เพื่อน แพง ตอนที่ 11
มานพรออยู่ในห้อง เพื่อนเดินกลับเข้ามาหา
“คุณมานพคะ ขอโทษที่ให้รอค่ะ”
“ถ้าคุณจะไม่มาผมก็ไม่ว่าหรอกครับ”
เพื่อนแตะริมฝีปากให้หยุด
“คุณให้เกียรติฉัน ฉันก็ต้องให้เกียรตินั้นคืนกลับคุณ พี่แรมให้ตั๋วละครจันทร์เจ้าขามา เพราะคุณวิชิตไม่ว่างไปชมด้วยกัน คุณมานพพาฉันไปชมละครด้วยกันได้มั้ยคะ”
“ละครเรื่องนี้ผมยังไม่ได้มีโอกาสไปชมเลย ถ้าคุณอยากไป ผมก็พาไปได้ แต่ว่า”
“พี่ลอน่ะเหรอคะ”
มานพพยักหน้า
“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณมานพไม่ต้องกังวล ไปกันเถอะค่ะ”
เพื่อนควงแขนมานพพากันออกไป
ลอนั่งรออยู่นาน พอเจ้าหน้าที่สมาคมเดินเข้ามาก็รีบถาม
“ขอโทษด้วยจ้ะพี่ชาย คุณมานพกับแม่เพื่อนยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอจ๊ะ”
“คุณมานพกับคุณเพื่อนเพิ่งจะขับรถออกไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ออกไปแล้ว ไปไหนกันเหรอจ๊ะ”
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าไม่รู้ ลอสงสัย ระหว่างนั้น แรมแอบเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ยิ้มร้าย ทำเป็นถือแก้ววิสกี้เดินโฉบเข้ามาใกล้ๆ แล้วชนเข้ากับเจ้าหน้าที่สมาคม
“ว้าย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเหรอไงยะ เสื้อผ้าฉันแพงๆ เลอะเทอะหมดแล้ว”
“ขอโทษด้วยครับคุณผู้หญิง”
ลอหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อเห็นแรมอยู่ตรงหน้า
“พี่แรม”
“ไอ้ลอ”
“อีตัวแสบ หากันแทบพลิกแผ่นดิน ที่แท้ก็มาโผล่อยู่ที่นี่”
ลอเอาเรื่อง เดินเข้าไปหา แรมทำตกอกตกใจกลัวลอจะจับ
“อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย คนบ้ามันจะทำร้ายฉัน ช่วยด้วย”
แรมร้องโวยวายให้สุภาพบุรุษในนั้นช่วย ลอเลยถูกชายฉกรรจ์ 2 คนเข้ามาขวาง
“อย่ามายุ่ง อีแรมมันนังอสรพิษ ฉันต้องลากคอมันเข้าตะราง”
ไม่มีใครเชื่อลอ เพราะสภาพดูไม่น่าเชื่อถือ ลอโดนชายฉกรรจ์ในนั้นชกหน้า แรมได้โอกาสรีบหนีออกไป ลอไม่ยอมหยุด ลุกพรวดแล้วผลักชายฉกรรจ์พวกนั้น
“อีแรม ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งหนีไปง่ายๆ หรอก”
แรมรีบเดินออกมาที่หน้าสมาคม ขึ้นสามล้อถีบที่รอรับอยู่ คล้อยหลังไกลๆ ลอวิ่งไล่ตามออกมา โดยมีพวกชายฉกรรจ์จะตามมาลากตัวลอกลับไป ลอเลยต้องหันไปแลกหมัดซัดกันนัวและสามารถเล่นงาน พวกนั้นได้อยู่หมัด แรมนั่งอยู่บนสามล้อยิ้มร้าย ก่อนจะหันไปบอกสามล้อถีบ
“จัดการตามที่ฉันสั่งแล้วใช่มั้ย”
คนขับสามล้อพยักหน้า
“งั้นก็รีบไปได้แล้ว”
สามล้อถีบรีบพาแรมออกไปอย่างรวดเร็ว ลอวิ่งไล่ตามเกือบจะคว้าตัวได้แต่ก็ไม่ทัน
“มึงทำร้ายแม่เพื่อนของกู มึงต้องชดใช้”
แพงออกมาชะเง้อคอมองหาลอที่หน้าบ้าน โฉมฉายตามออกมา
“แพง ตกลงจะไม่ไปมิวเซียมกับน้าจริงๆ เหรอ”
“แพงต้องขอโทษน้าโฉมจริงๆ จ้ะ แพงก็อยากไปมิวเซียมกับน้ากับเพื่อนน้าด้วย แต่ว่า แพงยังท่องตำราที่ครูฝรั่งสั่งให้ท่องไม่ได้เลยจ้ะ”
“งั้นไม่เป็นไรจ้ะ แพงตั้งใจท่องตำราเถอะ ครูเขาเจอน้าเขาชมแพงให้น้าฟังว่าแพงฉลาด แล้วก็เรียนรู้เร็ว ถ้าได้รับการอบรมให้ความรู้ดีๆ อนาคตของแพงต้องไปได้อีกไกลแน่”
“จ้ะน้าโฉม”
“งั้นน้าไปนะจ๊ะ”
โฉมฉายลูบแก้มหลานสาวอย่างเอ็นดูแล้วเดินเข้าไปในบ้าน แพงหันมาชะเง้อรอลอ
“อีแพง กู้ดอีฟเตอร์นิ่ง”
“ว่าไงนะจำปา”
“ถึงกับตกใจเลยเหรอ แสดงว่าสำเนียงที่ข้าฝึกไว้พูดกับฝรั่งมันเข้าท่าน่ะสิ”
จำปาหันมาตั้งท่าเก๋ๆ ทำโบกมือเรียกเวลาเจอฝรั่ง
“เฮ้ย ฝรั่งโว้ย กู้ดอีฟเตอร์นิ่งว่ะ”
“จำปา มั่วใหญ่แล้ว ไม่มีหรอกกู้ดอีฟเตอร์นิ่ง ถ้าจะทักตอนกลางวันก็ต้องกู้ดอาฟเตอร์นูน ทักตอนกลางคืนก็ต้องกู้ดอีฟนิ่ง ไม่มีเอามาผสมกันมั่วหรอก”
“อ้าวเหรอ ปั๊ดโธ่เว้ย ข้ารึก็อุตส่าห์ตั้งใจท่อง สงสัยต้องกลับไปนั่งท่องใหม่”
จำปาจะเดินออกไปแต่นึกขึ้นได้
“เออ เกือบลืมซะสนิท มีจดหมายจากบ้านสร้างมาถึงเอ็ง ข้าไปวางไว้ให้ที่ห้องเอ็งแล้ว”
แพงนั่งอ่านจดหมายของแก้วที่โต๊ะในห้องนอน อดดีใจไม่ได้
“ตอนนี้ที่บ้านสร้างแล้งจนน้ำแห้งขอด จะกินจะอยู่ก็ลำบากกันเหลือกิน ข้ากับไอ้ก้อน ตัดสินใจกันว่าจะไปหางานทำที่พระนครพอให้พ้นแล้ง แต่สำคัญกว่านั้น ข้าอยากมาอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบใจเอ็ง เพราะการตัดใจจากพี่ลอคงทำให้เอ็งต้องเสียใจไม่น้อย ใช่มั้ยอีแพงเพื่อนรัก”
แพงน้ำตาคลอตื้นตันกับน้ำใจของแก้ว
วันต่อมา ก้อนกับแก้วพากันเดินเข้ามาแล้วถึงกับตาโตเพราะถนนเต็มไปด้วยผู้คนและชาว พระนครที่แต่งตัวดูดี ผู้ชายสวมหมวก ผู้หญิงสวมกระโปรง
“ไอ้ก้อน ไอ้ก้อน ดู ดูนั่น รถยนต์ เอ็งเห็นมั้ย ของจริงใช่มั้ย ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย”
“อย่าทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลยแม่แก้ว เดี๋ยวชาวพระนครเขาก็รู้กันหมดหรอกว่าเรามาจากบ้านนอก”
“รู้แล้วจะทำไมหึไอ้แก้ว”
“ก็ไม่ทำไมหรอก”
ก้อนพูดไป แต่สายตาไม่มองแก้ว เพราะมัวแต่มองตามสาวพระนครปากแดงหน้าตาจิ้มลิ้ม ผัดแป้งขาวที่เดินผ่านหน้าไป แก้วไม่พอใจเพราะอ่านสายตาก้อนออก
“อ๋อ ข้ารู้แล้วว่าทำไมถึงไม่อยากให้ชาวพระนครเขามองว่าเป็นบ้านนอก”
แก้วไม่พอใจกระชากหูก้อนแรงๆ
“นี่แน่ะ เหยียบพระนครได้ไม่กี่ก้าวเอ็งก็ออกลายเจ้าชู้ เห็นสาวพระนครปากแดงไม่ได้ ไม่ต้องมาหางานทำแล้ว ข้ากลับไปขุดเผือกขุดมันกิน จะแล้งตายคาบ้านสร้างก็ยอม”
แก้วน้อยใจสะบัดหน้าจะกลับ ก้อนรีบตามไปง้อ
“ไม่เอาน่าแม่แก้วยอดขมองอิ่มของพี่ พี่ก็แค่ตื่นตาตื่นใจไม่เคยเห็นผู้หญิงทาปากแดงเป็นอีกาคาบพริกเดินกันให้พรืดเต็มถนนเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องมาปากหวานกับฉันหรอก แค่ตอนนี้มันก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว อีกหน่อยเถอะ ถ้าอยู่นานวันเข้า อย่างอื่นมันก็คงจะตื่นด้วย”
“เห็นแล้วมันก็น่าตื่นจริงๆ จ้ะ”
“ไอ้ก้อน ยังกล้าปากเก่งอีก ก็ลองตื่นดูสิ อีแก้วนี่แหละจะเฉือนทิ้งโยนให้เป็ดกิน”
“อย่านะจ๊ะแม่แก้ว ผู้หญิงที่ไหนก็มาทำให้ก้อนรักไม่ได้นอกจากแม่แก้ว จริงๆ นะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นไอ้ก้อนจะยอมทิ้งบ้านสร้างมาหางานทำเพื่อไม่ให้แม่แก้วลำบากรึ”
แก้วนิ่งไป ยังไม่หายเคืองได้แต่หางตามอง
“ปากดีไปเถอะ ไว้เจออีแพงเมื่อไหร่ จะให้มันช่วยจัดการ รีบไปได้แล้วเดี๋ยวจะถึงบ้านอีแพงค่ำซะก่อน”
“จ้ะๆๆ งั้นแม่แก้วก็เอาที่อยู่ตามจดหมายของอีแพงมาสิ ฉันจะได้ไปถามชาวบ้านแถวนี้ ว่าต้องไปทางไหน ไม่งั้นก็ต้องเดินวนหากันจนค่ำแน่”
“อ้าว มาถามฉันได้ยังไง ก็ที่อยู่ของอีแพงอยู่กับพี่ไม่ใช่เหรอ”
“เปล่า พี่ไม่ได้ติดมาด้วย ก็นึกว่าแม่แก้วจะติดมา หรือว่า”
แก้วกับก้อนชะงัก มองหน้ากัน
แรมนั่งสามล้อถีบเข้ามาตามถนน ครู่หนึ่งสามล้อก็หยุดตรงทางแยก แรมลงจากสามล้อแล้วยื่นเงินให้
“เดี๋ยวฉันจะล่อมันไปเอง แกกับพวกไปเตรียมรับมือมันได้แล้ว”
สามล้อรับเงินจากแรมแล้วรีบเดินออกไป แรมหยุดรออยู่ครู่ จึงหันไปเห็นลอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เพราะวิ่งตามสามล้อมาตลอดทาง แรมยิ้มร้าย ลอหันมาเห็นแรมยืนอยู่ที่หัวถนนก็ชี้หน้าเอาเรื่อง
“อีแรม อย่าหนีนะเว้ย”
แรมทำหน้าตกอกตกใจแล้วรีบวิ่งหนี ลอวิ่งไล่ตาม แรมวิ่งเข้ามาในตรอกเปลี่ยวๆ ทำท่าตกอกตกใจกลัว ลอวิ่งไล่กวดตามเข้ามาจนทันแล้วคว้าแขนแรมเอาไว้ได้
“แกหนีฉันไม่รอดแล้วนังแรม”
“ไอ้ลอ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันผิดไปแล้ว”
“น้ำหน้าอย่างแกจะมาสำนึกผิดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว”
“คนทั้งบ้านสร้างเขาบอกว่าแกเป็นคนมีน้ำใจ ในเมื่อผู้หญิงอย่างฉันวิงวอนขอให้แกเห็นใจ แล้วแกจะใจดำได้ลงคอเหรอไอ้ลอ”
“สำหรับคนที่สำนึกผิดจริงๆ ไอ้ลออาจจะเห็นใจได้บ้าง แต่สำหรับแก แม้แต่พ่อบังเกิดเกล้าแกยังทำร้ายเขาได้ลงคอ แล้วไหนจะแม่เพื่อนของข้าอีก ที่เกือบต้องตกนรกทั้งเป็น เพราะความเห็นแก่ตัวของแก ที่ที่แกควรจะไปนั่งสำนึกผิดมีที่เดียวคือในตะราง”
ลอฉุดกระชากแรมให้ไปด้วยกัน แต่ทันใดนั้นพวกนักเลงชายฉกรรจ์ 3-4 คน ก็โผเข้ามา คนหนึ่งถีบลอจนเซ ช่วยแรมเอาไว้
“พวกเอ็งเป็นใคร อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า”
“เอ็งทำร้ายผู้หญิงต่อหน้าต่อตา พวกข้าไม่ยุ่งคงไม่ได้”
“แต่นังนั่นมันไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา มันเป็นอีตัวเสนียด มันทำร้ายคนดีๆ แล้วหนีมา”
“พอซะทีเถอะไอ้ลอ ท่าทางเอ็งจะไม่รู้ตัวว่าเอ็งกำลังจะต้องเจอกับอะไร”
แรมเข้าไปยืนกับพวกนักเลง แสดงตัวว่าทั้งหมดเป็นแผนล่อลอมาติดกับ
“นังแรม นี่เอ็งล่อข้ามา”
“หึๆๆ เอ็งก็เหมือนไอ้เปลี่ยวนั่นแหละไอ้ลอ พอตกมันเข้าหน่อยก็เอาแต่ไล่ขวิดดะไป ทั่ว แต่คราวนี้เอ็งขวิดไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“อีแรม”
ลอจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ก็ถูกพวกนักเลงเข้าไปช่วยกันจับแขนลอล็อคตัวเอาไว้ แรมหัวเราะชอบใจ
“จำใส่กบาลเอ็งเอาไว้นะไอ้ลอ ที่พระนครไม่ใช่ที่ของเอ็ง รีบๆ ไสหัวกลับไปบ้านสร้างซะ
ไม่งั้น เอ็งจะต้องเจ็บทั้งตัวและใจ แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”
แรมพยักหน้าให้พวกนักเลงรุมอัดลอ แล้วเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
“อีแรม อีแรม”
ลอถูกพวกนักเลงรุมอัดเล่นงานไม่ยั้งมือ
ถนนพระนครแดดร้อนๆ แก้วเดินบ่นอย่างหัวเสีย
“ต้องมาเดินขาลากหาบ้านอีแพงไม่เจอ กลางถนนพระนครแบบนี้ ความผิดใครบอกฉันมาสิไอ้ก้อน”
“โธ่แม่แก้ว จะมาโทษพี่คนเดียวก็ไม่”
ก้อนจะพูดต่อว่าตัวเองไม่ผิด แต่เจอแก้วจิกหน้าจะเอาเรื่อง ก้อนก็หงอ
“จ้ะ พี่ผิดเอง แม่แก้วคนงามของพี่ทำอะไรก็ไม่ผิด ถูกทุกอย่าง พอใจรึยังจ๊ะ”
“ยังจะมาประชดประชันฉันอีก”
“เอ้า พูดเอาใจแม่ก็ว่าประชดประชัน นี่ถ้าฉันไม่รักหมดหัวใจล่ะก็ ฉันทิ้งให้หลงทาง กลับบ้านไม่ถูกไปแล้วนะแม่”
“ไอ้ก้อน”
“เอาล่ะจ้ะ ฉันไม่พาลทะเลาะกับแม่แก้วแล้ว เดี๋ยวฉันไปถามคนแถวนี้ให้ เผื่อจะมีคนรู้ จักทางไปบ้านคุณนายโฉม”
