xs
xsm
sm
md
lg

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 1

 
ณ ที่ทำการแก๊งเหยี่ยวแดง ปากน้ำโพ ปี 2500 เป็นช่วงเวลาก่อนสารทจีน 3 วัน
 
เส็ง นั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งหัวหน้า มีบุ๊ง เป้ง นั่งประชุมอยู่ด้วย มนชิตลูกชายของเป้งนั่งมุมห้อง เส็งกล่าวขึ้นท่ามกลางสมาชิกที่นั่งประชุม
“เรื่องสำคัญที่อั๊วจะแจ้งพวกลื้อก็คือ อั๊วจะขอยุติบทบาทหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดง”
สมาชิกอึ้งกันเป็นแถว บุ๊งมองเส็งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ก่อนหันสบตากับเป้ง เป้งจึงถามขึ้น
“ถ้าเฮียลง แล้วใครจะขึ้นแทน”
“คนที่จะสืบสานเจตนารมณ์ของอั๊วก็คือ”
ทุกคนหันมองบุ๊งซึ่งเป็นรองหัวหน้า บุ๊งสายหน้าน้อยๆ แต่ยืดอก เตรียมรับตำแหน่ง
“ลูกชายอั๊วเอง”
“อาคิ้ม”
ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน บุ๊งช็อก เป้งและสมาชิกคนอื่นพยักหน้าช้าๆ อย่างใคร่ครวญ บุ๊งรีบพูดขึ้น
“อ๋อ ลูกชายของเฮีย คนที่กะล่อนๆ ไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ พูดจาขวานผ่าซากใช่มั้ย จำได้ๆ อาคิ้มนะเอง หายหน้าไปหลายปี คงยังไม่ลืมทางกลับบ้านนะ”
“มันกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้”
“แล้วถ้าไม่มาล่ะ”
“นับจากนี้อีก 15 วัน ถ้าอาคิ้มยังไม่กลับมา ก็ให้เลือกจากสมาชิกของกลุ่มที่เหมาะสม”
มนชิตส่ายหน้าน้อยๆ เวทนาใจอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าไอ้คิ้มกลับมา คงมาได้แต่ร่าง”
เส็งกังวลอย่างเห็นได้ชัด

ตอนค่ำ เส็งหลับตาภาวนาอยู่ หน้าเคร่งเครียด ก่อนนำธูปไปปักในกระถาง
“ลื้ออยู่ที่ไหนของลื้ออาคิ้ม ลื้อมัวทำอะไรอยู่”
กิตติเดินเข้ามา
“เถ้าแก่ครับ ได้เวลาลงเรือแล้ว”
เส็งพยักหน้ารับรู้

ที่ศาลเจ้าในตอนเช้า ซินแสง้วงทำพิธีสวดมนต์เสร็จ เดินออกมาหน้าประตูศาล
“ไม่เจอกันนานนะ เถ้าแก่เส็ง”
เส็งก้มศีรษะเล็กน้อยทักทาย
“ลงมาติดต่อยี่ปั๊วที่ถนนทรงวาด เลยถือโอกาสมาร่วมทำบุญกับพี่ๆ น้องๆ สบายดีนะซินแส”
“กายสบาย แต่ใจยังไม่ค่อยดี ส่วนลื้อคงจะเซียงเงี้ยบฮ้อ”
“ฮ้อๆ”
เส็งรับคำ บอกว่าการค้าขายของเขาดี เสียงจุดประทัดดังรัว คณินวิ่งผ่านบริเวณหน้าศาลเจ้าไป คล้อยหลังคณินนักเลงประมาณ 10 คนวิ่งตามเขาไป ซินแสง้วงเห็นคณิน เส็งหันไปเห็นแต่พวกนักเลง ไม่เห็นลูกชายตัวเอง
“แคะขี้ตามาตีกันแต่เช้า อันธพาลพวกนี้ จะทำอะไรเจริญ”
ซินแสง้วงเดินไป เส็งเดินตาม
“ได้เจอลูกชายอั๊วบ้างรึเปล่า อีมาเรียนอยู่นี่หลายปีแล้ว”
“ถ้าอีอยากให้เจอ ก็คงได้เจอ”

คณินวิ่งหน้าตั้งเข้าซอยศาลเจ้ามา นักเลง 10 คน วิ่งตามไล่จี้ พร้อมอาวุธ เช่น มีดอีโต้ ฝาหม้อ จาน ชาม ไม้ คณินกระดิกนิ้วเรียกกวนๆ
“ตามให้ทันนะเว้ย”
พวกนักเลงขว้างทั้งมีด ทั้งไม้ตามหลังมา คณินหลบหลีกอย่างแคล่วคล่อง ว่องไว อยู่ๆ รถขายซาลาเปาเข็นผ่านมา คณินกระโดดข้ามไป นักเลงหยิบซาลาเปาขว้างใส่คณิน คณินกระโดดเตะซาลาเปา กิตติโผล่มา อ้าปากเรียก
“นาย”
ซาลาเปาลูกนั้นอุดเต็มปากกิตติ คณินมองกิตติ นักเลงกรูกันเข้ามาจะรุมกระทืบคณิน คณินตะโกนบอกกิตติ“วิ่ง”
คณินและกิตติวิ่งหนีไปบนหลังคาบ้าน นอนมองซอยแคบด้านล่าง กิตติยังมีซาลาเปาคาปากอยู่ ก่อนหันมาถามคณิน
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ถามได้ ก็ถูกรุมกระทืบสิวะ เบี้ยวค่าเหล้านิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นของขึ้น”
“น่าภูมิใจแทนอาป๊าของคุณจริงๆ”
“ที่โดนกระทืบ”
“ที่มีลูกชายเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น”
“หล่อด้วย เออ แล้วโผล่มาได้ไงวะ”
นักเลง 10 คนวิ่งผ่านซอยแคบนั้นไป กิตติยังมองข้างล่าง
“ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว เถ้าแก่ก็โผล่หัวมานี่ด้วยนะครับ ท่านให้ผมมาตามคุณไปที่งานทิ้งกระจาด ที่สมาคมจัดแทนท่านน่ะครับ เรารีบไปกัน”
กิตติหันมอง คณินปีนลงจากหลังคาไปแล้ว
“นายน้อย ไวยังกะลิง”
คณินเดินหนีกิตติด้วยความรำคาญ จนกิตติสุดจะทน ตะโกนเสียงเหี้ยม
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ไอ้คิ้ม”
คณินชะงัก

“อะไรนะ ไหนพูดใหม่สิ ไอ้อะไรนะ”

กิตติสะดุ้ง
 
“ขอโทษครับคุณคิ้ม เถ้าแก่บอกให้ผมพูดตามทุกคำ ผมไม่ได้พูดเอง แล้วท่านยังกำชับอีกด้วยว่า ยังไงก็ลากหัวไอ้คิ้มไปที่งานให้ได้”
“ฉันไปแน่ที่งาน แต่บ้าน คงไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่โรงสีกำลังมีปัญหานะครับ เถ้าแก่อยากให้คุณกลับไปช่วยงาน อีกอย่าง เรื่องหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงคนใหม่ที่จะตั้งให้คุณ”
“ไม่เป็นโว้ย จบมหาลัยมา ไม่ได้จบจากบู๊ลิ้ม เรื่องแก๊งก๊งอะไรนี่ ไม่ขอเอี่ยว”
คณินหันหลังให้กิตติ เดินหนีอีกครั้ง กิตติตะโกนตามหลัง
“หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีตัวเองไม่พ้นหรอกนะครับนายน้อย”
กิตติยังตามติดคณิน ขณะขบวนสิงโตขับเคลื่อนใกล้เข้ามา แป๊ะยิ้มสามคนร่ายรำ
“คุณคิ้มเป็นลูกชายคนเดียวของเถ้าแก่ ยังไงก็ปฏิเสธไมได้”
“คนอยากขึ้นเป็นใหญ่เยอะแยะ ยกให้ใครไปซะ”
“คนอยากขึ้นเป็นใหญ่ กับคนที่เหมาะสม มันคนละคนกันนะครับ”
“อ้อ งั้นคนที่เหมาะสมจะเป็นมาเฟีย ก็คือฉันงั้นเหรอ หล่อเร้าใจแบบนี้เนี่ยนะ”
ขบวนสิงโตเคลื่อนเข้ามาใกล้ คณินเหลือบมอง สายตามีเลศนัย
“ถามจริงเหอะ ถ้าฉันไม่ใช่ลูกของอาป๊า ฉันยังจะเหมาะอยู่มั้ย”
“อืม”
“ใครจะก้มหัวให้ฉัน”
“ผมคนหนึ่งล่ะครับ ผมเกิดมาเพื่อจะเป็นของคุณ เอ๊ย เพื่อจะรับใช้คุณ”
คณินฉวยโอกาสที่กิตติก้มหัวให้เขา วิ่งข้ามถนน ฝ่าขบวนสิงโต แล้วชนเข้ากับแป๊ะยิ้มจนหัวแป๊ะยิ้มหลุด คณินขอโทษ แต่ไม่ทันมองหน้า เพราะมัวแต่ชะเง้อมองกิตติว่าจะตามมาไหม
“บ๊ายๆ”
กิตติมองตามคณินอย่างเหนื่อยใจแทนพ่อของเขา

ที่ศาลเจ้า เส็งเหลียวหน้ามองหลังว่าเมื่อไหร่คณินจะมา ซินแสง้วงพยายามปลอบ
“เดี๋ยวอีก็มา”
“ซินแสยังไม่รู้จักความกะล่อนของอี”
กิตติเดินแหวกคนเข้ามาทางด้านหลังเส็ง เส็งรีบหันไปถาม
“อาคิ้มล่ะ”
“หายไปแล้วครับ”
“อยู่นี่ เฝ้าอาคิ้มไว้”
“แต่นายน้อยสั่งให้ผมดูแลความปลอดภัยของเถ้าแก่ครับ”
“ลื้อฟังคำสั่งใคร”
“ฟังคนที่กำลังจะเป็นเจ้านายคนใหม่ของผมครับ”
เส็งอยากจะตีหัวกิตติ แต่เป็นงานบุญ จึงเดินตามเหล่ามาเฟียเฒ่าไป กิตติตามติด
ที่มุมเทกระจาดในศาลเจ้า ชาวบ้านยังคงเบียดเสียดเข้ามายื้อแย่งของแจก คณินส่งของให้คนแก่ แต่รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับตามองตัวเองอยู่ จึงหันมอง แต่ไม่เจอ เลยสงสัย พึมพำกับตัวเอง
“พวกโรงน้ำชา คนหล่อ ใครๆ ก็ต้องมองสิ”
คณินขยับตัวหยิบของแจกให้แม่ลูกคู่หนึ่ง ขณะนั้นเอง เสียงกระสุนปืนก็ดังขึ้น แล้วดังรัวในทุกทิศทาง ผู้คนวิ่งหนีตายอลหม่าน เสียงกรีดร้อง ลุกฮือ จ้าละหวั่น คณินร่วมต่อสู้กับภรพ ทรงกลด ธาม อย่างไม่คิดชีวิต ท่ามกลางศึกรบหน้าลานเทกระจาด ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด
“นานๆ กูจะได้ทำบุญ ไอ้พวกมารผจญ สมอง หัวใจ หน้าอก เอาไปกินคนละนัด ไม่ต้องแย่งกัน”
คนร้ายเข้ามาทางด้านหลัง คณินรู้ทัน หมุนตัวกระโดดถีบยอดอก จนคนร้ายกระเด็นไป คณินจะเข้าไปซ้ำ คนร้ายคลานหนี เกือบจนมุม แต่ก็หันไปคว้าเด็กจากแม่ที่นั่งหลบอยู่ตรงนั้น แล้วใช้มีดจี้ ก่อนวิ่งหนีไป แม่เด็กกรีดร้อง ขอความช่วยเหลือ คณินถือปืนวิ่งตามคนร้ายไปตามซอยแคบจนถึงทางเลี้ยว คนร้ายอุ้มเด็กหายไป เขารีรอจะไปทางไหนต่อ แต่ไม่ทันก้าว ก็มีปืนมาจ่อที่ท้ายทอยของเขา
“เสร็จกู”
คณินตั้งสติ
“อย่ายิงหัวนะโว้ย เพิ่งไปตัดผมมา เดี๋ยวเสียทรง”
“หึๆ เสียใจด้วย แกต้องไปตัดทรงใหม่ในนรกแล้วว่ะ”
คนร้ายขึ้นไกปืน คณินเร็วกว่าหมุนตัวฟาดข้อมือคนร้าย ปืนกระเด็นหลุดไปพร้อมปืนลั่น คนร้ายล้มลง คณินจ่อปืนไปที่หัวคนร้าย
“ขอโทษ ช่างตัดผมประจำฉันยังไม่ตายว่ะ มีลูกมีเมียมั้ย”
คนร้ายกลัวตัวสั่น
“มี ฉันมีลูกสาว อย่าฆ่าฉันนะ ลูกของฉันยังเล็ก”
“ทีอย่างนี้มาร้องขอชีวิต ได้ ฉันจะปล่อยแกไปนะ ถ้าแกบอกฉันว่าใครส่งแกมา เร็วสิ ไม่งั้นยิงนะโว้ย”
“อย่าๆ คนๆ นั้น ก็คือ”
อยู่ๆ คนร้ายก็ถูกฟาดด้วยดาบจนคอหลุด คณินตกใจ หันปืนไปที่คนถือดาบ เหนี่ยวไกทันที แต่กระสุนหมด ซามูไรหน้าเหี้ยมก้าวออกมายืนจังก้า จับดาบสองมือ กวัดแกว่ง ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ คณินหัวเราะ
“สงครามโลกเลิกตั้งนานแล้วท่านซามูไร ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องเหรอ”
“ตาย”
ซามูไรไม่รอช้า วิ่งโร่เข้าหาคณิน คณินสะบัดแขนเสื้อ มีดเล็กก็หลุดออกมา เขาจับไว้แน่น ซามูไรเหวี่ยงดาบเข้าต่อสู้กับมีดเล็กที่แสนว่องไวและพลิกแพลงของคณิน ดาบซามูไรฉวัดเฉวียน แต่สู้ความไวและคล่องของคณินไม่ได้ จึงเสียท่า ได้รับบาดแผลจากปลายมีดไปหลายจุด
คณินไล่ล่าซามูไรโดยใช้มีดเพียงเล่มเดียว ต้อนมาถึงท่าน้ำ เขากับซามูไรผลัดกันเสียท่าอยู่หลายยก แต่ในที่สุด คณินตัดข้อเท้าของซามูไรจนเสียหลัก ตัวกระเด็นไปกองกับพื้น ดาบหลุดจากมือตกน้ำ ซามูไรเหลือแค่มือเปล่า
“อ้าว ทิ้งดาบไปทำไมล่ะ ของตกทอดรึเปล่า”

