หนึ่งในทรวง ตอนที่ 12 อวสาน
รวยมาหาส่องแสงที่พิเศษกุล แปลกใจ และดีใจมาก เมื่อได้ยินสิ่งที่ส่องแสงบอก
“คุณส่องยอมแต่งงานกับผมแล้วเหรอครับ”
ส่องแสงพยักหน้ายิ้มๆ
“ค่ะ”
“โอ๊ย ผมดีใจจริงๆ เลยครับคุณส่อง ดีใจจริงๆ ครับ”
สีสุกมองด้วยแววตาดูถูก ส่องแสงค่อยๆ ดึงมือกลับ
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณรวย”
รวยไม่ค่อยอยากปล่อยมือ จนส่องแสงต้องกระชากกลับ
“คุณรวยคะ ดิฉันว่าเรามาคุยกันเรื่องการจัดงานดีกว่านะคะ คุณก็คงจะทราบว่า หนูส่องแสงลูกสาวของดิฉันไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เพราะฉะนั้นงานแต่งงานครั้งนี้ก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน”
“ได้เลยครับคุณแม่ คุณแม่ต้องการอะไรบอกผมมาเลยครับ ผมจัดให้เต็มที่ จะเอาโต๊ะจีน โต๊ะฝรั่ง โต๊ะแขก ว่ามาเลยครับ เดี๋ยวผมจัดให้”
รวยรุ่มร่าม พูดจาไม่มีสมบัติผู้ดี สีสุกมองแล้วก็กลุ้มใจ
“เอ้อ แล้วเรื่องสินสอดทองหมั้นล่ะครับ คุณแม่จะเรียกเท่าไหร่ครับ”
สีสุกเริ่มสีหน้าดีขึ้น
“ฉันก็ไม่เรียกมากมายอะไรหรอก เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าฉันขายลูกสาวกิน ฉันก็ขอแค่เนี้ย”
สีสุกยื่นโพยยาวเป็นหางว่าวให้รวย รวยรับมาอึ้งๆ
“แค่นี้เหรอครับ”
“ใช่ หรือว่าคุณรวยให้ไม่ได้คะ”
“อุ้ย ไม่มีปัญหาครับ ผมให้ได้อยู่แล้ว มากกว่านี้ผมก็ให้ได้ครับ สำหรับคุณส่องแสง ผมยอมทุ่มสุดตัว”
รวยมองส่องแสงตาเยิ้ม ส่องแสงยิ้มรับอย่างจำทน ทั้งที่ในใจไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย สีสุกเห็นแล้วก็กลุ้มใจ แต่ความรวยค้ำคอเลยต้องยอมรับ
หทัยรัตน์เข็นรถพาอนวัชมานั่งเล่นในสวน เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดิฉันเสียใจด้วยนะคะกับเรื่องคุณส่องแสง”
อนวัชแปลกใจ
“ทำไมเธอต้องแสดงความเสียใจเรื่องส่องแสง”
“ก็ที่คุณส่องแสงเธอปฏิเสธการแต่งงานกับคุณ และไปแต่งงานกับคุณรวย”
อนวัชหันมามองหทัยรัตน์ด้วยความสงสัย
“คือ ฉันบังเอิญได้ยินที่คุณคุยกับคุณส่องแสงน่ะค่ะ”
อนวัชเริ่มเข้าใจ และคิดแกล้งหทัยรัตน์
“ฉันว่าส่องแสงเขาคิดถูกแล้วที่แต่งงานกับคุณรวย ผู้หญิงทุกคนก็ต้องการแต่งงานกับผู้ชายที่เพียบพร้อมและมั่นคง ไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนหน้าตาน่าเกลียดที่ดูแลตัวเองไม่ได้อย่างฉัน เธอเองก็เหมือนกัน น่าจะรีบกลับไปกรุงเทพและแต่งงานกับคุณชายประสาทพรได้แล้ว ตอนนี้เขาคงจะกำลังรอเธออยู่ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย”
อนวัชทำเป็นไล่ หทัยรัตน์สงสาร พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าการดูแลคุณเป็นการเสียเวลา และใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องการแต่งงานกับผู้ชายที่เพียบพร้อมและมั่นคงแค่นั้น บางคนอาจจะต้องการแต่งงานกับคนที่เรารัก โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง”
“ใคร เธอลองบอกฉันสิว่าใครที่มีจิตใจงดงามแบบนั้น ฉันต้องการจะรู้ ใครเหรอ”
หทัยรัตน์กำลังจะพูด พลันเสียงสัทธาดังขึ้น
“หนึ่ง รถพยาบาลพร้อมแล้ว พร้อมกลับหรือยัง”
สัทธามองหน้าอนวัชแล้วก็งง อนวัชเคืองมาก
“เอ่อ ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
ทั้งหทัยรัตน์และอนวัชไม่ตอบ
สัทธากับบุญเติมประคองอนวัชนอนลงที่เตียงในห้องนอน ภายในบ้านพัก และปรับเตียงให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย หทัยรัตน์ยืนอยู่ไม่ห่าง บุญเติมหันมาถามสัทธาด้วยความสงสัย
“คุณปุ๊ครับ คุณหนึ่งยังไม่หายดีแล้วทำไมรีบกลับมาบ้านล่ะครับ”
“คุณหนึ่งของนายบ่นเบื่อโรงพยาบาลน่ะ ยิ่งอยู่ยิ่งหดหู่ ฉันเลยทำเรื่องให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน”
“งั้นผมไปดูแลจัดเตรียมอาหารให้นะครับ ถ้าคุณปุ้มมีอะไรก็เรียกใช้ผมได้นะครับ”
“ขอบใจจ้ะ”
บุญเติมเดินออกไป
“ปุ้ม หมอบอกว่าเราต้องคอยช่วยให้หนึ่งได้เคลื่อนไหวบ้างนะ ถึงหนึ่งจะใส่เฝือกอยู่แต่ก็ต้องขยับออกกำลังกายบ่อยๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ”
“ได้ค่ะ ปุ้มจะดูแลให้คุณอนวัชได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ”
อนวัชแอบส่งสัญญาณให้สัทธาพูดต่อ
“แล้วก็ต้องเช็ดตัวเช้าเย็นด้วย เพื่อสุขภาพอนามัย แล้วพี่กับบุญเติมก็ทำไม่ค่อยเป็น ปุ้มเช็ดตัวให้หนึ่งได้มั้ย”
อนวัชลุ้นๆ
“ไม่ต้องรบกวนหทัยรัตน์เขาก็ได้ ฉันก็จะพยายามดูแลตัวเอง มันอาจจะไม่ดี แขนขาอาจจะไม่มีแรง ทำความสะอาดตัวเองได้แค่บางส่วน แต่ฉันก็จะพยายามดูแลตัวเอง อย่ารบกวน”
“ได้ค่ะ ปุ้มเช็ดตัวให้เองค่ะ”
อนวัชแอบอมยิ้ม แล้วก็ตีหน้าเศร้าต่อ
“ขอบใจเธอมากที่ยังเวทนาคนพิการอย่างฉัน”
“ขอบใจมากนะปุ้ม เหลือแต่ปุ้มคนเดียวที่จะช่วยไอ้หนึ่งมันได้ เฮ่อ เวรกรรมของมันแท้ๆ”
หทัยรัตน์พลอยเศร้าไปด้วย
“ว่าแต่คุณอนวัชจะถอดเฝือกได้เมื่อไหร่ค่ะ”
“ก็ เห็นหมอบอกว่า ต้องรอให้กระดูกประสานตัว อย่างน้อยก็ สักสองเดือน”
“สองเดือน คุณอนวัชต้องใส่เฝือกนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
หทัยรัตน์ทั้งตกใจ และเป็นห่วง อนวัชตีหน้าเศร้า
เวลาผ่านไป อนวัชถอดเฝือกออกมาเกาอย่างเมามัน
“เฮ่อ คันจริงๆ เล้ย ไอ้เฝือกบ้านี่ เฮ่อ”
เสียงคนเดินมา อนวัชรีบใส่เฝือกกลับเข้าไปแล้วทำเป็นเพิ่งตื่นนอน หทัยรัตน์เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วนม มองอนวัชนอนอยู่อย่างอ่อนเพลีย ก็สงสารมาก
“เป็นยังไงบ้างคะ นอนสบายหรือเปล่า”
“ก็สบายที่สุดเท่าที่คนพิการอย่างฉันจะสบายได้”
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิคะ จะยิ่งทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปเปล่าๆ พี่ปุ๊ไปซื้อของที่ตลาด เย็นนี้มีแต่อาหารโปรดของคุณทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ขอบใจมาก แต่ฉันก็คงจะกินอะไรได้ไม่มาก มัน กิน ไม่ ลง”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันไปหาดอกไม้สวยๆ มาจัดแจกันให้คุณนะคะ เห็นของสวยๆ งามๆ จะได้ทำให้จิตใจสดใสขึ้น”
“ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้มีดอกไม้มาอยู่ในห้องนี้ทั้งสวน มันก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นได้ เพราะยังไงฉันก็เดินไม่ได้อยู่ดี”
อนวัชมองขาตัวเองแววตาเศร้ามากๆ หทัยรัตน์สงสาร จับมือชายหนุ่มไว้
“อย่าคิดมากนะคะ เดี๋ยวฉันมา”
หทัยรัตน์ปล่อยมือจากอนวัชและกำลังจะเดินออกไป
“หทัยรัตน์”
“คะ”
“เธอจะกลับมาจริงๆ นะ”
“จริงค่ะ”
“ไม่ทิ้งฉันไปแน่นะ”
“ไม่ค่ะ”
อนวัชทำเป็นใจชื้นแต่ไม่ยิ้ม
“อย่าไปนานนะ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์มองอนวัชด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะเดินออกไป อนวัชมองตาปรอย แต่พอหทัยรัตน์ปิดประตู เขาก็ยิ้มพอใจ มีความสุข แล้วก็นึกขึ้นมาได้
“ว่าแต่เขาจะไปไหนของเขานะ”
หทัยรัตน์มาที่ไปรษณีย์ เพื่อโทรศัพท์หาสุดา
“ปุ้มจะให้พี่หาอะไรนะ พูดอีกทีสิ”
“เอ่อ แหวนหมั้นน่ะค่ะ ปุ้มทำตกไว้ที่ห้องนอน ปุ้มรบกวนพี่แป้นลองหาให้ปุ้มหน่อยนะคะ”
“ได้จ้ะ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ อยู่ๆ ถึงอยากได้แหวนหมั้นขนาดต้องโทรศัพท์หาพี่แป้นแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เห็นใส่ใจจะสวมเลย”
“ก็ เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ คือ ปุ้มไม่สบายใจที่มันหายไปค่ะ เห็นพี่ปุ๊บอกว่าพี่แป้นกำลังจะมาที่นี่ ก็เลยลองโทรฝากหา ถ้าหาเจอก็คงจะดี ก็แค่นั้นเองค่ะ เอ่อ ปุ้มไม่มีอะไรแล้วแค่นี้ก่อนนะคะพี่แป้น แล้วเจอกันค่ะ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ”
สุดาวางโทรศัพท์ แล้วยิ้มแป้น
“ท่าทางจะไปได้สวยแฮะ”
อนวัชนอนอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกปวดปัสสาวะ ชะเง้อๆ ทำเป็นเรียก
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
รอสักพักไม่มีใครตอบ เขาขยับลุก แล้วรีบกระเผลกๆ เข้าห้องน้ำไปอย่างเร็ว
เวลาเดียวกันนั้น หทัยรัตน์เดินเข้ามาในบ้าน สัทธากับบุญเติมช่วยกันจัดอาหาร
“พี่ปุ๊ ปุ้มขอโทษนะคะที่กลับมาช้า ปุ้มช่วยค่ะ”
“ไม่ต้องเลย พี่กับบุญเติมจัดการเอง เรารีบขึ้นไปดูพี่หนึ่งเถอะ”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์รีบเดินไปที่ห้องพักอนวัช อนวัชเดินมาจากห้องน้ำ กำลังจะเดินลากเฝือกกลับมาที่เตียง แต่ทันใดนั้น เสียงหทัยรัตน์เดินมาถึงที่หน้าห้องเคาะประตู
“ฉันเอง ขอเข้าไปนะคะ”
อนวัชมองเตียงยังอยู่ไกลมาก
“เฮ้ย ซวยแล้ว”
หทัยรัตน์กำลังเปิดประตูเข้าไป อนวัชคิด แล้วแกล้งทำเป็นล้มลง
“โอ๊ย”
หทัยรัตน์เปิดประตูเข้ามาเห็น ตกใจรีบวางดอกไม้และวิ่งเข้ามาหา
“คุณอนวัชเป็นอะไรคะ แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้คะ”
“ก็ฉันเดิน”
“หะ”
“คือฉันพยายามจะหัดเดินดูอีกครั้ง ฉันคิดว่าบางทีหมออาจจะวินิจฉัยโรคผิด และฉันอาจจะเดินได้ ถ้าฉันพยายาม พยายามที่จะทรงตัว ประคองตัวยืนแล้วก็เดิน แต่ฉันก็ทำได้แค่นี้ ฉันก็เดินไม่ได้อยู่ดี มันก็เลยล้มลงตรงนี้”
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าอย่าคิดมาก ตอนนี้คุณควรจะพักผ่อน อย่าเพิ่งหักโหมเลยนะคะ มาค่ะดิฉันจะพยุงคุณไปที่เตียงนะคะ”
“ขอบใจมาก”
หทัยรัตน์พยายามพยุงอนวัชไปที่เตียง อนวัชทำทีเป็นล้มลงที่เตียงดึงหทัยรัตน์ลงมาด้วย
“โอ๊ย”
หทัยรัตน์ทานน้ำหนักไม่ไหว เอียงตัวตามลงไป
“อุ้ย”
หทัยรัตน์ล้มลงไปหาชายหนุ่มและอยู่ใกล้กันในระยะเกือบจะจูบกัน สองคนมองตากันนิ่งไปชั่วขณะ หทัยรัตน์ก็ผละตัวออกด้วยความเขิน
“เอ่อ ดิฉันจัดดอกไม้มาให้แล้ว เดี๋ยวจะไปยกอาหารกลางวันมาให้ค่ะ”
“หทัยรัตน์ ขอบใจมาก ขอบใจที่ไม่ทอดทิ้ง และคอยอยู่ดูแลฉัน ขอบใจจริงๆ”
“คุณเองก็ไม่ต้องคิดมากนะคะ ตอนนี้คือเวลาพักผ่อน ไม่ต้องหัดเดินหรือฝืนทำอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ยคะ”
“เข้าใจครับ”
หทัยรัตน์ยิ้มให้กำลังใจ และเดินออกไป อนวัชลอบถอนหายใจ
“เกือบไป”
อนวัชนึกถึงภาพตอนที่หทัยรัตน์อยู่ในอ้อมกอดเมื่อสักครู่ แล้วอมยิ้มมีความสุข
ในขณะที่หทัยรัตน์เดินออกมานอกห้อง ก็หยุดพักด้วยความตื่นเต้น และอมยิ้มนิดๆ มีความสุขเหมือนกัน
ที่กนกพร กรกนกบอกประสาทพรเรื่องที่จะให้สุดามาสอนแทนหทัยรัตน์ ประสาทพรถามย้ำ
“หญิงอยากให้สุดามาสอนแทนหทัยรัตน์เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ตอนที่พี่ชายไม่อยู่ พี่แป้นก็มาสอนแทนคุณครูหลายครั้งค่ะ พี่แป้นใจดี สอนสนุกไม่แพ้คุณครูเลยค่ะ ระหว่างที่คุณครูไปดูแลพี่หนึ่ง พี่ชายไปขอร้องให้พี่แป้นมาสอนแทนได้มั้ยคะ นะคะ นะคะ หญิงไม่อยากต้องรับคุณครูคนใหม่แล้วค่ะ”
“ก็ได้ครับ พี่ชายจะลองถามคุณสุดาดูนะครับ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าคุณสุดาจะยอมมาสอนหรือเปล่า”
