพนกอดคณินไว้แน่น โอชินดึงมีดออกมา กำไว้แน่น ขยับฝีเท้าแผ่วเบาจะเข้าไปหาทั้งคู่ แต่ถูกไทดึงตัวออกไปเสียก่อน แพนผลักคณินออกจากตัว เขินอาย
“เกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ”
“ออกไปข้างนอกเหอะ”
แพนหันไปเห็นปิ่นปักผมตกอยู่ไม่ไกลจากที่เธอและคณินอยู่
“คุณไปเถอะ ฉันจะเข้าห้องน้ำ”
“มาปวดอะไรตอนนี้”
“ท้องไส้ฉัน คุณเกี่ยวอะไร”
“งั้นเสร็จธุระแล้ว รีบออกไปนะ”
คณินผละจากแพน วิ่งออกไป แพนคลานไปหยิบปิ่นปักผมมาดูด้วยความสนใจ
“ของใคร”
บริเวณโกดังเก็บของ ไทชี้หน้าโอชิน
“ไป”
“สองคนนั้น”
“อย่ายุ่งกับพวกเขา”
“นายรักผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นรักศัตรูของเรา มันฆ่าคนรักของเรา เราก็จะฆ่าคนรักของมันก่อน ค่อยฆ่ามัน”
ไทผลักโอชินติดฝาผนัง แล้วต่อยลงไปเหนือหัวไหล่ของเธอ
“ถ้าฉันยังเห็นเธอป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ฉันฆ่าเธอแน่”
โอชินยิ้มขำ ไม่กลัวคำขู่เลยแม้แต่น้อย
“เตรียมฆ่าฉันได้เลย”
บริเวณโรงสี ทุกคนแตกตื่น ทั้งหมอบทั้งคลาน หลบไปคนละมุม สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงกระจัดกระจายไปอยู่ทุกจุด เพื่อหาตัวคนร้าย แต่ไม่พบแม้แต่เงา บุ๊ง วิภาดาตกใจวิ่งกรูไปที่สิงโตทันที เพราะคิดว่าเป็นกริช กิตติกอดมนสิชาไว้แน่น ปกป้องเต็มที เพราะคิดว่าเป็นเส็ง
“เถ้าแก่จะต้องไม่เป็นอะไรครับ ผมขอตายแทนเถ้าแก่”
“อั๊วอยู่นี่”
กิตติเงยหน้ามอง เห็นเส็งยังนั่งอยู่บนรถเข็นก็หน้าเหรอหรา มนสิชาผลักอกกิตติเต็มแรง แล้วผละออกจากอ้อมกอดไปอย่างเจ็บใจ บุ๊งยืนช็อกต่อหน้าศพลูกชาย
“อากริช”
วิภาดาตัวสั่นสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อว่ากริชจะตายแล้วจริงๆ มนสิชาหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ หันมองหาแพน เมื่อไม่เจอจึงวิ่งออกไป เป้ง มนชิต และสมาชิกแก๊งล้อมวงเข้ามาดู เวทนาเห็นใจบุ๊ง บุ๊งกอดศพร่ำไห้
“ไม่จริง ลื้อยังไม่ตาย”
วิภาดาน้ำตาเกือบไหล แต่กลั้นไว้อย่างอดทน คณินวิ่งเข้ามา เห็นบุ๊งกอดศพลูกชายไว้แน่น ก็ให้รู้สึกเห็นใจไม่น้อย บุ๊งเงยหน้ามองคณิน โกรธเป็นไฟ ปล่อยตัวลูกชายลง ตรงเข้าจับคอเสื้อคณินไว้
“ลื้อใช่มั้ย ลื้อยิงลูกชายอั๊ว”
คณินจับมือบุ๊งสลัดออกไป
“ผมไม่ได้ยิง”
“แต่ลื้อเป็นคนเดียวที่หายไป ถ้าไม่ใช่ลื้อแล้วใคร”
คำพูดของบุ๊ง ทำให้ทุกคนฉุกคิด
“งั้นทุกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็เป็นคนร้ายได้หมดสิ”
“ลื้อนั่นแหละคนร้าย”
“ป๊า”
กริชวิ่งเข้ามากลางวง บุ๊งชะงัก วิภาดาแอบดีใจที่กริชยังไม่ได้ตาย แต่กลัวกริชเห็น รีบเดินกลับไปหาซกเค็ง
“ผีหลอก”
“ผมท้องเสีย เลยให้คนอื่นมาแทน แล้วทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
ไทเข้ามายืนรวมกับพวกคนงาน ส่งสายตาให้มนชิต มนชิตเจ็บใจ ที่ไม่ใช่กริช แต่เป็นลูกน้องแทน กริชหน้าซีดเมื่อรู้ว่าคนเชิดสิงโตตายเพราะรับเคราะห์แทนเขา
“มีคนตั้งใจจะฆ่าลูกชายอั๊ว และคนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ”
บุ๊งชี้ไปที่คณิน ทุกคนมองคณินเป็นตาเดียว ซกเค็งจับมือวิภาดาแน่น เส็งมองคณินแล้วยิ้มเยาะว่าคณินจะรับมือไหวหรือไม่
แพนเดินหาเจ้าของปิ่นปักผมไปอย่างระมัดระวัง โอชินเดินผ่านหลังแพนไปอย่างเร็ว แพนถอดใจ ไม่เจอใครสักคน
“สงสัยเราจะคิดมากไปเอง”
โอชินยืนอยู่ด้านหลังแพน เงื้อมีดขึ้นจะปักหลัง แพนเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่ที่พื้น จึงย่อตัวลง โอชินเหวี่ยงมาสุดแรง เกือบล้มคะมำ แต่ตั้งหลักทัน แพนหยิบเหรียญตราแก๊งเหยี่ยวแดงขึ้นดูอย่างแปลกใจ
“อะไรเนี่ย”
“แพน”
มนสิชาเดินตึงตังเข้ามา โอชินขยับเข้าสู่ที่กำบังตัวอย่างเร็ว แพนเก็บเหรียญไว้ในเสื้อ ลุกยืนเผชิญหน้ากับน้องสาว
“เกิดเรื่องแล้ว”
“ทำไม”
“นายกริช ลูกชายเสี่ยบุ๊งตายแล้ว”
“อะไรนะ”