“อย่ามัวแต่พูดมาก”

คณินทิ้งมีดตัวเองลงน้ำ
 
“คนอย่างคณิน ไม่เคยเอาเปรียบใครอยู่แล้ว”
ใกล้ๆ มีเข่งใส่ผักเน่าๆ และขยะวางซ้อนกันอยู่ เด็กน้อยนั่งหลบอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นงันงก ซามูไรหัวเราะ ก่อนหยิบมีดเล่มเล็กออกมา คณินเห็นแล้วอึ้ง เขาใช้มือเปล่าเข้าสู้อย่างไม่เกรงกลัว ถีบซามูไรไปซุกเข่งผักล้มระเนระนาด มีดในมือซามูไรกระเด็นตกตรงปลายเท้าคณิน เขาก้มลงหยิบ
“ถึงเวลาเปิดปากแล้ว จะให้เปิดให้หรือเปิดเอง”
“ฆ่ากูซะ”
อยู่ๆ เด็กน้อยร้องไห้จ้า ซามูไรหันไปคว้าตัวเด็กไว้ได้ คณินตกใจ
“นี่มันเรื่องระหว่างเรา ปล่อยเด็กไปซะ”
“มึงไม่ใช่พ่อกู มึงสั่งกูไม่ได้หรอก”
ซามูไรอุ้มเด็ก ใช้มือรวบที่คอไว้ คณินคิดไม่ตกจะทำอย่างไรดี ชายในหัวแป๊ะยิ้มเข้ามายืนซ้อนหลังซามูไรไว้ ส่งสัญญาณมือให้คณินรู้ว่าเขาจะเข้าตะครุบ จากนั้นก็รวบลำคอของซามูไร คณินเข้ารับร่างเด็กน้อย แล้วปล่อยเด็กให้วิ่งไปทางศาลเจ้า ชายในหัวแป๊ะยิ้มกับซามูไรต่อสู้กัน เขาเสียท่าล้มคว่ำ ไหล่ซ้ายเสียบกับขวดปากฉลามจนเลือดไหลโกรก ซามูไรจะเข้ากระทืบซ้ำ คณินดึงซามูไรออกมา ต่อยรัวไม่ยั้ง จนเลือดพุ่งเต็มปาก อาการปางตาย
“ก่อนแกจะฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดที่ทำงานพลาด บอกพ่อแกด้วยว่าอย่ามายุ่งกับฉันอีก ฉันไม่มีเวลาทำเรื่องไร้สาระ ไป”
ซามูไรคลานหนีไป คณินเก็บมีดของตัวเองเข้าที่เดิม หันหลังเดินไปที่ชายในหัวแป๊ะยิ้มที่ยังนอนคว่ำหน้า ยื่นมือให้เขาจับ
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
ชายลึกลับส่ายหน้า
“หัวไหล่นาย”
ชายลึกลับแทงเข้าหน้าท้องคณิน คณินนิ่งอึ้ง ก่อนก้มมองมีดที่ปักบนหน้าท้องมิดด้าม
“ไปรอกูที่นรกนะ”
คณินกัดฟันพูด
“กูขึ้นสวรรค์โว้ย”
ชายลึกลับถีบคณินหงายหลังตกลงไปในน้ำ คณินจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ เสียงเส็งดังเข้ามาในหัว
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้อาคิ้ม ทุกคนรอลื้ออยู่นะ”
“นายน้อยต้องกลับไปรับตำแหน่งนะครับ”
“ไม่อั๊วไม่เป็นหัวหน้าแก๊ง”
“ลื้อเป็นลูกชายคนเดียวของอั๊ว”
“อั๊วเกลียดปืน”
“ลื้อคือความหวังของทุกคน”
“ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันยอมให้เป็นแบบนี้ไม่ได้”
คณินพุ่งพรวดขึ้นมาจากน้ำ เขาคว้าจับตลิ่งไว้ อ้าปากหายใจ
“ฉันไม่ยอมให้พ่อกำพร้าลูก รอก่อนทุกคน”
คณินผลุบหายลงไปในน้ำอีกครั้ง

ซินแสง้วงเดินมาที่ท่าเรือ ชะโงกบอกกับคนเฝ้าเรือเอี้ยมจุ๊นที่กำลังจัดข้าวของบนเรือ
“เลื่อนวันไปปากน้ำโพก่อนนะ อั๊วต้องอยู่ดูแลรักษาคนเจ็บที่นี่”
“ครับซินแส”
“อั๊วขอยืมเรือลื้อสักครู่ได้มั้ย”
“ได้ครับซินแส”
ซินแสง้วงพายเรือออกไปกลางแม่น้ำ มีมือโผล่ขึ้นมาเกาะ ซินแสหันมอง แต่ไม่ตกใจ คนเรือผงะ ตาเหลือก คณินโผล่ขึ้นจากน้ำ อ้าปากหายใจ
“คนดีตกน้ำไม่ไหล แต่หายใจลำบากชิบเป๋ง”
ซินแสง้วงมองคณินอย่างพิจารณา

ที่โรงน้ำชา นครสวรรค์ แพนปิดหน้าด้วยพัดจีน เริ่มร่ายรำพัดอย่างอ่อนช้อย สวยงาม ในเสื้อผ้าสุดเซ็กซี่ ลูกค้าชายพากันปรบมือเกรียว ชื่นชม ส่งสายตาหวานเชื่อม บุ๊ง เป้ง เดินเคียงคู่กันมา มนชิตเดินประกบตามเข้ามาในร้าน
“ยังไงอั๊วก็ไม่ยอมให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนขึ้นเป็นหัวหน้า” บุ๊งบอก
“ไม่ยอมแล้วจะทำยังไง ตอนนี้พี่เส็งลงไปกรุงเทพฯแล้ว คงไปตามอาคิ้มกลับมา”
เป้งย้อนถาม มนชิตยิ้มกริ่ม
“ไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอกครับ มันอยู่ที่ว่า คณินมันจะกลับมาด้วยรึเปล่า”
แพนอยู่บนเวที เห็นเป้งเดินเข้าร้านมา ก็ยิ้มกริ่ม สะใจเล็กๆ เพราะพ่อห้ามเธอออกนอกบ้านตอนกลางคืน เป้งหันไปเห็นแพนรำพัดอยู่บนเวที ก็ตกใจ ปากสั่น
“นั่น”
“แพน”
มนชิตเอ่ยชื่อแพน เป้งปรี่จะเดินไปที่เวที มนชิตจับแขนพ่อไว้ ส่งสายตาว่าอย่าเพิ่ง เป้งอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน จำใจนั่งลงที่โต๊ะพร้อมมนชิตและบุ๊ง บุ๊งจำแพนไม่ได้เพราะเธอแต่งหน้าจัด
“ถิ่นเรามีสาวงามขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หน้าคุ้นๆ นะ”

เป้งและมนชิตหน้าไม่ดี แพนยิ้มร่า ร่ายรำพัดอย่างสวยงาม สะใจลึกๆ ที่ทำให้พ่ออับอายได้อีกครั้ง

บริเวณหลังเวทีของโรงน้ำชานครสวรรค์ แพนรับเงินจากเจ้าของโรงน้ำชา
 
“เอานี่ ค่าเหนื่อยลื้อ”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
“คืนพรุ่ง ลื้อมาอีกนะ อั๊วจะบอกเฮียให้เพิ่มค่าตัวให้ลื้อเป็นสองเท่า”
แม่เล้าสั่งแพน จังหวะนั้น เป้งกับมนชิตเดินเข้ามา ถมึงทึงทั้งคู่
“จะไม่มีคืนพรุ่งนี้หรือคืนไหนๆ ทั้งนั้น สั่งสอน”
เป้งหันไปบอกมนชิต แม่เล้าตกใจ จะวิ่งหนี มนชิตไปดักหน้าไว้ เป้งจับข้อมือแพนแล้วดึงลากออกไป
“ปล่อยนะ”
“อาแพน นี่มันเรื่องอะไร”
มนชิตจ้องหน้าแม่เล้าอย่างเอาเรื่อง แม่เล้ากลัวลนลาน
“อย่าทำอะไรอั๊วเลย อั๊วก็แค่คนทำมาหากิน”
แพนถูกลากมาที่ประตูหลังโรงน้ำชา เธอสะบัดมือหลุดจากเป้ง
“นี่ลื้อตั้งใจจะทำให้อั๊วอับอายใช่ไหม”
“ก็อย่าบอกใครสิ ว่าฉันเป็นลูกสาวพ่อ”
“ลื้อมัน”
“เหมือนแม่ จริงสิ แม่ของฉันเคยรำพัดอยู่ที่นี่นี่นา”
“นังลูกไม่รักดี กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าให้อั๊วเห็นว่าลื้อมาที่นี่อีก”
“ฉันแค่มารับจ้างแสดง ไม่ได้มาขายตัวซะหน่อย”
ลูกค้า 2-3 คนของโรงน้ำชาเดินผ่านมา หันมอง มนชิตเดินเข้ามา
“พอได้แล้วป๊า ไม่อายเขาบ้างเหรอ”
“อายสิวะ อั๊วอับอายที่มีอาแพนเป็นลูกจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว ไปรออั๊วที่บ้าน ไป”
แพนหน้าเศร้าหันหลังให้พ่อ ก่อนจะเดินออกไป เป้งมองตามหลังลูกสาว อารมณ์เสีย

หน้าร้าน “เป้งซักรีด” ภายในร้านมีกองผ้าเป็นตั้งๆ และราวแขวนเสื้อผ้าเต็มแน่น หลินหยิบชุดสวยจากราวแขวนมาทาบบนตัวมนสิชา มองอย่างภูมิใจ
“กุลสตรีอย่างลื้อจะต้องแต่งงานกับลูกชายของเสี่ยเส็งเท่านั้น”
“ลูกชายของเสี่ยเส็งหรือจ๊ะ แต่หนูได้ยินมาว่าเขาขาเป๋นี่จ้ะ”
“ซี้ซั้ว ลื้อไปได้ยินข่าวลือมั่วซั่วมาจากไหน ไม่รู้ล่ะ คุณคิ้มกลับมาเมื่อไหร่ ลื้อต้องไปดูตัว”
“ให้แพนไปไม่ดีกว่าหรือจ้ะ”
“อาสิ”
“จ้ะๆ หนูสัญญาว่าจะไม่ทำให้อาป๊ากับม้าผิดหวังเป็นอันขาด ไม่ว่าจะทำอะไร จะนึกถึงหน้าอาป๊ากับม้าเป็นอันดับแรก ตามที่ม้าให้ท่อง เฮ้ย ม้าสอน”
แพนใส่ชุดรำพัด เดินเข้าบ้านมา ไม่สนใจสองแม่ลูก หลินแกล้งพูดลอยๆ
“เด็กใจแตก ถ้าไม่หนีตามผู้ชายก็คงท้องไม่มีพ่อ”
“ถ้าท้อง ก็ต้องมีพ่อสิจ้ะ ท้องไม่มีพ่อ ต้องทำไง”
“นังแพน”
หลินกรี๊ด เขวี้ยงชุดที่ถืออยู่ตามหลังแพน แต่ไม่โดน แพนหลบได้สบายเพราะเคยชิน
“ชุดลูกค้านะม้า”
มนสิชาท้วง หลินเดือด เป้งเดินเข้ามาในบ้านคว้าหวาย แพนยืนหันหลัง แล้วถอดเสื้อออก เป้งเฆี่ยนแพนไม่ยั้งมือ หลินกับมนสิชายิ้มสะใจ ขณะที่มนชิตเป็นห่วงแพน แผ่นหลังของแพนมีเลือดไหลซิบออกมา เธอเดินเข้าไปในห้อง เอากล่องเงินออกมาเปิด แล้วเอาเงินที่ได้จากแม่เล้าใส่กล่อง พึมพำกับตัวเอง
“อั๊วเก็บเงินพอเมื่อไหร่ อั๊วจะไปจากที่นี่ อั๊วสัญญา”