“ถ้าพี่ชายอยากรู้ใจพี่แป้น พี่ชายก็ลองถามใจตัวเองดูสิคะ ก็เพราะพี่ชายกับพี่แป้นมีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน ทั้งอาหารที่ชอบ เพลงที่ชอบ เวลาพูดคุยก็ชอบคุยเรื่องเดียวกัน หญิงสังเกตเห็นมาตั้งนานแล้วค่ะ พี่ชายไม่เคยสังเกตเลยเหรอคะ”
กรกนกถามซื่อๆ แต่กลับเป็นคำถามที่โดนใจ
“นั่นสิ คุณสุดาเคยบอกพี่ครั้งหนึ่ง แต่ทำไมพี่ชายไม่เคยสังเกตเลย ทำไมนะ”
ประสาทพรเริ่มคิด คืนนั้น เขามองท้องฟ้าแล้วคิดถึงตอนที่โต้ตอบจดหมายกับสุดา ตอนสอบนขับรถ เขาเผลอยิ้มคิดถึงสุดา ประสาทพรเริ่มรู้ใจ คิด และตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
ที่บ้านพักต่างจังหวัด สัทธาเดินนำสุดามาที่ห้องนอน สุดาถือกระเป๋าเดินทางเตรียมมาด้วย
“แป้นนอนที่นี่แล้วกันนะ อยู่ๆ ก็มากระทันหัน พี่ยังไม่ได้เตรียมห้องใหม่ให้เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่เรื่องปุ้มกับพี่หนึ่งเป็นยังไงบ้างแล้วคะ พี่ปุ๊เล่าให้ฟังอีกสิคะว่าเป็นยังไงอีก พี่หนึ่งแกล้งปุ้มยังไงบ้าง”
“อุ๊ย เราจะอยากรู้ทำไม มันเยอะมาก พี่เล่าไม่หมดหรอก เอาไว้แผนการสำเร็จเมื่อไหร่ให้หนึ่งมันเล่าให้ฟังเองแล้วกัน”
“แล้วเมื่อไหร่มันจะสำเร็จล่ะคะ”
“ก็เมื่อไหร่ที่ไอ้ปุ้มมันยอมสารภาพรักกับไอ้หนึ่ง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนั่นแหละ”
“โอ๊ย แล้วมันจะอีกนานมั้ยคะเนี่ย”
“พี่ว่า อีกไม่นานหรอก คอยดูแล้วกัน”
สัทธาพูดอย่างมั่นใจ แล้วนึกได้ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่เราเถอะ ชอบคุณชายประสาทพรมั้ย”
“ชอบสิคะ”
สุดาเผลอหลุดปากออกไป แล้วก็รีบปิดปาก แต่พอหันมาเห็นสัทธายิ้มเจ้าเล่ห์ก็รู้ตัว
“ไม่ทันแล้วใช่มั้ยคะ”
“ไม่ทันแหละ หลุดออกมาคำเบ้อเริ่มเลย”
“พี่ปุ๊อย่าบอกปุ้มนะคะ แป้นไม่อยากให้ปุ้มรู้สึกไม่ดี ที่แป้นแอบชอบผู้ชายที่มาชอบน้องสาวตัวเอง”
“อย่าคิดแบบนี้สิ เรื่องความรัก มันไม่เข้าใครออกใคร แป้นไม่ผิดที่จะคิดชอบคุณชายประสาทพร เพราะความชื่นชอบของแป้นไม่ได้ทำร้ายใคร และไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ไม่ต้องคิดมาก และไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย รู้หรือเปล่า”
สุดายิ้มรับ โล่งอก
“ค่ะ”
“ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วว่าแป้นคิดยังไง แล้วแป้นรู้หรือเปล่าว่าคุณชายคิดยังไงกับแป้น”
“สำหรับคุณชาย แป้นก็เป็นได้แค่ น้องสาว เพื่อน และที่ปรึกษาเท่านั้นล่ะค่ะ”
สุดาพูดเองเจ็บเอง สัทธาเห็นใจน้องสาว
สุดาส่งแหวนให้หทัยรัตน์ หทัยรัตน์รับมายิ้มดีใจ
“ขอบคุณมากค่ะพี่แป้น”
หทัยรัตน์สวมแหวนด้วยความคิดถึง
“ยังไม่ตอบพี่เลย นึกยังไง ถึงอยากเอาแหวนกลับมาใส่อีก หรือว่าใจอ่อน ยอมยกโทษให้พี่หนึ่งที่เคยแกล้งปุ้ม เลยกลับมาหมั้น แล้วก็จะแต่งงานกันเหมือนเดิม”
“พี่แป้นๆ ใจเย็นๆ ค่ะ คิดไปซะไกล ปุ้มไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นสักหน่อย ปุ้มก็แค่อยากใส่เพราะความเคยชินก็แค่นั้นค่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นสักหน่อย”
“ถ้าไม่คิด แล้วปุ้มทำไมไม่กลับบ้าน ทำไมยังอยู่ดูแลพี่หนึ่งแบบไม่มีกำหนดกลับ ตกลง ตอนนี้ปุ้มคิดยังไงกับพี่หนึ่ง”
“สิ่งที่ปุ้มคิดตอนนี้คือทำหน้าที่ดูแลคุณอนวัชให้ดีที่สุด ตามที่คุณลุง คุณป้า และคุณลุงวิทย์มอบหมายให้ทำ อย่างอื่นปุ้มไม่คิดทั้งนั้นค่ะ”
หทัยรัตน์ตอบเลี่ยงๆ ไป
สัทธา สุดา และอนวัช คุยกันอยู่ที่มุมประจำ สัทธาส่ายหน้าบ่นขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่จริง ยัยปุ้มแค่ตอบเลี่ยงเบี่ยงประเด็น ถ้าไม่คิด ถ้าไม่รัก จะอยู่ดูแลอะไรกันขนาดนี้”
อนวัชหน้าเศร้า
“มันก็ไม่แน่ เขาอาจจะแค่ทำตามหน้าที่จริงๆ ไม่ได้คิดอะไรกับฉันมากไปกว่านั้น เขาอาจจะไม่ได้รักฉันจริงๆ ก็ได้ เขาถึงได้ไม่ยอมรับมันออกมา”
“ถ้าไม่คิด ถ้าไม่รัก คงไม่เอาแหวนกลับมาใส่หรอกค่ะ”
“นั่นสิ อย่าเพิ่งคิดมาก แล้วก็อย่าเพิ่งถอดใจ ตอนนี้ปุ้มยอมเอาแหวนกลับมาใส่ เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา แกน่าจะรีบฉวยโอกาสตอนนี้ทำคะแนน หรือรีบทำให้ปุ้มใจอ่อน ไม่แน่นะ ถ้ารีบจี้จุดอ่อนตอนนี้ บางทีปุ้มอาจจะยอมเปิดปากพูดออกมาก็ได้ว่าคิดยังไงกับแก แล้วก็จะได้รีบๆ กลับไปจัดงานแต่งงานกันสักที”
อนวัชคิดว่าจะทำอย่างไรให้หทัยรัตน์ยอมเปิดปากพูด
หทัยรัตน์ถือถาดน้ำชามา มองซ้ายมองขวา เห็นอนวัชนั่งอยู่ที่ระเบียง
“น้ำชาค่ะ”
อนวัชชะงักนิดๆ รีบปั้นหน้าเศร้า หทัยรัตน์วางถาดน้ำชาไว้ที่โต๊ะข้างๆ มองหน้าชายหนุ่ม เห็นเศร้าๆ ก็ถามขึ้น
“คิดอะไรอยู่คะ ทำไมทำหน้าเศร้าๆ”
“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ สิ่งที่เธอรับรู้เกี่ยวกับตัวฉันมันเศร้ามากพอแล้ว ฉันไม่อยากเพิ่มเรื่องเศร้าให้เธอมากไปกว่านี้ ฉันจะคิดอะไร ก็ช่างมันเถอะ อย่าใส่ใจเลย เธอดื่มชาเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
“เอ่อ”
อนวัชอ้อนด้วยสายตาจนหทัยรัตน์ใจอ่อน
“ค่ะ”
หทัยรัตน์รินชา อนวัชทำเป็นมองที่มือ และเห็นแหวน เขาคว้ามือนั้นไว้อย่างอ่อนโยน
“แหวนหมั้นของเรา มันกลับมาอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าของแล้ว ฉันขอโทษนะหทัยรัตน์ ขอโทษที่ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอตั้งหลายอย่างจนเธอต้องถอดแหวนทิ้งไป ถ้าฉันย้อนเวลาได้ ฉันอยากกลับไปแก้ไขอดีต เธอจะได้ไม่ต้องมาทนดูแลคนพิการอย่างฉัน”
“แต่เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้นะคะ คิดไปก็จะทำให้เศร้าเปล่าๆ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้มันก็จะดีขึ้นเอง”
หทัยรัตน์ยิ้มให้กำลังใจ อนวัชมองซาบซึ้งใจ น้ำตาซึมๆ
“เธอดีกับฉันจริงๆ หทัยรัตน์ ทำไมเธอดีกับฉันขนาดนี้ ทำไม เธอบอกฉันได้มั้ย อะไรที่ทำให้เธอยอมอยู่กับคนพิการอย่างฉัน”
อนวัชจับมือแน่น เหมือนคาดคั้นอยู่ในที พร้อมกับส่งสายตา ขอร้อง ขอคำตอบ หทัยรัตน์อึกอัก
“ทำไมเธอถึงใส่แหวนหมั้นอีกครั้ง เธอคิดอะไรอยู่ เธอบอกฉันได้มั้ย หรือเธอทำเพราะมันเป็นหน้าที่ เพราะโดนบังคับ”
“ไม่มีใครบังคับฉัน”
“แล้วเพราะอะไร”
“เอ่อ”
หทัยรัตน์อึกอัก อนวัชลุ้น ทันใดนั้นเสียงประสาทพรก็ดังขึ้น
“หนึ่ง อยู่ที่นี่เอง ตามหาตั้งนาน”
ทั้งสองหันขวับไปด้วยความแปลกใจ ประสาทพรยืนยิ้มอยู่
“คุณชาย”
ประสาทพรยิ้ม มองหทัยรัตน์เหมือนมีอะไรในใจ อนวัชมองทั้งสองคนแล้วแอบหวั่นใจ
สัทธากับสุดายืนคุยกันอยู่ สุดาแปลกใจมาก
“คุณชายมา”
“ใช่ เพิ่งมาถึงเมื่อกี๊ รู้สึกว่าตอนนี้กำลังคุยกับหนึ่ง”
“คุยเรื่องอะไรคะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สุดาคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปเลย
“แป้น จะไปไหน แป้น”
ประสาทพรยืนคุยกับอนวัชอยู่อย่างจริงจัง
“ผมเสียใจด้วยนะหนึ่ง กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ต้องขอโทษด้วยที่มาเยี่ยมหนึ่งช้าเกินไป ทั้งที่รู้ข่าวมาหลายวันแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ แค่คุณชายมา ผมก็ดีใจแล้วครับ”
“ที่ผมมาวันนี้ นอกจากมาเยี่ยมแล้ว ผมมีเรื่องสำคัญจะมาคุยกับหนึ่งด้วย มันอาจจะดูเหมือนไม่มีมารยาทที่มาคุยเรื่องนี้ ในตอนนี้ แต่ที่ผมต้องพูด เพราะผมไม่อยากรออีกต่อไป ผมอยากคุยกับหนึ่งเรื่อง”
อนวัชลุ้นรอฟัง ประสาทพรตัดสินใจพูดตรงๆ
“เรื่องระหว่างหนึ่งกับหทัยรัตน์ ตกลงตอนนี้สถานภาพระหว่างหนึ่งกับหทัยรัตน์คืออะไร”
สุดาเดินมาถึงพอดี ชะงัก อนวัชสะอึก
“ที่ผมถามเพราะผมจะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
“ตัดสินใจเรื่องอะไรครับ”
“เรื่องการแต่งงานระหว่างผมกับหทัยรัตน์”
อนวัชหน้าเสีย สุดาหน้าเสียกว่า
“ผมยังยืนยันว่าผมอยากแต่งงานกับหทัยรัตน์”
สุดาเหมือนจะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นไว้ และหันหลังเดินหนีออกไปเลย
“แต่ก่อนที่ผมจะแต่งงานกับหทัยรัตน์ให้ถูกต้องตามประเพณี ผมอยากชัดเจนก่อนว่า หนึ่งคิดยังไงกับหทัยรัตน์กันแน่ ผมไม่อยากแต่งงานบนความเจ็บปวดของคนอื่น ยิ่งคนคนนั้นคือหนึ่ง ผมยิ่งไม่อยากทำ แต่ถ้าหนึ่งไม่คิด ผมอยากจะแต่งงานกับหทัยรัตน์โดยเร็วที่สุด ตกลงหนึ่งคิดยังไงกับหทัยรัตน์”
อนวัชนิ่งคิด
หทัยรัตน์หน้าเสีย ถามประสาทพรด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณอนวัชตอบแบบนี้เหรอคะ”
“ครับ หนึ่งบอกว่า เขาไม่ได้รักคุณ และหนึ่งก็อนุญาตให้ผมแต่งงานกับคุณได้”
หทัยรัตน์ตัวชาวาบ ใจหาย คอแห้งผาก มือเย็นเฉียบ
“ผมดีใจมากๆ เลยนะครับที่ได้ยินคำตอบนี้ ผมจะได้ให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณได้ด้วยความสบายใจ คุณรู้สึกเหมือนผมใช่มั้ยครับ”
หทัยรัตน์ไม่ตอบ ยังอึ้งอยู่ ประสาทพรถามย้ำ
“คุณหทัยรัตน์ครับ คุณหทัยรัตน์”
“คะ”
“คุณ รู้คำตอบของหนึ่งแล้ว รู้สึกดีใจเหมือนผมใช่มั้ยครับ”
ประสาทพรถามและลุ้นคำตอบ แต่หทัยรัตน์กลับเงียบ ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้ดีใจ
“คือ”
“หรือว่า คุณไม่ดีใจ ที่เราจะได้แต่งงานกัน”
“เอ่อ”
ประสาทพรมองหน้าหทัยรัตน์รอคำตอบ หทัยรัตน์อึกอัก แล้วก็ตัดสินใจตอบ
“ดิฉันยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานในตอนนี้ เพราะดิฉันมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลคุณอนวัช ไม่ว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับดิฉันก็ตาม ดิฉันต้องอยู่ดูแลจนกว่าคุณลุง คุณป้า หรือคุณอนวัชเอ่ยปากไล่ดิฉันกลับไปเอง”
ประสาทพรเริ่มเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของหทัยรัตน์
“แล้วถ้าวันนั้นมาถึง คุณจะยอมแต่งงานกับผมใช่มั้ย”
“เอ่อ”
“หรือคุณจะหาข้ออ้างใหม่มาผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่ามันจะไม่มีวันนั้น คุณเลิกหลอกตัวเองได้แล้วหทัยรัตน์ ยอมรับเถอะว่าถึงแม้หนึ่งจะไม่ประสบอุบัติเหตุคุณก็ไม่อยากแต่งงานกับผม เพราะคุณไม่เคยรักผม และคุณไม่มีวันแต่งงานกับคนที่คุณไม่ได้รัก เพราะฉะนั้นเรื่องแต่งงานของเราสองคนมันไม่มีวันจะเกิดขึ้น”
ประสาทพรพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงใจและจริงจัง หทัยรัตน์อึ้ง รู้อยู่ในใจว่าจริง
“คุณชาย ดิฉัน ขอโทษด้วยนะคะ”
“คุณไม่ได้ทำผิด ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในความคิดผม คุณยังเป็นผู้หญิงที่ดี ถ้าหนึ่งอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วคุณรับปากแต่งงานกับผม ผมอาจจะเสียใจมากกว่า”
“ขอบคุณคุณชายมากนะคะที่เข้าใจดิฉัน”
“ผมเข้าใจคุณเสมอ หทัยรัตน์ แล้วคุณล่ะเข้าใจตัวเองบ้างหรือเปล่า”
ประสาทพรพูดเหมือนผู้ใหญ่ที่มองเกมออก
“คุณมีคนที่รักอยู่แล้วในใจ แต่คุณอาจจะไม่เคยเปิดเข้าไปดู หรือไม่กล้าที่จะยอมรับมัน”
