เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 2
กลางคืน แพนนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนอย่างกังวล สับสน จับริมฝีปากตัวเอง นึกถึงสิ่งที่คณินพูด
“ในบรรดาผู้หญิงเป็นร้อยที่ฉันเคยจูบมา เธอเป็นคนที่จูบได้แย่ที่สุด ลิ้นแข็งชะมัด ไหนบอกว่าช่ำชอง”
แพนถูริมฝีปากตัวเองแรงๆ เจ็บใจ
“ทุเรศ ไม่เท่เลยเรา”
ตอนเช้า เส็งและคณินยืนต่อหน้าคนงานประมาณ 20 คน กิตติยืนเป็นการ์ดอยู่
“นี่คือ อาคิ้ม ลูกชายคนโตของอั๊ว อีจะมาช่วยอั๊วดูแลโรงสีและดูแลพวกลื้อ”
คนงานทุกคนคำนับน้อยๆ ทักทายเจ้านายคนใหม่ ไทเหลือบตาจ้องมองที่ท้องคณิน
“ฉันสีข้าวไม่เป็นหรอกนะ แต่ฉันมั่นใจว่านอกจากเถ้าแก่เส็งแล้ว ฉันก็เป็นอีกคนที่รู้จักโรงสีนี้ดีกว่าใคร หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน”
แพนมาสายรีบวิ่งเข้ามายืนข้างไท กระหืดกระหอบ คณินส่งสายตามองแพนด้วยความเจ้าเล่ห์ มีความนัยบางอย่างในเชิงชู้สาว
“และรักกันให้มากๆ”
แพนหันสบตาคณิน แล้วรีบหลบสายตาเพราะความอาย
คณินและเส็งนั่งด้วยกันที่โต๊ะตรงมุมห้องทำงาน กิตติยืนอยู่ไม่ห่าง
“ลื้อไม่เห็นหน้ามัน แล้วลื้อจำอะไรมันได้บ้างมั้ย ไฝ หูด สิว กระ ปานแดงปานดำ”
“จำไม่ได้สักอย่าง จำได้แต่กลิ่นขี้เต่า ฉุนมาก”
เส็งทุบโต๊ะ
“ไอ้บุ๊ง ไม่มีหมาตัวไหนนอกจากมัน”
“เสี่ยบุ๊งขี้เต่าเหม็นหรือครับ” กิตติถามทันที
“ไอ้บ้า อั๊วหมายถึงมันแน่ๆ ที่สั่งการ แต่เราไม่มีหลักฐาน”
“ศาลเตี้ยเท่านั้นครับที่จะช่วยเราได้”
“จะศาลเตี้ยหรือศาลไคฟงก็ไม่สำคัญหรอก ป๊าไม่ต้องห่วง เพราะตราบใดที่ผมยังไม่ตาย มันต้องลงมืออีกแน่”
“เฮ้ย ลื้อพูดอย่างนี้ อั๊วยิ่งเป็นห่วง เรื่องอะไรไปเป็นเป้าให้มัน”
“ถ้าเป็นห่วง ก็ย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพฯเหมือนเดิมก็สิ้นเรื่อง”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แพนเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มบัญชี
“ไม่ อั๊วไม่หนี คนอย่างอั๊ว เดินหน้าแล้ว ไม่มีวันถอยหลัง”
“แฟ้มรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีของเดือนนี้ค่ะเถ้าแก่”
คณินแกล้งฉุน
“ฉันขอดูแฟ้มบัญชีย้อนหลัง 1 ปี ไม่ใช่ 1 เดือน”
แพนมองหน้าคณินว่าจะหาเรื่องอะไรอีก
คณินยืนเต๊ะท่าเป็นเจ้านาย กอดอกแน่น มองแพนเขย่งหาแฟ้มจากตู้สูงๆ แพนรื้อแฟ้มเอกสารจากตู้เหล็กที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานออกมากอง ฝุ่นฟุ้งตลบ คณินแกล้งอารมณ์เสีย
“เงอะๆ งะๆ อยู่นั่นแหละ รีบๆ หน่อยซี่”
“ฉันก็รีบอยู่นี่ไงคะ จะให้เร็วไปถึงไหน มือก็มีอยู่แค่สองมือ”
คณินตัดสินใจเข้าไปช่วยหยิบจับเอกสารจนเกิดไปจับมือแพนเข้า แพนตกใจสะบัดทันที
“แหม หวงเนื้อหวงตัวจริงนะ ทีคืนนั้นยังจอ สระอู บอ อยู่เลย”
แพนหลบสายตา
“ให้ฉันทำยังไง คุณถึงจะหยุดพูดเรื่องนี้”
“ยอมให้ฉันแก้แค้นเธอสิ แล้วฉันจะสอนให้เธอรู้ว่า มืออาชีพเขาทำกันยังไง”
แพนขยับตัวถอยห่าง คณินขยับเข้าหา
“คุณจะทำอะไร”
“อย่ามัวแต่ถาม มาเริ่มฝึกกันเลยดีกว่า”
แพนกลั้นความกลัว
“ได้ เอาเลยสิ”
คณินชะงัก
“ฉันพร้อมแล้ว”
“อย่าท้านะ ฉันไม่ใช่คนดีนะจะบอกให้”
“เรื่องนั้นพอจะรู้ค่ะ”
คณินจับไหล่ทั้งสองข้างของแพนไว้ แล้วขยับใบหน้าเข้าหา แพนตัวสั่น น้ำตาคลอ คณินหัวเราะลั่น
“เอาๆ ฉันไม่แกล้งเธอแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ถึงฉันจะเลว แต่ฉันก็ไม่เคยคิดแตะผู้หญิงที่ไม่ยินยอมพร้อมใจหรอกนะ”
แพนค่อยหายใจทั่วท้อง แอบถอนหายใจโล่งอก
“เธอทำงานที่นี่นานรึยัง”
“ทำไมคะ”
“มีหน้าที่ตอบก็ตอบมาเหอะ”
“2 เดือนค่ะ”
“2 เดือน งั้นก็หมายความว่า ตั้งแต่ที่เธอเข้ามา โรงสีก็เริ่มมีปัญหาเลยนะ”
แพนหน้าหงิก หันกลับมามองคณินอย่างโกรธๆ
“คุณพูดอย่างนี้ หมายความว่ายังไง”
“ถามได้ ก็หมายความอย่างที่พูดน่ะแหละ สองเดือนมานี้ โรงสีมีแต่ข้าวเน่าข้าวเสียไม่ใช่เหรอ กองเป็นภูเขาด้านนอก หนอนขึ้นยั้วเยี้ย”
“คุณคิดว่าฉัน”
“ใช่ เธอน่าสงสัยที่สุด บอกมาว่าเธอทำงานให้ใคร”
“ถามได้ ฉันก็ทำงานให้เถ้าแก่เส็งสิคะ”
“ไม่เอาน่าแพน ถ้าเธอยอมรับสารภาพ ฉันจะไม่เอาผิดเธอ แถมยังกันเธอเป็นพยานด้วย”
แพนวางแฟ้มทั้งหมดลงบนโต๊ะ ฝุ่นตลบฟุ้งกระจาย
“ไม่ต้องกันฉันเป็นพยานหรอกค่ะ เพราะฉันจะแจ้งความจับตัวเอง”
แพนต่อยหน้าท้องของคณินตรงรอยแผลไปเต็มแรง
“ในข้อหา ทำร้ายร่างกายคุณโดยได้ไตร่ตรองไว้ก่อน แต่สาเหตุมาจากการที่คุณดูถูกฉัน”
คณินจุก ตัวงอ เจ็บเข้าไปถึงกระดูก แพนเกือบจะหัวเราะ ถ้าไม่เห็นเลือดที่ซึมบนเสื้อตรงหน้าท้องของเขาเสียก่อน
“เลือด”
แพนรีบทำแผลให้คณิน โดยพันผ้าปิดแผลรอบเอวให้
“ผู้หญิงอะไร หมัดหนักชิบเป๋ง ใครได้เป็นเมีย โชคร้ายตาย”
“งั้นคุณสบายใจได้ เพราะไม่มีวันใช่คุณแน่”
“ดี โหงวเฮ้งอย่างนี้ แก่ไป ขี้บ่นแน่”
แพนพันแผลเสร็จ ก็ละมือไป
“เสร็จแล้ว ฉันจะไปทำงานต่อล่ะ”
“เดี๋ยว”
“คุณไม่มีสิทธิ์ไล่ฉันออกนะ เพราะฉันไม่ใช่คนงานของโรงสี ฉันแค่มาทำงานขัดดอก”
“รู้แล้วน่า ฉันแค่จะเตือนเธอว่าอย่าลืม เย็นนี้ ตามสัญญา”
แพนนึกถึงสัญญาแล้วหน้าเสีย
“ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมค่ะ ไม่ต้องย้ำ”
แพนเดินออกไป คณินยิ้ม ก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะแสบแผล
วิภาดามาเดินเลือกซื้อผลไม้สำหรับไหว้เจ้าที่ตลาดสด กำลังจะหยิบส้มลูกหนึ่ง แต่กริชคว้าส้มลูกนั้นไป กริชยิ้ม ยื่นส้มคืนให้ วิภาดาหน้าตึง ไม่รับ หันไปเลือกส้มลูกอื่นแทน
“ไม่ได้เจอกันนานนะวิ สบายดีนะ”
“ดีมาก จนกระทั่ง เห็นหน้านายนี่แหละ”
“เรามีผลกับวิขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คน 2 ประเภทที่มีผลกับเรา คือคนที่เรารักและคนที่เราเกลียด”
“วิไม่ต้องบอกหรอก ว่าจัดเราไว้ในหมวดหมู่ไหน”
“รู้แล้วก็ไปไกลๆ สิ”
“ไปได้ไง เรายังไม่ได้ซื้อผลไม้เลย”
“อ้อ เหรอ”
“พอถึงวันไหว้พระจันทร์ทีไร นึกถึงตอนเด็กๆ เราสองคน”
วิภาดารีบตัดบทด้วยการสนทนากับแม่ค้าเสียเลย
“ทั้งหมดเท่าไหร่คะ”
วิภาดารีบจ่ายเงินแล้วเดินออกไป กริชเดินตาม
“ตามมาทำไม”
“เราเป็นเพื่อนกันนะวิ เราคุยกันดีๆ เหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ เพราะตอนนี้เราเป็นศัตรูกัน อย่าลืมสิ”
“เราไม่ได้เป็นศัตรูกับวิ แต่วิเป็นศัตรูกับเราเอง ทำไมวิไม่แยกแยะ ระหว่างเรื่องครอบครัวกับเรื่องของเรา”
วิภาดาโกรธมาก ย้อนถาม
“เรื่องของเรา”
“ใช่ วิจะมาตัดเพื่อนกับเราไม่ได้ วิเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเรานะ”
“เพื่อนสนิท นายนี่ตลก พี่น้องยังตัดกันได้ นับประสาอะไร ไปไกลๆ เราจะซื้อของทำบุญ”
วิภาดาหันหลังให้กริชแล้วเดินไป กริชยังคงตาม วิภาดาหันไปชี้หน้า
“อย่าให้เราต้องทำบาปนะ”
“คือ เราจะไปทางนั้น”
กริชเดินฉีกไปอีกทาง วิภาดาถอนหายใจ เซ็งๆ
ที่โรงสี กระสอบป่านบรรจุข้าวเปลือกนับร้อยวางซ้อนกันจนกองพะเนิน เส็งกับคณินเดินขึ้นกันมา
“ป๊าดีใจนะ ที่ลื้อยอมกลับมาสานงานต่อ แสดงว่าป๊ายังมีบุญอยู่”
“ลูกชายของป๊า ยอดกตัญญูเลยนะ”
“ลื้อจงใช้ความสามารถ ฟื้นฟูกิจการค้าข้าวของเราให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมให้ได้”
“ผมไม่มั่นใจว่าจะช่วยป๊าได้แค่ไหน แต่จะพยายามครับ”
“และลื้อจะเป็นหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงที่ใครต่อใครต่างยำเกรง”
“เอ่อ เรื่องนี้”
“มันเป็นของลื้อทั้งหมด”
อยู่ๆ เส็งก็เกิดแน่นหน้าอกขึ้นมา แต่พยายามทำตัวปกติ
“ขยันๆ นะ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน มีกินมีใช้ไม่หมด เดี๋ยวป๊าไปดูงานด้านในหน่อย”
เส็งเดินไป ไทมองตามเส็ง คณินยังยืนงงๆ พึมพำกับตัวเอง
“เป็นของเราทั้งหมดเลยเหรอ รวมทั้งศัตตรงศัตรูของป๊า”
กิตติเดินเข้ามา ยื่นแฟ้มเอกสารให้
“นี่ครับนายน้อย รายงานเกี่ยวกับปัญหาข้าวเสียที่ตรวจพบ ฝีมือผมเอง”
“ตกลง นายเองเหรอ ตัวการที่ทำให้ข้าวเน่า”
“เปล่าครับ มิกล้า ผมหมายถึงฝีมือการสืบเรื่อง นายน้อยก็”
“เรามีหนอนอยู่ในโรงสี ฉันจะหาตัวหนอนให้เจอให้ได้”
ไทเดินออกจากกลุ่มคนงานไป
เส็งเดินหลบมุมมาใช้ยาพ่น ไทแอบมองอยู่ สายตาระยิบ เมื่อรู้ความลับการป่วยของเส็ง