แพนวิ่งแซงมนสิชาออกไป มนสิชาวิ่งตามหลัง โอชินจ้องมองแพนด้วยสายตาเย็นชา
คนรักของศัตรูคือเป้าหมายสำคัญของเธอ
บริเวณโรงสี บุ๊งคว้าจับคอเสื้อคณินไว้
“ลื้อมันหมาลอบกัด”
กริชพยายามห้าม ดึงตัวพ่อออกมา
“ป๊าอย่า”
“ถ้าจะยิง ผมยิงเสี่ยดีกว่า”
“นั่นไง แกคิดจะยิงอั๊ว แต่พลาด ใช่มั้ย”
“พูดกันดีๆ ดีกว่าครับเสี่ย ถึงยังไงก็แก๊งเดียวกัน”
มนชิตแกล้งทำไกล่เกลี่ย
“แต่ตอนที่คนร้ายยิงเข้ามา คุณคิมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้จริงๆ”
เป้งพูดขึ้น สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงที่อยู่ข้างบุ๊งพากันเห็นด้วย เส็งส่ายหน้าระอาใจ
“เปิดโรงสี รึเปิดศึกวะ”
“นายน้อยจะรับมือมาเฟียเฒ่าพวกนี้ไหวมั้ย” กิตติกังวล
“เก๊กซิม” ซกเค็งกลุ้มใจ
แพนวิ่งเข้ามา ตามด้วยมนสิชา พอเห็นกริชยังไม่ตายก็โล่งใจ คณินหันไปมองแพน ในขณะที่แพนมองกริช
“รับสารภาพมาซะดีๆ ว่าแกเป็นคนยิง” บุ๊งคาดคั้นคณิน
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ยิง”
“ถ้างั้นมีหลักฐานมั้ย” เป้งถามขึ้น
“มีใครยืนยันเรื่องที่อยู่ของคุณมั้ย” มนชิตซัก
แพนหันมองคณิน คณินไม่อยากทำให้แพนเสียหาย
“คุณคิ้มไม่ได้ยิงนะคะ”
มนสิชาเดินมาหยุดข้างๆ คณิน แล้วยิ้มระรื่น
“เพราะตอนนั้น ฉันกับคุณคิ้ม เราอยู่ด้วยกันค่ะ”
แพนอึ้งที่มนสิชาโกหก ทุกคนตกใจ บุ๊งปล่อยคอเสื้อคณิน เป้งร้อนใจ
“หมายความว่าไง อยู่ด้วยกัน”
“ไม่เห็นแปลก เป็นคู่หมั้นกัน จะแอบ”
ทุกคนหันมองคณินเป็นตาเดียว
“จริงมั้ยคะคุณคิ้ม”
คณินหันมองแพนที่ยืนนิ่ง เป้งโวยวาย
“อะไรกันคุณคิ้ม คุณทำอะไรลูกสาวอั๊ว”
“เราก็แค่ คุณคิ้ม ไม่น่าเลยนะคะ”
มนสิชาแกล้งร้องไห้
“ใช่ไม่น่าเลย”
“ลื้อ ต้องรับผิดชอบ”
เป้งเสียงดัง ทุกคนงง
เช้าวันใหม่ ซกเค็งกับวิภาดาช่วยกันจัดข้าวของสำหรับงานแต่งงานพิธีแบบจีน
คณินใส่ชุดทำงานเดินลงมาจากชั้นบน มองแม่กับน้องสาวอย่างเซ็งๆ
“ยังหาฤกษ์ไม่ได้เลย รีบเตรียมของกันทำไม”
“ใครบอกยังไม่ได้ อีกสิบสี่วันลื้อก็จะได้เมียแล้ว”
“หา ทำไมเร็วอย่างนั้น”
“ไม่เร็วได้รึ ลื้อมันไวไฟเอง เล่นพาอีไปแอบพลอดรักไม่รู้เวล่ำเวลา สวรรค์ถึงได้ลงทัณฑ์ให้เกิดเรื่องร้าย ยังไงเราก็ต้องรีบมีงานมงคล ไม่งั้นจะแย่กว่านี้”
“แย่กว่านี้ยังมีอีกเหรอม้า แค่นี้ก็แย่สุดๆ ละ”
“ในที่สุด เฮียก็จะได้แต่งงานจริงๆ ซะที กับคู่หมั้นคนเดิมซะด้วย นี่แสดงว่าหนีกันไม่พ้นเนื้อคู่กระดูกคู่แต่ชาติปางก่อนแน่ๆ”
“ชาติหน้าเถอะ บอกเป็นร้อยรอบแล้วว่าไม่มีอะไร ทำไมไม่มีใครเชื่อ”
“พอเถอะอาคิม ภาพที่อีร้องห่มร้องไห้บอกว่าลื้อลวนลามยังติดตาอั๊วอยู่เลย เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวซะดีๆ ก่อนที่นังหลินมันจะมาฉีกอกอั๊ว”
คณินกลุ้มจนหัวจะระเบิด เขาจะทำอย่างไรดี
มนสิชาลองชุดแต่งงานอยู่ที่บ้านอย่างมีความสุข หลินถามอย่างกังวล
“ลื้อมั่นใจเหรอว่าจะแต่งงานกับเขาจริงๆ”
“มั่นใจสิม้า อยากเข้าหอจะแย่อยู่แล้ว”
“เดี๋ยวตีเลย ไม่มีความเป็นกุลสตรี แถมยังตาต่ำ อยากลำบากนักก็ตามใจ”
“ไม่ลำบากหรอก อีกไม่นาน คุณคิมก็จะกลับมารวยกว่าใครในปากน้ำโพ เชื่อหนูสิ”
เป้งกับมนชิตนั่งกินข้าวต้มด้วยกันที่โต๊ะ
“แล้วถ้าไม่รวยล่ะ”
“ก็หาผัวใหม่สิ”
แพนแต่งตัวเตรียมไปทำงานที่โรงสี มนชิตหันไปมอง
“ไม่อยากจะเชื่อ อยู่ๆ ก็ได้หัวหน้าแก๊งมาเป็นน้องเขย”
เป้งเห็นด้วยกับมนขิต
“นั่นสิ แต่ก็ดีเหมือนกัน พอสองคนนี้แต่งงานกันแล้ว ลื้อก็ไม่ต้องไปทำงานขัดดอกแล้วนะ กลับมาช่วยงานที่บ้านเหมือนเดิม”
“มาทำงานขัดดอกแลกข้าวที่บ้านแทนใช่มั้ย”
แพนตอบสั้นๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป เป้งอารมณ์เสีย แต่มนชิตอารมณ์ดี
กิตติเคาะประตู เดินขึงขังเข้ามาที่โต๊ะทำงานของคณิน
“สอบสวนคนงานทุกคนแล้ว ไม่มีใครเห็นคนร้ายเลยครับ”
“ไม่กระจอก มีการวางแผนมาอย่างดี ไม่ได้แค่หวังผลให้ใครสักคนตาย”
“พวกมันต้องการลดความน่าเชื่อถือของนายน้อยใช่มั้ยครับ”