หทัยรัตน์อึ้ง ประสาทพรยิ้มทิ้งท้าย
“ผมขอให้คุณโชคดี รู้ใจตัวเองเร็วๆ ก่อนที่มันจะสายเกินไป อ้อ ผมลืมบอกไป หนึ่งเขาไม่ได้ตอบว่า เขาไม่ได้รักคุณ ส่วนเขาจะตอบว่าอะไร คุณลองไปถามเขาดูเอาเอง”
ประสาทพรยิ้ม แล้วเดินจากไป หทัยรัตน์ยืนอึ้ง แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
“คุณชายคะ รอก่อนค่ะ คุณชาย”
หทัยรัตน์รีบวิ่งตามประสาทพรไป
สุดาเดินเศร้าๆ อึ้งๆ สัทธาเดินออกมาจากบ้านเห็นน้องสาวก็รีบถาม
“เป็นไงแป้น เจอคุณชายหรือเปล่า”
“เจอค่ะ”
“แล้ว ทำไมทำหน้าแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า”
“มะ ไม่มีอะไรค่ะ แป้นออกไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านนะคะ”
สุดาเดินไปเลย สัทธางง
“เฮ้ย ทำไมวันนี้มีแต่คนแปลกๆ วะเนี่ย”
ประสาทพรเดินอยู่ หทัยรัตน์วิ่งตามมา
“คุณชายคะ คุณชาย ดิฉันสงสัยค่ะ วันที่คุณชายชวนดิฉันไปที่ร้านหนังสือ คุณชายได้บอกคุณส่องแสงหรือเปล่าค่ะ”
“บอกครับ คุณส่องแสงเธอมาหาผมที่บ้านในตอนเช้า และถามถึงแผนในวันนั้น”
“แผนอะไรคะ”
“อ๋อ แผนขอคุณแต่งงานน่ะครับ จริงๆ ผมตั้งใจจะขอในวันนั้น แต่เห็นคุณปวดหัว รีบกลับบ้านก็เลยไม่ได้ขอ”
“แสดงว่า คุณส่องแสงรู้ว่าเราสองคนจะไปร้านหนังสือในวันนั้นใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ”
หทัยรัตน์กระจ่างในใจขึ้นมาทันที
อนวัชกับสัทธาคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน สัทธาตกใจ
“คุณชายมาคุยเรื่องจะแต่งงานกับปุ้ม”
“ใช่น่ะสิ ฉันตั้งรับไม่ทันเลย อยู่ๆ คุณชายก็มาถามว่าฉันคิดยังไงกับหทัยรัตน์ ถ้าคำตอบคือไม่รัก จะได้เร่งจัดงานแต่งทันที”
“แล้วแกตอบไปว่าอะไร”
อนวัชย้อนคิดถึงตอนที่คุยกับประสาทพร
“ผมรักหทัยรัตน์ รักโดยไม่มีเงื่อนไข รักทั้งๆ ที่รู้ว่า เขาอาจจะเกลียด และไม่รักตอบ แต่ผมก็หยุดรักเธอไม่ได้”
อนวัชตอบหนักแน่น จริงใจ ประสาทพรฟังแล้วพยักหน้ารับ เข้าใจทุกอย่าง
สัทธาคิดตามที่อนวัชเล่า
“แกก็ตอบชัดเจน ตอบไปแบบนี้คุณชายคงเข้าใจแหละ”
“ไม่รู้สิ ไม่เห็นคุณชายพูดอะไรต่อ เขาฟังแล้วก็บอกว่า อยากรู้แค่นี้ ที่เหลือเป็นเรื่องระหว่างเขากับหทัยรัตน์ พูดจบเขาก็เดินไปหาน้องสาวแก”
“อ้าว แล้วคุณชายจะไปคุยอะไรปุ้ม”
“นี่แหละ คือสิ่งที่ฉันอยากรู้”
“ฉันก็อยากรู้ ทำไมแกไม่ถามวะ”
“คุณชายเขาบอกว่าจะไปคุยเอง ฉันจะไปถามได้ยังไง แกนั่นแหละต้องไปถามคุณชาย”
ทันใดนั้นประสาทพรเดินเข้ามา
“ถามอะไรครับ”
“เฮ้ย”
อนวัชตกใจรีบพุ่งพรวดไปที่เก้าอี้วีลแชร์ แล้วนั่งลงทันที ทำเป็นพิการเหมือนเดิม สัทธารีบสวมเฝือกให้ ทุลักทุเลแต่ก็ทันก่อนที่ประสาทพรจะมาเห็น ประสาทพรเดินเข้ามา
“เมื่อกี๊ ผมเหมือนได้ยินหนึ่งกับคุณสัทธาพูดถึงผม มีอะไรหรือเปล่าครับ”
อนวัชกับสัทธาหันขวับมามองหน้ากัน อึกอัก แล้วสัทธาก็ไหลลื่นกว่า
“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่หนึ่งบอกว่าคุณชายมา ผมก็เลยถามว่าคุณชายหิวหรือเปล่า จะกินอะไรมั้ย หนึ่งก็เลยบอกให้ผมไปถามเองครับ แหะๆ แค่นี้แหละครับ”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนี้ ผมตอบได้เลยครับว่า ไม่หิว และผมคงจะอยู่อีกไม่นาน พอคุยกับคุณสุดาเรียบร้อยแล้วก็จะขอตัวกลับ แล้วคุณสุดาอยู่ที่ไหนครับ ตั้งแต่มาผมยังไม่เห็นเลย”
“แป้นเดินไปที่สวนน่ะครับ เห็นว่าจะไปเดินเล่น”
“ขอบคุณครับ”
“คุณชายครับ คุณชายคุยกับหทัยรัตน์หรือยังครับ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“คุยแล้วครับ เราทั้งสองคนเข้าใจกันเป็นอย่างดี ผมสบายใจและมีความสุขมาก”
ประสาทพรแกล้งทิ้งท้าย แล้วก็เดินยิ้มไป อนวัชหน้าเสีย สัทธาหน้าเจื่อน
“คุยแล้วมีความสุขแบบนี้ ดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดี”
สัทธาย้ำ อนวัชยิ่งอยากรู้ และหนักใจ
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
สุดายืนเศร้า เซ็ง ซึม อยู่ที่สวน
“เฮ่อ”
“ถอนหายใจดังขนาดนั้น คงมีสองเหตุผล หนึ่ง หนักใจมาก สอง สบายใจมาก”
สุดาหันขวับมา เห็นประสาทพรยืนอยู่
“คุณสุดาเป็นแบบไหนครับ”
“คุณชาย”
“ต้องขอโทษด้วยที่มาหาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ผมรู้ว่าคุณจะมาเยี่ยมหนึ่งเลยแอบตามมาด้วย ตอนแรกตั้งใจว่าคุยกับหนึ่งและหทัยรัตน์แล้วจะคุยกับคุณต่อ”
“คุยกับดิฉัน เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องงานแต่งงานระหว่างผมกับหทัยรัตน์”
“หวังว่าคุณชายคงจะได้ข่าวดีจากปุ้มนะคะ”
“ดีสำหรับหทัยรัตน์หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือ เป็นข่าวดีสำหรับผม ข่าวดี ที่ผมไม่ต้องเสียหทัยรัตน์ให้กับชายอื่น เพราะผู้ชายที่จะได้ครอบครองเธอ คือ น้องชายที่ผมรัก”
สุดามองหน้าประสาทพรงงๆ
“ผมไม่รอคำตอบเรื่องการแต่งงานจากหทัยรัตน์แล้ว เพราะผมรู้ว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้น เราเองต่างรู้กันดีว่าหทัยรัตน์รักใคร”
สุดาอึ้ง
หทัยรัตน์ยืนยิ้มมีความสุขอยู่มุมหนึ่งของบ้านพัก อีกมุมห่างออกไป อนวัชเลื่อนรถวีลแชร์มาแล้วหยุดมอง หทัยรัตน์คิดเรื่องที่รู้ว่าส่องแสงสร้างสถานการณ์และอนวัชไม่ได้อยากแต่งงานกับส่องแสง แล้วก็ยิ้มสบายใจ ขณะที่อนวัชเห็นหญิงสาวยิ้มมีความสุขก็คิดมาก
สุดายังยืนอึ้ง ประสาทพรเรียกขึ้น
“คุณสุดา คุณสุดาครับ”
“คะ”
“คุณสุดาครับ ถ้าผมขอเชิญให้คุณมาเป็นคุณครูพิเศษให้น้องหญิงคุณจะรังเกียจหรือเปล่า ผมทราบว่าตอนนี้คุณกำลังจะได้งานใหม่ เป็นคุณครูที่โรงเรียนรัฐบาล ผมยินดีจะปรับเวลาสอนให้ตรงกับเวลาว่างของคุณ และทำหน้าที่ขับรถรับส่งคุณด้วยตัวเอง”
“คุณชายให้เกียรติดิฉันมากๆ เลยค่ะ เรื่องสอนไม่มีปัญหานะคะ ดิฉันยินดี และ เต็มใจมากๆ ค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่คอยดูแลกันมาตลอด ต่อจากนี้ไป ผมขอเป็นฝ่ายดูแลคุณสุดาบ้างนะครับ ผมจะเป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็น คนที่รักคุณ”
“รัก”
“เดี๋ยวนะครับ คุณอย่าเพิ่งคิดว่าผมเป็นผู้ชายโลเล วันก่อนบอกรักคนหนึ่ง วันนี้รักอีกคน จริงๆ แล้ว ผมก็คงจะเหมือนหทัยรัตน์ คือไม่รู้ใจตัวเอง ถ้าน้องหญิงไม่มาพูดให้ผมคิด ผมก็คงไม่รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีความสุข ความสดใส ความเข้าใจของคุณทำให้ผมนึกถึงแต่คุณ”
สุดาอึ้ง ใจเต้นรัว หน้าแดงกร่ำ
“ไม่ว่าจะเวลาทุกข์ หรือ สุข คุณคือผู้หญิงคนแรกที่ผมคิดถึง ตอนนี้ผมเลยรู้แล้วว่า ใครคือผู้หญิงที่ผมรักอย่างแท้จริง”
“คุณชาย”
“แล้วคุณ คิดยังไงกับผม”
“ดิฉันก็คิด ไม่ต่างกันค่ะ”
สุดายิ้มรับเขินๆ ประสาทพรถอนใจโล่ง
“เฮ่อ”
“ถอนหายใจแบบนี้ แปลว่า”
“สบายใจครับ ทั้งสบายใจและดีใจมากๆ”
ประสาทพรยิ้มดีใจ ยื่นมือมาจับมือสุดาไว้อย่างสุภาพ
“ผมได้แต่บอกหทัยรัตน์ให้รีบรู้ใจตัวเองก่อนจะเสียหนึ่งไป ผมเองก็เกือบจะเสียคุณไปเพราะไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน ดีนะที่รู้ตัวทัน”
“ถึงคุณชายยังไม่รู้ ดิฉันก็ไม่ทิ้งคุณชายไปไหนหรอกค่ะ”
สุดายิ้มอาย ก้มหน้าเขิน ประสาทพรยิ้มตามด้วยความรักมาก เขาค่อยๆ ดึงหญิงสาวมากอดไว้เบาๆอย่างให้เกียรติ
“ขอบคุณมากครับ”
ประสาทพรพูดกระซิบเบาๆ
ถาดอาหารของอนวัชวางอยู่บนโต๊ะ และยังมีอาหารอยู่เต็ม หทัยรัตน์ยืนมองด้วยความแปลกใจ หันมาถามชายหนุ่มที่นั่งเศร้าๆ
“ทำไมอาหารเหลือเท่าเดิมเลยคะ”
“ฉันไม่ได้กิน”
“แล้วทำไมไม่กิน นี่ก็ดึกแล้ว ทานดึกมากๆ ไม่ดีนะคะ”
“ฉันกินไม่ลง เก็บไปเถอะ”
หทัยรัตน์มองด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมกินไม่ลงคะ”
“กลุ้มใจ”
“เรื่อง”
“เฮ่อ เรื่องเธอกับคุณชายประสาทพร ตกลงวันนี้คุยอะไรกัน ทำไมดูท่าทางมีความสุขทั้งคู่ หรือว่า กำลังจะมีข่าวดี”
“ใช่ค่ะ”
อนวัชหน้าเจื่อน
“ข่าวดีมากๆ และข่าวดีของวันนี้ก็มาจากคำตอบที่คุณให้กับคุณชาย”
“คำตอบของฉัน ฉันบอกคุณชายว่า ฉันรักเธอ รักมากๆ รักทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอาจจะไม่สมหวังแต่ฉันก็ยังรัก ฉันตอบคุณชายไปแบบนี้ มันจะเป็นข่าวดีได้ยังไง”
หทัยรัตน์อาย เขิน ที่อนวัชพูดตรงๆ
“คุณนี่หน้าไม่อายนะ เที่ยวโพทะนาคำรักให้คนโน้นคนนี้ฟัง ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ คุณไม่อาย แต่ฉันอาย”
“หทัยรัตน์”
อนวัชจับมือหทัยรัตน์ไว้
“เธออย่ามาชวนฉันเปลี่ยนเรื่อง ตอบมาก่อน ข่าวดีที่เธอคืออะไร ตกลงเธอกับคุณชายจะแต่งงานกันหรือเปล่า”
อนวัชรอคำตอบ อ้อนมาก
“ถ้าฉันไม่ได้คำตอบ ฉันคงกินไม่ได้ นอนไม่หลับ”
หทัยรัตน์ยื่นหน้ามาแกล้ง
“ก็ตามใจค่ะ กินไม่ได้ ก็หิวเอง นอนไม่หลับก็ง่วงเอง เรื่องของคุณ ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ ตกลงไม่กินแน่นะคะ จะได้เก็บ”
หทัยรัตน์เดินไปที่ถาดอาหารจะเก็บ อนวัชรีบเรียกไว้
“หทัยรัตน์เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน ตอบมาก่อน ตกลงเธอจะแต่งกับคุณชายหรือเปล่า หทัยรัตน์ แต่งหรือไม่แต่ง”
อนวัชร้อนใจมาก
สุดาตอบสัทธากับอนวัชอย่างมั่นใจ
“ไม่แต่งคะ“
“แป้นรู้ได้ยังไง”
“คุณชายบอกแป้นเองค่ะ แล้วคุณชายก็ ก็ ก็ สารภาพรักกับแป้นด้วย”
สัทธากับอนวัชงงมาก
“สารภาพรัก”
“ค่ะ”
สัทธายิ้มเพราะรู้เรื่องมาก่อน สุดายิ้มอาย ส่วนอนวัชยังงงอยู่
“นี่ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณชายมาสารภาพรักกับแป้น”
“เขามีใจให้กันมาสักระยะแล้ว”
“หะ แป้นกับคุณชายเนี่ยนะ”
สุดาพยักหน้าเขินๆ อนวัชอึ้ง แต่ก็ยิ้มดีใจกับสุดา
“เอ่อ ก็ถือว่าเป็นข่าวดีมากๆ แต่ก็ยังสงสัย ทำไมหทัยรัตน์ไม่ยอมบอก กลับทำอมพะนำหรืออยากจะแกล้งให้ฉันร้อนใจ”
“ยัยปุ้มนี่ชักจะไปกันใหญ่แล้ว นอกจากใจแข็ง ปากแข็ง แล้วยังจะปั่นหัวคนอื่นอีก นี่ถ้าเราปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังยัยปุ้มไม่ยอมบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แกก็ต้องใส่เฝือกแกล้งป่วยแบบนี้ไปตลอดชีวิต”
“เฮ้ย ไม่ไหวนะ ฉันกลัวจะหลุดแผนแตกอยู่ทุกวัน เฮ่อ จะทำยังไงให้น้องสาวแกใจอ่อน ยอมพูดออกมาสักทีว่าคิดยังไงกับฉัน”
“เออ พี่หนึ่งคะ แป้นเคยคุยกับคุณชายประสาทพร แล้วคุณชายพูดว่าการที่ปุ้มได้ดูแลพี่หนึ่งเป็นสิ่งที่ดี มันจะทำให้ปุ้มรู้ใจตัวเอง เพราะบางทีกว่าที่เราจะรู้ค่าของใครสักคน อาจจะเป็นตอนที่เรากำลังเสียเขาไป แป้นก็เห็นด้วยกับคุณชายนะคะ”
สัทธาพยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าแกทำให้ปุ้มรู้สึกว่า กำลังจะสูญเสียแกไป บางทียัยปุ้มจะอาจจะแสดงความรู้สึกหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษาแกไว้ก็ได้”
“ใช่ค่ะ อย่างนั้นเลย”
“แล้ว ฉันจะทำยังไงให้เขารู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียฉันไป”
สุดากับสัทธาชะงัก แล้วอนวัชก็คิดออก
ส่องแสงเล่าเรื่องที่จะแต่งงานกับรวยให้ชุลีฟัง ชุลีตาโตตกใจ
