xs
xsm
sm
md
lg

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 4

แพนนั่งหลบอยู่ข้างรถบุ๊ง ลูกน้องบุ๊งเดินไปมาข้างรถอีกด้าน แพนคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
 
ลูกน้องบุ๊งคนหนึ่งออกมาตามเพื่อน
“เฮ้ย คุณกริชกับนายคณินจะสู้กัน ไปดูเร็ว”
แพนตกใจ

กริชยืนประจันหน้ากับคณิน ทุกคนต่างจับจ้อง บุ๊งซาบซึ้งในตัวลูกชาย
“ลูกป๊า”
“ต้องการอะไร”
“นายต่อยหน้าท้องฉันได้ 10 หมัด ถ้าฉันยังไม่ล้ม ปล่อยผู้หญิงคนนั้นซะ”
“อ้าว ไม่ได้ปกป้องอั๊ว ผู้หญิงคนไหนวะ”
คณินหัวเราะ
“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”
“แก๊งกวางสวรรค์สยบนาย”
“เฮ้ย เดี๋ยวนะ พวกลื้อ”
คณินกับกริชหันไปพูดกับบุ๊งพร้อมกัน
“หยุด”
“แล้วก็อีก 10 หมัด ปล่อยป๊าฉัน”
“แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ”
แพนเข้ามาแอบดูที่ริมหน้าต่าง ขณะทุกคนจับจ้อง รอฟังกริชพูด
“ฉันจะสู้กับนาย”
คณินยิ้มเยาะใส่บุ๊ง
“ใครจะเป็นศพ รู้แล้วนะเสี่ย”
กริชตั้งท่า เตรียมต่อสู้

ไทเข้ามาในห้องพักฟื้นของเส็ง เลิกผ้าห่มบนเตียงออก แต่ว่างเปล่า เพราะเส็งถูกย้ายไปอยู่ห้องรวมแล้ว ไทตกใจ หันมองหา กิตติเปิดประตูเข้ามา เพื่อเก็บข้าวของที่เหลือ เห็นบุรุษพยาบาลมีพิรุธ
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
ไทไม่พูด รีบเดินออกไป กิตติเห็นไม่ชอบมาพากล จึงรีบตามออกไป ไทเปิดประตูเข้าไปในส่วนของบันไดหนีไฟ กิตติตามเข้าไป แต่ไม่ทัน พบเพียงเสื้อที่ถอดทิ้งไว้

แพนเห็นคณินกับกริชต่อสู้กันอย่างดุเดือด เธอรู้สึกเป็นห่วงกริช อยู่ๆ แพนก็โดนมนชิตเข้าประชิดตัวจากด้านหลัง เอามือมาปิดปากไว้ แล้วลากไปที่ห้องเก็บของ ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
“เฮีย”
“หมาสองตัวกำลังฟัดแย่งเธอกันอยู่”
“แล้วหมาตัวนี้ล่ะ”
“หมาตัวนี้มันก็บ้ารักเธอไง”
“จะอ้วก ถอยไป”
“เรื่องอะไรจะถอย ในบ้านไอ้คิมซะด้วย สะใจดีพิลึก”
“ป๊าอยู่ข้างนอกนะ”
“แล้วไง ป๊าจะทำอะไรได้ ในห้องนอนแพน ฝาเดียวกับห้องนอนป๊า เฮียยังมุดเข้าไปปล้ำได้เลย”
“สักวันป๊าจะรู้ว่าป๊าเลี้ยงงูพิษไว้”
มนชิตจู่โจมเข้าหาแพนอย่างรวดเร็ว

กริชโดนคณินกระทืบ จนกระเด็นไปนอนอยู่ที่ปลายเท้าของบุ๊ง บุ๊งมองสภาพสะบักสะบอมของลูกชายแล้วรับไม่ได้
“พอ พอแล้ว อั๊วยอม”
“ยอมแต่แรก ก็ไม่ต้องเหนื่อย”
“ลื้อมัน ลื้อมัน ได้ ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งเป็นของลื้อ ได้ไปแล้ว รักษาให้ดีๆ แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา”
“แต่ถึงลื้อจะเอาเก้าอี้คืนไปได้ โฉนดบ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของอั๊วอยู่ดี”
เป้งมองหามนชิต ไม่เห็นนานแล้ว จึงลุกออกไปเงียบๆ
“เชิญเสี่ยนอนกอดโฉนดให้สบายใจ แต่พอตำรวจไปเคาะประตูบ้าน อย่าตกใจไปล่ะ เพราะผมเป็นคนแจ้งความเอง”
“แจ้งความ”
ทุกคนตกใจ
“ก็ของผมหาย ผมก็ต้องแจ้งความสิ”
“อั๊วมีหลักฐานการซื้อขาย ใครก็มาจับอั๊วไม่ได้”
“คอยดูไปละกัน”
“ไม่ต้องมาขู่”
“ไม่ได้ขู่ ติดคุกตอนแก่คงเซ็งแย่ อยู่ข้างนอกให้ลูกหลานถอนหงอกเล่นให้ไม่ดีกว่าเหรอ”

บุ๊งกลืนน้ำลาย คนอื่นๆ ตระหนกกังวลขึ้นมาทันที คณินยิ้มเหี้ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป้งเดินหามนชิตไปรอบๆ บ้าน แต่ไม่มีวี่แวว
 
ในขณะที่มนชิตจับแพนกดลงกับพื้นจนสำเร็จ แพนหวาดกลัว ดิ้นรนขัดขืน
“ปล่อยนะเฮีย ถ้าฉันกรี๊ด คนแห่มาเป็นร้อยแน่”
“ดี มากันเยอะๆ เลย จะได้มาเห็นว่าเราสองคนเป็นผัวเมียกัน”
มนชิตหื่นกระหาย ก้มลงจะซุกไซ้
“อย่านะ”
“เรียกไอ้คิมสิ เรียกให้มันมาช่วย”
แพนพยายามผลักไสมนชิตทุกวิถีทาง คนใส่หมวกไอ้โม่งถีบประตูเข้ามา เขายังห้อยที่ตรวจโรคไว้เหมือนพวกหมอทั่วไป ไอ้โม่งย่องเข้ามาแล้วตีหัวมนชิตด้วยไม้หน้าสามอย่างแรง จนมนชิตฟุบลงไป ไอ้โมงทิ้งไม้ แล้วรีบวิ่งหนีออกไปทันที แพนถีบมนชิตไปไกลตัว แล้วลุกขึ้นวิ่งตามไอ้โม่งออกไป เห็นไอ้โม่งไปทางหนึ่ง จึงรีบเรียกไว้
“หยุดก่อน นายเป็นใคร”
ไอ้โม่งไม่ตอบ วิ่งหนีไปอย่างเร็ว
“อาแพน ลื้อมาทำอะไรที่นี่”
เป้งเดินลิ่ว หน้าถมึงทึงเข้ามา แพนตกใจ ถอยหลังกรูด
“ฉัน”
“ช่วยด้วย”
“อามนชิต”
เป้งไม่สนใจแพน รีบวิ่งรี่ไปยังห้องเก็บของ แพนได้โอกาสรีบเดินหนีไป

บุ๊งเดินลิ่วนำมาที่รถ กริชเดินตามมา
“ใจเย็นๆ ป๊า เดี๋ยวความดันขึ้น”
“เย็นไม่ไหวแล้วโว้ย ไอ้ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไอ้เด็กเมื่อวานซีน ไอ้”
“เอางี้ ถ้าป๊าอยากเป็นหัวหน้าแก๊ง ป๊ามาเป็นหัวหน้าแก๊งกวางสวรรค์ ผมยกให้”
“หุบปากไปเลย แก๊งเชิดสิงโตอย่างนั้นไม่เหมาะสมกับอั๊ว คนอย่างอั๊วมันต้องใหญ่ในหมู่เสือหมู่สิง ไม่ใช่สิงโตต่อตัวอย่างพวกลื้อ คอยดูไปแล้วกัน ว่าอั๊วจะจัดการเลื่อยเก้าอี้ไอ้กะล่อนคณินมันยังไง”
บุ๊งหันไปเห็นสภาพรถ ชะงักกึก ตกใจตาค้าง
“อ๊ายหยา ฉิบหายแล้ว”
กระจกรถบุ๊งถูกตีจนแตกเละด้านหนึ่ง ซองเอกสารหายไป แพนแอบมองอยู่มุมหนึ่ง ลูบซองเอกสารซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของตัวเอง คณินเดินออกมา พร้อมกลุ่มของทรง พล จิ๋น หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่า จั๊ว หัวหน้าแก๊งพังพอน ทุกคนสรรเสริญเยินยอในความสามารถด้านการต่อสู้ของคณิน คณินเย้ยใส่บุ๊ง
“ความจริง ไม่ได้อยากจะลงไม้ลงมือเลยนะครับ แต่ทุกท่านก็เห็นว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยต้องจัดภาษาตรีน”
บุ๊งเดือด กัดฟันกรอด คณินเดินนำกลุ่มผ่านหน้าบุ๊ง
“ต้องขอบคุณทุกท่านมากเลยนะครับที่มาร่วมงานแจกตีน เฮ้ย งานเปิดตัวหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงในวันนี้”
“พี่เส็งดีกับพวกเรามาตลอด เราเลยไม่ปฏิเสธ พอรู้ข่าวก็มาทันที” หัวหน้าแก๊งกระต่ายป่าบอก
“เราก็ทำการค้ากันอยู่ ถือเป็นพี่น้องกัน” จั๊วหัวหน้าแก๊งพังพอนพูดเสริมอีกคน
คณินเหลือบมองที่เอวจั๊วมีมีดเหน็บอยู่ บนด้ามมีดประทับตราเดียวกันกับที่คนร้ายใช้แทงเขา แววตาเขากระตุกเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร คณินเหลียวมองบุ๊ง
“เราน่าจะได้ดื่มกันสักยกสองยกนะครับ น่าเสียดาย ผมมีธุระปะปังต้องจัดการ เอาเป็นว่า วันไหนฤกษ์ดี อยากมีเรื่องกันอีก เรามาสังสรรค์กันให้เบิกบานอุราไปเลยนะครับ”
คณินหัวเราะลั่นอย่างกับเจ้าพ่อใหญ่ คนอื่นช่วยหัวเราะเสริมบารมี บุ๊งหน้าแดงก่ำ เข้าไปในรถ บอกคนรถให้ขับออกไปอย่างเร็ว กริชยืนมองรถพ่อจนลับตาไป ก่อนจะถอนหายใจ คณินหันมาพูดกับกริช
“อย่าลืมคำพูดตัวเองนะน้อง ต่อไปต้องเดินตามหลังใคร”
“ไม่ลืมหรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ออมแรงให้”
“มันเป็นเรื่องของคุณธรรมน่ะ ไม่อยากรังแกคนอ่อนแอกว่า ฝากไปขอบคุณป๊าแกด้วยนะ ที่ทำให้รู้ว่าการจะได้อะไรมานั้น มันไม่ง่าย”
คณินขึงขัง เดินจากไป กริชมองตามคณิน ชื่นชมลึกๆ