ก้อนมองหาคนที่จะถามทาง แล้วเห็นชายหนุ่มพระนครแต่งตัวดีจึงเข้าไปถาม
“พี่ชายจ๊ะ รู้จักทางไปบ้านคุณนายโฉมฉายมั้ยจ๊ะ”
“ไม่รู้จัก ไปไกลๆ เลยไป ตัวเหม็นอย่างกับขี้ควาย”
“อ้าว ไม่รู้จักก็บอกไม่รู้ก็พอสิพี่ชาย ทำไมต้องดูถูกกันด้วยวะ”
ก้อนจะเอาเรื่อง ชายหนุ่มสำอางรีบเดินหนี แก้วรีบเข้ามาปราม
“อย่าไปเอาเรื่องเขาเลยจ้ะพี่ก้อน คนพระนครมันก็อย่างนี้แหละ น้ำใจมันแล้งกว่าน้ำที่แห้งขอดบ้านเราซะอีก”
ลอถูกพวกนักเลงต่อยเข้าท้องจนจุกตัวงอ
“ไอ้กระจอกเอ๊ย จำใส่กบาลเอาไว้ อย่าได้ริอวดเก่งกับพวกข้า ยังดีที่คุณแรมเขาสั่งไว้ แค่ซ้อมให้หลาบจำ ไม่งั้นโดนหนักกว่านี้แน่”
นักเลงจะเตะลออีกรอบ แต่อยู่ๆ ลอก็ยกมือขึ้นมารับแข้งไว้
“ตั้งแต่มาเหยียบพระนคร ไอ้ลอก็คันไม้คันมือมาตลอด ขอบใจพวกเอ็งที่ช่วยให้หายคัน”
ลอลุกพรวด จนพวกนักเลงล้ม คนอื่นกรูกันเข้าไปเล่นงาน ลองัดแม่ไม้เชิงมวย เปิดฉากสู้มือเปล่า แบบ 1 ต่อ 3 เชิงมวยของลอเล่นงานพวกนั้นได้อย่างเด็ดขาด จนเกือบจะทำให้พวกนั้นแพ้ แต่ 1 ในนั้นชักปืนออกมาด้วยบันดาลโทสะที่สู้ไอ้ลอไม่ได้ ลอชะงัก เจอปืนจ่อหน้า นักเลงอีกคนรีบห้าม
“เฮ้ย เขาจ้างมาให้แค่ซ้อม ไม่ได้ให้เอาตาย”
“ไม่สนแล้วโว้ย”
นักเลงผลักพรรคพวกออกไปแล้วจะยิง แต่ลอฉวยจังหวะนั้นกระโดดถีบจนล้มพร้อมปืน แล้วลอก็ รีบวิ่งหนีก่อนที่พวกนั้นจะไล่ยิงตามหลัง
ลอวิ่งหนีออกจากตรอกมาโผล่ที่กลางถนน ผู้คนเดินขวักไขว่ พวกนักเลงไล่หลังมาแล้วจะยิงใส่ ลอยืนอึ้งตะลึงหน้าเสีย แต่ปืนในมือนักเลงกระสุนด้าน ลอเลยโผเข้าไปซัดด้วยมือเปล่า คนอื่นๆ ตามมา เลยเปิดฉากรุมใส่ลออีกยก ท่ามกลางเสียงตกอกตกใจของชาวบ้านละแวกนั้น ระหว่างนั้น อีกฟากฝั่งถนน ก้อนกับแก้วเดินเหงื่อซกเข้ามา
“โธ่เว้ย ถามไปก็ไม่มีใครบอก ทำไมคนพระนครมันถึงได้ใจจืดใจดำกันนักวะ”
“บ่นไปแล้วมันช่วยอะไรได้มั้ยล่ะ สงสัยต้องเสียสตางค์จ้างสามล้อให้ไปส่งแล้ว”
“มันก็ดีหรอกนะแม่แก้ว แต่ถ้าสามล้อมันหลอกเอาสตางค์เราล่ะ เกิดบ้านคุณนายโฉมฉายอยู่ไม่ไกล แต่มันขอค่าจ้างเราแพงๆ เราจะหมดตัวเอานะ”
“นั่นสิ แค่ถามทางยังไม่มีใครมีน้ำใจให้เราเลย เอาไงดีล่ะ”
แก้วกับก้อนมองหน้ากันเครียดๆ ระหว่างนั้นเสียงเอ็ดตะโรของพวกชาวบ้านดังมา ชาวบ้านคู่หนึ่ง รีบจูงมือกันเดินหลบผ่านหน้าก้อน
“พวกนักเลงมันตีกัน อย่าเข้าไปใกล้เดี๋ยวโดนลูกหลง”
ก้อนฟังแล้วหันไปมองอย่างสนใจเห็นนักเลงชายฉกรรจ์ 3 คนกำลังรุมผู้ชายคนเดียวอยู่ แก้วรีบปราม
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ไม่ใช่เรื่องของเรานะพี่ก้อน”
“แต่ไอ้ 3 รุม 1 แบบนั้นมันหมาหมู่ไปหน่อยนะแม่แก้ว เราเองก็เพิ่งเจอคนพระนครใจจืดใจดำใส่ พี่ไม่ขอใจดำอย่างคนพระนครหรอก”
ก้อนฝากห่อผ้าสัมภาระให้แก้ว แล้วรีบวิ่งเข้าไปในเหตุตะลุมบอน กระชากตัวนักเลงออกมา ชกเข้าหน้าอย่างจัง ลอเห็นว่าคนที่มาช่วยคือก้อน
“ไอ้ก้อน”
พวกนักเลงลุกพรวดมาล้อม ลอกับก้อนตั้งการ์ดเชิงมวยหลังชนกัน
“เล่นงานพวกมันเสร็จแล้ว เอ็งต้องเล่ามาให้ละเอียด อยู่ๆ เอ็งมาโดนรุมกระทืบกลางถนนนี่ได้ยังไง”
ลอพยักหน้า พวกนักเลงตั้งท่าพร้อมเล่นงาน
จำปีเพิ่งจะนั่งสามล้อถีบกลับมาจากไปจ่ายตลาด แต่ยังไม่ทันที่สามล้อจะกลับออกไป แพงก็วิ่งออกมาร้องเรียกไว้
“สามล้อจ๊ะ รอก่อนจ้ะ”
“จะออกไปไหนรึแม่แพง”
“เพื่อนฉันที่บ้านสร้างจดหมายมาบอกว่าจะมาหาฉันจ้ะป้า ฉันเลยจะไปรอรับพวกเขาจ้ะ ซื่อๆ แบบนั้นปล่อยให้มากันเองไม่ได้หรอก เดี๋ยวหลงทางแย่ ฉันไปล่ะป้า”
แพงรีบขึ้นสามล้อถีบออกไป
ทางเดินในบริเวณสวนบ้านเจ้าคุณรัตน์ เพื่อนร้องเพลงเลียนแบบละครร้องจันทร์เจ้าขาที่เพิ่งไปชมมา
“เอิง น่าอาย น่าขัน จริงนะ จันทร์ เจ้าขา หลบหน้าหน่อยสิเจ้าคะ เราจะกระซี้กระซิก ระริกระรื่น รื่น ชื่นใจ
เพื่อนเดินร้องเพลงนำมา มานพเดินตาม เพื่อนมีความสุขอิ่มเอิบ มือสะบัดกระโปรงพลิ้วหมุนตัวแล้วหยุดยิ้มให้มานพ
“ฉันประทับใจละครเรื่องนี้จังเลยค่ะคุณมานพ ชอบที่เจียมออกมาร้องเพลงจันทร์เจ้าขาคู่กับจิตต์ ชอบถึงกับดูครั้งเดียวก็ร้องตามได้เลย”
“ผมดีใจที่คุณชอบและอยากบอกว่าเสียงกับท่าทางการร้องของคุณทั้งเพราะและน่าชมกว่าเจียมในละครซะอีก”
เพื่อนยิ้มเขิน
“คุณมานพชมฉันเกินไปแล้วค่ะ ฉันจะไปร้องเก่งกว่านางเอกละครได้ยังไง”
“ได้สิครับ ผมทราบจากคุณน้าโฉมว่า อยู่ที่บ้านสร้างคุณเพื่อนเคยเป็นนางรำที่เก่งมากคนหนึ่ง นี่ถ้าผู้กำกับละครหรือแม้แต่ผู้สร้างหนังมาเจอคุณ ผมคงไม่มีวาสนาได้มาเดินคู่กับคุณแบบนี้”
“นางรำแก้บนบ้านนอกอย่า’ฉันน่ะเหรอคะจะเป็นได้ถึงนางเอกหนังนางเอกละคร”
มานพยิ้มหวานแล้วขยับเข้าใกล้ มือค่อยๆ ประคองสองแก้มเพื่อน ลูบไล้อย่างแผ่วเบา ทำเอาเพื่อนสะเทิ้น เคลิ้มตามดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้
“สายตาของผมไม่เคยมองอะไรผิด หญิงที่งามแม้แต่จันทร์ยังต้องอายอย่างคุณ ผมจะหวงไว้คนเดียวไม่ยอมให้เป็นของใคร”
มานพพูดไปก็ยื่นหน้าจะหอมแก้ม แต่เพื่อนเอียงอายหลบ เพราะอยากเล่นตัว
“ฉันจะเชื่อคำคุณมานพได้เหรอคะ นี่ยังไม่ค่ำ ไม่มีจันทร์ให้ฉันถามด้วยสิว่าอายความสวยของฉันรึเปล่า”
“งั้นคุณคงต้องอยู่กับผมจนถึงเวลาพระจันทร์ขึ้น จะได้เฝ้าถามด้วยกัน”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าท่านเจ้าคุณเห็นคุณอยู่กับฉันตามลำพังแบบนี้ เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“คุณพ่อติดธุระราชการ กว่าจะกลับก็เช้าเลย”
เพื่อนชะงักแล้วตีแขนมานพทันที
“คุณมานพ เจ้าเล่ห์นักนะคุณ”
มานพจับมือเพื่อนมาบีบเบาๆ
“ผมเจ้าเล่ห์เพราะต้องใช้เวลาทุกนาทีกับคุณให้นานที่สุด ก่อนที่ต้องพาคุณส่งคืนเจ้าของ”
มานพเริ่มตีบทโศกเพื่อให้เพื่อนใจอ่อน ซึ่งเพื่อนก็อดคล้อยตามแววตาเศร้าๆ ของมานพไม่ได้ จนยอม ให้เขาหอมแก้มเธอเบาๆ ระหว่างนั้นมีเสียงเดินเข้ามาใกล้ เพื่อนชะงักกลัวคนจะเห็น
“มาเถอะครับ ไปห้องผมกัน เดี๋ยวพวกบ่าวไพร่มาเห็นเข้า ทางนี้ครับ”
มานพรีบฉุดแขนพาเพื่อนเดินเลี่ยงไป
มานพเปิดประตูพาเพื่อนเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วปิดประตูใส่กลอน เพื่อนค่อนข้างตกใจที่ต้อง อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง
“คุณมานพ ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ”
“ผมทราบว่ามันไม่สมควรที่จะพาคุณมาอยู่ตามลำพังกับผมในห้องส่วนตัวแบบนี้ แต่ในเมื่อนายลอยังตามไปเฝ้าคุณทุกที่ แล้วผมจะมีเวลาอยู่กับคุณได้ยังไง”
“คุณมานพ”
มานพกุมมือเพื่อนแล้วพาไปนั่งบนเตียง จูบหลังมือทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้ตายใจ แล้วเดินไปเปิดแผ่น เสียง เสียงดนตรีคลาสสิกคลอเบาๆ
“ได้โปรดเถอะคุณเพื่อน ขอให้ผมได้ดื่มด่ำความสุขอันน้อยนิดที่ได้จากคุณ นะครับ”
“คุณมานพ”
เพื่อนเผลอสบตาเว้าวอน แล้วหลงคารมเคลิบเคลิ้มยอมรับการสวมกอดจากมานพ มานพแอบยิ้มร้าย
ลอถูกหมัดจากนักเลงเซหงาย จังหวะเดียวกับที่ก้อนก็โดนเข้าลิ้นปี่ เซมาทางลอด้วยเหมือนกัน
“ฝีมือพวกมันเอาเรื่องเหมือนกันเว้ยไอ้ลอ พวกมันเป็นใครมาจากไหนวะ”
“พวกอีนังแรม ข้าไล่ตามมันมาแต่เจอมันหลอกให้หลงติดกับ”
“หา เอ็งเจออีจัญไรนั่นแล้วเหรอ”
“เออ มันรู้ว่าข้าจะลากคอมันเข้าตะราง มันเลยสั่งให้ไอ้พวกนี้สั่งสอนข้า หวังจะไล่ตะเพิดให้ข้ากลับบ้านสร้าง แต่มันคิดผิดแล้ว คนที่ทำร้ายแม่เพื่อนของข้ามันต้องได้บทเรียน”
ลอตั้งท่าเชิงมวยเอาจริง ก้อนพยักหน้าเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร พวกนักเลงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ลอกับก้อนใช้เชิงมวยที่เข้าขากัน รับมือแล้วสวนกลับอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน แก้วยืนดูอยู่วงนอกลุ้นจนตัวโก่ง ระหว่างนั้นแพงนั่งสามล้อถีบผ่านเข้ามาเห็นเหตุการณ์ตีกันกลางถนน ก็รีบบอกให้คนขับสามล้อจอด เพราะเห็นแก้วยืนมุงอยู่พอดี
“อีแก้ว เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ข้าว่าจะไปรอรับเอ็งที่สถานีอยู่พอดี”
“อีแพง คุณพระคุณเจ้า ข้าดีใจจังที่เจอเอ็ง”
“เกิดอะไรขึ้”
แก้วไม่ทันตอบ หนึ่งในพวกนักเลงก็โดนลอจระเข้ฟาดหางเซถลาผ่านพวกชาวพระนครมานอนหมดสติ ห่างจากแพงกับแก้วแค่คืบ แพงถึงได้เห็นลอกำลังซัดกันนัวกับพวกนักเลง
“พี่ลอ”
ลอชะงักหันมาทางเสียงเรียกของแพง นักเลงได้จังหวะที่ลอเผลอ ชักมีดพกออกมาพร้อมแทงลอ แพงร้องลั่น
“พี่ลอ ระวัง”
นักเลงกระซวกแทงเข้าไปที่ท้อง ลอสะดุ้งเฮือก แพงกับแก้วและก้อนหันมาตกใจ
เพื่อน แพง ตอนที่ 11 (ต่อ)
เพื่อนล้มตัวลงบนเตียงพร้อมกับมานพที่ปลุกอารมณ์ของเธอจนเคลิ้ม เผลอตัวเผลอใจไปกับการซุกไซ้ซอกคอ
“คุณมานพ”
“ผมรักคุณเหลือเกินครับคุณเพื่อน รักจนต้องการให้คุณเป็นของผมคนเดียว ไม่อยากให้เป็นของใครอีก”
เพื่อนหลับตาพริ้มเคลิ้มกับคำหวาน ไหล่เสื้อถูกมานพเลื่อนออกแล้วซุกไซ้กอดจูบ
“เป็นของผมนะครับคุณเพื่อน ผมสาบานว่าจะรักคุณคนเดียว”
คำพูดนั้นกลับทำให้เพื่อนอดคิดถึงภาพของลอที่เคยสาบานรักกับตัวเองที่คุ้งต้นไทรไม่ได้
“ขอให้วิญญาณของพ่อ ณ ที่แห่งนี้เป็นพยาน เมื่อได้สาบานต่อหน้าพ่อก็เหมือนได้ สาบานต่อหน้าพระที่พ่อนับถือ ไอ้ลอแห่งทุ่งบ้านสร้างเกิดมาเพื่อรักแม่เพื่อนแต่ผู้เดียว ชีวิตของมันเป็นของแม่เพื่อน ร่างกายของมันทั้งหัวทั้งตีนก็เป็นของแม่เพื่อน ถ้าวันใดที่ ไอ้ลอผิดคำสาบานก็ขอให้มันชิบหายตายโหง”
เพื่อนลืมตาขึ้น เกิดความละอายใจเพราะคำสาบานของลอ
“พี่ลอ หยุดก่อนค่ะคุณมานพ หยุดเถอะค่ะ”
มานพไม่หยุดเพราะอารมณ์ต้องการตัวเพื่อนกระเจิงไปไกลแล้ว เขายิ่งกอดเพื่อนแน่นไม่ให้ขัดขืน
“ฉันขอเถอะค่ะคุณมานพ ได้โปรด หยุดเถอะค่ะ หยุด หยุด”
เพื่อนผลักมานพออกจากตัวอย่างแรง แล้วรีบดึงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยขึ้นมา มานพอึ้ง ไม่พอใจ
ลอยืนนิ่งจ้องหน้าเขม็ง สองมือยังกุมมือนักเลงที่แทงไว้แน่น ก้อนกระทุ้งศอกใส่นักเลงจนสลบเหมือด แพงกับแก้วยืนอึ้งตกใจคิดว่าลอโดนแทง
“พี่ลอ”
ลอยิ้ม
“คนอย่างไอ้ลอไม่มีวันตายด้วยน้ำมือคนอื่น”