“อะไรนะ นี่เธอกำลังจะแต่งงานกับคุณรวยเหรอส่อง แล้วคุณหนึ่งล่ะ ไหนเธอบอกว่าจะแต่งงานกับคุณหนึ่งไง”
“พี่หนึ่งเขาก็อยากจะแต่งงานกับฉันอยู่หรอก ถึงขนาดถอนหมั้นนังปุ้ม และก็หวังว่าฉันจะยอมแต่งงานด้วย แต่ก็อย่างว่า ใครจะยอมแต่งงานกับคนพิการเดินไม่ได้ แถมยังหน้าอัปลักษณ์อีก”
“พิการ อัปลักษณ์ คุณหนึ่งเนี่ยนะ”
“ใช่ ตอนนี้พี่หนึ่งประสบอุบัติเหตุขาขวาใช้การไม่ได้ แล้วที่หน้าก็มีแผลเป็นใหญ่เท่าใบลาน”
“คุณหนึ่งหมดสภาพขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จริงสิ ถ้าไม่เชื่อเธอก็คอยฟังข่าวแล้วกัน”
“แล้วเธอไม่สงสารคุณหนึ่งเหรอ”
“ก็สงสารเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ถึงฉันจะรักพี่หนึ่งมากแค่ไหน แต่ฉันก็รักตัวเองมากกว่าอยู่ดี ว่าแต่ฉันก็ต้องขอบใจเธอมากนะที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับคุณรวย ตอนแรกฉันก็นึกว่าเขาจีบเธอ ก็ว่าจะไม่ยุ่ง แต่เขาบอกว่าคิดกับเธอแบบเพื่อน เรื่องของเราก็เลยลงเอยกันแบบนี้ ขอบใจมากนะจ๊ะ”
ส่องแสงทำเป็นยิ้มหวานขอบคุณ แต่ก็เหมือนข่มอยู่ในที ชุลีฝืนยิ้มเสแสร้งรับ แต่พอส่องแสงหันไปอีกทางก็เบ้หน้าเหยียดด้วยความหมั่นไส้
กลางคืน หทัยรัตน์ถือแก้วนมเดินมาที่ห้องนอนอนวัช แล้วเคาะประตู
“เชิญ”
หทัยรัตน์เปิดประตูเข้าไป เห็นอนวัชนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้รถเข็นมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ดิฉันกำลังจะเอานมไปให้อยู่พอดี เพิ่งอุ่นมาร้อนๆ เลย ดื่มก่อนนอนจะได้หลับสบาย”
อนวัชหันมาตีหน้าเศร้า
“ขอบใจมาก เอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ฉันยังไม่อยากนอน”
“ทำไมล่ะคะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีเรื่องต้องคิดมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเธอ”
“คุณจะคิดเรื่องของดิฉันทำไมคะ”
“ก็เพราะฉันไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้เธอมากไปกว่านี้น่ะสิ เธอเป็นผู้หญิงที่ดี เธอควรจะมีชีวิตที่ดี และได้แต่งงานกับคนที่ดี ไม่ใช่มาพยาบาลผู้ชายพิการอย่างฉัน”
“คุณอย่าคิดมากเลยค่ะ”
“เธอจะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ฉันคิดมันเป็นความจริง ส่องแสงพูดถูกแล้ว ฉันไม่ควรจะเอาตัวเองไปถ่วงคนอื่นไว้ คนไร้ค่าอย่างฉันน่าจะตายๆ ไปซะ ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้”
อนวัชทำหน้ารันทดชีวิต น้ำตาคลอ เสียงสะอื้น หทัยรัตน์ตกใจ ค่อยๆ จับมือเขาเบาๆ
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิคะ ถ้าคุณตายไป จะมีคนหลายคนต้องเสียใจนะคะ”
“ฉันไม่สนหรอก ไม่ช้าก็เร็วคนเราก็ต้องตายอยู่ดี แต่ถ้าฉันตายตอนนี้เธอก็จะไม่ต้องลำบากเอาชีวิตมาจมปรักอยู่กับฉัน หทัยรัตน์ ฉันขอบใจเธอมากที่เป็นห่วงฉัน ฉันจะจำไว้ ถ้าฉันตอบแทนเธอไม่ได้ในชาตินี้ฉันจะตามไปตอบแทนเธอในชาติหน้า”
อนวัชมองหญิงสาวด้วยแววตาปวดร้าว หทัยรัตน์ชะงักไป ที่คำพูดของเขาเหมือนเป็นการร่ำลา
หทัยรัตน์กับสุดานอนอยู่ในห้องเดียวกัน หทัยรัตน์พลิกตัวไปมา
นอนไม่หลับ เป็นห่วงอนวัช แล้วตัดสินใจลุกขึ้น เดินออกไปจากห้อง สุดาหรี่ๆ ตามอง ค่อยๆ ลุกเดินย่องๆ ตามออกไป
หทัยรัตน์ค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนอนวัชเข้าไปอย่างแผ่วเบา เห็นชายหนุ่มนอนหลับอยู่ จึงเดินเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง สุดาแอบย่องมาส่องดู หทัยรัตน์อังมือเบาๆ ที่จมูกอนวัช เห็นว่ายังหายใจอยู่ก็โล่งอก กำลังจะเดินออกไป นึกขึ้นได้มองไปรอบๆ เห็นจานใส่ผลไม้มีมีดวางอยู่ด้วยรีบเดินไปหยิบมาเก็บไว้ อนวัชหรี่ตามองว่าหทัยรัตน์ทำอะไร สุดาเห็นแล้วก็ยิ้มขำๆ หทัยรัตน์มองไปรอบๆ เห็นที่เปิดซองจดหมาย
“คมเหมือนกันนะ เก็บไว้ห่างๆ ดีกว่า อันตราย”
หทัยรัตน์เก็บที่เปิดซองจดหมาย แอบมองว่าอนวัชยังหลับอยู่ก็มองไปรอบๆ เห็นเชือกผูกม่านยาวมากก็รีบไปดึงออก สุดาแทบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่รู้ตัวเอามือปิดปากตัวเองทัน เธอรีบย่องกลับไปที่ห้องนอนด้วยความพอใจ
หทัยรัตน์ถือทั้งเชือกทั้งมีดไว้ทั้งสองมือ กำลังจะออกไป มองหน้าอนวัชอีกครั้งก่อนจะตัดใจเดินออกไปทั้งที่ยังห่วงอยู่ อนวัชค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ขำ
“กลัวเราจะฆ่าตัวตายล่ะสิ เฮ่อ นี่แค่เริ่ม พรุ่งนี้ของจริง”
อนวัชลุ้นๆ ว่าแผนจะสำเร็จหรือไม่
ตอนเช้า บุญเติมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ อนวัชเข็นรถมาตามทางและมาหยุดที่ข้างๆ บุญเติม
“เติม”
“ครับคุณหนึ่ง”
“ฉันฝากแกดูแลคุณปุ้มด้วยนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแกก็ติดต่อไปหาคุณพ่อที่กรุงเทพ แล้วฉันฝากแกบอกคุณปุ้มด้วยว่า ฉันขอให้เขามีความสุข”
อนวัชพูดจบก็เข็นรถผ่านไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง บุญเติมได้แต่งงๆ
“แล้วคุณหนูจะไปไหนครับ”
“ฉันจะไปหลังสวนดอกไม้”
อนวัชเข็นรถต่อไป บุญเติมอึ้งไป
สุดากับสัทธากำลังเตรียมอาหารเช้า ทำไปคุยกันไป กระซิบกระซาบเบาๆ
“เมื่อคืนยัยปุ้มมันอาการออกแบบนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ อะไรที่ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ฆ่าตัวตาย ปุ้มเก็บเรียบเลยค่ะ”
“แผนไอ้หนึ่งมันได้ผลเหมือนกันเว้ย งั้นวันนี้เราก็เดินแผนต่อไป”
“ค่ะ”
สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างสนุกสนาน หทัยรัตน์เดินเข้ามาพอดี สุดารีบสะกิดพี่ชาย
“มาแล้วๆ”
ทั้งสองคนรีบเก็บอาการร่าเริง ทำเป็นปกติ แล้วสัทธาก็พูดขึ้นตามบท
“พี่ว่าอาการหนึ่งน่าเป็นห่วงมากนะแป้น วันสองวันมานี้บ่นแต่ว่า อยากตายๆ เฮ่อ”
หทัยรัตน์ชะงักกึก หน้าเสีย สุดารีบผสมโรง
“กับแป้นก็เป็นค่ะ ฟังแล้วใจหายบอกไม่ถูก“
สัทธาส่งสัญญาณให้ทำตามแผน สุดาแกล้งทำเป็นหันไปเก็บของ แต่มือปัดโดนแก้วตกมาแตก
“ว้าย”
หทัยรัตน์รีบเดินเข้ามาช่วย
“พี่แป้นระวังนะคะ อย่าเพิ่งเดินนะคะ เดี๋ยวปุ้มกวาดเศษแก้วให้”
“พี่หนึ่ง”
ทุกคนงงว่าทำไมสุดาพูดถึงชื่ออนวัช
“แก้วใบนี้เป็นแก้วใบโปรดของพี่หนึ่ง เป็นตัวแทนของพี่หนึ่ง”
“อยู่ๆ แก้วก็หล่นมาแตกแบบนี้ ต้องเป็นลางร้ายแน่ๆ”
สัทธาพูดขึ้น หทัยรัตน์พาลใจเสียไปด้วย มองแก้วที่แตกด้วยความกังวล
“หนึ่งอยู่ไหนน่ะปุ้ม”
“เห็นบอกว่าจะออกไปนั่งเล่นที่ระเบียง”
“พี่ว่าพี่ออกไปดูหนึ่งหน่อยดีกว่า”
สุดากับหทัยรัตน์รีบตามสัทธาไปด้วย สัทธากับสุดหันมายิ้มให้กัน
อนวัชเข็นรถมาจนถึงหน้าผาหลังสวนดอกไม้ ชะโงกหน้าไปดูด้วยความเสียว แล้วก็คิด อนวัชลุกขึ้นยืนและกระเผลกๆ เข็นรถเข็นไปไว้ที่ริมหน้าผา จอดรถเข็นไว้แล้วก็เดินมาดูว่ามุมเหมาะหรือยัง ดูๆ แล้วก็ขยับๆ ให้รถเข็นตะแคงลงข้างๆ เหมือนล้มอยู่ อนวัชจัดฉากแล้วก็มาดูอีกที
“เออ ใช้ได้นี่หว่า ฝีมือเรา”
อนวัชจัดฉากไปก็มองดูลาดเลา ระวังซ้ายระวังขวาไปด้วย
หทัยรัตน์ สัทธาและสุดา เดินออกมามองหาอนวัช ทันใดนั้น บุญเติมก็เดินกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณปุ้มครับ เอ่อ เมื่อกี๊คุณหนูเขามาพูดกับผมแปลกๆ น่ะครับ ผมฟังแล้วเป็นห่วงคุณหนูยังไงไม่รู้ครับ”
“คุณอนวัชพูดว่าอะไร”
“คุณหนูให้ผมบอกกับคุณปุ้มว่า ขอให้คุณปุ้มมีความสุข แล้วก็ให้ผมดูแลคุณปุ้มให้ดีๆ ถ้ามีอะไรให้โทรไปบอกคุณท่านที่กรุงเทพ แล้วพอผมถามว่าจะไปไหน คุณหนูก็บอกว่าจะไปที่หลังสวนดอกไม้ แต่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรน่าไปพักผ่อนเลยนะครับคุณปุ้ม จะมีก็แต่หน้าผาเท่านั้นล่ะครับ”
“หะ หน้าผา”
บุญเติมตกใจ ว่าทำไมหทัยรัตน์ต้องตกใจขนาดนั้น
“พี่หนึ่งไปนานหรือยัง”
“เมื่อกี๊นี้เองครับ”
“เรารีบแยกย้ายกันออกไปตามหาดีกว่า หน้าผามีตั้งหลายมุม ไม่รู้ว่าอยู่มุมไหน”
“ค่ะ”
สัทธาแยกไปอีกทาง พยายามทำให้บรรยากาศดูอันตรายตื่นเต้นเข้าไว้
“บุญเติมไปกับฉันกับคุณปุ้ม”
“ครับ”
บุญเติมเดินนำสุดากับหทัยรัตน์ตามไปอย่างรวดเร็ว หทัยรัตน์กังวลมาก
อนวัชยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของหน้าผาในจุดที่ไม่อันตรายมาก มองลงไปเห็นว่าข้างล่างปลอดภัยไม่ชันมากเกินไป
“จะว่าไปก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย”
ในขณะที่ สุดา หทัยรัตน์ บุญเติม เดินหาด้วยความตื่นเต้น สุดาแอบมองหทัยรัตน์แล้วก็ยิ้มที่เห็นน้องสาวเป็นห่วงอนวัชมากมาย สัทธาวิ่งมาใกล้ถึงหน้าผาที่เป็นจุดนัดหมายก็เริ่มส่งเสียงเรียกให้สัญญาณ
“หนึ่ง หนึ่ง แกอยู่ไหน ไอ้หนึ่ง”
อนวัชจดๆ จ้องๆ
“ต้องโดดจริงๆ เหรอเนี่ย”
เสียงสัทธาดังมา
“หนึ่ง”
อนวัชรู้ว่าใกล้แล้ว สัทธาวิ่งมาถึงเห็นอนวัชยังยืนอยู่
“อ้าวเฮ้ย ไอ้หนึ่ง ทำไมไม่รีบโดด ปุ้มกำลังมาแล้ว”
“ก็มันสูงนี่”
“เฮ้ย โดดไปเลย แผนแกคิดเอง ก็ต้องทำให้ได้สิวะ”
“ก็ตอนคิด ยังไม่เห็นว่ามันสูงแบบนี้นี่หว่า”
“คุณอนวัช”
“คุณหนูอยู่ไหนครับ คุณหนู”
“ปุ้มมาแล้ว แกโดดลงไปเลย ไป”
“เอาวะ”
อนวัชหลับตาแล้วทิ้งตัวกลิ้งลงไถลมาจากหน้าผาทำให้เหมือนตกลงมา แล้วยันตัวหยุดในจุด
ปลอดภัย ดูสภาพตัวเองยังไม่น่าสงสารพอ จึงฉีกเสื้อผ้าให้ขาดวิ่นกว่าเดิม ยีผมให้ยุ่งๆ เข้าไปอีก ทันใดนั้นเสียงหทัยรัตน์กับบุญเติมก็ดังเข้ามา
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
“คุณหนู คุณหนู”
อนวัชได้ยินเสียงก็รีบล้มตัวลงนอนในท่าที่น่าสงสารที่สุด สัทธารีบหันไปตะโกนบอก
“แป้น ปุ้ม ทางนี้”
ทั้งสามวิ่งมาหาสัทธา
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
“คุณหนู คุณหนู”
สุดาทำเป็นว่าหันไปเห็นรถเข็นของอนวัชล้มอยู่ก็รีบเรียกหทัยรัตน์
“ปุ้ม ปุ้ม รถเข็นพี่หนึ่ง”
หทัยรัตน์รีบหันไปมอง เธอตัวเย็นวูบเมื่อเห็นรถเข็นของอนวัชล้ม
“คุณอนวัช พี่ปุ๊ คุณอนวัชล่ะคะ”
“พี่ก็ไม่รู้ มาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว”
หทัยรัตน์กับบุญเติมวิ่งมาถึงที่รถเข็น หทัยรัตน์รีบมองหารอบๆ ตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับชะโงกหน้าลงไปข้างล่าง
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
“พี่หนึ่ง”
“ไอ้หนึ่ง หนึ่ง”
“คุณหนู คุณหนู”
ทุกคนตะโกนเรียกกันดังลั่นด้วยความเป็นห่วงแต่ยังมองไม่เห็น สัทธาแกล้งทำเป็นเดินไปที่ที่อนวัชตกลงไป
“พี่จะลองลงไปดูทางด้านโน้นนะ”
“ค่ะ”
สัทธาค่อยๆ เดินลงไปทางด้านที่อนวัชตกลงไป หทัยรัตน์ยังมองหาและตะโกนไม่หยุด
“คุณอนวัช คุณอนวัชคุณอยู่ไหน ได้ยินหรือเปล่า คุณอนวัช”
หทัยรัตน์เป็นห่วงมาก สุดาอมยิ้ม
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
สัทธาวิ่งไต่ลงมาตามทางพร้อมตะโกนเรียก
“หนึ่ง หนึ่ง”
อนวัชนอนอยู่ เหล่ๆ ตามาดูเห็นสัทธาวิ่งมาในระยะพอประมาณก็ส่งเสียงขึ้น
“ฉันอยู่นี่”
สัทธาหันไปเห็นอนวัชนอนอยู่ แกล้งทำตกใจ