ที่โรงตีมีดของจั๊ว คนงานกำลังตีมีด จั๊วตรวจดูมีดด้ามใหม่ที่เพิ่งตีเสร็จ ก่อนส่งให้เทียน ลูกชายดูต่อ คณินเดินเข้ามา มองมีดหลากหลายรูปแบบวางเรียงกันอยู่ จั๊วและเทียนหันมาเห็นคณิน
“ป๊าเคยบอกว่า ถ้าจะหามีดดีๆ สักเล่มให้มาที่นี่”
“ยินดี เชิญเข้ามานั่งก่อน”
คณินล้วงมีดที่ตัวเองเก็บไว้ออกมา แล้วยื่นให้จั๊วดู
“อยากได้แบบนี้ครับ”
จั๊วรับมาดู รู้ทันทีว่าของใคร เขายื่นคืน
“ทำไม”
“ผมอยากรู้ว่า ใครเป็นเจ้าของมัน”
“เสียใจด้วย อั๊วะจำไม่ได้”
“มันอยู่ในมือของนักฆ่าคนหนึ่ง เฮียไม่คิดเหรอว่า”
“เราตีมีดขาย ส่วนคนซื้อจะเอาไปทำอะไร มันไม่ใช่หน้าที่เราต้องไปตามดู”
“เฮีย ผมแค่”
“ถ้าหมดธุระแล้ว เชิญ”

เทียนตัดบท คณินขัดใจ

คณินมาที่โรงพยาบาล พลางคุยกับกิตติ กิตติกำลังเล่าอย่างเมามัน
“ผมกระโดดถีบประตู พุ่งเข้าไปในห้องเถ้าแก่ แล้วลอยตัวถีบขาคู่ใส่มันไปเกือบสิบครั้ง แต่ฝีมือมันก็ใช่ย่อย ไม่รู้ศิษย์สำนักไหน ผมเกือบจะเสียท่าให้มันแล้ว แต่ผมเก่งกว่ามันเยอะ เลยจัดการมันซะหมอบ”
ลูกน้องตาลุกวาวเมื่อฟังกิตติเล่า คณินถามขึ้น
“แล้วไงต่อ”
“มันชักปืนออกมา ยิงเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ผมหลบห่ากระสุนของมัน ระหว่างนั้นมันชิงโอกาส วิ่งหนีออกจากห้อง ผมวิ่งตามไล่จี้ จากชั้นสี่ ลงไปชั้นสาม ไล่ไปตามบันได”
“สรุปคือมันหนีไปได้ใช่มั้ย”
“มันค่อนข้างวิ่งเร็วครับ”
“เห็นหน้ามันมั้ย”
“ไม่เห็นครับ มันปิดปาก เหลือแค่ลูกกะตา”
“แล้วจำตามันได้มั้ย”
“ก็คุ้นอยู่ครับ ผมว่า ผมต้องเคยเห็นหน้ามันมาก่อนแน่ ต้องเป็นคนใกล้ตัวเราแน่ครับๆ”
กิตติมองลูกน้อง 4 คน ลูกน้องสะดุ้ง หลบสายตากันพัลวัน คณินตัดบท
“เอาเถอะ ยังดีที่มันทำอะไรป๊าไม่ได้ ต่อไปพวกนายมีหน้าที่เฝ้าเถ้าแก่ทั้งสองคนและคุณหนูไม่ให้คลาดสายตา ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล รายงานทันที”
คณินเห็นเส็งนอนอยู่บนเตียง มีซกเค็งและวิภาดานั่งเฝ้า

วิภาดายืนประคองซกเค็งซึ่งกำลังคุยกับคณิน
“ย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยรวม จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย”
“มะรืนนี้เราต้องจ่ายคารักษาป๊าแล้วนะเฮีย ทำไงดี”
“ก็ไปจ่ายให้เขาสิ เงินเยอะแยะ จะซื้อโรงพยาบาลยังได้”
“พูดเป็นเล่น”
“ไม่เชื่อใจเฮียเหรอ”
“แต่ไอ้บุ๊งมันยึดบ้านเราไปแบบนี้ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
“วิอยากให้ป๊าฟื้นมาดูว่าคนของป๊าทำอะไรกับเราบ้าง พวกหอกข้างแคร่ เลวทั้งพ่อทั้งลูก”
“ใจเย็นๆ ให้เฮียใจร้อนคนเดียวพอ ม้ากับวิไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่นาน ทุกอย่างจะดีขึ้น ผมสัญญา”
ซกเค็งจับมือลูกชาย
“ป๊าเชื่อมั่นในตัวลื้อนะ”
“ผมก็เชื่อมั่นในตัวป๊าเหมือนกัน อดทนรอวันนั้นด้วยกัน”
คณินมองใบหน้านิ่งสงบของพ่อที่ยังนอนอยู่บนเตียง นิ้วของเส็งกระดิกเบาๆ อีกครั้ง

แพนยื่นซองเอกสารให้คณิน คณินเปิดดู เห็นเป็นเอกสารที่หายไปก็แปลกใจ
“ทำไมเอามาคืนล่ะ”
“เก็บไว้ก็กินไม่ได้”
“ใครบอกกินไม่ได้ เงินทั้งนั้น สัญญาหนี้พวกนี้รวมๆ กันแล้วไปขอสาวได้เลยนะเนี่ย”
“มีแต่สัญญา แต่ถ้าลูกหนี้ไม่มีเงินจ่ายคืน มันก็เป็นแค่กระดาษ”
“ใช่ ลูกหนี้บางรายถึงจ่ายเป็นคนไง ส่งลูกสาวมาทำงานขัดดอกงี้”
“ฉันจะรีบหาเงินต้นมาจ่ายคืนคุณให้เร็วที่สุด ไม่ต้องห่วง”
แพนหันหลังให้จะเดินไป
“เดี๋ยวสิ”
แพนหันกลับมา เหนื่อยหน่าย
“ไม่ต้องรีบก็ได้”
“ต้องรีบ เพราะฉันเป็นตัวซวย อยู่ที่ไหน ที่นั่นเจ๊ง หัวหน้าตายหมด”
“ยอมตาย”
“แต่ ฉันคงไม่ยอมเป็นหนี้คุณไปตลอดชีวิตหรอก”
“ผมต้องทำยังไง คุณถึงจะอยู่ข้างผม”
“คุณจะเก็บคนเลวอย่างฉันไว้ใกล้ตัวทำไม”
“เอาไว้”
คณินทำปากจะจูบ แพนของขึ้น
“ในหัวมีแต่เรื่องนี้”
แพนเดินหนีไป คณินจูบลมเสียงดัง มองตามหลังแพนไปด้วยความผิดหวัง
“อยากจะเกลียดอยู่เหมือนกัน แต่มันทำไม่ได้”

กิตตินั่งโต๊ะในโกดังข้าว จ่ายเงินให้คนงานที่ยืนต่อแถวยาวเหยียด ไทขยับเข้ามายืน รอรับเงินเป็นคนต่อไป
 
กิตติเงยหน้ามอง
“ขอบใจนะ ที่ยังอยู่ช่วยงานคุณคิม”
“ผมไม่ไปไหนหรอก”
คณินเข้ามาตบบ่าไท ขอบคุณ พลางประกาศเสียงดังมั่นใจต่อหน้าคนงาน
“เอาล่ะ ทุกคน นับจากนี้อีกเจ็ดวัน โรงสีจะเปิดทำการตามปกติ ถ้าใครยังอยากจะทำงานที่นี่อยู่ล่ะก็ มาแต่เช้านะ ส่วนในระหว่างที่ฉันซ่อนแซมโรงสีอยู่ ถ้าใครอยากมาช่วย ก็มานะ ไม่จ้าง”
“อ้าว”
คนงานแปลกใจ
“แต่กินพุงกาง อาหารดี ฝีมือจากแม่ครัวชั้นหนึ่ง”
กิตติขึงขัง
“ผมนี่แหละ จะทุ่มสุดตัว เพื่อช่วยนายน้อยสร้างโรงสีที่ใหญ่ที่สุดในปากน้ำโพ ผมจะไม่ทิ้งนายน้อยไปไหนเด็ดขาด”
“ตามแต่สะดวกนะทุกคน ไม่ต้องเกรงใจ”
“ผมด้วยครับ”
ไทร้องบอก
“ขอบใจมาก”
คนงานคุยกัน บางคนพยักหน้า บางคนลังเล บางคนยกมือตอบรับจะมา คณินรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที

กลางคืน คณินยื่นกุญแจรถให้คนที่มาซื้อรถของเขาอย่างสุดแสนเสียดาย คนซื้อรถกระโดดขึ้นรถขับออกไปอย่างเร็ว คณินยืนมองรถเก๋งคันงามแล่นจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ลูกพ่อ”
กิตติลืมตัวตบบ่าคณินจนไหล่ทรุด พร้อมให้กำลังใจ
“มันไปดีแล้ว”
“อืม อยู่กับเราเสี่ยงเปล่าๆ ทั้งระเบิดทั้งปืน ที่น่ากลัวที่สุด ฉี่หมา หมาที่บ้านเยอะ”
คำว่าหมา กระแทกใส่หน้ากิตติ กิตติรู้ตัวว่าลามปาม เลยยิ้มแฉ่ง
“รถคันสุดท้ายแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แล้วจะมีคนขับรถไว้ทำไมอีกวะ จริงมั้ย”
“ครับ โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นแค่คนขับรถ แต่เป็นถึงผู้ช่วยมือขวาของคุณ”
“ผู้ช่วยมือขวา”
“ผมตั้งเอง ก็เห็นมีผมอยู่คนเดียว”
คณินตบบ่ากิตติแรงๆ
“ขอบใจมากนะ ฉันดูมีอำนาจสมกับเป็นหัวหน้าแก๊งเหยี่ยวแดงขึ้นเยอะเลย”
คณินเดินผิวปากออกไป กิตติขึงขังก่อนเดินตาม
“เพราะมีเราเป็นผู้ช่วย คุณคิมถึงดูดีไปด้วย”

มนชิตมีผ้าพันรอบศีรษะ นอนเจ็บอยู่บนแคร่ในห้องนอน หลินป้อนข้าวต้มไป ร้องไห้ไป เป้งเดินไปเดินมา
“ใครบังอาจมาทำคนดีอย่างลื้อ มันคนนั้นต้องตกนรกหมกไหม้”
“ลื้อจำหน้ามันไม่ได้เลยรึ แล้วแบบนี้จะเอาคืนมันได้ไง”
“ป๊าม้าไม่ต้องห่วง ถึงอั๊วจะไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่อั๊วจะพลิกแผ่นดินหามันให้เจอ อั๊วจะแล่เนื้อมันออกมาเป็นชิ้นๆ”
“อั๊วจะช่วยลื้อทาเกลือเอง”
“เอาเป็นว่า จะแล่เนื้อ ทาเกลือ เหยาะน้ำปลา รักษาตัวให้หายก่อน”
“เฮีย คืนนี้อั๊วคงไม่ได้อยู่ปรนนิบัตินะ อั๊วจะมานอนเฝ้าลูก”
“เฮ้อ ลื้อน่าจะมีเมียเป็นของตัวเองได้แล้วนะอามนชิต อีจะได้มาคอยดูแลลื้อ ไม่ใช่มาเอาเมียอั๊วไป เมียอั๊วสวย อั๊วหวง”
หลินเขินอาย มนชิตกังวล เพราะนึกถึงแพน