ซินแสง้วงอยู่ที่ท่าน้ำ ลากคณินขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเล มานั่งในศาลเจ้า หยิบผ้าขึ้นมากัด จับด้ามมีดที่เสียบหน้าท้อง กลั้นใจแล้วดึงออก
“ช่วยทั้งที ทำไมไม่ดึงมีดออกก่อน ไอ้แป๊ะยิ้ม ฉันเอาคืนแกแน่ เอาให้แกยิ้มไม่ออก”
ทันใดนั้น คณินได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ประตู จึงเตรียมพร้อม พอประตูเปิดก็ขว้างมีดไปที่ประตูทันทีเพื่อสกัด
คนร้าย มีดเล่มนั้นติดอยู่ที่บานประตู ใกล้ใบหูข้างซ้ายของซินแสง้วง ซินแสใจหายวาบแต่ยังคงหน้านิ่ง
“อั๊วเอง”
“อ้อ ซินแส ปกติแม่นกว่านี้ เสียดายที่บาดเจ็บอยู่ ไม่งั้น”
“ไม่งั้นอั๊วก็ตายสิ”
“ไม่ตายง่ายๆ หรอก คนดีอย่างซินแส ต้องอยู่ช่วยเหลือคนทุกข์ยากอีกนาน”
“ใครบอกลื้อว่าคนดีตายช้า คนชั่วอยู่ค้ำฟ้ามีถมเถไป”
ซินแสง้วงวางอุปกรณ์ทำแผลลงบนโต๊ะใกล้ๆ แคร่ คณินทอดตัวลงนอน มือกดแผลห้ามเลือดที่หน้าท้องไว้
“แต่คนชั่วที่มันมาฆ่าผม อายุมันไม่ยืนยาวแน่”
“แต่ลื้อจะอายุสั้น ถ้าไม่รีบทำแผล”
ซินแสง้วงลงมือทำแผลให้ คณินเจ็บปวดมาก กัดฟัน
“โอ๊ย พยาบาลสาวๆ สวยๆ ไม่มีเหรอซินแส”
คณินสลบเหมือดไป

สามวันต่อมา เส็งโทรหาสุงเรื่องฉางตาย และโทรหาตงเรื่องคณินหายไป เวลาเดียวกันนั้น คณินยังอยู่กับซินแสง้วงที่ศาลเจ้า
“ถ้าหาศพอั๊วไม่เจอ ป๊าไม่เชื่อหรอกว่าอั๊วตาย แต่ช่วงที่ยังไม่หายดี อั๊วขอเป็นคนตายไปก่อน”
คณินล้างแผลให้ตัวเอง ซินแสง้วงเตรียมตัวไปงานศพ
“คนที่ตายจริง คืออาฉาง”
คณินตกใจ
“อาฉาง อาฉางตายเหรอซินแส”
“ใช่ อาฉางตายแล้ว โดนพวกมันฆ่าตาย ลื้อซ่อนตัวได้ไม่นานหรอกนะป๊ากับม้าลื้อเป็นห่วง”
“เอาน่า ป๊าม้ารู้ว่าคนอย่างผมไม่ตายง่ายๆ ยังไง ฝากซินแสไหว้ศพอาฉางด้วย เอาไว้ผมจะไปเยี่ยมทีหลัง อาหงส์”

คณิตเริ่มรู้สึกห่วงขึ้นมา

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 1 (ต่อ)

7 วันต่อมา แพนยืนซอยเท้าเหยียบผ้าอยู่ในกะละมังใบใหญ่ ใกล้กับบ่อน้ำสำหรับไว้ล้างผ้า พลางบ่น
 
“เปิดร้านซักผ้า แต่ไม่เปิดรับคนงาน ไม่รู้จะงกไปถึงไหน”
ทันใดนั้นมนชิตก็พุ่งเข้ามากอดแพนจากด้านหลัง
“ว้าย ปล่อยนะ เฮีย”
“แหม กอดนิดกอดหน่อยไม่ได้ ทำเป็นหวงตัว”
“ฉันต้องรีบไปทำงานที่โรงสีแล้ว หลีกไป”
“จริงซิ ตายแล้ว เดี๋ยวโดนหักเงิน”
มนสิชาเดินเข้ามา ยิ้มเยาะ
“พอโดนหักเงิน สิ้นเดือนเงินหายก็โดนป๊าเฆี่ยนอีก น่าสงสารเนอะ”
“ถ้าสงสารก็ใช้เงินให้มันน้อยๆ หน่อย”
แพนบ่นแล้วเดินหนีไปทันที มนสิชาโกรธ
“แกว่าใคร ป๊า ม้า”

มนสิชาแต่งตัวเรียบร้อย เตรียมไปเรียน เดินออกมา
“ป๊า ม้า เจ๊แพนว่าหนูอีกแล้ว”
แพนใส่ชุดเปรี้ยวปรี๊ด ทาปากแดง วิ่งแซงออกมา แล้ววิ่งออกจากบ้านไปเลย เป้ง หลิน มนสิชามองแพนตาค้าง อ้าปากหวอ หลินชังน้ำหน้า
“ดูนังลูกสาวลื้อมันแต่งตัวเข้า กะจะยั่วผู้ชายทั้งปากน้ำโพล่ะสิท่า”
มนสิชาตาละห้อย อยากแต่งแบบแพนบ้าง
“นั่นสิจ้ะ ทาปากแดงยังกับผู้หญิงพรรค์นั้น”
“แต่งตัวยังไงไม่ว่า แต่อย่าให้อั๊วรู้ว่ามันไปโรงน้ำชาอีกก็แล้วกัน”
เป้งพึมพำกับตัวเอง

ที่โรงสีของเส็ง ไทใช้ที่เจาะแทงเข้าไปที่กระสอบข้าวสาร แล้วดึงออกมา
“กระสอบนี้ก็เน่าครับ”
แพนท้วงทันที
“ข้าวดีๆ จะเสียได้ไง ก่อนส่งไปขายเราตรวจสอบอย่างดี”
วิภาดาเดินเข้ามาหาแพน
“แพน เป็นยังไงบ้าง”
“ข้าวที่ส่งไปล็อตล่าสุดถูกตีกลับหมดเลย”
“แล้วป๊าล่ะว่าไง”
ไทแต่งตัวมิดชิดปิดรอยแผล วางกระสอบข้าวสารบนบ่าลงตรงหน้าแพน แล้วจับไหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ หันไปมองทางเข้าโรงสี
“เถ้าแก่กลับมาแล้วครับ”
รถแล่นเข้ามาจอด เส็งและกิตติลงจากรถ วิภาดารีบเข้าไปหา
“ข้าวที่ส่งไปถูกตีกลับหมดเลย ชื้นนแล้วก็เน่าด้วย”
เส็งหน้าเครียดจัด
“ม้าลื้อล่ะ”
“อั๊วอยู่นี่”
ซกเค็งเดินเข้ามา
“อาคิ้มไม่ได้มาด้วย อั๊วนึกแล้ว อาคิ้มอีดื้อเหมือนใครกันนะ”
“อาวิ พาม้าลื้อกลับบ้านไปก่อน ป๊าจัดการเรื่องโรงสีแล้วจะตามไป”
“ทำไมลื้อทำหน้าตาอย่างกับมีใครตาย แค่ข้าวเน่า”
ซกเค้งทัก เส็งส่งสายตาบอกวิภาดาให้พาแม่ออกไป ก่อนหันมาหาแพน
“อาแพน ข้าวเราเสียหายเท่าไหร่”
“ทั้งหมดค่ะ”
“ซวยเกี๊ยก ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้ ลูกชายก็หายไป โรงสีก็จะเจ๊ง กิตติ ตรวจหาสาเหตุ อาแพน สรุปความเสียหายให้อั๊วด้วย”
เส็งเดินออกไป แพนหันมาถามกิตติ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ท่าทางเถ้าแก่ไม่ค่อยดี”
ไทยืนอยู่แถวนั้น ตั้งใจฟังกิตติพูด
“ก็คุณคิ้มน่ะสิ หายตัวไป จนป่านนี้ยังไม่เจอศพเลย”
“ศพ”
ทันใดนั้น ซกเค้งก็กลับเข้ามา
“เฮีย ลื้อว่าอะไรนะ อาคิ้มตายแล้วเหรอ”

ซกเค็งกับวิภาดานั่งกอดปลอบใจกัน
“อั๊วะไม่อยากเชื่อว่าอั๊วจะได้เห็นงานศพลูกชายตัวเอง อั๊วเป็นแม่ที่มีกรรม อาคิ้ม ทำไมลื้อไม่อยู่เผาศพอั๊ว ทำไมให้อั๊วมาเผาศพลื้อ”
“ม้า อาป๊าบอกแล้วไงว่าเฮียแค่หายตัวไป บางทีเฮียอาจยังไม่ตายก็ได้”
เส็งนั่งที่โต๊ะทำงาน ไม่ไกลกัน กิตติยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
“มันเกิดขึ้นตอนโรงงิ้วถูกถล่ม”
“ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในงานบุญ” กิตติบอก
“พวกหมารอบกัด มันไม่เลือกวันหรอก”
เส็งแค้น
ตอนเย็น เส็งเดินตัวสั่นเข้ามานั่ง อาการป่วยกำเริบ รีบค้นหายาพ่น จนหลอดยาตกพื้นกลิ้งไป แพนเอาเอกสารเข้ามาให้เห็นเหตุการณ์ ก็ก้มลงหยิบส่งคืนให้ เส็งพ่นยาเสร็จ
“อั๊วไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้มีลื้อคนหนึ่งที่รู้ ฉะนั้น ถ้ามีคนรู้เรื่องนี้อีก อั๊วจะโทษลื้อ จำไว้”

เส็งเดินออกไป

ซินแสง้วงยื่นถ้วยใส่ยาน้ำสมุนไพรจีนให้ คณินรับแล้วสูดกลิ่น ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะกลิ่นเหม็น
 
เขามีผ้าพันห่อลำตัวบริเวณหน้าท้องไว้ อาการดีขึ้นแล้ว
“ฟ้าส่งหมอเทวดามาให้แท้ๆ”
“อั๊วไม่ใช่หมอเทวดา แค่รู้ว่าแผลมันอยู่ไหน แล้วรักษาให้ถูกจุด”
“เยี่ยม แบบนี้อีกไม่นานก็หาย”
“แผลนี้หาย แผลใหม่ก็เข้ามา ตราบใดที่ปัญหาของลื้อยังอยู่”
“ปัญหาอะไร ไม่เคยมีปัญหากับใครอยู่แล้ว พวกที่ถล่มโรงงิ้ว อาจจะเป็นศัตรูของภรพ ทรงกลด หรือไม่ก็ไอ้ธาม หัวหน้าแก๊งกระทิง ดีไม่ดีเป็นของแปะสุง ไม่งั้นอาฉางคงไม่”
“ลื้อโดนลูกหลงงั้นสิ”
คณินรู้แต่ไม่ตอบ ยกถ้วยยาขึ้นซดรวดเดียว แล้วอ้วกพุ่ง เต็มตัวซินแส แต่ซินแสยังนั่งนิ่งวางเฉย
“เอาอะไรมาให้กินเนี่ย ขมติดลิ้นติดคอหอย จูบผู้หญิงที สงสัยหนีหมด”
“สมุนไพรถอนพิษ แก้ช้ำใน ลื้ออดทนกินสัก 10 มื้อก็จะกลับมาแข็งแรงได้ไม่ยาก”
“10 มื้อ เพราะไอ้แป๊ะยิ้มคนเดียว ที่ทำให้ผมต้องทรมานแบบนี้ ผมต้องรู้ให้ได้เลยว่ามันเป็นใคร จะเอามีดไปคืนที่หน้าท้องมัน”
“ลื้อจะหาตัวมันเจอได้ไง ในเมื่อลื้อไม่เห็นด้วยซ้ำว่าหน้าตามันเป็นยังไง”
“ถึงไม่เห็นหน้า แต่ก็พอจะรู้ ว่ามันมาจากไหน”
ซินแสง้วงหยิบเข็มออกมา
“จุดเริ่มต้นอยู่ตรงนั้นสินะ”
คณินครุ่นคิด ก่อนร้องจ๊าก เพราะถูกซินแสจิ้มด้วยเข็ม

ที่ห้องทำงานเส็ง ภายในโรงสี กิตติเข้ามารายงาน
“คนลงมือคงเป็นคนในคณะสิงโตครับเถ้าแก่”
“ไอ้บุ้ง มันอยากเป็นหัวหน้าแก๊ง ขนาดลงมือฆ่าอาคิ้มเลยเหรอวะ เป็นไปได้เหรอ”
“มีคณะเชิดสิงโตที่ไปแสดงงานนั้นหลายคณะ รวมถึงคณะของเสี่ยบุ้งด้วยครับเถ้าแก่ และที่สำคัญคนทำร้ายคุณคิ้มมันสวมหัวแป๊ะยิ้มด้วยครับ”