“ไอ้หนึ่ง”
หทัยรัตน์ได้ยินเสียงสัทธาก็รีบหันไปดู
“พี่ปุ๊เจอพี่หนึ่งแล้วปุ้ม”
“หนึ่งอยู่ที่นี่ ปุ้มแป้น หนึ่งอยู่นี่”
หทัยรัตน์ยิ้มดีใจ ค่อยๆ เดินไต่ต้นไม้ลงไปหาด้วยความเป็นห่วง สัทธารีบเข้ามาหาอนวัช ทำเป็นตื่นเต้น
“ไอ้หนึ่ง ทำใจดีๆ ไว้นะเว้ย แกอย่าเป็นอะไรนะไอ้หนึ่ง”
“คุณอนวัช”
สุดาหันมาสั่ง
“บุญเติมรีบไปเรียกหมอมาเร็ว”
“ครับ”
“พี่จะไปเอาอุปกรณ์พยาบาลในบ้าน ปุ้มดูพี่หนึ่งไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์รีบเข้ามานั่งข้างๆ สุดาเดินไป สัทธามองไปรอบๆ
“อ้าว แป้น เติมไปหมดแล้ว ปุ้ม งั้นเดี๋ยวพี่ไป ไป ไปตามคนมาช่วยนะ”
สัทธารีบเดินตามสุดาไปเลย ทิ้งให้หทัยรัตน์อยู่กับอนวัชตามลำพัง หทัยรัตน์ประคองอนวัชเบาๆ และระมัดระวัง
“คุณเป็นยังไงบ้าง ทำใจดีๆ ไว้นะคะ เดี๋ยวสักพักหมอก็มาแล้ว”
“ไม่ต้องเรียกหมอ ฉันอยากตาย ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”
“ไม่ได้นะคะ คุณตายไม่ได้นะคะ คุณต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ฉันจะอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อฉันมันเป็นคนไม่มีค่า อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้คนอื่นลำบาก ปล่อยให้ฉันตายซะดีกว่า อย่างน้อย ถ้าฉันตายเธอก็จะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องมาทนอยู่กับฉัน ปล่อยฉันตายไปเถอะหทัยรัตน์”
หทัยรัตน์น้ำตาซึม
“ไม่ค่ะ ฉันจะไม่ให้คุณตาย คุณตายไม่ได้นะคะ”
“ทำไม ทำไมเธอไม่อยากให้ฉันตายหทัยรัตน์ ทำไม”
“เพราะฉัน ฉัน ระ”
หทัยรัตน์กำลังจะพูดคำรักออกมา อนวัชลุ้นระทึก แต่แล้วเสียงบุญเติมก็ดังขึ้น
“คุณปุ้มครับ หมอมาแล้วครับ”
อนวัชอึ้งไป
“เฮ้ย ทะ ทำไมหมอมาเร็วแบบนี้”
อนวัชฉุนมาก
ประสงค์ยิ้มแป้น คุยกับหทัยรัตน์ด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ภายในห้องของอนวัช
“พอดีมาทำธุระแถวนี้ ก็เลยแวะมาดูอาการคุณอนวัชน่ะครับ ที่จริงก็มาถึงสักพักแล้ว ตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบ ตอนแรกยังคิดว่าไม่มีใคร พอจะกลับนายบุญเติมก็วิ่งกระหืดกระหอบมาตามให้ไปดูคุณอนวัช แหม เป็นโชคดีของคุณอนวัชจริงๆ นะครับเนี่ย”
ประสงค์หันมาทางอนวัชที่นอนหน้าบึ้งอยู่
“ก็คงจะอย่างนั้นมั้งครับหมอ”
“คุณหมอคะ แล้วอาการของคุณอนวัชเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้ก็เอ่อ เหมือนเดิมครับ ทุกอย่างเหมือนเดิมเลยครับ เอ่อ ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
ประสงค์เห็นหน้าอนวัชแล้วอยากกลับ รู้สึกว่าตัวเองคงมาผิดจังหวะ
“ผมว่าผมกลับเลยดีกว่าครับ”
“อ้าว แค่นี้เองเหรอคะ”
“ครับ แค่นี้แหละครับ”
“แต่อาการของคุณอนวัชทั้งทางร่างกายแล้วก็จิตใจดูแย่มากเลยนะคะ คุณหมอจะไม่รักษาหรือให้ยาหน่อยเหรอค่ะ”
“จะมีก็แต่วิตามินน่ะครับ”
“หือ เจ็บหนักปางตายแค่วิตามินเองเหรอคะ”
ประสงค์อึกอัก สัทธารีบตัดบท
“ปุ้ม คุณหมอเขารู้ว่าควรจะให้อะไรน่ะ อย่าเซ้าซี้เลย”
“ใช่ พอเถอะหทัยรัตน์ ฉันบอกแล้วว่า อาการของฉันมันคงจะเกินเยียวยาจริงๆ พอเถอะ อย่าพยายามอีกเลย ฉันอยากนอนแล้ว ขอบคุณคุณหมอมาก และคราวหน้าคุณหมอไม่ต้องมาตรวจก็ได้นะครับ”
อนวัชไล่แขก ประสงค์ยิ้มเจื่อนๆ
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมว่าผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
“ปุ้มออกไปส่งค่ะ”
คล้อยหลังหทัยรัตน์ สุดา สัทธา และอนวัช มองหน้ากันเซ็งๆ
“หมอประสงค์นี่มาไม่ดูตาม้าตาเรือเล้ย”
“อีกนิดเดียวแท้ๆ”
“เสียแผนหมด”
ทั้งสามคนถอนใจดังๆ
หทัยรัตน์เดินคุยมากับประสงค์ตรงหน้าบ้าน
“เมื่อครู่ที่คุณอนวัชบอกว่าไม่ต้องมาตรวจแล้ว คุณหมออย่าถือสาเลยนะคะ เธอคงพูดเพราะความเครียด”
“ผมเข้าใจครับ แต่คุณอนวัชก็พูดถูกนะครับ คุณหทัยรัตน์ดูแลคุณอนวัชดีขนาดนี้ หมอไม่ต้องมาก็ได้ครับ”
“แต่ ดิฉันก็ทำได้แค่ดูแล รักษาไม่ได้นะคะ”
“แค่นี้ก็พอแล้วครับ โรคที่คุณอนวัชเป็นอยู่ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการดูแลจากคนที่รักกัน แค่นี้ก็ดีกว่ายาทุกขนานแล้วครับ”
หทัยรัตน์สะอึกเบาๆ แอบเขิน ประสงค์ยิ้ม
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะครับ สวัสดีครับ”
ประสงค์เดินแยกไป หทัยรัตน์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
อนวัชนอนเหม่อคิดถึงตอนที่หทัยรัตน์เกือบจะบอกรัก แล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ทำหน้าบึ้งขัดใจ
“โธ่เอ๊ย อีกแค่นิดเดียวเอง”
อนวัชคิด ค้างคาใจ
เวลาต่อมา หทัยรัตน์ดุใส่อนวัช
“ใช่ อีกนิดเดียว ถ้าฉันกับเติมไม่ไปเจอซะก่อน ป่านนี้คุณคงได้ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว ทีหลังคุณอย่าคิดสั้นแบบนี้อีกนะคะ”
“หทัยรัตน์ ตอนอยู่ที่หน้าผาเธอยังพูดไม่จบเลย เธอยังไม่บอกเลยว่าทำไมเธอถึงไม่อยากให้ตาย”
“ฉัน ลืมไปแล้วค่ะ”
“อะไรกัน เธอจะลืมไปได้ยังไง ก็เราเพิ่งคุยกันเมื่อกี๊นี้เอง”
หทัยรัตน์เขินๆ หันหน้าหนีมาทำเป็นจัดของที่หัวเตียง
“ลืมก็ลืมสิคะ ฉันว่าตอนนี้คุณอย่าเพิ่งคิดมากนะคะ แล้วก็เอาความคิดเรื่องความตายทิ้งไปซะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง คุณหมอบอกว่าคุณอาจจะเครียดมากเกินไปจนคิดมาก เมื่อกี๊คุณหมอเลยให้คุณทานยาคลายเครียด มันจะทำให้คุณง่วงนอน”
ทันใดนั้นเสียงอนวัชกรนเบาๆ ก็ดังขึ้น หทัยรัตน์ชะงักหันไปดู อนวัชหลับสนิท หญิงสาวขำๆ มองชายหนุ่มตอนหลับดูสงบน่ารัก จับผมที่ปรกหน้าผากให้เข้าที่เปิดให้เห็นใบหน้าที่คมเข้ม
เธอยิ้มด้วยความโล่งใจและเป็นสุข
ชุลีกำลังคุยกับเพื่อนๆ ในร้านอาหารอย่างเมามัน
“นี่เธอรู้ข่าวการแต่งงานของส่องแสงกับคุณรวยแล้วใช่มั้ย”
“อู้ย รู้สิยะ อย่างฉันเนี่ยจะไม่รู้ได้ยังไง ยัยส่องพูดกรอกหู อวดความยิ่งใหญ่ อลังการของงานแต่งงานคุณเธอให้ฉันฟังทุกวัน ฟังจนไม่อยากจะไปงานแต่งงานอยู่แล้วเนี่ย”
“นี่แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณรวย อะไรเนี่ย เป็นใครมาจากไหน ทำไมฉันไม่เห็นรู้จักเลย รู้แต่ว่ารวยอย่างเดียว”
“รู้สิ ก็ฉันนี่แหละเป็นคนแนะนำให้รู้จักกันเอง คุณรวยเขาเป็นเศรษฐีอยู่ทางใต้ แล้วก็รวยมาก”
“แล้วเขาทำอะไรรวยล่ะเธอ”
ชุลีชะงัก
“นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยถาม เขาก็ตอบแบบอ้อมๆ แอ้มๆ จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณรวยเนี่ย เขารวยมาจากอะไร”
เพื่อนๆ และชุลี พากันสงสัย อยากรู้
รวยยืนคุยกับลูกน้อง 5 คน อยู่ภายในโกดังร้าง ทุกคนแต่งตัวในชุดดำท่าทางไม่น่าไว้ใจ
“ของพร้อมนะ เดี๋ยวพวกมึงรีบขนลงไปทางชุมพร ลูกค้ารออยู่ที่นั่นแล้ว เอ้า ค่าเหนื่อย”
ลูกค้ายกมือไหว้และรับเงินไป
“ระวังตัวด้วยนะเว้ย เออ อีกอย่าง พอขนของเที่ยวนี้เสร็จแล้ว กูว่าจะหยุดสักพัก ต้องไปแต่งเมียเว้ย”
ลูกค้ายิ้มตาม
“พวกมึงก็เหมือนกัน พอทำงานเสร็จก็กระจายตัวกันไปสักพัก พอกูพร้อมจะทำงานใหม่ กูจะติดต่อไปอีกที”
“ครับเจ้านาย”
“รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวลูกค้ารอ”
ลูกน้องรวยรีบเดินไปที่รถบรรทุกหกล้อ ซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มคันรถ รวยเดินแยกมาที่รถตัวเองที่จอดห่างออกไป ลูกน้องแยกย้ายกันขึ้นรถขนอ้อย คนขับขึ้นมานั่งบนรถ กำลังจะสตาร์ทรถก็ต้องตกใจเพราะมีปืนยื่นเข้ามาพร้อมกับขึ้นนก พอหันมาก็เห็นตำรวจ
“หยุดอย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
คนขับหน้าซีดตะโกนขึ้น
“เฮ้ย ตำรวจ”
สิ้นเสียงคนขับรถ เสียงปืนก็ดังขึ้นปึงปัง ลูกน้องรวยรีบวิ่งหนีและยิงต่อสู้กันจ้าละหวั่น รวยกำลังจะขึ้นรถก็ตกใจหันมาเห็นตำรวจอีก 4 คน ยืนเอาปืนจ่ออยู่
“หยุด นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธและมอบตัวซะโดยดี”
“เอ่อ เปล่านะครับ ผมไม่เกี่ยวนะครับ ผมไม่เกี่ยว”
รวยเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้น รถบรรทุกอ้อยถูกตำรวจเปิดท้ายรถ มีกัญชาอัดแข็งวางเรียงเป็นตับ
ส่องแสงกำลังลองชุดแต่งงาน สีสุกกับช่างคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“สวยมากส่องลูกแม่ นี่แล้วคุณรวยเขาจะมาลองชุดเมื่อไหร่ลูก”
“เย็นนี้ค่ะแม่ คุณรวยลงไปจัดการเรื่องงานที่ต่างจังหวัดอีกสักพักก็คงจะถึงกรุงเทพแล้วล่ะค่ะ”
“อ๋อ เหรอ เออนี่ส่อง แล้วตกลงลูกได้ถามคุณรวยหรือยังลูก ว่าไอ้ธุรกิจที่เขาทำอยู่น่ะ มันทำเกี่ยวกับอะไร แม่จะได้ไปคุยกับเพื่อนๆ ได้ถูก”
ทันใดนั้นชุลีวิ่งเข้ามา
“ส่อง ส่อง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
สีสุกและส่องแสงหันมาด้วยความตกใจ
“อะไร เกิดอะไรขึ้นชุลี”
ชุลีหอบเหนื่อย
“เอ้า ใจเย็นๆ เดี๋ยวจะตายไปซะก่อนจะรู้เรื่องมีอะไรเหรอจ้ะ”
“คุณรวย ข่าวคุณรวยค่ะ นี่ค่ะ”
ชุลีส่งหนังสือพิมพ์ให้สีสุก
“ข่าวอะไร”
“สงสัยจะข่าวงานแต่งงานมั้งคะคุณแม่”
ชุลีส่ายหน้าจะพูดแต่ยังหายใจไม่ทัน สีสุกยิ้ม
“อาจจะใช่นะ นี่ไง นักธุรกิจใหญ่ ถูกรวบตัวพร้อมเฮโรอีนราคาหลายสิบล้าน”
“คุณแม่ว่าอะไรนะคะ คุณรวยทำไมนะคะ”
“เอ่อ คุณรวย”
“คุณรวยถูกตำรวจจับโทษฐานค้ายาเสพติด”
ส่องแสงหน้าซีด
“ไม่จริง”
“จริง นี่ไง พาดหัวตัวเบ้อเร่อ นี่มีรูปด้วยนะส่องดูสิ”
ชุลีชี้ให้ส่องแสงดู ส่องแสงเห็นรูปและข่าวก็เป็นลมล้มพับไป สีสุกตกใจ
“หนูส่อง ส่อง ส่องลูกแม่ ส่อง”
ช่างเสื้อรีบพูด
“ตอนนี้คุณนายก็รู้แล้วสิคะว่าคุณรวยทำงานอะไร”
“นี่มันเรื่องอะไรของแกด้วย ไปเลย รีบออกไปจากบ้านฉันเลยไป ปากมากดีนัก ไป”
สีสุกตะโกนไล่ช่างเสื้อด้วยความโกรธ ช่างเสื้อรีบขนของออกจากบ้านแทบไม่ทัน สีสุกตะโกนต่อ
“เฮ้ย ใครอยู่แถวนี้บ้าง ไปหายาลมยาดมยาหม่องมาให้หน่อยเร็ว ส่องอย่าเป็นอะไรนะลูก ส่อง”
สีสุกกระพือกระดาษพัดให้ส่องแสง
สุดาฟังสัทธาเล่าเรื่องรวยแล้วตกใจ
“คุณรวยโดนจับ”
“ใช่ พี่ได้ข่าวจากทางตำรวจว่าคุณรวยโดนจับพร้อมเฮโรอีน ป่านนี้ข่าวคงกระพือไปทั้งพระนคร”
“แต่เขากำลังจะแต่งงานกับพี่ส่องนะคะ ไม่รู้ว่าอาสีสุกกับพี่ส่องจะเป็นยังไงบ้างนะคะ”
สุดาคิดถึงด้วยความเป็นห่วงจึงโทรศัพท์ไปหาสีสุก แต่ถูกสีสุกตวาดใส่
“ฉันจะเป็นยังไงก็เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องโทรศัพท์มาเยาะเย้ยฉันเลยแม่แป้น”
สุดาตกใจ สัทธายืนอยู่ไม่ห่าง
“แป้นไม่ได้จะโทรศัพท์มาเยาะเย้ยนะคะ แต่แป้นเป็นห่วงพี่ส่องจริงๆ”
“เธอเก็บความห่วงใยของเธอไว้เถอะ แม่ส่องน่ะเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย เขาสบายดี และไอ้ข่าวบ้าๆ นี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย แค่นี้นะ”
สีสุกวางโทรศัพท์ไปอย่างฉุนเฉียว ส่องแสงร้องไห้
“ทำไมเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
สีสุกมองหน้าลูกสาวด้วยความสงสาร ในขณะที่สุดาวางโทรศัพท์ไปด้วยความงงๆ