อยู่ๆ มีมือหนึ่งสะกิดที่ไหล่ไท เขาตกใจหันขวับไปจับมือแล้วบิด ไขว้หลัง
“ฉันเอง”
“แพน”
ไทรีบปล่อยแพน หันมองทางเส็ง เส็งหายไปแล้ว
“ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ นึกว่า”
“นึกว่าโจรเหรอ แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้”
“เปล่า แค่เดินผ่านมา ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”
ไทจับตรงบ่าที่เจ็บ
“ยังเจ็บแผลอยู่เหรอ”
ไทแค่นยิ้มแล้วเดินจากไป
“ท่าทางเธอจะสนิทกับหมอนี่นะ”
คณินเดินเข้ามาหาแพน แต่ยังมองตามหลังไทอยู่
“ใช่ เราสนิทกัน ไทเป็นคนดี มีน้ำใจ ขยัน ให้เกียรติผู้หญิง ไม่เหมือน”
“ชอบมันเหรอ”
“ชอบ”
“แล้วฉันล่ะ”
“เกลียด”
“เกลียดสิ่งไหนจะได้สิ่งนั้น”
แพนมองหน้าคณินงงๆ ขี้เกียจเถียงด้วย จึงเดินหนีไปอีกทาง
“แต่ตอนนี้ กูชักจะเกลียดขี้หน้าไอ้ไทว่ะ”
คณินทำท่าต่อยลมวืดวาด
บุ๊งอยู่ที่โรงสี ยกถ้วยเหล้าขึ้นซดรวดเดียว แล้ววางลงอย่างแรงจนถ้วยแตกเป็นเสี่ยงๆ เติ้ง ชาญ เปา ตัน นั่งอยู่ด้วย
“มันเหยียดหยามอั๊วต่อหน้าประชาชี ถ้าชาตินี้ อั๊วยังแก้แค้นมันไม่ได้ อั๊วไม่ขอยอมตาย”
“ใจเย็นๆ น่า ถึงลื้อไม่ได้เป็นหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดง แต่ลื้อก็มีคนนับหน้าถือตาเยอะแยะ” ชาญปลอบ
“แล้วไหนจะคณะเชิดสิงโตที่ลื้อฮุบจากพ่อตาลื้ออีก” เปาแจง
“เฮ้ย รับช่วงต่อโว้ย พูดให้มันถูกๆ อั๊วไม่ใช่คนขี้โกง”
“งั้นลื้อก็ไม่น่าจะไปคิดโกงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งจากคุณคิ้ม” ตันท้วง
“เฮ้ย ไม่ใช่ อันนี้มันเป็นเรื่องของความเหมาะสม ไอ้คิ้มมันเด็กเมื่อวานซีน มันจะทำให้แก๊งของเราเสื่อมถอย อย่าลืมซี่ กินฟรี นารีพร้อม พูดให้มันหอมหูหน่อย”
“ถามจริงเหอะ ทำไมลื้อถึงอยากล้มพี่เส็งนัก โกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน” เส็งถาม
บุ๊งคับแค้นใจ เมื่อหวนนึกไปถึงปี 2462 วันที่ลงเรือออกจากเมืองจีน ขณะนั้นเส็งอายุ 20 ปี บุ๊งอายุ 18 ปี บุ๊งกับชายรุ่นๆ เดียวกันกำลังต่อยกันพัลวัน คนทั้งท่าเรือส่งเสียงเชียร์ระงม เส็งยืนมองเหตุการณ์ในกลุ่มเพื่อน บุ๊งต่อยแตะเหนือกว่า ทำคู่ต่อสู้ล้มตึง จึงลำพอง ตะโกนประกาศชัยชนะ เส็งเห็นอะไรบางอย่าง จึงกระโดดถีบบุ๊งเต็มแรง บุ๊งพุ่งตกลงจากท่าเรือ บุ๊งนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นด้วยความแค้นใจ
“อั๊วก็สาบานตั้งแต่นั้น”
ในขณะที่เส็งนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเช่นกัน บุ๊งล้มคู่ต่อสู้ได้ ประกาศชัยชนะรอบวง เส็งเห็นคู่ต่อสู้บุ๊งหยิบมีดออกมาจากที่ซ่อน กำลังจะขว้างใส่บุ๊ง เขาตัดสินใจกระโดดเข้าถีบบุ๊งเพื่อให้พ้นทางมีด บุ๊งหล่นตกท่าเรือ เส็งใช้มือปัดมีดลอยลิ่วไปตกทะเล จนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหล เพื่อนๆ จึงรีบพาไปทำแผล มาวันนี้ เส็งรู้สึกผิดหวังที่ช่วยคนผิด
“ไม่คิดเลย ว่าลื้อจะตอบแทนอั๊วได้เลือดเย็นขนาดนี้ อาบุ๊ง”
ตอนเย็น ภายในโกดังข้าว คณินยื่นตลับยาให้แพน
“อะไรเหรอ”
“รับไปเถอะน่า”
คณินยัดตลับยาใส่มือแพน แพนงงๆ
“เอาไปแล้วใช้ด้วยนะ ยาทาแผลนี่ของดี ฉันได้มาจากหมอเทวดา ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ”
“ของหายากแบบนี้ คุณเอามาให้ฉันทำไม”
“น่า ของเหลือ เดี๋ยวมันหมดอายุ เผื่อรอยจ้ำๆ ตามเนื้อตัวเธอจะจางลงไปบ้าง”
แพนขยับเสื้อผ้าให้ปิดรอยถูกตีตามแขน แต่ไม่มิดอยู่ดี
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องก็ได้ ฉันมียาใช้อยู่แล้ว”
“ใครทำเธอเหรอ”
“เรื่องของฉัน”
“ฝีมือพ่อเธอล่ะสิ”
“ที่ให้ฉันมาหา มีธุระแค่นี้ใช่มั้ย งั้นฉันกลับนะ”
“เธอยังกลับไม่ได้ มานี่”
คณินดึงแขนแพนให้เดินตามไป แพนร้อนใจ
“จะพาฉันไปไหน”
“เดี๋ยวก็รู้”
คณินพาแพนมาที่จุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งสองนั่งห่างๆ กัน โดยหันมองด้านที่พระอาทิตย์กำลังจะตก
“นับจากนี้ เธอต้องมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกับฉันทุกวัน ที่นี่”
“ไม่ยักรู้ว่ามีที่สวยๆ แบบนี้ที่ปากน้ำโพ”
“ของสวยๆ งามๆ มีรอบตัวแหละ มันอยู่ที่ว่า เธอจะมีเวลามองมันรึเปล่า”
“นั่นสินะ”
“และมันจะสวยยิ่งขึ้น ถ้าได้มองกับคนที่”
แพนแอบลุ้น
“สวยๆ อึ๋มๆ เอ๊าะๆ อวบๆ”
“งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะ เพราะถึงฉันอยู่ด้วย ก็เกะกะตาคุณเปล่าๆ คุณจะได้นอนฝันถึงสาวๆ ในสเป็กของคุณ”
“เออ คุณไปเถอะ ก่อนที่ผมจะ”
“จะอะไร”
“จะอดใจไม่ไหว”
แพนลุกพรวด เดินหนีไป คณินตะโกน
“พรุ่งนี้ผมจะรอนะ”
คณินมองตามหลังแพนไปอย่างเสียดาย
ตอนค่ำ หลินมาหาซกเค็งที่บ้านอย่างร้อนใจ
“ที่ลื้อมานี่ เพราะอยากให้ลูกชายอั๊วรับผิดชอบอาแพนเหรอ”
“ไม่ใช่ๆๆ อั๊วต้องการให้จัดการเรื่องดูตัวระหว่างคุณคิ้มกับมนสิชาให้เร็วที่สุดต่างหาก ก่อนที่ชื่อเสียงของลูกชายลื้อจะเสียหายเพราะนังแพนไปมากกว่านี้”
“อ้อๆ”
หลินร้อนใจมาก
คืนนั้นหลินกลับมาบ้าน ก็เลือกชุดในร้านมาทาบตัวมนสิชา
“ทำไมปุบปับขนาดนี้ล่ะม้า”
“เออน่า อั๊วให้ลื้อทำอะไรก็ทำเถอะนะ”
แพนเดินเข้าบ้านมา
“ก่อนที่หมามันจะคาบไปแดก”
เป้งละมือจากที่กำลังดีดลูกคิด ส่ายหน้ากับกำไรที่แย่มากๆ ของร้าน เงยหน้ามองเมียกับลูก
“รีบๆ แต่งเหอะ จะได้เอาเงินผัวมาให้ป๊าม้าใช้ด้วย”
“แต่หนูไม่ได้รักคุณคิ้ม หนูจะแต่งงานกับเขาได้ยังไง”
แพนสะดุดใจเมื่อได้ยินชื่อคณิน
“ลื้ออย่าโง่ไปหน่อยเลย ผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ การศึกษาสูงๆ อนาคตคุณนายก็เท่านั้น ลื้อจะได้สบายในภายภาคหน้า จะได้ไม่เหมือนอั๊ว”
“แหมอาหลิน ถึงลื้อไม่ได้เป็นคุณนาย แต่อั๊วก็ไม่เคยปล่อยให้ลื้อทำงานหนักนะ”
“พ่อ ถ้าเงินไม่พอใช้ ให้ฉันออกไปทำงานที่โรงน้ำชาสิ” แพนบอก
“หุบปากไปเลย แล้วก็เข้าห้องไปซะ ไป"
แพนเดินออกไป หลินหันมาพูดกับเป้ง
“ลื้อน่าจะล่ามโซ่มันไว้นะ”
เป้งเหนื่อยหน่ายใจ
คณินกลับมาบ้าน ตกใจ เมื่อซกเค็งบอกเรื่องดูตัวกับมนสิชา
“ดูตัว”
“ใช่ ลื้อฟังไม่ผิด พรุ่งนี้ ลื้อต้องไปดูตัว”
“แต่ผมยังไม่อยากแต่งงานนะม้า”
“แล้วลื้อจะรอจนถึงเมื่อไหร่ อายุลื้อมันก็เหมาะสมแล้ว”
วิภาดานำถาดน้ำชาและขนมมาเสิร์ฟ
“ถ้าเฮียไม่อยากไปดูตัว ก็สารภาพมาสิ ว่าแอบมีเมียมีลูกอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว”
“จริงหรืออาคิ้ม ลื้อมีเมียแล้วรึ”
“ม้าก็บ้าจี้ตามไอ้วิมัน ผมยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวหรอกนะม้า ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะแยะ”
“เพราะลื้อมีเรื่องต้องทำอีกเยอะแยะ ม้าถึงอยากให้ลื้อมีคู่คิด ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้ลื้อต้องไปตามนัด แต่งตัวดีๆ ด้วย”
ซกเค็งเดินออกไป
“ม้าคงอยากอุ้มหลานน่ะเฮีย”
คณินกลุ้มใจ
มนชิตยืนรออยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนน รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอด เขารีบเข้าไปหา
“นายครับ”
รถเลื่อนกระจกตรงเบาะหลัง มือของคนในรถคีบม้วนฝิ่นขึ้นดูด เป่าควันลอยออกมานอกรถ
“ผมขอโทษที่ทำงานพลาด”
“อย่าให้มีครั้งที่สองนะ ไม่อย่างนั้น อั๊วคงวางใจให้ลื้อขึ้นคุมสี่แก๊งในปากน้ำโพไม่ได้”
“ครับ”
“และลื้อจะไม่มีวันรู้ว่าพ่อลื้อเป็นใคร”
รถคันนั้นแล่นจากไป มนชิตหน้าเย็นชา เรียบเฉย
คืนนั้นมนชิตยืนอยู่หน้าฮวงซุ้ยขนาดใหญ่ ไทเดินนำซามูไรเคนจิเข้ามา
“มันมาแล้วครับ”
ซามูไรเคนจิคำนับมนชิต มนชิตตบหน้า
“ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ครั้งสุดท้าย จัดการมันให้ได้”
ซามูไรพยักหน้ารับอย่างเลือดเย็น
“ไอ้คิ้ม”
มนชิตคำรามอย่างโกรธแค้น
ตอนเช้า แพนนั่งอยู่หน้ากระจก มองรอยจ้ำที่ถูกตีตามแขนของตัวเอง หยิบตลับยาของคณินขึ้นมาดู
“มันช่วยสมานความเจ็บปวดได้จริงๆ เหรอ”
อยู่ๆ เสียงกรีดร้องของมนสิชาก็ลั่นขึ้น เพราะถูกหลินจับขัดเนื้อตัวให้อย่างไม่ปราณี ขณะที่มนสิชานุ่งผ้าถุง เนื้อเหลืองไปทั้งตัว
“เบาๆ สิม้า เจ็บไปทั้งตัวแล้ว”
“อดทนหน่อยสิลูก เพื่อความสวย คุณคิ้มเห็นจะได้ตาค้าง รีบมาขอหนูเร็วๆ ไง”