ลอกระแทกหัวใส่หน้านักเลงอย่างแรงจนเซ จึงได้เห็นว่ามือลอจับข้อมือนักเลงเอาไว้ได้ทันก่อนที่ปลายมีด จะแทงเข้าไป ลอควงมีดพกปาใส่ มีดปักที่หัวไหล่นักเลงร้องลั่น เสียงนกหวีดของตำรวจดังเข้ามา แพงหันไปเห็นก็ตกใจรีบเข้าไปฉุดแขนลอ
“รีบไปเถอะพี่ลอ ตำรวจมาแล้”
แพงพาลอออกไป พร้อมกับก้อนและแก้ว ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง ส่วนพวกนักเลงก็พากันหอบหิ้วหนีเช่นกัน
เพื่อนรีบลุกขึ้นจากเตียงพยายามดึงเสื้อให้เข้าที่ มานพหัวเสียแต่ไม่แสดงออก
“คุณเพื่อนรังเกียจผมเหรอครับ ถึงผลักไสผม กลัวผมจนตัวสั่น”
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้รังเกียจคุณมานพ แต่ แต่ฉันทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อเรารักกัน หรือว่าผมคิดไปเองฝ่ายเดียว”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันรักคุณนะคะคุณมานพ คุณคือราชสีห์ที่ฉันเฝ้ารอที่จะได้พบ เพื่อจะมอบตัว และหัวใจให้เป็นทาสติดตามคุณ”
มานพขยับเข้าใกล้แล้วจับไหล่เพื่อนดึงมาจะเริ่มจูบอีก
“งั้นผมก็อยู่นี่แล้ว ผมพร้อมจะเป็นราชสีห์ปกป้องคุณ”
มานพโน้มเพื่อนเข้ามาเพื่อจะจูบ แต่เพื่อนก็ยังเอียงหน้าหลบและดันเขาออกห่าง
“อย่าค่ะ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตราบใดที่พี่ลอยังไม่ออกไปจากชีวิตฉัน ฉันไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายผิดคำสาบาน”
“งั้นความรักของเราคงสมหวังกันในชาติหน้า เพราะนายลอคงไม่ปล่อยคุณให้ผมง่ายๆ”
มานพแสร้งระเบิดอารมณ์ชกหมัดใส่กำแพงเรียกร้องความสนใจ เพื่อนตกใจรีบโผเข้าห้ามและกอดเขาแน่น
“อย่าค่ะคุณมานพ ฉันขอร้อง อย่าทำอย่างนี้เลย ฉันไม่อยากเห็นคุณเจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว หยุดเถอะค่ะ ฉันยอมแล้ว ฉันยอมคุณแล้ว”
มานพหยุดแล้วหันมาหาเพื่อน ซึ่งน้ำตาคลอด้วยความสงสารมานพ เพื่อนกอดชายหนุ่มแน่น
“ฉันรักคุณค่ะ ฉันทนไม่ได้ถ้าจะเห็นคุณเจ็บ”
“คุณเพื่อน”
“สัญญาได้มั้ยคะว่าจะไม่ทอดทิ้งฉัน เมื่อฉันหมดรักพี่ลอแล้วฉันก็ไม่เหลืออะไรอีก คุณต้องแต่งงานกับฉันนะคะ”
มานพเชยคางปาดน้ำตา
“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดของผมเลยครับคุณเพื่อน”
มานพจูบเปลือกตาเพื่อนเบาๆ ทั้งคู่สบตากันในอารมณ์ที่เพื่อนตัดสินใจยอมตกเป็นของมานพ ทั้งคู่นั่งคู่กันบนเตียงนอน เพื่อนเอียงอายขณะที่มานพเริ่มบรรเลงเพลงรัก บรรจงจูบแก้มไล้ซอกคอ ซุกไซ้จนเพื่อนตัวสั่นสะท้านและหลับตาพริ้ม มานพยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าที่กำลังจะได้ขย้ำลูกแกะ เขาค่อยๆ ดันตัวเพื่อนให้นอนลง แล้วเริ่มปลดเสื้อของหญิงสาว
“ด้วยเกียรติของผม ผมจะแต่งงานกับคุณครับคุณเพื่อน”
เพื่อนเอียงอาย
“ค่ะคุณมานพ ฉันยอมเป็นของคุณเพราะเกียรติที่คุณมอบให้ฉัน”
มานพยิ้มร้ายชอบใจที่กล่อมจนเพื่อยอมได้ในที่สุด จึงซุกหน้าลงบนเนินอกเพื่อนและจะเริ่มเผด็จสวาท แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ทั้งสองชะงักตกใจ เพื่อนรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปกปิด มานพหัวเสีย
“ใครวะมาขัดจังหวะได้”
“มานพ มานพ นี่ฉันวิชิตนะ มานพ”
“วิชิต”
มานพสงสัยหันไปมองเพื่อนอย่างเสียไม่ได้
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”
มานพเปิดประตูออกมาเจอวิชิต อารมณ์เสียกระชากคอเสื้อวิชิตทันที
“แกจะทะลึ่งโผล่มาตอนนี้ทำไมวะ ฉันกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว”
“อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้หายหัวปล่อยให้ฉันหาตัวแกให้ควั่ก ที่แท้ก็มัวแต่จะมาเผด็จศึกแม่ดอกไม้งามบ้านสร้างอยู่นี่เอง”
“ชู่ว์ เบาๆ หน่อยสิวะ ฉันเสียเวลากับแม่นี่มาเยอะแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ต้องได้ให้คุ้มเสียบ้าง”
“แต่นี่มันธุระสำคัญ”
“เอาไว้ก่อน รอให้ฉันเด็ดดอกไม้ดอกนี้มาชื่นชมให้สาแก่ใจแล้วค่อยว่ากัน”
มานพจะกลับเข้าไปในห้องแต่วิชิตคว้าแขนไว้
“คุณโสภีมอบหมายงานของท่านจรัญมาให้แกแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไปสืบได้เบาะแสของพวกกบฏมาแล้ว แกจะเลือกงานหรือเลือกผู้หญิง”
มานพชะงักหันไปมองวิชิต
เวลาต่อมา มานพเดินจูงมือเพื่อนออกมาส่งที่บริเวณหน้าบ้าน
“ต้องขอโทษคุณเพื่อนด้วยที่ผมไม่สามารถไปส่งคุณได้ด้วยตัวเอง แต่ผมจะให้รถไปส่งคุณถึงบ้านครับ”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ งานคุณเป็นเรื่องสำคัญ แล้วคุณก็ไม่ควรไปส่งฉันด้วยตัวเอง เพราะถ้าพี่ลอเห็นเข้า”
“ข้อนั้นก็จริง จนกว่านายลอจะยอมไปจากชีวิตคุณ ผมก็คงต้องเป็นหัวขโมยแอบลัก เล็กขโมยน้อยของคนอื่นอยู่แบบนี้”
“อย่าตัดพ้อว่าคุณนั้นเหมือนโจร เพราะไม่มีโจรที่ไหนจะใช้เกียรติและศักดิ์ศรีทำงานเพื่อ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอย่างคุณ ฉันต่างหากล่ะคะที่เป็นคนชั่ว”
“ไม่หรอกครับ เราทุกคนต่างก็มีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ถ้าใครจะมาด่าว่า คุณยังไงไม่ต้องสนใจ เพราะคนด่าไม่รู้หรอกว่าการทนทรมานเพราะความรักเป็นยังไง”
เพื่อนดีใจน้ำตาคลอ ซาบซึ้ง โผเข้ากอดซบหน้ากับแผ่นอกของมานพ
“ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณทรมานใจอีกแล้วค่ะคุณมานพ ฉันจะหาทางบอกเลิกพี่ลอ เพื่อที่ คุณจะได้เป็นเจ้าของร่างกายฉันแต่ผู้เดียว”
เพื่อนหอมแก้มมานพเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน มานพยิ้มรับ เสียงกระแอมของวิชิตดังแทรกเข้ามา
“ผมคงต้องรีบไปแล้ว”
“แล้วเจอกันนะคะคุณมานพ”
เพื่อนเดินออกไป มานพยิ้มกริ่ม วิชิตโยนปืนพกที่ถือติดมาให้
“รีบไปจัดการธุระให้เสร็จเถอะ ฉันจะได้กลับมาขยี้ดอกไม้งามบ้านสร้างให้สาแก่ใจ”
มานพยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์
ที่บ้านโฉมฉาย ก้อนร้องเจ็บ หลังจากโดนแก้วช่วยแต้มยาที่ช้ำๆ บนหน้า
“พ่อคนเก่ง ที่ร้องเนี่ย จะร้องเรียกหาความสงสารเหรอ”
“ก็แล้วแม่แก้วไม่สงสารพี่หรอกเหรอ มาเหยียบพระนครไม่ทันข้ามวันก็โดนคนพระนคร รุมเหยียบซะแล้ว
“ฉันรู้จ้ะ ก็เพราะพี่ทำดีนี่แหละ ฉันถึงได้รักพี่มากขึ้นไปอีก”
“จริงเหรอจ๊ะแม่แก้ว”
ก้อนดีใจรีบกุมมือแก้ว ระหว่างนั้นลอกับแพงพากันเข้ามา หน้าตาลอมีรอยฟกช้ำอยู่บ้าง
“เฮ้ยๆๆ พอได้แล้วไอ้ก้อน เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ ข้ามาอยู่พระนครได้ไม่เท่าไหร่ เอ็งก็สอย นังแก้วให้หลงคารมเอ็งซะแล้ว เจ้าชู้ใช่ย่อยนะเอ็ง”
“พี่ลอ ฉันไม่ใช่มะม่วงนะที่ใครจะมาสอยเอาได้ง่ายๆ”
“อย่าไปแขวะสองคนนี้ให้เข้าตัวเลยพี่ลอ เวลาพี่ออดอ้อนพี่เพื่อนใครเห็นแล้วก็พาลหมั่นไส้กันทั้งนั้น จริงมั้ยอีแก้วไอ้ก้อน”
“จริง”
ลอหันไปเขกหัวแพง
“ปากดีนักนะอีแพง ถ้าไม่ใช่เพราะเอ็งลากข้าให้หนีมา ป่านนี้ข้าคงลากพวกมันไปเค้นจนรู้แล้วว่าอีแรมมันไปกบดานอยู่ไหน”
“อู้ย ฉันช่วยพี่ลอไม่ให้ต้องโดนลากคอไปติดตะรางแล้วยังมาเขกกบาลฉันอีก รู้ไว้ด้วยนะ ตอนนี้เขาไม่สนใจหรอกว่าใครมีเรื่องกับใคร เจอใครก่อความวุ่นวายเขาจับหมด”
โฉมฉายเดินเข้ามา
“ที่แพงว่ามาก็ถูกแล้วล่ะนายลอ จะอยู่ในพระนครตอนนี้ต้องคอยระวังตัวให้ดี ส่วนเรื่องแม่แรมนั่นให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการไปดีกว่า”
ก้อนกับแก้วรีบยกมือไหว้โฉมฉาย
โฉมฉายนั่งอยู่ท่ามกลางทุกคน ก้อนกับแก้วนั่งเจียมตัวที่พื้น
“ขึ้นมานั่งข้างบนด้วยกันเถอะนายก้อนแม่แก้ว ที่บ้านนี้เราไม่แบ่งชนชั้นกันจ้ะ”
ก้อนกับแก้วยกมือไหว้แล้วขึ้นมานั่งเก้าอี้ ลอสงสัยตั้งคำถามกับโฉมฉาย
“ที่น้าโฉมว่ามาเมื่อตะกี้ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในพระนครเหรอจ๊ะ”
“ก็ตั้งแต่ที่บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหันนี่แหละนายลอ ที่คิดว่าจะจบกลับยังไม่จบ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่สมความต้องการ ก็เลยยังไม่ยอมกันง่ายๆ จนอาจจะมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้นได้”
“เฮ้อ ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะต้องเจอแบบนี้ เราไม่น่ามาเลยนะพี่ก้อน”
“แต่ให้อยู่บ้านสร้างตอนนี้ก็จะพากันอดตายเพราะแล้งกันน่ะสิแม่แก้ว”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกจ้ะแม่แก้ว มาอยู่กับฉันไม่ต้องกังวล ฉันจะให้นายก้อนไปทำงานที่ท่าข้าวกับนายลอ ช่วยกันทำงานขยันเก็บเงิน ไม่ทันจะพ้นแล้งพวกเธอก็จะมีเงินกลับไปแต่งงานกัน”
ก้อนยิ้มดีใจที่รู้ว่าจะได้งานทำ หันไปยิ้มกับแก้ว
“ไอ้ลอขอบพระคุณน้าโฉมมากนะจ๊ะ ไอ้ลอจะตั้งใจทำงานรีบเก็บเงินจะได้พาแม่เพื่อนไปจากพระนครซะที เอ็งก็ด้วยอีแพง ตั้งใจเรียนภาษาฝรั่งให้เป็นเร็วๆ น้าโฉมจะได้พาเอ็งไปเมืองนอกซะที”
แพงชะงักกับคำพูดลอที่เหมือนอยากจะไล่ไปให้พ้นๆ แก้วแอบเห็นสีหน้าของแพงมีแววตาเศร้าๆ ก็พอจะเข้าใจอารมณ์นั้นของแพง ระหว่างนั้นเพื่อนกลับเข้ามา
“น้าโฉมคะ กลับมาแล้วค่ะ”
เพื่อนไม่รู้ว่าทุกคนชุมนุมกันอยู่ที่ห้องโถง พอเห็นลอหน้าตามีรอยฟกช้ำและก้อนกับแก้วก็นั่งอยู่ ด้วย เลยตกใจ
“พี่ลอ”
เพื่อนตกใจ เมื่อฟังสิ่งที่ลอเล่า
“ว่าไงนะ พี่แรมน่ะเหรอ หลอกพี่ลอให้ไปโดนพรรคพวกรุม”
“จ้ะ แต่โชคดีที่ไอ้ก้อนมันมาเจอเข้า พวกมันเลยเป็นฝ่ายโดนพี่เล่นงานแทน นี่ถ้าตำรวจไม่เข้ามายุ่ง พี่คงเค้นพวกมันจนรู้แล้วตามไปลากคอนังแรมกลับมาได้”
เพื่อนเครียด หลบหน้าลอ โมโหแรม
“นังบ้าเอ๊ย เกือบจะพาฉันซวยไปด้วยแล้ว”
แพงสงสัย
“พี่เพื่อน”
“อะไร”
“พี่ลอเขาเจอนังแรมที่สมาคม เขาว่ามันแต่งตัวเป็นสาวสังคมปะปนกับสมาชิกที่นั่น พี่ไม่เคยเจอมันเหรอ”
“ข้าเพิ่งจะไปช่วยงานคุณมานพที่นั่นไม่เท่าไหร่ จะไปรู้จักทุกคนในนั้นได้ยังไง บางทีมันอาจจะติดสอยห้อยตามผู้ชายในนั้นเข้าไปก็ได้”
“เป็นไปได้นะอีแพง นังแรมมันคงไปเกาะผู้ชายรวยๆ แล้วอาศัยที่นั่นบังหน้าอย่างที่แม่เพื่อนว่า งั้นพี่คงให้แม่เพื่อนไปทำงานที่นั่นไม่ได้แล้ว”
“ไม่ พี่ลอจะมาห้ามไม่ให้ฉันไปทำงานที่นั่นไม่ได้”
“ทำไมล่ะพี่เพื่อน ที่พี่ลอเขาเตือนก็ถูกแล้ว เพราะถ้าเจอมันอีก มันคงไม่เอาพี่ไว้แน่”