“อะไรเนี่ย”
“พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องโทร.ไป เป็นไงล่ะ โดนด่ากลับมาล่ะสิ”
“แต่แป้นเป็นห่วงพี่ส่องจริงๆ นะคะ”
“แต่อาสีสุกเขาไม่คิดแบบนั้นหรอก พี่ว่าปล่อยเขาไปเถอะ คนแบบยัยส่องเจอแบบนี้ซะบ้างก็ดีเหมือนกัน เพราะตัวเองก็ทำกับคนอื่นเขาไว้เยอะ เจอกับตัวจะได้รู้สึก”
สัทธาสะใจ ขณะที่สุดายังเสียความรู้สึกอยู่
ส่องแสงร้องไห้อย่างหนัก สีสุกคอยปลอบใจอยู่ใกล้ๆ ชุลีคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
“ส่องอยากตายค่ะคุณแม่ ส่องอยากตาย”
“ส่องตายไม่ได้นะลูก ถ้าลูกตายจะมีคนสมน้ำหน้าลูกนะคะ ลูกต้องสู้ค่ะ”
“ถึงส่องไม่ตาย ก็ต้องมีคนสมน้ำหน้าลูกอยู่ดี โดยเฉพาะนังปุ้ม มันต้องดีใจแน่ที่เห็นส่องเป็นแบบนี้ ส่องจะทำยังไงดีคะคุณแม่ แล้วส่องจะสู้กับมันยังไง”
ส่องแสงร้องไห้ไม่หยุด สีสุกกอดลูกสาวไว้ด้วยความสงสารและจนปัญญาจะแก้ไข
อนวัชนอนอยู่บนเตียง คันยุกยิกตามตัว เกาก็ไม่ถนัด ยิ่งเกายิ่งคัน ยกมือขึ้นเกาหลัง ก็ได้กลิ่นตัวเองแปลกๆ ลองดมใต้รักแร้ตัวเอง ก็อึ้งไปด้วยความเหม็น
“ต้องอาบน้ำสักหน่อยแล้ว ใครจะดูต้นทาง ปุ๊ แป้น ก็ไม่อยู่ ทำยังไงดี”
อนวัชมองห้องน้ำรู้สึกอยากอาบน้ำขึ้นจับใจ ลองเรียกหทัยรัตน์
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
อนวัชรอจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงตอบ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู ค่อยแง้มประตูและชะโงกหน้าออกไปดูให้แน่ใจว่าไม่มีคน แล้วปิดประตูล็อคห้องทันที เขายิ้มพอใจ รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป
หทัยรัตน์กำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว พอทำอาหารเสร็จก็จัดใส่ถาด ยกขึ้นไปให้อนวัช พอเดินมาถึงหน้าห้อง จะเปิดเข้าไปแต่ก็ชะงักเพราะห้องล็อค
“คุณอนวัชคะ”
อนวัชยังอาบน้ำอย่างสบายใจ เสียงฝักบัวกลบเสียงเรียกของหทัยรัตน์ หทัยรัตน์เริ่มใจคอไม่ดี
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
ไม่มีเสียงตอบ หทัยรัตน์เริ่มเปิดประตูอย่างแรง แต่ประตูยังล็อคอยู่
“คุณอนวัช”
หทัยรัตน์ใจคอไม่ดี อนวัชชะงัก เหมือนได้ยินเสียงเรียก ปิดน้ำ เงี่ยหูฟัง แต่ไม่มีเสียงอะไร จึงอาบน้ำต่อ หทัยรัตน์เดินลงมาตะโกนหาบุญเติม
“บุญเติม บุญเติม”
“ครับ”
“บุญเติม มีกุญแจห้องนอนคุณอนวัชหรือเปล่า”
“มีครับ คุณปุ้มจะเอาไปทำอะไรครับ”
“ฉันจะเอาไปไขห้องนอนคุณอนวัชน่ะ เมื่อกี๊ฉันขึ้นไปแล้วประตูมันเปิดไม่ได้ เรียกเท่าไหร่คุณอนวัชก็ไม่ตอบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องหรือเปล่า”
“งั้นเดี๋ยวผมไปหยิบกุญแจก่อนนะครับ”
บุญเติมรีบเดินไป หทัยรัตน์ร้อนใจ
อนวัชอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวแล้วชะงัก ได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้อง เงี่ยหูฟัง บุญเติมไขกุญแจ ประตูก็เปิดออกมา หทัยรัตน์รีบพรวดเข้ามา
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
อนวัชตกใจ รีบแต่งตัวและเอาเฝือกยัดเข้าไป หทัยรัตน์เดินหาในห้องไม่เห็น โผล่ไปที่ระเบียง
“คุณอนวัช คุณอนวัช เอ ไปไหนของเขานะ”
หทัยรัตน์มองออกไปข้างนอก มองข้างล่างว่ากระโดดลงไปหรือไม่ ขณะที่อนวัชแต่งตัวเสร็จ รีบใส่เฝือก และปิดผ้าแต่ยังปิดได้ไม่ดี เปิดเพยิบๆ เขารีบขยับใหม่ บุญเติมเดินหาในห้อง
“คุณหนูครับ คุณหนู”
บุญเติมหาไม่เจอ แล้วเอะใจหันไปทางห้องน้ำ หมุนลูกบิดห้องน้ำเปิดเข้าไป อนวัชชะงัก และทันใดนั้นประตูก็เปิดออก บุญเติมเห็นอนวัชอยู่ในสภาพทุลักทุเล เฝือกคาอยู่ ผ้าปิดหน้ายังปิดไม่สนิท บุญเติมจะตะโกน อนวัชไหวตัวทันรีบปิดปากบุญเติม
“เอ๊ย เงียบๆ”
อนวัชลากตัวบุญเติมเข้ามาให้ห้องน้ำ และปิดล็อคห้อง
“เงียบๆ อย่าส่งเสียง”
บุญเติมอึ้ง ในขณะที่หทัยรัตน์ยืนดูที่ระเบียงจนแน่ใจว่าไม่มี ก็เดินเข้ามาในห้อง แปลกใจไม่เห็นบุญเติม บุญเติมยังอึ้งอยู่ อนวัชรีบกระซิบกระซาบ
“ตะโกนออกไปบอกว่าอยู่ในห้องน้ำ”
“เอ่อ ผม ผมอยู่ในห้องน้ำครับ”
“แล้วเข้าไปทำอะไรในนั้น”
บุญเติมอึกอัก อนวัชกระซิบ
“ปวดท้องกะทันหัน”
“เอ่อ คือ ผมเกิดปวดท้องกะทันหันครับ เลยลงไปข้างล่างไม่ทัน ผม ผมขอโทษนะครับ”
“แล้วเธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
บุญเติมอึกอัก อนวัชส่ายหน้า
“เปล่าครับ ไม่มากครับ”
อนวัชกระซิบต่อ บุญเติมรีบบอก
“คุณปุ้มครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเห็นคุณหนูนั่งรถเข็นไปที่สวนครับ คุณปุ้มลองเดินไปดูที่สวนนะครับ ผมทำธุระเสร็จแล้ว ผมจะรีบไปครับ”
“ได้ งั้นฉันลงไปหาคุณอนวัชก่อนนะ”
หทัยรัตน์รีบเดินไปเลย อนวัชเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงหทัยรัตน์เดินออกจากห้องไปแล้ว ก็ถอนใจโล่งอก บุญเติมยังงงอยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณหนู ทำไมหน้ากับขาคุณหนูถึงได้”
“เอาน่า เรื่องมันยาว เดี๋ยวฉันค่อยเล่า แกรีบออกไปเอารถเข็นมาให้ฉัน แล้วพาฉันไปที่สวนเร็ว”
“ครับ”
บุญเติมรีบวิ่งออกไป อนวัชถอนใจ แล้วก็นึกได้ว่าต้องรีบ จึงลุกพรวดตามบุญเติมออกไป
หทัยรัตน์เดินหาอนวัชอยู่ในสวน
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
มุมหนึ่งไม่ห่างกัน อนวัชรีบวิ่งกระเผลกๆ มา บุญเติมยกรถเข็นตาม อนวัชชี้ให้วาง
“ไว้ตรงนี้ ไปได้แล้ว”
“ครับ”
บุญเติมรีบวิ่งไปงงๆ อนวัชทำฟอร์มเป็นคนป่วย เรียกความน่าสงสารกลับคืนมา
“คุณอนวัช คุณอนวัช”
“ฉันอยู่ที่นี่”
หทัยรัตน์ชะงักรีบเดินมาตามเสียง อนวัชนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างเสแสร้ง หทัยรัตน์เดินมาเจอก็ตกใจ
“คุณทำให้ฉันตกใจหมดเลย ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่คะ”
“ก็ฉันเบื่อ อยู่แต่ในห้องก็เลยออกมาสูดอากาศข้างนอก มีอะไรเหรอ ทำไมเธอถึงทำหน้าตาตกใจแบบนี้”
“ก็ฉันกลัวว่าคุณจะคิดสั้นอีกน่ะสิ เฮ่อ แต่เห็นคุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“หทัยรัตน์ เมื่อกี๊ เธอบอกว่าเธอเป็นห่วงฉัน เธอเป็นห่วงฉันจริงๆ เหรอ”
“ก็ถ้าไม่จริงฉันคงจะไม่วิ่งวุ่นหาคุณแบบนี้หรอก”
“แล้วทำไมเธอเป็นห่วงฉัน บอกฉันได้มั้ย ตอนนั้นที่ฉันคิดฆ่าตัวตายเธอก็บอกว่าไม่อยากให้ฉันตาย แต่เธอก็ยังไม่ยอมบอกเหตุผลกับฉัน ตอนนี้เธอบอกฉันได้หรือยัง ว่าทำไมเธอถึงเป็นห่วงฉัน”
“เอ่อ”
“บอกฉันได้มั้ย ฉันอยากรู้”
“บอกได้ค่ะ”
อนวัชลุ้นใจระทึก
“แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
อนวัชเซ็ง
“ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันไม่มั่นใจ ขอให้ฉันมั่นใจมากกว่านี้ แล้วฉันจะบอกคุณเอง”
“แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะมั่นใจ”
“ก็คงจะอีกไม่นานหรอกค่ะ”
“ได้ ถ้าอีกไม่นาน ฉันจะรอ รอจนกว่าเธอจะยอมพูดคำนั้นออกมา”
อนวัชมองหน้าหทัยรัตน์ด้วยความมุ่งมั่น หญิงสาวหลบตาอาย แล้วพูดเฉไฉ
“ตรงนี้แดดร้อนมากแล้ว ฉันพาคุณเข้าไปในบ้านดีกว่านะคะ”
หทัยรัตน์เข็นรถออกไป อนวัชเหนื่อยใจ เมื่อไหร่หญิงสาวจะบอกรักสักที
บุญเติมอยู่กับอนวัช สุดา และสัทธา พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อ๋อ เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว แหม แล้วคุณหนูก็ไม่บอกผมแต่แรก ผมก็ตกใจหมด ถ้ารู้แบบนี้ผมก็จะได้ช่วยคุณหนูให้เต็มที่ไปเลย”
“เอาน่า รู้ตอนนี้แกก็ยังช่วยฉันได้”
“ได้เลยครับ ผมยินดีช่วยเต็มที่”
“ช่วยเต็มที่ยังไงก็ระวังอย่าให้ความแตก” สัทธาเตือน
“ครับผม”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีคะ แป้นไม่เห็นปุ้มจะยอมเปิดปากพูดความรู้สึกกับพี่หนึ่งสักที”
“นั่นสิ เราก็ลองกันมาตั้งหลายแผนแล้วนะ ยัยปุ้มปากแข็งจริงๆ”
“คิดออกแล้ว”
ทุกคนหันมา อนวัชหยิบกระดาษปากกามาเขียนบางอย่าง แล้วยื่นเศษกระดาษให้บุญเติม
“จัดการตามนี้เลยนะ”
อนวัชยิ้มมีเลศนัย สัทธามองความสงสัย
ตอนค่ำ แผ่นเสียงเพลงที่อนวัชต้องการอยู่ในมือของบุญเติม บุญเติมเอาแผ่นเสียงใส่ในเครื่องเล่นและเปิดเสียงเพลงจูบ หทัยรัตน์กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ต้องชะงักเมื่อเสียงเพลงดังแว่วเข้ามา เธอนิ่งคิด และภาพความหลังตอนที่จูบกับอนวัชในอดีตผุดขึ้นในความทรงจำ หทัยรัตน์ยิ่งฟังยิ่งเขิน.
ด้านอนวัชนั่งอยู่บนรถเข็นได้ยินเสียงเพลงก็หยุดชะงักและเงี่ยหูฟัง เขาค่อยๆ เข็นรถมาหยุดที่ริมหน้าต่างเพื่อฟังเพลง สักพักหทัยรัตน์เดินเข้ามาหา
“คุณอนวัชยังไม่นอนเหรอคะ”
“กำลังจะนอนแต่ได้ยินเพลงนี้ก็เลยนอนไม่หลับ เธอก็นอนไม่หลับเหมือนกันใช่มั้ย”
หทัยรัตน์หลบตาแทนคำตอบ
“น่าเสียดายนะที่ฉันเดินไม่ได้ ไม่งั้นฉันจะขอเธอเต้นรำกับฉันสักเพลง”
อนวัชมองที่ขาตัวเองด้วยความเศร้า
“พูดถึงเรื่องเต้นรำก็แปลกดีนะ ครั้งแรกเธอวิ่งหนีฉัน ครั้งที่สองฉันต้องบังคับเธอถึงยอมเต้นรำกับฉัน ส่วนตอนนี้ถึงฉันอยากเต้นรำและเธอก็ยินยอม ฉันกลับเต้นไม่ได้”
หทัยรัตน์เห็นแล้วสงสาร เดินเข้ามาหา
“คุณก็ไม่จำเป็นต้องเดินนี่คะ”
อนวัชแปลกใจ หทัยรัตน์ค่อยๆ จับมือชายหนุ่มและดึงเขาให้ยืนขึ้น จับมืออนวัชอ้อมมาที่เอว และเธอวางมือตัวเองบนไหล่เขา อีกมือก็จับมือของอนวัชไว้
“หลับตาและคิดว่ากำลังเต้นรำอยู่นะคะ”
อนวัชทำตาม ค่อยๆ หลับตาลง หทัยรัตน์ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้และประคองตัวอนวัชไว้ ทั้งสองคนยืนนิ่งเหมือนกอดกันอยู่ริมหน้าต่าง เสียงเพลงดังแว่วมากับสายลม หทัยรัตน์มองอนวัชในระยะใกล้ และรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เธอซบศีรษะที่ไหล่ชายหนุ่ม อนวัชอมยิ้มมีความสุข
อีกมุมหนึ่งของบ้านไม่ห่างกัน สุดากับสัทธา ค่อยๆ ย่องมาแอบดู บุญเติมตามมาห่างๆ ด้วยความอยากรู้
“พี่ปุ๊ๆ ดูๆ หวานมาก”
“เห็นแล้วๆ แผนไอ้หนึ่งใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย”
สุดายิ้มค้าง แล้วก็คิดได้
“แต่ เต้นรำแบบนี้ มันจะพอให้ปุ้มเคลิบเคลิ้ม สารภาพความรู้สึกออกมาเหรอคะ”
สัทธาชะงักกึก
“เออ นั่นน่ะสิ”
ทันใดนั้นบุญเติมก็จามออกมาเสียงดังมาก สุดากับสัทธารีบหันมาห้าม หทัยรัตน์กำลังเต้นรำสะดุ้งโหยง อนวัชเซ็ง หทัยรัตน์ถอย คลายจากวงกอด มองมาที่ต้นเสียง
“เสียงใครจาม”
สุดา สัทธา รีบหลบวูบ บุญเติมรีบหลบตาม สัทธาส่งสัญญาณมือให้ทุกคนแยกย้าย ทั้งสามรีบกลับเข้าที่ตั้งของตัวเอง หทัยรัตน์ชะเง้อมองหา อนวัชรีบบอก
“ก็คงจะบุญเติมมาเดินตรวจตรารอบๆ บ้านมั้ง”
หทัยรัตน์หันมาทางอนวัช ได้สติรู้สึกเขินมาก
“นี่ก็ดึกแล้ว เข้านอนเถอะค่ะ”
“อ้าวแต่ ยังเต้นรำไม่จบเพลงเลย”
หทัยรัตน์เดินไปปิดเพลง
“ดึกแล้ว เอาไว้เต้นต่อวันหลังเถอะค่ะ”
“แต่”
หทัยรัตน์ไม่ฟัง ค่อยๆ กดให้อนวัชนั่งบนรถ และเข็นไปเลย อนวัชเซ็ง
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