แพนที่แต่งหน้าจัด แต่งตัวเซ็กซี่นั่งอยู่ต่อหน้าบุ๊ง บุ๊งดื่มชาพลางเหล่มองแพนด้วยสายตากระลิ้มกะเหลี่ย แต่ดูถูกนิดๆ
“ลื้อพูดจริงรึ”
“ค่ะ ฉันอยากให้เสี่ยชดใช้หนี้ให้ แล้วฉันจะยอมเสี่ยทุกอย่าง”
“ยอมทุกอย่างเลย”
“แล้วแต่เสี่ยจะบัญชา อยากให้ทำอะไรก็บอก”
“แล้วไอ้คิม เอ๊ย ไอ้คุณคิม เอ๊ย คุณคิ้มอีจะไม่มาถอนหงอกอั๊วเหรอ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“จริงเรอะ”
“ว่าไงคะ เสี่ยจะช่วยเรารึเปล่า”
“เงินเล็กๆ น้อยๆ ทำไมอั๊วจะช่วยไม่ได้ แต่อั๊วไม่รู้ว่ามันจะแพงเกินรึเปล่าน่ะสิ”
บุ๊งลูบแขนแพน แพนสะดุ้งนิดๆ เพราะกลัว แต่ทำใจดีสู้เสือ
“เสี่ยจะทดลองงานก่อนก็ได้นะคะ ฉันยินดี”

บุ๊งตาโต กลืนน้ำลาย แพนข่มกลั้นความกลัว ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือผิด

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 4 (ต่อ)

บุ๊งเปิดประตูห้องนอนเข้ามา ให้แพนเดินเข้าข้างในมาก่อน
 
แพนสอดสายตามองหาโฉนดไปทั่วทุกซอกทุกมุม บุ๊งเปรี้ยวปาก มองแพนตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาหื่น
“หลังจากคุณนายเสีย เสี่ยไม่ยอมแต่งงานใหม่ คงรักคุณนายมากสินะคะ”
“อั๊วสาบานกะอีไว้จะไม่ตบแต่งรอบสอง แต่อีอนุญาตให้มีหนูๆ ได้”
บุ๊งพยายามจะเข้ามาหาแพน แพนหลบหลีกอย่างมีจริต
“ไปอาบน้ำก่อนสิคะ ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด เดี๋ยวแพนนวดให้ “
บุ๊งยิ้มร่า

คณินนั่งตรวจสอบเอกสารสัญญา และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรงสี หยิบสัญญาหนี้เป้งขึ้นมาดู
“เสี่ยเป้ง ยืมไปเยอะขนาดนี้ เอาไปทำอะไรวะ ยังไม่จ่ายต้นสักสลึง เฮ้ย กิตติ นายว่า”
คณินหันไป เห็นกิตติยืนหลับพิงฝาด้วยท่าเตรียมพร้อมสู้ น้ำลายไหล
“มีใครอยู่รึเปล่า”
เสียงเป้งดังขึ้น คณินจึงเดินไปเปิดประตูเอง
“เสี่ยเป้ง”
“แพนอยู่นี่รึเปล่า”
“กลับไปตั้งนานแล้ว”
“อียังไม่กลับ อาแพน ออกมาเดี๋ยวนี้”
“บอกว่าแพนไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ถ้าไม่อยู่นี่แล้วอีไปไหน โรงน้ำชาก็ยังซ่อมไม่เสร็จ”
“เสี่ยตามหาทั่วแล้วเหรอ”
“อีไม่มีที่ให้ไปนักหรอก ถ้าอีไม่อยู่ที่นี่ ไม่อยู่โรงน้ำชา แล้วอีจะไปไหน”
คณินนึกถึงกริช เขาจึงไปหากริชที่คณะเชิดสิงโต กริชฟังคณินบอกเรื่องแพนก็ตกใจ
“เปล่า แพนไม่ได้อยู่นี่”
“แน่ใจนะ”
“แต่ถึงจะอยู่ แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณคณินครับ”
“เกี่ยวสิครับ เพราะเธอเป็นลูกหนี้ผม ถ้าเธอเป็นอะไรไป หนี้ผมก็สูญสิ”
“ห่วงหนี้”
“เออ ห่วงคนก็ได้ ถ้าแพนไม่มานี่ แล้วแพนมีเพื่อนคนอื่นอีกมั้ย”
“มี”
“ใคร”
“น้องสาวคุณไง”
“ตัดไปเลย ถ้าไม่ใช่เพื่อน แล้วผู้ชายล่ะ”
“ไม่รู้”
“ตกลงแกรู้อะไรบ้างเนี่ย”
คณินเดินออกมาอย่างอารมณ์เสีย กริชตะโกนตามหลัง
“มีอยู่คนหนึ่ง”
คณินหันกลับไปมองกริช กริชชี้หน้าว่าเป็นคณิน ในขณะที่คณินเริ่มคิดถึงคำพูดของแพน
“ฉันมีวิธีเอาโฉนดคืนให้คุณ คุณไม่ต้องเสี่ยงขนาดนี้”
คณินหยุดเดิน มั่นใจว่าควรไปที่บ้านบุ๊ง

แพนกำลังหาโฉนดบริเวณลิ้นชักโต๊ะ ตั่ง หาพลางหันมองประตูห้องน้ำไปพลาง
“หนูแพนจ๊ะ เสี่ยกำลังจะออกไปหาแล้วนะ”
“ค่ะเสี่ย”
แพนหาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ไม่เจอ บุ๊งเปิดประตูห้องน้ำผาง อ้าสองแขน ตรงรี่เข้ามาจะรวบกอดแพน แพนแกล้งทำเป็นวิ่งหนี ไปอยู่อีกด้านของเตียง
“ตามมาจับแพนให้ได้สิคะเสี่ย”
“นั่นแน่ จะเล่นไล่จับก็ไม่บอก”
บุ๊งวิ่งไปหาแพน แพนวิ่งหนีไปอีกด้าน บุ๊งกระโดดเข้าไปรวบจับ แพนหนีได้หวุดหวิด บุ๊งไล่ล่า แพนสะดุดขาโต๊ะล้มลงนอนราบกับพื้น บุ๊งหัวเราะชอบใจ กระโดดตะครุบแพนบนพื้น แต่เธอไหวตัวทัน เลื่อนตัวออกอย่างเร็ว บุ๊งรวบจับเท้าของแพนไว้ได้
“ในที่สุด ลื้อก็หนีอั๊วไม่พ้น”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เสี่ยครับ มีคนมาขอพบครับ”
“บอกให้มันกลับไปก่อน”
“ไม่ทันแล้วเสี่ย เปิดประตูมาคุยกันหน่อย”
บุ๊งกับแพนตกใจเมื่อได้ยินเสียงคณิน
“ลื้อ”
“ไม่เปิดจะพังเข้าไปนะ”
“อั๊วจะแจ้งความว่าลื้อบุกรุก”
“ผมสั่งในฐานะหัวหน้าแก๊ง ถ้าไม่ออกมา มีปัญหาแน่”
บุ๊งเปิดประตูแล้วปิดอย่างเร็ว
“ไปคุยกันข้างล่าง”
“ก็ไปดิ”
คณินเหลียวมองประตู ก่อนจะก้าวขา บุ๊งเดินนำ
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“ผมเป็นหัวหน้า ผมเดินก่อน”
บุ๊งหยุด ให้คณินเดินนำ ลงบันไดไป แพนรอให้คณินกับบุ๊งออกไปจากหน้าประตู จึงล็อกประตูจนแน่นหนา วิ่งกลับมาที่เตียง แล้วนอนลงไป ค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปใต้เตียง แล้วหยิบซองใส่โฉนดออกมา
“เจอแล้ว”

แพนพับโฉนดใส่ในเสื้อชั้นใน จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนเปิดประตูออกจากห้องไป

คณินนั่งที่โซฟารับแขกอย่างสบายอารมณ์ บุ๊งนั่งตรงข้าม ทำหน้าไม่รับแขก
 
“มีธุระอะไรมิทราบ”
“ไม่มี”
“แล้วมาทำไม”
“ไม่บอก”
“ต้องการอะไร”
“เปล่า”
“รึว่ามาหาใคร”
แพนแอบๆ ซ่อนๆ ลงมาทางบันได ก่อนคลานอย่างเร็วไปนั่งที่หลังเสา คณินเห็นแพนนั่งแอบอยู่
“ไม่ได้มาหาใคร แต่มาหาเรื่อง”
บุ๊งทุบโต๊ะจนเจ็บมือ แต่ยังทำหน้าโหด คณินเห็นแพนคลานหนีออกจากบ้านไปจนสำเร็จ
“ได้ พรุ่งนี้ลื้อมีเรื่องเดือดร้อนแน่ แต่ตอนนี้ อั๊วไม่ว่างมีเรื่อง ออกไปจากบ้านของอั๊วได้แล้ว”
คณินลุกยืนแต่โดยดี จนบุ๊งงง
“ไว้มีเรื่องกันใหม่นะ ไปละ”
“อั๊วสัญญาว่าอั๊วจะเกลียดลื้อไปจนวันตายเลยอาคณิน”
“ด้วยความยินดี ขอบคุณนะครับ”
คณินออกจากบ้านไป บุ๊งเปิดประตูห้องนอนเข้าไป แล้วถลาจะกอดแพน แต่กลับกอดลม มองหาแพนทุกซอกทุกมุม แต่ไม่เจอ

แพนเดินอย่างเร่งรีบมาตรงหัวมุมถนน ก็ถูกคณินฉุดมือเข้ามาในมุมสลัว ทั้งคู่เผชิญหน้ากันในระยะใกล้ สบตากัน หัวใจเต้นแรง
“มันหน้าที่เธอเหรอ”
“ฉันมีส่วนผิด ฉันต้องรับผิดชอบ”
“ด้วยการเอาตัวเข้าแลก”
“ก็ มันเป็นวิธีถนัดของฉัน ฉันปลดกระดุมแค่เม็ดสองเม็ด ฉันก็ได้มาแล้ว”
คณินปล่อยมือแพนอย่างแรง จนแพนถลาไป
“เธอมันไม่รักตัวเอง”
แพนล้วงเอกสารจากในเสื้อออกมายื่นให้คณิน
“นี่ค่ะ”
“พ่อเธอเป็นห่วงแค่ไหน รู้รึเปล่า”
“เขาแค่กลัวว่าฉันจะหนีไป แล้วไม่มีใครยอมไปทำงานขัดดอกให้น่ะสิ รับไปสิคะ”
“ไม่รับ”
“ฉันไม่อยากมีอะไรติดค้าง อยากชดใช้กันให้หมดในชาตินี้”
“เสียใจด้วย ต่อให้คุณใช้เวลาทั้งชาติ คุณก็ชดใช้ให้ผมไม่หมดหรอก”
“ฉันทำอะไรให้คุณนักหนา”
“ไปเถอะ ผมจะไปส่งที่บ้าน”
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”
“อย่าอวดดีไปหน่อยเลย เก่งแค่ไหนคุณก็เป็นแค่ผู้หญิง”
“แล้วคุณเดินไปส่งฉันได้ทุกวันมั้ยล่ะ ถ้าคุณไม่รับ ฉันจะเอาไปให้วิภาดาพรุ่งนี้”
แพนเดินไป คณินเดินตาม
“ไม่ต้องตามมา”
คณินเดินนำแพนไป หญิงสาวมองตามอย่างโกรธๆ