แพนแต่งตัวเรียบร้อย ขณะยังมีเสียงกรีดร้องของมนสิชาดังขึ้นเป็นระยะ แพนส่ายหน้าระอาใจ หยิบกระเป๋า เตรียมตัวไปทำงาน เดินไปเปิดประตู เห็นมนชิตยืนรออยู่หน้าประตู
“เฮีย”
มนชิตยื่นกำไรหยกให้
“อะไร”
“ของขวัญ”
“เฮียเลิกคิดเถอะ ยังไงฉันก็ไม่”
“หรือว่าแพนมีคนอื่นแล้ว”
“ถึงฉันยังไม่มีใคร คนๆ นั้นก็ไม่ใช่เฮีย”
“ไอ้คิ้มเหรอ ไปถึงไหนกันแล้วล่ะ”
“ถอยไป ฉันจะรีบไปทำงาน”
“ทำไม จะรีบไปหามันล่ะสิ”
แพนปัดมือที่กันทางของมนชิตออก ทำให้กำไรตกพื้นแตกเป็นสองซีก
“อยากเป็นเมียมันมากรึไง”
แพนไม่ตอบโต้ เหยียบกำไรหยก แล้วเดินออกไป มนชิตยิ้ม
“ถ้ามันตายล่ะ”
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 2 (ต่อ)
คณินกับกิตติยืนคุยกันอยู่
โดยมองไปยังกลุ่มคนงานที่กำลังกวาดข้าวเปลือกกันอยู่ สายตาของคณินจับจ้องที่ไท ก่อนหันมาถามกิตติ
“หมอนั่นทำงานที่นี่นานรึยัง”
“หมอนั่น อ้อ ไอ้ไทน่ะหรือครับ ปีหนึ่งได้มั้งครับ”
“มันเป็นคนยังไง”
“ผมก็ไม่แน่ใจนะ รู้แค่มันขยัน ทำงานไม่หยุดเลยทั้งวัน แรงมันดีครับ นายน้อยถามถึงมันทำไมครับ มีอะไรรึเปล่า”
แพนเดินเข้ามาหาไท คุยกันเล็กน้อยแล้วพากันเดินออกไป คณินเห็นก็ร้อนใจ
“สองคนนั้น สนิทกันมากเหรอ”
“ปาท่องโก๋เลยล่ะครับ”
คณินไม่พอใจ ต่อยลมไป
แพนยื่นตลับยาให้ไท แต่เป็นยาคนละตลับกับที่คณินให้
“เอายาไปทานะ จะได้หายเร็วๆ”
“ขอบใจมากนะแพน”
คณินขยับเข้า หลบหลังเสา แอบมองด้วยสายตานิ่งๆ ดุๆ
“ขนาดเจ็บ ยังไม่ยอมหยุดพัก นายจะทำงานไปถึงไหน”
“ผมอยากทำงานตอบแทนเถ้าแก่ ที่ช่วยคนเร่ร่อนจรจัดอย่างผมไว้ แพนก็เหมือนกัน รู้ไหม แพนเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวในชีวิตของผมเลย”
“ไปทำงานเถอะ”
ไทเดินออกไป แพนหันหลังกลับมา เจอหน้าคณิน ก็ตกใจ เกือบจะล้ม แต่คณินคว้าตัวไว้ได้ ทั้งคู่มองสบตากันชั่ววินาที คณินก็ปล่อยตัวแพนแบบไม่ไยดี
“สนุกมั้ย ปั่นหัวผู้ชายเล่น”
“พูดอะไรของคุณ”
“ไอ้กริช ไอ้ไท แล้วยังมีใครอีก”
“นี่คุณแอบดูเราเหรอ”
“เออ”
“ไม่มีมารยาท”
“แล้วเธอล่ะ ถ้าเธอไม่ต้องการยาที่ฉันให้ เธอควรจะขว้างมันทิ้งซะ ไม่ใช่เอามาให้ผู้ชายอื่นแบบนี้”
“ได้”
แพนหยิบตลับยาที่คณินให้ขึ้นมาแล้วขว้างทันที ตลับยาลอยไปโดนหน้าผากกิตติที่เดินเข้ามา
“โอ้ย ทุกทีเลยกู”
“เฮ้ย”
คณินวิ่งไปหากิตติอย่างร้อนใจ
“ไม่เป็นไรครับนายน้อย ผมไม่เป็นไร”
คณินก้มลงหยิบตลับยามาดูด้วยความเป็นห่วง
“อ้าว นึกว่าห่วงกู”
“ยังอยู่เว้ย”
คณินยิ้มกับตลับยา แพนสะบัดหน้าใส่ชายหนุ่มแล้วหันหลังจะเดินไป
“จะไปกันรึยังครับนายน้อย ป่านนี้ คู่หมั้นคุณรอแย่แล้ว”
แพนหยุดกึก หน้าไม่ดี ก่อนเดินออกไป คณินมองแพนไปอย่างกังวล
“เดี๋ยวนะ”
คณินตัดสินใจเดินตามไปดักหน้าแพน
“ฉันจะพูดความจริงแบบไม่อายเลย ตอนที่ฉันเห็นเธออยู่กับผู้ชายคนอื่น ฉันไม่พอใจ ไม่ชอบ อยากจะถีบหน้ามัน เพราะงั้น”
“ถ้าคุณคิดจะสารภาพรักกับฉันล่ะก็ อย่าทำนะ”
“ทำไม”
“คุณกำลังจะไปดูตัว”
“มันไม่สำคัญเลย ฉันจะยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แค่เธอบอกว่า ชอบฉัน และตกลงจะคบกับฉัน โอเค”
แพนอึ้งจนพูดไม่ออก
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ”
“ใช่ ฉันบ้าไปแล้ว ไม่เคยบ้าอย่างนี้เลย”
“ฉันไม่มีทางเชื่อคนกะล่อนอย่างคุณหรอก เลิกล้อเล่นได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันพูดจริง ให้ข้าวเปลือกพวกนี้เป็นพยานเลย ห้ามสิแพน บอกฉันว่าเธอไม่อยากให้ฉันไปดูตัว แล้วมาคบกับเธอแทน”
“ไม่ คุณต้องไป”
“อกหักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
“พอคุณไปเจอว่าที่คู่หมั้นของคุณ เดี๋ยวคุณก็หาย”
“อย่าดูถูกความรู้สึกของฉัน ถึงฉันจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันรู้สึกดีด้วย”
คณินหันหลังเดินจากไป แพนตะโกนตามหลัง
“ผู้หญิงที่คุณกำลังจะไปดูตัว น้องสาวฉันเอง”
คณินหยุดกึก หันกลับมามองแพน แพนแค่นยิ้ม
“ขอให้คุณโชคดีนะ ว่าที่น้องเขย”
แพนเดินจากไป คณินมองด้วยความเศร้า
“น้องเขย พี่เมีย เวร”
คณินนั่งในรถ มองตลับยาในมือนิ่งๆ กิตติกำลังขับรถ มองเจ้านายผ่านกระจกส่องหลังเป็นระยะ
“นายน้อยเป็นอะไรครับ หรือว่าปวดขี้”
“หน้าอย่างนี้ดูเหมือนปวดขี้เหรอ ว่าแต่ นายมีเมียรึยังวะ”
“ยังครับ วันๆ เจอแต่เถ้าแก่กับคนงานล่ำๆ ไม่มีเวลาไปเหล่หญิงเลยครับ”
“ผู้หญิงที่ฉันกำลังจะไปดูตัว เป็นยังไง”
“ได้ข่าวว่าสวยน่ารัก เป็นกุลสตรี ต่างกับแพนราวฟ้ากับเหว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
เมื่อรถมุ่งหน้าขึ้นสะพาน อยู่ๆ ก็เห็นรถสิบล้อแล่นตรงมาด้วยความรวดเร็ว กิตติร้องตกใจ
“เฮ้ย”
“ทำไมมันไม่หลบวะ”
“เอาไงดีครับ”
คณินเห็นหน้าซามูไรเป็นคนขับรถสิบล้อ
“มันจะเหยียบเรา”
คณินตัดสินใจจับพวงมาลัยเสียเอง แล้วหักพวงมาลัย นำรถลงคลอง ซามูไรจอดรถสิบล้อ เลื่อนกระจกลง หยิบระเบิดมาถอดสลัก แล้วขว้างตามลงไปที่รถของคณิน รถระเบิดตูม น้ำกระจายเป็นวงกว้าง
คณินกับกิตติถือปืนคนละกระบอกคลานขึ้นมาจากคลอง แต่พอโผล่หัวมา ห่ากระสุนก็พุ่งเข้ามาไม่หยุด ทั้งสองนอนราบแล้วกลิ้งไปหลบตามสุมทุมพุ่มหญ้า
“กัดไม่ปล่อยเลยเว้ย”
“มันเป็นใครครับ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จับเป็นมันให้ได้”
คณินกำลังจะคลานกลับขึ้นไป กระสุนนัดหนึ่งผ่านหูไปอย่างเฉียดฉิว
“ระวังนะครับ”
คณินเล็งเป้าอย่างมีสมาธิไปยังซามูไรที่ยืนจังก้าอยู่บนเนิน เหนี่ยวไกนัดแรกโดนแขนของซามูไร ตามด้วยขาอย่างแม่นยำ ซามูไรร่วงลงทันที คณินได้จังหวะรีบวิ่งขึ้นจากคลองไป ตามด้วยกิตติ มุ่งตรงไปหาตัวซามูไร แต่ยังไม่ทันไปถึงตัว ซามูไรหยิบระเบิดขึ้นมา ถอดสลักด้วยความรวดเร็ว แล้วระเบิดตัวเอง
คณินกับกิตติกระโดดหลบสะเก็ดระเบิดไปคนละทาง ควันขาวลอยอวล ใบไม้ปลิดปลิว ที่เหลืออยู่คือดาบของซามูไรที่ปักอยู่ใกล้กับกองขี้เถ้าจากซากศพ ทั้งสองเดินประคองกันมาจนถึงตัวรถสิบล้อ สภาพมอมแมมดูไม่ได้ทั้งคู่
“นายน้อยยังจะไปดูตัวอีกมั้ยครับ”
“ไปสิ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ ไม่ไปก็โดนด่าซิวะ”
ทั้งคู่กระโดดขึ้นรถสิบล้อ แล้วขับออกไป
ภายในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ปากน้ำโพ มนสิชาใส่ชุดสวยนั่งรออย่างหงุดหงิด
“เป็นเทวดามาจากไหนยะ ป่านนี้แล้วยังไม่โผล่มาอีก”
มนชิตนั่งหลบมุมอยู่ จิบน้ำชาพลางมองไปยังประตูทางเข้าภัตตาคาร
“ไอ้เคนจิ หวังว่าฉันจะได้เห็นแกนะ”
มนสิชาชะเง้อมองประตู
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่มาล่ะก็”
ทันใดนั้น นาฬิกาของร้านก็ดังขึ้น ก่อนตีถอยหลังเพื่อเข้าสู่เวลาบ่ายโมงตรง เมื่อเสียงลูกตุ้มครั้งสุดท้ายจบลง คณินก็ก้าวเข้ามาในภัตตาคาร ด้วยการเดินเขยกเข้ามาเพราะเคล็ดที่ข้อเท้า ลูกค้าในร้านหันมองคณินเป็นตาเดียว มนสิชาหน้าเหวอ คณินแกล้งพูดสำเนียงจีน
“หวัดดีคราบ ไม่ทราบว่า สาวสวยคนไหนชื่อมนสิชาครับ”
มนชิตตาเข้ม กัดฟันกรอด เพราะการที่คณินมาถึงที่นี่ ย่อมแสดงว่าเคนจิทำงานผิดพลาดอีกครั้ง มนชิตลุกจากโต๊ะ เดินออกไปทางหลังร้าน ฝ่ายมนสิชาอึกอัก
“เอ่อ”
คณินชี้ที่มนสิชา
“คุณรึเปล่าครับ ผมคณิน คนที่นัดหมายกันไว้”
“ไม่ใช่ค่ะ”
มนสิชาเดินผ่านคณิน รีบเผ่นออกจากร้านทันที คณินยิ้มกริ่ม กิตติยืนพิงรถสิบล้อรอเจ้านายอย่างใจเย็น มนสิชาเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมา
“อี๋ น่าเกลียดที่สุด”
กิตติจ้องมนสิชาเขม็ง
“ไม่น่าเสียเวลาเลย มองอะไรไอ้บ้า ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ”
มนสิชาเดินเชิดออกไป คณินเดินกลับออกมา
“เผ่นไปโน่นแล้วครับ”
“ทำท่าอย่างกับเห็นผี”
“ผมเตือนแล้ว สภาพอย่างกับโจร ใครเห็นก็ต้องกลัว แล้วนี่จะเอาไงกับรถเฮงซวยคันนี้ครับ”
“ขับไปทิ้งไว้ที่สถานีตำรวจแล้วกัน ฉันคิดว่าคงเป็นรถที่ถูกขโมยมา แล้วก็ เก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับนะ ฉันไม่อยากให้ป๊ากังวล”
“ครับ”
คณินกับกิตติขึ้นรถสิบล้อแล้วขับออกไป มนชิตมองตามหลังท้ายรถไป
“ดวงแข็งจริงนะมึง”
ตอนเย็น แพนนั่งรอคณินอยู่ที่เดิม แม้คิดว่าเขาคงไม่มา แต่ลึกๆ ก็แอบหวัง กระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน และผ่านไปอีกราวๆ หนึ่งชั่วโมง แพนตัดใจ เก็บกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เดินออกจากห้อง ไปหน้าโรงสี แล้ววิ่งตัดขึ้นไปที่ถนนด้วยความเร็ว คณินสวมหมวก แต่งตัวมิดชิด เหมือนเป็นคนร้าย เดินตามแพนไปห่างๆ