“ด้วย แต่สำคัญกว่านั้น ช่วยสร้างศัตรูให้เราอื้อเลย”
“พวกมันใจดีเกินไปรึเปล่าครับ”
“จากเสี่ยจั๊ว มานายกริช ตอนนี้ทั้งแก๊งพังพอน แก๊งกวางสวรรค์ ถอยห่างจากเราหมด”
“เหลือแค่กระต่ายป่า”
“ชักเป็นห่วงพวกนี้ซะแล้ว เราต้องเตือนพวกเขา”
คณินเดินนำกิตติออกไป
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 5 (ต่อ)
แพนเดินเข้ามาส่วนหน้าของโรงสี เห็นคนงานกำลังทำงานกันอยู่ตามปกติ
เธอมองหาไท เพราะยังสงสัยเรื่องที่เธอเห็นไทแว่บเข้าโกดังในวันเกิดเหตุ คนงานคนหนึ่งเดินผ่านมา
“ขอโทษนะ เห็นไทมั้ย”
คนงานชี้ไปทางหนึ่ง แพนเดินไปตามทางที่คนงานชี้ให้ คณินกับกิตติเดินเข้ามา คณินเห็นแพนเดินออกไป จึงหันมาถามกิตติ
“แน่ใจนะว่าสอบสวนครบทุกคนแล้ว”
“ครับ”
“แพนล่ะ”
“จริงด้วย เหลือแต่แพนคนเดียวครับ”
“ไปตามเธอให้ไปพบฉันที่ห้องเดี๋ยวนี้”
คณินเดินกลับไปที่ห้องทำงาน
“อ้าว ไหนว่าจะไปหาพวกกระต่ายป่า”
กิตติเกาหัวแกรก
แพนเดินเข้ามามุมเดียวกับที่เจอเหรียญตราเหยี่ยวแดง เธอเห็นไทเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างตามพื้น แพนอดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นบางอย่างที่อยู่กับเธอ จึงเดินไปหาไทอย่างเงียบๆ
“หาอะไรอยู่เหรอ”
ไทตกใจ ลุกยืนพรึ่บ รีบปั้นหน้าให้ปกติที่สุด
“เปล่า พอดีเห็นหนูวิ่งผ่านแวบๆ ไม่แน่ใจเลยก้มหาดู”
“แล้วเจอมั้ย”
“ไม่มี สงสัยจะตาฝาดไปเอง”
แพนตัดสินใจล้วงของทั้งสองอย่างที่ซ่อนไว้ในตัว เพื่อเอาออกมาให้ไทดู
“ฉันมีอะไรให้ดู นายรู้มั้ยมันคืออะไร”
“อยู่นี่เอง”
กิตติเดินเข้ามา แพนละมือจากชายพกของเสื้อ หันไปมองกิตติ ไทถือโอกาสเดินออกไป
“ตามหาจนทั่วเลย”
“ตามหาฉันทำไม”
“คุณคิมเรียก”
แพนเม้มริมฝีปากแน่น เวลานี้ไม่อยากเห็นหน้าคณินที่สุด
คณินเดินไปมาในห้อง ด้วยใจกระวนกระวาย เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาดีใจ แต่กลับต้องยิ้มค้าง เมื่อเห็น
มนสิชาโผล่เข้ามาแทนที่จะเป็นแพน ด้วยเสื้อผ้าสวยงามเน้นสัดส่วน
“เอากำลังใจมาส่งค่ะ”
คณินยิ้มค้าง
“ดีใจจนพูดไม่ออกเลยใช่มั้ยคะ”
“เรียกว่าอึ้งจะเหมาะกว่า”
“ไม่ต้องอึ้งค่ะ ต่อไปคุณคิมจะได้เห็นหน้าสิจนชินเลย”
“อึ้งกว่าเดิมอีกครับ”
“เพราะสิจะมาซ้อมเป็นเมีย เอ๊ย ซ้อมเป็นเสมียนแทนแพนค่ะ”
คณินตวาดลั่น
“ทำไมต้องแทน แพนจะไปไหน”
มนสิชาตกใจ
“เอ่อ ป๊าให้กลับไปช่วยงานที่บ้านค่ะ”
“ผมไม่ยอม”
“อึ้งค่ะ”
“แพนต้องทำงานที่นี่เท่านั้น”
“อึ้งกว่าเดิมอีกค่ะ”
“ส่วนคุณไม่ต้องมา”
“อึ้งที่สุด”
“คือไม่อยากให้ทำงานหนัก อีกอย่าง ฝุ่นมันเยอะ สกปรก เดี๋ยวผิวจะเสีย”
“อ๊าย คุณเป็นห่วงสิ”
มนสิชาวิ่งเข้าหาคณินจะกอด ชายหนุ่มหลีกแล้วเดินหนีอย่างรวดเร็ว
“ผมจะทำงาน กลับไปได้แล้ว”
มนสิชาจู่โจมรวบตัวคณินแล้วกอดแน่น พลางจินตนาการไปเอง
“ปล่อยค่ะ อย่าทำสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
ประตูเปิดผลัวะออก คณินกับมนสิชาหันไปเห็นแพนยืนอยู่หน้าประตู
แพนหน้าเสียเห็นคนกอดกัน รีบเดินหนีไป คณินผลักมนสิชาออกอย่างแรง แล้ววิ่งเดินตามแพนไป มนสิชาสะบัดหน้าใส่คณินอย่างงอนๆ
แพนเดินมาอย่างเร็ว คณินเดินตามมาถึงตัว ก็ฉุดมือแพนพาไปที่ห้องเก็บของ แพนสลัดมือจากการเกาะกุมจนหลุด
“ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ที่ผมกำลังจะแต่งงาน”
“จะให้รู้สึกอะไร ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณจริงเหรอ”
“ความจริง มันก็เรื่องของฉันด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกับน้องสาวฉันแต่งงานกัน หนี้สินของบ้านฉันก็จะหมด ฉันเป็นไท ไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้ว”
“อ้อ สงสัยอยากให้ผมแต่งงานกับน้องสาวคุณจนตัวสั่นสินะ”
“เรื่องที่จะพูดมีแค่นี้ใช่มั้ย”
แพนทำท่าจะไป คณินเกี่ยวแขนเธอไว้
“มีอีก”
“รีบพูดมา ฉันมีงานต้องสะสางเยอะแยะ”