แพนย่องกลับเข้ามาในบ้าน ไม่เห็นใคร เดินผ่านหน้าห้องมนชิต ซึ่งประตูแง้มเปิดอยู่ ก็เห็นเป้งและหลินดูแลมนชิตอย่างดี
“ลื้อหายไวๆ นะ อั๊วะมีลื้อเป็นความหวังเพียงคนเดียว”
หลินประพรมน้ำมนต์ใส่มนชิต จนลูกชายสะดุ้ง
“คนดีอย่างลื้อ สวรรค์ย่อมคุ้มครอง”
แพนถอนหายใจอย่างหนักอก
“คนดีของป๊าสินะ”

แพนส่ายหน้าระอาใจ

ตอนเช้า คณินกับคนงานช่วยกันซ่อมโรงสีอย่างขะมักเขม้น
 
ไทขนไม้อยู่ด้านล่าง คนงานทำงาน กระจัดกระจายเป็นจุดๆ คณินตอกตะปูอยู่บนหลังคา กิตตินั่งหันหลังชนกันอยู่ใกล้ๆ ประชดขึ้น
“ไม่อยากเชื่อเลยครับ ว่าจะมีคนงานมาช่วยซ่อมโรงสีเยอะขนาดนี้”
“เอาน่า แค่นี้ก็เยอะแล้ว ใครมันอยากจะทำงานฟรี”
“แต่เถ้าแก่มีบุญคุณกับพวกมันมากนะครับ”
“เรื่องปากท้องไม่เข้าใครออกใครหรอกกิตติ พวกเขาต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย”
“ทำไมนายน้อยถึงคิดจะทำโรงสีต่อล่ะครับ ในเมื่อนายน้อยไม่ได้อยากทำแต่แรก”
“นั่นสิ ทำไมต้องทำวะ”
“กลับไปอยู่เยาวราชกันมั้ยครับ ไปตั้งต้นใหม่ อยู่ใกล้แก๊งพี่แก๊งน้อง นายน้อยก็จะได้ทำงานธนาคารตามที่ตั้งใจด้วย ไม่ต้องมาขนข้าวเป็นจับกัง”
“แล้วพวกศัตรูมันไม่มีปัญญาตามไปฆ่าพวกเราที่โน่นใช่มั้ย”
“คงตามไปตั้งแต่วันแรกเลย”
“พรรคพวกที่เยาวราชก็ไม่ได้อยู่กันสนุกสนานหรอกนะ ไล่ฆ่าไล่ยิงกันทุกวัน ชีวิตเจ้าพ่อมาเฟียไม่มีวันสงบสุขจนตาย”
“แล้วทำไมนายน้อยยอมขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งล่ะครับ”
“เพราะฉันต้องปกป้องคนที่ฉันรัก”
กิตติเคลิ้ม เผลอทำค้อนหล่นลงไป ไทแบกไม้เดินเข้ามาพอดี ทุกคนร้องลั่น
“เฮ้ย”
ค้อนเกือบหล่นใส่หัวไท ไทกระโดดหลบแต่ไม่พ้น ค้อนกระแทกหัวไหล่อย่างแรง จนล้มลงเพราะตั้งหลักไม่ทัน ทุกคนทิ้งงาน กรูเข้าไปดูไท คณิน กิตติไต่ลงจากหลังคา ตามไปสมทบจุดที่ไทนอนอยู่
“เป็นไงบ้าง”
คณินถามด้วยความห่วงใย ไทกุมไหล่ไว้
“ไม่เป็นไรครับ”
คณินเข้าไป ถลกแขนเสื้อไทจนไหล่เปิด เผยรอยแผลเป็นที่เคยถูกแทง ตากระตุก ไทนึกได้ รีบดึงแขนเสื้อกลับ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ทำงานกันต่อเถอะ เดี๋ยวไม่เสร็จ”
คณินปรับสีหน้าให้เป็นปกติเหมือนกัน กิตติรีบบอกไท
“โทษทีนะ เดี๋ยวจะหายาให้”
“ผมมียาอยู่แล้ว”
ไทลุกหนี เดินหายไป กิตติขยับตัวมายืนใกล้คณิน กระซิบกระซาบ
“ผมสงสัยมัน”
“ใช่มั้ย”
“มันต้องชอบแพนแน่ เดี๋ยวต้องไปออเซาะให้แพนทายาให้”
คณินไม่พูดอะไร เดินไปช่วยคนงานขนอิฐ กิตติยังหรี่ตา สงสัยไทไม่เลิก

วิภาดาคนอาหารบนเตา แพนเดินเข้ามาในครัว
“แพน”
“คุยกันหน่อยสิ”
“เราทำอาหารอยู่”
“งั้นทำไป คุยไปก็ได้”
แพนนั่งลง ช่วยวิภาดาหั่นผัก
“วิโกรธเรามากใช่ไหม”
“สองสามวันแรกโกรธมาก แต่ตอนนี้ไม่ค่อยแล้ว”
“ถ้าเราเป็นวิ เราก็โกรธเหมือนกัน ถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง”
“แต่แพนไม่ได้ทำแบบนั้นใช่มั้ย”
“เราขอสารภาพว่า คนที่เราเอาโฉนดไปวาง”
“กริช”
“ใช่ ให้กริชไป มารู้อีกที อยู่ในมือเสี่ยบุ๊งแล้ว”
“เราเองก็พอจะรู้นิสัยของเสี่ยบุ๊งอยู่บ้าง”

“แต่ไม่รู้นิสัยกริชเหรอ”
 

วิภาดาไม่ตอบ หันไปคนอาหารต่อ แพนยื่นซองโฉนดให้
 
“วิเอากลับไปคืนป๊าวิเองนะ”
“โฉนด ไปเอาคืนมาได้ยังไงแพน”
วิภาดาตื่นเต้นดีใจ รีบนำโฉนดมาให้คณินที่โรงสี
“เราได้บ้านคืนแล้วเฮีย”
คณินรับโฉนดไป สีหน้าเย็นชา
“จำความผิดพลาดครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียนนะ คราวหลังถ้าคิดจะทำอะไร ต้องรอบคอบ มีสติ คิดให้หนัก”
“จ๊ะเฮีย หลาบจำจนตายเลย”
คณินหันไปมองที่มุมหนึ่ง ไม่ไกลกัน เห็นแพนช่วยตักอาหารแจกคนงานที่มาช่วยซ่อมโรงสี แพนยิ้มให้ไท พูดคุยกันอย่างสนิทสนม เขาหันมาถามน้องสาว
“ยังโกรธเขารึเปล่า”
“หมายถึงแพนเหรอ”
“จะใครซะอีก”
“ไม่ได้โกรธตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าแพนเป็นคนยังไง ถ้าจะมีใครทำร้ายเรา คนนั้นไม่ใช่แพน”
“ทำไมเชื่อใจเขาขนาดนั้น”
“ก็ดูอย่างตอนนี้สิ แพนยอมเสี่ยงไปขโมยโฉนดมาให้ อย่างวิทำแบบแพนไม่ได้”
“ไม่รู้สิ ไม่อยากตัดสินตอนนี้ ขอดูไปอีกสักพัก”
“งั้นวิไปบอกข่าวดีม้าที่โรงพยาบาลก่อนนะ”
“อืม ฝากดูแลป๊ากับม้าด้วยนะ ช่วงนี้ เฮียต้องจัดการเรื่องบ้านกับโรงสีก่อน”
“ได้จ้ะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะทำหน้าที่ลูกสาวให้ดีที่สุด”
คณินลูบศีรษะวิภาดาอย่างเอ็นดูสงสาร
“อดทนก่อนนะ”
แพนหันมามองคณิน ทั้งคู่สบตากันอย่างมีความหมาย

แพนตักอาหารเพิ่มให้ไท กิตติเหล่มอง หมั่นไส้นิดๆ
“ขอบใจนะแพน”
“กินเยอะๆ จะได้มีแรงทำงาน”
กิตติเดินมานั่งลงใกล้กับไท พร้อมจานข้าวในมือที่ยังพูนเป็นภูเขา
“ที่ไม่อยากไปทำงานที่อื่น เพราะติดใจอะไรแถวนี้รึเปล่า”
“ติดหนี้บุญคุณมากกว่า เถ้าแก่มีบุญคุณกับผม”
คณินเดินลูบท้องเข้ามา เหล่มองแพน
“หอมจังเลย มีอะไรกินบ้าง”
“อร่อยทั้งนั้นครับ เดี๋ยวผมตักให้”
“ไม่ต้อง มีมือ ตักเองได้”
คณินมองแพนว่าจะลุกไปตักข้าวให้เขาหรือไม่ แต่แพนไม่ลุก ไม่สนใจ หันไปคุยกับไทต่อ
“ไม่คิดถึงบ้านเหรอ”
“ไม่มีบ้านให้คิดถึงหรอก เราเป็นเด็กกำพร้า”
“งั้นคนที่เลี้ยงนายมาล่ะ”
“เราไม่เคยลืมเขา”
คณินตักทุกอย่างจนล้นจาน แล้วถือจานข้าวมานั่งกับแพนและไทด้วย
“จีบกันไปนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
แพนมองคณินตาขวาง ลุกเดินออกไป คณินมองตามแพน
“ทำแบบนี้หมายความว่าไง”
“ถ้าไม่เกลียดก็เหม็นขี้หน้าครับ”
“กินไม่ลงว่ะ”
คณินวางช้อน ลุกตามแพนไป ไทมองตามอย่างเย็นชา กิตติก้มเข้ามาต่อหน้าไท แล้วมองตาตรงๆ ไทตกใจ รีบหลบสายตา กิตติชี้หน้า
“แก แกใช่มั้ย”
“อะไร”
“สายตาของแกมันบ่งบอกว่าแกคิดไม่ซื่อ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรนะ”
ไทจับมีดที่ขอบกางเกง
“แกชอบแพนใช่มั้ย สารภาพมาซะดีๆ”
ไทอึ้ง ปล่อยมือที่จับมีด มาจับช้อนกินข้าวต่อ
“ขอเตือนนะโว้ย ก่อนจะจีบแพน ข้ามศพนายกูไปก่อน”
กิตติชี้หน้าไท แล้วเดินออกไปอย่างขึงขัง ไทถอนใจโล่งอก

แพนเดินนำเข้ามาในโรงสี คณินเดินตามจนถึงตัว คว้าข้อมือแพนไว้ แพนจะสะบัด
“ไปด้วยกันหน่อย”
“ไปไหน”
“บ้านเธอ”
“ไปทำไม”
“ไปขอเธอ”

แพนตกใจ

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 4 (ต่อ)