สุดากำลังหวีผมให้หทัยรัตน์อยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นก็คิดๆ แล้วก็ถามขึ้น
“ปุ้ม พี่ถามอะไรหน่อยสิ เอ่อ เรื่องพี่กับคุณชายประสาทพร ปุ้มไม่โกรธพี่ใช่มั้ย”
หทัยรัตน์ชะงัก ค่อยๆ หันมามองหน้าพี่สาวและพูดอย่างจริงใจ
“ปุ้มไม่โกรธเลยค่ะ ไม่แม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม ปุ้มดีใจมากๆ ด้วยซ้ำ ที่พี่แป้นกับคุณชายชอบพอกัน คุณชายเป็นคนดี เพียบพร้อมทุกอย่าง พี่แป้นก็เป็นพี่สาวที่แสนดี เพียบพร้อมไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน พี่แป้นกับคุณชายเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดแล้วค่ะ”
สุดาโล่งใจ จับมือหทัยรัตน์และนั่งลงข้างๆ
“ไม่จริงหรอก คู่พี่กับคุณชาย ยังไม่เหมาะสมเท่ากับคู่ของปุ้มกับพี่หนึ่ง”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ปุ้มรู้ตัวหรือเปล่า ตอนนี้ปุ้มกำราบพี่หนึ่งซะราบคาบเลยนะ คุณหนึ่งที่แสนจองหอง เย่อหยิ่ง ไม่เคยสนใจใคร กลายเป็นแมวหงอยรอคอยให้ปุ้มหันมาสนใจ”
“ทุกวันนี้ปุ้มก็สนใจอยู่แล้วนี่คะ ดูแลทุกวัน ทั้งวัน จะต้องทำตัวเป็นแมวหงอยทำไมกัน”
“สนใจก็ส่วนหนึ่ง แต่พี่ว่า พี่หนึ่งคงต้องการมากกว่านั้น ปุ้ม พี่ถามจริงนะ ปุ้มเคยบอกรักพี่หนึ่งหรือเปล่า”
หทัยรัตน์สะอึก
“บอกรัก หรือ บอกให้พี่หนึ่งรู้ว่ารักน่ะ เคยมั้ย”
หทัยรัตน์ส่ายหน้า
“แล้วทำไมไม่บอกล่ะ ตอนนี้พี่หนึ่งต้องการกำลังใจ ถ้าพี่หนึ่งได้ยินสักคำ ว่าปุ้มรักพี่หนึ่งมากแค่ไหน พี่หนึ่งอาจจะมีกำลังใจลุกขึ้นมาเดินอีกครั้งก็ได้นะ”
“คนอย่างคุณอนวัชได้ทุกอย่างมาอย่างง่ายดาย และเขาไม่เคยเห็นคุณค่าที่แท้จริง ที่ผ่านมาปุ้มเจอคำถากถาง การประชดประชันจนปุ้มไม่แน่ใจ ถ้าเราเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกไป เขาอาจจะไม่เห็นคุณค่าของมันก็ได้”
“ปุ้มพูดแบบนี้แสดงว่า ปุ้มยอมรับแล้วใช่มั้ยว่า ปุ้มรักพี่หนึ่ง”
หทัยรัตน์ส่งสายตาเหมือนจะ ใช่ แต่ไม่ยอมพูด สุดามองออก ดึงน้องสาวเข้ามากอด
“โธ่ ยัยปุ้มเอ๊ย เห็นทำเก่ง ที่แท้ก็ขี้กลัว พี่ว่าปุ้มไม่ต้องกลัว พี่หนึ่งเปลี่ยนไปแล้ว เขารู้แล้วว่าปุ้มมีค่ามากแค่ไหน ถึงปุ้มไม่ยอมพูด แต่การกระทำทุกอย่าง มันก็บ่งบอกว่าปุ้มรักพี่หนึ่ง และพี่หนึ่งก็เห็นคุณค่าของทุกการกระทำ”
หทัยรัตน์ฟังแล้วใจอ่อนยวบ ทุกอย่างที่ผ่านมา ทำให้เธอเริ่มอ่อนลง และเริ่มจะเปลี่ยนความคิด
“ชีวิตคนเราสั้นนักนะปุ้ม อย่าขังตัวเราไว้กับความกลัว ปุ้มปิดปากเงียบไม่แสดงความรู้สึกออกมาแบบนี้ นอกจากปุ้มจะอึดอัด พี่หนึ่งก็เสียกำลังใจไปด้วย ถึงปุ้มพูดออกมาว่า รัก คุณค่าในตัวปุ้มก็ไม่ลดลงแน่นอน”
หทัยรัตน์คิดตาม แววตาเริ่มอ่อนลง เห็นด้วยกับพี่สาว
เช้าวันใหม่ หทัยรัตน์กำลังรื้อกระเป๋าและหยิบจดหมายที่อนวัชเขียนให้ออกมาดู อ่านอย่างมีสติ
“ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ”
หทัยรัตน์ค่อยๆ เอาจดหมายมาแนบอก ยิ้มนิดๆ เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ส่องแสงจ้ำพรวดๆ เข้ามาที่บ้านพักของอนวัชอย่างร้อนใจ บุญเติมคอยวิ่งไล่ตาม
“คุณครับ คุณหนึ่งป่วยอยู่นะครับ คุณหนึ่งกำชับว่าไม่อยากพบใครทั้งนั้น คุณรออยู่ข้างนอกนี่ดีกว่านะครับ แล้วผมจะไปตามคุณปุ้มคู่หมั้นของคุณหนึ่งมาพบคุณที่นี่”
“แกไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน ฉันมาหาพี่หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่นังปุ้ม ถ้าแกฟังไม่รู้เรื่องฉันจะไปฟ้องคุณลุงวิทย์”
บุญเติมสะดุ้ง ตกใจและเริ่มกลัว ไม่กล้าห้าม ส่องแสงได้ทีรีบเดินเข้าไปในบ้าน บุญเติมคิดว่าจะทำอย่างไรดี
หทัยรัตน์กำลังจัดอาหารเช้าใส่ถาดจะยกไปให้อนวัช มีดอกไม้วางอยู่ในถาดอาหารด้วย พอจัดเสร็จก็หันมาหยิบจดหมายที่อนวัชเขียนให้ออกมาดู ยิ้มๆ และวางไว้ในถาดอาหาร บุญเติมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณปุ้มครับ เกิดเรื่องแล้วครับ”
“มีอะไรเหรอบุญเติม”
“มีคนมาหาคุณหนูครับ ผมห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ตอนนี้วิ่งขึ้นไปหาคุณหนูที่ห้องพักแล้วครับ เขาบอกว่าเขารู้จักกับคุณท่านด้วยนะครับ”
หทัยรัตน์แปลกใจ
ส่องแสงเดินตามหาอนวัช อนวัชนั่งอยู่ที่ระเบียง เงี่ยหูฟังเหมือนได้ยินเสียงส่องแสง เขาแปลกใจเข็นรถจะมาที่ห้องพัก ส่องแสงเดินอยู่ในห้องอนวัช ยังเรียกต่อ
“พี่หนึ่ง พี่หนึ่ง”
หทัยรัตน์เดินเข้ามา
“คุณส่องแสง มีธุระอะไรกับคุณอนวัชไม่ทราบคะ”
ส่องแสงชะงัก หันมาเผชิญหน้า
“ฉันจะมีธุระอะไรก็ไม่จำเป็นต้องบอกเธอ พี่หนึ่งอยู่ไหน ฉันต้องการคุยกับพี่หนึ่ง”
“คุณอนวัชกำลังพักผ่อน ไม่ต้องการให้ใครรบกวน ถ้าคุณมีธุระสำคัญคุณคุยกับดิฉันได้นะคะ”
“คุยกับหล่อนเนี่ยนะ ในฐานะอะไรยะ เธอไม่มีสิทธิ์จะมาแสดงตัวรับเรื่องอะไรแทนพี่หนึ่งทั้งนั้น”
“มีสิคะ ดิฉันมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ ในฐานะคู่หมั้นของคุณอนวัช”
ส่องแสงชะงักและเบ้หน้า
“เหอะ คู่หมั้นที่พี่หนึ่งเขาจำใจต้องหมั้นเพราะโดนบังคับน่ะเหรอ นี่ฉันจะบอกให้นะ ถ้าพี่หนึ่งเขาไม่ห่วงหน้าตาของผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เห็นแก่สังคมภายนอก อย่าคิดเลยว่าเขาจะยอมหมั้นกับเธอ”
ส่องแสงเชิดใส่ หทัยรัตน์เดือด อนวัชเข็นรถมาได้ยินพอดี ส่ายหน้า กำลังจะเข้าไปห้าม ส่องแสงเชิดใส่อย่างไม่กลัว
“เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าพี่หนึ่งเขาถอนหมั้นเธอแล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็ควรจะเลิกใช้คำว่า คู่หมั้นของพี่หนึ่ง แล้วรีบเก็บเสื้อผ้ากลับไปกรุงเทพซะ พี่หนึ่งไม่มีวันกลับไปหาเธอ เพราะเขารักฉัน เขาถอนหมั้นกับเธอเพื่อมาแต่งงานกับฉัน”
ส่องแสงยิ้มอย่างผู้ชนะ หทัยรัตน์ตอกกลับนิ่งๆ แต่หนักแน่น
“การโกหกคนอื่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ และการโกหกตัวเองก็เป็นสิ่งที่น่าสมเพช คุณทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน คุณจึงเป็นคนน่ารังเกียจ และก็น่าสมเพชที่สุด”
ส่องแสงหุบยิ้ม อึ้งตะลึง ไม่เคยเห็นหทัยรัตน์ตอกกลับอย่างหนักแน่นแบบนี้ อนวัชชะงักหยุดฟังต่ออย่างตื่นเต้น สุดากับสัทธารีบเดินมาหา
“หนึ่ง เติมบอกว่ามีคน”
“ชู่ว”
สัทธากับสุดารีบหรี่เสียง เดินเบาๆ และเข้ามาใกล้ๆ ทั้งสามคนแอบดู ในขณะที่ส่องแสงกรีดร้อง
“อ๊าย นี่นังปุ้ม แกด่าฉันเหรอ”
“ดิฉันไม่ด่า แต่พูดเพื่อให้คุณได้สติ และเห็นว่าตัวเองเป็นยังไงในตอนนี้”
“ฉันจะเป็นยังไง ฉันก็เป็นคนที่ดีกว่าเธอ สวยกว่า รวยกว่า เพียบพร้อมกว่าทุกอย่าง และพี่หนึ่งจะต้องเลือกฉัน ไม่ใช่แก”
“คุณจะพูดเพ้อเจ้ออะไรก็พล่ามไปเถอะค่ะ คำพูดคุณไม่มีอะไรที่จริงแม้แต่คำเดียว”
“ทำไมไม่จริง ฉันพูดจริงทุกคำ”
“ที่คุณบอกว่าคุณอนวัชรักคุณ จะแต่งงานกับคุณ แค่นี้ก็ไม่จริงแล้ว”
“ทำไมจะไม่จริง”
“ก็เขาบอกฉันเองว่าเขาไม่ได้รักคุณ และคนที่เขารักคือฉัน”
ส่องแสงช็อค หทัยรัตน์นิ่ง
“ต๊าย นังหน้าด้าน มาอ้างว่าพี่หนึ่งรักแก กล้าพูดไม่ดูหนังหน้าตัวเอง แกนั่นแหละเพ้อเจ้อ ไม่มีวันที่พี่หนึ่งจะรักผู้หญิงไม่มีอะไรอย่างแก เขารังเกียจแกยังกะอะไรดี ไม่รู้ตัวหรือไง”
"คุณนั่นแหละที่ไม่รู้ตัว คุณสร้างเรื่องทุกอย่าง ตั้งแต่จัดฉากวันที่คุณชายกับฉันไปร้านหนังสือ และยังพูดเป่าหูอีกสารพัด คำพูดของคุณทำอะไรฉันไม่ได้อีกต่อไป เพราะฉันไม่เชื่อ คนที่ฉันเชื่อคือคุณหนึ่ง"
"ฉันเชื่อที่เขาบอกว่า เขารักฉัน และฉันก็รักคุณหนึ่งคนเดียวเท่านั้น"
หทัยรัตน์พูดโพล่งออกไปเลย ส่องแสงชะงักกึก
อนวัชยิ้มตื่นเต้นดีใจ สุดา สัทธา ตาโตดีใจ ส่องแสงกรีดร้องใส่
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ พี่หนึ่งไม่มีวันพูดแบบนั้น พี่หนึ่งเขารักฉัน พี่หนึ่งไม่มีวันรักแก แกโกหก ฉันไม่เชื่อแก”
“หยุดส่งเสียงกรี๊ดๆๆๆ แล้วก็ออกจากบ้านนี้ไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ อย่ากลับมาเพื่อสร้างความลำบากให้คุณหนึ่งอีกเลย สิ่งที่เขาเจอมันหนักหนามากพอแล้ว เชิญกลับไปซะ”
“แกไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉัน ฉันจะไปหาพี่หนึ่ง พี่หนึ่งคะ พี่หนึ่ง”
ส่องแสงจะเดินไป หทัยรัตน์มาขวางไว้
“ฉันบอกว่าไม่ให้ไป หยุดนะ”
ส่องแสงเอามือปัด ยื้อยุดกับหทัยรัตน์
“ปล่อยฉันนะ อีบ้า นังเด็กบ้า แกจะมากไปแล้วนะ ฉันบอกให้ปล่อย”
ส่องแสงกรีดเสียงร้อง พร้อมกับจะออกแรงผลักหทัยรัตน์ ทันใดนั้น เสียงอนวัชก็ดังขึ้น
“พอได้แล้วส่อง หยุดได้แล้ว”
ส่องแสงและหทัยรัตน์ชะงักไป อนวัชนั่งอยู่บนรถเข็น
“ทำตามที่หทัยรัตน์บอก กลับออกไปซะ”
“พี่หนึ่ง พี่หนึ่งพูดเพราะโกรธส่องใช่มั้ยคะ โกรธที่ส่องไปแต่งงานกับคุณรวยและไม่ยอมแต่งงานกับพี่หนึ่งใช่มั้ยคะ ส่องขอโทษนะคะ ส่องตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว ส่องขอโทษนะคะ พี่หนึ่งให้โอกาสส่องอีกครั้งนะคะ”
ส่องแสงเข้ามาคุกเข่ากอดอนวัช
“นะคะ พี่หนึ่งยกโทษให้ส่องและเราจะได้แต่งงานกันอย่างที่พี่หนึ่งต้องการไงคะ”
สัทธากับสุดาส่ายหน้าเอือมระอา
“ยัยส่องพอเถอะ มันจะมากเกินไปแล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่ปุ๊ ไม่ใช่เรื่องของใครทั้งนั้น นอกจากฉันกับพี่หนึ่ง”
“แต่พี่ส่องเป็นพี่ของแป้น แป้นไม่อยากให้พี่ส่องทำอะไรที่มันเสียเกียรติแบบนี้”
“หุบปากไปเลยนะยัยแป้น ไม่ใช่เรื่องของเด็ก อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธออิจฉาพี่มาตั้งแต่เด็ก แต่สวยสู้พี่ไม่ได้ ก็เลยใช้นังเด็กปุ้มเป็นเครื่องมือเอาชนะพี่”
“ไม่ใช่นะคะ”
สัทธาจับมือให้สุดาหยุด พูดไปก็ไม่มีประโยชน์
“นะคะพี่หนึ่ง ยกโทษให้ส่อง แล้วเรากลับไปแต่งงานกันนะคะ”
อนวัชแกะมือส่องแสงออก
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะพี่ไม่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ ครั้งก่อนพี่ยังพูดไม่จบ แต่เธอคิดไปเอง พี่ขอโทษ ที่ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าพี่อยากแต่งงานกับเธอ แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะคนที่พี่จะแต่งงานด้วยคือหทัยรัตน์คนเดียวเท่านั้น”
ส่องแสงอึ้งไป
“ไม่จริง พี่หนึ่งโกหกใช่มั้ยคะ”
“พี่พูดความจริง”
“ก็ได้ ถ้าพี่หนึ่งเห็นนังปุ้มดีกว่าส่องก็ขอให้พี่หนึ่งอยู่กับมันอย่างมีความสุขก็แล้วกัน จะว่าไป พี่หนึ่งกับนังปุ้มก็เหมาะสมกันดี อีกคนก็เป็นเด็กกำพร้าอนาถา อีกคนก็ง่อยเปลี้ยเสียขา แถมยังหน้าตาอัปลักษณ์อีกต่างหาก”
อนวัชชะงักไป หทัยรัตน์มองอนวัชด้วยความสงสาร และหันมาต่อว่าส่องแสง
“คุณส่องแสง เชิญคุณออกไปได้แล้ว ถ้าคุณยังอยู่ และพูดจาพล่อยๆ แบบเมื่อกี๊อีก อย่าหาว่าฉันรุนแรง”
หทัยรัตน์กำหมัด พร้อมลุย อนวัชอึ้งที่หทัยรัตน์เดือดร้อนแทน