“อย่ากระต่ายตื่นตูมกันไปหน่อยเลย ฉันอยู่ที่นั่นมีคุณมานพคอยดูแล เขาไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรฉันได้หรอก”
“แต่คุณมานพเขาจะคอยดูแลแม่เพื่อนตลอดเวลาได้ยังไง”
“ได้สิจ๊ะพี่ลอ ก็เขา เอ่อ”
แพงเริ่มสงสัยท่าทางของเพื่อนที่พูดถึงความใกล้ชิดของตัวเองกับมานพจนเริ่มปิดไม่อยู่ เพื่อนเห็นสี หน้าแพงก็รีบแก้เก้อ
“คุณมานพเขาเข้าไปใช้บริการที่สมาคมทุกวัน คนที่นั่นก็เป็นเพื่อนเขาทั้งนั้น ยังไงเขาก็ ต้องช่วยสอดส่องดูแลฉันได้ แล้วเรื่องพี่แรมนั่นก็ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้คุณมานพช่วยสืบดูว่ามันติดสอยห้อยตามใคร”
“แต่พี่ก็ยังห่วงอยู่ดี”
“พี่ลอ คุณมานพเคยช่วยชีวิตฉันไว้นะ แล้วฉันก็ตั้งใจจะตอบแทนพระคุณเขา ถ้าพี่ห้ามฉัน พี่ก็คนอกตัญญู”
เพื่อนพูดเสียงเด็ดขาดใส่ แล้วไม่ต่อความอะไรอีก เดินสะบัดหน้าเข้าไป ลอได้แต่เห็นตามเพื่อน แพงท้วง
“พี่ลอ พี่จะปล่อย”
“หุบปากไปซะอีแพง แม่เพื่อนว่าถูกข้าก็ต้องว่าถูก เอ็งไม่ต้องด่าข้าว่าโง่อีก”
ลอห้ามแพงแล้วก็รีบเดินเข้าบ้าน แพงหงุดหงิดหัวเสีย ไม่พอใจมากขึ้น เพราะชักไม่ไว้ใจเพื่อนที่เริ่มมี ท่าทางส่อให้สงสัยมากขึ้น จนอดรนทนไม่ไหวไปปรึกษาแก้ว แก้วตกใจ
“คุณพระช่วย อีแพง เอ็งสงสัยว่าพี่เพื่อนกำลังคิดนอกใจพี่ลอเหรอ”
“เออ แต่ข้าไม่รู้จะเตือนพี่ลอยังไง เพราะพูดอะไรไปพี่ลอก็ฟังแต่พี่เพื่อนคนเดียว”
“ก็แน่ล่ะสิวะ พี่ลอหลงพี่เพื่อนหัวปักหัวปำ ชี้นกแล้วบอกว่าไม้ พี่ลอเอ็งยังไม่เชื่อว่าเป็นไม้ธรรมดาเลย แต่ผ่าไปเชื่อว่าเป็นไม้สักเสาเอกซะด้วยซ้ำ”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้พี่ลอโดนพี่เพื่อนทำร้ายใจแบบนี้แน่”
“เอ็งจะช่วยให้พี่ลอหูตาสว่างก็มีทางเดียว ต้องให้เขาเห็นกับตา แต่ก็นั่นแหละอีแพง ขืนเอ็งทำแบบนั้น พี่ลอคงได้เสียใจเป็นบ้าเป็นหลัง”
“ก็ยังดีกว่าโดนพี่เพื่อนทรยศความรักนะอีแก้ว”
“เอ็งเคยเห็นไก่ป่าที่ถูกจับมาขังกรงมั้ย เวลาคลั่งขึ้นมามันจะเอาแต่วิ่งชนกรงปังแล้วปังเล่า ต่อให้หน้าแตกเลือดอาบมันก็ไม่หยุด พี่ลอเอ็งก็ไม่ต่างไก่ป่าหรอก”
“อีแก้ว”
“เอ็งควรเตือนสติพี่เพื่อน อย่าให้นอกลู่นอกทางหลงคารมคนอื่นจนลืมพี่ลอ เขาจะได้พา กันกลับไปแต่งงาน เอ็งจะได้เลิกวุ่นวายกับผัวพี่ซะที ไม่งั้นอนาคตดีๆ ของเอ็งที่ข้าหวังจะเห็น คงต้องดับ เพราะมีแต่เรื่องที่ทำให้เอ็งตัดใจจากผัวพี่ไม่ได้น่ะสิอีแพง”
แพงคิดหนัก
เพื่อนนั่งหวีผมส่องหน้าแล้วอมยิ้มหน้าแดงผ่าว ใจเต้นตึกตักเมื่อนึกถึงลมหาย ใจและสัมผัสของการกอดไซ้ของมานพ
ก่อนจะเหลือบไปเห็นหางบัตรละคร 2 ใบ เพื่อนหยิบขึ้นมาดู อมยิ้ม แล้วร้องเพลงจันทร์เจ้าขาไปหวีผมไปอย่างระรื่นชื่นบาน
“เอิง น่าอาย น่าขัน จริงนะ จันทร์ เจ้าขา หลบหน้าหน่อยสิเจ้าคะ เราจะกระซี้ กระซิก ระริกระรื่น รื่น ชื่น ใจ”
เพื่อนร้องไม่ทันจบก็สะดุ้งเพราะเสียงแพง
“ทำอะไรอยู่น่ะพี่เพื่อน”
เพื่อนหันขวับด้วยความตกใจ มือปัดหางตั๋วบัตรละครที่อยู่บนโต๊ะหน้ากระจกหล่นพื้น แพงเห็นก็รีบเข้าไป จะคว้ามา แต่เพื่อนคว้าขึ้นมาก่อนแล้วซ่อนข้างหลัง
“แกเข้ามาห้องฉันได้ยังไง ออกไปนะอีแพง”
“พี่ไม่ได้ลงกลอนประตู ฉันได้ยินพี่ร้องเพลงอารมณ์ดี ทั้งๆ ที่วันนี้พี่ลอเกือบตายเพราะเรื่องของพี่ ฉันก็เลยอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้พี่ใจดำไม่ไปดูแลพี่ลอ”
แพงพูดเสร็จก็ปรี่เข้าไปแย่งหางตั๋วละครจากมือเพื่อนมาทันที
“อีแพง เอามานี่”
“หางตั๋วชมละคร มิน่าล่ะ พี่ลอถึงไปรอพี่อยู่ตั้งนาน ที่แท้พี่กับคุณมานพก็แอบไปดูละครกัน แล้วทิ้งพี่ลอเอาไว้”
“ฉันเปล่านะ ฉันไม่ได้ไปไหนกับคุณมานพ ฉันเก็บหางตั๋วนี่มาได้ เห็นว่าสวยดี”
“ยังจะกล้าตอแหลอีกเหรอพี่เพื่อน ไม่ได้ไปดูละครแล้วจะร้องเพลงละครได้ยังไง”
เพื่อนชะงักจมมุม แพงยิ่งโกรธ ขยำหางตั๋วละครแล้วปาใส่หน้าพี่สาวอย่างโกรธแค้น
“ทำไมพี่เพื่อนทำกับพี่ลอแบบนี้ พี่ลอเขาทำอะไรผิด ทั้งๆ ที่เขารักพี่ถวายหัว แต่พี่ก็ยังใจ ไม้ไส้ระกำกับเขาได้ ทำไม ทำไม”
แพงเขย่าตัวพี่สาวด้วยอารมณ์โกรธ เพื่อนเลยไม่พอใจ สะบัด แล้วตบสวนแพงทันที
“กูจะทำอะไรก็เรื่องของกูไม่เกี่ยวกับมึง อีแพง”
แพงเซไปทางแจกัน ชนล้มจนแจกันตกแตกกระจาย โฉมฉายได้ยินเสียงรีบเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น แม่เพื่อน แม่แพง”
เพื่อนกับแพงชะงัก ทั้งสองถูกเรียกไปพบที่ห้องโฉมฉาย เพื่อน แพง นั่งเงียบก้มหน้าก้มตา
“เป็นพี่เป็นน้องกัน คลอดมาจากท้องแม่เหมือนกัน มีเรื่องไม่พอใจอะไรก็คุยกันดีๆ สิ”
“เพื่อนขอโทษจ้ะ เพื่อนใจร้อนกับน้องไปหน่อย น้าโฉมยกโทษให้พวกเราด้วยนะจ๊ะ”
เพื่อนขยับเข้าไปกราบที่ตักอย่างนอบน้อมเพื่อปกปิดไม่ให้โฉมฉายสนใจสาเหตุที่ทะเลาะกัน แพงจิกหน้ามองพี่สาวที่กำลังพยายามกลบเกลื่อนสาเหตุ
“น้ารักเราสองคนเหมือนลูกของน้าเองนะจ๊ะ จึงไม่มีคำว่าไม่ให้อภัย”
“ขอบคุณค่ะน้าโฉม อีแพงมากราบขอโทษน้าโฉมซะ นี่ก็ดึกมากแล้ว จะได้ให้น้าโฉมพักผ่อน”
แพงมองเพื่อนอย่างหมั่นไส้ที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น
“แต่น้าอยากรู้ว่าเราทะเลาะอะไรกัน”
เพื่อนชะงัก
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะน้าโฉม เพื่อนกับอีแพงเถียงกันแบบนี้ประจำ แต่เถียงกันแล้วก็จบ ไม่เคยเอาไปเป็นความต่อ”
“บอกน้ามาเถอะ ผิดใจอะไรกัน น้าจะได้ช่วย”
เพื่อนหน้าเสียกลัวแพงเล่าเรื่องตัวเองกับมานพ แพงมองหน้าพี่สาว
“น้าโฉมคะ เรื่องที่พี่เพื่อนกับแพงผิดใจกันก็เพราะว่า”
“อีแพง”
แพงหางตามองเพื่อน
“แพงผิดเองค่ะน้าโฉม แพงเห็นเสื้อผ้าของพี่เพื่อนสวยดีก็เลยแอบเอามาใส่เล่นแล้วทำขาด แพงไม่ยอมบอกพี่เพื่อนกลับเอาไปซุกเก็บไว้ทำไม่รู้ไม่ชี้อีก”
เพื่อนอึ้ง ไม่คิดว่าแพงจะโกหกปกปิดเรื่องตัวเองกับมานพ
“แพง ทำไมทำแบบนั้นล่ะ ไม่ดีเลยนะ ถ้าทำอะไรผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ”
“แพงขอโทษค่ะน้าโฉม แพงจะไม่ทำแบบนี้อีก น้าโฉมจะลงโทษแพงก็ได้”
เพื่อนแอบโล่งอก
“แพงมันก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ จ้ะน้าโฉม อยู่บ้านสร้างมันชอบแอบเอาเสื้อผ้าของเพื่อนไปใส่เล่นประจำ”
“เอาล่ะ รู้สาเหตุแบบนี้แล้วก็ดี ต่อไปแพงอย่าทำแบบนี้อีกนะ ทำผิดแล้วต้องยอมรับผิดที่ตัวเองก่อ ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน จำไว้นะ”
“ค่ะน้าโฉม”
แพงรับคำแต่หางตาไปมองพี่สาว เหมือนตั้งใจให้คำเตือนของโฉมฉายเตือนไปที่พี่เพื่อนมากกว่าตน
เพื่อนเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วหันไปมองแพงซึ่งเดินตามหน้านิ่งมองพี่สาวเขม็ง
“เอ็งจะเอายังไงกับข้า อีแพง”
“ทีอย่างนี้ล่ะฉลาด ตามฉันทันขึ้นมาเชียวนะพี่เพื่อน”
“อีแพง ปากเอ็งนี่มันวอน”
เพื่อนจะเข้าไปตบ แพงยื่นหน้ารอท้าทาย เพื่อนชะงักค้างอย่างเจ็บใจ
“เอาสิ ถ้าน้าโฉมเข้ามาเห็นพี่กับฉันทะเลาะกันอีก คราวนี้ฉันจะเล่าให้หมดเปลือกเลยว่า พี่ไปทำงามหน้าอะไรไว้กับคุณมานพ ทำให้น้าโฉมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงที่มีหลานสาวมักมาก มีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่ยังร่านไปกับผู้ชายอื่นอีก”
“อี อีแพง”
เพื่อนเจ็บใจ แต่ทำอะไรแพงไม่ได้ เลยผลักสุดแรง
“มึงจะเอาอะไรจากกู บอกมา”
“อย่างฉันน่ะเหรอจะเรียกร้องเอาอะไรจากพี่ พี่ไม่น่าเกิดมาเป็นพี่สาวฉันเลย โตมาด้วย กันแท้ๆ แต่ดูไม่ออกว่าฉันเป็นคนยังไง”
“ถ้าเลือกได้ กูก็ไม่ได้อยากมีมึงเป็นน้อง เพราะมึงเกิดมากูถึงต้องกำพร้าแม่”
“พี่เพื่อน”
“มึงพรากแม่ไปจากกูนะอีแพง แล้วนี่มึงยังจะมาหัวหมอเรียกร้องเอาความสุขที่กูมีไป จากกูอีก มึงจะจ้องจองล้างจองผลาญชีวิตกูไปถึงไหน”
“อยากด่าว่าฉันเอาชีวิตแม่ไปก็ด่าไปเถอะ ฉันยอมรับ แต่ฉันไม่ได้จะผลาญชีวิตพี่ พี่ต่าง หากที่กำลังจะผลาญชีวิตพี่ลอ เผาเขาให้ตายทั้งเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว”
แพงชี้หน้าเพื่อน น้ำตาคลอเพราะห่วงลอมาก
เพื่อน แพง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภายในตรอกเปลี่ยวๆ กลางดึก มานพกับวิชิตยืนหลบอยู่ในมุมมืดหลังจากเฝ้าซุ่มอยู่ที่บริเวณนี้มาหลายชั่วโมง
“จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ไอ้คนที่แกบอกว่าจะเอาข้อมูลพวกกบฏมาให้เราทำไมถึงยังไม่มา”
“ใจเย็นๆ น่ามานพ พวกนั้นมันค่อนข้างระวังตัว คงไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก”
“ถ้าง่ายก็ไม่ใช่ฉันหรอกวิชิต เพราะฉันมันชอบความท้าทายอยู่แล้ว”
“ฉันรู้ว่าความชอบของแกมันใช้ได้กับทุกเรื่อง แต่ระวังไว้บ้างก็ดี ท้าทายมากเกินไป ก็ ต้องแลกกับความเสี่ยงมากเหมือนกัน”
วิชิตยังไม่ทันจะพูด มานพก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา
“ชู่วว์ มีคนมา”
มานพชักปืนขึ้นมาแล้วดันวิชิตให้หลบเข้ามุมมืดอย่างระวังตัว วิชิตชะโงกหน้ามองคนที่กำลังเดินเข้ามาในตรอก
“ไม่ต้องห่วง ใช่สายพวกกบฏที่ฉันติดต่อเอาไว้
มานพลดปืนลง แล้วจะพากันออกไปรับชายคนนั้น แต่กลับมีชายฉกรรจ์อีก 2 คน โผล่มาจากข้างทางหลังจากที่ซุ่มตามชายคนนั้นมาตลอด ทั้ง 2 คนนั้นชักปืนแล้วเข้าไปกระหน่ำยิง ชายคนที่เพิ่งเข้ามาถูกยิงตายคาที่ต่อหน้าต่อตาวิชิตกับมานพ ทำเอาทั้งคู่อึ้ง และ 1 ใน 2 ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งฆ่าคน ไปหันมาทางพวกมานพอย่างสงสัย
“ตรงนั้นมีพวกมันอีก”
พวกนั้นยิงใส่ตรงมานพ มานพกับวิชิตรีบก้มหัวหลบ
“หนีก่อนเถอะมานพ”
วิชิตยิงสวนกลับไปแล้ววิ่งออกไป มานพยิงสวนกลับไปอีกนัดแล้ววิ่งตามวิชิต แต่พวกนั้นยังวิ่งไล่ตามและไล่ยิงไม่หยุด
เพื่อนจ้องแพงเขม็งที่ชี้หน้าด่าตัวเอง
“มึงชี้หน้าด่ากูให้ต่ำตมเพื่อที่มึงจะได้สูงส่งกว่ากูใช่มั้ยอีแพง”
“ฉันเปล่านะพี่เพื่อน ฉันคืออีแพง ฉันไม่มีวันจะสูงส่งไปกว่าใคร”
“ตอแหล น้าโฉมเขารักมึงมากยิ่งกว่ากู เขาถึงเลี้ยงดูมึงดีกว่า จะพามึงไปถึงเมืองนอกเมืองนา แต่กับกู เขาแลซะที่ไหน”
“เรื่องนี้พี่เพื่อนจะมาโทษฉันไม่ได้ น้าโฉมเขาจัดการให้เพราะเห็นว่าฉันรู้จักเรียนหนังสือ”