คณินดึงแพนเข้ามาชิดตัว ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง
 
“อยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมอยากได้มาอยู่ใกล้ๆ”
“ทำไม”
“เพราะจะได้จับตามองเธอทุกฝีก้าวยังไงล่ะ”
“จับตามอง”
“ใช่ คราวนี้จะคิดทำอะไรก็คงลำบากแล้วล่ะ”
“ไม่ขังฉันไว้ซะเลยล่ะ”
“ไม่เลว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะ”
คณินแกล้งก้มหน้าเข้าหาแพน เธอทั้งโกรธทั้งกลัว ดิ้นรนให้ตัวเองหลุดจากมือของคณิน แต่ไม่สำเร็จ
“ถ้างั้นก็ไปขอฉันเลยสิ”
“ไปแน่ แต่ขอมาเป็นเมียเก็บ ไม่ตบไม่แต่งหรอกนะ กลางวันก็ทำงานในครัว กลางคืนทำงานบนเตียง”
แพนตบหน้าคณินไปเต็มแรงด้วยความโมโห คณินยิ้มซาดิสม์ เลือดซึมมุมปาก
“บนเตียงที่พูดนี่ หมายถึงคอยดูแลป๊าฉัน”
“อ้าว”
“แห้งอย่างกับไม้กระดาน คิดว่าฉันพิศวาสมากนักรึไง”
โทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานเส็งดังขึ้น หงส์โทรมาบอกเรื่องสุงตาย คณินคว้าโทรศัพท์มารับ พอรู้ว่าเป็นหงส์ ก็ปั้นเสียงระรื่นทันที
“ว่าไงน้องหงส์ กำลงคิดถึงอยู่พอดีเลย”
แพนคิดว่าแฟนคณินโทรมาเลยงอน ชักสีหน้าใส่ คณินฟังหงส์บอกเรื่องพ่อเสีย
“อืม เฮียจะไปให้เร็วที่สุด”
คณินวางโทรศัพท์ จากสีหน้าระรื่น เปลี่ยนเป็นเครียด แล้วเดินออกไป
“น้องหงส์ คงจะสวยมากล่ะสิ ถึงต้องรีบไปหา”
แพนมองด้วยความหมั่นไส้ปนงอน

ซกเค็งนั่งไหว้เทพเจ้าในศาลปากน้ำโพอย่างสงบนิ่ง เพื่อขอพรให้สามีฟื้นโดยเร็ว อยู่ๆ เสียงเสี่ยงเซียมซีดังขึ้นอย่างแรง ซกเค็งลืมตาด้วยความตกใจ เห็นมนสิชาที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังสะบัดกระบอกเซียมซี หัวโยกหัวคลอน จนเซียมซีกระเด็นออกจากกระบอก 1 อัน
“ได้แล้ว หมายเลขสิบเอ็ด เนื้อคู่จงมา เนื้อคู่จงมา เพี้ยง”
ซกเค็งแอบส่ายหน้านิดๆ หันมาไหว้เทพเจ้า ขอพรต่อ มนสิชาลุกไปหยิบใบเซียมซีมานั่งอ่าน
“บุพเพอาละวาด ไม่คลาดแคล้ว ฉันกำลังจะได้เจอเนื้อคู่แล้ว”
เพื่อนหันมาหา
“ไหนๆ จริงด้วย รวยหรือจน”
“ต้องรวยสิ สวยอย่างฉัน ต้องเป็นคุณนายเท่านั้น”
“แล้วคู่หมั้นเธอล่ะ”
“แหยะ ทั้งจนทั้งกระจอก ฉันไม่มีทางแต่งงานด้วยหรอก”
ซกเค็งลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“นี่แม่หนู ถ้าอยากจะสบายก็ต้องขยันๆ อย่ารอแค่วาสนา”
“เกี่ยวไรด้วย”
วิภาดาเดินเข้ามา
“ม้า กลับกันเถอะ เฮียมารับแล้ว”

ซกเค็งพยักหน้า หันมองมนสิชาอีกครั้ง มนสิชาสะบัดหน้าใส่ ไม่แคร์

วิภาดาประคองซกเค็งเดินออกมาจากในศาลเจ้า คณินยืนรออยู่กับกิตติและลูกน้อง 2 คน เดินไปรับแม่และน้อง
 
“ม้ามาสวดมนต์ทุกวันแบบนี้ อีกไม่นาน ป๊าต้องฟื้นแน่”
“ม้าทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากสวดมนต์ คอยดู ม้าจะสวดให้ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย”
คณิน ซกเค็ง วิภาดาเดินคุยกันออกมาประสาแม่ลูก
“ถ้ารู้ว่าป๊าลื้อจะเป็นแบบนี้ ม้าส่งลื้อเรียนหมอก็ดี”
“ถ้ารู้ว่าป๊าจะเป็นแบบนี้ ผมไม่ไปเรียนที่กรุงเทพฯก็ดี”
“ถ้ารู้ว่าเฮียยัง”
“วิ”
“ยังอะไร ทำไมไม่พูดให้จบ”
วิภาดาหัวเราะ
“คือเฮียเขา”
“ไม่มีอะไรม้า วิคงหมายถึงยังหล่อใสเหมือนเดิม หล่อมาก หล่อผ่าเหล่าผ่ากอ”
สามแม่ลูกหยุดเดินตรงหน้ากิตติที่ประตู้รั้วหน้าศาลเจ้า คณินกระซิบกับกิตติ
“ไปจัดการให้สิ้นซาก”
“น้อมรับคำสั่งครับผม”
กิตติรับคำสั่งแล้วเดินไปอีกทาง มนสิชากับเพื่อนเดินคุยกันออกมาจากศาลเจ้า โบกมือลากันแล้วแยกทาง มนสิชาเดินมาทางเดียวกับกิตติ
กิตติเดินเป่าปากอารมณ์ดีมาตามทางเดินริมฟุตบาท เห็นมนสิชาเดินตามหลังมาติดๆ อารมณ์ดีไม่แพ้กัน เพราะกำลังจะได้เจอเนื้อคู่
“เนื้อคู่ของฉัน หน้าตาเป็นยังไงนะ”
กิตติปวดท้องร่ำๆ พยายามกลั้นไว้ แต่สุดท้ายก็ผายลมออกมาจนได้ มนสิชาเดินตามหลังได้กลิ่นเหม็นเหมือนศพตายก็หน้านิ่วคิ้วขมวด สูดจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นซากศพ”
กิตติโล่งสบายท้อง นึกว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เลยผายลมซ้ำอีก
“กินของดีแล้วเป็นแบบนี้ทุกที”
มนสิชาตกใจตาเบิกโพลง เหม็นจนสุดกลั้น หันไปอาเจียนใส่ต้นไม้ข้างทาง กิตติได้ยิน หันกลับไปมอง เห็นคนไม่สบายก็ตกใจ ความที่เป็นคนดีมีเมตตา วิ่งรี่เข้าไปหาเธอทันที
“คุณครับ เป็นอะไรรึเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
มนสิชายังอาเจียนไม่เลิก กิตติจะเข้าไปลูบหลังให้ ก็ดันเผลอผายลมเสียงดังออกมา มนสิชาตาเหลือก กลิ่นเดิมนี้ที่เคยสูด หันมาทางกิตติ แล้วอาเจียนพุ่งใส่กิตติเต็มหน้า
“เฮ้ย”
“แก แก แกทำให้ฉันตายทั้งเป็น”
มนสิชาถีบหน้าท้องกิตติโครม กิตติก้นกระแทกพื้น จนทำให้สิ่งที่อั้นไว้พังพินาศ ส่งกลิ่นไปทั่ว มนสิชากรีดร้อง วิ่งหนีไปเหมือนโดนผีหลอก หน้ากิตติเลอะไปด้วยอาเจียนของมนสิชา

แพนกำลังซักผ้าอยู่หลังบ้าน คิดกังวลเรื่องหงส์
“หงส์ หงส์ หน้าตาเป็นยังไงนะ”
แพนอารมณ์เสีย หึงไม่รู้ตัว ขยี้ผ้าด้วยความแรงจนผ้าขาด
“ว้าย”
ระหว่างนั้นหลินร้องโวยวายดังมาจากในบ้าน
“ลื้อเป็นอาราย”
มนสิชาวิ่งออกมาหลังบ้าน ตรงที่แพนซักผ้า แล้วอาเจียนใส่กะละมังไม่หยุด หลินวิ่งมาลูบหลัง ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าหนูจะ”
“ท้องเหรอ”
แพนอุทานอย่างตกใจ
“ปากหมา อาสิมันไม่ร่านไม่แรดเหมือนแกซะหน่อย”
มนสิชายังคงอาเจียนต่อจนหมดไส้หมดพุง หมดเรี่ยวแรง หลินประคองลูกสาวแล้วกอดไว้แน่น ร้องไห้ แพนส่ายหน้าระอา เข้ามาจะช่วยหิ้วปีกมนสิชา หลินตีมือแพน
“เอามือสกปรกๆ ของลื้อออกไป”
“ตามใจน้าแล้วกัน งั้นก็นั่งกันตรงนี้แหละ”
แพนสะบัดหน้าใส่ ทำท่าจะลุกไป
“เออๆ มาช่วยพยุงหน่อย อีไม่สบาย สงสัยจะแพ้อาหาร”

แพนหันกลับมาช่วยหลินพยุงมนสิชา ถูลู่ถูกังพากลับเข้าบ้าน

ตอนเย็น กิตติตัวเปียกเพราะล้างตัวมาแล้ว
 
ยืนคุมคนงานให้ขนเครื่องโถโอชามจากในบ้านคณินมาขึ้นรถกระบะที่จอดรออยู่หน้าบ้าน คนงานขนพลางอุดจมูกเหม็นกลิ่นอุจจาระที่ยังหลงเหลือตามเนื้อตัวกิตติไปอย่างทรมาน
“ระวังๆ หน่อย ของดีจากเมืองจีนทั้งนั้น นั่นโถยุคจิ๋นซี นี่ชามใบโปรดของพระนางซูสีไทเฮา เบาๆ นั่นไหจากสมัยราชวงส์ฮั่น นายน้อยของพวกเราใจกว้างจริงๆ ตั้งใจจะเอาไปบริจาคพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด”
ตกดึก กิตติยื่นซองเงินหนาปึ้กให้คณิน
“ได้มาเท่านี้ครับ”
“พอค่ารักษาป๊าก็ถมเถแล้ว”
“ของลายคราม ของรักของหวงของเถ้าแก่ทั้งนั้นนะครับ”
“ของนอกกาย ไม่ตายก็ค่อยหาใหม่ ขอบใจมากนะที่เป็นธุระให้”
คณินฉุนจมูก รู้สึกว่ากิตติมีกลิ่นตุๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ยินดีครับ นายน้อยอยากให้ทำอะไรอีก บัญชามาเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“อาบน้ำบ้างรึเปล่า”
“เช้าเย็นครับ”
“ฟันล่ะ แปรงบ้างมั้ย”
“นี่คุณคิมเป็นห่วงผมถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
กิตติขยับตัวเข้าใกล้คณินอีกนิด
“เอ่อ ไม่ต้องเข้ามา เอาเป็นว่า นายกลับไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ฉันจะอยู่เวรเฝ้าป๊าเอง”
“ไม่ได้ครับ ผมจะละเลยหน้าที่ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว คุณคิมต่างหากที่ต้องกลับบ้านไปพักผ่อน”
กิตติเข้าสวมกอดคณินด้วยความรักและเทิดทูน
“หลับให้สบายนะครับหัวหน้า”
คณินผละตัวออกอย่างเร็ว รู้สึกพะอึดพะอม
“ถ้าไม่อยากถูกไล่ออก รีบไปอาบน้ำซะ”
คณินสั่งความเสร็จเดินไป กิตติงงว่าทำไมต้องไล่ไปอาบน้ำ คณินเดินไปที่ห้องพักคนไข้ เข้ามาที่ข้างเตียงของเส็ง เส็งยังคงหลับ ไม่ฟื้น
“ป๊า แปะสุง ไม่อยู่กับเราแล้วนะ”