“ผมรัก”
อยู่ๆ เหรียญตราสัญลักษณ์แก๊งเหยี่ยวแดงก็ล่วงลงจากตัวของแพน คณินหยุดพูด ก้มมองเหรียญ แพนเห็นหล่น จึงก้มลงจะหยิบเหรียญ แต่คณินหยิบไปเสียก่อน เขามองแพนสายตากร้าว กำเหรียญแน่น
กิตติขวางหน้ามนสิชาไว้ ไม่ให้ออกจากห้องทำงานของคณินได้
“ถอยไป”
“ไม่”
“แกอยากลองดีเหรอ”
“อยาก”
มนสิชาจะเตะผ่าหมาก กิตติหลบทัน
“อย่าคิดว่าจะใช้ท่านี้ได้ผลกับผู้ชายทุกคน”
“แล้วท่านี้ล่ะ”
มนสิชาต่อยท้องกิตติอย่างแรงจนตัวงอ
“ได้ผลครับ”
“ใครก็ขวางมนสิชาไม่ได้ คุณคิมคะ อยู่ไหนเอ่ย”
มนสิชาเดินตะโกนเรียกคณินไปเรื่อย
คณินยื่นเหรียญคืนให้แพน แพนจะรับ แต่เขากลับไม่ให้
“อยากได้มากมั้ย”
“อย่าเล่นเป็นเด็กๆ เลยนะ”
“สนุกดีออก”
“งั้นเชิญสนุกไปคนเดียว”
“ได้เหรียญนี่มาจากไหน”
“ถ้าคุณอยากได้ก็เอาไปเลย”
“ผมถามว่าได้มาจากไหน”
แพนไม่ตอบจะเดินหนี คณินเข้าขว้างหน้า ตาดุ
“ฉันจะไปทำงาน”
“ไม่ต้องขยันตอนนี้หรอก บอกมาว่าได้เหรียญมาจากไหน”
“ฉันเจอมันหล่นอยู่บนพื้น พอใจรึยัง”
“ดูเหมือนคุณจะเจอของทุกอย่างที่หายไปนะ มันบังเอิญเกินไปรึเปล่า”
“หมายความว่าไง”
“ตามที่พูด”
คณินโยนเหรียญเล่นไปมา สายตายังดุกร้าว
“คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ได้เรื่อยๆ นะ”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
“ใช้ไม้ตายอีกแล้ว หน้าซื่อไร้เดียงสา ฉันไม่เข้าใจ ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำ”
“ถ้าคุณยังพูดไม่รู้เรื่อง ฉันขอตัว”
แพนจะเดินไป คณินคว้าข้อมือเธอไว้ แล้วดึงตัวไปใกล้
“คุณยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
มนสิชาเดินตามหาคณินไปทั่ว
“คุณคิ้มคะ อยู่ไหนคะ ยู้ฮู”
กิตติเดินตามติด ไม่ปล่อยให้มนสิชาละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
“ทำไมเป็นแบบนี้ สิอุตส่าห์แต่งตัวสวยมายั่ว เอ๊ย มาเยี่ยม คุณคิ้มน่าจะพาสิเดินดูรอบๆ โรงสี แนะนำให้พวกคนงานรู้จักว่าที่ภรรยาสิ ไม่ใช่มาหายหัวไปแบบนี้”
“วันนั้น คุณอยู่กับนายน้อยจริงเหรอ”
“จริงสิ ตอนเสียงปืนดัง คุณคิ้มกำลังลวนลามฉันอยู่ เขาเมาน่ะ ฉันสู้แรงเขาไม่ไหว”
“เลยปล่อยเลยตามเลยว่างั้น”
“ก็ฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่”
“นายน้อยไม่น่าจะไม่ดูตาม้าตาเรือนะ”
“ว่าไงนะ”
“เปล่าครับ คือ ปกตินายผมเป็นสุภาพบุรุษจะตายครับ ให้เกียรติผู้หญิงสุดๆ”
คณินย่างสามขุมเข้าหาแพน หญิงสาวถอยร่นจนหลังชิดกำแพง
“บอกมาว่าเธอขโมยตราสัญลักษณ์ไปให้ใคร”
“อะไรของคุณ ฉันไม่ได้ขโมย ฉันเจอมันในโกดัง”
“ในโกดังผมเนี่ยนะ เจอเมื่อไหร่”
“วันเปิดโรงสี”
“จริงเรอะ”
“เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ”
“ถ้าลองเชื่อดู ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ต้องเป็นใครสักคนที่อยู่ในงานใช่มั้ย”
“ฉันไม่เข้าใจ คุณพูดเรื่องอะไร เหรียญนี่มันสำคัญยังไง”
“สำคัญยังไงก็ลองไปถามนายเธอดูสิ ทำงานให้ใครล่ะ”
“ฉันจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าฉันไม่มีนายบ้าบอคอแตกอะไรนั่น และฉันไม่ได้ขโมย”
“เมื่อไหร่จะพูดความจริงกับผมซะที”
“ความจริงงั้นเหรอ ได้ ฉันเกลียดคุณ”
คณินอึ้ง ไม่คิดว่าแพนจะพูดความจริงเรื่องนี้ เขาโกรธจะก้มจูบแพน แพนควานหาสิ่งของที่พอแทนอาวุธได้ จึงเจอปิ่นปักผมที่เหน็บไว้ ดึงออกมาปักบนหลังคณินทันที
“โอ๊ย”
คณินมองหน้าแพน ไม่อยากจะเชื่อสายตา แพนได้สติ
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
คณินตาปรือเพราะพิษยาสลบจากปิ่นอันนั้น ทำให้เขาล้มฟุบเข้าหาแพน แพนตั้งตัวไม่ทันล้มลงนอนตามร่างคณินที่ทับลงมา ทำให้ปิ่นปักผมที่หลุดจากมือแทงเฉียดเข้าที่ต้นขาของเธอไปด้วย คณินกับแพนนอนฟุบอยู่ด้วยกันในห้องเก็บของ
มนสิชามาที่ห้องทำงานของแพน อารมณ์เสียมากที่ไม่เจอแพน กิตติตามมาด้วย
“แพนก็ไม่อยู่เหรอ หายไปไหน”
“ไม่รู้สิครับ ไม่ได้นั่งเฝ้า”