แพนเดินอย่างคนหมดแรง ผ่านตลาดสด ได้ยินแต่ข่าวที่คณินตาย จากพ่อค้าแม่ค้าที่คุยกัน กริชสวมหัวแป๊ะยิ้มโผล่มาจ๊ะเอ๋ แพนตกใจ กำหมัดเข้าใส่ เขาจับหมัดแพนไว้ได้แบบหวุดหวิด
“เราเอง”
กริชถอดหัวแป๊ะยิ้มออก ยิ้มแฉ่ง แพนดุใส่
“กริช”
แพนเดินต่อ กริชเหงื่อโชกหลังจากไปซ้อมเชิดสิงโต หนีบหัวแป๊ะยิ้มไว้ข้างตัว เดินตาม
“เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าเหมือนคนป่วยใกล้ตาย”
“สงสารเถ้าแก่ หนนี้ ขาดทุนยับเยิน”
“ทำการค้า ย่อมมีกำไร ขาดทุน เสี่ยเส็งเป็นคนค้าขายมาทั้งชีวิต ล้มลุกคลุกคลานมาก็มาก แค่นี้ไม่ระคายผิวหรอก ไม่ต้องไปกลุ้มแทนเขา”
“ไม่กลุ้มแทนได้ยังไง ฉันมีส่วนผิดกับเรื่องนี้เต็มๆ”
“ผิดยังไง”
“ก็ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้”
“ไร้สาระ ถ้าแพนผิดจริง ป่านนี้เสี่ยเส็งไล่แพนออกไปแล้ว”
“ไม่แน่หรอก ไม่ไล่วันนี้ พรุ่งนี้อาจไล่”
“คิดมาก เดี๋ยวแก่เร็ว จริงสิ แพนรู้ข่าวลูกชายเสี่ยเส็งไหม ตกลงมันเรื่องจริงรึเปล่า”

ที่โต๊ะกินข้าวบ้านเป้ง มนสิชาดีใจมาก หลังจากที่รู้ข่าวว่าคณินตายจากปากพ่อ
“เรื่องจริงก็ดีน่ะซิ ฉันจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับนายคิ้มอะไรนั่น”
หลินโอดครวญ
“โธ่ ว่าที่ลูกเขยของอั๊ว ทำไมถึงได้อายุสั้นแบบนี้ น่าเสียดาย”
“จะเสียดงเสียดายอะไรล่ะม้า ตายก็ดีแล้วแหละ”
เป้งหันไปถามมนชิต
“ลื้อรู้มั้ย ทำไมถึงถูกฆ่า ใครฆ่าเขา”
มนชิตได้โอกาสใส่ความ
“น่าจะเรื่องผู้หญิง”
สมุนหนึ่งคนเดินเข้ามากระซิบมนชิต มนชิตพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปบอกเส็ง
“อั๊วออกไปหน้าบ้านเดี๋ยว”
มนชิตสวนกับแพนที่เพิ่งกลับเข้ามา หลินต่อว่าแพนทันที
“ไปกับผู้ชายที่ไหนมาอีกล่ะ ถึงได้กลับซะมืดค่ำ เมื่อไหร่จะทำตัวดีๆ บ้าง”
“ไปกับหลายคน และไม่เคยคิดจะทำตัวดีๆ”
หลินกัดฟันกรอด
“ฟังลูกสาวลื้อพูด”
เส็งเบื่อๆ
“อาแพน ลื้อไปเก็บผ้าหลังบ้าน แล้วก็เตรียมรีดด้วย ลูกค้าจะมาเอาแล้ว”
“เฮีย ตบปากสั่งสอนลูกสาวปากดีของเฮียก่อน”
“อั๊วเจี๊ยอยู่ มือไม่ว่าง”

หลินกรี๊ด ทั้งตีทั้งข่วนสามี แพนเดินหน้าตึงออกไป

มนชิตยืนสูบบุหรี่ตรงส่วนที่สว่าง บริเวณกำแพงในซอย
 
“เป็นไง”
ไทยืนอยู่ตรงมุมมืด
“เรียบร้อย อั๊วแทงมันตกน้ำกับมือ”
ไทเดินออกจากมุมมืด เผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน ว่าเขาเป็นนักฆ่าในหัวแป๊ะยิ้ม มนชิตยิ้มพอใจ
“ดี ไอ้คิ้มมันตาย ก็เท่ากับหมดเสี้ยนหนาม นี่ค่าจ้างลื้อ”
มนชิตส่งเงินให้ไท

แพนเปิดประตู เดินเข้ามาในห้องนอน
“ถึงไม่หนีตามผู้ชาย แต่ฉันก็จะหนีไปจากที่นี่สักวัน คอยดูเถอะ เก็บเงินได้มากพอเมื่อไหร่ ฉันไปแน่”
ทันใดนั้น แพนก็เหลืบไปเห็นบางอย่างในห้องผิดปกติ เธอเอะใจ หยิบกล่องเงินเก็บที่ซ่อนไว้ในตู้ ออกมาเปิดดู เห็นเพียงความว่างเปล่า แพนตกใจค้าง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน รู้ได้ทันทีว่าใครขโมยไป เธอรีบไปเคาะประตูห้องมนชิตรัวๆ มนชิตเดินเข้ามายืนซ้อนหลังแพน ยิ้มเจ้าเล่ห์ จับเส้นผมของแพน
“คิดถึงเฮียมากขนาดนั้นเชียว”
“เอาเงินฉันคืนมา”
มนชิตยิ้มกริ่ม
“อยู่ใต้หมอน อยากได้คืนก็เข้าไปหยิบสิ”
“ใช้มือไหนไปขโมย เอามือนั้นไปหยิบมาคืน”
มนชิตกลับดึงแพนเข้าห้องแล้วปิดประตู แพนพยายามสะบัดเต็มที่
“เฮีย คิดจะทำบ้าอะไร เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“แพนก็รู้ว่าเฮียคิดจะทำอะไร”
“หยุดความคิดต่ำๆ นะ ถอยไป”
“ไม่เอาน่าแพน เฮียรักแพนใจจะขาดอยู่แล้ว เป็นของเฮียเถอะนะ”
“เสียสติ นี่เราเป็นพี่น้องกันนะ”
“พี่น้องที่ไหน ถึงจะใช้นามสกุลเดียวกัน แต่แพนก็รู้ว่าเฮียไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอาป๊า นะแพนนะ ถ้าแพนยอมเป็นของเฮีย เฮียจะดูแลแพนเป็นอย่างดี แม้แต่อาม้า ก็แตะต้องแพนไม่ได้”
มนชิตเข้าตะครุบซุกไซ้ปลุกปล้ำแพน แพนขัดขืนพยายามสลัดตัวมนชิตออก จนได้จังหวะ ถีบมนชิตกระเด็น
ไปติดข้างฝา ทำให้โต๊ะวางของล้มระเนระนาด มนชิตหัวแตก มือเคล็ด
“โอ๊ย”
เป้ง หลิน มนสิชาเปิดประตูเข้ามา เห็นมนชิตได้รับบาดเจ็บก็ตกใจ หลินเข้าไปประคองลูกชายทันที
“นังแพน ลื้อทำอะไรลูกชายอั๊ว”
“ถามลูกชายตัวดีโน่นว่าทำอะไรฉัน”
“ผมพลาดล้มเอง ไม่ได้เป็นอะไร”
“ม้าไม่เชื่อ นังแพนเข้ามาในห้องลื้อทำไม มันมาขโมยเงินใช่ไหม แล้วลื้อจับได้คาหนังคาเขา มันก็เลยทำร้ายลื้อ อั๊วจะแจ้งความจับลื้อ นังแพน”
เป้งตกใจ กลัวหลินจะแจ้งความจริงๆ จึงหันมากระชากแขนแพน
“อั๊วเคยบอกลื้อแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าขโมยของๆ คนอื่น ขโมยยังไม่พอ นี่ถึงกับทำร้ายพี่ชายจนเลือดตกยางออก อั๊วจะตีลื้อให้เลือดมันออกมาพอๆ กะอามนชิต”
เป้งคว้าแส้ แล้วตีแพนไม่ยั้งจนเลือดซึมตามเนื้อตัว มนชิตตกใจหน้าเสีย แทบไม่กล้ามองเป้งตีแพน หลินกับมนสิชาสะใจ ยิ้มเยาะ แพนยืนให้พ่อตี โดยไม่ร้อง และไม่แสดงว่าเจ็บ เพราะที่เจ็บจริงๆ คือหัวใจต่างหาก

คณินยืนที่หัวเรือ เขาสวมเสื้อแบบจีน ไม่ติดกระดุม ผ้าพันแผลยังพันรอบท้อง ซินแสง้วงนั่งอ่านหนังสืออย่างพิจารณา เยื้องหลังคณินไป
“ลื้อกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่”
“คิดว่าทำไมตัวเองยังไม่ตาย”
“การมีชีวิตอยู่นานเท่าใดมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ มีชีวิตอยู่อย่างไร”
“อยู่อย่างสงบสุขยังไงล่ะ ชีวิตของไอ้คิ้ม ขอแค่มีเมียดี มีลูกฉลาด มีอาหารอร่อยให้กินวันละ 3 มื้อ แค่นี้ก็พอแล้ว”
“ลื้ออาจกำหนดชีวิตให้เป็นไปอย่างใจต้องการได้ แต่ลื้อไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิต เส้นทางชีวิตของแต่ละคน ถูกเขียนมาอย่างมีเหตุมีผล”
“เขียนเองเออเอง แบบนี้ไม่ยุติธรรม”
“ถ้าทุกคนได้ดั่งใจหมด ก็ไม่มีคำว่าอดทน ไม่มีคำว่าสู้”
คณินหัวเราะ
“และไม่มีคำว่า หยุด ผมจะทำให้ทุกคนที่ผมรัก ไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไปนี้ พ่อต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียทุกแก๊ง เพราะมันเป็นหน้าที่ของผม”
“ลื้อจะขี่หลังเสือแล้วนะ”
“อั้วจะกลับปากน้ำโพ”

ซินแสง้วงพยักหน้าช้าๆ กับหนังสือที่อ่าน คณินมองไปข้างหน้า ถึงจุดหมายปลายทางที่อยู่อีกไม่ไกล

แพนนั่งทายาตามรอยแผลที่ถูกตีอยู่ในห้อง
 
“ถ้าเลือดของพ่อ ไหลออกจากร่างฉันหมดได้ก็คงดี”
แพนนึกถึงวันแรกที่พ่อพาเข้าบ้าน เมื่อ 20 ปีก่อน เป้งเดินมาพร้อมแพนในวัย 7 ขวบ ถือกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย หลินท้องแก่ ยืนมองด้วยความโกรธ ข้างๆ มีมนชิตในวัย 9 ขวบยืนอยู่ด้วย
“ทำไมต้องหาภาระมาเพิ่ม แค่นี้ยังไม่เหนื่อยพอใช่มั้ย ไหนจะลูกที่กำลังจะเกิดอีก”
“น่า เวทนามันหน่อย ไม่ต้องรักมัน แค่ให้มันมีที่ซุกหัวนอน ให้มันมีข้าวกินก็พอ”
มนชิตเขย่าแขนแม่ถาม
“ใครเหรอแม่”
“ลูกเมียน้อย แม่มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว”
“ไม่จริง แม่ไม่ได้เป็นเมียน้อย ไม่ได้หนีตามผู้ชายไป”
“ชิชะ ปากกล้านะนังเด็กเหลือขอ มีแม่ใจแตก โตขึ้นก็ต้องใจแตกเหมือนแม่”
แพนวิ่งเข้าไปกัดแขนหลิน หลินพยายามผลักหัวแพนออกไป เป้งรีบเข้ามาดึงแพน แล้วตีอย่างแรง
“ถ้าจะอยู่นี่ ลื้อต้องเชื่อฟังอาหลิน เข้าใจไหม”
หลินสะใจ มนชิตมองแพนด้วยความอึ้ง แพนเจ็บมาก แต่ไม่ร้องไห้
แพนตื่นจากภวังค์ ทาลิปสติกหน้ากระจก หลังจากนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“ยังไงฉันก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ”
แพนหยิบพัดที่วางอยู่หน้ากระจกขึ้นมา