ตอนเช้า กิตติคุมคนงานซ่อมแซมโรงสีอย่างขะมักเขม้น แพนเดินเข้ามา มองหาคณิน แต่ไม่เจอ
“อ้าวแพน มาแต่เช้าเชียว วันนี้อู้งานได้นะ”
“ทำไมล่ะ”
“คุณคิมไม่อยู่ เธอไปกรุงเทพฯ”
“ไปกรุงเทพฯ ทำไมกะทันหันจัง”
แพนคิดในใจว่าคณินคงไปหาผู้หญิงที่ชื่อหงส์
“ถามอะไรหน่อยสิกิตติ”
“ว่ามา”
“รู้จักผู้หญิงที่ชื่อหงส์ ที่อยู่เยาวราชมั้ย”
“หงส์ อ้อ คุณหนูหงส์ ทำไมเหรอ”
“สวยมั้ย”
“สวยสิ สวยที่สุดในเยาวราช เขาพูดกันว่า คุณหนูหงส์เปรียบเสมือน ดอกโบตั๋นแห่งเยาวราช ถามทำไม รู้จักด้วยเหรอ”
“เปล่า แค่เคยคุยทางโทรศัพท์ เสียงเพราะดีเลยอยากรู้หน้าตาเป็นยังไง”
“เออ แพน ลืมบอก คุณคิมเธอสั่งเอาไว้ว่า ช่วงที่เธอไม่อยู่ แพนไม่ต้องมาทำงานที่โรงสี แต่ให้ไปดูแลเถ้าแก่ที่โรงพยาบาลแทน”
“อ้อ จ้ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
แพนหน้าไม่ดี คล้ายคนอกหักรักคุดโดยไม่รู้ตัว

กริชสอนเด็กๆ ในคณะสิงโตฝึกเป็นแป๊ะยิ้ม หลังจากที่ตายไป 3 คนเมื่อเดือนก่อน
“ทุกตำแหน่งในคณะ สำคัญเท่ากันหมด ขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้”
“ผมรู้มาว่าแป๊ะยิ้ม 3 คนก่อนหน้านี้ถูกฆ่าพร้อมกัน จริงรึเปล่าครับ”
“พร้อมกันเลยเหรอ ใครฆ่าพวกเขาหรือครับนาย”
กริชพยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉยที่สุด
“ไม่มีใครถูกฆ่าทั้งนั้น มันเป็นแค่ข่าวลือ พวกนั้นดื่มเหล้าแทนน้ำ ผลก็เลยเป็นแบบนี้ เอาว่าพวกลื้อ อย่าไปยุ่งกับอบายมุขทั้งหมดทั้งมวลนะ ตั้งใจฝึกซ้อม ทำมาหากินสุจริต”
บุ๊งเดินนำลูกน้องทั้งสี่ หน้าตาถมึงทึงเข้ามาจับคอเสื้อลูกชาย หน้าตาบ่งบอกความขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรง ขณะที่กริชรู้สึกเบื่อหน่าย
“ลื้อใช่มั้ย ที่คาบโฉนดไปให้ไอ้คิม”
“อะไรป๊า ตั้งแต่เราตัดขาดกัน ผมก็อยู่นี่ตลอด ไม่ได้โผล่ไปบ้านเลย”
“ถ้าไม่ใช่ลื้อแล้วใคร กล้าล้วงคองูเห่า”
“ใครก็ช่าง แต่นับว่ากล้าหาญมากที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อความถูกต้อง”
“ถูกต้องแต่ไม่ยุติธรรม ลื้อเคยเข้าข้างป๊าตัวเองมั้ย”
บุ๊งปล่อยคอเสื้อกริช เดินงุ่นง่านไปมา จนนึกบางอย่างออก
“ใช่แล้ว นังแพน นังแพนแน่ๆ”
“อะไรกันป๊า แพนไปเกี่ยวอะไร”
“ก็วันก่อนอีมาหาอั๊วะ แล้ว”
“แล้ว ป๊าไม่เว้นแม้แต่เพื่อนที่ดีที่สุดของผม”
“ช่วยไม่ได้ อีมาเสนอให้”

กริชไม่ฟังต่อ โกรธ เดินออกไป บุ๊งฟึดฟัด ต้องจัดการแพนให้ได้

แพนนั่งเฝ้าข้างเตียงเส็งเพียงลำพัง มองใบหน้าเรียบสงบของเส็งอย่างเห็นใจและสงสาร
 
“เถ้าแก่ ขอโทษนะ ที่ฉันทำงานไม่ค่อยได้เรื่อง ทำให้เถ้าแก่ขาดทุนหลายครั้ง”
นิ้วเส็งกระดิกนิดๆ เหมือนรับรู้ แพนก้มหน้าสารภาพต่อ
“บางที อาจเป็นเพราะฉันมันตัวซวย เลยทำให้คนที่อยู่ใกล้พลอยซวยไปด้วย”
เส็งค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเหม่อลอย เหมือนคนไร้สติ
“ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์ ขอพรให้เถ้าแก่”
มือของเส็งคว้าจับมือแพนไว้แน่น แพนตกใจ ได้สติ
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ฟื้นแล้ว”
เวลาต่อมา หมอบอกอาการของเส็งให้วิภาดาและแพนฟัง
“หลังจากที่ฟื้น เราพบว่า คนไข้มีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำ ตอนนี้คนไข้คิดว่าตัวเองยี่สิบกว่าๆ ครับ”
“ยี่สิบ”
“เพิ่งมาจากเมืองจีน”
“เมืองจีน”
“เรายังไม่แน่ใจว่าอาการหนักแค่ไหน ต้องตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ตอนนี้ ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าพวกคุณทุกคนคือคนแปลกหน้าสำหรับคนไข้”
“ค่ะคุณหมอ ขอบคุณมากค่ะ”
วิภาดาเศร้าๆ หมอเดินออกไป แพนจับมือให้กำลังใจวิภาดา
“อย่าหมดหวังนะวิ อย่างน้อย เถ้าแก่ก็ฟื้นแล้ว เรื่องเขาจะจำเราได้รึเปล่า มันไม่สำคัญเท่ากับยังได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
“ขอบใจมากนะแพน เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความจำของป๊ากลับคืนมาให้ได้”
ทั้งสองยิ้มให้กัน กริชเดินเข้ามา วิภาดาหันไปเห็นก็สะบัดหน้าใส่
“เรากลับไปดูป๊าก่อนนะ”
วิภาดาเดินกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากเห็นหน้ากริช แพนหันไปถามกริช
“มีอะไรรึเปล่า”
กริชไม่สบายใจ
“แพนกับป๊า”
“ห้ามคิด มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราขโมย เอ๊ย ทำธุระเสร็จ ก็ออกมา”
“นึกว่าจะได้เพื่อนเป็นแม่เลี้ยงซะแล้ว”
“สบายใจได้ เราปลอดภัยดี ไม่มีอะไรบุบสลาย”
“คงสบายใจไม่ได้หรอก เพราะท่าทางป๊าโกรธแพนมาก บางทีตอนนี้อาจกำลังคิดแผนเล่นงานแพนอยู่ก็ได้”
“ป๊านายเป็นพวกกัดไม่ปล่อย ทำไมเราจะไม่รู้ แต่เราไม่มีทางเลือก”
“ที่ยอมเสี่ยงขนาดนี้เพราะเขาเหรอ”
“เพราะเราต่างหาก เราเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เราไม่อยากรู้สึกผิดไปจนวันตาย อีกอย่าง เราสงสารเถ้าแก่เส็ง”
“อืม เชื่อก็ได้ แล้วอาการเถ้าแก่เส็งเป็นไงบ้าง”
“ฟื้นแล้ว”
“วิคงดีใจนะ”
“แต่ยังฟื้นไม่หมด”
“ฟื้นไม่หมด คืออะไร”

แพนยิ้มเหนื่อยใจ

เลือดมังกร : แรด ตอนที่ 4 (ต่อ)

ซกเค็งร้องไห้โฮเมื่อรู้อาการของเส็งจากวิภาดา
 
“โธ่เฮีย ไม่น่าเลย”
เส็งนอนลืมตา มองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“พวกลื้อเป็นใคร”
วิภาดาประคองซกเค็งไว้ ไม่ให้ล้มทั้งยืน
“มันเวรกรรมอะไรของเรา ทำไมเราต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้”
“ใจเย็นๆ นะม้า ป๊าเพิ่งฟื้น ให้เวลาป๊าหน่อย”
“ป๊าลื้อใจร้าย ใจร้ายกับอั๊วที่สุด”
ซกเค็งวิ่งออกจากห้องไปอย่างร้าวราน
“นังนั่นมันเป็นใคร อย่าให้มันเข้าใกล้อ๊วเด็ดขาด อั๊วกลัวมันกัด”
“ป๊า”
“ใครป๊าลื้อ อั๊วเพิ่งมาจากเมืองจีนเมื่อวานนี่เอง”
วิภาดากลุ้มใจ

มนชิตยังมีผ้าพันหัว เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปมาหน้าลูกน้องทั้ง 6 คน รวมทั้งไท
“อั๊วต้องรู้ให้ได้เลยว่าหมาตัวไหนมันลอบกัดอั๊ว อั๊วจะแล่มันเป็นชิ้นๆ”
ไทหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าใหม่ ทำหน้าเย็นชาปกติ
“อีกไม่กี่วัน โรงสีของไอ้คิมจะเปิดแล้วนะครับ เอาไง”
“ถ้ามันอยากเปิดนักก็ให้มันเปิดไป ให้มันได้มีโอกาสใช้เงินก้อนสุดท้ายของมัน”
“ได้ยินมาว่า เสี่ยเส็งฟื้นแล้วด้วย”
มนชิตฟาดเปรี้ยงไปบนหน้าไทจนเลือดกบปาก
“เพราะทำงานกันแบบนี้ไง นายเลยต้องส่งนักฆ่าคนใหม่มา”
“นักฆ่าคนใหม่ ใคร”
ลูกน้องเข้ามารายงาน มนชิตพยักหน้าอนุญาตให้คนๆ นั้นเข้ามาพบได้ โอชิน นักฆ่าสาวสวยสุดเซ็กซี่ แสนเย็นชาในชุดกิโมโนเดินเข้ามา ทุกคนมองตะลึง ไม่คิดว่านักฆ่าจะสวย เซ็กซี่ ขนาดนี้ มนชิตหรี่ตาดูถูก
“ผู้หญิง”
“ไฮ้”
“ชื่อล่ะ”
“กรุณาตั้งให้ด้วย”
“หึๆ โมจิ โมจิก็แล้วกัน”
ทุกคนหัวเราะ
“ว่าแต่ เคยฆ่าคนจริงเหรอ”
ทุกคนพากันหัวเราะขำ เว้นแต่โอชินที่รู้ว่าโดนลบหลู่ ยิ้มมุมปากเพียงนิด
“ถามว่าฆ่ามาแล้วกี่คนจะดีกว่า”
มนชิตส่งสายตาให้ลูกน้อง 5 คนเข้ารุมโอชิน เพื่อแกล้งมากกว่าจะทดสอบ แต่ภายในพริบตาเดียว ลูกน้องทั้งห้าสลบเหมือด มนชิตกับไทมองหน้ากัน
“เอาล่ะ ฉันจะให้เธอไปทำงานที่โรงน้ำชา จะเป็นกระหรี่ อีตัว หรือนักร้อง ก็เลือกเอา แต่เตือนไว้ก่อน เธออยู่ที่นี่ในฐานะผู้หญิงธรรมดา อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเธอเป็นตัวอะไร”
ไทรู้สึกแปลกๆ กับแววตาคลั่งแค้นเย็นชาน่าขนลุกของโอชิน