“หายไปพร้อมกับคุณคิ้มเลย หรือว่าสองคนนี้ไปด้วยกัน”
“ไม่รู้สิครับ ไม่ชอบยุ่งเรื่องของเจ้านาย”
“แล้วรู้อะไรบ้าง”
“ไม่รู้สิครับ ผมรู้อะไรบ้างนะ”
“กวน ถ้าฉันแต่งงานกับคุณคิ้มเมื่อไหร่ คนแรกที่ฉันจะไล่ออกก็คือนาย”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ขอบคุณที่บอกล่วงหน้า ผมจะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ”
กิตติไม่กลัวคำขู่ของมนสิชาเลยสักนิด
“ปากดีไปเถอะ ตกงานไม่มีอะไรกิน อย่าคลานมาของานทำละกัน”
กิตติเบื่อมนสิชา จึงเดินออกไป
“ส่วนนังแพน ต่อไปนี้ ห้ามอยู่กับคุณคิ้มสองต่อสองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ฉันจะไล่ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาเลยล่ะ”
มนสิชาหันกลับมายิ้มยโส แต่ไม่เห็นกิตติแล้ว
“อ๊าย ปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวได้ไง ไอ้บ้า”
มนสิชาเดินสะบัดสะบิ้งออกจากห้องทำงานแพนไป
กริชกำลังฝึกลูกศิษย์เชิดสิงโต โดยมีลูกน้องบุ๊ง 4 คนเดินตามทุกฝีก้าว
ไม่ว่ากริชจะเดินไปทางไหน ทั้งสี่ก็จะตามติด ไม่ปล่อยให้ห่างสักวินาทีเดียว กริชทำอะไรก็ไม่เป็นอิสระ เพราะถูกตามติดเป็นเงาตามตัว เลยโมโห
“เลิกตามซะทีสิวะ”
“ไม่ได้ครับ นายสั่งไว้”
“แต่ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะโว้ย”
“พวกเรารู้ครับ แต่เรามีหน้าที่ปกป้องคุณทุกฝีก้าว”
“ไม่ให้ใครหน้าไหนมาลอบทำร้ายคุณได้”
“แต่มันมากไป เลิกทำตัวเป็นเงาฉันซะที มันน่ารำคาญ”
“กรุณาอดทนด้วยครับ เรามีหน้าที่”
กริชไม่รอให้ลูกน้องบุ๊งพูดจบ เขาออกวิ่งทันทีแบบไม่คิดชีวิต ลูกน้องบุ๊งวิ่งตามไล่จี้กริชออกไปข้างนอกจ้าละหวั่น
บุ๊งกับคนขายปืนนั่งอยู่ด้วยกันภายในบ้าน
“เอาแบบนี้อีก 10 กระบอก”
“หา นี่มันปืนนะครับ ไม่ใช่ข้าวหลาม”
“เอ่อ ถ้าจะซื้อข้าวหลาม ไม่เรียกลื้อมาหรอก หาได้รึเปล่าล่ะ”
“ก็พอจะมีปัญญาอยู่หรอกครับ แต่ขอโทษเถอะ เสี่ยจะไปทำสงครามที่ไหน”
“เปล๊า เอาไว้ป้องกันตัว ช่วงนี้โรคหมาบ้ามันระบาด”
“เหรอครับ แต่แถวบ้านผมเป็นฤดูติดสัตว์นะครับ ออกกันมาเต็มถนน”
“สงสัยลื้อจะไม่ได้ขายปืนอั๊วแล้วล่ะ”
“ทำไมหรือครับ”
“อั๊วจะยิงลื้อ ในสามนาที ถ้าลื้อยังไม่ออกไปจากบ้านอั๊ว”
คนขายปืนลุกออกไปอย่างเร็ว บุ๊งหยิบปืนบนโต๊ะขึ้นมา มองด้วยสายตาขึงขัง
“ใครที่มันหยามอั๊ว รอกินลูกปืนได้เลย”
วิภาดามาสั่งซื้อสมุนไพรจากพ่อค้าชาวจีนในร้านขายสมุนไพร
“ช่วยจัดสมุนไพรตามนี้ให้ด้วยจ้ะ”
พ่อค้าจัดสมุนไพรตามใบสั่งของวิภาดาอย่างคล่องแคล่ว
“ของไม่ครบนะ ใบแปะก๊วยหมด”
“ว้า สำคัญซะด้วยสิ”
“เย็นๆ คนหาสมุนไพรจะมาส่งของ ลื้อมาดูอีกที”
วิภาดาผิดหวังนิดๆ เดินออกมาจากร้าน มีลูกน้องคอยดูแลความปลอดภัย
“ถ้ายังไม่ได้ใบแปะก๊วยก็ต้มยาไม่ได้”
กริชกระโจนออกมาจากซอย แล้ววิ่งเร็วรี่ ลูกน้องบุ๊งทั้งสี่โผล่มาคนละทิศละทาง หันมองหากริช กริชวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปในตลาด วิ่งลัดเลาะเหมือนคนหนีตาย พ่อค้าแม่ค้าตื่นตกใจเกิดอะไรขึ้น วิภาดากับลูกน้องเดินอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามตลาด เห็นกริชวิ่งหนีกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน
“นายกริช”
กริชวิ่งผ่านตลาด ตรงมาทางที่วิภาดายืนอยู่
“ตามมาให้ทันสิ”
“หยุดนะครับ หยุดเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าสะพายย่ามผ้าขาวม้าที่บรรจุสมุนไพรไว้เต็มเดินเข้ามา กริชวิ่งอย่างเร็วระงับฝีเท้าไม่อยู่ ชนโครมกับหัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าจนย่ามผ้าขาวม้าลอยลิ่วตกลงไปในคลอง
“เฮ้ย”
วิภาดากับลูกน้องรีบเดินมาช่วยหัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าที่โดนกริชชนจนหงายหลัง
“เป็นไงบ้างคะ”