กิตติรายงานความคืบหน้าคดีของคณินกับเส็ง
“เมื่อไหร่จะได้คำตอบซะทีล่ะวะ ถึงไหนแล้ว”
กิตติเดินไปเดินมาเหมือนผู้ที่รู้รอบ
“คนของเราแทรกซึมเข้าไปในสถานีตำรวจ เพราะที่เกิดเหตุมีหัวแป๊ะยิ้ม คนของเราจะเข้าไปดูหัวแป๊ะยิ้ม แล้วต้องจำเอาไว้ เมื่อเราเอาออกมาไม่ได้ก็ต้องจำเอา จำมาเพื่อเปรียบเทียบกับหัวแป๊ะยิ้มของคณะเชิดสิงโตปากน้ำโพ เราต้องรอ”
“อั๊วไม่รอแล้ว ไปถามมันเลยดีกว่า ว่ามันทำหรือเปล่า ไอ้บุ้ง”
เส็งเดินออกไป กิตติรีบตาม ทั้งสองไปที่คณะเชิดสิงโต บุ๊งเดินออกมาต้อนรับ พร้อมลูกน้องนับสิบ
“ทำไมไม่ส่งคนมาบอกล่ะว่าอยากคุยกับอั๊ว อั๊วจะเป็นฝ่ายไปหาเฮียเอง”
เส็งกับกิตติมองลูกน้องของบุ๊ง ที่ขนกันมามากมาย
“มีคนเห็นกับตาว่าคนจากคณะเชิดสิงโตไปตามไล่ยิ่งลูกชายอั๊วที่เยาวราช ฝีมือลื้อรึเปล่า”
“อ้าว อยู่ดีๆ ก็มาป้ายขี้ให้อั๊ว ลูกชายเฮียอยู่โน่น มีศัตรูบ้างรึเปล่า”
“อั๊วถามลื้อ ยังไม่ได้พูดสักคำว่าเป็นลื้อ”
“ถึงเฮียไม่พูด ก็คิด ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว คนอย่างไอ้บุ๊งไม่เคยลอบกัดใครลับหลัง”
“ก็ดี แต่ถ้าคิดจะกัดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ขอให้ทำกันซึ่งๆ หน้า ทำให้ถูกคน”
“เฮียเส็ง”
“ตอนนี้เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่ ถึงแม้อั๊วจะรู้เต็มอกว่าลื้ออยากให้อั๊วพินาศย่อยยับแค่ไหน แต่ถ้าวันใดความจริงปรากฏว่าลื้อทำลูกชายอั๊วล่ะก็”
“เออ ถ้าอั๊วเป็นคนสั่งฆ่าลูกชายลื้อแล้วจะทำไม ลื้อจะทำไมอั๊ว”
สองฝ่ายจะเปิดศึก กริชวิ่งเข้ามายืนขวางระหว่างกลาง กันเส็งกับบุ๊งไม่ให้ปะทะกัน
“พวกเราเป็นพี่น้องกันทั้งนั้นนะครับ จะมากัดกันเองทำไม ไม่อายหมาเหรอครับ”
เส็งกับบุ๊ง มองหน้าสู้สายตากัน ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง กริชยิ่งกังวล


กริชปีนกำแพงรั้วขึ้นมา แหวกกิ่งไม้ โผล่แต่หน้า เห็นวิภาดากำลังเก็บตำลึงใส่ตะกร้าอย่างเคร่งเครียด
“พี่ชายยังไม่รู้ชะตากรรม คนเป็นน้องคงทุกข์ใจน่าดู”
วิภาดาเหลือบไปเห็นกริชกำลังปัดไล่มดแดงตามตัว ก็ตกใจ
“ใครน่ะ”
“ชู่ๆ เราเอง”
“นาย ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”
“งั้นลงไปนะ”
“ไม่ต้อง ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย พวกเชิดสิงโต พวกฆาตกร”
“ไม่จริงนะวิ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ไม่มีทางที่คนของเราจะไป”
“ฉันไม่เชื่อ อย่ามาแก้ตัว มีพยานรู้เห็นเรื่องชั่วที่พวกนายทำ”
“โธ่วิ เราเอาหัวเป็นประกันเลยนะ”
“ได้ ถ้าวันหนึ่งเรื่องแดงขึ้นมาว่าคนของนายทำจริง ฉันจะเป็นคนตัดหัวของนายเอง”
กริชกับวิภาดามองหน้ากัน กริชเสียใจ ส่วนวิภาดาคับแค้นใจ
“ยังไม่ไปอีก”
วิภาดาหยิบก้อนหินเขวี้ยงไป กริชหล่นตุ้บ ร้องดังลั่น วิภาดาเกือบจะหัวเราะ แต่นึกได้ ทำหน้าปั้นปึ่งเหมือนเดิม
กริชเดินออกมาจากทางเข้าบ้านคณิน คณินเห็นจึงหลบ
“ไอ้พวกเชิดสิงโตนี่ มาทำอะไรวะ”
คณินครุ่นคิด แล้วแอบตามกริชไป กริชเปิดประตูด้านหลังแล้วเข้าไปในคณะสิงโต โดยไม่รู้ว่าคณินแอบตามมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับเชิดสิงโตแล้วเดินออกไป คณินคว้าหัวแป๊ะยิ้มแล้วตามกริชออกไป

คณินในหัวแป๊ะยิ้ม ร่ายรำเงอะงะ พร้อมสังเกตการณ์คนทั้งหมดที่กำลังฝึกซ้อมไปทีละคน
“มันมีแผลที่หัวไหล่ มันอยู่ไหนวะ”
บุ๊งและเป้งเดินเข้ามา บุ๊งหัวเราะร่วน ส่วนเป้งแค่หัวเราะเอาใจ
“ลูกชายไอ้เส็งตายแล้ว ต้องฉลองสิบวันสิบคืน พรุ่งนี้อั๊วจะจัดงานเลี้ยงวันเกิด ลื้อช่วยเป็นธุระไปกระจายข่าวให้หน่อย”
“ทำไมลื้อเกิดบ่อยจัง อั๊วว่าลื้อเพิ่งเกิดไปเองนะ”
“เอาน่า คนมันจะเกิดก็ต้องเกิด ของแบบนี้ห้ามได้ที่ไหน”
“เออ จริงซิ พรุ่งนี้ก็จะครบ 15 วันตามกำหนดแล้ว”
“ลื้ออาจจะจำไม่ได้ แต่สำหรับอั๊วไม่มีลืม นับวันเลยละ” บุ๊งหัวเราะ
“แต่พิธีแต่งตั้งหัวหน้าแก๊งคนใหม่ ต้องเป็นที่สมาคมเหยี่ยวแดงไม่ใช่เหรอ”
“ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะเป็นสมาคมเหยี่ยวแดง ไม่ใช่โรงสีเก่าๆ นั่นอีกต่อไปแล้ว”
“ยินดีล่วงหน้าด้วย ท่านหัวหน้าแก๊งคนใหม่ ยังไงก็อย่าลืมอั๊วกับลูกชายนะ”
เป้งกับบุ๊งหัวเราะลั่น กริชวางเครื่องเชิดสิงโตลง ถอนหายใจอย่างระอา เหนื่อยใจกับความมักใหญ่ของพ่อ
 
หนึ่งในแป๊ะยิ้มคือคณินขยับถอยออกจากลานซ้อม 

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 1 (ต่อ)

แพนเพิ่งกลับจากไปทำงานโรงสี ย่องเข้ามาทางหลังบ้าน เสียงหลินดังขึ้น
“หยุดนะ”
แพนตกใจ ผงะ พอได้สติก็รีบกระโดดหลบหลังโอ่งน้ำ เป้งกำถุงผ้าเล็กๆ ที่ใส่ทองไว้ เดินรี่ออกมาทางหลังบ้าน หลินตามติด พยายามจะคว้าถุงใส่ทองคืน ทั้งคู่แย่งยื้อกันไปมา ขณะเถียงกันไปด้วย
“ทองเส้นสุดท้ายแล้วนะเฮีย หมดเส้นนี้ หมดตัว”
“อั๊วสัญญา อั๊วจะถอนทุนคืนให้ได้ ลื้อเตรียมกระสอบไว้ใส่ทองได้เลย”
“เตรียมปี๊บไว้คลุมหัวสิ หมดตูดหนนี้ สงสัยต้องเอาตับไตลื้อไปตึ๊ง ใช้หนี้”
“อั๊วไม่เอาลื้อไปตึ๊งก็ดีแค่ไหนละ”
“เฮีย ทำไมพูดหมาๆ อย่างนี้ ถ้าจะขายใครขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ คนๆ นั้นก็คือนังแพน ขายมันเลย”
“ใจเย็นๆ อั๊วพูดเล่นน่า อั๊วะจะขายลูกขายเมียกินได้ไง อั๊วไม่จัญไรขนาดนั้น ยิ่งเมียแสนดีอย่างลื้อ อั๊วต้องเก็บไว้กราบไหว้บูชา”
หลินเกือบเคลิ้ม เป้งฉวยโอกาสตอนเมียเผลอ วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หลินเจ็บใจ
“อาเป้ง ถ้าลื้อไม่คืนทองให้อั๊ว อั๊วขายนังแพนแน่”
แพนเครียดหนัก พึมพำกับตัวเอง
“คิดว่าอั๊วจะอยู่ให้ขายเหรอ”

เส็ง ซกเค็ง และ วิภาดานั่งคุกเข่า พนมมือไหว้ป้ายบรรพชนบนหิ้งบูชา ซึ่งมีภาพอากง อาม่า และถุงดิน เส็งบนบานต่อบรรพชน
“อากง ตระกูลเราจะหมดแค่นี้ไม่ได้นะ อาคิ้มอีต้องปลอดภัย”
“กลับมาหาม้านะ แล้วม้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ลื้อกินทุกวันเลย”
“ถ้าเฮียไม่กลับมา ฉันจะเปิดเผยความลับทุกอย่างของเฮียนะ”
“อะไรวะ”
เส็งกับซกเค็งถามอย่างตกใจ วิภาดาเม้มปากแน่น ส่ายหน้า

กลางคืน คณินยืนอยู่ตรงประตูรั้วบ้าน ลูกน้องเส็ง 4 คน ยืนหน้าถมึงทึง ล้อมคณินไว้
“อั๊วมาหาเสี่ยเส็ง”
“เถ้าแก่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบเวลานี้ กลับไปซะ”
“แต่อั๊วอนุญาตให้เสี่ยเส็งพบอั๊ว เปิดประตู”
“สงสัยพวกจรจัดจะมาขอเงินเถ้าแก่”
“ที่นี่ไม่ใช่โรงทาน ถ้าไม่มีข้าวกิน ไปที่ศาลเจ้าโน่น”
“ก็อั๊วอยากกินข้าวที่บ้านนี้”
ลูกน้องเส็งดึงปืนออกมาจ่อคณิน ท่าทางขึงขัง
“จะไปดีๆ หรือไปทั้งเลือด”
คณินหัวเราะ
“โหดซะไม่มีล่ะ”
คณินขี้เกียจจะเซ้าซี้ เลยยอมถอยออกไป กิตติเปิดประตูรั้วออกมา
“เอะอะอะไรกันวะ”
“คนจรจัดครับ เราไล่ไปแล้ว วิ่งหางจุกตูด”
ลูกน้องทั้งสี่ หัวเราะสนุก กิตติพยักหน้ารับรู้ มองตามหลังคณินซึ่งค่อยๆ เดินหายไปในความมืด
“เฝ้าหน้าบ้านดีๆ อย่าให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ประตูอีก”

กลางคืน โรงสีของเส็งโดนบุก ตอนเช้า เส็งยืนมองความเสียหายด้วยความเครียด แต่นิ่งและมีสติ กิตติรีบถาม
“มันได้อะไรไปบ้างครับ”
“ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งไง”
“เสี่ยบุ๊ง”
เส็งหันไปทางไท ซึ่งมีสภาพสะบักสะบอม แผลห้อเลือด ฟกช้ำทั้งตัว ยืนรวมตัวอยู่กับคนงานอื่นๆ
“ลื้อคือคนที่ต่อสู้กับคนร้ายเมื่อคืนใช่มั้ย”
“ครับ ผมขอโทษครับ ที่จำหน้าคนร้ายไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ลื้อทำดีที่สุดแล้ว อั๊วติดหนี้ลื้อ”
ไทยิ้มเยาะนิดๆ

ที่ศาลเจ้าปากน้ำโพ คณินตื่นนอน ล้างหน้าล้างตาแล้วหันไปพูดกับรูปปั้นเทพเจ้า
 
“รู้แล้วทำไมคนเราถึงต้องฆ่ากัน คนบางคนก็สมควรตายจริงๆ ไม่ต้องคุ้มครองผม แต่ขอให้ท่านคุ้มครองครอบครัวของผมก็พอ”
“ท่านไม่ว่าง”
ซินแสง้วงยกรูปปั้นเทพเจ้าองค์นั้นออกไป
“ไม่ว่างได้ไงครับ นี่มันหน้าที่ของท่าน อย่าอู้สิ”
“ซี้ซั้ว ครอบครัวลื้อ ลื้อก็คุ้มครองเอาเองสิ โยนภาระให้คนอื่น ใช้ได้ที่ไหน”
ซินแสง้วงไม่สนใจคณิน เพ่งตรวจตราสภาพรูปปั้นของเทพเจ้าต่างๆ เพื่อเตรียมซ่อมแซม คณินได้คิด
“ซินแสมาถึงเมื่อไหร่เนี่ย”
“เมื่อลื้อเห็น”
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่”
“เมื่อลื้อไม่เห็น”
“นั่นไง กะแล้ว แล้วซินแสมาทำไม”
“เอายามาให้”
“เอามาทำไม อั๊วหายดีแล้ว”
“ยังไม่หาย ลื้อแกะดู”
คณินแกะอ่าน
“อดทน ใช้สติ อะไรเนี่ย อดทน ใช้สติ แก้อะไร”
“แก้โง่ไง โดยเฉพาะ โง่ตอนเที่ยง”
คณินมองห่อยา แล้วหันมองหน้าซินแสง้วง