คณินเคารพศพสุง จากนั้นก็ไปที่ภัตตาคารฉั่วเทียนเหลา หยกมณีเพิ่งร้องเพลงเสร็จ เดินเข้ามา เห็นคณินก็ทำตาหวาน เยาะเย้าอย่างคนคุ้นเคย
“น้องหยกของเฮีย”
“ปากหวานตลอด หายไปไหนมาตั้งนาน ไม่เห็นมาฟังหยกร้องเพลงเลย”
“ถึงตัวไม่มา แต่ใจเฮียก็อยู่กับหยกเสมอ”
“โกหก”
“ใช่ โกหก”
“นั่นปะไร มาหามีอะไรจะใช้ใช่มั้ย”
“น้องหยกฉลาดที่สุด เฮียเลยคิดถึงน้องหยกเสมอเวลาที่เฮียเหงา อยากได้คนเข้าใจ”
“อย่าพิรี้พิไร มีหนุ่มรอคุยเพียบ ไม่ว่างมาให้แทะโลม”
คณินยิ้มร่าเดินเข้ามาใกล้หยกมณี แล้วกระซิบกระซาบ
“ได้มั้ย”
“ทองกี่เส้น”
“แล้วแต่หยก”

“ได้ ว่างแล้วจะติดต่อไป”

ทั้งคู่ทำเหมือนจะจูบกัน แต่กลายเป็นหยกตีปากหยอกเย้าคณินแทน แล้วเดินสะบัดออกไป คณินมองตามตาหวาน

คณินมาที่ศาลเจ้าเยาวราชนั่งดื่มชาอยู่กับซินแสง้วง
“อาสุงไปก่อน อีกไม่นานคนอื่นๆ ก็ทยอยตามๆ กันไป”
คณินถอนหายใจเหนื่อยๆ
“ก่อนป๊าจะเกิดเรื่องร้าย ผมรินชาให้ แล้วก็ส่งให้ป๊าแบบนี้”
ซินแสง้วงสะอึก กระพริบตาปริบๆ ลังเลเล็กน้อยก่อนหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ
“ใช่ อาจเป็นอั๊วต่อจากอาสุงก็ได้ ชีวิตคนเรา ไม่แน่นอน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ สำคัญคือเราต้องผ่านมันไปให้ได้”
“ผมกลัวว่าผมจะมีความอดทนไม่พอน่ะสิ”
“ถ้ากลัวตั้งแต่เริ่มทำ ก็ไม่ต้องไปฝันถึงงานใหญ่ ศัตรูคนสำคัญของลื้อก็คือตัวลื้อเอง”
“ผมถึงเกลียดตัวเองไง มียาแก้ปากหมามั้ย”
“หือ อะไรของลื้อวะ”
“มันเป็นอุปสรรคใหญ่ของชีวิต ถ้าแก้ได้ ชีวิตน่าจะดีขึ้น”
“หมาบางตัวยังดีกว่าคน หมามันซื่อสัตย์ มันรักนาย ถ้าลื้อปากหมาแล้วใจยังหมาด้วย ลื้อก็ยอดคนแล้ว”
“นี่พูดจริงหรือพูดเล่น”
“ไม่รู้ คิดเอาเอง”
“งั้นไม่ขอเป็นยอดคน ขอเป็นคนธรรมดา ที่ยิ่งใหญ่พอ”
“หึๆ ไม่หวังสูงเลยนะ”
“อย่าต่อว่าเขาสิ เดี๋ยวไม่รักเลยนี่”
“ไม่ต้องมารักอั๊ว เอาหัวใจหมาๆ ของลื้อ ไปรักคนของลื้อเถอะ”
“สรุปคือ ซินแสให้ผมอดทนเหมือนหมาใช่มั้ย ทุกอย่างจึงจะสำเร็จลุล่วง”
“ลื้อเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้ว”
ซินแสง้วงดื่มชาจนหมดถ้วย
“เดี๋ยวอั๊วไปเติมน้ำร้อนให้”
คณินครุ่นคิดว่าจะเชื่อซินแสดีหรือไม่

เป้งแทงไฮโลเสียแล้วเสียอีก จนหมดตัว โดนกินเรียบทุกตา คิดว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะถอนทุนคืนได้บ้าง เขาเห็นบุ๊งเดินเบ่งเข้ามา พร้อมลูกน้อง 4 คน ในฐานะเจ้าของบ่อน เป้งเกิดประกายความหวัง จึงไปหาบุ๊งที่ห้องทำงาน บุ๊งหรี่ตามองเป้ง ด้วยสายตาดูแคลน แกล้งถามย้ำ
“ลื้อว่าไงนะ”
“จะให้พูดสักกี่ครั้ง”
“จะเอาเท่าไหร่ล่ะ”
“สามพัน”
“กระจอก อั๊วให้ได้ แต่ลื้อต้องส่งคืนทั้งหมดภายใน 3 วันนะ”
“สามวัน”
มนชิตเพิ่งตบคนเลือดกระฉูดเสร็จ เดินเช็ดเลือดผ่านมา ได้ยินเสียงพ่อเลยหยุดฟัง
“ถ้าตกลงตามนั้น ลื้อมาเอาเงินไปเลย แต่ถ้าไม่”
“เอาสิ เอาอยู่แล้ว แต่ถ้าอั๊วคืนไม่ได้ภายใน 3 วันล่ะ”
“ลูกสาวลื้อเป็นของอั๊ว”
มนชิตตกใจตาลุกวาว
“คนโตใช่มั้ย”
บุ๊งหัวเราะชอบใจ
“รู้ใจจริงๆ อั๊วชอบอี แสบดี อยากได้มารับใช้ ไม่ได้จะเอามาทำไรหรอก”
“ไหนตอนแรกว่าของราคาตก”
“ใช่ แต่ตอนนี้ อีต้องเป็นของอั๊ว อั๊วอยากให้หมาบางตัวมันดิ้นพราดเหมือนโดนน้ำร้อนลวก”
“ก็ได้ ถ้าอั๊วไม่คืนให้ภายในสามวัน ลื้อเอาแพนไป หามาเพิ่มอีกเป็นห้าพันเลย”
มนชิตเครียด โกรธมาก เขาเดินไปขวางหน้าเป้ง เมื่อออกมาจากห้องทำงานบุ๊ง
“ป๊า”
“ไม่ต้องพูด อั๊วจะเล่นให้ชนะ”
“ป๊าเอาลูกในไส้มาวางเดิมพันเหรอ ชีวิตแพนมันไม่มีค่าเลยใช่มั้ย”
“ลื้ออย่าเซ้าซี้ให้มาก อั๊วบอกแล้วว่าจะเล่นให้ชนะ”
“ป๊าจะเล่นชนะรึเปล่า ไม่สำคัญ เพราะถึงยังไง ผมไม่ยอม”

มนชิตเดินไปอย่างฉุนเฉียว

แพนหยิบเงินเก็บมานับอีกครั้ง หลังจากถูกขโมยไปครั้งหนึ่ง
 
“ยังได้ไม่เท่าไหร่เลย ไปทำงานโรงน้ำชาไม่ได้ แล้วจะไปหาเงินเพิ่มจากไหน”
แพนครุ่นคิด
เช้าวันใหม่ แพนไปตลาด ซื้อมันเผาจากแม่ค้า เห็นข่าวสุงตายจากกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมันเผา เลยอ่านเล่นๆ
“เจ้าพ่อใหญ่เยาวราชดับ แต่งตั้งนายทรงกลด
เสียงเอะอะฮือฮานำมา แพนหยุดเดิน หันไปมองหาที่มาของเสียงด้วยใจระทึก ชาวบ้านมากมายกำลังมองอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว ชาวบ้านบางคนพอเห็นสิ่งนั้นก็รีบปิดตาลูกเล็กเด็กแดง ลากเดินหนีไป
“เกิดอะไรขึ้น”
แพนแทรกฝ่าฝูงชนเข้าไปจนถึงด้านหน้าของกลุ่มไทยมุง เห็นจั๊วหัวหน้าแก๊งพังพอนตายในสภาพถูกแขวนคอที่ต้นไม้ แพนตกใจกลัวเหมือนกับชาวบ้านอื่นๆ เทียนและคนแก๊งพังพอน 3 คนวิ่งเข้ามา พอเห็นสภาพจั๊วก็ช็อค แค้น บนหน้าผากของจั๊วประทับตรา แก๊งเหยี่ยวแดง เทียนกัดฟันกรอด
“แก๊งเหยี่ยวแดง ไอ้คิม”
แพนและชาวบ้านทุกคนตกใจมาก ถอยกรูออกไป เหลือแต่แพนที่ยืนอยู่ วิภาดากับกิตติเดินถือข้าวของพะรุงพะรังตามกันมา หันมาเห็น ทั้งคู่แปลกใจ รีบเดินเข้ามาดู แพนหันไปเห็นวิภาดา รีบเดินออกไปกันตัววิภาดาไว้
“ไปเถอะ”
“อะไรกันแพน ตรงนั้นมีอะไร”
“นั่นมันพวกแก๊งพังพอนนี่”
แพนพยายามลากวิภาดาออกไป แต่วิภาดาไม่ยอมจะเข้าไปดูให้ได้
“ไอ้คิ้ม”
เทียนแค้น
“มันเรียกชื่อนายน้อยทำไม”
“นั่นสิ”
“ไปเถอะวิ เราต้องไปเตรียมของไหว้แก้บนไม่ใช่เหรอ”
วิภาดาไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัย รีบเดินเข้าไปในเหตุการณ์ทันที แพนตกใจรีบวิ่งตามไปจนถึงตัววิภาดา กิตติแทรกฝูงชนตามมา วิภาดา กิตติ เห็นร่างของจั๊วห้อยต่องแต่งก็ตกใจ
“นายเรียกชื่อพี่ชายฉันทำไม”
เทียนหันมาเห็นวิภาดา โกรธมาก เดินเข้ามาจับตัววิภาดาไว้ แพนดึงตัววิภาดาออก กิตติเข้าผลักเทียนจนเซถลา
“แกไม่มีสิทธิ์แตะต้องคุณหนู”
เทียนไม่ฟัง เข้ามาจับแขนแล้วกระชาก แต่จับผิดกลายเป็นกระชากตัวแพนออกไปแทน แพนถลาไปอย่างแรง คณินถลาเข้ามากลางวง ช้อนร่างแพนไว้ก่อนถึงพื้น แพนตกอยู่ในวงแขนของคณิน ทั้งคู่มองตากันอย่างหวานซึ้ง เทียนแค้น
“ไอ้คิ้ม”
“เธอเรียกชื่อฉันเหรอ”
คณินถามแพน
“เปล่า”
“โกหก ฉันได้ยิน คิดถึงฉันล่ะสิ”
“บอกว่าเปล่า”
“ไอ้คิ้ม“
“ทำไมต้องขึ้นไอ้ ถึงจะโกรธที่ไปโดยไม่ลา แต่ไม่ควรนะ เรียกเฮียสิ”
“ไอ้เหี้ย”
คณินตาโต หันขวับ เห็นเทียนวิ่งตรงเข้ามาหาตัวด้วยท่ากระโดดเตะ คณินเร็วกว่าหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว โดยที่ยังมีแพนอยู่ในอ้อมแขนด้วย กิตติเข้าประจันหน้ากับลูกน้องของเทียนอย่างกล้าหาญ
“ได้เลือดแน่พวกแก”
ลูกน้องเทียนดึงมีดออกมา โยนเล่นไปมา ท้าทาย กิตติตกใจ
“สันดานหมาหมู่ยังไม่พอ นี่ยังใช้อาวุธ หน้าไม่อาย”
คณินถีบจนเทียนเซไปนอนคลุกบนพื้นดิน
“หยุดก่อนพี่ชาย ก่อนจะมีเรื่องกัน บอกหน่อยเถอะ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก แหกตาดูซะ”
เทียนชี้ไปที่ร่างของจั๊ว คณินหันไปเห็นก็ตกใจ
“ป๊าฉันตายเพราะแก”
คณินเห็นตราประทับบนหน้าผากศพก็แปลกใจ ว่าเป็นตราที่ถูกขโมยไป มนชิตยืนมองจากมุมหนึ่ง ยิ้มเยาะ เห็นคนตีกัน รู้สึกสนุกสนานอย่างบอกไม่ถูก
“จะบ้าเรอะ ฆ่าคนแล้วต้องประกาศให้โลกรู้ด้วย ว่าเนี่ยฝีมือกู”
เทียนลุกขึ้นยืน ปัดแข้งปัดขา ลูกน้องสามคนวิ่งมาขนาบข้าง กิตติวิ่งมายืนเคียงข้างคณินซึ่งยังจับมือแพนไว้ ตั้งท่าต่อสู้ กระดิกนิ้วเรียกให้ศัตรูเข้ามาอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่สำคัญว่าใครฆ่า แต่สำคัญคือเป็นคำสั่งของใคร”
“ตรานั่นสินะบอกความจริงกับนาย”
“ตรามันอยู่กับหัวหน้าแก๊ง แล้วลื้อจะให้อั๊วคิดว่าไง”
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอั๊วโดนมีดที่มีตราประทับของแก๊งพังพอนเสียบที่พุง ก็แสดงว่า คนสั่งการก็คือ หัวหน้าแก๊งพังพอนใช่มั้ย”
เทียนถึงกับชะงัก ที่คณินพูดก็ถูก
“ได้ อั๊วจะถอยก่อน แต่ลื้อต้องสืบมาให้ได้ว่าใครทำป๊าอั๊ว และจนกว่าจะรู้ตัวคนร้าย เราเป็นศัตรูกัน”
เทียนกับลูกน้องพากันเดินไปที่ร่างของจั๊ว จัดการเก็บศพ คณินผละจากแพน วิภาดา และกิตติ เดินไปที่ศพจั๊ว เคารพศพด้วยความจริงใจ เขามั่นใจว่าความจริงเกี่ยวกับเจ้าของมีดเล่มนั้นเป็นสาเหตุให้จั๊วตาย คณินมองที่ตราประทับบนหน้าผากของจั๊วด้วยความสงสัย
 