กริชนอนหงายอยู่เช่นเดียวกัน แต่วิภาดาไม่สนใจ กริชลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว ลูกน้องทั้งสี่ รุมเข้ามาช่วย หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าร้องโอดโอยเพราะเจ็บก้น วิภาดาหันมาต่อว่ากริช
“เล่นอะไรกันน่ะ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
“ถุงยาสมุนไพรล่ะ หายไปไหน”
ทุกคนชี้ไปที่คลอง หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่ารีบวิ่งไปดูอย่างเสียดาย
“โธ่ สมุนไพรดีๆ หายากๆ ทั้งนั้น แล้วจะเอาที่ไหนไปส่งร้านยา”
“น้าคือคนหาสมุนไพรหรือจ๊ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้แปะเจ้าของร้านยาด่าเปิงแน่”
วิภาดามองลงไปในคลอง เห็นใบแปะก๊วยลอยเกลื่อนเหนือผิวน้ำ
“ใบแปะก๊วย”
“ของยิ่งขาดตลาดอยู่ ไม่รู้จะหาจากที่ไหนไปส่งลูกค้าทัน”
วิภาดหันขวับมองกริช ตาขวาง เอาเรื่อง กริชสะดุ้ง
“พวกนาย กระโดดลงไปเก็บสมุนไพรขึ้นมาให้หมด”
“จะดีหรือวิ ของมันเสียไปแล้วนะ”
“ลงไปเดี๋ยวนี้”
“หนาวจะตาย”
“ถ้านายอยากจะผ่อนโทษหนักของตัวเองให้เบาบางลง กระโดดลงไปเก็บใบแปะก๊วยในคลองมาให้ฉันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แล้วโทษจะเหลือกึ่งหนึ่งเหรอ”
วิภาดาพยักหน้า กริชกระโดดตูมลงไปในคลอง
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 5 (ต่อ)
กิตติเดินมาส่งมนสิชาที่หน้าโรงสี
“หายหัวไปทั้งวันเลย คุณคิมนะคุณคิม ทำกับสิแบบนี้ได้ยังไง”
“คุณจะให้ผมไปส่งที่บ้านมั้ย”
“ไม่จำเป็น”
“แล้วคุณจะกลับยังไง”
รถคันงามวิ่งเข้ามาจอดหน้าคนทั้งสอง
“ไม่น่าเสียเวลามาเลย เปลืองชุด เปลืองเครื่องสำอาง”
“วันหลังก็อย่ามาสิครับ”
“เรื่องอะไร คอยดู จะมาเฝ้าทุกวันเลย”
มนสิชาขึ้นรถคันนั้น แล้วรถก็เคลื่อนจากไปต่อหน้าต่อตากิตติ ไทเดินหัวเสียออกมาเพราะยังหาตราเหยี่ยวแดงไม่พบ
“อ้าวไท เห็นคุณคิ้มกับแพนมั้ย”
“ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ไปสอบสวนกันถึงไหนวะ”
“สอบสวนอะไร”
“เรื่องที่คนเชิดสิงโตโดนยิงไง”
“แพนเกี่ยวอะไร”
“ทำไมจะเกี่ยว เป็นผู้ต้องสงสัยเต็มๆ เพราะแพนเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุเหมือนกัน บางที่แพนอาจจะเป็นมือปืนที่ทุกคนตามหาตัวอยู่ก็ได้”
กิตติเดินบ่นไปคนเดียว ไทเครียด
“เป็นไปได้มั้ยวะที่แพนจะเป็นคนพบตรานั่น”
ไทกังวลหนัก
กริชเรียงใบแปะก๊วยที่ลงไปเอามาจากในคลองลงบนตะแกรงที่ตากปลาของแม่ค้า วิภาดายืนกอดอก มองกริชอย่างกับมองทาสรับใช้ เยื้องไปลูกน้องยืนระแวดระวังภัยให้อยู่ อีกด้านหนึ่ง ลูกน้องบุ๊ง 4 คน ยังเฝ้ากริชอยู่ห่างๆ
“ล้างให้สะอาดก็ยังใช้ได้เหมือนเดิม เรายกทั้งหมดนี้ให้วิคนเดียวเลย”
“มันเป็นของเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“เอาไปต้มยาให้เถ้าแก่เส็งเหรอ”
“อือ”
“ดีจัง เถ้าแก่เส็งยังโชคดีมีลูกคอยเช็ดตัว ทำอาหาร ต้มยาให้ แต่เราสิ เจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมา ต้องทำเองหมด”
วิภาดามองหน้ากริชอย่างรู้ทัน
“ก็รีบแต่งงานมีลูกสาวสักคนสองคนสิ”
“แต่งกับใคร”
“เรื่องของนาย อย่าลืมล่ะ โทษของนายยังเหลือครึ่งหนึ่งนะ ไปล่ะ”
วิภาดาเดินไป ลูกน้องเดินตามทันที ลูกน้องบุ๊ง 4 คนวิ่งมาที่กริช
“ตามไปสิครับ”
“ตามไปให้เขาด่าเหรอ กลับไปเชิดสิงโตดีกว่า”
กริชเดินไปอีกทาง
กิตติรายงานข่าวต่อหน้าวิภาดาและซกเค็ง ส่วนเส็งนั่งรถเข็นที่มุมไกลๆ แต่ยังได้ยินที่ทั้งสามคนสนทนากัน
“ผมหาจนทั่วแล้ว ไม่เห็นคุณคิ้มแม้แต่เงาหัวครับ”
ซกเค็งสีหน้าไม่ดี
“เอาอีกแล้วรึ ทำไมลูกชายอั๊วถึงได้ชอบหายนัก เดี๋ยวหาย เดี๋ยวหาย อย่างกับหายตัวได้”
“ถ้าไม่มีที่โรงสี แล้วที่อื่นล่ะ ในตลาด โรงน้ำชา ภัตตาคาร หรือว่าโรงแรม” วิภาดาซัก
“หรือว่าไปกรุงเทพฯ” ซกเค็งถาม
“ที่ๆ คุณหนูเดา ไม่มีเลยครับ ผมไปมาหมดแล้ว แต่ที่ๆ เถ้าแก่เนี้ยว่ามา ผมยังไม่ไปหาครับ ไกลไปนิด”
“หนูลองโทรหาเฮียทรงกลดดูดีมั้ยม้า”