“เห็นมั้ย พูดไปก็อีหรอบเดิม มึงมันอวดฉลาดกว่า คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่ากูตลอด”
“ไม่ใช่นะพี่เพื่อน”
แพงเข้าไปเขย่าแขนจะอธิบายแต่เพื่อนสะบัดแรงปัดมือไม่ให้แพงมาโดนตัว
“มึงไม่ต้องมาโดนตัวกู มึงอิจฉากูมาตลอด ไม่อยากเห็นกูมีความสุข ตอนนี้ก็ถึงเวลาสาแก่ใจมึงแล้วนี่อีแพง เอาเลย จะบีบบังคับกูยังไงก็ว่ามา”
“ไม่จริงเลยพี่เพื่อน ฉันไม่อยากทำลายความสุขของพี่กับพี่ลอ ฉันแค่จะเตือนพี่ไม่ให้ไปหลงคารมคนอื่น เพราะไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่จะรักพี่อย่างถวายหัวได้เท่าพี่ลอ”
เพื่อนนิ่งไป แพงขยับเข้าใกล้พี่สาวอีกครั้ง วิงวอนขอร้อง
“ฉันไม่ว่าหรอกที่พี่อยากสุขสบาย ยิ่งดอกไม้สวยๆ มีแต่แมลงรุมตอมอย่างพี่ ก็ยิ่งมีแต่ คนอยากเอาไปประดับแจกันสวยๆ อวดเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว แต่ดอกไม้มันก็มีวันโรยนะพี่เพื่อน เมื่อถึงวันนั้น ฉันเชื่อว่าไม่มีใครหรอกที่จะยังรักและเทิดทูนพี่ได้อย่างพี่ลอ”
เพื่อนชะงัก ฉุกคิดคล้อยไปกับคำเตือนของน้องสาว แพงจับมือพี่สาวมาบีบแน่น น้ำตาคลอ
“ทุกอย่างในพระนครที่พี่กำลังหลงชื่นใจอยู่ตอนนี้มันคือความจอมปลอมทั้งนั้น ร้อยคำ หวานที่ป้อยอพี่ก็ไม่เท่ากับคำสาบานคำเดียวของพี่ลอ อย่าทำร้ายพี่ลออีกเลยนะจ๊ะพี่เพื่อน ฉันขอร้อง ให้ฉันกราบตีนพี่เลยก็ได้”
แพงนั่งพนมมือกราบไปที่เท้าของพี่สาวอย่างอ้อนวอน เพื่อนชะงักอึ้ง
“อีแพง”
“ไปกอดพี่ลอ ไปรักพี่ลอให้สมกับที่พี่ลอรักพี่นะจ๊ะพี่เพื่อน แล้วฉันจะให้ความผิดพลาดที่พี่เผลอใจครั้งนี้เป็นความลับและตายไปพร้อมกับฉัน”
แพงอ้อนวอนกอดขาพี่สาวแน่น เพื่อนชะงัก
ตอนเช้า แก้วเดินคุยกับแพงมาตามทางเดินในสวน
“เอ็งทำถูกแล้วล่ะอีแพง อย่างนี้สิไม่เสียเที่ยวที่ข้าถ่อมาพระนครเพราะเป็นห่วงเอ็ง”
แพงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินเลี่ยงไปนั่งที่ศาลาในสวน ไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่นั่งเงียบอย่างเศร้าๆ
“อย่าเอาแต่ใบ้ไม่พูดสักคำ เดี๋ยวข้าจะหยิกเอ็งให้เนื้อเขียว อีพวกปากไม่ตรงใจ”
แพงหันมาหาแก้วแล้วไม่พูดอีก แก้วเลยหยิกเข้าให้ แพงร้องเจ็บ
“โอ๊ย เอาจริงเหรออีแก้ว ข้าเจ็บนะเว้ย”
“ร้องเจ็บแบบนี้แสดงว่าเอ็งยังมีสติอย่างผู้อย่างคนเขาอยู่ ดีแล้วล่ะอีแพง ตัดใจปล่อยพี่ ลอกับพี่เพื่อนให้เขารักกัน ส่วนเอ็งก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาร่ำเรียน อนาคตดีๆ รอเอ็งอยู่”
“ข้าก็ทำอยู่นี่ไง ไม่งั้นจะไปอ้อนวอนพี่เพื่อนเหรอ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่น่าให้อภัยเลย”
“ทำดี มันก็ดีกับเอ็ง เอ็งเตือนเขาไปขนาดนั้น ถ้าพี่เพื่อนยังคิดนอกใจพี่ลออีกก็คงไม่ต้อง นับถือเป็นพี่กันแล้วล่ะอีแพง”
ก้อนเดินเข้ามา
“แม่แก้ว แม่แก้ว อยู่นี่เอง พี่จะมาบอกแม่แก้วว่า วันนี้พี่จะไปทำงานที่ท่าข้าวกับไอ้ลอนะ”
“ไปเถอะจ้ะพี่ ฉันเองก็จะอยู่ช่วยงานที่บ้านคุณนายเหมือนกัน แกจะให้เงินฉันเป็นค่าจ้างด้วยนะ แต่ฉันไม่เอาหรอก อาศัยอยู่อาศัยกินก็ซึ้งพระคุณแกแล้ว”
“ดีแล้วล่ะแม่แก้ว เรื่องเก็บเงินเก็บทองกลับไปแต่งงาน ให้เป็นหน้าที่พี่คนเดียวก็พอจ้ะ”
ก้อนพูดไปก็หาวหวอดคำโต แก้วสงสัย
“เมื่อคืนคงไม่ได้นอนเพราะผิดที่ผิดทางล่ะสิพี่ก้อน”
“เปล่าหรอกจ้ะแม่แก้ว พี่กับไอ้ลอไม่ได้เจอกันนาน เลยชวนกันนั่งสูบยาไป โขกหมากรุกกันไปจนค่อนสว่างถึงจะได้นอนจ้ะ”
“แหมๆๆ สุขจริงนะพ่อ ให้มาทำงานเก็บเงินไม่ได้มาเที่ยวพักผ่อนกัน”
“ไอ้ก้อน เมื่อคืนนี้เอ็งอยู่กับพี่ลอจนค่อนสว่างเลยเหรอ”
“เออสิวะอีแพง เอ็งถามทำไมวะ”
แพงนิ่งไป แก้วมองหน้าเพื่อนก็รู้ว่าคิดอะไร
เพื่อนครุ่นคิดมองผ้าคลุมที่มานพให้มาอย่างตัดสินใจ ระหว่างนั้นแพงรีบเข้ามา
“พี่เพื่อนรับปากฉันแล้วทำไมไม่ทำ”
“อีแพง พอได้ทีก็จะเอาให้ได้ดั่งใจเอ็งทุกอย่างเลยงั้นเหรอ”
“ฉันไม่เคยอยากได้อะไรจากพี่ ก็มีอย่างเดียวนี่แหละที่ฉันขอ”
“ข้าก็รับปากเอ็งแล้วไง แต่จะให้ข้าไปกอดไปบอกรักพี่ลอกลางดึกในบ้านน้าโฉมเนี่ยนะ”
“แต่ตอนนี้พี่ลอออกไปทำงานที่ท่าข้าวแล้ว”
“งั้นก็รอให้เขากลับมา”
“เรื่องแค่นี้ทำไมพี่เพื่อนต้องรอด้วย”
“เอ๊ะ อีแพง เอ็งชักจะเกินไปแล้วนะ”
“พี่เพื่อนรับปากฉันแล้ว วันนี้พี่เพื่อนไม่ต้องไปทำงานให้คุณมานพ ไม่ต้องไปเจอหน้าเขาอีก เพราะพี่เพื่อนต้องไปหาพี่ลอ ไปบอกเขาว่าพี่จะกลับบ้านสร้างกับเขา”
“แต่”
“ไม่ต้องเอาเรื่องบุญคุณมาอ้าง ที่พี่ให้เขาป้อยอคำหวานใส่มันก็ถือว่าชดใช้บุญคุณกันหมดแล้ว ไปหาพี่ลอเดี๋ยวนี้เลย”
แพงดึงมือพี่สาวพาออกจากห้องไปทันที
เจ้าคุณรัตน์กลับมาจากธุระราชการ คนรับใช้เข้ามารับหมวกและกระเป๋าเดินทาง
“บ้านช่องเงียบเชียบ ลูกชายฉันไม่อยู่เหรอ”
“อยู่ขอรับ”
เจ้าคุณมองไปที่โต๊ะอาหาร เห็นชุดอาหารเช้ายังวางอยู่ที่โต๊ะ มานพไม่ได้ลงมาแตะแม้แต่น้อย
“สายขนาดนี้แล้ว อาหารเช้ายังไม่ลงมาแตะ แสดงว่าเมื่อคืนกลับดึกเลยสิ”
“ได้ยินเสียงคุณมานพกลับมาค่อนรุ่งขอรับ”
เจ้าคุณรัตน์ฟังคนใช้รายงานแล้วไม่ค่อยพอใจรีบเดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูห้องลูกชาย
“มานพ มานพ ฉันว่าแกจะใช้ชีวิตพ่อพวงมาลัยสุขสบายตามใจตัวเองมากเกินไป แล้วนะ มานพ มานพ”
ไม่มีเสียงตอบจากลูกชาย ในขณะที่ภายในห้อง มีเสื้เปื้อนเลือดกองอยู่ตามพื้นและรกไปด้วยผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดระเกะระกะ มานพนอนหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียงพยายามรักษาแผลที่ถูกยิงมาด้วยตัวเอง แต่เพราะเสียเลือดไปค่อนข้างมากทำให้อ่อนเพลีย เสียงแผ่วเบา
“คุณ คุณพ่อ”
มานพพยายามจะลุกจากเตียงแต่ร่างกายก็อ่อนแรงจนแทบจะลุกไม่ไหว ท่านเจ้าคุณยังเคาะเรียกลูกชายอยู่หน้าห้อง
“มานพ ถ้ามัวแต่จะนอนกินบ้านกินเมืองแบบนี้ ต่อไปแกจะทำมาหากินยังไง เรียนก็สูง จบเมืองนอกเมืองนาแต่ไม่รู้จักขยันทำมาหากิน แกจะสู้ไม่ได้แม้แต่กุลี มานพ”
มานพซวนเซจากเตียงเสียงแผ่วเบามือกุมท้องที่เลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผล
“คุณ คุณพ่อ ช่วย ช่วยผม ด้วย”
มานพไขว่คว้าจะเปิดประตู ท่านเจ้าคุณหมดความอดทน
“ฉันระอาใจกับแกแล้ว”
เจ้าคุณรัตน์ส่ายหน้าเอือมแล้วหันหลังจะเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ภายในห้อง มานพล้มลงหมดสติก่อนจะถึงประตู เจ้าคุณชะงัก
บริเวณท่าข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยา จับกังขนข้าวกำลังช่วยกันแบกกระสอบข้าวสารจากเรือขึ้นมา เก็บในโกดัง ในกลุ่มจับกังที่แบกกระสอบข้าวไปเก็บก็คือลอกับก้อน จำปูนเดินเข้ามา
“นายลอ นายก้อน ทำไมมาแบกข้าวสารอยู่ตรงนี้ล่ะ
“ไม่แบกกระสอบข้าวมาเก็บตรงนี้แล้วจะไปเก็บที่ไหนล่ะจ๊ะ”
“ข้าหมายถึงว่านี่มันไม่ใช่งานที่ข้าพาเอ็งมาทำต่างหาก”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ้าน้าจำปูน งานแบบนี้แหละที่ฉันกับไอ้ก้อนทำได้ดีกว่า”
“จริงจ้ะ ให้ไปยืนคุมคนนับกระสอบข้าวแบบนั้น มันเหมือนไม่ได้ทำงานเท่าไหร่เลยจ้ะ”
“เออเว้ย เอ็งสองคนนี่มันแปลก ให้ไปทำงานสบายๆ เงินดีๆ ไม่ไปทำ”
“ฉันสองคนถนัดแต่ใช้แรงงานแลกเงินมากกว่าจ้ะ”
“แต่เอ็งเป็นถึงหลานเขยคุณนายนะนายลอ”
“น้าจำปูนก็ไม่ต้องบอกใครก็ได้นี่จ๊ะว่าฉันเป็นใคร แค่พามาฝากงานก็พอแล้ว ฉันไปทำงานต่อนะจ๊ะ”
ลอกับก้อนพากันไปทำงานต่อ จำปูนส่ายหน้าเป็นห่วง
“พับผ่าเถอะวะ ไม่เคยเจอใครในพระนครซื่อได้อย่างเอ็งจริงๆ ไอ้ลอ”
แพงพาพี่สาวเข้ามามองหาลอที่ท่าข้าว เพื่อนเดินตามหลังอ้อยอิ่ง แพงหันมาไม่พอใจ
“พี่เพื่อนจะเอายังไง”
“อะไรของเอ็งนักหนาหาอีแพง”
“ก็ท่าทางที่พี่ไม่เต็มใจอยู่นี่ไง หรือว่าไอ้คำหวานที่เขาป้อยอพี่มันทำให้พี่หมดใจจากพี่ลอไปหมดแล้ว”
เพื่อนชะงัก มองแพงอย่างคาดคั้น
“อีแพง ที่เอ็งขู่ข้ามาตลอดเพราะเอ็งเป็นห่วงพี่ลอ หรือเพราะเอ็งยังรักพี่ลออยู่กันแน่”
แพงเป็นฝ่ายชะงักบ้าง เพื่อนเข้าไปบีบแขนน้องสาวแน่น
“เอ็งสั่งให้ข้าเลิกยุ่งกับคุณมานพ แต่เอ็งไม่สนใจจะถามความรู้สึกข้าสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงยอมเป็นหญิงสองใจทั้งๆ ที่พี่ลอดีกับข้ามาตลอด”
“เหตุผลของพี่มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่พี่ถูกเขาหลอก”
“เอ็งเห็นข้าโง่เหรอไงถึงดูไม่ออกว่าใครรักข้าจริงใครหลอกข้าเล่น
“ฉันไม่ได้ว่าพี่โง่ แต่ฉันกลัวพี่ตามคนพระนครไม่ทัน”
“เอ็งไม่ต้องกลัวข้าตามคนพระนครไม่ทันหรอก ฉลาดหัวหมออย่างเอ็งข้ายังตามทันเลย ที่ผ่านมาเอ็งบอกว่าเอ็งไม่เคยคิดอะไรกับพี่ลอ เอ็งรักพี่ลอแค่เจ้าชีวิตของเอ็ง แต่ที่เอ็งทำอยู่ทั้งหมดก็เพราะเอ็งรักพี่ลออยากได้เขาเป็นผัวจนตัวสั่นมากกว่าข้าซะอีก”
แพงสะบัดแขนออกอย่างไม่พอใจ
“ถ้าฉันอยากแย่งพี่ลอ ฉันสู้ปล่อยให้พี่หลงไปกับคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ แต่ที่ฉันไม่ทำ เพราะฉันยังรักทั้งพี่เพื่อนทั้งพี่ลอ ฉันไม่อยากเห็นพี่ลอเจ็บ ไม่อยากเห็นพี่ถูกหลอก ฉันจะได้ไปกับน้าโฉมโดยไม่ต้องห่วงใครอีก”
จำปูนเดินเข้ามา
“แม่เพื่อน แม่แพง มาที่นี่กันได้ยังไงเนี่ย”
เพื่อนกับแพงชะงัก
“พี่เพื่อนเขาอยากแวะมาดูพี่ลอทำงานจ้ะน้าจำปูน”
“อ๋อ เออ แวะไปดูไอ้ลอหน่อยก็ดีนะ เห็นมันมุมานะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เหนื่อยสักคำไม่ปริปากบ่นก็เพราะแม่เพื่อนทั้งนั้น ทางโน้น ไปสิ”
“ไปสิพี่เพื่อน อย่าคิดว่าที่ฉันขู่พี่เพราะไม่อยากเห็นพี่มีความสุข แต่เป็นพี่ลอนี่แหละจะทำให้ชีวิตพี่มีความสุขกว่าคนอื่น”
แพงดันพี่สาวให้เดินไป เพื่อนตัดใจเดินเข้าไป แพงมองตามอย่างมีหวัง
หมอจัดการบาดแผลของมานพให้เรียบร้อย ทำให้สภาพดีขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าเริ่มมีสีเลือด แต่ยังดูอ่อนเพลียบ้าง
“ผมจัดการเรื่องบาดแผลให้เรียบร้อยดีแล้ว แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแนะนำท่านเจ้าคุณว่า ควรพาคุณมานพไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล”