บุ๊งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ยืนยิ้มสุขใจหน้ากระจก ลูกน้องยืนถือเสื้อสูทอยู่เยื้องๆ
“เสื้อจากเซี่ยงไฮ้เลยนะโว้ยเพิ่งส่งมา ในที่สุด วันที่อั๊วรอคอยมาทั้งชีวิตก็มาถึง ช่างเป็นของขวัญวันเกิดที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้”
ลูกน้องนำเสื้อสูทมาสวมให้บุ๊ง บุ๊งรู้สึกว่าตัวเองเท่ห์ราวกับเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

เส็งเดินอยู่ในบ้าน กิตติตามมา
“เถ้าแก่ไม่ไปแน่นะครับ”
“ลื้อว่าอั๊วควรจะไปเห็นหน้าคนที่อั๊วคิดว่ามันฆ่าลูกอั๊วมั้ย”
“ไม่ควรครับ เถ้าแก่”
“เป็นความผิดของอั๊วเอง เอาคางคกมาขึ้นวอ ถ้าอั๊วไม่คิดจะ ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ฟ้าลิขิตแล้วมั้งครับเถ้าแก่ เถ้าแก่พักผ่อน เดี๋ยวผมไปแทนเองครับ”
เส็งพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปมองนาฬิกา

นาฬิกาบนฝาผนัง เหลือเพียงสามนาทีก็จะเที่ยงตรง สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงกินดื่มกันอย่างมีความสุข สนุกสนาน บุ๊งส่งสัญญาณให้เป้งว่าถึงเวลาแล้ว เป้งพยักหน้ารับรู้ ก่อนลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ได้เวลาที่เราจะแต่งตั้งหัวหน้าแก๊งคนใหม่แล้ว”
พล ทรง จิ๋นมองหน้ากัน ทรงท้วงขึ้น
“ไหนบอกว่าเลี้ยงงานวันเกิด”
“พี่ใหญ่รู้เรื่องนี้มั้ย”
พลถามขึ้น บุ๊งรีบตอบทันที
“ต้องรู้สิ ก็อีพูดเองว่าให้เลือกหัวคนใหม่ อั๊วแค่ทำตามเจตนารมณ์ของอี ด้วยความเคารพ”
มนชิตแสร้งพูดขึ้น
“แต่ยังไม่ถึงกำหนดนี่ครับ”
“ต่อให้ถึง ลูกชายของอีก็ตายไปแล้ว อ่ะหยวนๆ อั๊วให้เวลาแค่เที่ยงวัน ถ้ายังไม่มีผีที่ไหนโผล่มา” บุ๊งบอก
“3 นาที”
ทุกคนต่างตกใจ
“เรื่องนี้ คงต้องอาศัยสวรรค์ชี้แนะ”
บุ๊งหัวเราะชอบใจ ทุกคนเงยหน้ามองนาฬิกา พล ทรง จิ๋นลุ้นให้คณินมา ที่เหลือยิ้ม พยักหน้า เตรียมฉลอง เป้งยกน้ำชาขึ้นชูเหนือศีรษะ
“เพื่อจะประกาศความยิ่งใหญ่ เรามานับถอยหลังพร้อมกันให้ดังๆ เก้า แปด เจ็ด”
ทุกคนยกน้ำชาตาม พล ทรง จิ๋นจำใจยก แต่ไม่ร่วมนับถอยหลัง
“หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง”
ทันใดนั้นเอง เสียงประทัดก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นจากภายนอก ทำให้เสี่ยบุ๊งตกใจ ทำถ้วยน้ำชาหลุดมือหล่นแตก เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนภายนอกและเสียงดนตรีจากคณะเชิดสิงโตก็ดังสนั่นสำทับ
“เกิดอะไรขึ้น”

เป้งแปลกใจ

หน้าสมาคมเหยี่ยวแดงใกล้เขตศาลเจ้า
 
ขบวนสิงโตเชิดอย่างคึกคัก ชาวบ้านจำนวนมากแห่แหนกันมาดู แพนแหวกฝูงชนเข้ามา มองไปยังตัวสิงโตเจ้าปัญหา ที่ขโมยกระเป๋าเธอมา สมาชิกแก๊งเหยี่ยวแดงกรูกันออกมาหน้าสมาคม เห็นผู้คนมากันทั้งตลาด ก็ตกใจกึ่งประหลาดใจ
“อะไรวะเนี่ย”
บุ๊งแปลกใจ เป้งรีบถาม
“ลื้อให้คณะสิงโตมาเชิดแสดงความยินดีด้วยเหรอ”
“เปล่า”
ชาวบ้านพูดกันเซ็งแซ่
“ไหนล่ะ ข้าวสารที่จะแจก ข้าวสารๆๆ”
บุ๊งโวยวาย
“ใครบอกว่าอั๊วจะแจกข้าวสาร อยากได้ก็ซื้อเอาสิ แล้วใครบอกให้พวกลื้อมาเชิดสิงโตตอนนี้ หนวกหู หยุดเดี๋ยวนี้”
สิงโตคณินยังคงเชิดไม่หยุด เชิดแล้วกระโดดเพื่อต่อตัวไปหน้าระเบียงบ้าน แล้วถอดหัวออกเป็นคณิน บุ๊งตกใจ อึ้ง หน้าถอดสี มนชิตช็อก เสี่ยเป้งงง บุ๊งชี้หน้า
“ลื้อ”
ทรงยิ้ม
“อาคิ้มใช่ไหม”
กิตติตะโกนลั่น
“นายน้อย นายน้อยจริงๆ ด้วย”
กิตติวิ่งแทรกฝูงชนเข้ามาหาคณินด้วยความดีใจ
“เถ้าแก่ให้ผมมาส่งข่าวว่าท่านติดธุระมาไม่ได้ เรื่องเลือกหัวหน้าฎ
คณินตอบเอง
“เลยให้กระผมมาแทนครับ”
“นี่คือนายน้อยคิ้ม ตัวจริงเสียงจริง หล่อมั้ยครับทุกคน”
กิตติพูดต่อหน้าทุกคน ชาวบ้านพากันเซ็งแซ่ ที่คณินยังไม่ตายตามข่าวลือ แพนจ้องคณินนิ่งๆ กริชขยับเข้ามายืนข้างๆ แพน
“ไอ้คิ้มจริงๆ ด้วย”

คณินเข้ามายืนต่อหน้าทุกคนในสมาคมเหยี่ยวแดง โค้งรอบวง
“ไม่ต้องตะลึงครับ ผมหล่อมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ ผมเอง ลูกชายคนเดียวของเสี่ยเส็ง ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงคนใหม่”
บุ๊งยั้ว
“หมดเวลาของลื้อแล้ว ตอนนี้อั๊วได้เป็นหัวหน้าแก๊งคนใหม่แทนพ่อลื้อแล้วโว้ย”
“นายมาเลยเวลาไปนิด เรากำหนดไว้แค่เที่ยงตรง”
คณินหัวเราะ
“เที่ยงตรงใช่ไหมครับ ได้เลย”
คณินเดินไปที่จุดแขวนนาฬิกาหน้าสมาคม ปีนขึ้นไปหยิบนาฬิกาลงมา แล้วเลื่อนเข็มเป็นก่อนเที่ยง แล้วนำขึ้นแขวนกลับไว้ที่เดิม
“นี่ไงครับ ยังไม่เที่ยงตรงเลย”
แพนยิ้ม ทุกคนพากันหัวเราะ บุ๊งโกรธจนหน้าเขียว
“ลื้ออย่ามาขี้โกงกันซึ่งๆ หน้า”
“ใครกันแน่ที่ขี้โกง”
คณินยื่นนาฬิกาข้อมือตัวเองให้ทุกคนดู
“ผมแค่เลื่อนเวลาให้ตรงกับนาฬิกาโรเร็กซ์ของผมเท่านั้นเอง กระจ่างไหมครับ ท่านรองหัวหน้า”
“ไอ้”
ทรงดีใจ
“เป็นอันว่า เราได้หัวหน้าแก๊งคนใหม่แล้วใช่ไหม หัวหน้าคิ้ม”
“อย่าเพิ่งครับ แม้ว่าจะเหมาะสมเพียงใดก็ตาม เอาเป็นว่า ผมจะอยู่ในตำแหน่งรักษาการณ์ไปก่อน”
ทุกคนปรบมือ คณินโค้งรับเสียงกล่าวขาน แพนรู้สึกได้ว่าคณินกำลังท้าทายบุ๊งอย่างไม่เกรงกลัว มนชิตชิงปรบมือให้คณิน เข้าข้างคณินเต็มที่
“ยังมีอีกเรื่อง ขอประกาศไว้ตรงนี้ ต่อหน้าพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ฮะแฮ่ม ถ้าหากผมตายก่อนจะถึงตรุษจีนปีหน้า ให้ถือว่าเสี่ยบุ๊งเป็นคนร้าย”
“เก๋าเจ้ง”
บุ๊งสบถ ทุกคนฮือฮาชอบใจ บุ๊งแทบจะกระโดดเตะคณิน แต่เป้งดึงตัวไว้ คณินกระซิบบอกกิตติ
“พยานอื้อ”
“สุดยอดครับ”
ทุกคนพากันปรบมือให้คณิน แพนหันหลัง เดินฝ่าฝูงชนออกไป คณินมองตามแพนไป

เป้งกับมนชิตเดินคุยกันมาที่ท่ารถ มนชิตหัวเสียมาก
“มันกลับมาได้ยังไงวะไอ้คิ้ม”
“มันกลับมาแล้ว แล้วมันก็ได้เป็นหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงแล้ว ทำไม ทำไมลื้อถึงคิดว่ามันจะไม่กลับมา”
“เปล่า อั๊วแค่คิดว่า ถ้าไอ้คิ้มไม่กลับมา ตำแหน่งหัวแหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงก็จะเป็นของแปะบุ๊ง ตำแหน่งรองหัวหน้าก็จะตกเป็นของป๊า พอไอ้คิ้มกลับมาก็เลยเสียดายน่ะป๊า”
“มันจะกลับหรือไม่กลับ สำหรับอั๊วมีค่าเท่ากัน มันไม่กลับอั๊วก็ขายอาแพนเป็นเมียไอ้กริชลูกชายหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงคนใหม่"
 
"มันกลับอั๊วก็ขายอาแพนให้ไปเป็นเมียไอ้คิ้ม หัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงคนใหม่ ดีกว่าเดิมอีก"

มนชิตโกรธแล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแพนยืนรอรถอยู่ที่ท่ารถ
 
“ป๊านั่นแพนนี่ อีจะไปไหน”
เป้งเห็นแพนถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินปะปนกับผู้คน ก็ตกใจ แพนเห็นพ่อ ก็รีบหลบหน้า เดินมุดแทรกผู้คนออกไปเร็วๆ
“อีจะหนี ไปจับตัวอาแพนไว้”
มนชิตรีบวิ่งไล่แพนไปทันที แพนหลบหลีกเป้งกับมนชิตจนเหมือนจะพ้น แต่ก็โดนจับจนได้ มนชิต กระชากแพนไปอย่างแรง เป้งรี่เข้ามา หยิบกระเป๋าแพนขึ้นเปิดดู เห็นเสื้อผ้าก็โกรธตัวสั่น ตบหน้าแพนฉาด
“คิดจะหนีตามผู้ชายเหรอ ลากอีกลับบ้าน”
มนชิตลากแพนออกไป

คณะสิงโตกำลังเก็บของ อุปกรณ์ เครื่องดนตรี เตรียมกลับคณะ กริชก้มลงหยิบหัวสิงโตขึ้นมาตรวจดู บุ๊งถมึงทึง ปรี่เข้ามาจับคอเสื้อกริช
“ลื้อร่วมมือกับไอ้คิ้ม มาโค่นล้มอั๊ว”
“ป๊า ผมจะทำอย่างนั้นทำไม ถึงผมจะไม่ชอบที่ป๊าจะเป็นหัวน้าแก๊ง แต่ก็ไม่เคยห้าม”
บุ๊งยิ่งจับคอเสื้อกริชแน่น จนจะหายใจไม่ออก
“ถ้างั้น มันมาเชิดสิงโตแทนลื้อได้ไง”
“มีคนมาขอเช่า เขาบอกจะเชิดสิงโตแก้บน จริงๆ นะป๊า ผมหายใจไม่ออก”
บุ๊งปล่อยคอเสื้อกริช แต่ยังคงกระฟัดกระเฟียด
“อั๊วอยากจะฆ่ามัน ไอ้คิ้ม”

คณินเดินคุยมากับกิตติ
“ฉันต้องการให้เสี่ยบุ๊งคุ้มครองชีวิตฉันสักช่วง อย่างน้อย จนกว่าฉันจะแข็งแรง”
“อ๋อ เพราะถ้าเสี่ยบุ๊งคือคนที่ส่งคนร้ายไปเอาชีวิตนายน้อยจริง มันก็จะไม่กล้าทำอะไรนายน้อยในช่วงนี้แน่”
“ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ คนร้ายตัวจริงจะอาศัยจังหวะนี้ เพื่อฆ่าฉันอีกครั้ง”
“เพื่อป้ายความผิดให้เสี่ยบุ๊ง”
“เข้าใจอะไรได้ดีมาก สมกับที่รับใช้ป๊าฉันมานาน”
“ฉลาดครับ แต่ถึงยังไง นายน้อยก็ไม่ควรประมาทนะครับ”
“รู้น่า”
คณินพยักหน้าเข้าใจ