แพนรู้สึกเอะใจเหมือนมีคนเดินตาม จึงเร่งฝีเท้า คณินเร่งฝีเท้าตาม แต่ปล่อยระยะห่างๆ เหมือนเดิม แพนเริ่มกังวลและกลัว จึงคิดหาทางหนีทีไล่ ด้วยการหลบเข้ามุม แล้วหยิบไม้ขนาดเหมาะมือมาถือไว้ คณินยังเดินไม่พ้นซอยออกมา หันมองหา
“หายไปไหนแล้ว”
คณินเดินพ้นซอย เข้าทางเลี้ยว ทันใดนั้นไม้ก็ฟาดลงบนลำตัวของเขาแบบไม่ยั้ง
“โอ้ย”
คณินกระโดดหลบ แพนยังตามตีไม่เลิก
“ไอ้บ้า ไอ้เลว แกตายแน่”
“แพน หยุด ฉันเอง”
คณินคว้ามือแพนไว้ได้ แพนเห็นหน้าคณิน
“คุณ”
“ใช่”
แพนยิ้มแหย ทิ้งไม้ลงพื้น คณินเดินไปส่งแพนจนถึงหน้าปากซอยบ้าน
“คุณส่งฉันแค่นี้พอ อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านฉันแล้ว”
“ขอไปส่งถึงหน้าประตูไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ถ้าคนในบ้านฉัน เห็นมากับคุณ ฉันก็ซวยอีก คุณกลับไปเถอะ”
“ผมถามจริง คุณอยู่ที่บ้านนี้ ในฐานะอะไร”
“ก็ ลูกสาวคนโตไง”
“ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุข”
“อ้าวนายน้อย”
มนชิตเดินออกมาจากมุมมืด ตรงไปเกาะไหล่แพน
“ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ มาหายัยสิเหรอ”
แพนปลดมือมนชิตออกจากไหล่แบบเนียนๆ
“เปล่า ฉันมาส่งแพน เห็นว่ามืดแล้ว”
“อ้อ ขอบใจมากนะ ที่อุตส่าห์มีน้ำใจกับน้องสาวสุดที่รักของผม ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เข้าไปดื่มชาด้วยกันก่อนสิ”
“เขารีบน่ะ มีงานที่โรงสีต้องกลับไปสะสาง ขอบคุณนะคะคุณคิ้ม”
แพนตัดบท รีบเดินเข้าซอยไป มนชิตเดินตามติด คณินบ่นพึมพำ
“เกลียดขี้หน้าไอ้นี่อีกแล้วว่ะ”
มนชิตเดินไล่ตามแพนกระชั้นชิด จนคว้าแขนของแพนไว้ได้
“ไอ้คิ้มมันมีผู้หญิงเป็นร้อย เธอคิดว่ามันจะจริงจังกับเธอเหรอ”
“ปล่อยนะเฮีย”
“มันรักใครไม่เป็นหรอก เธออย่าฝันลมๆ แล้งๆ อย่างดีก็เป็นได้แค่เมียเก็บ”
แพนโกรธจนตัวสั่น สะบัดแขนจนหลุด
“ถึงฉันจะเป็นเมียน้อยเมียเก็บใคร มันก็ชีวิตฉัน ไม่ต้องมายุ่ง”
แพนวิ่งเข้าบ้านไปอย่างเร็ว มนชิตกัดฟันกรอด
“เธอบีบให้ฉันต้องทำเองนะ บีบให้ไอ้คิ้มต้องตายเองนะ”
ตอนเช้า คณิน เส็ง ซกเค็ง และวิภาดา นั่งพร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหาร
“เป็นไงอาคิ้ม ถูกใจหนูมนสิชามั้ย ถ้าถูกใจม้าจะได้หาฤกษ์หายาม”
“หาฤกษ์ยังไม่ต้องครับม้า แต่หายาม ควรเป็นอย่างยิ่ง ป๊าครับ ผมว่าเพิ่มเวรยามที่หน้าบ้านอีกสัก 3-4 คนดีมั้ยครับ ช่วงนี้โจรขโมยชุกชุม”
“เอางั้นเหรอ”
“อย่าทำเป็นเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลยเฮีย สรุปมา ว่าเฮียจะแต่งหรือไม่แต่ง”
“ไม่แต่งได้ด้วยเหรอ”
“ไม่ได้ ลื้อเป็นลูกชายคนโต ลื้อต้องทำหน้าที่ลูกกตัญญู” ซกเค็งค้าน
“อันที่จริง ได้อุ้มหลานตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ ก็ถือว่ามีบุญไม่น้อย” เส็งออกความเห็น
“ผู้หญิงผู้ชายดี”
“ขอหลานคนโตเป็นหลานสาวแล้วกัน เด็กผู้หญิงน่ารักดี”
“ป๊าล่ะ”
“ไม่ได้ ต้องผู้ชาย”
“ม้าล่ะ”
“จะชายหรือหญิงก็ได้ มันก็หลานเหมือนกัน”
คณินปล่อยให้สามพ่อแม่ลูกถกเถียงกันเรื่องหลาน ส่วนตัวเองก้มกินข้าวอย่างมีความสุข
เป้ง หลิน มนสิชานั่งกินข้าวต้มกุ๊ยกันอยู่ที่โต๊ะ คุยเรื่องแต่งงานของลูกสาวเช่นกัน
“หนูไม่แต่งกับมัน ฆ่าหนูให้ตายเลย ยังไงหนูก็ไม่แต่ง”
“ลื้อจะโง่ไปถึงไหน ไม่อยากเป็นคุณนายรึยังไง”
แพนเดินเข้ามาในห้องกินข้าว แล้วตักข้าวในหม้อไปนั่งกินคนเดียวที่เก้าอี้มุมห้อง
“เอาเหอะ ถ้าลูกมันไม่อยากแต่ง ก็ไม่ต้องไปบังคับ”
“ขอบคุณค่ะป๊า”
“ไม่ได้”
มนชิตเดินเข้ามา ค้านทันที พลางหันมองหน้าแพนอย่างเย้ยหยัน
“ยังไงลื้อก็ต้องแต่งกับไอ้คิ้ม”
“เฮีย ถ้าเฮียชอบมัน เฮียก็แต่งเองสิ หรือไม่ก็”
มนสิชาหันไปมองแพน มนชิตมองตาม หลินเปรยขึ้น
“ใครมันจะอยากได้ผู้หญิงเละเทะเป็นสะใภ้ อั๊วคนหนึ่งล่ะไม่ อามนชิต ลื้อหาเมียดีๆ นะ”
แพนเบื่อจะเถียง
“ฉันไปทำงานก่อนนะป๊า”
“อาแพน ลื้อเตรียมตัวไว้นะ อั๊วะจะให้ลื้อแต่งงาน"
“แต่งงาน”
ทุกคนต่างอุทานด้วยความตกใจ
“อะไรกันป๊า อยู่ๆ จะให้ฉันแต่งงาน”
มนชิตหน้าเจื่อน
“ก็ดีกว่าปล่อยให้ลื้อทำตัวมั่วซั่วไปวันๆ”
เป้งวางถ้วยแล้วลุกหนีไปก่อนแพน มนชิตกับแพนต่างร้องเสียงหลง
คณินกำลังคุมไทและคนงานนับสิบ ให้ช่วยกันแบกข้าวสารลงเรืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เส็งยืนมองอยู่นาน ตัดสินใจเดินเข้าไปหาคณิน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย”
“ครับป๊า ถ้าคราวนี้ถูกตีกลับอีกล่ะก็”
กิตติวิ่งเข้ามา โค้งให้เจ้านายทั้งสองคน
“เถ้าแก่ครับ เสี่ยบุ๊งมาขอพบครับ”
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 2 (ต่อ)
เส็งเดินออกมาด้านนอกโรงสี พร้อมด้วยคณินและกิตติ
ขณะที่บุ๊งเดินนำลูกน้องเข้ามา แล้วแกล้งโค้งให้เส็งอย่างนอบน้อม สองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน เส็งถามขึ้น
“ลื้อมีธุระอะไร”
“ธุระสำคัญ”
“ว่ามา”
“อั๊วจะมาแลกเปลี่ยนสินค้า”
“ข้าว” คณินถาม
“คน”
“ลื้อพูดอะไรวะ โรงสีอั๊ว ขายข้าว ไม่ได้ขายคน”
บุ๊งส่งเงินให้เส็ง
“ก็อั๊วรับชำระหนี้ของไอ้เป้ง มันเลยจะแถมดอกเบี้ยให้ ถ้าเฮียไม่ขัดข้อง อั๊วจะรับอาแพนไปวันนี้เลย”
คณินรู้เรื่องจากแพนแล้วแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“รับไปทำไม”
“ไม่เอาน่า อาคุณคิ้มก็ จะให้อั๊วบรรยายเป็นขั้นตอนเลยเหรอ เฮีย รับเงินไปสิ”
บุ๊งยื่นเงินให้เส็งอีกครั้ง เส็งขยับมือจะยื่นไปรับ คณินแตะมือพ่อไว้ ขยิบตาบอกว่าเขาจะจัดการเอง คณินแกล้งทำเป็นตื่นเต้น
“อย่าบอกนะ ว่าเสี่ยจะรับแพนไปเป็นเมีย”
แพนเดินเข้ามา แล้วยืนนิ่ง มองคณินด้วยนึกไม่ถึง เขาเคยบอกจะช่วย แต่กลับผลักไส
“ก็ทำนองนั้น”
คณินตรงเข้าไปสวมกอดบุ๊งแนบแน่น เหมือนรักมาก ทุกคนตกใจ แม้ตัวบุ๊งเอง คณินพูดเสียงดัง
“ยินดีด้วยๆ”
จากนั้นคณินกระซิบที่หูบุ๊ง
“ผมได้เธอแล้ว เบื่อแล้วด้วย แพนเองก็คงจะเบื่อผมเหมือนกัน พอรู้ว่าเสี่ยจะมารับ เลยกระดี๊กระด๊าเชียว”
บุ๊งตกใจตาค้าง คณินหัวเราะร่าเริง
“ไหนๆ ใครก็ได้ ช่วยไปตามแพนมาหน่อยสิ”
เส็งงง แพนโกรธและงอนคณินจนหน้าแดงก่ำ คณินหันไปเห็นแพน
“อ้าว แพน มาเร็วซี่ มีราชรถมาเกยแล้ว”
แพนน้ำตาคลอ เดินมาตรงหน้าคณิน ตั้งใจประชด
“เสี่ยมารับฉันหรือคะ ถ้างั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ไปกันเลยสิคะ”
คณินหน้าซีดเผือด บุ๊งเลือดขึ้นหน้า
“อาแพน ลื้ออยู่ที่นี่ เหมาะสมแล้ว อั๊วกลับก่อน”
บุ๊งเดินนำลูกน้องออกไปหัวฟัดหัวเหวี่ยง ท่ามกลายสายตางงงันของทุกคน เว้นแต่คณินที่หัวเราะขบขัน แพนมองค้อนคณิน แล้วเดินหนีไป คณินมองแพน รู้ว่างอน แต่คิดว่าทำความเข้าใจไม่ยาก
เส็ง คณินและกิตติเดินเข้ามาด้านในโรงสี เส็งบ่นทันที
“ไอ้เป้งมันขายลูกกิน”
“น่าสงสารแพนนะครับ ที่มีพ่อเลวๆ แบบนี้” กิตติออกความเห็น
“ดูท่า อีจะไม่รอดปากเหยี่ยวปากกา”
คณินฟังแล้วเครียดมาก เลยเดินฉีกออกไปอีกทางโดยไม่บอกใคร เส็งยังไม่เลิกบ่น
“อั๊วต้องดองกับมันจริงๆ รึเนี่ย อาคิ้ม”
เมื่อลูกไม่ตอบ เส็งจึงหันมองหา ไม่เห็นแม้แต่เงาของคณิน
“ไม่รู้สิวะ เอ่อ ขอโทษครับเถ้าแก่ ลืมตัว”
เส็งเครียด
ที่จุดดูพระอาทิตย์ตกดิน แพนยืนเพียงลำพัง เจ็บปวดใจอย่างที่สุด แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ยอมให้ไหลออกมา คณินเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“เกิดเป็นลูกสาวเสี่ยเป้งนี่มันไม่ง่ายเลยนะ”
แพนชะงักเล็กน้อย รีบปาดเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา แต่ไม่ยอมหันมามองคณิน เพราะยังงอนอยู่
“คุณคงลำบากไม่น้อย”
“พ่อฉันต่างหากที่ลำบาก เพราะมีฉันเป็นลูก ฉันไม่ควรจะเกิดมาเลย”
“อย่าพูดอย่างนั้น ชีวิตคุณมีค่ามากนะแพน”
“คุณไม่ต้องปลอบใจฉัน ฉันยอมรับความจริงข้อนี้ได้ พ่อไม่ต้องการฉันตั้งแต่แรก เขาเห็นฉันเป็นตัวปัญหาในชีวิตเขา และวันนี้ เขาหาวิธีตัดฉันออกไปจากชีวิตได้แล้ว”
“คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ฉันจะทำอะไรได้ เราอาจจะแต่งงานพร้อมกันก็ได้นะ”
“คุณจะยอมให้พ่อของคุณบงการชีวิตจริงๆ เหรอ”
“ฉันเหนื่อยน่ะ ไม่อยากสู้กับเขาอีกแล้ว”
“ถ้างั้น ให้ผมสู้แทนได้มั้ย”
“คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้น”
“คุณก็ให้สิทธิ์ผมสิ”
คณินคว้ามือแพนไปจับ สายตาออดอ้อน แพนสะบัดมือหลุด
“ฉันไม่เข้าใจ คุณเองไม่ใช่เหรอ ที่เจ้ากี้เจ้าการจะส่งฉันให้เสี่ยบุ๊ง”
“ผมนี่นะ เจ้ากี้เจ้าการจะส่งคุณให้ตาแก่ตัณหากลับ”
“ไม่ใช่คุณแล้วใคร คนทุเรศ”
“อุตส่าห์ช่วยกลับโดนด่า ถ้างั้นตอนผมเรียก ทำไมไม่หนีล่ะ”
“คุณจะให้ฉันหนีไปไหน”
“หนีไปกับผมไง”
“คุณคิ้ม”
คณินจับมือแพนมากุมไว้
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่ต้องทำตามคำสั่งของใครอีกแล้ว ไปกรุงเทพฯด้วยกันนะ”
“คุณพูดอะไร”
“ผมอยากดูแลคุณ ผมไม่อยากให้คุณโดนตีอีกแล้ว เราหนีไปด้วยกันสักพัก แล้วค่อยกลับมาขอขมาป๊ากับม้า โทษนะพ่อคุณขายคุณให้เสี่ยบุ๊ง เรากำจัดเสียบุ๊งออกไปแล้ว คุณไม่คิดว่าพ่อคุณจะไม่ขายคุณให้ใครอีกเลยเหรอ”
“แต่”
“ผมให้เวลาคุณหนึ่งคืน กลับไปคิดให้ดี พรุ่งนี้ เรือส่งข้าวจะออกจากท่าตอนฟ้าสาง ผมจะรอคุณที่จุดนัดพบนะ”
คณินลูบผมแพนอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินจากไป แพนมองตามหลังคณินไปด้วยความสับสน ทั้งตกใจและดีใจระคนกัน
เป้งเดินหัวเสียออกมาจากบ่อน บ่นตลอดทาง
“หมดตูด ได้หนี้เพิ่ม ทำไมดวงมันซวยอย่างนี้วะ”
“ป๊าทำแบบนี้ได้ยังไง”
มนชิตเดินเข้ามา เครียด ขึงขัง เป้งรู้ว่ามนชิตหมายถึงอะไรแต่ทำเฉไฉ
“ทำอะไร”
“แพนเป็นลูกป๊านะ”
“เออ อั๊วถึงอยากให้อีสบายไง ลื้อไม่ต้องพูดอะไรแล้ว อั๊วตัดสินใจไปแล้ว”
“ป๊าเห็นแก่ตัว ป๊ายอมขายลูกเพื่อจะเอาเงินมาถลุงที่บ่อน”
“อย่ายุ่งกับอั๊ว”
เป้งตบหน้ามนชิตอย่างแรง จนหน้าหัน เป้งตกใจที่ตัวเองทำอย่างนั้น มนชิตก็อึ้งไม่แพ้กัน
“ไอ้เป้ง”
บุ๊งและลูกน้องเดินเข้ามาหาเป้ง
“คืนเงินมาให้อั๊ว”
“อะไรกันไอ้บุ๊ง ก็เราตกลงกันแล้วไง”
“ไปถามลูกสาวลื้อดูเอาเองสิ ของมีตำหนิแบบนั้น คิดจะมาย้อมแมวขาย จะคืนดีๆ หรือจะให้ลูกน้องอั้วไปล้วงให้”
“แต่อั๊วเล่นหมดแล้ว จะเอาที่ไหนมาคืนลื้อ”
“นั่นมันเรื่องปัญหาของลื้อ ไปหามา”
“งั้นอั๊วยืมลื้อก่อนได้มั้ย”
“ได้ เอาเท่าไหร่ เฮ้ย ไอ้บ้า นี่ลื้อกวนประสาทอั๊วเหรอ อย่าให้อั๊วอารมณ์เสียไปมากกว่านี้นะ ไปหามาคืนอั๊วในสามวัน ถ้าไม่ได้ อั๊วยึดบ้านลื้อ”
บุ๊งเดินผ่านเป้งกับมนชิตเข้าบ่อนไป เป้งฮึดฮัดใส่ตามหลังบุ๊ง
“คิดว่าอั๊วจะจนมุมเรอะ”
“คราวนี้จะทำยังไงป๊า สงสัยจะไม่มีที่ซุกหัวนอนกันก็คราวนี้”
“ใครบอกลื้อ ไอ้บุ๊งไม่เอาก็ดี อั๊วจะได้ขายอาแพนให้ไอ้คุณคิ้ม ท่าทางมันก็สนใจอาแพนอยู่”
“ป๊า”
มนชิตมองหน้าพ่อไม่พอใจ เดินออกไปอย่างหัวเสีย เป้งตาวาว คิดว่าจะได้เงินก้อนโตอีกแน่ๆ
คณินกับเส็งเดินถกเถียงกันมาหน้าโรงสี
“ถ้าเราอยากจะแก้ปัญหานะป๊า ก็คือล้มเลิกแก๊ง ล้างระบบไปเลย”
“นั่นเรียกว่าตัด ไม่ใช่แก้ ไม่ได้หรอก แก๊งเราเอาไว้คุมพวกเกเร ควบคุมพี่น้องเราที่มันนอกคอก ในอนาคตจะเป็นไงป๊าไม่รู้ แต่ ณ วันนี้ มันยังต้องอยู่ ลื้อขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการซะ”
“หัวหน้าแก๊งนี่เงินเดือนเท่าไหร่นะ”
“เงินเดือนคือ อำนาจบารมี”
“ไม่ใช่ความเกลียดชังเหรอ”
“บอกแล้วไง แก๊งเราไม่ทำร้ายชาวบ้าน ไม่ทำผิดกฎหมาย อั๊วถึงอยากได้คนดี มีความยุติธรรมมาบริหารอำนาจนี้ไง ซึ่งก็คือลื้อ เป็นไอ้บุ๊ง คนที่นี่เดือดร้อนแน่”
“แล้วถ้าไม่ใช่ทั้งผมและเสี่ยบุ๊งล่ะ”
“ก็คนที่ขโมยตราหัวหน้าแก๊งไปยังไงล่ะ”
“ป่านนี้มันเอาไปตึ๊งที่ร้านทอง เอาเงินไปเที่ยวโรงน้ำชาแล้วมั้ง”
รถที่กิตติขับแล่นเข้ามาเทียบ
“หยุดต่อต้านแล้วทำตามที่อั๊วบอก คุมคนงานด้วย อั๊วจะไปดูนาข้าวที่นอกเมือง”
คณินเปิดประตูรถให้เส็ง เมื่อเส็งเข้ามาในรถ เขาสั่งกิตติทันที
“ไปโรงพยาบาล”
รถเคลื่อนออกไป คณินมองตามรถ ด้วยสายตากังวล แอบคิดหนัก
“ป๊านะป๊า เอาแต่ใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยน เดี๋ยวก็ตัดพ่อตัดลูกซะเลยนี่”
มนชิตยืนรอไทอยู่ในป่าหลังโกดังข้าวของเส็งด้วยความกระวนกระวาย หัวเสีย
ไทเดินเข้ามา หันมองหน้าหลัง กลัวใครเห็น
“คุณมนชิต มาที่นี่ทำไม ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า จะสงสัยเอาได้นะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันเป็นคนออกคำสั่ง ส่วนแกแค่ทำตามที่ฉันสั่ง”
“มีอะไรครับ”
“ฆ่ามัน”
“ใครครับ”
“ไอ้คิ้ม ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับมันอีกแล้ว ส่งมันไปลงนรกซะ ส่วนฉันจะขึ้นสวรรค์กับแพนคืนนี้ ถ้าไม่ไปกันดีๆ ก็จะฉุด”
“ฉุด”
“เออ แกลากไอ้คิ้มไปฆ่า ส่วนฉันลากแพนไปทำเมีย ไปจ้างพวกเชิดสิงโตทำงานนี้ หลังจากไอ้คิ้มตาย ไอ้เส็งกับไอ้บุ๊งจะได้เปิดศึก ฆ่ากันเอง ยิงนกนัดเดียว ตายกันทั้งบาง”
ไทกังวลนิดๆ เรื่องที่มนชิตจะฉุดแพน
แพนนั่งจดงานอย่างเหม่อลอยตรงที่มีกระสอบข้าววางซ้อนกันนับสิบ ไทขยับเข้ามุมมืดๆ แอบมองแพน ด้วยสายตากังวลลึกๆ สับสน
“เราต้องบอกเธอนะ ต้องบอก”
ทันใดนั้น กระสอบบนสุดที่หมิ่นเหม่จะตกอยู่รอมร่อก็ร่วงไหลลงมา พากระสอบอื่นร่วงตามหมด ไทขยับเท้า แต่ไม่เร็วเท่าคณินที่เข้าไปฉุดมือแพนออกมาได้หวุดหวิด แพนตกใจหน้าซีด
“มัวแต่เหม่อ ไม่ต้องคิดถึงผมขนาดนั้นก็ได้”
“บ้า ฉันแค่ กำลังคิดเรื่องงาน”
แพนเดินออกไป คณินเดินตาม ไทเดินออกมาที่กองกระสอบข้าว รู้สึกผิดแต่ต้องทำตามคำสั่ง
“ขอโทษนะแพน”
ไทกำตลับยาในมือแน่นด้วยความสับสน
คณินเดินตามมาขวางหน้าแพนไว้
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้วล่ะ ตัดสินใจไปกับผมเถอะ”
“คุณเป็นผู้ชายก็พูดได้สิ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ การตัดสินใจครั้งนี้ มันคือชีวิตที่เหลือของฉันทั้งหมด”
“ใช่ ชีวิตที่เหลือของคุณ ให้ผมดูแลนะ อย่าหาว่าผมดูถูกเลยนะ พ่อคุณไม่หยุดแค่นี้หรอก ขายคุณให้เสี่ยบุ๊งไม่ได้ ก็คงจะขายคุณให้คนอื่นอยู่ดี”
“ทำไมฉันไม่เกิดเป็นผู้ชายให้มันรู้แล้วรู้รอดนะ”
“เป็นผู้หญิงแหละดีแล้ว ความสวยของคุณทำให้ปากน้ำโพน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย”
“แต่มันอันตรายสำหรับฉัน ถ้าคุณหวังดีกับฉันจริงๆ ช่วยสอนวิชาป้องกันตัวให้ฉันจะดีกว่า เวลาเจอผู้ชายชั่ว ฉันจะได้เอาตัวรอดได้”
“จะเรียนให้มันเหนื่อยทำไม แค่แหกปากร้องดังๆ ก็พอแล้ว คุณคิ้มขาๆ ช่วยด้วยค่ะ เดี๋ยว ผมไปช่วยคุณเอง”
“ถ้าคุณมาช่วยฉันไม่ทันล่ะ นะคุณ ขอร้องล่ะ”
“ก็ได้ แค่คุณต้องจ่ายค่าครูนะ”
“ได้ ต้องใช้อะไรบ้าง”
“ยื่นหูมาใกล้ๆ สิ เดี๋ยวจะบอก”
แพนลังเลนิดหน่อย ก่อนจะยื่นหูไป คณินได้ทีหอมแก้มแพนไปฟอดใหญ่ แพนตกใจ
“จะรออยู่ที่เดิมนะจ๊ะ”
คณินวิ่งหนีไป แพนโกรธ แล้วรีบหันมองว่ามีใครเห็นบ้าง
กริชกำลังสอนและหัดเด็กๆ เชิดสิงโตอยู่ที่คณะ
“เราไม่ได้เชิดสิงโตเพียงเพื่อแลกเงิน แต่เราเชิดสิงโตเพื่อสืบสานวิถีของเราให้ยังคงยั่งยืน และสง่างาม เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะต้องเหน็ดเหนื่อย ยากลำบากในการฝึกฝน ก็ขอให้ทุกคนจงอดทน และไม่หวั่นไหว จงภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกหลานคนเชิดสิงโต เอาล่ะ ก่อนจะฝึกซ้อม เรามาออกกำลังกันก่อนดีกว่า”
ขณะนั้นเอง กริชเหลือบไปเห็นคนในคณะเชิดสิงโต 2 คนเดินออกไปทางด้านหลัง ดูมีพิรุธ จึงแอบตามไปดูเงียบๆ คังสวมหมวกปีกกว้างทำให้มองไม่ค่อยเห็นหน้า ยื่นเงินให้กับคนในคณะเชิดสิงโตทั้ง 2 คน
“นี่เงินครึ่งแรก ทำงานสำเร็จ ค่อยรับส่วนที่เหลือ”
กริชรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ณ จุดชมพระอาทิตย์ตกดิน คณินสอนวิชาป้องกันตัวให้แพนในท่าง่ายๆ
“ขั้นแรกเลย ต้องมีสติ ลบความกลัว แล้วเล็งเป้า”
“มันยาก”
“ไม่ยากเลย คุณต้องทำให้ได้ สมมุติผมเป็นคนร้าย มาดึงมือคุณแบบนี้”
คณินจับข้อมือแพน
“เอาเลย ทำตามที่ผมสอน”
แพนกล้าๆ เกรงๆ คณินเลยจับแพนทุ่มเสียเอง แต่ดึงตัวแพนไว้ไม่ให้ถึงพื้นดิน
“สอนไม่รู้จักจำ”
“ก็ฉันไม่เคยนี่”
คณินก้มลงไปใกล้ใบหน้าแพน แพนเขินจนทำอะไรไม่ถูก เลยเข่าหน้าท้องคณินไปเต็มแรง
“โอ๊ย!”