ตราอยู่ที่ใครในตอนนี้และอาจมีศพต่อไปในไม่ช้า

คณินเดินนำหน้าแพน วิภาดาและกิตติมาตามทางเดินในตลาด
 
“นี่ถ้าเฮียมาไม่ทัน พวกเราเละแน่เลย”
กิตติท้วง
“คุณหนูก็พูดเกินไป มีกิตติอยู่ด้วยทั้งคน กิตติคนนี้จะไม่ปล่อยให้คุณหนูเจ็บแม้แต่ปลายก้อย”
“อย่ามัวแต่พูดมาก จะไปซื้อของกันไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวตลาดก็วายหรอก”
คณินเหล่มองแพน แพนจับมือวิภาดา
“ไปกันเถอะวิ”
“เฮ้ย คือ แบบว่า อย่างนี้นะ”
“ดีเลย ไปช่วยเลือกพวกอาหารสดหน่อย วิไม่ค่อยถนัด”
แพนกับวิภาดาไม่ฟังคณิน พากันเดินออกไป คณินมองตามอย่างเว้าวอน กิตติกำลังจะไปอีกคน คณินจับคอเสื้อไว้
“ผมรู้นะครับ ว่าผมสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ ผมต้องทำหน้าที่ดูแลคุณหนู ปล่อยผมเถอะครับ”
“กลับบ้านไปก่อน ทางนี้ฉันดูแลเอง”
“คุณกลับมาเหนื่อยๆ”
“อย่าให้พูดเป็นครั้งที่สอง”
กิตติจะอ้าปาก หุบฉับแล้วหันหลังเดินไปแต่โดยดี คณินชะเง้อมองทางที่แพนและวิภาดาเดินไป
แพนกับวิภาดากำลังช่วยกันเลือกปลา กุ้งหอยอย่างเอาใจใส่ พิถีพิถัน คณินเดินมายืนซ้อนหลังสองสาวไว้ โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว จังหวะนั้นเอง แพนลื่นเกือบล้ม แต่คณินคว้าตัวไว้ได้ ทั้งคู่มองหน้ากันอีก แพนเกือบเคลิ้ม หากไม่ใช่เพราะคำถามของวิภาดา
“เออ จริงสิ เจ้หงส์เป็นไงบ้างเฮีย”
แพนสลัดตัวออกจากคณินทันที แล้วหันกลับไปเลือกปลา กุ้ง ใจคอไม่ดี หงุดหงิดเล็กน้อย คณินปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่ยังไงก็ต้องสู้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้”
แพนโดนเงี่ยงปลาแทงจนเลือดไหล
“อุ๊ย”
คณินคว้ามือแพนมาดูทันทีด้วยความเป็นห่วง แพนสลัดมือหลุด ชักสีหน้าใส่
“ไม่ต้อง”
แพนเดินออกไป วิภาดาถามอย่างงงๆ
“แพนเป็นอะไร ท่าทางหงุดหงิด”
“เหม็นขี้หน้าเฮียมั้ง”
วิภาดางงกับท่าทางและสีหน้าไม่พอใจของคณินเหมือนกัน

แพนเดินงอนๆ มาตามตรอกเล็กๆ ก่อนเลี้ยวตรงมุมตึก ก็โดนมือหนึ่งกระชากเข้าไป เธอตกใจเห็นเป็นมนชิต จึงพยายามสลัดแขนออก
“อย่าดิ้นสิแพน เฮียมีเรื่องจะพูดด้วย”
“ปล่อยก่อนสิ”
มนชิตยอมปล่อย
“ฟังนะ ป๊าขายแพนให้เสี่ยบุ๊งแล้ว”
“อะไรนะ”
“สามวันมานี้ ป๊าขลุกอยู่แต่ในบ่อน เสียจนไม่เหลืออะไรจะเสีย ก็เลย”
“ขายฉัน เท่าไหร่”
“ห้าพัน”
“ราคาฉันมันถูกจริงๆ”
“ไม่ต้องกลัว เฮียจะหาเงินมาไถ่ตัวแพนให้ได้ แต่แพนเป็นของเฮีย ว่าไง”
แพนกัดฟันกรอด ก่อนจะเข่าขึ้นกระแทกกล่องดวงใจของมนชิตอย่างแรง มนชิตร้องลั่น ตัวงอ ลงนั่งกองกับพื้น แพนอยากจะต่อยอีกสักทีสองที แต่ก็ไม่ทำ เดินออกไป

กิตติขับรถเข้ามาในบ้านคณิน ลูกน้อง 4 คนยืนเรียงหน้ากระดานรอรับนายกลับบ้าน แพน ซกเค็ง วิภาดาลงจากรถมายืนรอข้างรถอย่างลุ้นๆ คณินจับรถเข็นที่เส็งนั่งอยู่ไว้แน่น
“นี่บ้านอั๊วเหรอ”
คณินรู้จากวิภาดามาก่อนหน้านี้แล้วเกี่ยวกับอาการของเส็งจึงไม่แปลกใจอะไร ลองแกล้งดู
“เสียใจด้วย ป๊ายกบ้านนี้ให้ผมแล้ว”
ดวงตาของเส็งกระตุกเล็กน้อย
“พาอั๊วเข้าบ้าน”
“ได้ครับ มาช่วยหน่อย”
ลูกน้อง 4 คนวิ่งมารอรับนายด้วยการก้มหน้าลงยืนเรียงต่อกัน
“ไม่ อั๊วจะขี่หลังลื้อไป”
คณินตาลุกวาว
“มีรถเข็น”
“เอาไปคืนโรงพยาบาล ต่อไปนี้ ไม่ว่าอั๊วจะไปไหน อั๊วจะขี่หลังลื้อไป”
ทุกคนพากันขำ เว้นคณินหน้าเสีย เส็งโกรธคิดว่าถูกเย้ยหยัน
“นางสนมพวกนี้ ระวังคอจะหลุดจากบ่า”
คณินรีบกระโดดลงจากท้ายรถ แล้วหันหลังให้เส็งทันที เส็งยิ้มเหี้ยม คว้าหมับเส้นผมของคณินแล้วเลื่อนตัวเข้าหาแผ่นหลังของชายหนุ่ม คณินแบกเส็งเข้าบ้าน แพนมองสองพ่อลูกยิ้มๆ
คณินวางเส็งลงบนเก้าอี้ประจำตัวที่ตั้งอยู่หน้าหิ้งบรรพชนและถุงดิน เส็งนั่งนิ่ง แต่สายตากวาดมองไปทั่วบ้าน บ้านที่ถ้วยโถโอชามที่เคยตั้งโชว์หายไปจนหมดเกลี้ยง
“บ้านอั๊ว โล่งดี”
วิภาดาประคองซกเค็งเข้ามา
“อ้ายหยา ของในบ้านหายไปหมด ไอ้บุ๊ง ไอ้บุ๊งแน่ๆ”
“ไอ้บุ๊งไหน”
คณินกับกิตติมองหน้าอย่างรู้กัน
“อย่าไปเสียดายเลยม้า ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่”
“แต่ของมีราคาทั้งนั้น ฉันไม่ยอม ฉันจะไปตามของคืนจากนายกริช”
“ไม่ต้อง เชื่อเฮีย ถ้ามันเป็นของๆ เราเดี๋ยวมันก็กลับมาเอง”
“น่าจะยากนะครับ เพราะเศรษฐีที่รับไปจะขนไปประดับบ้านที่ภูเก็ตโน่น”
“ภูเก็ต”
ทุกคนหันมองกิตติ กิตติหน้าเสีย คณินกระแอมเสียงดังจนลั่นบ้านเพื่อเรียกทุกคนไปมองเขาแทน
“เอาเป็นว่า เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ ชีวิตใหม่กับสิ่งใหม่ๆ อย่าไปยึดติดกับอะไรที่มันเป็นแค่วัตถุ”
เส็งทำหน้าเย้ยหยัน ดูถูก ซกเค็งซาบซึ้งและเชื่อมั่นในตัวลูกชาย วิภาดายังไม่พอใจพ่อของกริช แพนมองคณินอย่างจดจ่อ สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่าเขาจะเอาเธอไว้ตรงส่วนไหนของชีวิต
“พรุ่งนี้ ผมจะเปิดโรงสีใหม่”
ทุกคนดีใจ ยิ้มแย้ม รู้สึกมีความหวัง
“และ จะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับว่าที่เจ้าสาว”

ทุกคนจ้องคณิน คณินยิ้ม แต่ไม่มองแพนเลยแม้แต่หางตา แพนหน้าเสีย ใจแตกสลาย

จบตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น