เป้งเดินหน้าถมึงทึงตามมา พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าของแพน หลินกับมนสิชานั่งเย็บเสื้อผ้าที่โต๊ะในร้านลุกยืนด้วยความตกใจ
“อับอาย อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว”
“ก็ฆ่าซะเลยสิ”
“ลื้ออย่าท้านะ”
เป้งเดินไปหยิบแส้ หลินกับมนสิชามองสะใจ
“สงสัยคราวนี้นังแพนไม่รอด”
“ท่าทางป๊าโกรธมาก มันทำอะไรผิด”
เป้งฟาดแพนไม่ยั้ง โดยที่แพนไม่ขัดขืนเลย มนชิตพูดขึ้น
“ตีไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกป๊า”
เป้งยังตีต่อ
“พอเถอะป๊า”
“นังลูกอกตัญญู”
มนชิตเข้าไปแย่งไม้ หลินกับมนสิชาขยับเข้ามายืนหลังประตู เพื่อแอบดู
“อั๊วจะสั่งสอนลูกสาวไม่รักดีของอั๊ว อั๊วจะตีมันให้ตาย”
“ผมว่า ตีไปก็เหนื่อยเปล่า”
แพนมองหน้ามนชิต มนชิตจ้องตาแพนด้วยความเจ็บปวด
“สู้ขังไว้ในห้องสักเดือนสองเดือน หรือจนกว่าจะสำนึก ไม่ดีกว่าเหรอ”
แพนตกใจหน้าซีด
“เออ ดีเหมือนกัน ขังไม่ต้องให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน”
“อย่านะป๊า ถ้าขังฉันไว้ แล้วใครจะทำงานขัดดอกล่ะ ป๊าๆๆ”
เป้งไม่ฟัง ผลักแพนไปที่นอน เป้งกับมนชิตออกจากห้อง แล้วจัดการล็อคประตู หลิน มนสิชา สะดุ้งโหยง
“อาสิ ลื้ออย่าทำตัวเหมือนพี่สาวลื้อนะ”
เป้งเดินหัวเสียออกไป มนสิชาหน้าเจื่อน
“สมน้ำหน้า”
หลินพูดใส่ประตูห้องแพน แล้วเดินตามเป้งไป มนชิตมองประตูด้วยสายตาเย็นชา เป้งเดินพ้นประตูบ้านออกมา หลินวิ่งตามมา
“จะไปไหนเฮีย”
“อั๊วจะไปคุยกับเสี่ยเส็ง”
“คุยเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องนังแพนนี่แหละ อั๊วจะไปลาป่วยให้มัน บอกว่ามันป่วยหนัก มาทำงานไม่ได้”
“งั้นอั๊วไปด้วย อั๊วไปจะเร่งรัดเรื่องดูตัวอาสิกับคุณคิ้ม”

หลินเดินตามเป้งไปต้อยๆ

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 1 (ต่อ)

เส็งกำลังอบรมคนงาน ที่ยืนหน้าจ๋อย อยู่ภายในโกดังข้าว ไทยืนอยู่ปลายแถว แกล้งทำสงบเสงี่ยม
 
“โรงสีนี่ก็เหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ช่วยกันสอดส่อง ดูแลให้ดีๆ พวกลื้อๆๆๆ นี่แหละที่จะไม่มีอะไรกิน”
“อย่าโมโหสิครับ”
“ไม่ให้โมโหได้ไงวะ”
เส็งชะงัก เพราะคุ้นหูว่าเป็นเสียงลูก จึงหันไปมอง เห็นคณินยืนยิ้มแฉ่งอยู่เยื้องหลังไท โดยมีกิตติยืนประกบ
“ไอ้คิ้ม”
“ว่าไงครับป๊า คิดถึงผมล่ะสิ”
ไทหน้านิ่ง แต่ดวงตาลุกวาว โค้งให้คณิน คณินตบไหล่ไทสองสามครั้งเพื่อทักทาย ไทเจ็บจนทรุดลงไปเล็กน้อย คณินแปลกใจ เส็งเดินมากอดคณิน ตบไหล่ตบบ่า
“แกยังไม่ตาย แกยังไม่ตายจริงๆ ไอ้ลูกชาย”
“ก็ยังไม่ตายสิครับ จะตายได้ไง ยังไม่มีเมียเลย”
พ่อลูกดีใจ มีความสุข ไทหน้าไม่ดี คณินหันมองไท สงสัยเล็กน้อย

รถเส็งมาจอดหน้าบ้าน คณินลงจากรถมายืนเคียงข้างเส็ง ลูกน้องต่างตะลึง เพราะจำหน้าคณินได้
“ไอ้จรจัด”
“อาคิ้ม เข้าบ้านกันเถอะลูก”
“ลูก”
คณินหันไปโบกมือทักทายลูกน้องทั้งสี่ ก่อนเดินตามเส็งเข้าบ้านไป ลูกน้องจ๋อยไปตามๆ กัน ที่วันก่อนไล่คณินออกไป เพราะไม่รู้จักคณิน ซกเค็งตะลึงงันที่เห็นหน้าลูกชาย
“อาคิ้ม”
วิภาดาเดินมา ตกใจไม่แพ้กัน
“เฮีย”
คณิน ซกเค็ง วิภาดาวิ่งเข้ามากอดกันแน่น ซกเค็งร้องไห้โฮ ลูบแก้มลูกชาย มือไม้สั่น
“ลื้อจริงๆ ด้วย คิ้ว ตา จมูก ปาก ม้าไม่ได้ฝันไป”
“ฉันนึกแล้วว่าเฮียไม่มีทางทิ้งพวกเราไป”
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
เส็งเดินเข้ามาหาครอบครัว
“พร้อมหน้าพร้อมตากันซะทีนะ ครอบครัวของเรา”
เสียงปรบมือจากบุ๊งดังขึ้น 3 ครั้ง
“ดีใจด้วยนะเฮีย”
กริชวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อย่านะป๊า กลับเถอะ”
“อะไรของลื้อวะ”
“ลื้อมีธุระอะไร” เส็งถาม
“ไม่มีอะไรครับเถ้าแก่ แค่มาทักทาย และกำลังจะกลับครับ”
“จะกลับได้ไง อั๊ว ยังไม่ได้พูดเลย”
“ว่ามาเสี่ย” คณินเปิดโอกาส
“อั๊วแค่จะมาบอกว่า อั๊วจะปิดโรงน้ำชา เพื่อเลี้ยงฉลองให้กับผู้รักษาการณ์หัวหน้าแก๊งคนใหม่คืนนี้ อาคิ้ม ลื้อจะไปรึเปล่า”
เส็งกับคณินมองหน้ากัน กริชแปลกใจ
“ไม่ไป ก็ไม่สนุกสิครับ ต้องไปอยู่แล้ว”
คณินกับบุ๊งมองหน้ากัน ต่างคนคิดว่าอีกฝ่ายมีแผน

คณินเข้ามาในห้องที่จากไปนาน มองรูปถ่ายที่ติดผนัง ทำให้หวนคิดถึงอดีต ตอนเขาเด็กๆ เส็งสอนเขายิงปืน เมื่อเส็งยิงคนตาย คณินแอบเห็น ทำให้เขาเกลียดพ่อ

มนชิตนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องแพน แพนเคาะประตูเรียก
“เฮีย ฉันจะเข้าห้องน้ำ”
มนชิตลุกไปหยิบกระโถนมา ไขกุญแจ เปิดประตู แล้วยื่นกระโถนให้
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“ช่วยไม่ได้ อยากหาเรื่องเอง อกตัญญูจริงๆ”
“ฉันไม่ได้อกตัญญูนะ”
“แค่เธอคิดจะไป เธอก็อกตัญญูแล้วแพน”
มนชิตปิดประตูใส่หน้าแพน แพนทรุดลง หมดหวัง เหมือนคนหาทางออกไม่เจอ

เป้งกับหลินมาพบเส็ง และซกเค็ง เพื่อขอลางานให้แพน เส็งแปลกใจ
“ไม่สบาย เป็นอะไร”
“อั๊วก็ไม่แน่ใจ แต่อาการอีไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีแรง ลุกไม่ขึ้น”
“ให้ซินแสตรวจดูอาการให้สิ ตอนนี้ท่านยังอยู่ที่ศาลเจ้า” ซกเค็งแนะ
“ไม่ต้องจ้ะ คือ มันเป็นโรคประจำตัวของอี รักษายังไงก็ไม่หายหรอกจ้ะ ว่าแต่อาคุณหนูคิ้ม อยู่ไหนคะ ได้ข่าวว่าหล่อเหลาอย่างกับเทพบุตร”
หลินสอดส่ายสายตามองหา ซกเค็งนึกรู้
“เรื่องดูตัว เอาไว้เด็กๆ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยนัดแนะกันอีกที”
“อุ๊ยตาย อั๊วไม่ได้มาทวงสัญญาเรื่องนี้ อาซกเค็ง ลื้อนี่ใจร้อนยังกับวัยสะรุ่น แต่ถ้าสองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว หนี้สินก็”
เส็งหัวเราะ ส่ายหน้า
“เออๆ อั๊วจะลืมให้หมด”

เป้งอายมาก

คณินนั่งดูรูปอยู่ วิภาดาเดินเข้ามา
 
“ม้าให้มาตามเฮียไปกินไก่ตุ๋นยาจีน”
“จ๊ะ”
“วันนี้ที่บ้านมีแขกพ่อแม่ของแพน คนทำบัญชีที่โรงสีน่ะจ้ะ มาลางานให้ลูกสาว เห็นว่าไม่สบาย”
“เป็นอะไร ไข้ทับระดู”
“เฮีย รู้จักกะเขาด้วย ว่าแต่ จะไปงานเลี้ยงที่โรงน้ำชาจริงเหรอ”
“จริงสิ ทำไม”
“ฉันไม่ไว้ใจคนบ้านนั้น แล้วก็ไม่อยากให้เฮียไว้ใจด้วย”
“ไม่ต้องห่วง นอกจากป๊า ม้า แล้วก็วิ เฮียจะไม่ไว้ใจใครอีก”
คณินลูบผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู

มนชิตแต่งตัวหล่อพร้อมไปงาน แต่ออกมายืนคุยกับไทข้างกำแพงก่อน เขาผลักไทกระแทกกับฝาด้วยความโกรธ
“ตามกฎแล้ว ลื้อต้องตาย ไอ้เคนจิล่ะ”
“มันรักษาตัวอยู่ครับ”
“อย่าให้มันโผล่มาตอนนี้เด็ดขาด ไอ้คิ้มเห็นหน้ามันแล้ว”
“ผมพร้อมจะแก้ตัวนะครับ ถ้าคุณต้องการ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ เวลานี้ไอ้คิ้มมันคงระวังตัวแจ ถ้าลื้อถูกจับได้ จบเห่แน่ ลื้ออยู่ที่โรงสีไปก่อน ทำให้มันไว้ใจ แล้วค่อยเล่นมัน”
“ครับ”
มนชิตเดินออกไป

เป้งแต่งตัวหล่อออกมา เจอหลินกับมนสิชา
“อามนชิตล่ะ”
มนชิตเดินเข้ามา
“อั๊วพร้อมแล้ว รีบไปกันเถอะป๊า”
หลินจะเดินไปทางห้องแพน มนสิชาถามขึ้น
“ม้าจะไปไหน”
“ไปดูนังแพนมัน ป๊าสั่งให้เฝ้าไว้ให้ดี เดี๋ยวมันหนีไป”
“ม้า”
“อะไรอีกล่ะ”
“ม้าอยากให้นังแพนมันอยู่บ้านหลังนี้เหรอ”
“โอ๊ย มันไปวันไปพรุ่งได้ยิ่งดี ถามทำไม เอ๊ะ หรือ ไอ้หย่า”
“ใช่ม้า ให้มันหนีไปซะ จะได้หมดทุกข์หมดโศกกันซะที จะมีตอนไหนเหมาะเท่าตอนนี้ล่ะม้า”
“ฉลาด ฉลาดสมกับเป็นลูกอั๊วจริงๆ”

บรรยากาศคึกคักภายในโรงน้ำชา ที่โต๊ะบุ๊ง มีเป้ง มนชิตและสมาชิกแก๊ง 5 คนนั่งรวมอยู่ด้วย
“เต็มที่ๆ อั๊วเลี้ยงเอง”
“ใจของลื้อ กว้างอย่างกับมหาสมุทร” เป้งชื่นชม
คณินกับเส็ง และกิตติเดินผ่านประตูเข้ามา ทุกคนลุกขึ้นยืน ต้อนรับนายใหญ่และนายน้อย
“ไม่เป็นไร ตามสบาย”
บุ๊งปรี่เข้ามาหาเส็งและคณิน
“พี่เส็ง เชิญที่โต๊ะอั๊ว”
เส็ง คณินจำใจเดินตามบุ๊งไปนั่งที่โต๊ะ นักร้องสาวกำลังร้องเพลงจีนขับกล่อมบรรยากาศ ไพเราะเพราะพริ้ง
“อาหารดีๆ เหล้าดีๆ แด่พี่และนายน้อยของพวกเรา”
“ผีเข้าเหรอ” เส็งทัก
พล ทรง จิ๋นนั่งอยู่ พากันหัวเราะ เป้งเอาแต่หันมองที่เวที เพราะนึกถึงแพน คณินมองตามสายตาเป้งไปที่เวที