“ย่ะ ไม่ต้องไล่ ฉันก็ไปแน่ นี่นังปุ้มแกอย่าคิดนะว่าฉันจะอิจฉาแก เพราะฉันสมเพชแกมากกว่า ที่ต้องทนดูแลสามีหน้าตาอัปลักษณ์และยังพิการไปตลอดชีวิต”
ส่องแสงเชิดใส่อย่างถือตัว ทำเป็นพูดดูถูกกันการเสียหน้า สัทธาทนไม่ได้ พูดเสียงเข้ม
“คนที่น่าสมเพชคือ เธอ ไม่ใช่ ปุ้ม”
ส่องแสงแปลกใจหันมา อนวัชกับสัทธามองหน้ากัน พยักหน้าเหมือนจะบอกว่าได้เวลาเปิดเผยแล้ว สัทธาค่อยๆ ดึงผ้า และภายใต้ผ้าพันแผลคือใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของอนวัช ส่องแสงตกใจ
“พี่หนึ่ง”
“คุณอนวัช หน้าคุณ”
อนวัชยกมือขึ้นยังไม่ให้พูด และค่อยๆ ถอดเฝือกออก ลุกขึ้นยืนตามปกติ ส่องแสงช็อค
“ขา แล้วหน้า แล้ว พี่หนึ่ง โอย”
ส่องแสงเซจะเป็นลม
“นี่มันอะไรกันคะเนี่ย”
“พี่กุเรื่องทุกอย่างขึ้นมา เพราะต้องการทำให้ปุ้มเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา”
“และเมื่อกี๊ปุ้มก็พูดออกมาแล้ว ต้องขอบคุณพี่ส่องมากนะคะที่ทำให้ปุ้มยอมรับออกมาว่ารักพี่หนึ่ง พวกเราจะได้กลับไปจัดงานแต่งงานกันสักที”
หทัยรัตน์ทั้งอึ้ง ทั้งอาย ส่องแสงรับไม่ได้
“มะ ไม่จริง ไม่จริง”
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ใครที่รักฉันจริง และใครที่ไม่จริงใจ”
“เอ่อ พี่หนึ่งคะ ส่อง”
อนวัชตะโกนขึ้น
“บุญเติม”
“คร้าบ”
บุญเติมรีบวิ่งเข้าไป
“คุณส่องเขาหมดธุระแล้ว พาตัวเขาไปส่งที่หน้าประตูด้วย
“ครับ เชิญครับ”
บุญเติมเดินมาหาส่องแสง
“พี่หนึ่ง แต่ส่อง พี่หนึ่งขา”
“เชิญครับคุณ”
บุญเติมดึงไปเลย
“พี่หนึ่ง ฟังส่องก่อนสิคะ พี่หนึ่ง นี่ปล่อยฉันนะ ฉันบอกให้ปล่อย ปล่อย”
บุญเติมลากส่องแสงออกมา
อนวัชมองตามส่องแสงที่เดินออกไปและยิ้มพอใจหันมาทางหทัยรัตน์ แล้วก็ต้องชะงักเพราะหญิงสาวหน้าหงิกมาก
“เอ่อ”
หทัยรัตน์มองอนวัชซึ่งยืนอยู่อย่างปกติ และหน้าก็ใสปกติ เธอโกรธมาก
“คุณโกหกฉัน ทุกคนโกหกปุ้ม ทำเหมือนปุ้มเป็นตัวตลก คงสนุกกันมากนะคะที่เห็นปุ้มเป็นทุกข์ใจ ร้อนใจด้วยความเป็นห่วง ทุกคนสนุก แต่ปุ้มไม่สนุกด้วยนะคะ”
หทัยรัตน์เดินออกไปเลย อนวัชตกใจ
“หทัยรัตน์”
อนวัชรีบตามไป สุดาจะตาม แต่สัทธาจับมือไว้ ให้อนวัชทำความเข้าใจเอง
หทัยรัตน์หยิบกระเป๋าเดินทางมา และเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยความฉุน อนวัชรีบวิ่งตามเข้ามาในห้อง
“นี่คุณจะทำอะไร”
“ฉันจะกลับบ้าน ฉันไม่อยากอยู่เป็นคนหน้าโง่ ให้คุณหลอกอีกต่อไปแล้ว”
อนวัชรีบจับมือหทัยรัตน์ให้หยุด และอ้อนวอน
“เดี๋ยวสิ หยุดคุยกันก่อน อย่าเพิ่งโกรธได้มั้ย ก็เพราะเธอเป็นคนปากแข็งนี่ไม่ยอมรับสักทีว่ารักฉัน ฉันก็ต้องใช้วิธีนี้ แล้วเนี่ยดูสิกว่าจะยอมรับได้ เล่นเอาฉันเหนื่อยแทบตาย”
“หลอกคน เหนื่อยด้วยเหรอคะ”
“เหนื่อยสิ โดยเฉพาะหลอกคนฉลาดอย่างเธอ”
“ไม่ต้องมายอกันหรอกค่ะ ถ้าดิฉันฉลาดจริง คงไม่โง่หลงเชื่อแบบนี้ ปล่อยฉันนะคะ ฉันจะกลับบ้าน”
“ฉันให้เธอกลับแน่ แต่เธอต้องรับปากฉันก่อนว่าจะไม่โกรธฉัน และกลับไปถึงกรุงเทพแล้วเราจะแต่งงานกันทันที”
“ฉันไม่รับปาก”
“ถ้าไม่รับปากก็ไม่ปล่อย”
อนวัชดึงหทัยรัตน์มากอด หญิงสาวตกใจพยายามดันตัวออก
“ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อยจนกว่าจะรับปากในสิ่งที่ฉันต้องการ”
“ไม่ คุณจะไม่ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ ฉันไม่รับปากทั้งนั้นปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย ถ้าเธอดิ้นมากกว่านี้นะ ฉันก็จะกอดให้แน่นกว่านี้”
“นี่คุณจะบ้าเหรอ”
“เธอนั่นแหละท่าจะบ้า เมื่อกี๊ยังบอกอยู่เลยว่ารักฉัน แต่ตอนนี้ยังทำดื้ออีก นี่ เมื่อไหร่จะเลิกดื้อสักทีนะ ดื้อนักต้องปราบให้เข็ด”
อนวัชกอดไม่พอ หอมแก้มด้วย หทัยรัตน์ตกใจ
“นี่คุณทำอะไร”
“ก็ทำให้เธอยอมน่ะสิ ถ้ายังไม่ยอมแต่งงานกับฉันนะฉันจะทำให้มากกว่านี้เลย ไม่เชื่อลองดู ไม่ยอมใช่มั้ย”
อนวัชพุ่งมาหอมแก้มหนึ่งฟอด หทัยรัตน์ตกใจ เขินอาย
“คุณอนวัช”
“ยังไม่ยอมอีก”
อนวัชหอมอีกฟอด หทัยรัตน์ตกใจ
“นี่คุณจะบ้าเหรอ พอได้แล้ว”
“ไม่พอ จนกว่าจะยอม จะยอมแต่งมั้ย”
“ไม่แต่ง แล้วก็ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
อนวัชไม่ปล่อย หทัยรัตน์กระทืบลงที่เท้าอนวัชอย่างแรง
“โอ๊ย”
อนวัชตกใจ เจ็บ คลายแขนออกจากหทัยรัตน์ หญิงสาวได้ทีรีบวิ่งหลุดออกจากการกอด และวิ่งไปคว้ากระเป๋า รีบออกไปจากห้องเลย
“หทัยรัตน์เดี๋ยวก่อน หทัยรัตน์”
อนวัชจะวิ่งตาม แต่ก็สะดุ้งเจ็บเท้าที่โดนเหยียบอย่างแรง รีบกระเผลกๆ ตามไปอย่างทุลักทุเล
หทัยรัตน์วิ่งมาหน้าบ้าน บุญเติมเดินมาพอดีหลังจากไล่ส่องแสงไปแล้ว
“บุญเติมไปส่งฉันที่ท่ารถ”
“หะ ท่ารถ เอ่อ คือ”
“เร็ว ถ้าไม่ไปส่ง ฉันจะขับไปเอง ขับไม่เป็นก็ให้มันชนกำแพงตายไปเลย ตกลงจะไป หรือไม่ไป”
“ไปครับ ไป ไปเดี๋ยวนี้ครับ”
บุญเติมรีบขึ้นรถไป สตาร์ทเครื่อง สัทธากับสุดาได้ยินเสียงก็หันมา เห็นหทัยรัตน์อยู่ในรถ และรถเคลื่อนออกไป ทั้งสองรีบวิ่งตาม
“ปุ้ม”
“ปุ้มจะไปไหน”
อนวัชเดินกระเผลกมาพอดี
“หทัยรัตน์”
อนวัชหันซ้ายหันขวา เห็นจักรยานจอดอยู่ รีบวิ่งไปที่จักรยาน
“พี่หนึ่งจะไปไหนคะ”
“ไปตามหทัยรัตน์”
อนวัชรีบปั่นจักรยานตามไปทันที รถบุญเติมค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูบ้าน สัทธากับสุดายืนเหวอ
“อ้าว ไปกันหมดเลย เราจะทำยังไงกันต่อไปดีคะพี่ปุ๊”
“สวดมนต์”
“หะ”
สุดาอึ้งซ้ำกับคำตอบของพี่ชาย
หทัยรัตน์นั่งหน้าหงิกอยู่บนรถ บุญเติมขับไปก็มองหน้าหทัยรัตน์ทางกระจกหลังไปด้วย
“คุณปุ้มจะไปที่ท่าเรือจริงๆ เหรอครับ”
“จริง”
หทัยรัตน์ตอบจริงจังจนบุญเติมสะดุ้ง
“แล้วก็รีบๆ ไปด้วย ขับให้เร็วกว่านี้อีก”
“ครับๆ”
บุญเติมรีบเร่งเครื่องด้วยความไม่แน่ใจ ขับไปก็มองกระจกหลังไปด้วย หทัยรัตน์นั่งหน้าหงิก คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นภาพมารยาของอนวัช ทั้งแกล้งทำเป็นเดินไม่ได้ แกล้งตกเขา แกล้งให้ป้อนอาหาร เช็ดตัว
และตอนเต้นรำ หทัยรัตน์ทั้งอาย ทั้งเขิน ทั้งเสียหน้า
อนวัชปั่นจักรยานสุดชีวิตมาตามถนนที่สองข้างทางมีดอกไม้เต็มทุ่ง ปั่นแบบไม่คิดชีวิต ขณะที่บุญเติมขับรถไปพลางมองกระจกหลังไปพลาง
“คุณ”
“มีอะไร”
“เอ่อ คือ ผมจะถามว่า คุณปุ้มไม่เปลี่ยนใจแน่นะครับ”
“ไม่เปลี่ยน แล้วก็รีบๆ ขับให้เร็วกว่านี้ด้วย”
“เอ่อ คะ ครับ”
บุญเติมทำเป็นรับคำ แต่ในใจคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขามองกระจกหลังเห็นอนวัชปั่นจักรยานตามมา ก็คิดๆ ตัดสินใจปล่อยเท้าออกจากคลัช เป็นจังหวะกึกๆ รถสะดุด เหมือนเครื่องจะดับ หทัยรัตน์แปลกใจ
“รถเป็นอะไร”
“ไม่ทราบครับ สงสัยว่าเครื่องมันจะรวน”
“อ้าว ทำไมมารวนตอนนี้เนี่ย”
“ผมก็ไม่ทราบครับ”
บุญเติมปล่อยคลัชอีกที รถกระตุก แล้วดับวูบ
“อ้าว ดับไปเลย เติมลองสตาร์ทสิ”
“ครับๆ”
“เป็นยังไง”
“ไม่ติดครับ”
“อ้าว”
หทัยรัตน์หน้าเสีย บุญเติมทำหน้าเจื่อน แต่สายตามองไปที่กระจกหลัง เห็นอนวัชปั่นจักรยานเข้ามาใกล้
บุญเติมทำเป็นงกๆ เงิ่นๆ สตาร์ทรถไม่ติดสักที
“เอ เป็นอะไรก็ไม่รู้สิครับ อยู่ๆ รถก็ดับ ว้า แย่จริงๆ เลย”
บุญเติมพูดไปมองกระจกไปด้วย จนหทัยรัตน์เริ่มผิดสังเกต หันหลังไปดูนอกรถ แล้วก็ชะงัก เห็นอนวัชปั่นจักรยานมาเกือบถึงแล้ว
“บุญเติม”
“ครับ”
“ตกลงจะไม่ไปแล้วใช่มั้ย”
“ก็ รถมันเสีย”
“ไม่ต้องมาโกหกเลย ฮึ่ย เล่นละครทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง ไม่ต้องไปส่งแล้ว ฉันไปเองก็ได้”
หทัยรัตน์คว้ากระเป๋าลงจากรถไป
“อ้าว คุณปุ้มครับ คุณปุ้ม”
หทัยรัตน์ไม่ฟังเสียง เดินดุ่มๆ ลัดเลาะเข้าไปในทางเดินเล็กๆ กลางทุ่ง อนวัชเห็นก็รีบปั่นตามไปทันที
หทัยรัตน์เดินหน้าตาบูดบึ้ง ถือกระเป๋าเดินจ้ำอ้าวๆ อนวัชปั่นจักรยานมาถึง รีบเบรก ปล่อยจักรยานทิ้ง และวิ่งตามไป
“หทัยรัตน์รอฉันก่อน หทัยรัตน์”
หทัยรัตน์ไม่หยุด อนวัชรีบวิ่งมาดักหน้า สองคนเผชิญหน้ากัน อนวัชหอบ หทัยรัตน์มองที่ขา
“ดีใจด้วยนะคะ ที่ขาคุณใช้ได้ตามปกติ หลังจากที่เล่นละครมาตั้งนาน”
“โธ่ ปุ้ม ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมขอโทษ”
“หทัยรัตน์ค่ะ กรุณาเรียกชื่อเต็มของฉันเหมือนเดิม เรายังไม่สนิทกันพอจะเรียกชื่อเล่น”
“ปุ้ม ไม่เอาน่า อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมผิดที่โกหกคุณ หลอกให้คุณเป็นห่วง แต่แผนการทุกอย่าง มันทำให้ผมเห็นว่าคุณเป็นคนดีจริงๆ”
อนวัชสารภาพความรู้สึกทุกอย่างออกมา
“ในตอนที่ผมแย่ที่สุด คุณไม่เคยทิ้งผม คุณอยู่เคียงข้างผมตลอดเวลา ผมเคยบอกคุณแล้ว และวันนี้ผมอยากจะบอกคุณอีกครั้ง ผมรักคุณ”
หทัยรัตน์สะท้าน
“รักทุกอย่างที่เป็นคุณ รักความเย่อหยิ่ง ความทระนง ความถือตัว ความดื้อรั้น”
หทัยรัตน์ชักสีหน้านิดๆ
“ทุกอย่างที่เป็นหทัยรัตน์ จะให้ผมพูดอีกสักร้อยครั้ง พันครั้ง ผมก็พูดได้อย่างมั่นใจว่า ผมรักคุณ และที่ผมยอมเล่นละครโกหกคุณ เพียงเพราะต้องการฟังคำเดียวกันจากปากของคุณ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อให้ผมมั่นใจ ว่าคุณรักผม แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากฟังแล้ว”
หทัยรัตน์แปลกใจ
“เพราะการกระทำทุกอย่างของคุณ มันพูดคำๆ นั้น ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ทุกนาที ทุกวินาที”
อนวัชมองหญิงสาวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ผมรู้ว่าคุณรักผม คุณไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่าผมจะไม่เห็นค่าความรักของคุณ”
หทัยรัตน์ชะงัก
“พี่แป้น”
หทัยรัตน์งอนสุดาที่บอกความคิดของเธอกับอนวัช
“ปุ้ม คุณไม่ต้องกลัว ความรักของคุณมีค่าสำหรับผมเสมอ ผมรู้ว่ามันไม่ได้มาง่ายๆ และคุณก็ไม่ได้ให้ใครง่ายๆ”
อนวัชค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าหทัยรัตน์ พูดจริงจัง หทัยรัตน์ใจสั่น น้ำตาปริ่ม
“หทัยรัตน์ การหมั้นของเราครั้งที่แล้ว อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ ความลังเลสงสัยในตัวผม แต่วันนี้ ตอนนี้ นายอนวัชคนนี้ยอมคุกเข่าให้กับคุณคนเดียวเท่านั้น คุณคือผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้จักความรักที่แท้จริง”
หทัยรัตน์ตื้อขึ้นมา
“ผมจะรัก และดูแลคุณให้ดีที่สุด สมกับความรักที่คุณมีให้ผม แต่งงานกับผมนะครับ”
หทัยรัตน์น้ำตาร่วง อนวัชลุ้นรอคำตอบ หญิงสาวมองลึกเข้าไปในแววตาของชายหนุ่มและเห็นความรักความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ เธอตัดสินใจพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“ค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
อนวัชยิ้มกว้าง ดีใจลุกขึ้นและสวมกอดหทัยรัตน์ไว้ด้วยความรัก หทัยรัตน์กระซิบ
“ฉันรักคุณค่ะ”
อนวัชเต็มตื้นราวกับได้ยินเสียงนางฟ้าจากสวรรค์ เขากอดหทัยรัตน์แน่นขึ้นและพูดตอบกลับไป
“แต่ผมรักคุณมากกว่า”
ทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์