“ไม่ต้องหรอก วุ่นวายกระต่ายตื่นตูมกันไปเองมากกว่า อั๊วว่าอีไม่ได้ไปไหนไกลหรอก ง่วงนอน เดี๋ยวก็กลับบ้านเอง”
“หรือว่าเฮียจะหนีงานแต่ง”
ซกเค็งแอบคิดว่าเป็นไปได้
เป้งกับหลินต่างคนต่างกินข้าวคนละมุม เพราะยังโกรธกันอยู่ มนสิชาเดินเข้ามาอย่างอารมณ์เสีย
“เสียเวลา เสียเวลาจริงๆ”
“เสียเวลาอะไรของลื้อ หายหัวไปทั้งวันเลยนะ งานการไม่คิดจะมาช่วยกันบ้างรึไง”
“ม้า หนูไม่ใช่แพนนะ อย่ามาโขกหัวใช้”
“แล้วลื้อไปไหนมา แต่งตัววับๆ แวมๆ เดี๋ยวก็โดนฉุดหรอก” เป้งถาม
“ก็ลองฉุดดูสิ ดูซะก่อนว่าฉันเป็นผู้หญิงของใคร คู่หมั้นของฉันคือหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงเชียวนะ ใครหน้าไหนกล้าแหยมก็เข้ามาสิ”
“ลื้อไปขลุกอยู่ที่โรงสีมันมาทั้งวันล่ะสิ”
“คิดจะมีผัวทั้งที ถ้ายังมีโอกาสเลือก ก็เลือกให้มันดีๆ หน่อยนะลูก ไม่ใช่แค่คลำแล้วไม่มีหางก็เอา”
หลินประชดเป้ง เป้งจึงพูดประชดกลับ
“ดีที่ว่านี้ คือรวย มีเงินให้ผลาญเล่น ใครจนกลายเป็นหมาหมด”
“อย่าหาเรื่อง”
เป้งกับหลินทำท่าจะตีกัน
“ทะเลากันได้ทุกวันเลย น่าเบื่อ แต่งงานเข้าบ้านโน้นเมื่อไหร่ จะไม่กลับมาเยี่ยมเลยคอยดู”
มนสิชาเดินตึงตังเข้าห้องนอนไป
เวลาเดียวกันนั้น คณินกับแพนยังนอนกอดกันอยู่ในดงของรกเรื้อภายในห้องเก็บของของโรงสี
เช้าวันใหม่ ที่โต๊ะกินข้าวบ้านเป้ง
“อาแพนยังไม่กลับบ้าน”
”ใช่ป๊า ไม่เชื่อไปเคาะประตูเรียกดูสิ”
“หนีตามผู้ชายไปแล้วมั้ง”
“แล้วทำไมลื้อไม่บอกอั๊วตั้งแต่เมื่อคืน”
มนชิตเดินหน้าตาอิดโรยเข้ามาเพราะคุมบ่อนทั้งคืน
“เอะอะอะไรกัน เสียงดังไปถึงปากซอย”
“ก็ลูกสาวแสนดีของป๊าลื้อน่ะสิ จนป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้าน”
“อะไรนะ”
“ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หายไปจากโรงสีทั้งวัน ฉันสงสัย”
“สงสัยอะไร”
“ไม่รู้สิ ลางมันบอก คุณคิ้มก็หายไปเหมือนกัน”
เป้งกับมนชิตตกใจ เดินออกจากบ้านทันที
“จริงเหรอลูก มันทั้งคู่หายไปด้วยกัน”
“ก็ใช่น่ะสิแม่ คอยดูนะ ถ้าหนูรู้ว่านังแพนมันหลอกล่อคุณคิ้มไปทำมิดีมิร้ายล่ะก็ หนูจะตบมันกลางตลาด ประจานความร่านของมันเลย”
หลินชักจะกลัวลูกสาวตัวเองที่เป็นเอามาก
คณินลืมตาขึ้นอย่างอ่อนเพลีย สติยังฟื้นได้ไม่ดีเพราะฤทธิ์ยา เขาตาพร่าขณะมองไปรอบห้อง แต่กลับตกใจเมื่อเห็นแพนยังหลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนของเขา คณินทบทวนความจำก่อนหน้าจะตกอยู่ในสภาพหลับเป็นตายอย่างนี้ เขาหยิบปิ่นปักผมตัวต้นเหตุที่วางอยู่ไม่ไกลขึ้นมาดู
“ถูกแทงนิดเดียว ทำไมสลบวะ ตอนมีดปักท้อง ยังไม่หนักขนาดนี้”
แพนงัวเงียอยู่ในอ้อมกอดของคณิน
“ต้องมีอะไรแน่”
คณินลองดมปลายปิ่นปักผมดู
“อือหือ กลิ่นอะไรเนี่ย”
แพนซุกตัวเข้าเบียดอ้อมอกของคณินเพื่อซึมซับความอบอุ่นอย่างไม่รู้ตัว คณินมองแพน
“ไปเอาของแบบนี้มาจากไหน”
แพนได้ยินเสียงคณินแว่วมา จึงพลิกหน้าขึ้น ค่อยๆ ปรือตามอง คณินเห็นว่าแพนจะตื่นจึงหลับตาลง แกล้งทำเป็นว่ายังสลบอยู่ แพนลืมตาจนสามารถเห็นภาพรอบตัวชัด
“อยู่ที่ไหนเนี่ย”
แพนตกใจแทบช็อค เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดของคณิน
“หา”
แพนอยากจะขยับตัวออก แต่ไม่อยากให้เขาตื่น
“บ้าจริง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
แพนตั้งใจจะค่อยๆ ผละตัวออก ไม่ให้คณินรู้สึกตัว มือคณินคว้าหมับบนเอวของแพนแล้วกอดแน่น
เวลาเดียวกันนั้น หลินพูดเรื่องแพนกับคณินไปทั่วตลาด เล่าให้แม่ค้าขายปลาฟังอย่างเมามัน
“หายกันไปทั้งคืน จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าหอบหิ้วกันไปไหน”
“แล้วลูกสาวลื้อไม่เสียใจแย่เหรอ อยู่ๆ พี่สาวแย่งเจ้าบ่าวไปต่อหน้าต่อตา”
“จะไปเสียดายอะไร ยัยสิน่ะ มีลูกเศรษฐีคนมีหน้ามีตามาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน อยากตบแต่งใช้นามสกุลไหนแล้วแต่จะเลือก”
หลินพอใจที่ได้ทำลายชื่อเสียงของแพนจนป่นปี้