หลินไขกุญแจห้องแพน ประตูเปิดออก
“ไป ไปให้ไกลที่สุด แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
“ทำไมฉันต้องไป”
“เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีกแล้ว”
“เพราะหน้าฉัน ทำให้น้านึกถึงแม่ฉันใช่มั้ยล่ะ”
“นังแพน”
“ฉันน่าจะอยู่บ้านนี้ต่อนะ น้าจะได้ทรมานใจไปจนวันตาย”

แพนเดินออกไป หลินอยากจะกรีดร้อง แต่กลั้นไว้ กลัวเสียงดัง

บรรยากาศครื้นเครงที่โรงน้ำชา ผู้คนต่างเมามาย สนุกสนาน บุ๊งทักขึ้น
 
“พี่เส็ง จะไม่ดื่มให้เกียรติพี่น้องของพวกเราสักแก้วเหรอ”
“ช่วงนี้ อั๊วถือศีลกินเจ งดอบายมุข”
“งั้นให้นายน้อยคิ้มดื่มแทนละกัน” เป้งเสนอ
“ไม่ ไม่ปฏิเสธ”
เส็งส่งสัญญาณให้ลูกชายว่าอย่าดื่มมาก แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ คณินบอกกิตติให้ตามเส็งไป
“ไม่ต้อง”
เส็งลุกจากโต๊ะ เดินออกไป มนชิตมองตามเส็ง ก่อนจะลุกตามไปไม่ให้ผิดสังเกต เวลาเดียวกันนั้น แพนเดินเข้ามาในโรงน้ำชา
คณินยกแก้วเหล้าขึ้นซด สาวๆ ส่งเสียงกรีดร้องคลั่งไคล้ความหล่อของคณิน หญิงสาวแต่งตัวเซ็กซี่มานั่งลงบนตัก ออเซาะ บุ๊งยิ้มมุมปากเล็กๆ
“คืนนี้อยู่ด้วยกันนะคะเฮีย”
เป้งยังก้มหน้าดื่มเหล้า

ภายในห้องน้ำ เส็งกำลังพ่นยาหอบหน้ากระจก มนชิตเดินเข้ามายืนข้างๆ เขารีบเก็บยาพ่นใส่กระเป๋า
“ผมอยู่ข้างคิ้มนะครับ”
“ขอบใจนะมนชิต”
เส็งไม่ได้เชื่อคำพูดของมนชิตแม้แต่น้อย ก่อนเดินออกไป มนชิตมองตามอย่างเหี้ยมเกรียม เส็งกลับมาจากไปห้องน้ำ มานั่งที่โต๊ะ บุ๊งบอกว่ามีโชว์พิเศษ แล้วปรบมือให้สัญญาณ บนเวทีเริ่มมีการแสดงระบำพัด เป้งคิดว่าถ้าแพนไม่ถูกขังไว้ คงมารำพัดให้เขาขายหน้าอีก ระหว่างนั้น แพนรำพัดเข้ามาจากข้างล่าง รำไปตามโต๊ะแขก เป้งและมนชิตมองแพน คณินไม่ได้สนใจนั่งคุยกับชาวบ้านคนอื่น เป้งเข้าไปกระชากแพน
“ลื้อมาที่นี่ทำไม”
“มาให้ป๊าขายหน้าที่มีลูกสาวแบบนี้ไง”
แพนพูดจบก็หันไปคว้าคอคณินมาจูบ ทุกคนฮือฮา เป้งอับอาย คณินก็แอบอาย

คณินกลับมาบ้าน อารมณ์เสีย ในขณะที่เส็งยิ้มนิดๆ กิตติพูดล้อเลียนคณิน
“นายน้อยทำหน้ายังกับเพิ่งเสียหนุ่มครั้งแรก”
“เฮ้ย เสียหนุ่มครั้งแรกตอน 12 โว้ย แค่ไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ เมายาดองรึยังไง”
เส็งหัวเราะชอบใจ
“ก็น่าจะใช่ เพราะถ้าอีมีสติ อีไม่ทำเรื่องน่าอายแบบนี้หรอก”
“หรือว่าแพนจะชอบนายน้อย”
“แต่ที่ป๊าไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือ ไอ้เป้งบอกว่าอาแพนไม่สบายหนัก ลุกไม่ขึ้น แล้วคนที่รำพัดตะกี้ มันก็อาแพนนี่นา แต่อั๊วไม่เข้าใจอีทำได้ไงวะ”
คณินเม้มริมฝีปาก ยังเจ็บใจที่ถูกแพนจูบ
“แพน”

คืนนั้น แพนกลับมาบ้าน โดนเป้งเฆี่ยนด้วยหวายอย่างหนัก ในขณะที่คณินนึกถึงจูบแรกของเขา
ตอนเช้า แพนเดินเข้ามาในโรงสี ด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจ ยิ่งทำหน้าไม่ถูก เมื่อคนงานพากันมองเธอ ไม่ไกลกันนัก คณินยืนหันหลังให้แพน ข้างหน้าเป็นกองข้าวเปลือกสูงเป็นภูเขา คนงาน 4-5 คนกำลังทำตำข้าวเปลือกลงกระสอบ เส็งกับกิตติเดินมาด้วยกัน กิตติถือแฟ้มงานมาด้วย เส็งเห็นแพนพอดี
“อ้าว อาแพน”
แพนชะงัก
“เถ้าแก่”
คณินหันกลับมามองแพน ตาเขียว แพนหลบสายตา
“อาคิ้ม รู้จักอาแพนไว้สิ อีมาช่วยทำบัญชีให้โรงสี”
“อ้อ คนที่มาทำงานขัดดอกน่ะเอง”
แพนไม่ยอมมองหน้าคณิน
“สวัสดีค่ะคุณคิ้ม งั้นหนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว”
คณินเรียกเสียงเหี้ยม แพนตกใจกับท่าทีดุดันเกินเหตุของเขา
“ในฐานะเจ้านายคนใหม่ ผมขอสัมภาษณ์เธอเป็นการส่วนตัวหน่อย ตามมา”
คณินเดินออกไปก่อน แพนเลี่ยงไม่ได้ จำใจเดินตามไป เส็งกับกิตติมองตามหลัง
“ท่าทางจะมีตบจูบนะครับ”
“ว่างเหรอ ที่ให้สืบเรื่องข้าวเน่า ไปถึงไหนแล้ว”

กิตติหน้าจ๋อย

คณินเดินมามุมหนึ่งของโกดัง ก็หยุดเดิน ทำให้แพนที่เดินตามติดชนแผ่นหลังเขาอย่างจัง
 
“ขอโทษค่ะ”
“รู้จักสำนึกนี่นะ ป๊าเธอไม่ว่าเหรอ ทำตัวแบบนั้น”
แพนฉุนแต่ระงับใจ
“ไหนว่าจะสัมภาษณ์งาน”
คณินหันกลับมา ยิ้มเยาะ กวนๆ
“อย่าทำเป็นลืมสิ เธอทำอะไรไว้กับฉัน”
แพนหน้าตื่น
“ทำอะไร”
“ทำอะไรเหรอ ได้ เดี๋ยวทำให้ดู”
คณินขยับเท้าจะเข้าหาแพน แพนถอยกรูดด้วยความกลัว
“อย่านะ”
“ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นกลัว ตอนอยู่หน้าคนเป็นร้อย ทำไมกล้าจัง”
“ฉัน ฉัน ฉันตาลายนึกว่า”
“นึกว่าฉันเป็นใคร หรือว่า แฟนเธอ”
“เอาเป็นว่า ฉันขอโทษละกันที่ทำให้คุณอับอาย ที่ทำให้ต้องมาเป็นข่าวกับผู้หญิงหยำฉ่าอย่างฉัน”
คณินหัวเราะ
“ผ่านผู้ชายมาเยอะเหรอ”
“ใช่ นับไม่ไหวเลยล่ะ”
“แต่เพิ่งจูบครั้งแรก อย่ามาโกหกฉัน”
แพนหน้าเสีย
“คุณ”
“ในบรรดาผู้หญิงเป็นร้อยที่ฉันคอยจูบมา เธอเป็นคนที่จูบได้แย่ที่สุด ลิ้นแข็งชะมัด ไหนบอกว่าช่ำชอง”
แพนอับอาย หันหลังจะเดินไป
“เดี๋ยวสิ ถ้าเธออยากให้ฉันยกโทษให้ เธอต้องทำงานให้ฉัน”
“ฉันก็ทำงานให้คุณอยู่แล้วนี่”
คณินขยับตัวเข้าชิดด้านหลังแพน แพนสะดุ้ง ตกใจขยับออกห่าง
“มันคนละส่วนกับงานที่โรงสี”
“ฉันต้องรู้ก่อนว่ามันคืองานอะไร”
ยิ่งใกล้ ก็ทำให้คณินเห็นร่องรอยการถูกตีตามเนื้อตัวของแพนชัดขึ้น
“ไม่ยากหรอก ก็แค่ มาหาฉันที่นี่ทุกวัน หลังเลิกงาน”
“จนถึงเมื่อไหร่”
“เมื่อเธอชดใช้ให้ฉันหมดแล้ว”
แพนพยักหน้าแล้วเดินจากไป คณินมองตามหลังแพนไป ด้วยความเห็นใจสงสาร

ตอนเย็น คณินเดินคุยกับซินแสง้วง บริเวณท่าเรือหลังศาลเจ้า กิตติเดินตามติด
“อยู่ที่นี่ต่อจนถึงวันไหว้พระจันทร์ไม่ได้เหรอซินแส”
“ไม่ได้ อั๊วมีงานทางโน้น ส่วนทางนี้ เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว”
“คิวทองจริงๆ แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ตรุษจีนปีหน้าเหรอ”
“ไม่แน่ว่าอาจจะเร็วกว่าที่คิด”
“ทางโน้น คนมุงอะไรกัน”
กิตติชี้ไปที่ท่าน้ำ คนนับสิบกำลังมุงดู ชี้ชวนให้ดูศพที่ลอยตายอยู่ในน้ำ คณิน กิตติ ซินแสง้วง เดินไปที่เกิดเหตุทันที คณินแหวกชาวบ้านมายืนข้างหน้า พลางถามชาวบ้าน
“เกิดอะไรขึ้น”
“คนตายลอยน้ำมา”
ชายชาวบ้าน 2 คนช่วยกันยกศพวางลงบนพื้น กิตติพลิกใบหน้าของศพเพื่อดูว่าเป็นใคร แล้วตกใจ
“ไอ้เลี้ยง”
“ใคร”
“ขี้เมาในคณะเชิดสิงโตของเสี่ยบุ๊ง สงสัยจะเมาจนตกน้ำตกท่า”
คณินนึกเอะใจเมื่อได้ยินคำว่าคณะสิงโต เพราะอาจเป็นคนที่ไปฆ่าเขาที่กรุงเทพฯก็ได้ เขาคิดจะเข้าไปตรวจดูที่หัวไหล่ของศพ แต่พอเห็นคนของคณะสิงโตอยู่ในกลุ่มไทยมุงด้วย เขาจึงล่าถอย กระซิบกับกิตติ
“ตรวจดูศพเงียบๆ ว่ามีแผลถูกแทงที่หัวไหล่รึเปล่า ใครก็ได้ ไปแจ้งที่คณะสิงโตด้วยว่าคนของเขา
ตายที่นี่”
คณินบอกกับชาวบ้าน แล้วพยักหน้ากับซินแสง้วง เดินไปลงเรือ กิตติเดินลงเรือตามมา คณินถามทันที
“ว่าไง”
“ไม่มีร่องรอยแบบที่คุณว่าเลยครับ”
“มันไม่ใช่คนที่ไปฆ่าผม แต่มันถูกฆ่าตาย โดยฝีมือของไอ้แป๊ะยิ้มแน่ๆ เพื่อให้ผมนิ่งนอนใจว่าคนร้ายซี้แหงแก๋ไปแล้ว ลูกไม้ตื้นๆ”
“ผมว่า เราไปจับตัวพวกแป๊ะยิ้มมาให้หมด แล้วทรมานมัน เค้นหาความจริง ดีมั้ยครับ”
“เป็นความคิดที่ดี แต่ไม่ต้องทำนะ เดี๋ยวไก่ตื่น จับยาก”
“ก่อนไป อั๊วจะให้คาถาลื้อไว้สักข้อ”
“คาถามหาเสน่ห์ไม่ต้องนะ แค่นี้ผู้หญิงก็ตามเป็นพรวน ปลายแถวยาวไปจนถึงเมืองจีนโน่น ขอเป็นคาถาเรียกทรัพย์ละกัน”
“อดทน”
“อดทน แค่นี้ เอาไปทำอะไรกิน”
“แล้วแต่ลื้อ แต่บอกเลยนะว่ากินไม่หมดหรอก อดทน”

คณินยิ้มไม่เต็มปาก
 
จบตอนที่ 1 
กำลังโหลดความคิดเห็น