“ขอบใจมากนะหมอ แต่ฉันว่าสภาพที่มานพไปก่อเรื่องเอาไว้มา คงไม่เหมาะที่จะออกไป เป็นเป้าความขัดแย้งให้ใครอีก”
“ครับท่านเจ้าคุณ เรื่องนี้ผมจะไม่พูดออกไปเด็ดขาด”
เจ้าคุณพยักหน้าให้สงวนไปส่งหมอก่อนกำชับสงวน
“สงวน ปล่อยข่าวไปว่ามานพถูกโจรดักทำร้ายระหว่างกลับบ้านเมื่อคืน”
สงวนรับคำแล้วพาหมอออกไป
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
“แกไม่ต้องมาขอบคุณฉัน ทั้งๆ ที่ฉันเตือนแกแล้ว แต่แกก็รั้นไม่เคยฟังใคร ทำไม ทำไม ต้องสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงด้วยการสูญเสีย ทำไมไม่ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป”
“เพราะมันช้าเกินไปไงครับคุณพ่อ มัวแต่ปล่อยให้พวกหัวเก่าย่ำอยู่กับที่ก็วิ่งไล่ตามคนอื่นไม่ทัน”
“หึ แล้วไง สภาพแกตอนนี้ แม้แต่จะลุกขึ้นมาไล่ตามคนที่แกดูถูกไว้ก็ยังทำไม่ได้เลย”
เจ้าคุณรัตน์ดักคอลูกชายแล้วหัวเสียเดินออกไป มานพนอนเจ็บใจ
“โธ่เว้ย”
ลอแบกกระสอบข้าวเข้ามาวางเรียบร้อย ขณะกำลังเช็ดเหงื่อก็หันไปเห็นก้อนแบกกระสอบข้าว ตามหลังกำลังเซเพราะเหนื่อย ลอรีบเข้าไปช่วยแบกกระสอบข้าวลงพักระหว่างทาง
“มา ข้าช่วยเอ็งดีกว่าไอ้ก้อน”
“ไม่เป็นไรว่ะไอ้ลอ ข้ายังไหวเว้ย”
“เอ็งอย่าอวดเก่ง ข้าเพิ่งเห็นเอ็งขาแทบขวิดให้กระสอบข้าวทับอยู่”
“ก็ข้าอยากได้เงินเยอะๆ กลับไปแต่งงานกับแม่แก้วนี่หว่า”
ลอยิ้มแล้วตบบ่าให้กำลังใจก้อน ระหว่างนั้นเพื่อนเข้ามา แต่ลอยังไม่ทันเห็น
“ข้าก็เหมือนเอ็งนั่นแหละไอ้ก้อน อยากจะขนข้าวทั้งลำเรือให้เสร็จคนเดียวจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ อยากพาแม่เพื่อนกลับไปแต่งงานใจจะขาด”
“เอ็งไม่ชอบพระนครใช่มั้ย”
“เออ ที่นี่มันวุ่นวาย ถึงจะมีทุกอย่างพร้อมสรรพ จะทำอะไรก็สะดวก แต่ข้าว่า ให้อยู่อย่างลำบากที่บ้านสร้างก็ยังมีความสุขกว่าเยอะ”
“นั่นสิวะ ถึงบางฤดูจะแล้ง บางฤดูจะน้ำหลาก ปลูกข้าวได้มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ยังมีผู้หญิงที่เรารักห่อข้าวปลาน้อยๆ ไปให้ชื่นใจใช่มั้ยวะไอ้ลอ”
“เออสิวะ ถึงบางมื้อจะไม่อิ่มท้อง แต่ก็อิ่มใจเว้ย”
ลอพูดไปก็ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงความสุขในท้องทุ่งบ้านสร้าง ผิดกับเพื่อนที่ฟังลอพูดแล้วยิ่งรู้สึกว่า ลอไม่ได้ห่วงว่าตัวเองจะลำบากไปด้วยเลย ก้อนหันมาเห็นเพื่อนเลยสะกิดบอกลอ
“พูดถึงก็มาพอดีเลยว่ะไอ้ลอ แม่เพื่อนที่ทำให้เอ็งอิ่มใจ โน่นไง”
ลอหันไปเห็นเพื่อนก็ดีใจ ไม่คิดว่าเพื่อนจะมาหา
“แม่เพื่อน”
เพื่อนยิ้มรับแต่สีหน้ากระอักกระอ่วน
ด้านนอกท่าข้าว แพงเดินไปเดินมารออยู่ ระหว่างนั้นจำปูนเดินออกมากับเถ้าแก่ท่าข้าว
“ขอบใจมากนะนายซ้ง ว่างก็แวะไปกินข้าวกัน”
จำปูนลาเถ้าแก่ท่าข้าวแล้วเดินออกมา เห็นแพงเดินวนเวียนเลยสงสัย
“แม่แพง ยังอยู่แถวนี้อีกเหรอ ฉันนึกว่าจะไปเรียนภาษากับครูฝรั่งแล้วซะอีก”
“วันนี้ไม่มีเรียนหรอกจ้ะน้าจำปูน ครูแกป่วย”
“อ้าวเหรอ งั้นเดี๋ยวกลับไปบ้านคุณนายพร้อมกันเลยมั้ยล่ะ ฉันต้องรีบไปบอกข่าวเรื่อง คุณมานพให้คุณนายทราบ”
“ข่าวคุณมานพ ทำไมเหรอจ๊ะ”
“พรรคพวกฉันเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อตะกี้เอง ว่าเมื่อคืนนี้คุณมานพถูกโจรดักปล้นทำร้าย นอน บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่บ้าน”
แพงตกใจ
“ว่าไงแม่แพง จะไปด้วยกันเลยมั้ย”
“เอ่อ น้าจำปูนกลับไปก่อนเถอะจ้ะ ฉันจะอยู่รอพี่เพื่อนกับพี่ลออยู่แถวนี้”
“ตามใจนะแม่แพง อย่าลืมบอกแม่เพื่อนกับนายลอด้วยล่ะว่าคุณมานพบาดเจ็บ สองคน นั้นคงอยากจะไปเยี่ยมผู้มีพระคุณ”
“จ้ะน้า”
แพงครุ่นคิด
ลอกับเพื่อนพากันมานั่งพักที่ริมน้ำบริเวณท่าข้าว
“มีอะไรรึเปล่า แม่เพื่อนถึงมาหาพี่ที่นี่”
“เอ่อ คือ”
“หรือว่า แม่เพื่อนเจออีแรม แม่เพื่อนหนีมันมาใช่มั้ย”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะพี่ลอ ฉันตั้งใจมาหาพี่ลอ คิดถึงพี่เลยอยากมาดูพี่ลอทำงาน”
“มาหาพี่ จริงเหรอแม่เพื่อน พี่ดีใจที่แม่เพื่อนคิดถึงพี่”
ลอจะดึงเพื่อนมากอด แต่เพื่อนรีบดันตัว
“อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิพี่ลอ ฉันอายคนอื่นเขา”
“พี่ขอโทษจ้ะ พี่ดีใจไปหน่อย เพราะตั้งแต่พากันมาอยู่พระนคร พี่รู้สึกว่าอยู่ใกล้แม่เพื่อน น้อยกว่าอยู่บ้านสร้างซะอีก ทั้งๆ ที่ก็อยู่บ้านน้าโฉมเหมือนกัน”
“เพราะทั้งฉันทั้งพี่มีธุระปะปังที่ต้องทำมากกว่าที่บ้านสร้างน่ะสิจ๊ะ”
“นั่นสินะ ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่พระนครกลับทำให้เราไกลกันได้ พี่ชักคิดถึงกระท่อมของพี่ คิดถึงกองฟาง คิดถึงน้ำในหนอง ป่านนี้ไอ้เปลี่ยวก็คงเหงา รอพี่พาแม่เพื่อนกลับไปขี่หลังมันเป็นแน่”
ลอพร่ำเพ้อพูดไปก็หอมหลังมือเพื่อนอย่างมีความสุข ผิดกับเพื่อนที่ไม่ได้ฟังลอพูด เพราะเหม่อลอย
“แม่เพื่อน แม่เพื่อนก็คิดถึงบ้านสร้างเหมือนกับพี่ใช่มั้ย แม่เพื่อน”
เพื่อนสะดุ้ง
“เมื่อกี้พี่ลอว่ายังไงนะ”
“พี่ถามว่าแม่เพื่อนคิดถึงบ้านสร้างรึเปล่า”
“ฉันก็มีคิดถึงพ่อบ้างแหละจ้ะพี่ พี่ลอจ๊ะ ฉันอยากรู้ว่างานกุลีแบกกระสอบข้าวสารเนี่ย พี่ต้องทำอีกนานเท่าไหร่ ถึงจะเก็บเงินได้พอพาฉันกลับไปแต่งงาน”
“ทำไมแม่เพื่อนถามพี่แบบนี้ล่ะ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ถามพี่เหรอ ในเมื่อฉันต้องกลับไปแต่งงานกับพี่ กลับไปกินไปอยู่เท่าที่พี่มีปัญญาจะหาให้ฉันกิน”
เพื่อนพูดด้วยอารมณ์ตัดพ้อ ไม่พอใจ ลุกพรวดหันหลังให้ลอ
มานพพยายามขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเพราะเบื่อที่ต้องนอนนิ่งเฉยๆ แต่พอจะขยับลุกก็รู้สึกเจ็บที่แผล ระหว่างนั้นคนรับใช้เปิดประตูเข้ามา
“จะรับอะไรเหรอคะคุณมานพ คุณหมอสั่งไม่ให้ขยับนะคะ”
“ไม่ต้องยุ่ง ฉันไม่เป็นไรหรอก แล้วพ่อฉันล่ะ”
“ท่านเจ้าคุณไปราชการแล้วค่ะ แต่สั่งให้ดิฉันคอยดูแล”
“มีอะไรแล้วฉันจะเรียกเอง ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา”
“ค่ะ แต่ว่ามีคนมารอเยี่ยมคุณมานพอยู่ เธอบอกว่าคุณเพื่อนสั่งให้มาค่ะ”
“ใคร”
“ฉันเองค่ะคุณมานพ อีแพง น้องสาวของพี่เพื่อน”
มานพชะงัก มองแพงด้วยความสงสัย
ลอค่อนข้างตกใจกับคำถามที่เพื่อนถาม
“เพราะอะไรถึงถามพี่แบบนี้ หรือว่ากลัวพี่จะเลี้ยงแม่เพื่อนไม่ได้เหรอ”
“ฉันเป็นฝ่ายถามพี่ก่อนนะพี่ลอ พี่ก็ตอบฉันมาสิ ไม่ใช่ให้ฉันมาตอบพี่”
“ถ้าแม่เพื่อนกลัวว่าพี่ต้องทำงานเก็บเงินนานจนรอไม่ได้ พี่จะขอให้น้าจำปูนหางานให้พี่ทำเพิ่มทั้งกลางวันกลางคืน”
“นี่พี่ลอไม่เข้าใจที่ฉันถามพี่เหรอ ฉันอยากรู้แค่ว่าถ้าฉันแต่งงานกับพี่ ฉันต้องกลับไปลำ บากใช่มั้ย พี่บอกคนอื่นว่าพี่อิ่มไม่ครบมื้อได้ แต่ขอแค่อิ่มใจก็พอ แต่นั่นมันพี่ไม่ใช่ฉัน”
“พี่เข้าใจแล้ว แม่เพื่อนได้ยินที่พี่พูดกับไอ้ก้อนเลยคิดว่าพี่จะพาแม่เพื่อนกลับไปลำบาก โธ่ทูนหัวของไอ้ลอ พี่ไม่มีทางปล่อยให้แม่เพื่อนลำบากหรอก”
ลอนึกขึ้นได้รีบชักเอาม้วนธนบัตรที่เหน็บเอวออกมายื่นให้เพื่อน
“นี่จ้ะ เงินที่เถ้าแก่เขาเพิ่งให้พี่มาล่วงหน้า แม่เพื่อนเก็บไว้ก่อนก็ได้จะได้อุ่นใจว่าทุกสตางค์ที่พี่หามาจะไม่ทำให้แม่เพื่อนลำบากแน่”
เพื่อนนิ่งมองธนบัตรยับยู่ยี่ในมือลอแล้วตัดสินใจปัดอย่างไม่สนใจ ธนบัตรปลิวต่อหน้าลอ
“เรากำลังพูดถึงชีวิตฉันทั้งชีวิตนะจ๊ะพี่ลอ ถ้าพี่ต้องมานั่งทนลำบากทำงานหนักเป็นวัวเป็นควาย เพื่อแลกเศษเงินแค่นี้ พี่จะทรมานตัวเองแล้วพาฉันไปทรมานด้วยทำไม”
“แม่เพื่อน”
ลอพูดไม่ออก รีบหันไปเก็บธนบัตรที่ปลิวตกพื้นก่อนจะปลิวหายไปแล้วระล่ำระลักเข้ามายัดใส่มือเพื่อน
“ไม่หรอกแม่เพื่อน พี่สัญญาว่าพี่จะหามาให้ได้มากกว่านี้ แม่เพื่อนรับไปก่อนเถอะนะ”
“โธ่พี่ลอ ทำไมพี่ถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย พี่จำได้มั้ย พี่เคยสัญญากับฉันว่าพี่จะเป็นได้ถึงราชสีห์ แต่ที่ฉันเห็นตอนนี้ฉันเห็นพี่เหมือนไอ้เปลี่ยวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไถนา แล้วหลอกตัวเองหลอกฉันว่ากำลังเป็นราชสีห์”
เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจลอ เพราะไม่คิดว่าแม่เพื่อนจะไม่เชื่อคำพูดของเขา น้ำตาเอ่อ เพื่อนก็อดสงสารไม่ได้พาลร้องไห้ตาม
“แม่เพื่อน พี่สัญญากับแม่เพื่อนแล้ว พี่ต้องทำได้สิ คนอย่างพี่ถ้ารักษาสัญญา ทำตามคำสาบานไม่ได้ พี่ก็ไม่ขออยู่เป็นคน”
“พี่ลอจ๋า”
เพื่อนเข้าไปเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างสงสาร
“รู้ตัวเองซะทีเถอะจ้ะ ของมีค่าอย่างเดียวที่พี่ลอคิดว่ามีมากกว่าคนอื่นก็คือคำสาบาน แต่นั่นมันประกันไม่ได้ว่าฉันจะไม่ลำบากนี่พี่ลอ อย่าโกรธฉันเลยนะถ้าฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน”
เพื่อนร้องไห้แต่ก็ตัดใจเลือกแล้ว จึงผละจากลอจะไป แต่ลอคว้ามือไม่ยอม
“แม่เพื่อน อย่าไป”
“ปล่อยฉันเถอะพี่ลอ ปล่อยฉันออกไปจากชีวิตพี่ได้แล้วจ้ะ”
เพื่อนแกะมือลอแล้วรีบวิ่งออกไป ลอยืนอึ้งตะลึงงัน
เพื่อนวิ่งปาดน้ำตา สงสารที่ต้องบอกเลิกลอ แต่ก็เลือกมานพแล้ว ระหว่างนั้นก้อนเข้ามา
“แม่เพื่อน จะกลับแล้วเหรอ”
เพื่อนชะงัก ไม่หันกลับไป รีบเช็ดน้ำตากลบเกลื่อน
“อย่าเพิ่งกลับเลย รอกลับพร้อมไอ้ลอดีกว่า เพราะเมื่อตะกี้ข้าได้ยินเถ้าแก่มาเตือนพวกลูกจ้างว่าให้ระวังตัวไว้ เดี๋ยวนี้มีขโมยขโจรออกมาดักปล้นแถวนี้ ขนาดลูกชายเจ้าคุณ ยังโดนยิงเกือบไม่รอด”
“ลูกชายท่านเจ้าคุณ ใครเหรอ”
“เห็นเถ้าแก่พูดว่า เจ้าคุณรัตน์มั้ง เออใช่ เจ้าคุณรัตน์นี่แหละ”
เพื่อนตกใจรีบวิ่งออกไป ก้อนยืนงง ลอรีบเข้ามา
“แม่เพื่อน รอพี่ก่อ แม่เพื่อน”
“เดี๋ยวไอ้ลอ เอ็งสองคนเป็นอะไรกันวะ ข้างงไปหมดแล้ว”
ลอหันไปมองหน้าก้อนไม่พูดอะไร
เพื่อน แพง ตอนที่ 11 (ต่อ)
แพงช่วยรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ มานพรับมา แต่ไม่ดื่ม
“พี่สาวเธอรู้ข่าวอาการฉันได้ยังไง”
“ลูกชายท่านเจ้าคุณถูกโจรดักทำร้ายกลางดึก ข่าวอย่างนี้ไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีกค่ะ”
“แล้วพี่สาวเธออยู่ไหน ติดธุระสำคัญอะไร ถึงต้องส่งเธอมาเยี่ยมแทน”