เป้งกับมนชิตบุกมาที่โรงสีคณินด้วยความไม่พอใจ
“นายคณินอยู่ไหน”
วิภาดา ซกเค็ง และกิตติ ยืนรับหน้าอยู่
“เอาลูกสาวอั๊วไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ใจเย็นๆ อาเป้ง ฉันให้คนงานออกตามหาในละแวกนี้แล้ว”
“ทำไมพึ่งจะหาตอนนี้ครับ สองคนนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อวานไม่ใช่เหรอ”
“เราก็ร้อนใจไม่แพ้กัน” วิภาดาบอก
“แต่มันจะเท่าหัวอกพ่อที่ลูกสาวหายไปกับผู้ชายได้ยังไง”
วิภาดา ซกเค็ง มนชิต เครียดไปตามๆ กัน ไทเดินเข้ามา
“หาในละแวกนี้จนทั่วแล้วก็ไม่เจอครับ”
เป้งกุมขมับ เดินไปเดินมา มนชิตกำหมัดแน่น
“นายน้อยหายไปไหนวะ” กิตติบ่น
“อาแพนลื้อไปไหนขอลื้อนะ” เป้งพึมพำ
จู่ๆ กิตติก็นึกบางอย่างออก
“ห้องเก็บของด้านหลัง”
คณินกอดรัดแพนไว้แน่น เพราะอยากแกล้ง ทำเป็นละเมอ
“ม้าคร้าบ ม้ากอดผมหน่อย”
“ม้าเหรอ”
“ม้า หอมแก้มผมหน่อย”
“อี๋”
คณินไม่ละเมอเปล่า พลิกตัวแพนลง แล้วคร่อมร่างแพนไว้
“ม้าคราบ หิวนม หิวนม หิวนม”
แพนตกใจตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นรัว ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น
“คุณคิม”
คณินยิ้มหวานก้มหาใบหน้าที่บิดบ่ายไปมาของแพนอย่างตั้งใจจะแกล้ง ประตูห้องถูกถีบออก ซกเค็ง เป้ง วิภาดา กิตติ มนชิต และไท กรูกันเข้ามา ทุกคนตาค้างกับภาพคลุกวงในของคณินกับแพน มนชิตเลือดขึ้นหน้า เข้าไปคว้าตัวคณินขึ้นต่อยทันที กิตติเข้าไปห้าม ต่อยและผลักมนชิตไปหลายครั้ง เป้งไปดึงแพนออกมาแล้วตบอย่างแรง ซกเค็งเข้าไปผลักเป้งจนกระเด็น เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด ซกเค็งเปล่งพลังเสียงเฮือกสำคัญในชีวิตออกมาเพื่อยุติความอลหม่าน
“หยุด”
ที่บ้านคณิน คณินกับแพนนั่งต่อหน้าทุกคน
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ”
ซกเค็ง เป้ง วิภาดา มนชิต หน้าเครียด จ้องมองทั้งคู่เป็นตาเดียว เหมือนไม่เชื่อ เส็งเลื่อนล้อรถเข็นเข้ามา อย่างกระเง้ากระงอด
“อาแพน หายไปไหนหลายวัน ไม่มาคุยกับอั๊วเลยนะ อั๊วคิดถึงลื้อจะตายอยู่แล้ว”
“กิตติ”
คณินเรียก กิตติเดินไปจับรถเข็นเส็งแล้วเลื่อนออกไปอยู่ไกลๆ อย่างรู้งาน
“อธิบายมาเดี๋ยวนี้คุณคิ้ม” เป้งไม่พอใจ
“พูดความจริง ไม่ต้องกลัว” ซกเค็งให้กำลังใจลูก
“ถ้าเราบริสุทธิ์ใจซะอย่าง ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้”
วิภาดาเข้าข้างพี่ชายเต็มที่
“แต่ผมเชื่อแพน”
มนชิตลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ที่แพนพูดมาทั้งหมด คือเรื่องจริง เพราะงั้น เราพาแพนกลับบ้านกันเถอะป๊า”
“แต่ที่แพนพูด ไม่ใช่ความจริง”
ทุกคนหันมองคณินด้วยความตกใจ แพนหันขวับมองคณินตาขวาง ว่าเขาคิดจะทำอะไร คณินได้โอกาสเปลี่ยนเจ้าสาว พูดเสียงดังฟังชัด ชนิดได้ยินไปถึงเส็งด้วย
“เราสองคนเป็นผัวเมียกันแล้ว”
ทุกคนตกใจ มนชิตเจ็บใจจนตัวสั่น เดินออกจากบ้านคณินไป
“อาแพน ลื้อก็รู้ว่าคุณคิ้มกับอาสิกำลังจะ”
“ผมไม่เคยมีอะไรกับมนสิชา แล้วก็ไม่เคยแม้แต่จะชอบ เพราะงั้น คนที่ผมจะแต่งงานด้วย คือแพนคนเดียวเท่านั้น”
คณินหันยิ้มกับแพนที่ยังตกใจช็อค จากนั้นทั้งคู่เข้าไปคุยกันในสวน แพนอาละวาดใส่คณิน
“คุณจะบ้าเหรอ ไปโกหกพวกเขาแบบนั้นได้ยังไง”
“โกหกอะไร”
“เรื่องของเราไง เราไม่ได้”
“ไม่ได้อะไร กอดกันกลมทั้งคืน ผมให้เกียรติขนาดไหนแล้วที่บอกว่าผมทำอะไรคุณ แล้วคุณทำอะไรผมบ้างรึเปล่า
“บ้า ไม่ใช่เวลามาพูดเล่น ฉันว่ายังไม่สายเกินไปนะที่จะพูดความจริง”
“ผมพูดความจริงไปหมดแล้ว”
“อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตมาล้อเล่นแบบนี้ การแต่งงานมันไม่ใช่การเล่นขายของ เล่นอีฉุด”
“แล้วใครล้อเล่น ไม่ได้ล้อเล่น เอาจริง”
“แต่”
“แต่งงานกันนะ เอ้า จริงๆ นะ แต่งงานกันนะ”
แพนมองคณินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามว่าแต่งเพราะอะไร
จบตอนที่ 5