คณินปล่อยแพน
“ก็คุณสอนฉันเอง”
“ดีนะที่แค่นี้ ถ้าต่ำลงไปกว่านี้”
แพนเผลอยิ้ม
“ยิ้มเป็นด้วยเหรอ”
แพนหุบยิ้ม
“ยิ้มเถอะ สวยดี”
แพนเขิน ขยับห่างจากคณินไปหลายก้าว
“ถ้าฉันเรียนวิชาป้องกันตัวจากคุณจนเก่งแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งคุณอีก”
“ขี้โกงนี่ งั้นผมไม่สอนคุณแล้ว”
“ขอบคุณนะที่คุณช่วยฉันหลายต่อหลายครั้ง ฉันเองไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณ”
“ถ้าคุณอยากตอบแทนผม คุณก็แค่ไม่ทำตัวให้ผมเป็นห่วงอีก”
คณินเอื้อมมือไปจับมือแพนไว้
“ด้วยการมาอยู่ใกล้ๆ หวังว่าผมจะเห็นคุณไปตามนัดนะ”
แพนเขินจัด แกล้งกลบเกลื่อนด้วยการบิดมือคณินด้วยท่าที่เขาสอนอีกครั้ง แต่คณินตวัดมือทัน ดึงแพนเข้ามาโอบกอด พลางกระซิบ
“ไม่เสียท่าเป็นครั้งที่สองหรอก”
แพนกระทืบเท้าคณิน คณินร้องลั่น แล้วปล่อยตัว แพนหัวเราะชอบใจ
ทั้งสองต่อสู้กันด้วยท่าป้องกันตัวง่ายๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม
ตอนเย็น ไทถือกระดาษ ซึ่งเป็นจดหมายเตือนให้แพนรู้ตัวเรื่องมนชิตจะฉุด เขาตัดสินใจเด็ดขาด เดินไปที่โต๊ะทำงานแพน แล้ววางจดหมายไว้
“เราคงช่วยแพนได้เท่านี้ หวังว่าแพนจะได้อ่านนะ”
ไทเดินออกไป คังยืนมองอยู่ ก่อนเดินเข้ามา หยิบจดหมายของไทมาอ่าน แล้วขยำ เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ไอ้ทรยศ”
พวกเชิดสิงโต 2 คน ที่รับเงินจากคังมา เดินมาในตัวเมือง กริชเดินตามมาห่างๆ
“พวกนี้ ท่าทางมีพิรุธ คิดจะทำอะไรกัน”
พวกเชิดสิงโต 2 คนเดินเข้าซอย กริชสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อมาให้ทัน แต่พอเลี้ยวเข้าซอยมา พวกนั้นหายไปแล้ว
“อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ”
กริชยืนหมุนคว้าง ใกล้ๆ มุมตึก พวกเชิดสิงโตสองคนยืนคุยกับไท
“พวกลื้อมีหน้าที่จัดการมัน”
“ที่ไหน”
“อั๊วจะพามันมาเอง แล้วจำไว้พวกลื้อได้ค่าจ้างขนาดนี้หากเกิดอะไรขึ้น รู้ใช่ไหมพวกลื้อต้องทำยังไง ตามมา”
พวกเชิดสิงโตสองคนเดินตามไทไป ในขณะที่กริช พึมพำกับตัวเอง
“หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง คงไม่มีอะไรมั้ง”
วิภาดายืนรอรถอยู่ริมถนน ถือถุงใส่ของพะรุงพะรัง คนขับรถเดินมาหา
“รถเป็นอะไร”
“เครื่องรวนครับ น่าจะซ่อมอีกสักพักใหญ่ๆ”
“งั้นฉันไม่รอล่ะ เดี๋ยวม้าจะคอย นายกลับไปรอรถที่อู่เถอะ ฉันกลับเองได้”
“จะดีหรือครับ ให้ผมเดินไปส่งดีกว่า”
“ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรลูกสาวเสี่ยเส็งหรอก ไปได้แล้ว”
“ครับคุณหนู”
คนขับรถโค้งให้แล้วเดินกลับไป วิภาดาหันมองซ้ายขวา ก่อนจะหอบของพะรุงพะรังข้ามถนน แล้วทำถุงกระดาษซึ่งใส่ชุดชั้นในไว้ตกกลางถนน กริชเดินเข้ามา เห็นวิภาดาทำของตก เลยข้ามถนนไปเก็บของให้ แล้วเดินตามวิภาดาไป วิภาดาเดินมาเรื่อยๆ ก่อนสังเกตเห็นว่าทำถุงกระดาษใส่ชุดชั้นในหายไป
“เอ๊ะ หายไปไหน”
วิภาดาหันกลับมา เจอกริชถือถุงใบนั้นโชว์ในมือ
“เอาคืนมา”
“คืนแน่ แต่ไม่คิดจะขอบคุณสักคำเหรอ อุตส่าห์เก็บมาให้”
“ขอบคุณ พอใจรึยัง”
“เสียงแข็งไปนิด แต่พอใจก็ได้”
“พอใจแล้วก็เอาคืนมาสิ”
“ไม่ให้”
“เอ๊ะนายกริช อย่าให้ฉันโมโหนะ ฉันรีบ”
“วินั่นแหละ ส่งของมา เดี๋ยวเราถือให้”
“ไม่ต้อง เอาคืนมา”
กริชไม่ให้ วิภาดาเข้าไปยื้อแย่ง จนทำให้ถุงกระดาษขาด ชุดชั้นในร่วงลงมา กริชหยิบชุดชั้นในขึ้นมา จ้องวิภาดาตาปริบๆ
“ของวิเหรอ”
วิภาดาตกใจ อ้าปากค้าง กระชากชุดชั้นในไป แล้วรีบเดินหนี กริชหัวเราะชอบใจ เดินตามวิภาดาไป พอเห็นฝนตกก็ดึงวิภาดาไปหลบใต้กันสาดด้วยกัน
“อะไรของนายเนี่ย”
“ฝนตกไม่เห็นรึไง รอให้ฝนหยุดก่อน เดี๋ยวเราไปส่ง”
“ไม่จำเป็น จำทางกลับบ้านได้”
“รู้น่า แต่จำได้รึเปล่าว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เดินทางคนเดียวกลางค่ำกลางคืน มันอันตราย”
“อยู่กับนายใช่ว่าจะปลอดภัย”
“ถึงเราจะสู้ไม่เก่งเท่าพี่ชายวิ แต่อย่างน้อย เราก็สู้กับคนร้าย ช่วยถ่วงเวลาให้วิวิ่งหนีได้ไง”
วิภาดาขี้เกียจเถียง หันไปมองฝนฟ้า
“เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกนะ”
“ทนหน่อยแล้วกัน อีกไม่นาน วิคงไม่ได้เห็นหน้าเราแล้วล่ะ”
“ทำไม”
“เราจะไปเรียนต่อที่เซี่ยงไฮ้”
“แล้วแพนล่ะ”
“เราว่าจะชวนแพนไปด้วยล่ะ”
กริชพูดเล่น แต่วิภาดาเจ็บจี๊ด เพราะคิดว่ากริชชอบแพนมาตลอด เลยเดินฝ่าฝนออกไป
“อ้าววิ เดี๋ยวก็เป็นหวัดไม่สบายหรอก”
กริชรีบเดินตามวิภาดาไป
ตอนค่ำ คณินถือร่มกางให้แพน เดินมาด้วยกันบริเวณปากซอยบ้านแพน
“ครอบครัวผมย้ายมาที่นี่ตอนผมอายุ 12 พอผมอายุ 16 ผมก็กลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นคุณทำอะไรที่ไหน ทำไมเราไม่เคยเจอกันเลย”
“พ่อไม่ยอมให้ฉันไปไหนมาไหนหรอก ฉันทำแต่งานบ้าน”
“แล้วคุณรู้หนังสือได้ยังไง”
“ป้าข้างบ้านฉันสอน แต่ตอนนี้แกเสียไปแล้ว ถ้ามีโอกาส ฉันก็อยากเรียนต่อนะ”
“เอาสิ ตอนหนีไป คุณมีโอกาส เรียนต่อเลยซิ ผมส่งเสียคุณเอง”
“ค่ะเสี่ยใหญ่”
แพนหยุดเดิน
“ส่งได้แค่นี้ใช่มั้ย”
“คุณต้องทำตามสัญญานะ”
“ชัวร์ ผมบอกคุณแล้ว ผมพาคุณหนี เพราะไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้ ไม่ได้พาไปเป็นเมีย ผมจะไม่แตะต้องคุณเด็ดขาด จนกว่าเราจะแต่งงานกัน”
“งั้นก็อีกนาน แล้วก็”
“ผมจะไม่ทิ้งคุณ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“ฉันจะไม่เชื่อคุณจนกว่าฉันจะได้เห็นกับตา”
คณินทำท่าจะโน้มจูบ แพนตกใจ
“แน่ะ ยังไม่ทันไร”
“จ้ะๆ”
แพนยิ้ม แล้วรีบวิ่งหนีไป คณินมองตามนิดหนึ่งก็หันหลัง เขาเห็นคนถือร่มดำยืนอยู่ เมื่อร่มดำค่อยๆ เลื่อนขึ้นตั้งตรง ก็เห็นเป็นหน้าแป๊ะยิ้ม
แพนวิ่งห่างคณินมา ก่อนจะหยุด และหันกลับไปมองอีกครั้ง เธอไม่เห็นคณินอีกแล้ว เห็นแต่ร่มกลิ้งปลิวไปตามลมอยู่บนถนน แพนแปลกใจ แต่คิดว่าคงไม่มีอะไร จึงเดินมาถึงหน้าบ้าน
อยู่ๆ มือหนึ่งตวัดมาจากด้านหลัง ปิดปากแพน แล้วลากไป ทำให้รองเท้าของเธอหลุดอยู่ที่หน้าบ้านทั้งสองข้าง
เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 2 (ต่อ)
คณินวิ่งไล่ตามแป๊ะยิ้มไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ จนทัน เกือบจะจับตัวไว้ได้ แต่แล้วก็มีแป๊ะยิ้มอีกคนโผล่มา
“เฮ้ย ไรวะเนี่ย”
แป๊ะยิ้มอีกคน วิ่งผ่านหน้าไป
“เอาแล้วไง ขนมาทั้งคณะเลยรึเนี่ย”
ไทคือแปะยิ้มที่ล่อคณินมา ตั้งท่ารอรับการต่อสู้ คณินหันมองแป๊ะยิ้ม 3 คนที่ยืนรายล้อม ก่อนทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กัน
มนชิตขับรถอยู่ โดยแพนนอนสลบอยู่ที่เบาะข้างคนขับ เอวถูกเชือกรัดไว้
เวลาเดียวกันนั้น คณินกับแป๊ะยิ้มทั้งสามยังตีกันไม่หยุด ไทเกือบทำให้คณินล้มหลายครั้ง คณินพยายามสังเกตความแตกต่างของแป๊ะยิ้มทั้งสามก็เห็นว่าไทสู้เก่ง เขาจึงตรงเข้าไปเล่นงานไทไม่ยั้ง
“คราวนี้ไม่รอดแน่มึง”
แป๊ะยิ้ม 2 คนที่เหลือตรงเข้ามารุมคณิน แต่พลาดท่าให้คณินจนล้มลระเนระนาด ไทอาศัยช่วงจังหวะนั้น ขยับเข้าหาคณิน แต่ถูกคณินเล่นงานจนเสียท่า
“ในที่สุด เราก็จะได้รู้จักหน้าค่าตากันซะทีนะ”
แป๊ะยิ้มอีกสองคนลุกขึ้น จะเข้ามาถีบคณิน คณินหันไปตั้งรับ ไทได้ที หนีออกไปตามถนนมืดๆ เจอคังยืนรออยู่ คังโชว์จดหมายของไทที่ส่งถึงแพนให้ดู
“แกทรยศนาย”
คังชูมีดขึ้น
แพนปรือตาขึ้น มนชิตยังขับรถอยู่บนถนนนอกเมือง
“ตื่นแล้วเหรอ”
แพนตกใจหันมองรอบกาย ก่อนจะมองเชือกที่มัดตัวเองอยู่