“พี่เพื่อนติดธุระต้องดูแลคู่หมั้นและก็คงจะมาพบคุณมานพไม่ได้อีก เพราะหญิงที่มีคู่หมั้น ไม่ควรไปนั่งชมละครกับชายอื่นตามลำพัง เว้นเสียแต่ว่า ทั้งชายทั้งหญิงจะไร้ยางอายต่อคำติเตียน”
“นี่เธอ”
“ค่ะ ดิฉันทราบเรื่องคุณมานพกับพี่เพื่อนหมดแล้ว และต้องขอโทษที่อ้างว่าพี่เพื่อนสั่งให้มา แต่ถ้าดิฉันไม่ใช้โอกาสนี้มาเรียนกับคุณมานพด้วยตัวเอง พี่เพื่อนก็คงจะกู่ไม่กลับ เพราะหลงไปว่ามีชายอื่นรักตนมากกว่าพี่ลอ”
“ออกไปให้พ้น ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้”
“ดิฉันไปแน่ค่ะ แต่ก่อนไปขอให้ดิฉันมั่นใจจากการรับปากของคุณว่าคุณจะไม่พบหน้าพี่เพื่อนของฉันอีก”
แพงพูดจริงจังอย่างตั้งใจ ซึ่งทำให้มานพกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ที่ผู้หญิงบ้านนอกอย่างแพงมาออกคำสั่งตน มานพฝืนเจ็บแผลลุกพรวดคว้าแก้วน้ำสาดโครมใส่หน้า ชี้หน้าตะคอกเสียงดัง
“นังเด็กเมื่อวานซืน คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาอวดดีสั่งฉัน”
สามล้อถีบเข้ามาจอดส่งเพื่อนที่หน้าบ้านเจ้าคุณรัตน์ เพื่อนรีบลงจากรถหายเข้าไปในบ้านเพราะเป็นห่วงมานพ ลอก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมาหยุดตรงประตูรั้ว ก้อนวิ่งเหนื่อยหอบตามหลัง
“ไอ้ลอ โอ๊ย เอ็งกับนังเพื่อนทะเลาะเรื่องอะไรกันวะ ถึงต้องไล่ตามกันแบบนี้”
“เอ็งกลับไปเถอะไอ้ก้อน ไม่ต้องตามข้ามาอีก”
“จะบอกข้าหน่อยไม่ได้เหรอไงวะ เห็นรักกันอยู่ดีๆ”
ลอหันมากระชากคอเสื้อขึ้นเสียง
“ข้าบอกให้เอ็งกลับไป”
“ไอ้ลอ”
“ไปซะ ข้าจะไม่ยอมให้แม่เพื่อนทิ้งข้าไปเด็ดขาด”
ลอผลักก้อนจนเซแล้วรีบเข้าไปในบ้านเจ้าคุณ
“ไอ้ลอ”
แพงลูบหน้าที่เปียกโชกเพราะน้ำที่มานพสาดใส่ พยายามสะกดอารมณ์
“อีแพงขอโทษค่ะ แต่อีแพงไม่ได้มาเพื่อก้าวร้าวใส่คนที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างคุณ อีแพงมาเพื่อกราบขอร้องต่างหาก”
แพงพูดไปก็ทรุดนั่งลงคุกเข่าพนมมือวิงวอน มานพถึงกับอึ้ง
“บุญคุณที่คุณมานพช่วยเหลือพี่เพื่อนไว้ ถือเป็นพระคุณที่พวกเราอยากตอบแทน แต่ต้องไม่ใช่การแลกด้วยตัวพี่เพื่อน ได้โปรดเถอะค่ะ พี่ลอรักพี่เพื่อนด้วยชีวิต ถ้าคุณมานพแย่งพี่เพื่อนไป พี่ลอคงอยู่ไม่ได้”
แพงจะก้มกราบ แต่มานพกลับลุกเดินหนีไปที่ประตู
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
“คุณมานพ อีแพงขอร้อง ผู้ชายที่มีการศึกษาอย่างคุณ จะเลือกผู้หญิงที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่เพื่อน”
“จะออกไปดีๆ หรือต้องให้ฉันใช้กำลังกับแก นังเด็กเมื่อวานซืน”
“คุณมานพต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ยุ่งกับพี่เพื่อน”
“นังนี่ ดื้อด้านยิ่งกว่าวัวควาย”
มานพฉุนจัดเข้าไปกระชากแขนแพงขึ้น ตะคอก
“ไสหัวไปให้พ้น คนอย่างฉันไม่มีวันให้แกชี้นิ้วสั่ง ไป”
“ไม่ค่ะ แพงไม่ไปจนกว่าคุณจะรับปาก”
แพงพยายามขัดขืนออกแรงสะบัดแต่ไม่ทันระวัง มือไปกระแทกโดนแผลที่ท้องของมานพซึ่งมีผ้าพันแผลเอาไว้ มานพชะงักเจ็บ ร้องขึ้น
“คุณมานพ แพงไม่ตั้งใจ”
มานพกุมแผล เลือดซึมออกจากผ้าพันแผล จังหวะนั้นเพื่อนเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี
“อีแพง เอ็งทำอะไรคุณมานพ”
“พี่เพื่อน ฉันเปล่านะ”
“คุณมานพ”
เพื่อนเป็นห่วงมานพ หันมากราดเกรี้ยวกับแพง
“อีแพง”
เพื่อนตบหน้าน้องสาวฉาดใหญ่แล้วจิกผมแพง ลากออกมาที่โถง
“มึงทำร้ายคุณมานพ กูจะเอาเรื่องมึงให้ถึงที่สุด อีแพง”
“ฉันเปล่านะพี่เพื่อน ฉันไม่ได้ทำ ฉันมาขอร้องไม่ให้คุณมานพยุ่งกับพี่ต่างหาก ไม่เชื่อก็ถามคุณมานพสิ”
แพงหันไปทางมานพซึ่งเดินกุมท้องตามหลังมา มานพจ้องแพงเขม็งแทนคำตอบ เพื่อนยิ่งโกรธ
“นี่มึงกล้าขนาดนี้เลยเหรอ มึงพรากแม่ไปจากกูคนหนึ่งแล้ว มึงยังจะมาพรากคุณมานพไปอีก อีแพง มึงต้องเห็นกูอกแตกตายก่อนใช่มั้ย มึงถึงจะพอใจ”
เพื่อนตบแพงอีกที แพงเซถลาล้มลงไปกับพื้น น้ำตานอง จังหวะนั้นลอเข้ามาเห็นพอดี
“พี่ลอ”
“เกิดอะไรขึ้น เอ็งมาทำอะไรที่นี่”
ลอเข้าไปช่วยพยุงแพงให้ลุกขึ้น แพงร้องไห้สะอื้น
“พี่ลอจ๋า ฉันพยายามช่วยพี่ ฉันไม่อยากเห็นพี่เสียใจ ฮือๆๆ”
“อีแพง เอ็งรู้มาตลอดว่า”
ลอหันไปมองเพื่อนกับมานพด้วยความเจ็บช้ำ
“เป็นคุณนั่นเอง คุณมานพ”
“ปล่อยอีแพงเดี๋ยวนี้นะพี่ลอ มันทำร้ายคุณมานพ ฉันเอามันไว้ไม่ได้”
“แม่เพื่อน อีแพงเป็นน้องสาวแม่เพื่อนนะ”
“แต่คุณมานพก็เป็นผู้มีพระคุณกับฉันเหมือนกัน”
“ผู้มีพระคุณ หรือไอ้หน้าตัวเมียที่คิดจะแย่งผู้หญิงของคนอื่น”
“พี่ลอ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณมานพ ถ้าคุณยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชาย ตอบฉันมาด้วยสุจริตใจว่าคุณไม่ เคยคิดแย่งแม่เพื่อนไปจากฉัน”
ลอกระแทกเสียงถามอย่างจริงจัง และจ้องเขม็ง มานพก็จ้องตอบไม่มีใครยอมใคร
“คนอย่างฉันไม่คิดลดตัวไปแย่งของจากแกหรอกไอ้ลอ เพราะแกไม่มีค่าเทียบอะไรฉันได้ ที่คุณเพื่อนเขาอยากเปลี่ยนใจจากแกก็เพราะเขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา”
มานพพูดไปก็เริ่มอ่อนแรงจนยืนแทบไม่ไหว เพื่อนตกใจเป็นห่วงรีบเข้าไปประคอง
“แต่ไม่มีใครดีที่สุดสำหรับแม่เพื่อนเท่าไอ้ลอ ไอ้ลอนี่แหละที่จะให้ทุกอย่างที่แม่เพื่อนต้องการ ขอแค่คุณมานพอย่ามายุ่งกับแม่เพื่อนของไอ้ลอก็พอ”
“พอได้แล้วพี่ลอ ไม่เห็นเหรอว่าคุณมานพกำลังบาดเจ็บ พี่ยังจะทำร้ายเขาอีก ไปให้พ้น คนใจร้าย ไป ไปสิ”
ลออึ้งกับคำพูดของเพื่อน น้ำตาคลออย่างเจ็บปวด
“แม่เพื่อน ทำไม ทำไม่แม่เพื่อนไม่สงสารพี่บ้าง ทำไม”
เสียงของเพื่อนทำให้พวกบ่าวไพร่พากันเข้ามา
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณมานพ”
“พาไอ้อีสองคนนี่ออกไป ไปให้พ้นหน้าฉัน”
พวกบ่าวไพร่จะขยับเข้าไปหาลอกับแพง แต่แพงเสียงดังใส่
“ไม่ต้องมายุ่ง พี่ลอจ๋า เราไปกันเถอะจ้ะ นะจ๊ะพี่ลอ”
แพงขอร้องอ้อนวอน ลอได้แต่ยืนนิ่งด้วยความเจ็บปวด
“ไปเถอะจ้ะพี่ลอ อย่าให้เขาดูถูกลากเราเหมือนหมูเหมือนหมาเลย นะจ๊ะพี่ลอ”
แพงอ้อนวอนและพยายามดึงลอให้ออกไปจนลับตาเพื่อน มานพหันมาสั่งบ่าวไพร่
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ใครปากสว่างพูดให้พ่อฉันรู้ มันโดนฉันเล่นงานแน่”
พวกบ่าวก้มหน้าก้มตารับคำสั่งมานพ เพื่อนช่วยพยุงพามานพเดินกลับไปที่ห้อง
ลอเดินออกมาตามถนนอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก โดยมีแพงเดินตามหลังอย่างเป็นห่วง
“พี่ลอ พี่ลอจ๋า พี่ลอจะไปไหน บ้านน้าโฉมไปทางนี้นะจ๊ะ”
“เอ็งกลับไปเถอะอีแพง ไม่ต้องตามข้ามา”
“ไม่ ฉันจะไม่ทิ้งพี่ลอไปไหน ฉันไม่ปล่อยให้พี่ไปนั่งเสียใจคนเดียวหรอก”
“อีแพง ถ้าเอ็งห่วงข้าจริงๆ เอ็งก็ควรจะบอกข้าตั้งแต่แรก ไม่ใช่ให้ข้ามารู้เอาตอนที่แม่ เพื่อนไม่เหลือความไยดีให้ข้าอย่างนี้”
“ฉันขอโทษ แต่ที่ฉันไม่อยากให้พี่ลอรู้เรื่องก็เพราะฉันกลัวพี่ลอเสียใจ ฉันนึกว่าจะเตือนสติพี่เพื่อนได้ แต่ว่า”
“แต่เอ็งก็ทำไม่ได้ แล้วยังทำให้ข้าต้องโดนแม่เพื่อนไล่ไสส่ง รู้ตัวซะทีเถอะอีแพง เอ็งเข้า ไปยุ่งเรื่องไหนก็มีแต่ชิบหายทุก”
ลอตวาดใส่ โมโหฉุนเฉียวเดินออกไป แพงยืนอึ้งตะลึงหน้าเสีย
มานพนอนพัก หลังจากที่เพื่อนช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้เรียบร้อย
“ยังเจ็บแผลอยู่อีกรึเปล่าคะ”
“ยังเจ็บอยู่ แต่ก็พอจะทนได้”
มานพตอบห้วนๆ ไม่มีหางเสียง เพื่อนหน้าเศร้ารู้สึกผิด
“เป็นความผิดของดิฉันเองที่ปล่อยให้น้องสาวมาเสียมารยาทก้าวร้าวกับคุณ ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”
เพื่อนจับมือมานพมาแนบแก้ม น้ำตาคลอเสียใจรอให้ฝ่ายชายยกโทษ มานพหางตามองเพื่อน ค่อนข้างหงุดหงิดหัวเสีย ดึงมือออก
“โชคดีที่คุณพ่อไปราชการซะก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งน้องสาวคุณ ทั้งนายลอได้สร้างปัญหาให้ผมแน่”
“ฉันไม่ปล่อยให้พวกเขาทำให้คุณต้องเสื่อมเสียหรอกค่ะ ฉันบอกให้พี่ลอออกไปจากชีวิตฉันแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาว่าเราได้อีก”
“ผมเห็นแล้วว่าคุณพูดกับนายลอยังไง แต่แค่นั้นนายลอก็ยังไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แล้ว ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงน้าโฉม รู้ถึงคุณพ่อ สภาพผมตอนนี้คงไม่พร้อมลุกขึ้นมาปกป้องคุณ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ใครจะมาด่าว่าฉันยังไงฉันก็ไม่สน ในเมื่อฉันมีสิทธิ์เลือก ขอแค่คุณมานพยังรักฉันอยู่เท่านั้น ฉันก็พร้อมจะแลกทุกอย่างเพื่อได้แต่งงานกับคุณ”
เพื่อนโผเข้ากอดมานพด้วยความรัก แต่ลืมไปว่ามานพยังบาดเจ็บ
“ผมเจ็บ”
“ฉันขอโทษค่ะคุณมานพ”
วิชิตเดินเข้ามา
“มานพ ขอโทษด้วยครับคุณเพื่อน ผมไม่ทราบว่าคุณมาดูแลมานพ”
“โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ ไม่รอให้ฉันตายซะก่อนล่ะ”
วิชิตไม่ทันจะตอบ โสภีก็เดินตามหลังเข้ามา
“วิชิตไปหาฉัน เล่าเรื่องที่คุณได้รับบาดเจ็บให้ฟัง ฉันเลยอยากมาเยี่ยมคุณค่ะ คุณมานพ”
มานพชะงักไปเมื่อเห็นโสภีเดินเข้ามา เพื่อนมองโสภีด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ได้ผิดสังเกต
“คุณโสภี เอ่อ คุณเพื่อน คุณช่วยกลับไปก่อนได้มั้ยครับ ผมมีธุระต้องคุยกับลูกความของผม”
“แต่คุณยังบาดเจ็บอยู่ เอาไว้ค่อยคุยตอนที่คุณดีขึ้นไม่ได้เหรอคะ”
“งานผมสำคัญมาก คุณกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผม ส่วนเรื่องของเราไว้คุยกันทีหลัง”
“ก็ได้ค่ะ”
เพื่อนยอมทำตามที่มานพสั่ง แล้วเดินผ่านโสภีเพื่อจะออกจากห้อง โสภียิ้มให้เพื่อนด้วยรอยยิ้มที่ดูเฉี่ยว อย่างสาวที่กร้านโลก พอเพื่อนเดินพ้นประตู โสภีก็ปิดประตูใส่หน้าเพื่อนทันที
เพื่อนชะงักอยู่หน้าประตู เริ่มมีความระแวงโสภีตามสัญชาติญาณผู้หญิง
ก้อนนั่งเซ็งเครียดแทนลอ ส่วนแก้วก็เอาแต่เดินไปเดินมาชะเง้อคอมอง
“หยุดเดินไปเดินมาซะทีเถอะจ้ะแม่แก้ว แค่นี้พี่ก็ปวดหัวแทนไอ้ลอจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็แล้วทำไมพี่ถึงกลับมา ทำไมไม่อยู่กับพี่ลอ”
“แม่แก้วไม่รู้จักสันดานไอ้ลอ ถ้ามันลองสั่งเด็ดขาดอย่างนั้น ขืนพี่ขัดใจมัน พี่ก็เจ็บตัวสิ”