“นี่มันอะไรกันเฮีย”
“อย่าโวยวายเลยน่า เฮียไม่ทำอะไรแพนหรอก”
“เฮียจะพาฉันไปไหน”
“บ้านของเราไง เฮียเตรียมไว้แล้ว แพนต้องชอบแน่”
“จะบ้าเหรอ ถ้าป๊ารู้ว่าเฮียจะทำอะไร ป๊าไม่ให้อภัยเฮียแน่”
“เฮียไม่สนหรอก ว่าป๊าจะคิดยังไง เพราะเฮียทนไม่ได้แน่ ถ้าแพนต้องตกเป็นของคนอื่น”
“เฮีย”
แพนหวาดกลัว หันมองสองข้างทางที่มีแต่ความวังเวง
คณินต่อสู้จนล้มแป๊ะยิ้มทั้ง 2 คนได้
“อีกตัวหนึ่งหายไปไหนวะ”
คณินหันกลับมาหาแป๊ะยิ้มทั้งสองคนเพื่อจะคาดคั้น แต่สองคนนั้นถอดหัวแป๊ะยิ้มออก แล้วหยิบยาพิษขึ้นมากิน
“เฮ้ย จะทำอะไร”
แป๊ะยิ้ม 2 คนตายน้ำลายฟูมปาก
“อย่าเพิ่งตาย”
คณินเข้าไปตรวจชีพจรแป๊ะยิ้มทั้งสองคนที่คอ เจ็บใจมาก
“โธ่เว้ย”
มนชิตพาแพนมาที่บ้านหลังหนึ่ง แล้วจับแพนโยนลงบนเตียง
“ขอร้องล่ะเฮีย อย่าทำอย่างนี้เลย”
“ทำไม ทำไมเฮียจะทำไม่ได้ หรือว่ามีแต่ไอ้คิ้มคนเดียวที่ทำได้”
“เฮีย ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันนะ”
“หึๆ มีหรือไม่มีก็ไม่สำคัญหรอก”
มนชิตถอดเสื้อออก แพนหวาดกลัว
“เพราะถึงยังไง เธอก็เป็นของฉันอยู่ดี”
มนชิตเข้าไปหาแพน ตั้งใจจะปลุกปล้ำ แพนหวีดร้องด้วยความกลัว
คณินเดินมาบริเวณถนนใกล้จุดต่อสู้ เจอศพคังนอนคว่ำหน้าอยู่ ข้างๆ มีหัวแป๊ะยิ้มวางอยู่ เขาพลิกศพคังขึ้นดู เห็นถูกเชือดคอ ตายตาเหลือก เลือดทะลักออกปาก แล้วเห็นกระดาษในมือคัง เลยแงะมาดู
“ตามไปช่วยแพนที”
เลือดเปื้อนจนอ่านไม่ออก ไทแอบมอง พอเห็นว่าคณินรู้แล้ว จึงขยับออกไป
“ที่ไหนวะ แพนเข้าบ้านไปแล้ว จะมีอันตรายได้ไง”
มนชิตพยายามจะปลุกปล้ำแพน แพนนึกถึงคำพูดของคณิน
“ขั้นแรกเลย ต้องมีสติ ลบความกลัว แล้วเล็งเป้า”
แพนข่มใจสู้กับความกลัว พูดเสียงหวาน
“เฮียจ๋า”
มนชิตตกใจที่แพนเรียกเขาแบบนั้น
“แพน”
“ฉันมาคิดดูแล้ว เฮียดีกับฉันมากจริงๆ”
“เริ่มคิดได้แล้วเหรอ”
“เฮียรักฉันใช่มั้ย”
“มากกว่าชีวิตฉันอีก”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่ควรจะทำให้คนที่รักฉันต้องเสียใจและผิดหวังอีก”
มนชิตหัวเราะมีความสุข แต่เพียงเสี้ยววินาที
“โอ๊ย”
แพนใช้เข่าจัดการจุดสำคัญของมนชิตจนจุก จับเป้าตัวเอง กลิ้งลงไปนอนกองบนพื้น แพนลงไปเตะซ้ำที่หน้าท้องมนชิตสองสามครั้ง ก่อนจะวิ่งหนีออกไป มนชิตกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บ ตะโกนลั่น
“แพน”
เป้งเดินไปมาหน้าบ้าน หลินตะโกนขึ้น
“ลูกสาวตัวดีมันยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
มนสิชาตะโกนตาม
“สงสัยจะหนีตามผู้ชายไปแล้ว”
“ไม่ต้องมาแย่งหมาเห่า หยุดพูดแล้วเข้าบ้านไปทั้งสองคน”
เป้งโกรธตั้งท่าจะเดินไป หลินดักคอ
“จะไปไหน”
“ก็ไปตามหานังแพนสิวะ”
“ไม่อายชาวบ้านเขาเหรอ ถ้ามันหนีตามผู้ชาย ป่านนี้มันก็ไปไกลแล้ว แต่ถ้ามันไม่ได้หนีไป เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ”
เป้งฉุกคิด แต่ก็ยังเครียด
แพนวิ่งหนีสุดชีวิตมาตามริมถนน ได้ยินเสียงรถไล่หลังมา จึงหลบลงข้างทาง ซึ่งเป็นกองขยะ มนชิตขับรถอยู่ด้วยความโกรธแค้น
“คิดว่าจะหนีรอดเหรอ”
แพนแอบมองรถที่ขับผ่านไป ก่อนจะมองหาทาง เพื่อจะวิ่งต่อ เธอดึงผ้าที่ชาวบ้านตากไว้มาพันตัวและใบหน้าไว้เพื่อพลางตัว แต่ก่อนจะเดินต่อ ลูกน้องของมนชิตซึ่งเป็นพวกคุมบ่อน ประมาณ 5-6 คนเดินพ้นซอยออกมา แพนเห็นก็รีบหลบมุม
“นายบอกให้พวกเราส่งข่าวคนของเราให้ทั่ว แล้วตามหาน้องสาวของนายให้เจอภายในคืนนี้ หาให้เจอ ไม่งั้นโดนกระทืบตายแน่”
“งั้นพวกเราแยกย้ายกันเถอะ”
ชายฉกรรจ์ทั้งหมด สลายตัว แยกย้ายไปคนละทาง ลูกน้องคนหนึ่งเดินผ่านหน้าแพน แล้วหยุดใกล้กับที่แพนซ่อนตัว แพนตกใจ รีบเอามือปิดปากไว้ ไม่กระดุกกระดิก ลูกน้องคนนั้น ปวดฉี่ จึงฉี่เฉียดที่แพนนั่งอยู่ เสร็จแล้วก็เดินต่อไป แพนเห็นว่าทางสะดวกแล้ว จึงวิ่งเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่พวกลูกน้องมนชิตเดินออกมา
วิภาดาร้อนใจ เดินไปมา พลางชะโงกมองประตูบ้าน รอพี่ชายกลับมา ซกเค็งเดินออกมา ร้อนใจพอๆ กัน
“พี่ชายลื้อยังไม่กลับอีกเหรอ”
“ค่ะม้า นี่ก็สองยามแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
“ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก”
เส็งเดินเข้ามาหาสองแม่ลูก ท่าทางสบายๆ
“พี่ชายลื้อไม่เป็นอะไรหรอก ลูกชายลื้อมันเก่งกว่าใคร ตอนนี้ คงจะอยู่ที่โรงสีเพื่อเฝ้าเรือขนข้าว เพราะตอนฟ้าสางเรือเราจะล่องลงกรุงเทพฯ อีคงจะห่วง”
“คิดแบบนั้นจะดีหรือเฮีย แต่ก่อนอาคิ้มมันเตร็ดเตร่ ไปไหนมาไหนไม่เคยบอกใคร อั๊วไม่ห่วงเท่านี้ก็จริง นั่นเพราะเรายังไม่มีศัตรูเหมือนทุกวันนี้”
“ใครบอกลื้อ ศัตรูของอั๊วมันก็มาพร้อมอั๊วจากเมืองจีนนั่นล่ะ แต่ยังไง มันก็แพ้เราอยู่วันยันค่ำ อาวิ พาม้าลื้อไปนอน”
วิภาดาจำใจทำตามคำสั่งของพ่อ ประคองซกเค็งกลับเข้าบ้านไป เส็งกระดิกนิ้วเรียกลูกน้อง 2 คนที่ยืนยามอยู่บริเวณนั้นให้มาหา
“ลื้อไปดูที่โรงสีว่านายน้อยอยู่นั่นรึเปล่า”
ลูกน้องพยักหน้ารับแล้ววิ่งออกไป เส็งยุ่งยากใจเล็กน้อย
แพนวิ่งมาจนถึงปากซอยหน้าบ้าน ดีใจที่ในที่สุดก็ถึงบ้านจนได้ สองเท้าเต็มไปด้วยบาดแผล เธอทนเจ็บวิ่งเข้าไป มนชิตหลบอยู่ข้างทาง คว้าจับตัวแพนไว้ แพนทำตามที่คณินสอน แต่ไม่ได้ผล เพราะมนชิตเหนือกว่าจึงล็อกไว้ได้
“อย่าให้เฮียต้องทำร้ายแพนนะ”
แพนเห็นเป้งเดินออกมาหน้าบ้านแต่ไกล ท่าทางร้อนใจมาก
“พ่อ”
มนชิตหันมอง แพนกระทืบเท้ามนชิต จนเขาเผลอปล่อยแพน แล้ววิ่งสุดแรงเกิด มนชิตเจ็บใจ เดินตามแพนไปอย่างใจเย็น เป้งหันมาเห็นแพนวิ่งเข้ามา
“พ่อ”
เป้งตบแพนฉาดใหญ่จนหน้าหัน
“นังลูกไม่รักดี ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้”
แพนตกใจช็อก มองหน้าพ่อ น้ำตาคลอ
“พ่อจะไม่ฟังเลยใช่มั้ย”
“นังลูกเลว นำแต่ความอับอายมาให้ พรุ่งนี้ อั๊วจะหาผู้ชายคนใหม่ให้ลื้อแต่งงาน”
มนชิตเดินเข้ามา แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“อ้าว ป๊า แพน มายืนทำอะไรตรงนี้”
“มนชิต ลื้อพานังแพนเข้าไปขังในห้อง ไป”
มนชิตจะเดินเข้ามาจับตัวแพน แต่ไม่ทัน แพนทั้งโกรธทั้งน้อยใจพ่อ จึงวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา
“นังแพน ลื้อจะไปไหน”
“ไม่ต้องตามไปหรอกป๊า แพนมันไปไหนไม่รอดหรอก อีกอย่าง ที่ๆ แพนไปได้ ผมไปกำชับและจัดการไว้หมดแล้ว ไม่มีใครกล้ารับแพนไว้หรอก”
มนชิตพาเป้งเข้าบ้าน ปิดประตู คณินเดินมาถึงหน้าบ้านแพน
“หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณนะ”
คณินเห็นรองเท้าแพนวางอยู่ก็จำได้
“คงนอนแล้วสิ พรุ่งนี้เรามีนัดกันนะแพน หวังว่าผมจะได้เจอคุณนะ”
คณินตัดสินใจเดินออกมา ก้มมองสภาพเลือดเปื้อนเสื้อตัวเอง
“กลับบ้านสภาพนี้ ม้ากรี๊ดคอแตกแน่ ไปนอนที่โรงสีดีกว่า”
คณินเดินออกไป
คืนนั้น กิตติมาสอบถามคนงาน
“คุณคิ้มไม่อยู่นี่ หายหัวไปไหนของเขาวะ”
“มีอะไรกิตติ”
คณินเดินเข้าไปหา กิตติหันไปเห็น สภาพเปื้อนเลือดก็ตกใจ
“คุณคิ้ม ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ครับ ไปฟัดกับใครมาครับ”
“กัดกับหมามา อั๊วเลยไม่อยากกลับบ้าน เดี๋ยวม้าตกใจ แล้วมาทำไมเนี่ย ทำไมไม่เฝ้าบ้าน”
“แหมคุณคิ้ม อย่าเรียกว่าเฝ้าสิครับ เรียกว่าคุ้มกันดูแลจะเหมาะกว่า”
คณินเดินไปนั่งบนโต๊ะ ตรวจดูแผลตามขาตามเท้าของตัวเอง กิตติตามไปถามต่อ
“มีเรื่องบู๊ล้างผลาญ น่าจะเรียกผมไปด้วย คราวนี้เป็นพวกไหนครับ”