“พี่เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พี่ลอสิเจ็บไปถึงข้างใน หนักหนาสาหัสแน่”
“ก็ถ้าแม่แก้วกับอีแพงบอกพี่ซะตั้งแต่แรกว่านังเพื่อนมันคิดไม่ซื่อกับไอ้ลอ พี่จะได้ช่วย หาทางออกเผื่อไว้เวลาไอ้ลอมันเสียใจ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่เพื่อนจะใจไม้ไส้ระกำได้ขนาดนี้ รักกันมาตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาว บทจะสิ้นรักก็ตัดซะไม่เหลือเยื่อใย”
ก้อนเห็นแพงเดินเข้ามา
“อีแพง”
แก้วหันไปเห็นเพื่อนเดินน้ำตาคลอเข้ามา ก็รีบเข้าถามด้วยความเป็นห่วง
“อีแพง พี่ลอล่ะ”
“อีแก้ว”
แพงสะอื้น พอเห็นหน้าเพื่อนรักเท่านั้น ก็ปล่อยโฮสวมกอดน้ำตานองหน้า แก้วช่วยเช็ดน้ำตาและปลอบใจแพง
“เอ็งอย่าไปถือคำพี่ลอเลยอีแพง จะพูดอะไรออกมาตอนนี้ก็เพราะความเสียใจมากกว่า”
“จะให้ข้าไม่ถือคำพี่ลอคงไม่ได้หรอกอีแก้ว เพราะที่พี่ลอว่ามาข้าก็มีส่วนผิดจริงๆ ถ้าข้า พยายามมากกว่านี้ พี่เพื่อนก็คงไม่หลงเชื่อคนอื่นแล้วมาทำร้ายพี่ลอ”
“โธ่อีแพง เอ็งจะเอาความผิดทุกคนมาว่าเป็นความผิดเอ็งไม่ได้ ที่พี่เพื่อนเลือกคุณมา นพก็แสดงว่าพี่เพื่อนรักตัวเองมากกว่ารักพี่ลอ”
“จริงอย่างแม่แก้วว่า เอ็งทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเราควรจะห่วงไอ้ลอมากกว่า”
“งั้นฉันคงต้องให้พี่ไปตามหาพี่ลอ ไปพาเขากลับมาก่อนจะเตลิดไปมากกว่านี้”
“ฉันไปด้วย”
“เอ็งอยู่นี่แหละ ให้ผู้ชายเขาคุยกันดีกว่า เชื่อข้า ไปเถอะพี่ก้อน”
ก้อนรีบออกไป แก้วหันมากุมมือแพงอย่างเป็นห่วง ระหว่างนั้นจำปาเดินเข้ามา
“อีแพงมาอยู่นี่เอง คุณนายให้ข้ามาตามเอ็งไปพบ เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“จ้ะจำปา”
จำปาเดินออกไป แก้วคิดอะไรขึ้นได้
“อีแพง ข้าว่าเอ็งควรเล่าทุกอย่างให้น้าโฉมฟัง บางทีผู้ใหญ่อย่างน้าโฉมอาจจะเตือนสติ ให้พี่เพื่อนคิดได้ หรือไม่ก็อาจจะสั่งให้พี่เพื่อนกลับบ้านสร้างซะเดี๋ยวนี้เลยก็ได้”
ก้อนเดินมาตามถนนในพระนคร พยายามมองหาลอ เจอใครก็เข้าไปถามถึงลอ แต่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครตอบก้อนได้ บางคนก็ไม่สนใจเดินผ่านไป
“หายหัวไปไหนของเอ็งวะไอ้ลอ เจ้าประคู้น อย่าคิดสั้นนะเว้ย”
ก้อนหน้าเครียดเป็นห่วงลอ แล้วพยายามคิดว่าลอจะหายไปไหน แล้วเขาก็ตัดสินใจไปที่ท่าข้าว
“เห็นไอ้ลอมั้ยจ๊ะน้า”
ก้อนไล่ถามไปทีละคน จนกุลีคนหนึ่งชี้เข้าไปข้างใน ก้อนชะงักเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือลอกำลังแบกกระสอบข้าวสารด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เหงื่อ โซมไปทั้งตัว แต่ก็ไม่ปริปาก ไม่แสดงถึงความเหน็ดเหนื่อย มีแต่ความพยายามอย่างไม่ลดละ
แพงเดินเข้ามาในห้องโถง แล้วอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นโฉมฉายแต่งตัวสวยด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง และนั่งเป็นแบบให้ช่างภาพเตรียมถ่ายภาพ
“แม่แพงมาแล้วเหรอ”
โฉมฉายลุกจากเก้าอี้ เดินยิ้มมาหาแพง
“หายไปไหนมาเกือบทั้งวัน น้าตามตัวไม่เจอ”
“คือ แพง แพงพาพี่เพื่อนไปดูพี่ลอทำงานจ้ะ แล้วน้าโฉมล่ะจ๊ะกำลังทำอะไรอยู่”
“นี่ช่างภาพส่วนตัวของมาดามเลอบัวร์ ภรรยาท่านทูตเพื่อนของน้าจ้ะ น้าเพิ่งจะได้ข่าวดี จากมาดามมาว่าชาร์โต้ที่น้าสนใจอยากซื้อเอาไว้สำหรับให้เราไปพักผ่อน เขาตกลงขายให้น้าแล้ว พอน้าเปรยว่าอยากมีภาพถ่ายสวยๆ ไว้ประดับ มาดามเลยส่งช่างภาพมาให้”
“มิน่า น้าโฉมถึงได้แต่งตัวสวยกว่าทุกวัน”
“แต่ไม่ใช่น้าคนเดียวนะที่จะมีภาพถ่ายสวยๆ เก็บไว้”
โฉมฉายยิ้มแล้วจับแขนพาแพงไปดูชุดที่แขวนอยู่บนหุ่นลองเสื้อ
“นี่จ้ะชุดที่น้าเลือกไว้ให้แพงใส่ถ่ายภาพคู่กับน้า แล้วก็เอาไว้ใส่วันงานเลี้ยงอำลาเพื่อนๆ ของน้าที่จะจัดขึ้นด้วย”
“งานเลี้ยงอำลา”
ลอแบกกระสอบข้าวเดินเซตัวเอียง แต่แค่นั้นยังไม่พอกับความต้องการ
“ยังได้อีกจ้ะ”
“เฮ้ย เอ็งจะไหวเหรอวะ เดี๋ยวหลังก็หักหรอก”
“ไหวจ้ะ แค่นี้ไอ้ลอแบกได้สบาย มาเลยจ้ะ”
ลอแบกข้าวเพิ่มอีกกระสอบด้วยน้ำหนักที่ทำให้แทบหลังแอ่น แต่ก็ฮึด แรงสุดชีวิตแบกกระสอบข้าวเดินตรงไปอย่างไม่ย่อท้อ ก้อนทนไม่ไหวต้องรีบเข้าไปห้าม
“ไอ้ลอ หยุดทำอย่างนี้เถอะ”
“ไอ้ก้อน เอ็ง เอ็งหลบไป อย่า อย่ามาขวางข้า”
ลอแบกกระสอบข้าวเดินมุ่งหน้าไปที่กองกระสอบข้าว ก้อนพยายามเดินตามไปร้องขอให้หยุด
“เอ็งทำแบบนี้ไป มันก็ไม่ได้ช่วยให้เอ็งลืมความเจ็บที่แม่เพื่อนฝากไว้กับเอ็งหรอก”
“ข้า ข้าไม่ได้ทำ ทำเพื่อให้ให้ลืมความเจ็บ เพราะ เพราะแม่เพื่อนไม่ได้ทำให้ข้าเจ็บ”
“งั้นเอ็งบ้ามาทำแบบนี้เพราะอะไร”
ลอเริ่มขาสั่นแรงเหมือนจะหมดไปต่อไม่ไหว แต่แววตายังมุ่งมั่นมองตรงไปที่กองกระสอบข้าว นึกถึงคำพูดของเพื่อน
“พี่ลอจ๋า รู้ตัวเองซะทีเถอะจ้ะ ของมีค่าอย่างเดียวที่พี่ลอคิดว่ามีมากกว่าคนอื่นก็คือคำสาบาน แต่นั่นมันประกันไม่ได้ว่าฉันจะไม่ลำบากนี่พี่ลอ อย่าโกรธฉันเลยนะถ้าฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน”
ลอเริ่มเข่าอ่อนจะทรุดลง ก้อนชะงักอึ้งตกใจจะเข้าไปช่วย
“ไอ้ลอ”
“ไม่ต้องช่วยข้า”
ลอตะโกนเสียงดังลั่นแล้วกัดฟันฮึดขึ้นมาแววตาดุดันเอาจริง แบกกระสอบข้าวสารที่หนักอึ้ง น้ำตาไหลเอ่อ ทุกสิ่งทำเพื่อเพื่อน
“ข้า ข้าไม่มีเวลามานั่งเสียใจ เพราะ เพราะถ้าข้าไม่รีบทำซะตั้งแต่ตอน ตอนนี้ ข้า ข้าก็จะมีแต่คำสาบาน”
ลอฮึดแรงทั้งตัว สู้กับความเจ็บปวดทั้งร่างกายเพื่อเพื่อน น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ก้อนเพิ่งเข้าใจเจตนาของเพื่อนรัก ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เพราะความเวทนาสงสารเพื่อน
เพื่อนเดินไปเดินมาอยู่บริเวณสวนบ้านของเจ้าคุณรัตน์ ไม่ยอมกลับตามที่มานพสั่ง เพราะยัง เป็นห่วงมานพและอยากรู้อยากเห็นเรื่องเกี่ยวกับโสภี ระหว่างนั้นบ่าวในบ้านเดินออกมา เพื่อนรีบเข้าไปถาม
“คุณมานพยังไม่เสร็จธุระกับเพื่อนอีกเหรอ”
“ยังเลยครับ คุณมีธุระอะไรอีกรึเปล่า ผมจะได้ไปบอกคุณมานพ”
“ฉันห่วงเรื่องทานยาของคุณมานพ แต่ไม่ต้องบอกเขาหรอก เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว”
บ่าวเดินเข้าไป เพื่อนมองขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านอย่างครุ่นคิด
โสภีช่วยเอายาใส่ถ้วยเล็กๆ ยื่นให้มานพรับไปกินพร้อมน้ำดื่ม
“ขอบคุณครับคุณโสภี ผมยอมรับว่าผมประมาทเกินไป เลยทำให้งานครั้งนี้พลาด”
“วิชิตเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังแล้ว ก็ยังนับว่าพวกคุณโชคดีที่เอาตัวรอดมาได้”
“ก็เกือบไปเหมือนกันครับ พวกมันไล่ล่าเราจนคิดว่าคงไม่รอดแน่ ดีที่มานพฮึดสู้ยิงลุย กับพวกมันเพื่อพาผมออกมา ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“แล้วพวกนั้นรู้รึเปล่าว่าพวกคุณเป็นใคร”
“ผมมั่นใจ ไม่มีใครรู้แน่นอน”
โสภียิ้มให้มานพอย่างชื่นชม
“ถ้าอย่างนั้นการพิสูจน์ตัวเองของคุณครั้งนี้ ทำให้ฉันเชื่อสนิทใจแล้วว่าท่านจรัญมองคนไม่ผิด”
“แสดงว่าคุณยอมรับว่ามองผมผิดไปจากที่เห็นครั้งแรก”
โสภีนิ่งไป แล้วยิ้มชอบใจแต่วางฟอร์ม
“เอาเป็นว่า ฉันจะรายงานให้ท่านจรัญทราบ ส่วนตอนนี้ในเมื่อพวกกบฏเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเรากำลังจับตาอยู่ ยังไงคุณก็ต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง แล้วฉันจะปรึกษากับท่านจรัญเพื่อหาทางสืบแผนการของพวกนั้นกันใหม่”
โสภีลุกขึ้นจะกลับแต่มานพคว้าข้อมือเธอเอาไว้
“เดี๋ยวครับ”
โสภีชะงักมองมานพ ทั้งคู่ประสานสายตากัน
“คุณก็ควรระวังตัวด้วย ถ้าพวกนั้นรู้ตัวว่าเรากำลังจับตามองอยู่ ก็มีอยู่ 2 ทางคือ ยกเลิก แผนการก่อกบฏ หรือไม่ก็เร่งแผนการให้เร็วขึ้นเพื่อให้เราตั้งรับไม่ทัน”
“ขอบคุณค่ะที่เตือน ฉันจะคอยระวังตัว”
โสภีแตะเบาๆ ที่หลังมือมานพแล้วผละออกไปพร้อมกับวิชิต มานพยกมือที่สัมผัสมือโสภีขึ้นมาดมให้ชื่นใจด้วยรอยยิ้มเจ้าชู้
โสภีกับวิชิตเดินผ่านมาบริเวณสวน
“ช่วงนี้คุณกับมานพควรเก็บตัวอย่าเพิ่งทำอะไรให้ผิดสังเกต ได้เรื่องอะไรเพิ่มเติมแล้วฉัน จะแจ้งข่าวให้ทราบ”
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
“โสภีหยุดนิดหนึ่งแล้วหางตามองไปที่ต้นไม้ใกล้ๆ
“เดี๋ยวฉันตามไปนะคะ”
วิชิตเดินออกไป โสภียืนอยู่กับที่ ก่อนจะยิ้มรู้ทัน
“ไม่ต้องหลบดิฉันหรอกค่ะคุณเพื่อน มีธุระอะไรให้ออกมาพบหน้าค่าตากันดีกว่า”
เพื่อนชะงักที่โสภีรู้ว่าเธอแอบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ จึงค่อยๆ ออกมาวางท่าว่าไม่มีอะไรลับๆ ล่อๆ
“ฉันเป็นห่วงคุณมานพ เลยอยู่รอถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดิฉันให้เขาทานยาตามหมอสั่งแล้วก็ให้พักผ่อนแล้วค่ะ”
“ถ้าคุณมานพพักผ่อนแล้ว ฉันก็หมดห่วง ขอตัวนะคะ”
เพื่อนจะเดินเลี่ยงออกไป แต่โสภีขวางไว้
“เดี๋ยวสิคะ ฉันเป็นผู้หญิงด้วยกัน ฉันดูออกว่าคุณกำลังสงสัยฉันอยู่”
“ฉันจะไปสงสัยอะไรคุณได้คะ ในเมื่อฉันแทบไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ”
“หึ สมกับเป็นผู้หญิงที่มานพทุ่มเทเวลาให้จริงๆ งามเหมือนดอกไม้แรกแย้ม แต่ก็ไม่ได้บอบบางเพราะมีหนามแหลมคมอยู่รอบตัว”
“ถ้านั่นคือคำชม ฉันก็ต้องขอบคุณค่ะ ฉันไม่ได้มียศมีศักดิ์อะไรที่จะช่วยยืนยันว่าฉันเท่า เทียมหญิงอื่นในพระนคร ฉันจึงต้องมีความเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าด้อยกว่า”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอให้คุณพยายามต่อไปนะคะ เพราะนั่นคือความท้าทายที่มานพชอบ”
โสภีทิ้งท้ายเหน็บๆ แล้วจะออกไป แต่เพื่อนคว้าข้อมือโสภี ดึงมาจ้องหน้าเอาเรื่อง
“คุณมานพเล่าว่าคุณกำลังมีคดีความหย่าสามี ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงต้องเป็นม่ายทั้งๆ ที่ยังสาวยังสวย”
“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอคะ”
โสภีหัวเราะสมเพช
“นี่คุณ ฉันขอเตือนให้คุณหยุดกิริยาให้ท่าคุณมานพ เพราะเขาสัญญาไว้แล้วว่าเขาจะแต่งงานกับฉัน”
โสภีแกะมือเพื่อนออก
“ค่ะ ฉันจะรับทราบเอาไว้แล้วกัน”
โสภีเชิดหน้ายิ้มร้ายแล้วเดินออกไป เพื่อนจิกตามองอย่างหัวเสีย
จบตอนที่ 11