“แก๊งแป๊ะยิ้ม มากันสาม ยังไม่ทันได้ถามอะไร มันชิงตายซะก่อน”
“มากัน 3 ตัวเลยหรือครับ แล้วมีตัวที่เคยแทงคุณที่งานสารทจีนรึเปล่า”
“ไม่แน่ใจว่ะ รู้แค่ว่า คนร้ายไม่น่าจะมีแค่ 3”
“หมายความว่าไงครับ”
“ตามที่พูดนั่นแหละ นายกลับบ้านไปได้แล้ว บอกป๊าด้วยว่าคืนนี้ฉันจะค้างที่โรงสี แต่ไม่ต้องบอกว่าเกิดเรื่องอะไรกับฉัน”
“ได้ครับ แล้วคุณคิ้มจะลงไปกรุงเทพฯกี่วัน”
“ไม่นานหรอก ฝากทางนี้ด้วยแล้วกัน”
“ไม่มีปัญหาครับ มีผมแค่คนเดียว ก็เหมือนมีมือปืนสิบคนข้างกาย รับรองความปลอดภัย”
ตอนเช้า กริชยืนอยู่ที่จุดที่คนของคณะสิงโตตาย เขาคุยกับลูกน้องเรื่องคนโดนวางยาพิษ
“โดนยาพิษตายทั้ง 2 คนครับ”
“อือ มีร่องรอยการต่อสู้เต็มไปหมด พวกนี้สู้กับใครนะ”
ก่อนจะขึ้นรถ กริชเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งนอนสลบอยู่ใกล้ถังขยะ
“ใครน่ะ”
กริชขยับเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ
“ผู้หญิงนี่ คุณๆๆ”
กริชเอื้อมมือลงไปแตะตัว แพนรู้สึกตัว จึงหันกลับมาแล้วสู้ทันที
“อย่านะ”
“แพน”
แพนตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง หันมองรอบกาย
“ฟ้าสางแล้วเหรอ แล้วที่นี่ที่ไหน”
“แพนเป็นอะไร ทำไมมานอนตรงนี้ เกิดอะไรขึ้น”
แพนรีบลุกขึ้น
“แพน ที่เท้ามีแผลเต็มไปหมดเลย”
“ไม่เป็นไร เราไม่เจ็บ เราไปก่อนนะ”
“แพนจะไปไหน”
“เรามีนัด เราต้องรีบไป”
กริชเดินมาจับมือแพนไว้
“เราไปส่งเอง”
แพนมองหน้ากริช
ที่ท่าเรือกำลังวุ่นวาย เรือส่งข้าวใกล้ออกเต็มที คณินเดินเข้ามา สั่งโปซึ่งเป็นหัวหน้าคนงาน
“รอก่อน อย่าพึ่งออก”
“แต่เลยเวลามาแล้วนะครับ”
“เออ อั๊วรับผิดชอบเอง”
โปรับคำสั่ง วิ่งไปคุมคนงานต่อ
“ตรวจดูความเรียบร้อยให้ทั่ว อย่าพึ่งออกเรือ”
คณินหันมองไปโดยรอบ
“แพนจะมามั้ยวะ”
คณินก้มมองนาฬิกา
“ไปดูที่นัดหมายดีกว่า”
ชายหนุ่มเดินไป
รถของกริชขับเข้ามาแล้วจอดไม่ไกลจากจุดนัดพบ แพนลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปอย่างเร็ว มองหาคณิน แต่ไม่เจอ กริชตามลงมาจากรถ
“มีอะไรเหรอแพน”
แพนยืนโงนเงนเพราะเท้าเริ่มบวม
“มาที่นี่ทำไม”
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ เราขอ”
แพนเหมือนจะล้มลง กริชเข้าประคอง
“ถึงแพนไม่บอก เราก็ไม่พูดเรื่องแพนหรอก แพนคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรานะ”
แพนมองหน้ากริชซาบซึ้งใจ
“ขอบใจนะ”
“ไม่ว่าแพนจะทำอะไร เราเชื่อในตัวแพน”
แพนกอดกริชด้วยความซาบซึ้งใจ น้ำตาไหลออกมา
คณินเดินเข้ามา พอเห็นแพนกับกริชยืนกอดกัน ท่ามกลางแสงอาทิตย์แรก เขาชะงักนิ่ง ข่มใจบอกกับตัวเอง
“ใจเย็นๆ คณิน อย่าต่อยมันให้เสียมือ”
แพนผละจากกริช ทั้งคู่ยิ้มให้กัน คณินเดือดปุด แต่ยังทำใจเย็น แพนหันมาเห็นคณิน ดีใจ
“คิ้ม”
กริชถึงเข้าใจว่าแพนมาหาใคร นัดกับใครไว้ คณินเดินเข้าไปหาทั้งคู่ แสร้งทำเป็นยิ้ม สบายใจ
“นี่คือคำตอบใช่มั้ย ไม่ใช่พ่อ แต่เป็นลูก ก็พอไหวนะ มีอะไรบอกกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องถึงขนาดทำให้ดูกับตาหรอก มันเจ็บ”
คณินจับบ่ากริชหนักๆ ตั้งใจบีบให้เจ็บ
“อ่อ จะบอกอะไรให้นะ แฟนนายนี่นะ จูบได้แย่มากเลย ถ้ายังไง ฝากนายช่วยฝึก ช่วยสอนให้มันเก่งกว่านี้หน่อยนะ เวลาจูบกันจะได้ไม่เสียเวลา เสียปาก”
แพนอึ้ง
“นี่คุณ”
“ไม่ต้องบอกหรอก แค่ไม่มาก็รู้แล้ว นี่ยังอุตส่าห์ ขอให้มีความสุขแล้วกัน”
“ได้ อยากจะคิดอะไรมันก็เรื่องของคุณ ไป”
แพนหันไปชวนกริช
“น่าจะจูบลากันสักนิดนะ”
แพนหันกลับมาแล้วตบหน้าคณิน เดินกลับไปขึ้นรถกริช
“จูบไม่ใช่ตบ”
คณินมองตามแพน ลูบหน้าที่ชาๆ
“ยังไม่ไปอีก เดี๋ยวก็โดนต่อยหรอก”
“ลื้อกำลัง”
“ดูแลแพนให้ดีๆ นะ”
คณินหันหลังเดินไปที่ท่าเรือ กริชมองตามด้วยความงง
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”
แพนนั่งในรถกริช น้ำตาไหล กริชเปิดประตู กลับเข้ามานั่งในรถ แพนรีบปาดน้ำตา
“จะเอายังไงต่อ”
“ในเมื่อหนีไม่ได้ ฉันก็จะสู้ต่อล่ะ”
แพนมุ่งมั่น เข้มแข็งและแน่วแน่ที่จะทำบางอย่าง คณินจ้ำเดินอย่างเร็ว ก่อนจะหยุด
“ไม่ อย่าหันกลับไป ผู้หญิงยังมีอีกเยอะเว้ย”
คณินทำใจแข็ง เดินหน้าต่อไป แล้วออกวิ่ง รถของกริชเคลื่อนไปตามถนนเลียบแม่น้ำไปทางทิศเหนือ ส่วนในแม่น้ำ เรือขนข้าวขนาดใหญ่กำลังล่องลงไปทางทิศใต้
มนชิตตบหน้าไทอย่างแรง ก่อนจะถีบซ้ำจนล้มกลิ้ง
“กูอยากจะฆ่ามึงให้ตายจริงๆ”
“ฝีมือไอ้คิ้มไม่ใช่เล่นๆ ขนาดไอ้คังยังถูกมันเชือด”
“ไอ้คิ้ม ไอ้มารผจญ”
มนชิตคุ้มคลั่ง
3 วันต่อมา คณิมานั่งดื่มที่ภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา ชูแก้วเหล้าในมือ
“เอ้า ดื่มๆๆ”
ทรงกลดทำหน้าเบื่อ
“ก่อนจะดื่ม บอกมาก่อนว่าแกหายไปอยู่ไหนมา”
“นั่นสิ ทำไมใครๆ ก็หาไม่เจอ ไปซ่อนอยู่ใต้กระโปรงสาวคนไหนรึเปล่า” ภรพแซว
“ได้อย่างนั้นก็ดีสิ แต่นี่ลงไปสำรวจใต้น้ำอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ขึ้นมานอนเล่น อาศัยกินข้าวในศาลเจ้าจนเอียน”
“อยู่กับซินแสนี่เอง แล้วนี่กินแต่เหล้ามา 3 วันแล้วนะ แกเป็นอะไร”
ทรงกลดถามอย่างแปลกใจ
“ก็เป็นคนหล่อไง”
“ทำอย่างกับอกหัก” ภรพกระเซ้า
“เฮ้ย รุ่นนี้ไม่มีอกหัก มีแต่หักอกเขา”
คณินเป่าปากเฟี้ยวเรียกสาวๆ ให้มาร่วมโต๊ะ สาวๆ หลายนางกรูกันออกมานั่งตัก ออเซาะ เอาใจคณิน ทรงกลดได้แต่ถอนใจระอา
“ฉันมีงานต้องสะสางเยอะแยะ ไม่มีเวลามานั่งดื่มกับแกบ่อยนัก”
“แล้วเมื่อไหร่ไอ้ภรพมันจะโผล่มาวะ เฮ้อ นี่ถ้าไอ้ธีมันยังอยู่ ฉันไม่ง้อแกหรอก ไอ้ธี”
“ไอ้ธีไม่อยู่ มีแต่ไอ้ธาม โน่น”
ภรพบอก ธามเดินผ่านประตูเข้ามา พร้อมลูกน้องคนสนิท 2 คน แล้วนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง ธามหันมาเห็นคณิน ภรพ และทรงกลด
“มันนั่งให้ท่าเราซะขนาดนั้น เราไปทักทายมันหน่อยมั้ย”
“ไม่ต้องแล้ว”
ทรงกลดห้าม เพราะธามลุกจากโต๊ะ เดินตรงมาที่โต๊ะทรงกลดและคณิน ทั้งสามยืนรับตามมารยาท
“กินเหล้ากันแต่หัววันเลยหรือวะ”
“นิดหน่อย” ภรพบอก
“กินด้วยกันมั้ย รับรอง ไม่ใส่ยาพิษ กินแล้วน้ำลายไม่ฟูมปาก”
คณินยื่นแก้วให้ แววตาท้าว่าธามจะกล้าดื่มหรือไม่ ธามรับแก้วเหล้าจากคณินแล้วดื่มรวดเดียวหมด คณิน ทรงกลด ภรพเหลือบมองหน้ากัน
“นั่งด้วยกันมั้ย”
ธามมองภรพกับทรงกลด ทั้งสองไม่ขัดข้อง ทั้งสี่คนนั่งโต๊ะเดียวกัน ในทีแรก ยังมองหยั่งเชิง แต่พอเวลาผ่านไป บรรยากาศเริ่มดี เฮฮา โดยเฉพาะคณิน
“ถึงจะโดนผู้หญิงทิ้ง แต่มีเพื่อนมันก็สุขใจอย่างนี้เอง ฮ่าๆ”
“เฮ้ย แกโดนผู้หญิงทิ้งจริงๆ ด้วย ผู้หญิงคนนั้นคือใคร” ทรงกลดรีบถาม
“ไม่น่าเป็นไปได้ เสือผู้หญิงอย่างแก ไปเสียท่าให้ใคร แต่ก่อนน่ะ ฉันยังต้อง”
คณินกับทรงกลดและภรพมองหน้าธาม ธามเปลี่ยนเรื่อง
“ผู้หญิงคนนั้นต้องสวยมากแน่ๆ”
“สวย แต่ตาไม่ถึง ป่านนี้ คงกำลังมีความสุขล่ะสิ”
คณินนึกถึงแพนแล้วเจ็บช้ำ ยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอักๆ
7 วันต่อมา เป้งคุยกับแพนที่หน้าห้องนอน
“เก็บเสื้อผ้าอาแพน ลื้อต้องไปอยู่กับเสี่ยหยวนที่นครปฐม”
“อะไรนะ”
“อั๊วรับเงินสินสอดมาหลายวันแล้ว จ่ายหนี้เรียบร้อยแล้วด้วย พรุ่งนี้อีจะมารับลื้อไปอยู่ด้วย”
“ทำไมพ่อทำอย่างนี้ ยังเห็นฉันเป็นลูกอยู่รึเปล่า”
“เพราะเห็นว่าลื้อเป็นลูกไง ถึงได้หาผัวดีๆ ให้”
เป้งฉุนเฉียว แล้วเดินออกไป
แพนสิ้นหวัง มนชิตขยับตัวออกมาจากมุมที่แอบฟัง สีหน้าเย็นชา พร้อมจะฆ่าคนได้ทุกวินาที
จบตอนที่ 2